“สุชล
น้องแป้งเขาอยากออกเดทกับนายน่ะ ทำเป็นเล่นตัวไปได้ น้องเขาแอบชอบนายมานานแล้วนะ”
พี่สุภาพเอ่ยทักทายผม เมื่อผมเดินผ่านประตูร้านสะดวกซื้อเข้ามา
วันนี้ผมจะมาเข้ากะต่อจากพี่สุภาพครับ แต่ผมต้องมาล่วงหน้าประมาณ 10 นาทีเพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสอบยอดเงิน
“โธ่พี่ แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าแป้งเขาชอบผม”
ผมเก็บกระเป๋าและเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คตัวเลข
“พวกผู้หญิงเขาพูดกันจนรู้กันหมดทั้งร้านแล้ว
แกก็น่าจะรู้แต่แกล้งไม่รู้มากกว่า” พี่สุภาพพูดพร้อมรอยยิ้ม
เขาเตรียมตัวเก็บของเพื่อออกจานงานกะดึกไป
“นี่ฉันจะขอเตือนนายไว้อย่างนะ
นายก็ไม่ใช่จะอายุน้อยๆแล้ว รีบหาคู่ซะ เดี๋ยวแก่ไปจะได้อยู่คนเดียว
ชีวิตนี้มันเหงานัก แต่งงานมีลูกมีเมียเหมือนคนอื่นบ้าง”
“โธ่พี่
ผมยังไม่พร้อม เงินเดือนพนักงานแคชเชียร์อย่างเราจะไปพอเลี้ยงใครได้”
ผมยังบ่นตัดพ้อกับพี่สุภาพ
“แล้วยังไง
ดูข้าสิ เงินเดือนก็พอๆกันแต่ข้าก็ลูกสองแล้วนะโว้ย
อย่าทำเป็นข้ออ้างเยอะไปหน่อยเลยน่า ยังไงก็ลองคิดดูนะ ข้าไปล่ะ”
พี่สุภาพพูดเสร็จก็เดินออกจากร้านไป
สิ่งที่พี่สุภาพพูดนั้นก็ถูกนะครับ
เพื่อนๆผมที่เรียนจบมาพร้อมกันก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปเกือบจะหมดแล้ว แต่ที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้เพราะผมยังคิดว่าตัวเองไม่พร้อมนี่สิ
ชีวิตของผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเลย
เงินเก็บก็ไม่มีเพราะเงินเดือนที่ได้ก็แบ่งใช้จ่ายกับทางบ้านหมด รถยนต์สักคันก็ไม่
มีแต่มอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ บ้านช่องห้องหับก็ไม่พร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่ๆเพิ่มเข้ามา
ถ้าจะให้ไปซื้อบ้านใหม่เหรอ อันนั้นยิ่งหมดหวังเข้าไปใหญ่
ความจริงแล้วผมรู้ตัวเองดีครับว่าผมชอบน้องแป้ง
เธอน่ารักและนิสัยดี เธอยังไม่มีแฟน และผมก็ยังรู้ดีอีกด้วยว่าน้องเขาก็รอผมอยู่
แต่ตัวผมก็ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ทุกครั้งที่ความคิดเริ่มจะคล้อยไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ผมมีต่อแป้ง
ผมจะคิดก่อนเสมอว่า ผมพร้อมหรือยัง หมายถึงพร้อมในเรื่องการเงินที่จะสามารถดูแลแป้งได้
แค่เมื่อคิดว่ายังไม่พร้อม ผมก็หยุดความคิดที่จะคบกับแป้งเป็นแฟนไป
เวรของพนักงานที่นี่จะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามตารางของผู้จัดการจะจัดให้
มีหลายครั้งที่ผมกับแป้งต้องมาจับคู่กัน ความจริงแล้วช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด
ได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่ตัวเองชอบ
แต่ด้วยเหตุผลที่ผมบอกไปว่าผมนั้นยังไม่พร้อมที่จะคบใคร ผมจึงแสดงออกเพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานกับแป้งตลอดเวลา
จนเธอเองก็คงคิดว่าผมไม่เคยมีใจให้ตัวเธอเองเลยสักนิด
