วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

คำสารภาพ



เอกภพได้รับโทรศัพท์เชิญจากเพื่อนสนิท เพื่อไปกินเลี้ยงที่บ้านของทศภาค เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทศภาคบอกกับเอกภพว่าเขาเพิ่งจะออกบิ๊คไบค์คันใหม่มา อยากให้มาร่วมฉลอง เอกภพรู้ทันทีว่าเพื่อนของเขาอยากจะอวดรถคันใหม่ จึงตอบรับไปแต่ก็ไม่ลืมถามว่าในงานจะมีใครไปบ้าง ทศภาคบอกว่ามีเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาไปด้วย และเหล่าบันดาเพื่อนๆของภรรยาของทศภาคนิดหน่อย เอกภพทำท่าทีลำบากใจเพราะเขาเป็นคนขี้อาย ซึ่งทศภาคก็รู้ดีอยู่แล้ว

"เอาน่าๆ ไม่ต้องกังวลเลยเพื่อน ข้าโทรไปชวนไอ้ยศกับไอ้ฉิมไว้แล้ว ถ้าแกมาก็มานั่งรวมกลุ่มด้วยกันกับสองคนนั่นก็ได้ งานนี้ฟรีตลอดงาน"

"อ่อ งั้นก็โอเคเพื่อน คืนพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านแกห้าโมงเย็น อยากไปดูนักว่ารถคันใหม่แกจะสวยงามขนาดไหนกัน"

ก่อนถึงตอนเย็นในวันถัดมา เอกภพแวะจอดรถที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง เพื่อหาซื้อผลไม้จากต่างประเทศราคาแพง เพื่อนำไปร่วมงานกินเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนรัก แม้ทศภาคจะเอ่ยปากว่า 'งานนี้ฟรีตลอดงาน' แต่เอกภพก็หาซื้อของกินเล็กๆน้อยๆเพื่อนำไปสมทบในงาน เขาใช้เวลานานในการเดินเลือกซื้อผลไม้อย่างพิถีพิถัน เพราะนิสัยเอกภพเป็นคนที่รอบครอบและละเอียดถี่ถ้วนอยู่แล้ว เมื่อเขาเลือกผลไม้เสร็จแล้ว จึงนำผลไม้ไปคิดเงินที่แคชเชียร์ เอกภพหยิบแบงค์หนึ่งพันจ่ายให้พนักงาน โดยมีเศษเหรียญไม่มากนักทอนคืนมา เขาเก็บเงินเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับมันออกไปยังบ้านของทศภาค ซึ่งเวลาที่รถของเอกภพมาถึงนั้นใกล้เคียงกับเวลานัดหมายเกือบจะพอดี

"เฮ่! หวัดดีๆ เป็นยังไงบ้างเพื่อน เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยอมเสียเวลามา"

"เฮ้ย... แกก็พูดเกินไป มาเที่ยวหาเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว มาเสียเวลาอะไรกัน เอ้านี่! ข้าซื้อผลไม้มาด้วย"

"ขอบคุณมากเพื่อน ไม่น่าจะต้องลำบากหิ้วอะไรมา เข้าไปในบ้านกันก่อน เดี๋ยวซักพักไอ้ยศกับไอ้ฉิมจะตามมา เห็นบอกว่ารถติดอยู่"

เอกภพเดินตามทศภาคเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งในนั้นมีกลุ่มเพื่อนที่ทำงานของทศภาคอยู่ก่อนแล้ว 4 คน ทั้งเอกภพและกลุ่มเพื่อนของทศภาคต่างทักทายกันตามมารยาท ทศภาคแนะนำเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาให้เอกภพ ซึ่งเพื่อนๆกลุ่มนี้ประกอบด้วย

ดนัย เพื่อนรุ่นพี่ ท่าทางสุขุม นิ่งเงียบ อายุมากกว่าทศภาคไม่มากนัก

สุรศัก เป็นเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับทศภาค และเอกภพ ลักษณะท่าทางดูเหมือนกับเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบพูดเสียงดัง พูดมาก

เมธี รุ่นน้องของทศภาค หนุ่มหน้าตี๋ แต่งตัวสุภาพและท่าทางดูนอบน้อม

และมยุรี แฟนสาวของสุรศัก ดูท่าทางจะสนิทสนมกับทศภาคอยู่เหมือนกัน สุรศักคงพาออกงานบ่อยจนคุ้นชินกับทศภาค ลักษณะนิสัยของมยุรีคงไม่ต่างจากสุรศักมากนัก

เอกภพแนะนำตัวเองให้คนอื่นๆฟัง หลังจากทักทายกับเรียบร้อยแล้ว ทศภาคจึงเชิญเพื่อนๆทุกคนให้เดินไปที่สวนหญ้าหลังบ้าน ที่นั่นมีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ มันถูกคลุมด้วยผ้าไนลอนอย่างดีคลุมไว้ ทศภาคค่อยๆถกผ้าคลุมรถออกมาอย่างเบามือ เมื่อผ้าคลุมรถถูกถอดออกจากตัวรถ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนคือ รถสปอร์ทยี่ห้อดังจากยุโรป สีตัวถังและเฟรมเป็นสีแดง เครื่องยนต์ตัวรถที่ถูกปิดบังไม่มิดจากเฟรมรถ เผยให้เห็นถึงขุมพลังมหาศาลที่พร้อมจะระเบิดพลังออกมา หากมันถูกจุด ความสวยงามเย้ายวนนี้คงคล้ายกับสาวสวยหุ่มเซ็กซี่ ที่ห่มคลุมเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ปกปิดไม่มิดถึงสัดส่วนข้างใน คอยแต่ให้เหล่าชายหนุ่มจ้องมองลงบนเนื้อผ้า และได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงสิ่งที่ผ้านั้นปกคลุมเอาไว้ โดยมีแต่เนินเนื้อบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ทางตา ความเย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้ทำให้เหล่าชายหนุ่มที่จ้องมองมันนั้น ต่างก็อยากจะควบขี่และพุ่งทะยานไปกับสิ่งนี้

ไม่ต่างกันกับบิ๊คไบค์คันโตนี้ ที่ทั้งเอกภพ ดนัย สุรศักและเมธี ต่างก็อยากลองขี่ลองควบมันยิ่งนัก แม้แต่ทศภาคเองที่เห็นมันก็เกิดอาการคันไม้คันมืออยากจะเอามันออกมาขี่อีกครั้ง แต่ด้วยความที่ยังเป็นมือใหม่ ยังขับขี่ไม่คล่อง และกลัวจะทำรถล้มต่อหน้าเพื่อนๆ ทำให้ทศภาคต้องเก็บอารมณ์นั้นไว้ก่อน

สายตาของทุกคนยังจับจ้องอยู่ที่ห้องเครื่องรถ ทันใดนั้นก็มีมือของสุรศักเข้าไปลูบๆคลำๆที่ถังน้ำมันรถ ทศภาครีบเดินเข้าไปพร้อมทำท่าจะเอาผ้าคลุมรถ นำมาคลุมหลวมๆไว้บนตัวรถ จนสุรศักต้องรีบถอยมือออกไป ทุกคนจ้องมองการกระทำของสุรศัก รวมทั้งทศภาคที่มองรอยคราบมันจากมือของสุรศัก ที่ทิ้งรอยไว้บนตัวถังรถ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เป็นประจำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ผ้าเช็ดหน้าถูกถูขัดลงบนร่องรอยนั้นทันที จนกระทั่งความเงางามไร้ที่ติของตัวรถกลับมาอีกครั้ง ทศภาคทำทีจะคลุมผ้าแต่ด้วยความกลัวว่าจะถูกหาว่า 'ขี้หวง' จึงพับผ้าคลุมรถเก็บไว้ ปล่อยให้เหล่าเพื่อนๆสามารถใข้สายตาแทะโลมรถของเขาได้เท่านั้น ทศภาคคิดว่าคงไม่มีใครกล้ามาแตะรถคันนี้อีก เพราะเขาได้แสดงท่าทีเมื่อสักครู่ออกไปแล้ว ทุกคนคงจะรู้กันแล้วว่าเขาไม่อยากให้ใครมาแตะรถ แม้ทศภาคจะไม่ได้พูดคำนั้นออกมาตรงๆ

"ทุกท่านครับ เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อเครื่องดื่มที่หน้าปากซอยซักหน่อยครับ"

"จะขี่เจ้าคันนี้ไปหรือครับ พี่ทศ"

สุรศักรีบถามอย่างตื่นเต้น เขาคงอยากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถ

"ไม่หรอก พี่ยังขับมันไม่คล่องเลย เดี๋ยวเอามอไซค์คันเล็กไปก็พอแล้ว"

พูดจบทศภาคก็เดินไปยังหน้าบ้าน เพื่อที่จะควบรถคันเล็กออกไปหน้าปากซอย ยังไม่ทันที่ทศภาคจะเดินพ้นออกไปยังหน้าบ้าน สุรศักก็เอามือทั้งสองข้างไปจับที่แฮนด์รถ พร้อมทำท่าบิดคันเร่งที่มือขวา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจถึงการกะทำนี้ ทั้งเอกภพ ดนัยและเมธี ต่างรีบหันไปมองทศภาคที่เดินออกไป โชคยังดีที่ทศภาคเดินออกไปแล้วจึงไม่เห็นสิ่งที่สุรศักทำ มีเพียงแต่มยุรีที่ยิมหัวเราะชอบใจกับสุรศัก และยังเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปด้วย

"พี่สักลองขึ้นไปนั่งควบบนรถเลย เดี๋ยวน้องจะถ่ายรูป"

มยุรีรีบพูดอย่างตื่นเต้น จนดนัยรุ่นพี่ต้องรีบมาฉุดมือของสุรศักให้เข้าไปในบ้าน ทันเวลาก่อนที่สุรศักจะกระโดดขึ้นควบรถ

ทั้ง 5 คนนั่งรวมกันอยู่ในห้อง คนอื่นๆนอกจากเอกภพนั่งคุยกันพร้อมกินอาหารว่าง เอกภพนั้นนั่งดูข่าวสารบนจอทีวี เวลาผ่านไปชั่วครู่ ต่างคนก็ต่างไปทำธุระส่วนตัวบ้าง ออกไปเดินเล่นหน้าบ้านบ้าง เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีทุกคนก็กลับมารวมตัวกันในบ้านอีกครั้ง เพราะว่าฝนเทลงมาจากบนฟากฟ้าอย่างหนัก โดยที่ไม่มีทีท่ามาก่อน

สุขใจ ภรรยาของทศภาคเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมจานอาหารของกินเรียกน้ำย่อย สุขใจยิ้มแย้มทักทายทุกคน เนื่องจากเธอรู้จักกับทุกคนอยู่แล้ว

"นั่งกินออร์เดิร์ฟกันไปก่อนนะคะ เมื่อกี๊นี้พี่ทศโทรมาบอกว่าเขาปิดฝนอยู่ที่ร้านหน้าปากซอย รอฝนหยุดก่อน แต่ฝนตกหนักแรงขนาดนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หยุดแล้วล่ะ เอ๊ะ! ลืมไปว่าตากผ้าไว้ที่สวนหลังบ้าน เดี๋ยวขอตัวไปเก็บผ้าก่อนนะ"

สุขใจเดินลับหายไปหลังบ้าน ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพื่อไปลิ้มลองอาหารจานเด็ด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องจากสุขใจ ดังขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน

"ว้าย! รถมอเตอร์ไซค์ล้ม"

ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกตกใจรีบวิ่งกันไปที่สวนหลังบ้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนคือ มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ล้มลงไปนอนกับพื้น เอกภพ ดนัย สุรศัก เมธีและมยุรีแสดงสีหน้าซีดเผือด ต่างมองหน้ากันอย่างร้อนรน สุขใจถามทุกคนว่ามีใครได้มาทำอะไรกับรถหรือไม่

"ไม่มีนะครับ หลังจากที่พวกเราเดินมาดูรถพร้อมกับทศภาค เราก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก ไม่มีใครเดินออกมาที่สวนนี่อีกเลย"

ดนัย ในฐานะที่เป็นผู้อวุโสที่สุด ให้ปากคำเป็นคนแรก และเพื่อช่วยลดความตรึงเครียดของเหตุการณ์ในขณะนั้นลงไปได้บ้าง เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าสุขใจจึงคลายความตระหนกลงไปได้มาก

"อืม... ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปรอพี่ทศในบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ ให้พี่ทศกลับมาก่อนค่อยว่ากัน"

สุขใจพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปและตรงไปยังห้องครัว เพื่อเตรียมอาหารชิ้นถัดไป ทั้ง 5 คนก็ทยอยเดินกลับไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง จานอาหารที่ก่อนหน้านี้โดนรุมหยิบชิ้นอาหาร ตอนนี้ไม่มีใครสักคนที่จะมีอารมณ์ไปกิน

"สัก แกไปคร่อมรถเค้าล้มหรือเปล่าวะ รถแบบนั้นน้ำหนักมันเยอะ คนที่ไม่เคยขี่จะรับน้ำหนักไม่ไหวหรอก"

ดนัยหันหน้าไปทางสุรศักพร้อมเอ่ยปากถาม

"ผะๆผมเปล่านะพี่ เมื่อกี๊นี้ผมแค่ลองจับแฮนด์ดูเฉยๆ ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันไง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปที่รถอีกเลย"

สุรศักรีบปฏิเสธทันควัน พร้อมหันไปมองหน้ามยุรีด้วยความร้อนใจ แต่ท่าทีของเขานั้นมีพิรุธจนง่ายที่จะสังเกต

"หลังจากที่เราเดินกลับเข้ามาจากสวนหลังบ้าน ผมก็อยู่กับพี่ตลอดไง ผมไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถอีกเลย"

สุรศักยังคงหาพยานเพื่อรับรองตัวเอง

"ไม่นะครับ จำได้มั้ยช่วงที่เรากินอาหารว่างกันเสร็จ พวกเราทั้งพี่ดนัย พี่สักพี่มยุรี คุณเอกภพและตัวผมเองก็แยกย้ายกันเดินออกไป ไม่มีใครรับรองใครได้ว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่สวนหลังบ้านเลยนะครับ"

เมธีพูดเพื่อตั้งข้อสังเกต ทำนองว่าต้องมีใครสักคนในกลุ่มนี้ ที่ไปทำรถล้มที่สวนหลังบ้าน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครสารภาพ เอกภพชิงพูดขึ้นทันที

"ใช่ครับ น้องเมธีพูดถูก หลังจากที่ผมกินอาหารว่างเสร็จ ผมเดินออกไปดูดบุหรี่หน้าบ้าน แต่ดูดยังไม่ทันถึงครึ่งตัวเลย ฝนก็ตกไล่เข้ามาในบ้านก่อน เสื้อผ้าผมยังเปียกเม็ดฝนอยู่เลย"

เอกภพพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นตระหนก แต่คนที่รู้สึกจะรนรานกว่าใครเพื่อนคือสุรศักก็ซักถามทันควันเช่นกัน

"แล้วมีใครยืนยันได้มั้ยว่าพี่เดินออกไปหน้าบ้าน ไม่ใช่สวนหลังบ้าน"

"ไม่มีครับ ผมเดินออกจากตัวบ้านก็เดินออกนอกรั้วบ้านไปเลย ไม่ได้วกอ้อมตัวบ้านไปที่สวนข้างหลัง"

"แล้วแกล่ะเมธี ช่วงเวลานั้นแกหายไปไหน?"

สุรศักยังพยายามถามหาคนที่ย้อนกลับไปสวนหลังบ้าน และทำรถล้ม

"ผมเหรอ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ หลังจากกินของว่างผมรู้สึกปวดท้อง เลยไปนั่งในห้องน้ำ"

"มีใครยืนยันได้มั้ย?"

