วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

100เหตุผล


“สุชล น้องแป้งเขาอยากออกเดทกับนายน่ะ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ น้องเขาแอบชอบนายมานานแล้วนะ” พี่สุภาพเอ่ยทักทายผม เมื่อผมเดินผ่านประตูร้านสะดวกซื้อเข้ามา วันนี้ผมจะมาเข้ากะต่อจากพี่สุภาพครับ แต่ผมต้องมาล่วงหน้าประมาณ 10 นาทีเพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสอบยอดเงิน

 “โธ่พี่ แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าแป้งเขาชอบผม” ผมเก็บกระเป๋าและเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คตัวเลข

“พวกผู้หญิงเขาพูดกันจนรู้กันหมดทั้งร้านแล้ว แกก็น่าจะรู้แต่แกล้งไม่รู้มากกว่า” พี่สุภาพพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาเตรียมตัวเก็บของเพื่อออกจานงานกะดึกไป

“นี่ฉันจะขอเตือนนายไว้อย่างนะ นายก็ไม่ใช่จะอายุน้อยๆแล้ว รีบหาคู่ซะ เดี๋ยวแก่ไปจะได้อยู่คนเดียว ชีวิตนี้มันเหงานัก แต่งงานมีลูกมีเมียเหมือนคนอื่นบ้าง”

“โธ่พี่ ผมยังไม่พร้อม เงินเดือนพนักงานแคชเชียร์อย่างเราจะไปพอเลี้ยงใครได้” ผมยังบ่นตัดพ้อกับพี่สุภาพ

“แล้วยังไง ดูข้าสิ เงินเดือนก็พอๆกันแต่ข้าก็ลูกสองแล้วนะโว้ย อย่าทำเป็นข้ออ้างเยอะไปหน่อยเลยน่า ยังไงก็ลองคิดดูนะ ข้าไปล่ะ” พี่สุภาพพูดเสร็จก็เดินออกจากร้านไป

สิ่งที่พี่สุภาพพูดนั้นก็ถูกนะครับ เพื่อนๆผมที่เรียนจบมาพร้อมกันก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปเกือบจะหมดแล้ว แต่ที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้เพราะผมยังคิดว่าตัวเองไม่พร้อมนี่สิ ชีวิตของผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลย เงินเก็บก็ไม่มีเพราะเงินเดือนที่ได้ก็แบ่งใช้จ่ายกับทางบ้านหมด รถยนต์สักคันก็ไม่ มีแต่มอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ  บ้านช่องห้องหับก็ไม่พร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่ๆเพิ่มเข้ามา ถ้าจะให้ไปซื้อบ้านใหม่เหรอ อันนั้นยิ่งหมดหวังเข้าไปใหญ่

ความจริงแล้วผมรู้ตัวเองดีครับว่าผมชอบน้องแป้ง เธอน่ารักและนิสัยดี เธอยังไม่มีแฟน และผมก็ยังรู้ดีอีกด้วยว่าน้องเขาก็รอผมอยู่ แต่ตัวผมก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทุกครั้งที่ความคิดเริ่มจะคล้อยไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีต่อแป้ง ผมจะคิดก่อนเสมอว่า ผมพร้อมหรือยัง หมายถึงพร้อมในเรื่องการเงินที่จะสามารถดูแลแป้งได้ แค่เมื่อคิดว่ายังไม่พร้อม ผมก็หยุดความคิดที่จะคบกับแป้งเป็นแฟนไป

เวรของพนักงานที่นี่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามตารางของผู้จัดการจะจัดให้ มีหลายครั้งที่ผมกับแป้งต้องมาจับคู่กัน ความจริงแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองชอบ แต่ด้วยเหตุผลที่ผมบอกไปว่าผมนั้นยังไม่พร้อมที่จะคบใคร ผมจึงแสดงออกเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานกับแป้งตลอดเวลา จนเธอเองก็คงคิดว่าผมไม่เคยมีใจให้ตัวเธอเองเลยสักนิด และแน่นอนว่าทั้งร้านก็คงไม่มีใครล่วงรู้ถึงความในใจนี้แน่นอน

“ว่าไงชล วันนี้ไม่ได้อยู่กะเดียวกับหวานใจล่ะสิ เสียใจด้วยนะ” เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมชื่อติ เขาเข้างานตรงเวลาและไม่ลืมที่จะพูดแซวผมเกี่ยวกับเรื่องแป้ง

