เอกภพได้รับโทรศัพท์เชิญจากเพื่อนสนิท
เพื่อไปกินเลี้ยงที่บ้านของทศภาค เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน
ทศภาคบอกกับเอกภพว่าเขาเพิ่งจะออกบิ๊คไบค์คันใหม่มา อยากให้มาร่วมฉลอง
เอกภพรู้ทันทีว่าเพื่อนของเขาอยากจะอวดรถคันใหม่
จึงตอบรับไปแต่ก็ไม่ลืมถามว่าในงานจะมีใครไปบ้าง
ทศภาคบอกว่ามีเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาไปด้วย
และเหล่าบันดาเพื่อนๆของภรรยาของทศภาคนิดหน่อย
เอกภพทำท่าทีลำบากใจเพราะเขาเป็นคนขี้อาย ซึ่งทศภาคก็รู้ดีอยู่แล้ว
"เอาน่าๆ ไม่ต้องกังวลเลยเพื่อน ข้าโทรไปชวนไอ้ยศกับไอ้ฉิมไว้แล้ว
ถ้าแกมาก็มานั่งรวมกลุ่มด้วยกันกับสองคนนั่นก็ได้ งานนี้ฟรีตลอดงาน"
"อ่อ งั้นก็โอเคเพื่อน คืนพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านแกห้าโมงเย็น
อยากไปดูนักว่ารถคันใหม่แกจะสวยงามขนาดไหนกัน"
ก่อนถึงตอนเย็นในวันถัดมา
เอกภพแวะจอดรถที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง เพื่อหาซื้อผลไม้จากต่างประเทศราคาแพง
เพื่อนำไปร่วมงานกินเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนรัก แม้ทศภาคจะเอ่ยปากว่า 'งานนี้ฟรีตลอดงาน' แต่เอกภพก็หาซื้อของกินเล็กๆน้อยๆเพื่อนำไปสมทบในงาน
เขาใช้เวลานานในการเดินเลือกซื้อผลไม้อย่างพิถีพิถัน
เพราะนิสัยเอกภพเป็นคนที่รอบครอบและละเอียดถี่ถ้วนอยู่แล้ว
เมื่อเขาเลือกผลไม้เสร็จแล้ว จึงนำผลไม้ไปคิดเงินที่แคชเชียร์
เอกภพหยิบแบงค์หนึ่งพันจ่ายให้พนักงาน โดยมีเศษเหรียญไม่มากนักทอนคืนมา
เขาเก็บเงินเหล่านั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับมันออกไปยังบ้านของทศภาค
ซึ่งเวลาที่รถของเอกภพมาถึงนั้นใกล้เคียงกับเวลานัดหมายเกือบจะพอดี
"เฮ่! หวัดดีๆ เป็นยังไงบ้างเพื่อน เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยอมเสียเวลามา"
"เฮ้ย... แกก็พูดเกินไป มาเที่ยวหาเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว
มาเสียเวลาอะไรกัน เอ้านี่! ข้าซื้อผลไม้มาด้วย"
"ขอบคุณมากเพื่อน ไม่น่าจะต้องลำบากหิ้วอะไรมา เข้าไปในบ้านกันก่อน
เดี๋ยวซักพักไอ้ยศกับไอ้ฉิมจะตามมา เห็นบอกว่ารถติดอยู่"
เอกภพเดินตามทศภาคเข้าไปในห้องรับแขก
ซึ่งในนั้นมีกลุ่มเพื่อนที่ทำงานของทศภาคอยู่ก่อนแล้ว 4 คน
ทั้งเอกภพและกลุ่มเพื่อนของทศภาคต่างทักทายกันตามมารยาท
ทศภาคแนะนำเพื่อนๆจากที่ทำงานของเขาให้เอกภพ ซึ่งเพื่อนๆกลุ่มนี้ประกอบด้วย
ดนัย
เพื่อนรุ่นพี่ ท่าทางสุขุม นิ่งเงียบ อายุมากกว่าทศภาคไม่มากนัก
สุรศัก
เป็นเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับทศภาค และเอกภพ
ลักษณะท่าทางดูเหมือนกับเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบพูดเสียงดัง พูดมาก
เมธี