สุรศักยังไม่เลิกทำตัวเป็นนักสืบ

"ไม่มีครับ"

ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก ยังคงไหลลงมาจากฟ้าเหมือนก็อกน้ำที่ถูกขันเปิดจนสุด แต่ข้างในไม่มีใครสนใจเสียงเม็ดฝนตกกระทบต้นไม้ใบหญ้า พื้นถนนและตัวบ้านเลย ยังคงคุยกันเรื่องรถล้มอยู่ต่อไป เอกภพเสนอความเห็นขึ้นมาเพื่อให้จบปัญหา

"ไม่เป็นไรๆ ยังไงก็ต้องเป็นหนึ่งในพวกเราอยู่แล้วที่เป็นคนทำให้รถล้ม แล้วเรื่องมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก ก็แค่รถล้ม พวกเราก็ช่วยกันรับผิดชอบละกัน แต่อุปกรณ์ของรถยี่ห้อนี้แพงมาก เอาเป็นว่าค่าซ่อมหาร 5 ละกันตามจำนวนคนที่อยู่ที่นี่"

"ก็ดีนะครับคุณเอก พวกเราก็ไม่อยากให้มีปัญหาคาราคาซัง" ดนัยเห็นด้วยกับความคิดนี้

"แล้วแกล่ะว่ายังไง สักกับเม"

ดนัยถามความเห็นจากรุ่นน้องทั้งสองคน ทั้งสองคนต่างพยักหน้า

"งั้นตกลงครับ งั้นเอาตามนั้นละกัน ถ้าเจ้าทศกลับมาเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปพูดกับเขาเรื่องนี้เอง"

เอกภพย้ำข้อเสนอกับทุกคนที่อยู่ในห้อง และคนอื่นๆก็แสดงท่าทียอมรับอย่างไม่มีใครคัดค้าน

"งั้นก็ตามนี้นะครับ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปนั่งดูดบุหรี่ตรงม้านั่งข้างๆบ้านก่อน"

เอกภพพูดเสร็จก็เดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเดินเลี้ยวตรงไปยังชุดโต๊ะหินที่มีเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะกลม เขาหย่อนก้นลงไปนั่งสักครู่ และหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ทันที่จะตอกมวนบุหรี่ออกมาจากซองพ้น ดนัยก็ค่อยๆเดินมาตามทิศทางเดียวกับที่เอกภพเดินมาก่อนหน้านี้

ดนัยหย่อนก้นลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะพูดคำสารภาพออกมาจากปาก

"คุณเอกครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย เมื่อสักครู่นี้ผมรู้สึกไม่สบายใจมาก แต่คุณเอกคงดูไม่ออกหรอกครับ คือว่าตอนที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะไปทำรถล้มนั้น ผมต้องขอสารภาพว่าเป็นผมเอง ที่แอบไปขึ้นคร่อมรถคันนั้นก่อนที่ฝนจะตกลงมา แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้มหรือเปล่า เพราะตอนที่ผมเดินออกมารถมันก็ยังคงตั้งอยู่ดี ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้มลงเลย คือคุณเอกก็คงเข้าใจนะครับว่า ลูกผู้ชายอย่างเราๆต่างก็ชอบรถสปอร์ทคันใหญ่ๆแบบนี้กันทั้งนั้น ผมก็แค่คิดว่าขอได้ลองสัมผัสสักครั้งในชีวิตก็พอแล้ว ชาตินี้คงไม่มีปัญญาที่จะไปหามาขี่ได้หรอกครับ"

เอกภพรับฟังทุกถ้อยคำจากปากของดนัยหมดสิ้น แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าใดๆออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น ได้เพียงแต่กล่าวประโยคสั้นๆกับดนัยว่า

"ผมเข้าใจความรู้สึกคุณครับคุณดนัย เรื่องที่คุณเล่าให้ผมฟังนั้นไม่ต้องกังวลใจใดๆไปเลยครับ ผมคิดว่าคุณดนัยคงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้รถล้มหรอกครับ และที่สำคัญพวกเราก็สามารถหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย"

"อ่อครับ ผมต้องขอบคุณอีกครั้งสำหรับทางออกที่คุณเอกเป็นคนเสนอ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ ไม่รบกวนเวลาสูบบุหรี่ดีกว่า"

ดนัยเดินจากไปอย่างไร้ความกังวล โดยมีสายตาของเอกภพจับตามองจนดนัยเดินลับสายตา เอกภพก้มหน้าลงไปที่ซองบุหรี่ พยายามเคาะมวนบุหรี่ออกมาจากซอง เอกภพก้มหน้าอีกครั้งเพื่อควานหาไฟแช็ค เขาล้วงดูทั้งกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง กระเป๋ากางเกงซ้ายขวาแต่ก็ยังไม่เจอ พอเอกภาพจะพยายามลองหาอีกรอบ ทันใดนั้นสุรศักก็เดินย่องเข้ามานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ดนัยเพิ่งจะลุกไป

"เอ่อ! พี่เอกครับ ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วย"

เอกภพเงยหน้ามาเพื่อมองดูคู่สนทนา ตอนนี้มือเขาก็ยังควานหาไฟแช็คยังไม่เจอ ทั้งๆที่บุหรี่คาอยู่ที่ปากแล้ว เอกภพยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นนัยว่าตอบรับที่จะพูดคุยกับสุรศัก ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนนั้นออกจากปากและวางมันลงบนซองบุหรี่

"พี่เอกครับ คือว่าเมื่อกี๊นี้ที่เราคุยกันเรื่องรถล้มนั้น คือว่าผมโกหกทุกคนไปอย่างหนึ่ง ที่ผมบอกว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถนั้น ความจริงผมแอบกลับไปลองขึ้นคร่อมรถคันนั้นมา แต่ผมไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นๆรู้ เพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็นคนทำรถล้ม แต่ว่าตอนที่ผมเดินออกมาจากที่รถ มันยังอยู่เหมือนเดิม"

สุรศักยังคงทำหน้าหงอย เมื่อเอกภพเห็นดังนั้นจึงพูดปลอบใจ

"สาเหตุที่รถล้มคงไม่ใช่เธอหรอกนะ เราอย่าไปสนใจเลยว่ารถมันจะล้มได้อย่างไร เดี๋ยวถ้าทศภาพกลับมาแล้วพี่จะไปคุยกับมันเอง น้องไม่ต้องเป็นกังวลนะ"

สุรศักยิ้มออกมาอย่างคลายกังวล เขาก้มหัวขอบคุณเอกภพก่อนที่เอกภพจะก้มรับเล็กน้อย สุรศักเดินจากไปจนลับสายตา เอกภพกำลังจะเอื้อมมือไปควานหาไฟแช็คอีกครั้ง แต่สายตาก็ไปสะดุดอยู่ใต้ซองบุหรี่ที่นอนทับไฟแช๊คอยู่ เขาคีบบุหรี่ที่อยู่บนซองมาคาบไว้ในปากก่อน และค่อยๆยอซองบุหรี่ออกไปเพื่อให้สามารหยิบไฟแช็คได้ เอกภพหยิบไฟแช็คราคา 5 บาทขึ้นมาจุดไฟอยู่หลายรอบ แต่ไฟไม่ติดสักที

'สงสัยไฟแช็คคงโดนละอองฝนที่สาดเข้ามา' เอกภพคิดในใจก่อนจะลองจุดอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผลสักที

เริ่มมีประกายไฟเล็กๆแสดงว่าไฟใกล้จะติดแล้ว เอกภพคิดว่าลองจุดอีกครั้งต้องติดแน่ๆ และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ไฟลุกเป็นเส้นขึ้นมาจากปากไฟแช็ค แต่เอกภพต้องปล่อยนิ้วมือที่กดปล่อยแก๊ซจากไฟแช็คทันที ที่มีเสียงพูดจากคนที่เดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ดนัยและสุรศักนั่งก่อนหน้านี้ เมธีนั่นเอง! เอกภพเงยหน้ามอง

"เอ่อ... พี่ครับ ขอเวลาพี่เดี๋ยวนึงได้มั้ยครับ"

เมธีจ้องหน้าเอกภพตาไม่กระพริบ จนเอกภพต้องยิ้มที่มุมปากเป็นสัญญาณตอบรับให้เมธีเริ่มพูดอะไรบางอย่าง

"คือผมขอพูดตรงๆนะครับ ผมคิดว่าผมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้ม ในตอนที่เราคุยกันอยู่ในบ้าน ผมบอกว่าผมเข้าห้องน้ำใช่มั้ยครับ แต่หลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำ ผมอยากจะดูรถอีกครั้งว่ามันงามแค่ไหน เลยแอบเดินมา กะว่าจะแค่มาด้อมๆมองๆเฉยๆ แต่พอเห็นมันแล้ว เหมือนกับผมถูกสะกดจิตให้ไปลองสัมผัสมันเลย ผมเลยลองขึ้นนั่งบนรถ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะสามารถล้มได้"

สายตาเจ้าของเสียงก้มมองต่ำลงเหมือนขอความเห็นใจ เอกภพรีบพูดปลอบใจก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะมีน้ำไหลซึมออกมา

"คงไม่หรอกน้องเม แค่ขึ้นไปคร่อมรถแค่นั้นเองคงไม่ทำให้รถล้มลงมาได้หรอก เอาน่าๆ ยังไงซะเราก็หาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วล่ะ ทำใจให้สบายนะ"