“เอาอีกคนละ เรายังไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยนะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าแป้งเสียหายหมดสิแบบนี้” ผมเผยความในใจของตัวเองออกไปไม่ได้ ติยังคงหัวเราะร่าที่แกล้งแหย่ผมเล่น

“ไม่เป็นไรๆ ถ้านายไม่สนใจแป้งจริงๆงั้นเราจองละกันนะ” ติยังไม่เลิก เจ้านี่ยังจงใจจะแกล้งผม

“อ้าว แล้วแฟนนายล่ะ มีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าติมันมีแฟนอยู่แล้ว เรื่องนี้ใครๆในร้านก็รู้

“แล้วนายจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่รึ” เจ้าติพูดเสร็จมันก็หัวเราะร่า ในขณะที่ผมก็พูดอะไรไม่ออกถึงกับควันออกหู แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้


เวลาทำงานในช่วงกะดึก ช่วงเวลาประมาณตี 2 ถึงตี 3 เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ผมแอบสารภาพว่าบางครั้งผมก็มีหน้าของแป้งโผล่มาในหัวของผมเหมือนกัน ผมเข้ามาทำงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้หลายปีแล้ว เหตุผลเพราะมันใกล้บ้านมาก และเจ้าของกับแม่ของผมก็รู้จักกันดี ผมเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงก่อนที่จะเรียนจบ แต่ทำไปทำมาผมก็อยู่ทำประจำที่นี่เลย โดยทิ้งวุฒิวิศวกรไว้ไม่ยอมไปสมัครงานที่ไหน

ความจริงแล้วเพื่อนของแม่ผมเปิดโรงงานพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องจักร ซึ่งนั่นก็ตรงสายกับที่ผมเรียนพอดีเลย แม่สามารถฝากงานและเพื่อนแม่ก็จะรับเข้าทำงานทันที แต่ผมก็คิดว่าโรงงานแห่งนั้นไกลบ้านเกินไป ไกลเกินกว่าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปทำงานได้ จะขึ้นรถประจำทางก็ไม่มีเพราะบ้านผมออกมานอกตัวเมืองเยอะ มีทางเดียวคือต้องซื้อรถยนต์ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นภาระระยะยาวอีก

ผมใช้วิชาคำนวณความคุ้มทุนที่จะซื้อรถยนต์สักคัน เมื่อคำนวณจากสมการที่ผมคิดขึ้นเอง โดยใส่ตัวแปรเป็นราคารถ  โอกาสในการเดินทาง ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัยฯ ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ผลปรากฏว่ามันจะใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าที่จะคุ้มทุน ซึ่งผมมองว่ามันนานเกินไป

แม่มักจะคะยั้นคะยอผมทุกอาทิตย์ ให้ไปสมัครงานกับเฮียเพ้ง ซึ่งทุกครั้งผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จะเอาไปเถียงกับแม่ จนทุกครั้งที่เราพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้จบ แม่มักจะถอนหายใจ แล้วก็ส่ายหน้าทุกครั้งก่อนจะเดินหลบหนีหายไป


ใกล้ฟ้าสาง ถึงเวลาที่ผมต้องออกจากกะนี้ และกะต่อไปแป้งก็จะเข้ามาทำงาน หากผมอยากเจอหน้าเธอ ผมก็จะออกงานช้าหน่อยโดยทำเป็นเก็บข้าวของเคลียร์บัญชีไป และครั้งนี้ผมก็แกล้งทำเป็นออกจากกะช้ากว่าเวลาเลิกนิดหน่อย เหมือนทุกครั้งที่ผมรู้ว่ากะต่อไปจะเป็นเวรของแป้ง

“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าชลอยู่รอเห็นหน้าแป้งก่อน” สาวสวยคนที่ผมแอบชอบเธอพูดเย้าแหย่ผม เธอมักจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้ผมด้วยการหยอดคำพูดที่ฟังแล้วคันๆใส่ผม ผมทำได้แค่ยิ้มอายๆให้เธอ ในใจผมอยากจะหยอดคำหวานให้เธอบ้าง แต่เจ้าเหตุผลของผมนี่สิเป็นตัวคอยอุดปากผมไว้ไม่ให้พูดคำพูดที่ชวนเลี่ยนนั่นออกมา

“เปล่าหรอก เรากำลังจะกลับพอดีน่ะ” ผมรู้ตัวดีว่าได้พูดประโยคนั้นออกไปที่จะทำให้เธอรู้สึกผิดหวังหรืออาจจะเสียหน้า ผมก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีกว่านี้แล้ว

