วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นายอินกับนายสม



นายอินและนายสมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นายอินไม่ค่อยจะชอบหน้านายสมเท่าไหร่นัก เพราะนายสมชอบเอารัดเอาเปรียบนายอินตลอดเวลา แต่ทั้งคู่ก็ยังคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน วันหนึ่งในขณะที่นายอินกำลังทำงานในร้านซ่อมรถของตัวเอง นายสมมาหาเขาตอนเย็นเพื่อชวนออกไปหาอะไรกินกัน
“ปิดร้านรึยัง” นายสมพูดเมื่อเขายืนอยู่หน้าร้านซ่อมรถของนายอิน
“ใกล้แล้ว อีกสิบนาที เดี๋ยวเช็ครถให้ลูกค้าก่อน” นายอินตอบ
“วันนี้ไปกินข้าวกันที่เดิมนะ”
นายอินรีบจัดการธุระของตัวเองในร้านให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไปยังร้านอาหารข้างถนน ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคิดเมนู นายสมก็พูดขึ้น
“สั่งเหล้ามากินซักกลมนึงมั้ย”
“ใครจ่าย” นายอินถาม
“ก็หารกันสิ เหมือนทุกครั้ง”
“ไม่เอาล่ะ ข้ากินน้อย กินทีไรก็เสียเปรียบแกทุกทีเลย”
“นี่กินเหล้าสังสรรค์นะเว้ย ไม่ใช่มาทำธุรกิจ จะมาคิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกัน” นายอินทำเป็นพูดเสียงเข้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แสงโสมกลมนึง โซดาสาม น้ำแข็งหนึ่ง”
นายอินได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนยอมรับชะตาที่ต้องจ่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับคิดอะไรได้ขึ้นมา
“กินเหล้าอย่างเดียวมันไม่อร่อย สั่งกับแกล้มด้วยละกัน หารกันนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบจากฝั่งตรงข้าม นายอินตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แกงส้มชะอมทอด เม็ดมะม่วงฯ ยำไข่เยี่ยวม้า ปลาทับทิมนึ่งบ๊วย”
เมื่อสั่งเสร็จนายอินแอบอมยิ้ม ต่างจากนายสมที่ทำสีหน้าไม่พอใจ
“สั่งมาทำมัยเยอะ ข้ากินไม่หมด” นายสมที่หุ่นผอมแห้งประเมินแล้วว่าเขาคงกินอาหารทั้งหมดนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่แน่ๆ
“งั้นเดี๋ยวข้ากินเอง” คนสั่งอาหารอาสา
บนโต๊ะที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งคู่ลงมือดื่มกินโดยพยายามเลือกดื่มกินในสิ่งที่ตัวเองถนัด เหมือนกับว่าต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบค่าเหล้าค่าอาหารที่จะต้องหารกัน นายสมก็พยายามดื่มเหล้าให้ได้มากกว่านายอิน และนายอินก็พยายามกินอาหารให้ได้มากกว่านายสม เพราะหากว่าต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเสียเปรียบแล้ว เขาคนนั้นคงจะนอนไม่หลับในคืนนี้อย่างแน่นอน

หลังจบจากร้านอาหาร คอทองแดงอย่างนายสมไม่รู้สึกเมาเพราะเหล้าไม่ถึงกลมอย่างแน่นอน ละคนที่หุ่นอ้วนเป็นช้างอย่างนายอินก็ไม่ได้รู้สึกแน่นอึดอัดกับอาหารที่ยัดเข้าไปในปากเลย เขาทั้งสองจึงคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ
“จ่ายค่าอาหารกันเสร็จแล้ว เราไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยมั้ย” นายอินพูดชวน
“ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกกริ่มๆ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ไปหาอะไรดูดีกว่า ไปตลาดนัดหน้าปากซอยมั้ย” นายสมเสนอ
“ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันไปจนถึงตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าวางขายของทั่วไป ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่ จนกระทั่งมาเจอกับร้านายของเล่น มีบางสิ่งในร้านนั้นที่ดึงดูดความสนใจจากนายอิน นั่นก็คือโมเดลรถยนต์โฟล์คสวาเก้นตั้งขายอยู่กลางร้าน มีป้ายแปะราคา 600 บาท
“เอ๊ะนั่น!” นายอินชี้ไปที่ของกลางร้านขายของเล่น นายสมหันมาสนใจกับท่าทีนั้น
“อะไร”
“โมเดลโฟล์คสวาเก้นปี 1967 เป็นของแท้จากประเทศเยอรมันที่เลิกผลิตไปนานแล้ว หายากมาก สงสัยคนขายจะไม่รู้เรื่อง มูลค่าของมันจริงๆ น่าจะหลายพัน”
นายอินยิ้มเหมือนรู้สึกโชคดีที่มาเจอของดี เขารีบเดินเข้าไปในร้านพร้อมควักกระเป๋าเงิน แต่พอเขาหยิบเงินออกมานับ ปรากฏว่ามีเงินแค่ 550 บาท นายอินจึงหันไปถามยืมเงินจากนายสมที่เดินตามมา
“มีให้ยืมห้าสิบบาทมั้ย” นายอินพูด
นายสมได้ยินดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาและหยิบธนบัตรออกมา 600 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“ยืมแค่ห้า...”