สายฝนหยุดไหลรินทันใด คล้ายใครบางคนเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ ฟ้าหลังฝนยามใกล้ค่ำคล้ายสงครามที่รบรากันเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่เพียงร่องรอยของสายฝนที่ยังเปียกปอนพื้นถนน ต้นไม้และบ้านเรือน เมธียิ้มขอบคุณและลุกขึ้นเดินจากไป พร้อมด้วยสายตาของเอกภพที่จ้องมอง พลันนึกในใจว่าคงได้สูบบุหรี่มวนนี้ซักที เขาค่อยเดินออกไปให้พ้นหลังคาพร้อมหยิบบุหรี่มวนนั้นและไฟแช็คไปด้วย เอกภพเตรียมทำท่าจุดบุหรี่ แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักงันเมือเห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์คันที่ทศภาพขี่ออกไปกลับเข้ามา และแล้วเอกภพก็ต้องเก็บมวนบุหรี่สอดลงไปในซองเหมือนที่มันเคยอยู่

เอกภพเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปรอทศภาค ซึ่งกำลังจอดรถพร้อมลังเบียร์ที่ผูกติดกับเบาะรถ ในขณะที่คนอื่นๆต่างนั่งรอในห้องรับแขก และภรรยาของทศภาคที่ทะยอยยกจานของกินออกมาจากครัวเรื่อยๆ เธอทำหน้าที่ของเธอตามปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

"ทศ รถแกล้มว่ะ"

เอกภพพูดออกไปตรงๆโดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อมใดๆ ผู้รับฟังทำสีหน้าตกใจรีบก้าวขาออกจากรถ โดยไม่สนใจลังเครื่องดื่มที่ห้อยติดรถไว้ ทศภาครีบก้าวเดินไปยังสวนหลังบ้าน โดยมีเอกภาพก้าวเดินตามไปไม่ห่าง

ระหว่างทางไปสวนหลังบ้านต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่ทั้ง ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีนั่งอยู่ ทุกคนในห้องทำสีหน้าตกใจที่เห็นทศภาคเดินผ่านอย่างเร่งรีบเพื่อไปที่รถ เอกภาพเดินมาและสบตากับทุกคนเป็นนัยว่าให้ใจเย็นๆไม่ต้องตกใจไป

และแล้วภาพของรถสปอร์ทคันโต สีแดงเพลิงที่ลงไปนอนคลุกกับโคลนก็ปรากฏต่อสายตาของเจ้าของ รถราคาคันละเกือบสองล้านบาท สภาพตอนนี้ดูแล้วน่าหดหู่ใจยิ่งนักที่ถูกคราบโคลนและทรายเปรอะเปื้อนบดบังความงามไว้บางส่วน เอกภาพจ้องหน้าของทศภาคที่ทำสายตาแข็งจ้องมองดูที่รถของเขา ยังไม่มีสัญญาณใดๆปรากฏว่าความรู้สึกของทศภาคเป็นอย่างไรในตอนนี้ เพราะหน้าเขายังคงนิ่งเรียบไว้ไม่ให้ใครเดาออก ไม่นานทุกๆคนที่อยู่ในบ้านก็ต่างทยอยเดินกันออกมา

ทุกคนที่อยู่หลังบ้านนอกจากตัวทศภาคเองแล้วต่างมองหน้ากัน แต่ก็ยังไม่มีใครพูดจาอะไรที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เบาบางลงได้ เอกภาพนึกถึงภาพตอนที่ทศภาคไม่ยอมให้เมธีแม้แต่จะมาลูบๆคลำๆ แต่ตอนนี้รถคันนั้นยิ่งกว่าโดนลูบคลำอีก สภาพจิตใจของทศภาคคงจะรู้สึกช็อคไปอย่างมาก

บรรยากาศแห่งความนิ่งเงียบ แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่มันเหมือนกับผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ เอกภาพพยายามที่จะเปิดปากเพื่อพูดในสิ่งที่เขาพยายามจะพูด แต่ความนิ่งเงียบเวลานี้มันสะกดกล้ามเนื้อขากรรไกรของเขาไว้ให้หยุดนิ่ง แต่ทันใดนั้น! เสียงหัวเราะของใครบางคนก็ดังลั่นขึ้นทำลายบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เอกภาพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีต่างทำหน้าตกใจปนสงสัย

เป็นทศภาคนั่นเองที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นนั่นออกมา เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนกับหัวเราะเยาะตัวเองยังดังไม่ขาด เมื่อสิ้นเสียงนั้นลงทศภาคพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บใจว่า

"ว่าแล้วเชียวว่ารถต้องล้ม เอาออกมาจอดกลางพื้นดินแล้วฝนตกหนัก ทำให้ดินทรุด ด้วยน้ำหนักของรถที่มากจึงทำให้ขาตั้งรถจมลงไปในดิน รถเลยล้ม ข้าสะเพร่าเองที่ลืมลากไปจอดตรงพื้นปูน แต่ฝนบ้านี้ก็ดันมาตกโดยไม่มีทีท่าบอกมาก่อน"

ทุกคนมองหน้ากันอีกครั้งแต่คราวนี้ความกังวลในใจหายไปสิ้น เอาภพถามด้วยความเป็นห่วง

"แล้วรถแกไม่เป็นอะไรเลยรึ?"

"ไม่เป็นไรหรอก รถข้าติดกันล้มไว้แล้วทุกจุด ที่ตัวเครื่อง ปลายแฮนด์และล้อหลัง เดี๋ยวพรุ่งนี้พอพื้นแห้งค่อยให้คนมาช่วยยกมันขึ้น พวกเราเข้าไปนั่งกินอาหารกันในบ้านดีกว่า ซื้อเบียร์มาแล้วลังนึง"

ทุกคนเดินเข้าไปในตัวบ้าน อาหารถูกยกออกมาจากครัวเป็นจานสุดท้าย เครื่องดื่มถูกเปิดและแจกจ่ายให้กับทุกคน ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นทศภาค เอกภพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีและภรรยาของเอกภพ ต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องรถกันอีกแล้ว คาราโอเกะถูกเปิดและถูกบางคนร้องอย่างสนุกสนาน

เวลาผ่านไปไม่นาน เอกภพเริ่มเมาได้ที่ เขาเดินออกจากตัวบ้านไปยังม้านั่งเมื่อสักครู่ ที่พยายามจะสูบบุหรี่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คราวนี้เอกภพสามารถหยิบมวนบุหรี่ออกมาและจุดมันสูบได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้บรรยากาศเริ่มค่ำแล้ว ดวงจันทร์ในฟ้าหลังฝนมองเห็นได้ชัดเจน ไร้เมฆบดบัง ควันบุหรี่ถูกพ่นออกจากปากของเอกภพ กลุ่มควันล่องลอยรวมเข้ากับแสงจันทร์เต็มดวงโต เหมือนความคิดของเอกภพตอนนี้ที่รู้สึกโล่งสบายเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออไปจากภายใต้จิตใจ

เอกภพหยิบมือถือสมาร์ทโฟนขึ้นมา เขาเปิดดูคลิปวีดีโอล่าสุดที่เพิ่งถูกถ่าย ในภาพหน้าจอปรากฏเป็นภาพของตัวเอกภพเอง ที่ใช้มือซ้ายยื่นมือออกไปถ่ายตัวเขาเอง นั่งควบอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ Ducati panigale 1199 s เขาพยายามเอื้อมมือข้างซ้ายขยับออกไปเพื่อให้ถ่ายวีดีโอได้เต็มตัวรถ แต่พื้นดินที่อ่อนตัวอยู่แล้ว และน้ำหนักรถที่เริ่มเซจากตัวของเอกภพ ทำให้รถล้มและตัวของเอกภาพกระเด็นออกไป

เอกภพดูคลิปวีดีโอถึงตอนที่รถล้ม เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ


"ขอบคุณนะเจ้าฝน ที่ทำให้ข้าไม่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้รถล้ม เกือบไปแน่ะ"

สักพักยศและฉิมก็เดินทางมาถึงบ้านของทศภาค ในคืนนั้นทุกคนต่างเมามายกันอย่างมีความสุข

โทษประหาร




"ผมฆ่า..."