ผมสะพายกะเป๋าเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองใบหน้าของเธอผ่านกระจกใส แน่นอนว่าแป้งเองก็ยิ้มส่งให้ผมพร้อมโบกไม้โบกมือ ผมดีใจจนเนื้อเต้นจนเกือบจะเผลอโบกมือกลับ

“ลูกชล เฮียเพ้งเขาถามแม่มาอีกแล้วนะว่าเมื่อไหร่ลูกจะไปอยู่ที่โรงงานกับเขา” เป็นกิจวัตรไปแล้วที่แม่พูดเรื่องนี้กับผมในมื้ออาหาร

“ผมก็อยากไปอยู่นะแม่ จะว่าไปโรงงานของเฮียแกก็อยู่ใกล้บ้านเราที่สุด แต่นั่นก็ยังไกลโขอยู่นะ ถ้าเปรียบเทียบค่าเดินทางไปทำงานที่โรงงานเฮีย กับผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเรา อยู่ร้านสะดวกซื้อยังเหลือเงินมากกว่าอยู่นะ ดูสิ ผมยังมีเหลือให้แม่แต่ละเดือนเกือบ 5-6 พันเลย” ทุกครั้งที่แม่พูดเรื่องนี้ ผมก็จะใช้ประโยคเหล่านี้มาพูดบ้าง

“แต่แม่เสียดายความรู้ของลูกนะ อุตส่าห์เรียนจบมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้ทางนี้มาทำงาน ถ้าไปทำทางนู้นก็มีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอีก ส่วนเรื่องเดินทางเรอะ แม่มีเงินก้อนสะสมอยู่จำนวนหนึ่ง ลูกจะเอาไปดาวน์รถมาก่อนก็ได้นะ แม่ไม่ได้ใช้เงินหรอก”

เป็นครั้งแรกที่แม่พูดเหตุผลแบบนี้ใส่ผม เมื่อแม่พูดแบบนี้พร้อมแสดงความอาทรที่จะให้ผมนำเงินเก็บของแม่ส่วนหนึ่งไปดาวน์รถยนต์ ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมทำได้แต่เพียงตอบรับความปรารถนาดีนั้นไว้

“ครับแม่ ผมจะลองไปคิดดูครับ”

หลายวันมานี้ผมทำงานในร้านสะดวกซื้อด้วยจิตใจที่สับสนลังเลกับชีวิต บางครั้งแล้วผมก็คิดว่าผมใช้เหตุผลมากไป ไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสินใจใดๆเลย ใช่ครับ อารมณ์ความรักที่ผมมีให้กับแป้ง รวมถึงอารมณ์ที่อยากจะทำงานตรงสายที่เรียนจบมา แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลที่ผมคิดเองเป็นตัวขัดขวางไว้ไม่ให้ผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

วันนี้เป็นวันหยุดของผม ผมนัดแนะกับเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันไว้ว่าจะไปเที่ยวหามันที่บ้าน บ้านของเพื่อนก็ไกลอยู่พอสมควร ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์และไปต่อรถเพื่อเข้าไปในเมือง ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อทันให้ไปถึงบ้านเพื่อนช่วงสายๆ เพราะการเดินทางด้วยรถประจำทางนั้นค่อนข้างใช้เวลา

ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านเพื่อนในช่วงสายๆ ผมลงรถเมล์ที่ถนนใหญ่และต่อมอเตอร์ไซค์วินเข้ามาในซอยลึก ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพื่อนเขียนแผนที่อย่างละเอียดให้ผม และบ้านที่ผมเห็นนั้นช่างสวยงามและใหญ่โตจริงๆ ผมเห็นรถยนต์คันใหม่สวยหรูอีกคันจอดในที่จอดรถข้างบ้าน

“อ้าวชล มาถึงนานหรือยัง เข้ามาในบ้านก่อน เข้าไปตากแอร์เย็นๆในบ้านเร็ว ข้างนอกมันร้อนเหลือเกิน” เพื่อนของผมที่ชื่อเอโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างบ้าน พร้อมเรียกให้ผมเข้าไปข้างใน

เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวบ้านสิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ ลมเย็นสบายนี้ทำให้ความเหนื่อยจากการเดินทางก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น จะว่าไปแล้วลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศนี้ก็เหมือนกับในร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของผม แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าที่นี่คือบ้าน

“ไม่น่าเชื่อ แกเพิ่งจะเข้ามาทำงานในเมืองได้ 2-3 ปีเก็บเงินซื้อบ้านได้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” ผมยังทึ่งกับบ้านหลังใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