ยังไม่ทันที่นายอินจะพูดจบ นายสมก็ตรงเข้าไปยังของชิ้นนั้นพร้อมบอกเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อ คนขายรับเงินและยื่นโมเดลชิ้นนั้นให้นายสม
“ข้าจะซื้อไปเป็นของขวัญให้คนรู้จักพอดี” นายสมพูดพร้อมเดินตัวลอยออกไป
นายอินรู้สึกเจ็บแค้นมากแต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ได้แต่ก่นด่าสาปแช่งในใจแล้วก็เดินต่อไป ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายแสตมป์เก่าสะสม
นายสมเป็นคนชอบสะสมแสตมป์อยู่แล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน นายสมเลือกดูแสตมป์ในตู้กระจกโดยมีนายอินยืนดูอยู่ข้างๆ สักพักนายสมชี้แสตมป์ดวงหนึ่งให้เจ้าของร้านดู
“ผมสนใจดวงนี้ครับ”
เจ้าของร้านหยิบซองพลาสติกที่มีแสตมป์อยู่ในนั้นขึ้นมาวางบนตู้ตรงหน้านายสม
“ราคาเท่าไหร่ครับ” นายสมถามเจ้าของร้าน
“ดวงนี้ผมคิดให้พิเศษเลยครับ 500 บาท” เจ้าของร้านตอบ
นายสมหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า แต่ปรากฏว่าเหลือเงินแค่ 350 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบชิงพูด
“ผมก็สนใจเหมือนกันครับ 500 ใช่มั้ย” นายอินยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันที
“แกจะซื้อไปทำมัย เป็นนักสะสมเหรอ” นายสมรีบพูดดักคอก่อนที่เจ้าของร้านจะรับเงินจากนายอิน
“ก็ซื้อไปดูเล่นน่ะ”
นายอินตอบหน้าตาเฉย แต่คำตอบนั้นเหมือนจะทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจเท่าไหร่ นายสมเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“เพื่อนผมคนนี้มันบ้า ชอบซื้ออะไรไปเก็บไว้จนรกบ้านไปหมด เชื่อเถอะ ได้แสตมป์ดวงนี้ไป อาทิตย์หน้าไปถามก็หาไม่เจอแล้ว”
นายสมพูดจบก็หัวเราะเยาะเล็กน้อยสร้างความอับอายให้นายอิน จากนั้นนายสมก็แสดงตัวกับคนขายว่าเขาคือนักสะสมตัวจริง และยังเล่าประวัติของแสตมป์ดวงนั้นได้อย่างเหมือนผู้รู้จริง เขายังแสดงความจำนงที่ต้องการแสตมป์ดวงนั้นไปรวมในคอลเลคชั่นสะสมของเขาให้เจ้าของร้านฟัง
เจ้าของร้านรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่นายสมพูดจึงยอมลดราคาแสตมป์ดวงนั้นให้เท่ากับเงินในกระเป๋าของนายสม ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยมีสีหน้าของนายสมที่เป็นเหมือนผู้ชนะและนายอินมีสีหน้าของผู้แพ้อีกตามเคย

ในมุมๆ หนึ่งของตลาด มีชายคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน เขานั่งบนเก้าอี้เหล็กและมีโต๊ะเหล็กตรงหน้าเขาอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะมีลูกแก้วขนาดเท่าผลส้มโอวางอยู่บนถาด ไม่มีป้ายบอกว่าเขาทำอะไร ทำให้ไม่มีใครในตลาดนี้สนใจเขาเลยสักคน ยกเว้นนายอินและนายสมที่เดินผ่านมาพอดี
“นั่นเขาทำอะไรน่ะ เป็นหมอดูหรือเปล่านะ” นายอินพูดขึ้นมา
“ลองเข้าไปถามกันเถอะ” นายสมพูดเสร็จก็เดินตรงเข้าไปที่ชายกับลูกแก้ว “ดูดวงหรือเปล่าครับ”
ชายในชุดภูมิฐานหลังลูกแก้วยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้โชคดี ข้าจะให้พรวิเศษกับเจ้าทั้งสองคน”