ชายวัยกลางคน ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้พิพากษา

"ผมฆ่ามาแล้ว 5 คน ถ้าไม่ฆ่าพวกนั้นก็ไปแจ้งความน่ะสิ"

เสียงฮือฮาดังลั่นศาลเมื่อจำเลยยอมรับสารภาพด้วยความกลัวสุดขีด มีแต่คณะผู้พิพากษาที่นั่งหน้าเครียด รวมถึงอนันต์ทนายฝ่ายจำเลยที่ลุกขึ้นยืนทำหน้าซีดและตกตะลึงกับคำพูดของลูกความ

"ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่อยากโดนจับ ถ้าโดนจับผมต้องโดนโทษประหารแหงๆเลย"

โจทย์ทำสีหน้าเครียดแค้น

"เป็นที่แน่นอนแล้วว่า จำเลยฆ่าผู้บริสุทธิ์ถึง 5 คน"

อนันต์พูดขึ้นทันที่หลังจากลูกความของเขาพูดจบ

"แถมจำเลยยังต้องจำนนต่อหลักฐาน แต่..."

ทนายหยุดพูดและมองไปที่ลูกความ

"แต่ผมไม่ยอมรับต่อโทษประหาร เพราะมันเป็นการกระทำที่โหดร้าย ทำให้จำเลยต้อง 'ฆ่าปิดปาก' ในปัจจุบันประเทศของเราเจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว จึงไม่สมควรที่จะมีการลงโทษที่ไร้อารยะเช่นนี้"

"เหลวไหลสิ้นดี !"

โจทย์ลุกขึ้นยืนก่อนตะโกนเสียงเต็มแรง

"สิทธิ์ของจำเลยอะไรกัน โทษประหารเป็นความโหดเหี้ยมยังงั้นรึ แล้วนายคิดถึงผู้เสียหายหรือเปล่า คิดถึงผู้หญิงที่ถูกฆ่าบ้างมั้ย"

นิ้วชี้ของโจทย์ชี้ไปที่หน้าของอนันต์ เสียงจากผู้พิพากษาดังขึ้นให้เงียบเสียง แต่มันไม่ได้ผลกับคนที่สติขาดไปแล้ว

"ทนายคนนั้นเข้าข้างคนผิดเพราะอยากได้เงิน ! ไม่รู้จักอายซะเลย เจ้านั่นฆ่าตั้ง 5 คน เมื่อก่อนอีก 8 สมควรโดนโทษประหารแล้ว"

ฝ่ายโจทย์ยังส่งเสียงเอะอะโวยวายจนกระทั้งศาลเลิกไป


"ลำบากใจเนอะ เป็นทนายให้ฆาตรกรหยั่งงี้"

ผู้ช่วยทนายอนันต์ถามในขณะที่เดินออกมาข้างนอกศาลแล้ว

"เราต้องเป็นทนายให้กับผู้ร้องขอ บางครั้งก็โดนเข้าใจผิดแบบนี้แหละ"

ผู้ช่วยอีกคนออกความเห็น

"ทั้งๆที่คดีนี้หมดทางชนะไปแล้ว ทำไม่คุณอนันต์ยังรับทำอีกละครับ พวกที่สำนักงานก็ไม่เห็นด้วย

ผู้ช่วยคนแรกยังตั้งคำถาม

"ใช่แล้ว รับทำพวกคดีใส่ร้ายยังจะง่ายกว่าอีก ฉันมาช่วยนายเพื่อยกระดับตัวเอง เป็นอันเหลวอีก"

ผู้ช่วยอีกคนเสริม

"ฉันรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะ"

อนันต์อธิบาย

"หมายความว่ายังไงครับ ?"

"แค่ฉันไม่อยากให้โดนโทษประหาร"

ผู้ช่วยทั้งสองยืนอึ้งกับคำตอบของอนันต์ ห่างไปไม่กี่ช่วงตึกเป็นร้านขายตุ๊กตา ทนายอนันต์เดินเข้าไปในร้านและเลือกหยิบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

"ขอตุ๊กตาหมีตัวนั้นครับ"

เสียงข่าวดังมาจากโทรทัศน์ในร้าน

'ข่าวด่วน เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่คอนโดมิเนี่ยมฮิลล์ปาร์ค'

"ตัวโตจังครับ ซื้อให้ลูกเหรอ"

"วันเกิดแกน่ะ"

อนันต์ตอบ แต่ในระหว่างนั้นมีชายหนุ่มสวนแว่นตาเดินเข้ามา

"เอ่อ คุณทนายอนันต์ใช่มั้ยครับ ผมอ่านหนังสือของคุณแล้ว ขอลายเซ็นด้วยครับ"

ชายหนุ่มหยิบหนังสือยื่นให้อนันต์ หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือต่อต้านโทษประหารที่เขียนโดยอนันต์ อนันต์เซ็นชื่อและคืนหนังสือไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

"ได้ข้อคิดมากมาย พยายามต่อไปด้วยนะครับ"

ชายหนุ่มใส่แว่นเดินจากไปแล้ว

"ได้พบกับแฟนหนังสือ ไม่เสียแรงจริงๆที่เขียนหนังสือ"

"นายมันบ้า ดังเกินไปก็ลำบากเหมือนกันนะ"

"ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ"

ทั้งสามพูดคุยหยอกล้อกัน แต่ทันใดนั้นเสียงภาพในทีวีก็ดังขึ้น

'สาเหตุความวุ่นวายที่คอนโดฮิลล์ปารค์เกิดจากแก๊ซพิษชนิดใหม่'

ทั้ง 3 เหลียวไปดูทีจอโทรทัศน์โดยพร้อมเพียงกัน

'นี่คือภาพจากที่เกิดเหตุ มีคนตายเป็นจำนวนมาก'

"เฮ้ย !?"

ผู้ช่วยของอนันต์คนหนึ่งชี้ไปที่จอโทรทัศน์ทันที

"ภรรยาของทนายอนันต์นี่นา"

อนันต์มองภาพภรรยาตัวเองที่หมดสติไปแล้ว เธอถูกหิ้วปีกจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ภาพในโทรทัศน์ทำให้อนันต์ที่ยืนกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ถึงกับเหงื่อแตก

"ต้องใช่แน่ๆ..."

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของผู้ช่วย อนันต์ออกวิ่งทันที และในที่สุดเขาก็ไปถึงยังโรงพยาบาล

เสียงโหวกเหวกจากอนันต์และผู้ช่วยดังข้างเตียงภรรยยาของอนันต์

"คุณคะ ลูกสาวเรากับคุณแม่"

ผู้ป่วยบนเตียงพยายามพูดทั้งๆที่ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว นั่นทำให้อนันต์แสดงสีหน้าตกใจ

"2 คนนั่นอยู่ด้วยเรอะ"

อนันต์รีบออกไปตามหาลูกสาวทันที

"ขอโทษครับ เด็กสาวอายุ 3 ขวบ"

"เอ่อ คุณป้าอาการหนักกว่านะคะ"

พยาบาลตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถัดไปเขาเห็นแม่ของเขานอนที่โถงทางเดิน มีสายน้ำเกลือผูกระโยงระยาง

"คุณแม่ !!"

เสียงกะโกนลั่น

"ลูกผมล่ะ !?"

เด็กน้อยนอนใส่หน้ากากช่วยหายใจบนเตียง เสียงหายใจของเธอดังและถี่เร็วขึ้น

"จะตายมั้ยครับคุณหมอ"

"ยังไม่ทราบผลหรอก"

หมอที่ยืนเฝ้าอาการคนไข้ตอบ

"อย่าให้แกตายนะ"

ผู้ช่วยของอนันต์เปิดประดูห้องเข้ามาก่อนจะพูด

"ภะ... ภรรยาของนาย"

อนันต์ตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง เขาถึงกับช็อค

"อะไรกันนี่ !!??"

อนันต์เปิดผ้ามองดูใบหน้าของภรรยา ที่ตอนนี้ไม่มีแล้วซึ่งลมหายใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยแผลพุพลองอันเนื่องมาจากแก๊ซพิษ

"ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมกัน"

สายน้ำไหลรินออกมาจากเบ้าตาของผู้สูญเสีย อนันต์คิดถูงผู้หญิงทั้ง 3 ยามที่นั่งกินเข้าอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในที่สุดหยดน้ำเล็กๆก็กระทบลงบนใบหน้าของคนตาย

"ให้ตายสิโว้ย !!"