และแน่นอนว่าทั้งร้านก็คงไม่มีใครล่วงรู้ถึงความในใจนี้แน่นอน
“ว่าไงชล
วันนี้ไม่ได้อยู่กะเดียวกับหวานใจล่ะสิ เสียใจด้วยนะ”
เพื่อนร่วมงานอีกคนของผมชื่อติ เขาเข้างานตรงเวลาและไม่ลืมที่จะพูดแซวผมเกี่ยวกับเรื่องแป้ง
“เอาอีกคนละ เรายังไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยนะ
ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าแป้งเสียหายหมดสิแบบนี้” ผมเผยความในใจของตัวเองออกไปไม่ได้
ติยังคงหัวเราะร่าที่แกล้งแหย่ผมเล่น
“ไม่เป็นไรๆ
ถ้านายไม่สนใจแป้งจริงๆงั้นเราจองละกันนะ” ติยังไม่เลิก เจ้านี่ยังจงใจจะแกล้งผม
“อ้าว แล้วแฟนนายล่ะ
มีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าติมันมีแฟนอยู่แล้ว เรื่องนี้ใครๆในร้านก็รู้
“แล้วนายจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะ
ไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่รึ” เจ้าติพูดเสร็จมันก็หัวเราะร่า
ในขณะที่ผมก็พูดอะไรไม่ออกถึงกับควันออกหู แต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้
เวลาทำงานในช่วงกะดึก
ช่วงเวลาประมาณตี 2 ถึงตี 3 เป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า
ผมแอบสารภาพว่าบางครั้งผมก็มีหน้าของแป้งโผล่มาในหัวของผมเหมือนกัน
ผมเข้ามาทำงานที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้หลายปีแล้ว เหตุผลเพราะมันใกล้บ้านมาก และเจ้าของกับแม่ของผมก็รู้จักกันดี
ผมเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ช่วงก่อนที่จะเรียนจบ แต่ทำไปทำมาผมก็อยู่ทำประจำที่นี่เลย
โดยทิ้งวุฒิวิศวกรไว้ไม่ยอมไปสมัครงานที่ไหน
ความจริงแล้วเพื่อนของแม่ผมเปิดโรงงานพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องจักร
ซึ่งนั่นก็ตรงสายกับที่ผมเรียนพอดีเลย
แม่สามารถฝากงานและเพื่อนแม่ก็จะรับเข้าทำงานทันที
แต่ผมก็คิดว่าโรงงานแห่งนั้นไกลบ้านเกินไป
ไกลเกินกว่าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปทำงานได้
จะขึ้นรถประจำทางก็ไม่มีเพราะบ้านผมออกมานอกตัวเมืองเยอะ
มีทางเดียวคือต้องซื้อรถยนต์ ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นภาระระยะยาวอีก
ผมใช้วิชาคำนวณความคุ้มทุนที่จะซื้อรถยนต์สักคัน
เมื่อคำนวณจากสมการที่ผมคิดขึ้นเอง โดยใส่ตัวแปรเป็นราคารถ โอกาสในการเดินทาง ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัยฯ
ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ผลปรากฏว่ามันจะใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าที่จะคุ้มทุน ซึ่งผมมองว่ามันนานเกินไป
แม่มักจะคะยั้นคะยอผมทุกอาทิตย์
ให้ไปสมัครงานกับเฮียเพ้ง ซึ่งทุกครั้งผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จะเอาไปเถียงกับแม่
จนทุกครั้งที่เราพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้จบ แม่มักจะถอนหายใจ
แล้วก็ส่ายหน้าทุกครั้งก่อนจะเดินหลบหนีหายไป
ใกล้ฟ้าสาง