สิ้นเสียงคำพูดของชายลึกลับคนนั้น นายอินและนายสมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ภาพใบหน้าของผู้ยื่นข้อเสนอยังคงยิ้ม จากนั้นไม่นาน มีเงินก้อนโตปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ทั้งคู่เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นอ้าปากค้าง
“เอาเงินไปสิ คนละกอง” ชายที่นั่งอยู่พูด
ทั้งสองทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบเงิน แต่ก็มีเสียงทักขึ้นมา
“แต่เดี๋ยวก่อน ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะหยิบเงินก้อนนี้ไป และก็คงจะใช้หมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือพวกเจ้าจะขอพรวิเศษอะไรก็ได้จากข้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สบายไปตลอดชีวิต”
ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สายตาประสานกันของทั้งคู่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด ทั้งสองจึงพูดออกมาพร้อมกัน “งั้นเลือกขอพรวิเศษดีกว่า”
“พวกเจ้าทั้งสองฉลาดมาก พรที่ข้าจะให้นั้นจะมาจากคำขอของพวกเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น และอีกคนก็จะได้รับพรที่เหมือนกัน”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอีกครั้ง แต่เงื่อนไขนี้คงไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกลำบากอะไร จึงพูดออกมาพร้อมกัน “ครับ”
“แต่ยังไม่หมด” เจ้าของพรวิเศษทำเสียงเข้มจนทำให้นายอินและนายสมแปลกใจ “คนที่ไม่ได้ขอพรวิเศษจะได้รับพรเป็นสองเท่าของคนที่ขอพรวิเศษ พวกเจ้าไปตกลงกันมาว่าใครจะเป็นคนขอพร”
นายอินและนายสมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับเงื่อนไขนี้ พวกเขาทั้งสองออกมาคุยกัน นายอินรู้ดีอยู่ว่าตัวเขาเองอยากได้พรมากกว่านายสมเป็นสองเท่า เขาไม่อยากให้นายสมได้พรมากกว่าเขา หากเขาขอเงินหนึ่งพันล้าน นายสมก็จะได้เงินสองพันล้าน นายอินรู้สึกว่าหลายครั้งที่ถูกนายสมเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ เขาเป็นลูกไล่ลูกชนนายสมมาตลอดหลายปีมาแล้ว หากครั้งนี้นายสมสุขสบายกว่าเขาเป็นสองเท่า นั่นก็คงจะทำให้นายอินรู้สึกเจ็บแค้นไปตลอดชีวิต
เช่นเดียวกันกับนายอิน นายสมก็อยากได้พรเป็นสองเท่าของนายอิน บ่อยครั้งที่นายสมมักจะสร้างสถานการณ์ที่ถือไพ่ให้เหนือกว่านายอิน และครั้งนี้เขาก็พยายามพูดจาหว่านล้อมให้นายอินเป็นคนขอพรวิเศษ นายอินจึงต้องเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะของชายผู้ที่ว่าจะให้พร

เวลาผ่านไปไม่นาน นายอินเดินออกมายังจุดที่นายสมยืนอยู่ห่าง สีหน้าของผู้ได้รับพรยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ
“ว่ายังไงบ้างพ่อเศรษฐีใหม่ ขอพรอะไรไปเหรอ” นายสมยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงหัวเราะอย่างสะใจเล็ดลอดออกมาจากปากของนายอินแม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้
“ข้าขอให้ตัวเองตาบอดหนึ่งข้าง”
มาถึงตรงนี้นายอินไม่สามารถกักเก็บเสียงหัวเราะอย่างสะใจไว้ได้อีกแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น