ในงานศพแม่และภรรยาของอนันต์ ทุกอย่างอยู่ในความโศกเศร้าของอนันต์และผู้ร่วมงาน

"เสียคนรักพร้อมกัน 2 คนคงทำใจยาก"

เสียงปลอบใจลอยมาจากใครบางคน



หลังจากพิธีเผาทั้ง 2 แล้ว อนันต์ได้แต่จมอยู่ข้างเตียงของลูกสาว

"ใครเป็นคนทำ"

อนันต์ได้แต่น้ำตาซึมและบ่นกับตัวเอง


ในสำนักงานทนายของอนันต์ เสียงโทรทัศน์จากข่าวดังขึ้น

'กล้องวิดีโอของคอนโดฮิลล์ปาร์คถ่ายรูปคนร้ายไว้ได้ จากการสืบสวนของตำรวจพบว่า เป็นนักศึกษาแผนกวิทย์ฯแห่งหนึ่งจากมหาลัยAAA'

คนทั้งสำนักงานต่างหันหน้าไปดูข่าว จากนั้นภาพของคนร้ายก็ปรากฏบนหน้าจอ

"คุณอนันต์ นี่มัน !!"

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจ เพราะแท้จริงแล้วใบหน้าของคนร้ายคือชายหนุ่มใส่แว่น คนที่มายื่นหนังสือขอลายเซ็นในวันที่เกิดเหตุนั้น

อนันต์ถึงกลับมีภาพชายใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นลอยเข้ามาในสมอง เขายังนึกถึงคำพูดของชายคนนั้นพูดว่า

'พยายามต่อไปด้วยนะครับ'

อนันต์ยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเขาบ่นขึ้นในใจ

"อะไรกัน ??"

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น

"ของคุณอนันต์ค่ะ"

อนันต์เดินมารับสาย

"ทนายอนันต์พูดครับ"

"ช่วยด้วยครับ !!"

เสียงปลายสายดังขึ้น

"หา !?"

"ผมชัยยศคนที่ปล่อยแก๊ซฆ่าคน... คนที่เคยขอลายเซ็นคุณทนายไง"

อนันต์ตกใจอย่างสุดขีดในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน

"ถ้าโดนจับผมถูกประหารแน่ ช่วยเป็นทนายให้ผมด้วยเถอะ จะติดคุกกี่ปีก็ได้ แต่ขออย่าให้โดนประหารก็พอ ถึงโดนตลอดชีวิต แต่แค่ 10 ปีก็ได้ออกมาแล้วใช่มั้ยครับ"

อนันต์คิดถึงภาพแม่ ภรรยาและลูกของเขาที่สำลักแก๊ซในตอนนั้น มันคงจะทรมานมากเกินใครจะทนได้

"ถ้าคุณไม่รับทำผมจะฆ่าตัวตาย หน้าผมออกทีวีแล้ว ไม่ช้าตำรวจคงตามได้ ผมเชื่อว่าคุณอนันต์คงช่วยได้ กรุณาเถอะครับ"

อนันต์ได้ฟังดังนั้นทำให้เขาคิดถึงภาพลูกสาว ที่ตอนนี้เธอกำลังนอนในโรงพยาบาลโดยที่เป็นตายเท่ากัน

"เอาย่างนี้ ผมขอพบคุณก่อน ทุ่มตรงที่สวนสาธารณะใกล้สถานีรถไฟ ผมจะไปคนเดียว"

อนันต์พูดตอบไป แต่ในหัวของเขายังคงนึกถึงภาพลูกสาว

"มีอะไรเหรอคะ"

เจ้าหน้าที่สาวที่รับโทรศัพท์ถาม

"โทรมาล้อเล่นน่ะ"

อนันต์ตอบโดยพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจของเขา เขาทำหน้าเคร่งเครียดพลางหยิบหนังสือต่อต้านโทษประหารของเขาออกมาดู เขานึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดในศาลครั้งล่าสุดเมื่อครั้งที่ผ่านมา เกี่ยวกับโทษประหาร

"คุณอนันต์คะ บ่ายวันนี้มีการปราศรัยต่อต้านโทษประหาร จะไปมั้ยคะ"

เจ้าหน้าที่สาวคนเดิมถาม


บนเวทีปราศัยการรณรงค์ต่อต้านโทษประหาร ผู้บรรยายบนเวทีกำลังกล่าวเปิดงาน

"มีเสียงเรียกร้องให้ประหารคนร้ายใช้แก๊ซฆ่าคน เราจึงได้จัดงานนี้ขึ้น พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์จัดการชีวิตมนุษย์ "

เสียงตบมือจากผู้ร่วมงานดัง เป็นสัญญาณว่ามีผู้ร่วมอุดมการณ์มาก

"ต่อไปขอเชิญคุณทนายอนันต์ขึ้นมากล่าวอะไรหน่อยครับ"

เจ้าของเสียงคนเดิมพูด เสียงตบมือดังอีกครั้ง อนันต์ขึ้นมาบนเวที ในหัวของเขาคิดถึงชายหนุ่มที่ฆ่าครอบครัวของเขา อนันต์ยังไม่ลืมคำพูดเหล่านั้น

'อย่าให้ผมต้องถูกประหารชีวิตเลยครับ กรุณาด้วยเถอะ'

"เอ่อ ถ้าเราไม่ลงโทษคนร้าย ก็จะเป็นการผิดต่อผู้เสียหาย แต่ ! เราก็ไม่ควรเอาชีวิตของคนร้ายเช่นเดียวกัน เพราะเราไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นมนุษย์ทีมีเหตุผล"

เสียงตบมือดังอีกครับเป็นการแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดเมื่อสักครู่นี้ อนันต์พูด แต่ในหัวก็ยังวนเวียนอยู่กับครอบครัวที่เขาสูญเสียไป

"ตามที่คุณอนันต์พูด เราไม่ควรเอาชีวิต แต่ควรให้โอกาสเค้าได้เริ่มต้นใหม่ครับ"

ผู้บรรยายเน้นเจตนารมย์ของการปราศรัย ก่อนที่เขาจะพูดปิดท้าย

"เพื่อสิทธิมนุษยชน"


ในโรงพยาบาล ลูกสาวของอนันต์นอนไม่ได้สติบนเตียง เสียงหายใจของเธอไม่สู้ดีนัก อนันต์นั่งข้างเตียงกุมมือลูกสาวของเขาไว้

สักพักผู้ช่วยของเขาเดินเข้ามาในห้อง

"อาการเป็นอย่างไรบ้าง ? นี่ยังไม่ได้สติเลยเหรอ น่าสงสารจัง เป็นเพราะคนร้ายนั่นแหละ"

อนันต์ไม่พูดอะไร

"ได้ยินมาว่าคนที่ขอลายเซ็นนั่นเป็นคนร้ายใช้มั้ย โลกแคบจริงๆ แล้วจะยังต่อต้านโทษประหารอีกหรือเปล่า"

อนันต์คิดถึงคนร้ายที่ร้องขอชีวิต และคำพูดของเขาที่พูดบนเวที เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาที่เขานัดไว้กับชัยยศที่สวนสาธารณะ อนันต์รีบเดินทางไปทันที แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงสถานที่ ก็เห็นคนมุงมากมายและรถตำรวจหลายคัน ชัยยศโดนตำรวจจับได้แล้ว แต่ไม่นานโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เรื่องอาการป่วยของลูกสาวที่โรงพยาบาล

เมื่อมาถึง คนป่วยมีอาการเสียเลือดมาก อนันต์ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเลือดทะลักออกจากปากของลูกสาว

"เลือดยังไม่มาอีกเรอะ ดูดเลือดออกมาอย่าให้ลงคอ"

หมอตะโกนเรียก อนันต์ถึงกับก้มลงไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยลูกสาวของเขา และเหมือนกับคำร้องขอของเขาได้รับการตอบรับ ระดับชีพจรของคนป่วยอยู่ในระดับที่หน้าพอใจ

"ปลอดภัยแล้ว อดทนได้ดีมาก"

หมอพูด อนันต์ถึงกับน้ำตาไหล


ที่สำนักงานทนายความของอนันต์ พ่อแม่ของชัยยศเดินทางมาเพื่อขอพบเขา ฝ่ายพ่อวางหนังสือต่อต้านโทษประหารที่เขียนโดยอนันต์วางบนโต๊ะ

"ลูกของผมให้อ่าน เขาเชื่อมั่นคุณมากนะครับ ได้โปรดเป็นทนายให้ลูกผมด้วยครับ"

ทั้งคู่แทบจะก้มหัวหมอบกราบลงบนโต๊ะ

"ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกโดนโทษประหาร "

"กรุณาด้วยเถอะค่ะ"

ฝ่ายภรรยาเสริม

"เรามีลูกคนเดียว ถ้าเค้าตายล่ะก็ กรุณาเถอะ"

"ขอโทษครับ ผมขอคุยกับเจ้าตัวก่อนละกัน"

อนันต์เข้าไปเยี่ยมชัยยศที่ห้องขังทันที


"คุณทนายมาจริงๆด้วย ผมมั่นใจว่าคุณอนันต์ต้องรับเป็นทนายให้ผมแน่ๆ"

สีหน้าของชัยยศดูมีความหวัง

"ยังไม่ตกลง"

"อะไรกัน"

"มีเรื่องอยากถามนายก่อน คุณใช้แก๊ซฆ่าคนจริงรึเปล่า"

"ถ้าจริงคุณจะเป็นทนายให้มั้ย"

"ถามว่าจริงหรือเปล่า !?"