รุ่นน้องของทศภาค หนุ่มหน้าตี๋ แต่งตัวสุภาพและท่าทางดูนอบน้อม
และมยุรี
แฟนสาวของสุรศัก ดูท่าทางจะสนิทสนมกับทศภาคอยู่เหมือนกัน
สุรศักคงพาออกงานบ่อยจนคุ้นชินกับทศภาค ลักษณะนิสัยของมยุรีคงไม่ต่างจากสุรศักมากนัก
เอกภพแนะนำตัวเองให้คนอื่นๆฟัง
หลังจากทักทายกับเรียบร้อยแล้ว
ทศภาคจึงเชิญเพื่อนๆทุกคนให้เดินไปที่สวนหญ้าหลังบ้าน
ที่นั่นมีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ มันถูกคลุมด้วยผ้าไนลอนอย่างดีคลุมไว้
ทศภาคค่อยๆถกผ้าคลุมรถออกมาอย่างเบามือ เมื่อผ้าคลุมรถถูกถอดออกจากตัวรถ
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนคือ รถสปอร์ทยี่ห้อดังจากยุโรป สีตัวถังและเฟรมเป็นสีแดง
เครื่องยนต์ตัวรถที่ถูกปิดบังไม่มิดจากเฟรมรถ
เผยให้เห็นถึงขุมพลังมหาศาลที่พร้อมจะระเบิดพลังออกมา หากมันถูกจุด
ความสวยงามเย้ายวนนี้คงคล้ายกับสาวสวยหุ่มเซ็กซี่
ที่ห่มคลุมเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ปกปิดไม่มิดถึงสัดส่วนข้างใน
คอยแต่ให้เหล่าชายหนุ่มจ้องมองลงบนเนื้อผ้า
และได้แต่เฝ้าจินตนาการถึงสิ่งที่ผ้านั้นปกคลุมเอาไว้
โดยมีแต่เนินเนื้อบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ทางตา
ความเย้ายวนชวนลุ่มหลงนี้ทำให้เหล่าชายหนุ่มที่จ้องมองมันนั้น
ต่างก็อยากจะควบขี่และพุ่งทะยานไปกับสิ่งนี้
ไม่ต่างกันกับบิ๊คไบค์คันโตนี้
ที่ทั้งเอกภพ ดนัย สุรศักและเมธี ต่างก็อยากลองขี่ลองควบมันยิ่งนัก
แม้แต่ทศภาคเองที่เห็นมันก็เกิดอาการคันไม้คันมืออยากจะเอามันออกมาขี่อีกครั้ง
แต่ด้วยความที่ยังเป็นมือใหม่ ยังขับขี่ไม่คล่อง และกลัวจะทำรถล้มต่อหน้าเพื่อนๆ
ทำให้ทศภาคต้องเก็บอารมณ์นั้นไว้ก่อน
สายตาของทุกคนยังจับจ้องอยู่ที่ห้องเครื่องรถ
ทันใดนั้นก็มีมือของสุรศักเข้าไปลูบๆคลำๆที่ถังน้ำมันรถ
ทศภาครีบเดินเข้าไปพร้อมทำท่าจะเอาผ้าคลุมรถ นำมาคลุมหลวมๆไว้บนตัวรถ
จนสุรศักต้องรีบถอยมือออกไป ทุกคนจ้องมองการกระทำของสุรศัก
รวมทั้งทศภาคที่มองรอยคราบมันจากมือของสุรศัก ที่ทิ้งรอยไว้บนตัวถังรถ
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เป็นประจำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ผ้าเช็ดหน้าถูกถูขัดลงบนร่องรอยนั้นทันที
จนกระทั่งความเงางามไร้ที่ติของตัวรถกลับมาอีกครั้ง
ทศภาคทำทีจะคลุมผ้าแต่ด้วยความกลัวว่าจะถูกหาว่า 'ขี้หวง' จึงพับผ้าคลุมรถเก็บไว้
ปล่อยให้เหล่าเพื่อนๆสามารถใข้สายตาแทะโลมรถของเขาได้เท่านั้น
ทศภาคคิดว่าคงไม่มีใครกล้ามาแตะรถคันนี้อีก
เพราะเขาได้แสดงท่าทีเมื่อสักครู่ออกไปแล้ว
ทุกคนคงจะรู้กันแล้วว่าเขาไม่อยากให้ใครมาแตะรถ แม้ทศภาคจะไม่ได้พูดคำนั้นออกมาตรงๆ
"ทุกท่านครับ เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อเครื่องดื่มที่หน้าปากซอยซักหน่อยครับ"