“เฮ้ย... เดี๋ยวนี้ใครเค้าซื้อเงินสดกัน ขอแค่มีสเตทเม้นท์ก็ทำเรื่องกู้ได้แล้ว เป็นวิศวกรในโรงงานได้เงินเดือนเยอะจะตาย”

“โรงงานที่แกอยู่นี่ไกลมั้ย”

“ใกล้ไกลไม่ใช่ปัญหา ขอแค่เรามีรถก็พอแล้ว”

ผมดีใจกับเพื่อนที่ตอนนี้มันมีชีวิตที่แทบจะสมบูรณ์แล้ว ผมเหลือบไปเห็นรูปเพื่อนถ่ายรูปกับเมียและลูกอีก 2 คน

“มี 2 หน่อแล้วเหรอ”

“ใช่แล้ว มี 2 คนก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่มันก็เป็นความสุขด้วย พอมาเห็นหน้าลูกๆก็หายเหนื่อยจากงานแล้ว”

“ดีจัง” ผมชื่นชมกับสิ่งที่เพื่อนมี บางครั้งก็แอบสะท้อนบางเรื่องมายังตัวผมเอง

“ว่าแค่นายทำงานที่ไหนเนี่ย ได้ทำตรงสายที่เราจบกันมามั้ย” ในที่สุดเพื่อนผมก็ถามเรื่องนี้กับผม ผมยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบกับมันยังไงดี

“ข้าเหรอ” ผมหยุดชะงักคำพูดไป “ตอนนี้ก็รอโรงงานเรียกตัวอยู่น่ะ ช่วงนี้ก็หาอะไรทำแถวบ้านไปก่อน” ผมพยายามบอกเลี่ยงๆ และเพื่อนผมก็ไม่ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ได้ข่าวเน็ทเพื่อนเรามั้ย เดือนที่แล้วบริษัทส่งมันไปอยู่สาขาที่ไต้หวันน่ะ ไปที่นั่นเป็นสวรรค์ของคนทำงานอย่างพวกเราเลยนะ”

“โห... มันก้าวหน้าถึงขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย น่าอิจฉาจริงๆ” ผมรู้ดีว่าที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ถูกนำเข้ามายังประเทศไทย ดังนั้นแล้ววิศวกรคนไหนที่ได้ไปดูงานที่ไต้หวัน นั่นหมายถึงโอกาสก้าวหน้าทางสายงาน

“ช่วงนี้ข้าไม่ได้ติดต่อใครเลยน่ะ แต่ละคนก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น เปลี่ยนที่อยู่บ้างล่ะ” ผมที่ไม่ได้ไปเที่ยวหากลุ่มเพื่อนๆนานมากแล้วพยายามหาข้ออ้าง

“เดือนแล้วพวกเราก็เพิ่งจะนัดกินเลี้ยงกันนิดหน่อยที่ร้านอาหาร เอาไว้คราวหน้าสิแกมาด้วยกัน มาหาข้าที่บ้านก็ได้”

ผมใช้เวลาตลอดบ่ายนั้นนั่งคุยกับเพื่อน พอใกล้เย็น เพื่อนอาสาที่จะขับรถเก๋งคันโก้มาส่งผมขึ้นรถประจำทางที่หน้าปากซอย ระหว่างทางก่อนออกจากซอยที่ผมนั่งบนเบาะนุ่มในรถเก๋ง ผมเริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนี้หลายๆเรื่อง การก้าวเดินต่อไปข้างหน้านั้นจำเป็นกับชีวิตหรือไม่ เหตุผลร้อยพันประการที่มักจะเอามาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วเหรอ ในเมื่อผมเองก็ยังมีความต้องการที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และยังเป็นทุกข์กับสถานะที่เรียกว่าจมปลักอยู่ตรงนี้

“โชคดีนะเพื่อน แล้วเจอกัน” เพื่อนผมล่ำลาก่อนเร่งรถออกไปจากป้ายรถเมล์ที่คนเริ่มพลุกพล่าน

ผมเห็นภาพของเพื่อนที่แต่งตัวดีขับรถยนต์ กับผมที่แต่งตัวธรรมดายืนรอรถเมล์อยู่ริมถนน ความขัดแย้งนี้มันช่างไม่น่าจะบรรจบเข้ามาหากันได้เลย หากผมและเจ้าเอไม่เคยเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน เราสองคนก็คงไม่มีทางได้มาโคจรพบกันได้