อนันต์ทำเสียงแข็ง

"จริงครับ คุณทนายช่วยผมด้วยเถอะ ผมยังไม่อยากตาย"

ขัยยศสีหน้าตื่นกลัวสุดขีด

"จุดประสงค์ล่ะ ?"

"เพื่อทดลองครับ"

"ทดลอง ?"

"ผมกำลังทดลองอยู่ บังเอิญได้แก๊ซนั่นมา ผมทดลองกับหนู ปรากฏว่ามันตายหมดภายในไม่ถึงวินาที ผมอยากรู้ว่าแก๊ซแค่นั้นมีฤทธิ์แค่ไหน"

"เหตุผลแค่นั้น ถึงกับฆ่าคนบริสุทธิ์มากมาย !?"

อนันต์ตกตะลึง

"ทำไมคนตายถึงผิดล่ะ ที่ทำหนูตายยังไม่เป็นไรเลย ผมทำเพื่อการทดลองนะครับ ไม่ไร้เหตุผลเกินไปเหรอ"

"นี่พูดจริงหรือนี่ !!"

"นี่คุณทนาย ถึงผมจะมีความผืด แต่ในอนาคตผมอาจจะเป็นอัจฉริยะที่ช่วยโลกก็ได้นะ ถ้าผมตาย อาจเป็นการสูญเสียของมนุษยชาติก็ได้นะครับ มันก็คล้ายๆกับที่คุณทนายเขียนไว้ในหนังสือไง"

"นาย... เคยคิดถึงคนตายบ้างหรือเปล่า"

"ถ้าการทดลองมั่วแต่คิดเรื่องหนู จะทดลองได้อย่างไรล่ะครับ"

ชัยยศพูดด้วยความมั่นใจในความคิดของเขา  อนันต์ตกตะลึงยิ่งกว่ากับความคิดนี้

"ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รับทำ"

"ดะ... เดี๋ยวสิครับ สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดในหนังสือเป็นเรื่องโกหกรึไง ? การรณรงค์ต่อต้านโทษประหารเป็นการเสแสร้งอย่างนั้นเหรอ !?"

อนันต์เดินกลับหลังออกจากห้องทันที แต่มีเสียงของชัยยศตามท้ายมาก่อนที่อนันต์จะเดินพ้นออกจากห้องไป

"คุณเคารพในสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เหรอครับ เป็นทนายที่ต่อต้านโทษประหารไง"

อนันต์เดินจากไป


"หรือว่านายจะรับทำงั้นเรอะ นั่นมันคนที่ฆ่าเมียนายเลยนะ"

ผู้ช่วยของอนันต์ถามเขา จากนั้นอนันต์ไปเยี่ยมลูกสาวที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงปรากฏว่าลูกสาวของเขาตายแล้ว อนันต์ร้องไห้ด้วยความโกรธแค้นสุดขีด ในหัวของเขาวนเวียนถึงชัยยศ คนทีฆ่าครอบครัวของเขาไป ยังนึกไปถึงโจทย์ในคดีก่อนหน้านี้ที่เขาเคยช่วยเหลือฆาตกรให้พ้นโทษคดีประหาร และยังคงคิดถึงอุดมการณ์ของหนักแน่นของเขา แต่ทว่าอนันต์กลับตัดสินใจว่าความให้กลับชัยยศ


ข่าวนี้รู้ถึงชัยยศ เขาดีใจอย่างสุดขีดเมื่อมีความหวังขึ้นมาบ้าง

"เอาแน่รึ คิดอะไรของนายน่ะ"

ผู่ช่วยถาม

"แม่เมียของฉันโดนหมอนั่นมันฆ่าจริงๆ แต่อุดมคติของฉันก็ยังไม่เปลี่ยน ฉันจะเป็นทนายให้หมอนั่นจนหมดความสามารถ"

"ปวดหมองจริงๆโว้ย ไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจคนที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างนาย"


ที่ห้องเยี่ยมนักโทษ

"ผมจะบอกว่าคุณยังไม่รับสารภาพ"

"ครับ"

"และผมก็จะทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าคุณไม่ได้ทำ"

"แนะนำอย่างนี้ดีหรือครับ ??"

"ไม่ดีหรอก แต่ทนายคือพวกของผู้ขอร้อง ไม่ใช่ความยุติธรรม ต้องช่วยปกปิดและแสดงความดีของผู้ขอร้องออกมา"

"แต่เค้ามีหลักฐานนะครับ"

"ช่างประไร ศาลมีหน้าที่ปกป้องคนที่ถูกใส่ร้าย ไม่ใช่เปิดเผยความจริงหรือความถูกต้อง หลักฐานที่ได้มา ถ้าเราแก้ต่างได้ก็ไร้ความหมาย น้ำหนักของหลักฐานแม้มันจะมากขนาดไหน ถ้าทำให้มันเบาลงได้ก็ไม่น่าห่วงอะไร"

อนันต์อธิบายให้ชัยยศเข้าใจ

"เข้าใจรึเปล่า"

"?"

"ถึงจะถูกสงสัยแต่ไม่จำเป็นต้องยอมรับ เพียงแต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเป็นพอ"

สีหน้าของชัยยศแสดงออกถึงความหวัง

"ตราบใดที่ทางโจทย์ชี้ชัดไม่ได้ จำเลยก็จะไม่ผิด ผมจะใช้จุดนี้ปกป้องคุณจากโทษประหาร คุณจะใช้แก๊ซฆ่าคนหรือเปล่าผมไม่สน สิ่งที่จะต่อสู้กันในศาลก็คือทางโจทย์มีหลักฐานยืนยันหรือเปล่าเท่านั้น"

"คุณทนายอนันต์"

ชัยยศยิ้มเริงร่าพร้อมเรียกชื่อฝ่ายตรงข้าม ด้วยท่าทีที่มีความหวัง


อนันต์ถูกนักข่าวรุมล้อม หลังจากรู้กว่าเขารับว่าความให้ชัยยศ

"คุณรับเป็นทนายให้ชัยยศจริงๆหรือคะ หมอนั่นเป็นคนฆ่าทั้งครอบครัวคุณไม่ใช่เรอะ แล้วทำไมถึงไปรับทำล่ะ คุณไม่แค้นฆาตกรบ้างหรือ"

"ตอนนี้ผู้ร้องขอยังไม่ถูกชี้ชัดว่าทำความผิดจริงๆครับ แต่ถึงทำผิดจริงผมจะคัดค้านโทษประหาร ผมจะต่อสู้เพื่อให้เค้าพ้นโทษตาย"


ที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาคุยกับชัยยศ

"อะไรนะ !?"

"แม่ เมียและลูกของเขาตายเพราะแก๊ซพิษของคุณหมด พอขึ้นศาลจะเป็นยังไงบ้างรู้มั้ย เค้าจะเป็นพวกคุณเรอะ"

เมื่อชัยยศได้รู้ความจริงในข้อนี้ เขาก็เริ่มเกิดความวิตก อีกด้านหนึ่ง อนันต์ยังคงนอนฝันร้ายทุกคืนถึงเรื่องการสูญเสียครอบครัวของเขา และเช้าวันต่อมาอนันต์เขาไปเยี่ยมชัยยศที่โรงพัก

"จริงหรือครับ ?"