"จะขี่เจ้าคันนี้ไปหรือครับ พี่ทศ"
สุรศักรีบถามอย่างตื่นเต้น
เขาคงอยากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถ
"ไม่หรอก พี่ยังขับมันไม่คล่องเลย เดี๋ยวเอามอไซค์คันเล็กไปก็พอแล้ว"
พูดจบทศภาคก็เดินไปยังหน้าบ้าน
เพื่อที่จะควบรถคันเล็กออกไปหน้าปากซอย
ยังไม่ทันที่ทศภาคจะเดินพ้นออกไปยังหน้าบ้าน
สุรศักก็เอามือทั้งสองข้างไปจับที่แฮนด์รถ พร้อมทำท่าบิดคันเร่งที่มือขวา
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจถึงการกะทำนี้ ทั้งเอกภพ ดนัยและเมธี
ต่างรีบหันไปมองทศภาคที่เดินออกไป
โชคยังดีที่ทศภาคเดินออกไปแล้วจึงไม่เห็นสิ่งที่สุรศักทำ
มีเพียงแต่มยุรีที่ยิมหัวเราะชอบใจกับสุรศัก
และยังเตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปด้วย
"พี่สักลองขึ้นไปนั่งควบบนรถเลย เดี๋ยวน้องจะถ่ายรูป"
มยุรีรีบพูดอย่างตื่นเต้น
จนดนัยรุ่นพี่ต้องรีบมาฉุดมือของสุรศักให้เข้าไปในบ้าน
ทันเวลาก่อนที่สุรศักจะกระโดดขึ้นควบรถ
ทั้ง 5 คนนั่งรวมกันอยู่ในห้อง
คนอื่นๆนอกจากเอกภพนั่งคุยกันพร้อมกินอาหารว่าง เอกภพนั้นนั่งดูข่าวสารบนจอทีวี
เวลาผ่านไปชั่วครู่ ต่างคนก็ต่างไปทำธุระส่วนตัวบ้าง ออกไปเดินเล่นหน้าบ้านบ้าง
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาทีทุกคนก็กลับมารวมตัวกันในบ้านอีกครั้ง
เพราะว่าฝนเทลงมาจากบนฟากฟ้าอย่างหนัก โดยที่ไม่มีทีท่ามาก่อน
สุขใจ
ภรรยาของทศภาคเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมจานอาหารของกินเรียกน้ำย่อย
สุขใจยิ้มแย้มทักทายทุกคน เนื่องจากเธอรู้จักกับทุกคนอยู่แล้ว
"นั่งกินออร์เดิร์ฟกันไปก่อนนะคะ
เมื่อกี๊นี้พี่ทศโทรมาบอกว่าเขาปิดฝนอยู่ที่ร้านหน้าปากซอย รอฝนหยุดก่อน
แต่ฝนตกหนักแรงขนาดนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หยุดแล้วล่ะ เอ๊ะ!
ลืมไปว่าตากผ้าไว้ที่สวนหลังบ้าน เดี๋ยวขอตัวไปเก็บผ้าก่อนนะ"
สุขใจเดินลับหายไปหลังบ้าน
ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร
เพื่อไปลิ้มลองอาหารจานเด็ด ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องจากสุขใจ
ดังขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน
"ว้าย! รถมอเตอร์ไซค์ล้ม"
ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกตกใจรีบวิ่งกันไปที่สวนหลังบ้าน
เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนคือ
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ล้มลงไปนอนกับพื้น เอกภพ ดนัย สุรศัก
เมธีและมยุรีแสดงสีหน้าซีดเผือด ต่างมองหน้ากันอย่างร้อนรน
สุขใจถามทุกคนว่ามีใครได้มาทำอะไรกับรถหรือไม่
"ไม่มีนะครับ หลังจากที่พวกเราเดินมาดูรถพร้อมกับทศภาค