หลายวันผ่านมาหลังจากที่ผมกลับจากไปเที่ยวหาเจ้าเอที่บ้าน ผมยังคงทำงานด้วยจิตใจที่สับสนกว่าเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น ผมลังเลระหว่างคำว่าพอใจในชีวิตที่ตัวเองเป็น กับชีวิตที่เติบโตขึ้น ผมมักจะยึดติดกับคำแรกมากเกินไป บางทีแล้วอาจจะมีจุดสมดุลระหว่างคำสองคำนี้ก็ได้
หลายวันมานี้ผมบังเอิญได้เจอหน้ากับแป้งบ่อยขึ้น ใบหน้าของเธอยังปรากฏผ่านสายตาของผมหลายครั้ง และยังล่องลอยในมโนสำนึกของผมอีกหลายหน คำพูดเย้าแหย่จากเธอยังมีให้ผมอย่างสม่ำเสมอ

คืนหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน ผมนอนคิดเกี่ยวกับเรื่องไปทำงานกับเฮียเพ้ง นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะเริ่มเขาทำงานจริงๆจังๆเสียที ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะตอบรับคำขอของแม่ที่จะให้ไปทำงานกับเฮีย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก คือเรื่องของแป้ง ผมคิดว่านี่คงถึงเวลาที่จะต้องบอกความในใจของผมให้กับคนที่ผมรักได้รู้เสียที ผมได้ตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเธอ เมื่อเจอกับเธอในครั้งต่อไป



Happy Ending
“ลูกคุยกับเฮียเรื่องงานหรือยัง วันนั้นแม่คุยกับแก น้ำเสียงแกดีใจมากเลยนะที่จะได้ลูกไปช่วยงาน” น้ำเสียงของแม่ก็ดีใจไม่แพ้กับน้ำเสียงของเฮียเพ้ง วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจที่ทำให้แม่ดีใจได้ด้วย
“ผมโทรไปคุยกับเฮียแล้วครับ เริ่มงานสิ้นเดือนนี้เลย”
“ดีแล้วลูก นี่เงินก้อนนี้ลูกเอาไปดาวน์รถเลยนะ จะได้ขับไปทำงานได้ไม่ลำบาก”
“ขอบคุณครับแม่”
ผมรับเงินก้อนนั้นมาโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเมื่อผมได้เริ่มงานใหม่ บ่ายนี้ผมได้นัดแป้งไว้ว่าจะไปกินข้าวและอาจจะไปดูหนังด้วยกันสักเรื่อง หลังดูหนังจบผมกะว่าจะไปโชว์รูมรถเพื่อหาซื้อรถขนาดพอดีๆสักคัน
และแผนการต่อไปของผมคือ หากผมทำงานที่โรงงานครบหนึ่งปีแล้ว ผมจะขอแป้งแต่งงาน

Real Life Ending
“แม่เสียใจด้วยนะลูก พอดีว่าโรงงานของเฮียเพ้งกำลังเริ่มจะขาดทุน ทำ-ให้ไม่สามารถรับพนักงานใหม่เข้าไป” แม่พูดประโยคสั้นๆ แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บช้ำ ผมไม่รู้ว่าจะโทษใครดีระหว่างโชคชะตากับตัวเองที่ตัดสินใจช้าไป
เรื่องงานเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดอาการซึมเศร้า แต่นั่นมันคงไม่หนักหนาพอที่จะทำให้ผมหลั่งน้ำตาได้เท่ากับเรื่องของแป้ง
เมื่อเช้าผมไปหาเธอที่ร้านสะดวกซื้อช่วงที่เธออยู่กะ ผมเข้าไปหาพร้อมมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นแป้ง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกะนั้นบอกว่า แป้งกลับบ้านไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่พ่อของแม่เธอเลือกไว้ให้นานแล้ว ก่อนไปแป้งบอกว่าหากภายใน 3 ปีก่อนหน้านี้ถ้าเธอเจอคนที่ถูกใจและพาไปพบหน้าพ่อแม่ของเธอได้ สัญญาหมั้นจะถูกยกเลิก แต่เธอไม่เจอคนที่จะพาไปหาพ่อกับแม่ได้จึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก ก่อนออกจากร้านเธอเดินออกไปพร้อมน้ำตา
คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่บอกว่าแป้งเดินออกไปพร้อมน้ำตานั้น มันช่างเสียดแทงจิตใจของผมยิ่งกว่าถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงไปที่หัวใจ

ผมเดินออกจากร้านพร้อมน้ำตา