ถึงเวลาที่ผมต้องออกจากกะนี้ และกะต่อไปแป้งก็จะเข้ามาทำงาน หากผมอยากเจอหน้าเธอ
ผมก็จะออกงานช้าหน่อยโดยทำเป็นเก็บข้าวของเคลียร์บัญชีไป
และครั้งนี้ผมก็แกล้งทำเป็นออกจากกะช้ากว่าเวลาเลิกนิดหน่อย
เหมือนทุกครั้งที่ผมรู้ว่ากะต่อไปจะเป็นเวรของแป้ง
“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ
อย่าบอกนะว่าชลอยู่รอเห็นหน้าแป้งก่อน” สาวสวยคนที่ผมแอบชอบเธอพูดเย้าแหย่ผม
เธอมักจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้ผมด้วยการหยอดคำพูดที่ฟังแล้วคันๆใส่ผม
ผมทำได้แค่ยิ้มอายๆให้เธอ ในใจผมอยากจะหยอดคำหวานให้เธอบ้าง แต่เจ้าเหตุผลของผมนี่สิเป็นตัวคอยอุดปากผมไว้ไม่ให้พูดคำพูดที่ชวนเลี่ยนนั่นออกมา
“เปล่าหรอก
เรากำลังจะกลับพอดีน่ะ”
ผมรู้ตัวดีว่าได้พูดประโยคนั้นออกไปที่จะทำให้เธอรู้สึกผิดหวังหรืออาจจะเสียหน้า
ผมก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ดีกว่านี้แล้ว
ผมสะพายกะเป๋าเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองใบหน้าของเธอผ่านกระจกใส
แน่นอนว่าแป้งเองก็ยิ้มส่งให้ผมพร้อมโบกไม้โบกมือ
ผมดีใจจนเนื้อเต้นจนเกือบจะเผลอโบกมือกลับ
“ลูกชล
เฮียเพ้งเขาถามแม่มาอีกแล้วนะว่าเมื่อไหร่ลูกจะไปอยู่ที่โรงงานกับเขา”
เป็นกิจวัตรไปแล้วที่แม่พูดเรื่องนี้กับผมในมื้ออาหาร
“ผมก็อยากไปอยู่นะแม่
จะว่าไปโรงงานของเฮียแกก็อยู่ใกล้บ้านเราที่สุด แต่นั่นก็ยังไกลโขอยู่นะ
ถ้าเปรียบเทียบค่าเดินทางไปทำงานที่โรงงานเฮีย
กับผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเรา
อยู่ร้านสะดวกซื้อยังเหลือเงินมากกว่าอยู่นะ ดูสิ
ผมยังมีเหลือให้แม่แต่ละเดือนเกือบ 5-6 พันเลย” ทุกครั้งที่แม่พูดเรื่องนี้
ผมก็จะใช้ประโยคเหล่านี้มาพูดบ้าง
“แต่แม่เสียดายความรู้ของลูกนะ
อุตส่าห์เรียนจบมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้ทางนี้มาทำงาน
ถ้าไปทำทางนู้นก็มีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอีก ส่วนเรื่องเดินทางเรอะ
แม่มีเงินก้อนสะสมอยู่จำนวนหนึ่ง ลูกจะเอาไปดาวน์รถมาก่อนก็ได้นะ
แม่ไม่ได้ใช้เงินหรอก”
เป็นครั้งแรกที่แม่พูดเหตุผลแบบนี้ใส่ผม
เมื่อแม่พูดแบบนี้พร้อมแสดงความอาทรที่จะให้ผมนำเงินเก็บของแม่ส่วนหนึ่งไปดาวน์รถยนต์
ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ผมทำได้แต่เพียงตอบรับความปรารถนาดีนั้นไว้
“ครับแม่
ผมจะลองไปคิดดูครับ”
หลายวันมานี้ผมทำงานในร้านสะดวกซื้อด้วยจิตใจที่สับสนลังเลกับชีวิต
บางครั้งแล้วผมก็คิดว่าผมใช้เหตุผลมากไป ไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสินใจใดๆเลย
ใช่ครับ อารมณ์ความรักที่ผมมีให้กับแป้ง
รวมถึงอารมณ์ที่อยากจะทำงานตรงสายที่เรียนจบมา
แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลที่ผมคิดเองเป็นตัวขัดขวางไว้ไม่ให้ผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
วันนี้เป็นวันหยุดของผม
ผมนัดแนะกับเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันไว้ว่าจะไปเที่ยวหามันที่บ้าน