เราก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก ไม่มีใครเดินออกมาที่สวนนี่อีกเลย"
ดนัย
ในฐานะที่เป็นผู้อวุโสที่สุด ให้ปากคำเป็นคนแรก
และเพื่อช่วยลดความตรึงเครียดของเหตุการณ์ในขณะนั้นลงไปได้บ้าง เมื่อได้ยินดังนั้น
สีหน้าสุขใจจึงคลายความตระหนกลงไปได้มาก
"อืม... ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปรอพี่ทศในบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ
ให้พี่ทศกลับมาก่อนค่อยว่ากัน"
สุขใจพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปและตรงไปยังห้องครัว
เพื่อเตรียมอาหารชิ้นถัดไป ทั้ง 5 คนก็ทยอยเดินกลับไปที่ห้องรับแขกอีกครั้ง
จานอาหารที่ก่อนหน้านี้โดนรุมหยิบชิ้นอาหาร ตอนนี้ไม่มีใครสักคนที่จะมีอารมณ์ไปกิน
"สัก แกไปคร่อมรถเค้าล้มหรือเปล่าวะ รถแบบนั้นน้ำหนักมันเยอะ
คนที่ไม่เคยขี่จะรับน้ำหนักไม่ไหวหรอก"
ดนัยหันหน้าไปทางสุรศักพร้อมเอ่ยปากถาม
"ผะๆผมเปล่านะพี่ เมื่อกี๊นี้ผมแค่ลองจับแฮนด์ดูเฉยๆ
ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันไง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปที่รถอีกเลย"
สุรศักรีบปฏิเสธทันควัน
พร้อมหันไปมองหน้ามยุรีด้วยความร้อนใจ แต่ท่าทีของเขานั้นมีพิรุธจนง่ายที่จะสังเกต
"หลังจากที่เราเดินกลับเข้ามาจากสวนหลังบ้าน ผมก็อยู่กับพี่ตลอดไง
ผมไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถอีกเลย"
สุรศักยังคงหาพยานเพื่อรับรองตัวเอง
"ไม่นะครับ จำได้มั้ยช่วงที่เรากินอาหารว่างกันเสร็จ พวกเราทั้งพี่ดนัย
พี่สักพี่มยุรี คุณเอกภพและตัวผมเองก็แยกย้ายกันเดินออกไป
ไม่มีใครรับรองใครได้ว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่สวนหลังบ้านเลยนะครับ"
เมธีพูดเพื่อตั้งข้อสังเกต
ทำนองว่าต้องมีใครสักคนในกลุ่มนี้ ที่ไปทำรถล้มที่สวนหลังบ้าน
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครสารภาพ เอกภพชิงพูดขึ้นทันที
"ใช่ครับ น้องเมธีพูดถูก หลังจากที่ผมกินอาหารว่างเสร็จ
ผมเดินออกไปดูดบุหรี่หน้าบ้าน แต่ดูดยังไม่ทันถึงครึ่งตัวเลย
ฝนก็ตกไล่เข้ามาในบ้านก่อน เสื้อผ้าผมยังเปียกเม็ดฝนอยู่เลย"
เอกภพพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นตระหนก
แต่คนที่รู้สึกจะรนรานกว่าใครเพื่อนคือสุรศักก็ซักถามทันควันเช่นกัน
"แล้วมีใครยืนยันได้มั้ยว่าพี่เดินออกไปหน้าบ้าน ไม่ใช่สวนหลังบ้าน"
"ไม่มีครับ ผมเดินออกจากตัวบ้านก็เดินออกนอกรั้วบ้านไปเลย
ไม่ได้วกอ้อมตัวบ้านไปที่สวนข้างหลัง"
"แล้วแกล่ะเมธี ช่วงเวลานั้นแกหายไปไหน?"
สุรศักยังพยายามถามหาคนที่ย้อนกลับไปสวนหลังบ้าน
และทำรถล้ม
"ผมเหรอ ผมเดินไปเข้าห้องน้ำ หลังจากกินของว่างผมรู้สึกปวดท้อง
เลยไปนั่งในห้องน้ำ"
"มีใครยืนยันได้มั้ย?"
