วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Girl Dream : หญิงสาวจากความฝัน








วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส อากาศดีตั้งแต่เช้าเหมาะแก่ออกมาสูดออกซิเจนเข้าปอดยิ่งนัก แต่ที่ผมออกจากบ้านมานั่งที่ร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้าวันนี้ ไม่ใช่เพราะอากาศที่แจ่มใสน่าสัมผัสหรอก แต่เป็นเพราะวันนี้ผมมานั่งรอใครบางคนอยู่ต่างหาก เธอมักจะมานั่งกินกาแฟที่นี่เป็นประจำโดยสั่งเอสเปรสโซร้อนและสั่งคุกกี้โฮมเมดของร้านนี้ 3 ชิ้นทุกครั้งในทุกๆเช้าวันอาทิตย์ แม้ว่าอาทิตย์นั้นฝนจะตกหรืออากาศหนาวเหน็บเพียงใด เธอก็มา


ผู้อ่านอาจคิดว่าผมนั้นได้นัดเธอไว้ที่ร้านแห่งนี้ ซึ่งรอเวลาที่จะมาเจอกันตามเวลานัด แต่แท้จริงแล้วผมไม่รู้จักเธอเลย ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเธอพักอาศัยอยู่แถวไหน ไม่รู้ว่าเธอชอบสีอะไร ไม่รู้ว่าเธอชอบกินอาหารชนิดไหน ไม่รู้ว่างานอดิเรกของเธอคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเธอ และที่ไม่รู้ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมไม่รู้ว่าเธอนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอก็คือ เธอจะมาที่นี่ทุกเช้าวันอาทิตย์และจะสั่งเอสเปรสโซร้อนกลิ่นหอมฉุยพร้อมด้วยจานใบเล็กที่ถูกวางไว้ด้วยคุกกี้รูปร่างแปลกๆ 3 ชิ้นในนั้น เธอจะค่อยๆละเลียดกาแฟในแก้วเล็กพร้อมค่อยๆแทะกินคุกกี้โดยมืออีกข้างจะเปิดพลิกหน้านิตยาสารดาราไว้เสมอ มันเป็นนิตยาสารที่วางแผงทุกๆเช้าวันอาทิตย์


ผมเพิ่งจะบอกคุณผู้อ่านว่าผมนั้นไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ว่าเธอมีตัวตนหรือเปล่า แล้วผมจะรู้ว่าเธอจะมาได้อย่างไร มันอาจจะฟังดูแปลกๆไปสักหน่อย แต่ขอให้ผู้อ่านฟังสิ่งที่ผมจะพูดก่อน ผมเคยเจอเธอหลายครั้งในฝันของผมครับ มันนานหลายเดือนมาแล้วที่ผมเริ่มฝันเห็นหญิงสาวผมยาว ผิวขาวใสดวงตากลมโตพร้อมกับขนตาแพรยาว คิ้วโก่งสูงเหมือนคันศร โหนกแก้มสูงรับเข้ากับสันจมูกที่เรียวยาว ริมฝีปากของเธอนั้นสวยเรียวบางสีชมพูใสไร้เครื่องประทินโฉมใดๆ ในครั้งแรกที่ผมฝันเห็นเธอ เธอมาในชุดเดรสยาวสีน้ำตาลพร้อมด้วยสร้อยลูกปัดสีน้ำตาลเข้มเข้ากับชุด ผมคิดว่าฝันของผมนั้นไม่ธรรมดา เพราะในฝันผมสามารถจดจำรายละเอียดของฝันได้อย่างแม่นยำ สามารถจดจำสีที่ผมเห็นได้ จดจำทุกอิริยาบถทุกคำพูดที่เธอทำ