บ้านของเพื่อนก็ไกลอยู่พอสมควร ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์และไปต่อรถเพื่อเข้าไปในเมือง
ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อทันให้ไปถึงบ้านเพื่อนช่วงสายๆ
เพราะการเดินทางด้วยรถประจำทางนั้นค่อนข้างใช้เวลา
ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านเพื่อนในช่วงสายๆ
ผมลงรถเมล์ที่ถนนใหญ่และต่อมอเตอร์ไซค์วินเข้ามาในซอยลึก ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
เพื่อนเขียนแผนที่อย่างละเอียดให้ผม และบ้านที่ผมเห็นนั้นช่างสวยงามและใหญ่โตจริงๆ
ผมเห็นรถยนต์คันใหม่สวยหรูอีกคันจอดในที่จอดรถข้างบ้าน
“อ้าวชล
มาถึงนานหรือยัง เข้ามาในบ้านก่อน เข้าไปตากแอร์เย็นๆในบ้านเร็ว
ข้างนอกมันร้อนเหลือเกิน” เพื่อนของผมที่ชื่อเอโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างบ้าน
พร้อมเรียกให้ผมเข้าไปข้างใน
เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวบ้านสิ่งที่ผมสัมผัสได้เป็นอย่างแรกคือลมเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ
ลมเย็นสบายนี้ทำให้ความเหนื่อยจากการเดินทางก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น
จะว่าไปแล้วลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศนี้ก็เหมือนกับในร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของผม
แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าที่นี่คือบ้าน
“ไม่น่าเชื่อ
แกเพิ่งจะเข้ามาทำงานในเมืองได้ 2-3 ปีเก็บเงินซื้อบ้านได้ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ”
ผมยังทึ่งกับบ้านหลังใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
“เฮ้ย...
เดี๋ยวนี้ใครเค้าซื้อเงินสดกัน ขอแค่มีสเตทเม้นท์ก็ทำเรื่องกู้ได้แล้ว เป็นวิศวกรในโรงงานได้เงินเดือนเยอะจะตาย”
“โรงงานที่แกอยู่นี่ไกลมั้ย”
“ใกล้ไกลไม่ใช่ปัญหา
ขอแค่เรามีรถก็พอแล้ว”
ผมดีใจกับเพื่อนที่ตอนนี้มันมีชีวิตที่แทบจะสมบูรณ์แล้ว
ผมเหลือบไปเห็นรูปเพื่อนถ่ายรูปกับเมียและลูกอีก 2
คน
“มี 2
หน่อแล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว มี 2
คนก็เหนื่อยหน่อยนะ แต่มันก็เป็นความสุขด้วย
พอมาเห็นหน้าลูกๆก็หายเหนื่อยจากงานแล้ว”
“ดีจัง”
ผมชื่นชมกับสิ่งที่เพื่อนมี บางครั้งก็แอบสะท้อนบางเรื่องมายังตัวผมเอง
“ว่าแค่นายทำงานที่ไหนเนี่ย
ได้ทำตรงสายที่เราจบกันมามั้ย” ในที่สุดเพื่อนผมก็ถามเรื่องนี้กับผม
ผมยังอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบกับมันยังไงดี
“ข้าเหรอ”
ผมหยุดชะงักคำพูดไป “ตอนนี้ก็รอโรงงานเรียกตัวอยู่น่ะ
ช่วงนี้ก็หาอะไรทำแถวบ้านไปก่อน” ผมพยายามบอกเลี่ยงๆ
และเพื่อนผมก็ไม่ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ได้ข่าวเน็ทเพื่อนเรามั้ย
เดือนที่แล้วบริษัทส่งมันไปอยู่สาขาที่ไต้หวันน่ะ
ไปที่นั่นเป็นสวรรค์ของคนทำงานอย่างพวกเราเลยนะ”
“โห...