สุรศักยังไม่เลิกทำตัวเป็นนักสืบ
"ไม่มีครับ"
ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก
ยังคงไหลลงมาจากฟ้าเหมือนก็อกน้ำที่ถูกขันเปิดจนสุด
แต่ข้างในไม่มีใครสนใจเสียงเม็ดฝนตกกระทบต้นไม้ใบหญ้า พื้นถนนและตัวบ้านเลย
ยังคงคุยกันเรื่องรถล้มอยู่ต่อไป เอกภพเสนอความเห็นขึ้นมาเพื่อให้จบปัญหา
"ไม่เป็นไรๆ ยังไงก็ต้องเป็นหนึ่งในพวกเราอยู่แล้วที่เป็นคนทำให้รถล้ม
แล้วเรื่องมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก ก็แค่รถล้ม พวกเราก็ช่วยกันรับผิดชอบละกัน
แต่อุปกรณ์ของรถยี่ห้อนี้แพงมาก เอาเป็นว่าค่าซ่อมหาร 5 ละกันตามจำนวนคนที่อยู่ที่นี่"
"ก็ดีนะครับคุณเอก พวกเราก็ไม่อยากให้มีปัญหาคาราคาซัง"
ดนัยเห็นด้วยกับความคิดนี้
"แล้วแกล่ะว่ายังไง สักกับเม"
ดนัยถามความเห็นจากรุ่นน้องทั้งสองคน
ทั้งสองคนต่างพยักหน้า
"งั้นตกลงครับ งั้นเอาตามนั้นละกัน
ถ้าเจ้าทศกลับมาเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปพูดกับเขาเรื่องนี้เอง"
เอกภพย้ำข้อเสนอกับทุกคนที่อยู่ในห้อง
และคนอื่นๆก็แสดงท่าทียอมรับอย่างไม่มีใครคัดค้าน
"งั้นก็ตามนี้นะครับ
เดี๋ยวผมขอตัวออกไปนั่งดูดบุหรี่ตรงม้านั่งข้างๆบ้านก่อน"
เอกภพพูดเสร็จก็เดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน
ก่อนจะเดินเลี้ยวตรงไปยังชุดโต๊ะหินที่มีเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะกลม
เขาหย่อนก้นลงไปนั่งสักครู่ และหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ทันที่จะตอกมวนบุหรี่ออกมาจากซองพ้น
ดนัยก็ค่อยๆเดินมาตามทิศทางเดียวกับที่เอกภพเดินมาก่อนหน้านี้
ดนัยหย่อนก้นลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
ก่อนจะพูดคำสารภาพออกมาจากปาก
"คุณเอกครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย เมื่อสักครู่นี้ผมรู้สึกไม่สบายใจมาก
แต่คุณเอกคงดูไม่ออกหรอกครับ คือว่าตอนที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะไปทำรถล้มนั้น
ผมต้องขอสารภาพว่าเป็นผมเอง ที่แอบไปขึ้นคร่อมรถคันนั้นก่อนที่ฝนจะตกลงมา
แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้มหรือเปล่า
เพราะตอนที่ผมเดินออกมารถมันก็ยังคงตั้งอยู่ดี ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้มลงเลย คือคุณเอกก็คงเข้าใจนะครับว่า
ลูกผู้ชายอย่างเราๆต่างก็ชอบรถสปอร์ทคันใหญ่ๆแบบนี้กันทั้งนั้น
ผมก็แค่คิดว่าขอได้ลองสัมผัสสักครั้งในชีวิตก็พอแล้ว
ชาตินี้คงไม่มีปัญญาที่จะไปหามาขี่ได้หรอกครับ"
เอกภพรับฟังทุกถ้อยคำจากปากของดนัยหมดสิ้น
แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าใดๆออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น
ได้เพียงแต่กล่าวประโยคสั้นๆกับดนัยว่า
"ผมเข้าใจความรู้สึกคุณครับคุณดนัย
เรื่องที่คุณเล่าให้ผมฟังนั้นไม่ต้องกังวลใจใดๆไปเลยครับ
ผมคิดว่าคุณดนัยคงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้รถล้มหรอกครับ
และที่สำคัญพวกเราก็สามารถหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย"
"อ่อครับ ผมต้องขอบคุณอีกครั้งสำหรับทางออกที่คุณเอกเป็นคนเสนอ
ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ
ไม่รบกวนเวลาสูบบุหรี่ดีกว่า"
ดนัยเดินจากไปอย่างไร้ความกังวล
โดยมีสายตาของเอกภพจับตามองจนดนัยเดินลับสายตา เอกภพก้มหน้าลงไปที่ซองบุหรี่ พยายามเคาะมวนบุหรี่ออกมาจากซอง
เอกภพก้มหน้าอีกครั้งเพื่อควานหาไฟแช็ค เขาล้วงดูทั้งกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง
กระเป๋ากางเกงซ้ายขวาแต่ก็ยังไม่เจอ พอเอกภาพจะพยายามลองหาอีกรอบ
ทันใดนั้นสุรศักก็เดินย่องเข้ามานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ดนัยเพิ่งจะลุกไป
"เอ่อ! พี่เอกครับ ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ มีเรื่องอยากจะคุยด้วย"
เอกภพเงยหน้ามาเพื่อมองดูคู่สนทนา
ตอนนี้มือเขาก็ยังควานหาไฟแช็คยังไม่เจอ ทั้งๆที่บุหรี่คาอยู่ที่ปากแล้ว
เอกภพยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นนัยว่าตอบรับที่จะพูดคุยกับสุรศัก
ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนนั้นออกจากปากและวางมันลงบนซองบุหรี่
"พี่เอกครับ คือว่าเมื่อกี๊นี้ที่เราคุยกันเรื่องรถล้มนั้น
คือว่าผมโกหกทุกคนไปอย่างหนึ่ง ที่ผมบอกว่าไม่ได้ย้อนกลับไปที่รถนั้น
ความจริงผมแอบกลับไปลองขึ้นคร่อมรถคันนั้นมา
แต่ผมไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นๆรู้ เพราะกลัวจะถูกหาว่าเป็นคนทำรถล้ม
แต่ว่าตอนที่ผมเดินออกมาจากที่รถ มันยังอยู่เหมือนเดิม"
สุรศักยังคงทำหน้าหงอย
เมื่อเอกภพเห็นดังนั้นจึงพูดปลอบใจ
"สาเหตุที่รถล้มคงไม่ใช่เธอหรอกนะ เราอย่าไปสนใจเลยว่ารถมันจะล้มได้อย่างไร
เดี๋ยวถ้าทศภาพกลับมาแล้วพี่จะไปคุยกับมันเอง น้องไม่ต้องเป็นกังวลนะ"
สุรศักยิ้มออกมาอย่างคลายกังวล
เขาก้มหัวขอบคุณเอกภพก่อนที่เอกภพจะก้มรับเล็กน้อย สุรศักเดินจากไปจนลับสายตา
เอกภพกำลังจะเอื้อมมือไปควานหาไฟแช็คอีกครั้ง
แต่สายตาก็ไปสะดุดอยู่ใต้ซองบุหรี่ที่นอนทับไฟแช๊คอยู่
เขาคีบบุหรี่ที่อยู่บนซองมาคาบไว้ในปากก่อน และค่อยๆยอซองบุหรี่ออกไปเพื่อให้สามารหยิบไฟแช็คได้
เอกภพหยิบไฟแช็คราคา 5 บาทขึ้นมาจุดไฟอยู่หลายรอบ
แต่ไฟไม่ติดสักที
'สงสัยไฟแช็คคงโดนละอองฝนที่สาดเข้ามา' เอกภพคิดในใจก่อนจะลองจุดอีกหลายครั้ง
แต่ก็ยังไม่เป็นผลสักที
เริ่มมีประกายไฟเล็กๆแสดงว่าไฟใกล้จะติดแล้ว
เอกภพคิดว่าลองจุดอีกครั้งต้องติดแน่ๆ และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้
ไฟลุกเป็นเส้นขึ้นมาจากปากไฟแช็ค
แต่เอกภพต้องปล่อยนิ้วมือที่กดปล่อยแก๊ซจากไฟแช็คทันที
ที่มีเสียงพูดจากคนที่เดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ที่ดนัยและสุรศักนั่งก่อนหน้านี้
เมธีนั่นเอง! เอกภพเงยหน้ามอง
"เอ่อ... พี่ครับ ขอเวลาพี่เดี๋ยวนึงได้มั้ยครับ"
เมธีจ้องหน้าเอกภพตาไม่กระพริบ
จนเอกภพต้องยิ้มที่มุมปากเป็นสัญญาณตอบรับให้เมธีเริ่มพูดอะไรบางอย่าง
"คือผมขอพูดตรงๆนะครับ ผมคิดว่าผมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถล้ม ในตอนที่เราคุยกันอยู่ในบ้าน
ผมบอกว่าผมเข้าห้องน้ำใช่มั้ยครับ แต่หลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำ
ผมอยากจะดูรถอีกครั้งว่ามันงามแค่ไหน เลยแอบเดินมา กะว่าจะแค่มาด้อมๆมองๆเฉยๆ
แต่พอเห็นมันแล้ว เหมือนกับผมถูกสะกดจิตให้ไปลองสัมผัสมันเลย ผมเลยลองขึ้นนั่งบนรถ