"ใช่ คุณฆ่าครอบครัวผมตายหมดทั้ง 3 คน"

"แล้วคุณทนายไม่แค้นผมหรือครับ"

"แค้นสิ แต่... ผมต่อต้านโทษประหาร แม้ครอบครัวผมจะตายหมด แต่ผมก็จะไม่เปลี่ยนอุดมคติหรือความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อใจก็เปลี่ยนทนายความใหม่ก็ได้"

"ผมเชื่อ! ผมเชื่อครับ"

ชัยยศร้องตะโกนลั่นในขณะที่อนันต์เดินจากไป


และแล้วก็มาถึงวันที่ชัยยศนั้นต้องขึ้นศาลเพื่อไตร่สวนความผิดจากคณะผู้พืพากษา

"ถึงจำเลยจะปฏิเสธ แต่เรามีรูปถ่ายจากคอนโด ยังไงจำเลยก็ดิ้นไม่หลุดแน่"

ทนายฝ่ายโจทย์พูด

"จริงอยู่ กล้องที่ถ่ายในที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปถุงที่มีแก๊ซพิษไว้ในห้องน้ำกับตัวจำเลยที่ถือถุง แต่นั่นเป็นถุงธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่รึ ไม่มีอะไรยืนยันเป็นพิเศษว่าถุงนั่นใส่แก๊ซพิษไว้ อย่างที่ตำรวจบอก จำเลยอยู่ในคอนโดขณะเกิดเหตุ เนื่องจากไปตรวจค้นที่ห้องทดลองที่มหาวิทยาลัยแล้ว  แถมยังมีความรู้ในการทำแก๊ซพิษอีก ก่อนเกิดเหตุจำเลยได้ผลิตแก๊ซชนิดหนึ่งขึ้นมา แต่สถานะการณ์มันไม่บ่งชี้เกินไปหน่อยหรือครับว่าจำเลยเป็นคนร้าย เรายังตัดสินไม่ได้หรอกว่าจำเลยเป็นคนผลิตแก๊ซแล้วนำไปปล่อยที่คอนโด"

สิ้นสุดการไตร่สวนพิจารณาคดี


ในสำนักงานทนายความของอนันต์

"ทำไมนายมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับงานของเจ้านั่นนะ ทำไมต้องพยายามเพื่อเจ้านั่นด้วย เงินก็ไม่ได้ งานอื่นก็ไม่มีทำ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายสำหรับสำนักงานล่ะ ให้พนักงานคนอื่นลาออก คิดอะไรของนายน่ะ"

"ไม่เป็นไร ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง"

อนันต์โต้ตอบเพื่อนร่วมงาน

"ทำไมต้องช่วยฆาตกรฆ่าครอบครัวตัวเองแบบนี้ด้วย ไม่แค้นหรือไง"

"นี่เป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบมาให้"

"นายจะบ้าหรือไง"

"ฉันไม่มีครอบครัวอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานสร้างอนาคต"

"ทั้งหมดเป็นเพราะมันนั่นแหละ"

"ถึงไม่มีเงินเหลือ ก็อาจเหลือชื่อ"

อนันต์พูดพร้อมรอยยิ้ม

"แต่ฉันทำใจไม่ได้ว่ะ"

เพื่อนร่วมงานเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจในตัวของอนันต์ แต่เขายังไม่ทันจะเดินออกไปอนันต์ส่งเสียงตาม

"พรุ่งนี้ตัดสินแล้วนะ"

"ถึงไม่โดนประหาร ตำรวจก็จะอุธรณ์คดีนี้ยาวแน่ นายจะเป็นทนายให้หมอนั่นจนถึงที่สุดหรือเปล่า"

"อืม..."

อนันต์ตอบรับ ทำให้เพื่อนของเขายิ่งไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

"ไม่อยากเชื่อเลย"


ในที่สุดวันที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาก็มาถึง

"ขอตัดสินว่า จำเลยชัยยศไม่มีความผิด แม้หลักฐานที่ปรากฏในที่เกิดเหตุจะมีมากมาย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะผูกมัด เราจึงยกประโยชน์ให้จำเลย ถือว่าจำเลยไม่มีความผิดในคดีนี้"

เสียงฮือฮาจากผู้เข้าร่วมรับฟังดังลั่นศาล


ในวัดที่ใช้สำหรับฝังร่างครอบครัวของอนันต์

"พอใจแล้วเรอะ ?"

เพื่อนร่วมงานของอนันต์ถาม

"พอใจอย่างมากเลยล่ะ"

"ฉันไม่เข้าใจสักนิด"

อนันต์ยังคงไหว้หลุมศพของครอบครัว


ที่สำนักงานทนายของอนันต์ ในที่สุดชัยยศก็สามารถฉลองความสำเร็จในคดีนี้กับอนันต์ได้

"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะไม่มีความผิด ขอบคุณมากๆนะครับ"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ แตผมทำเพื่ออุดมคติของผมเองต่างหากล่ะ"

อนันต์ตอบแบบยิ้มๆ

"ที่นี่คุณทนายจะดังระเบิดแล้วใช้มั้ย"

ชัยยศพูดแกมล้อ

"มาดื่มกันเถอะ ฉลองชัยชนะของเรา"

"ครับ ขอบคุณครับ"

ชัยยศยกแก้วไวน์เทใส่ปาก

"ว่าแต่ศาลนี่งี่เง่าจังนะครับ ผมฆ่าคนตั้งเยอะยังไม่มีความผิดเลย"

อนันต์อึ้งไปชั่วครู่

"ศาลก็เหมือนคนน่ะแหละ  ไม่ใช่ที่ๆจะชี้สีขาวหรือดำได้อย่างชัดเจน ถ้าแก้ต่างได้ก็ไร้ความผิด ขนาดสีเทาแทบจะดำยังไม่มีความผืดเลย แม้จะทำให้ดำเป็นขาวไม่ได้ แต่ทำให้ดำเป็นเทาได้ง่ายมาก แค่ให้ควันปกคลุมหลักฐานแค่นั้นแหละ"

"คุณทนาย แล้วผมจะได้ค่าเสียหายจากที่ถูกขังบ้างหรือเปล่า"

"แน่นอน ได้วันละ 200 เชียวนะ"

ชัยยศหัวเราะชอบใจ

"ฆ่าคนแล้วยังได้เงินอีก มันดีจริงๆเลย แล้วถ้าเกิดเค้าอุธรณ์ล่ะครับ"

"ไม่ต้องห่วง บางทีตำรวจก็ขี้เกียจเหมือนกันน่ะ"

"จริงหรือครับ"

อนันต์หยิบภาพถ่ายครอบครัวของเขาในกรอบรูป ขึ้นมาวางบนโต๊ะ

และทันใดนั้น ! ชัยยศเกิดอาการแปลกๆเสียการทรงตัววูบลงไปกับพื้น

"อ๊ะ !!"

"ในไวน์มียาบางๆน่ะ"

ชัยยศหน้าถอดสีแสดงความตกใจอย่างสุดขีด มีดพกของทหารถูกดึงออกจากปลอก ไม่รอช้าอนันต์ใช้มีดเข้าไปจี้ที่หน้าของชัยยศ

"บอกแล้วไง ฉันจะปกป้องนายจากโทษประหารก็เพื่อตัวฉันเอง"

"หมายความว่าไง !? ล้อเล่นใช่มั้ยครับ"

"ฉันจะล้างแค้นด้วยมือของฉันเอง"

"อ๊ะ !! คุณทนายต่อต้านโทษประหาร ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะฆ่าคนเพื่อล้างแค้นได้"

"คนบริสุทธิ์มากมายต้องตายเพราะนายโดยไร้ความผิด นายเคยคิดถึงความรู้สึกของครอบครัวเค้าบ้างมั้ย"

ปลายมีแหลมๆจิ้มเข้าในเนื้อที่คอของชัยยศจนเลือดซึมออกมา

"ฉันสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่านายฆ่าครอบครัวของฉัน คำพูดที่พูดแก้ต่างให้นายฉันไม่อยากพูดหรอกเว้ย !!"

อารมณ์ของอนันต์พุ่งสูงขึ้นสุดขีด มีดด้ามนั้นถูกตวัดผ่านเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของชัยยศ ผู้ได้รับฝากบาดแผลดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

"แต่ฉันอยากฆ่านายด้วยมือของฉันเอง ฉันต้องล้างแค้นคนร้ายด้วยมือของฉัน นี่แหละที่ฉันต่อต้านโทษประหาร"

ชัยยศนอนจมกองเลือด เขาหายใจแรงขึ้นๆ

"รู้สึกถึงความกลัวตายรึยังล่ะ"

น้ำตาแห่งความคับแค้นถูกระบายออกมาบนใบหน้าของอนันต์


ในงานปราศรัยการต่อต้านโทษประหารที่ถูกจัดขึ้นในเวลานั้น ผู้บรรยายกล่าวเปิดงาน

"โทษประหารเป็นสิ่งโหดเหี้ยม ดูอย่างคุณทนายอนันต์ยังต่อต้าน ถึงขนาดยอมเป็นทนายให้กับผู้ต้องสงสัยที่ฆ่าครอบครัวตัวเอง"

ผู้คนจำนวนมากที่เข้ามารับฟังคำปราศัยต่างตั้งใจฟัง

"เราจึงควรเผยแพร่แนวความคิดนี้ต่อไป"