โดยปกติเมื่อคนเราฝัน เรามักจะจดจำเรื่องราวในความฝันในช่วงกลางๆหรือท้ายๆของฝันก่อนที่เราจะตื่น เราไม่เคยรู้หรอกว่าจุดเริ่มต้นของความฝันของเรานั้นมันเริ่มมาจากอะไร หรือเริ่มอย่างไร แต่ผมไม่ใช่ ผมรู้ตัวดีทุกครั้งที่ผมเริ่มฝัน มันจะเริ่มจากเช้าวันที่ผมเดินผ่านร้านกาแฟที่อยู่ในตัวอาคารของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และผมเห็นเธอนั่งในร้านคนเดียว เมื่อผมเห็นเธอครั้งแรก ผมจ้องเธออยู่นานจนเธอเริ่มรู้สึกตัว เธอตอบกลับสายตาของผมด้วยรอยยิ้มที่สดใสชวนฝัน และรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้ความฝันของผมในทุกๆคืนต้องพาผมไปเจอเธอที่ร้านกาแฟแห่งนั้นในครั้งถัดๆไป


และฝันในครั้งที่ 2 ที่ผมได้พบเธอนั้น มันเริ่มมีเรื่องราวที่น่าประทับใจจนผมอยากจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมนั้นอิ่มเอมใจนั้นมันเป็นอย่างไร


ผมเดินผ่านบานประตูกระจกบานใหญ่ของร้านกาแฟ สายตามองลอดผ่านเข้าไปข้างในเพื่อมองหาใครบางคนที่อาจจะนั่งอยู่ในนั้น นั่นไง! เธอนั่งอยู่ในนั้น สายตาของเราสบประสานซึ่งกันและกัน เธอเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากให้ผม นั่นจึงทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปในร้านและตรงไปที่เธอ


"สวัสดีครับ"


ผมเริ่มต้นความประโยคแรกด้วยถ้อยคำที่สั้นกระชับ แต่รอยยิ้มที่ตามไปนั้นยืดยาว


"สวัสดีค่ะ"


เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม


"คุณชอบมานั่งทานกาแฟที่นี่ทุกวันหรือครับ"


"ใช่แล้วค่ะ ของที่นี่เป็นโฮมเมดทุกอย่าง ทั้งเมล็ดกาแฟที่ปลูกและคั่วเอง และคุกกี้ที่เป็นเพียงขนมชนิดเดียวที่อยู่ในร้านนี้ก็อบเอง"


ผมมองเธอพูดพร้อมรอยยิ้ม นี่หรือคือนางฟ้าที่ผมนั่งคุยอยู่ด้วย


"เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณถึงดื่มแต่เอสเปรโซร้อน"


"ใช่แล้วคะ สิ่งที่ชั้นโปรดปรานสำหรับการดื่มกาแฟ คือความหอมของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่กลิ่นของน้ำเชื่อม คาราเมลหรือครีมใดๆ"


"ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เสพกาแฟยิ่งห่างหายจากรสกาแฟที่แท้จริง หรือบางทีพวกเขาเพียงแค่ต้องการหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ"


เธอยิ้มทุกครั้งที่พูด และยิ้มทุกครั้งที่รับฟัง นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมองไปที่เธอ


"ใช่แล้วค่ะ ครั้งหนึ่งชั้นก็พยายามทดลองหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ ลองชิมกาแฟรูปแบบแปลกๆ แต่ลองได้ไม่นานก็เบื่อ แต่รสชาติที่นักดื่มกาแฟไม่เคยเบื่อก็คือรสชาติของกาแฟนั่งเอง"


ผมและเธอหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจของประโยคสนทนา


และการพูดคุยในครั้งนั้นก็จบเพียงแค่นี้เมื่อผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน และแล้วเช้าวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อเหงาของผมก็วนเวียนมาอีกครั้ง เวลาทั้งอาทิตย์ที่ไหลผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า แรกๆนั้นผมก็ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องของเธอ เพราะคิดว่ามันคงเป็นแค่ฝันเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อ ในทุกคืนวันเสาร์ผมก็จะไปพบเจอเธอในฝันอีกเช่นเคย


คุณผู้อ่านลองฟังเรื่องความฝันของผมอีกสักเรื่องสิ บางทีผมก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่ มันอาจจะไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาก็ได้


และวันนี้ก็เป็นเช้าวันอาทิตย์อีกเช้าหนึ่ง ที่ผมเลือกที่จะเดินผ่านหน้าร้านกาแฟเดิม โดยพยายามมองเข้าไปผ่านบานกระจกใหญ่ เพื่อมองหาเธอ และผมก็เห็นเธออีกครั้ง ผมเดินเข้าไปหาเธอโดยไม่ต้องรอสัญญาณใดๆจากเธอแล้ว


"สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ"


เธอทักทายผมก่อนเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ และแน่นอน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นถูกส่งออกมาอีกครั้งจนเกือบที่จะทำให้ใจผมหยุดเต้น


"สวัสดียามเช้าครับ"


ผมตอบรับเธอพร้อมเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนัง มันแสดงเวลาตอนนี้ยังค่อนข้างจะเช้าอยู่ ผู้คนยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก สักพักเธอตะโกนสั่งเมนูเดิมๆจากพนักงาน ไม่นานแก้วกาแฟดำใบเล็ก และจานใส่คุกกี้รูปทรงแปลก 3 ชิ้นก็ถูกนำมาวางโดยพนักงาน และแน่นอน เธอหยิบนิตยาสารดาราขึ้นมาเปิดอ่านหน้าแรก


"ทำไมคุณถึงชอบอ่านหนังสือดาราครับ ความจริงแล้วเราก็ต่างรู้กันดีอยู่ว่าเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่จัดฉากมันขึ้นมาไม่ได้มีเรื่องใดๆที่เข้าใกล้ความเป็นจริงเลยสักนิด แม้ตัวหนังสือเองจะอ้างว่าเขาไปเจอเรื่องคนนู้นคนนี้มาเลยเอาข้อเท็จจริงมาเขียน"


ผมถามเธอออกไปตรงๆเช่นนั้น เพราะผมเห็นว่าท่าทางของเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด ไม่น่าจะมาอ่านนิตยาสารลวงโลกไปวันๆ ตอนนี้เธอแค่เปิดดูรูปภาพพร้อมอ่านข้อความสั้นๆจากหน้าแรก เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง


"ชั้นรู้ดีค่ะ ว่าเรื่องราวในนิตยาสารเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องโกหก เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสของดาราให้มีคนจับตามากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับบทละครบทหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นมา แต่มันก็แค่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันก็เท่านั้นเองแหละค่ะ"


เธอแสดงทัศนะคติออกมาได้อย่างฉลาดมาก ผมดูเธอไม่ผิดเลยที่ว่าเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา


"ในเมื่อคุณรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วยังจะอ่านมันอีกทำไมครับ"


"มันก็เหมือนกับที่เราดูละคร หรืออ่านนิยายแหล่ะค่ะ บางครั้งเราก็ได้ความเพลิดเพลินได้จรรโลงจิตใจของเราได้บ้าง เพื่อให้คลายความน่าเบื่อในชีวิตของเรา"


เธอยิ้มมาที่ผมอีกครั้ง


"แล้วคุณล่ะคะ เวลาที่คุณเบื่อๆคุณมักจะทำอะไร"


ผมอยากจะตอบเธอเหลือเกินว่า วิธีแก้เบื่อของผมก็คือการที่ได้นั่งอยู่กับเธอ ได้พูดคุยเรื่องต่างๆกับเธอ หรือเพียงแค่มองหน้าของเธอและรอยยิ้มใสๆจากเธอ แต่ผมยังไม่มีความกล้าพอที่จะพูดแบบนั้นออกไป


"คุณพูดถูกครับ ชีวิตเรานี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก และมันเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสเกินไปที่เราจะรับมือกับมันเพียงลำพัง"


ผมตอบคำถามเธอออกมาจากใจ เพราะลึกๆในใจผมแล้ว ผมเหงาเหลือเกินที่ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว


"ผมชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อดูในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น พบเจอผู้คนใหม่ๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์แปลกที่ในแต่ละคนไม่เคยเจอ ลองกินอาหารแปลกๆที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะกินได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็แค่ไปสูดอากาศในกลิ่นอื่นๆยังสถานที่ที่สภาพแวดล้อมต่างกันบ้าง"