ผมไม่คิดเลยว่ามันจะสามารถล้มได้"
สายตาเจ้าของเสียงก้มมองต่ำลงเหมือนขอความเห็นใจ
เอกภพรีบพูดปลอบใจก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะมีน้ำไหลซึมออกมา
"คงไม่หรอกน้องเม แค่ขึ้นไปคร่อมรถแค่นั้นเองคงไม่ทำให้รถล้มลงมาได้หรอก
เอาน่าๆ ยังไงซะเราก็หาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วล่ะ ทำใจให้สบายนะ"
สายฝนหยุดไหลรินทันใด
คล้ายใครบางคนเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ
ฟ้าหลังฝนยามใกล้ค่ำคล้ายสงครามที่รบรากันเสร็จสิ้นแล้ว
เหลือแต่เพียงร่องรอยของสายฝนที่ยังเปียกปอนพื้นถนน ต้นไม้และบ้านเรือน
เมธียิ้มขอบคุณและลุกขึ้นเดินจากไป พร้อมด้วยสายตาของเอกภพที่จ้องมอง
พลันนึกในใจว่าคงได้สูบบุหรี่มวนนี้ซักที
เขาค่อยเดินออกไปให้พ้นหลังคาพร้อมหยิบบุหรี่มวนนั้นและไฟแช็คไปด้วย
เอกภพเตรียมทำท่าจุดบุหรี่
แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักงันเมือเห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์คันที่ทศภาพขี่ออกไปกลับเข้ามา
และแล้วเอกภพก็ต้องเก็บมวนบุหรี่สอดลงไปในซองเหมือนที่มันเคยอยู่
เอกภพเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปรอทศภาค
ซึ่งกำลังจอดรถพร้อมลังเบียร์ที่ผูกติดกับเบาะรถ
ในขณะที่คนอื่นๆต่างนั่งรอในห้องรับแขก
และภรรยาของทศภาคที่ทะยอยยกจานของกินออกมาจากครัวเรื่อยๆ
เธอทำหน้าที่ของเธอตามปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
"ทศ รถแกล้มว่ะ"
เอกภพพูดออกไปตรงๆโดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อมใดๆ
ผู้รับฟังทำสีหน้าตกใจรีบก้าวขาออกจากรถ โดยไม่สนใจลังเครื่องดื่มที่ห้อยติดรถไว้
ทศภาครีบก้าวเดินไปยังสวนหลังบ้าน โดยมีเอกภาพก้าวเดินตามไปไม่ห่าง
ระหว่างทางไปสวนหลังบ้านต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่ทั้ง
ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีนั่งอยู่
ทุกคนในห้องทำสีหน้าตกใจที่เห็นทศภาคเดินผ่านอย่างเร่งรีบเพื่อไปที่รถ
เอกภาพเดินมาและสบตากับทุกคนเป็นนัยว่าให้ใจเย็นๆไม่ต้องตกใจไป
และแล้วภาพของรถสปอร์ทคันโต
สีแดงเพลิงที่ลงไปนอนคลุกกับโคลนก็ปรากฏต่อสายตาของเจ้าของ รถราคาคันละเกือบสองล้านบาท
สภาพตอนนี้ดูแล้วน่าหดหู่ใจยิ่งนักที่ถูกคราบโคลนและทรายเปรอะเปื้อนบดบังความงามไว้บางส่วน
เอกภาพจ้องหน้าของทศภาคที่ทำสายตาแข็งจ้องมองดูที่รถของเขา
ยังไม่มีสัญญาณใดๆปรากฏว่าความรู้สึกของทศภาคเป็นอย่างไรในตอนนี้
เพราะหน้าเขายังคงนิ่งเรียบไว้ไม่ให้ใครเดาออก
ไม่นานทุกๆคนที่อยู่ในบ้านก็ต่างทยอยเดินกันออกมา
ทุกคนที่อยู่หลังบ้านนอกจากตัวทศภาคเองแล้วต่างมองหน้ากัน
แต่ก็ยังไม่มีใครพูดจาอะไรที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เบาบางลงได้
เอกภาพนึกถึงภาพตอนที่ทศภาคไม่ยอมให้เมธีแม้แต่จะมาลูบๆคลำๆ แต่ตอนนี้รถคันนั้นยิ่งกว่าโดนลูบคลำอีก
สภาพจิตใจของทศภาคคงจะรู้สึกช็อคไปอย่างมาก
บรรยากาศแห่งความนิ่งเงียบ
แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่มันเหมือนกับผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ
เอกภาพพยายามที่จะเปิดปากเพื่อพูดในสิ่งที่เขาพยายามจะพูด
แต่ความนิ่งเงียบเวลานี้มันสะกดกล้ามเนื้อขากรรไกรของเขาไว้ให้หยุดนิ่ง
แต่ทันใดนั้น! เสียงหัวเราะของใครบางคนก็ดังลั่นขึ้นทำลายบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนี้
เอกภาพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีต่างทำหน้าตกใจปนสงสัย
เป็นทศภาคนั่นเองที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นนั่นออกมา
เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนกับหัวเราะเยาะตัวเองยังดังไม่ขาด
เมื่อสิ้นเสียงนั้นลงทศภาคพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บใจว่า
"ว่าแล้วเชียวว่ารถต้องล้ม เอาออกมาจอดกลางพื้นดินแล้วฝนตกหนัก
ทำให้ดินทรุด ด้วยน้ำหนักของรถที่มากจึงทำให้ขาตั้งรถจมลงไปในดิน รถเลยล้ม
ข้าสะเพร่าเองที่ลืมลากไปจอดตรงพื้นปูน
แต่ฝนบ้านี้ก็ดันมาตกโดยไม่มีทีท่าบอกมาก่อน"
ทุกคนมองหน้ากันอีกครั้งแต่คราวนี้ความกังวลในใจหายไปสิ้น
เอาภพถามด้วยความเป็นห่วง
"แล้วรถแกไม่เป็นอะไรเลยรึ?"
"ไม่เป็นไรหรอก รถข้าติดกันล้มไว้แล้วทุกจุด ที่ตัวเครื่อง
ปลายแฮนด์และล้อหลัง เดี๋ยวพรุ่งนี้พอพื้นแห้งค่อยให้คนมาช่วยยกมันขึ้น
พวกเราเข้าไปนั่งกินอาหารกันในบ้านดีกว่า ซื้อเบียร์มาแล้วลังนึง"
ทุกคนเดินเข้าไปในตัวบ้าน
อาหารถูกยกออกมาจากครัวเป็นจานสุดท้าย เครื่องดื่มถูกเปิดและแจกจ่ายให้กับทุกคน
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นทศภาค เอกภพ ดนัย สุรศัก เมธี มยุรีและภรรยาของเอกภพ
ต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องรถกันอีกแล้ว
คาราโอเกะถูกเปิดและถูกบางคนร้องอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปไม่นาน
เอกภพเริ่มเมาได้ที่ เขาเดินออกจากตัวบ้านไปยังม้านั่งเมื่อสักครู่
ที่พยายามจะสูบบุหรี่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
คราวนี้เอกภพสามารถหยิบมวนบุหรี่ออกมาและจุดมันสูบได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้บรรยากาศเริ่มค่ำแล้ว ดวงจันทร์ในฟ้าหลังฝนมองเห็นได้ชัดเจน ไร้เมฆบดบัง
ควันบุหรี่ถูกพ่นออกจากปากของเอกภพ กลุ่มควันล่องลอยรวมเข้ากับแสงจันทร์เต็มดวงโต
เหมือนความคิดของเอกภพตอนนี้ที่รู้สึกโล่งสบายเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออไปจากภายใต้จิตใจ
เอกภพหยิบมือถือสมาร์ทโฟนขึ้นมา
เขาเปิดดูคลิปวีดีโอล่าสุดที่เพิ่งถูกถ่าย ในภาพหน้าจอปรากฏเป็นภาพของตัวเอกภพเอง
ที่ใช้มือซ้ายยื่นมือออกไปถ่ายตัวเขาเอง นั่งควบอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ Ducati
panigale 1199 s เขาพยายามเอื้อมมือข้างซ้ายขยับออกไปเพื่อให้ถ่ายวีดีโอได้เต็มตัวรถ
แต่พื้นดินที่อ่อนตัวอยู่แล้ว และน้ำหนักรถที่เริ่มเซจากตัวของเอกภพ
ทำให้รถล้มและตัวของเอกภาพกระเด็นออกไป
เอกภพดูคลิปวีดีโอถึงตอนที่รถล้ม
เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ
"ขอบคุณนะเจ้าฝน ที่ทำให้ข้าไม่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้รถล้ม
เกือบไปแน่ะ"
สักพักยศและฉิมก็เดินทางมาถึงบ้านของทศภาค
ในคืนนั้นทุกคนต่างเมามายกันอย่างมีความสุข