มันก้าวหน้าถึงขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย น่าอิจฉาจริงๆ”
ผมรู้ดีว่าที่ไต้หวันเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่ถูกนำเข้ามายังประเทศไทย
ดังนั้นแล้ววิศวกรคนไหนที่ได้ไปดูงานที่ไต้หวัน นั่นหมายถึงโอกาสก้าวหน้าทางสายงาน
“ช่วงนี้ข้าไม่ได้ติดต่อใครเลยน่ะ
แต่ละคนก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น เปลี่ยนที่อยู่บ้างล่ะ”
ผมที่ไม่ได้ไปเที่ยวหากลุ่มเพื่อนๆนานมากแล้วพยายามหาข้ออ้าง
“เดือนแล้วพวกเราก็เพิ่งจะนัดกินเลี้ยงกันนิดหน่อยที่ร้านอาหาร
เอาไว้คราวหน้าสิแกมาด้วยกัน มาหาข้าที่บ้านก็ได้”
ผมใช้เวลาตลอดบ่ายนั้นนั่งคุยกับเพื่อน
พอใกล้เย็น เพื่อนอาสาที่จะขับรถเก๋งคันโก้มาส่งผมขึ้นรถประจำทางที่หน้าปากซอย
ระหว่างทางก่อนออกจากซอยที่ผมนั่งบนเบาะนุ่มในรถเก๋ง
ผมเริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนี้หลายๆเรื่อง
การก้าวเดินต่อไปข้างหน้านั้นจำเป็นกับชีวิตหรือไม่ เหตุผลร้อยพันประการที่มักจะเอามาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ทำตามความต้องการของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วเหรอ
ในเมื่อผมเองก็ยังมีความต้องการที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
และยังเป็นทุกข์กับสถานะที่เรียกว่าจมปลักอยู่ตรงนี้
“โชคดีนะเพื่อน
แล้วเจอกัน” เพื่อนผมล่ำลาก่อนเร่งรถออกไปจากป้ายรถเมล์ที่คนเริ่มพลุกพล่าน
ผมเห็นภาพของเพื่อนที่แต่งตัวดีขับรถยนต์
กับผมที่แต่งตัวธรรมดายืนรอรถเมล์อยู่ริมถนน
ความขัดแย้งนี้มันช่างไม่น่าจะบรรจบเข้ามาหากันได้เลย
หากผมและเจ้าเอไม่เคยเรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน
เราสองคนก็คงไม่มีทางได้มาโคจรพบกันได้
หลายวันผ่านมาหลังจากที่ผมกลับจากไปเที่ยวหาเจ้าเอที่บ้าน
ผมยังคงทำงานด้วยจิตใจที่สับสนกว่าเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น
ผมลังเลระหว่างคำว่าพอใจในชีวิตที่ตัวเองเป็น กับชีวิตที่เติบโตขึ้น
ผมมักจะยึดติดกับคำแรกมากเกินไป บางทีแล้วอาจจะมีจุดสมดุลระหว่างคำสองคำนี้ก็ได้
หลายวันมานี้ผมบังเอิญได้เจอหน้ากับแป้งบ่อยขึ้น
ใบหน้าของเธอยังปรากฏผ่านสายตาของผมหลายครั้ง
และยังล่องลอยในมโนสำนึกของผมอีกหลายหน
คำพูดเย้าแหย่จากเธอยังมีให้ผมอย่างสม่ำเสมอ
คืนหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน
ผมนอนคิดเกี่ยวกับเรื่องไปทำงานกับเฮียเพ้ง นี่อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะเริ่มเขาทำงานจริงๆจังๆเสียที
ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะตอบรับคำขอของแม่ที่จะให้ไปทำงานกับเฮีย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมาก
คือเรื่องของแป้ง
ผมคิดว่านี่คงถึงเวลาที่จะต้องบอกความในใจของผมให้กับคนที่ผมรักได้รู้เสียที
ผมได้ตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเธอ เมื่อเจอกับเธอในครั้งต่อไป
Happy Ending
“ลูกคุยกับเฮียเรื่องงานหรือยัง
วันนั้นแม่คุยกับแก น้ำเสียงแกดีใจมากเลยนะที่จะได้ลูกไปช่วยงาน”
น้ำเสียงของแม่ก็ดีใจไม่แพ้กับน้ำเสียงของเฮียเพ้ง
วันนี้เป็นวันที่ผมดีใจที่ทำให้แม่ดีใจได้ด้วย
“ผมโทรไปคุยกับเฮียแล้วครับ
เริ่มงานสิ้นเดือนนี้เลย”
“ดีแล้วลูก
นี่เงินก้อนนี้ลูกเอาไปดาวน์รถเลยนะ จะได้ขับไปทำงานได้ไม่ลำบาก”
“ขอบคุณครับแม่”
ผมรับเงินก้อนนั้นมาโดยสัญญาว่าจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเมื่อผมได้เริ่มงานใหม่
บ่ายนี้ผมได้นัดแป้งไว้ว่าจะไปกินข้าวและอาจจะไปดูหนังด้วยกันสักเรื่อง
หลังดูหนังจบผมกะว่าจะไปโชว์รูมรถเพื่อหาซื้อรถขนาดพอดีๆสักคัน
และแผนการต่อไปของผมคือ
หากผมทำงานที่โรงงานครบหนึ่งปีแล้ว ผมจะขอแป้งแต่งงาน
Real Life
Ending
“แม่เสียใจด้วยนะลูก
พอดีว่าโรงงานของเฮียเพ้งกำลังเริ่มจะขาดทุน ทำ-ให้ไม่สามารถรับพนักงานใหม่เข้าไป”
แม่พูดประโยคสั้นๆ แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกเจ็บช้ำ
ผมไม่รู้ว่าจะโทษใครดีระหว่างโชคชะตากับตัวเองที่ตัดสินใจช้าไป
เรื่องงานเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมเกิดอาการซึมเศร้า
แต่นั่นมันคงไม่หนักหนาพอที่จะทำให้ผมหลั่งน้ำตาได้เท่ากับเรื่องของแป้ง
เมื่อเช้าผมไปหาเธอที่ร้านสะดวกซื้อช่วงที่เธออยู่กะ
ผมเข้าไปหาพร้อมมองไปรอบๆแต่ไม่เห็นแป้ง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานกะนั้นบอกว่า
แป้งกลับบ้านไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่พ่อของแม่เธอเลือกไว้ให้นานแล้ว
ก่อนไปแป้งบอกว่าหากภายใน 3 ปีก่อนหน้านี้ถ้าเธอเจอคนที่ถูกใจและพาไปพบหน้าพ่อแม่ของเธอได้
สัญญาหมั้นจะถูกยกเลิก
แต่เธอไม่เจอคนที่จะพาไปหาพ่อกับแม่ได้จึงต้องยอมแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก
ก่อนออกจากร้านเธอเดินออกไปพร้อมน้ำตา
คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่บอกว่าแป้งเดินออกไปพร้อมน้ำตานั้น
มันช่างเสียดแทงจิตใจของผมยิ่งกว่าถูกเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงไปที่หัวใจ
ผมเดินออกจากร้านพร้อมน้ำตา