ผมพยายามสรรหาคำตอบที่ฟังดูเท่ๆมาพูดกับเธอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมโกหก ผมเกลียดการเดินทาง ผมเบื่อที่จะพูดกับคนแปลกหน้าที่ความเห็นมักจะไม่ตรงกัน ผมมักจะกินแต่ของที่เคยกินเพราะกลัวไม่ถูกปาก และผมเป็นภูมิแพ้เกินกว่าที่จะไปสูดอากาศใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย


แต่คำตอบที่พูดออกไปนั้นถูกใจเธอ


"คุณเป็นคนน่าสนใจจริงๆค่ะ ทำในสิ่งที่ตัวชั้นเองบางครั้งก็ไม่กล้าทำ การออกไปพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด หากไม่เป็นการรบกวนบางทีชั้นอาจจะขอติดตามคุณเพื่อออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะคะ"


ผมและเธอยิ้ม เราทั้งคู่นั่งมองตากันพักใหญ่


และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถจดจำเรื่องราว และคำพูดที่เราทั้งสองพูดคุยกันได้อย่างแม่นยำ ผมจึงเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ผมเห็นในความฝันนั้นไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องฝัน


หลังจากนั้นผมพยายามใช้เวลาว่าในการหาข้อมูลว่า ความฝันนั้นจริงๆแล้วแท้จริงมันคืออะไร มันจะใช่นิมิตบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าและจะนำพาคนที่มาจากอนาคตมาให้ผมได้รู้จักได้หรือไม่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่จิตใต้สำนึกของผมเองที่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง จึงจินตนาการสร้างนางในฝันขึ้นมาแค่นั้นเอง


ในตอนแรกผมก็คิดว่าฝันคงผมนั้นคงจะไม่ใช่นิมิตหรือลางบอกเหตุอะไรนั่นหรอก เพราะมันก็ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง ผมคงคิดว่าจิตใต้สำนึกของผมเองได้สร้างฝันและเธอขึ้นมา ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ว่าไว้ ผมฝันหาเธอเป็นระยะ ทุกครั้งที่เราเจอกันก็จะเจอกันที่ร้านกาแฟร้านเดิม แก้วกาแฟรูปทรงเดิมที่มีน้ำสีดำๆอยู่ในนั้น คุกกี้รูปทรงเดิมจำนวน 3 ชิ้นและนิตยาสารดาราที่เปลี่ยนภาพหน้าปกในทุกครั้งที่เราเจอกัน


แต่ความฝันครั้งล่าสุดของผมนี่เอง ที่ทำให้ผมคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องจิตใต้สำนึกอีกต่อไป มันต้องเป็นลางนิมิตบอกเหตุการณ์ในอนาคตของผมแน่ๆ ถ้าคุณผู้อ่านไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันสามารถเปลี่ยนความคิดของผมได้ขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเราลองไปดูกันว่าฝันครั้งล่าสุดของผมนั้นเป็นอย่างไรกัน


ความสนิทสนมของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งนี้ผมไม่ต้องชะเง้อมองผ่านบานกระจกเพื่อมองหาเธออีกต่อไป ผมเดินเข้าไปหาเธอยังโต๊ะตัวเดิม และของที่อยู่บนโต๊ะก็เหมือนเดิม นิตยาสารปกเดิมในมือเธอแต่คราวนี้ภาพดาราบนหน้าปกเปลี่ยนเป็นนักร้องสาวสวยที่กำลังตกเป็นข่าวฉาวกับนักการเมืองระดับประเทศ


ผมเริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยรอยิ้มเหมือนเคย และก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเหมือนเคย


"คุณจำคำพูดที่ชั้นเคยพูดกับคุณเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้มั้ยคะ"


"เราคุยกันหลายเรื่อง ผมจำคำพูดของคุณได้ทุกเรื่อง คุณกำลังพูดถึงเรื่องไหนอยู่ล่ะครับ"


"คราวแล้วไงที่เราคุยกันเรื่องการหาอะไรทำแก้เบื่อของเรา"


"ครับ ผมจำได้"


ผมนึกขึ้นได้ทันที รวมถึงประโยคเท่ๆที่ผมพูดออกไป แต่คำพูดเหล่านั้นผมพูดโกหกออกไป ผมภาวนาว่าขออย่าให้เธอพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย


"ชั้นยังประทับใจในตัวคุณที่ว่าคุณเป็นนักเดินทาง ชอบไปยังสถานที่ใหม่ๆ พบปะพูดคุยกับคนใหม่ๆ และเจอสิ่งใหม่ๆ"


"อ๋อ ใช่แล้วครับ"


ผมยิ้มเจื่อนๆ


"คือว่าชั้นอยากให้คุณพาชั้นออกไปท่องเที่ยวแบบนั้นบ้างจัง อยากให้พาไปหาสภาพแวดล้อมใหม่ๆที่มันไม่น่าเบื่อซ้ำซากจำเจอย่างทุกวันนี้"


"มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครับ"


ผมยังคงพยายามเก็บอาการไว้ เรื่องที่เคยพูดโกหกออกไป


"คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าชั้นมักจะอ่านหนังสือพวกนี้เพื่อแก้เบื่อ ฆ่าเวลาในยามที่ไม่มีอะไรทำ แต่พอเวลาผ่านไปนานๆก็ทำให้รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมา มันก็ซ้ำๆเดิมๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ขึ้นมาเลย ตอนนี้ชั้นไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ชั้นนึกถึงคำพูดของคุณในการที่จะออกไปดูโลกที่แท้จริง มันคงจะงดงามและน่าตื่นเต้นเป็นไหนๆ"


เธอพูดออกมาด้วยแววตาที่คาดหวังอย่างแรงกล้า หากบอกเธอตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นเป็นเรื่องโกหก นั่นมันคงจะทำให้เธอเกลียดผมได้


"ได้สิครับ เรามาออกร่วมเดินทางไปด้วยกัน ผมมีสถานที่หลายแห่งที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณ คุณอยากจะไปเมื่อไหร่ครับ"


สีหน้าแห่งความหวังแสดงออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเธอ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าพาเธอไปไหนก็ได้สักที่ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร


"เอาอย่างนี้ค่ะ เมื่อเราเจอกันครั้งหน้า ชั้นจะใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน เวลานั้นชั้นจะสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้ เราจะมาเจอกันที่นี่และนั่งดื่มกาแฟกันก่อนที่ชั้นจะออกเดินทางไปพร้อมกับคุณ"


"ผมก็อยากออกเดินทางกับคุณเช่นกันครับ"


ใจหนึ่งผมก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องเดินทาง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีใจมากจนลืมสิ่งเหล่านั้นไปก่อน


"เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมจะให้นามบัตรคุณไว้ใบหนึ่ง เผื่อมีอะไรคุณสามารถโทรมาหาผมก่อนได้ครับ"


ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาและค้นหานามบัตรของผม ซึ่งตอนนี้มีมันอยู่แค่แผ่นเดียว ผมยื่นนามบัตรให้เธอทันที เธอรับไปจากมือผม จากนั้นเธอก็ความหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพายของเธอ


"ขอบคุณค่ะ และนี่นามบัตรของชั้น"


ผมรับมาและเก็บมันลงในกระเป๋าเงินทันที


เมื่อผมตื่นขึ้นจากฝันครั้งนั้น นั่งทบทวนคำพูดทุกคำที่ได้พูดกับเธอในฝัน หัวใจผมเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาและตรวจสอบดูว่ายังมีนามบัตรของผมหลงเหลืออยู่หรือไม่


ผมแทบตกใจจนเกือบจะตกเตียง เมื่อพบว่านามบัตรของผมที่เหลืออยู่ใบเดียวมานานหลายปีนั้น ได้ถูกหยิบออกไปแล้ว และมีนามบัตรของใครก็ไม่รู้ว่าอยู่ในกระเป๋าของผม มันมีชื่อเจ้าของบัตรเป็นผู้หญิงด้วย ตอนนี้ในหัวของผมเริ่มมึนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่านั่นจะไม่ใช่ฝัน แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ และผมก็ไปอยู่ที่นั่นด้วยปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง


ผมนึกถึงหนังวิทยาศาสตร์หลายเรื่องที่เคยดู มีการข้ามมิติหลายชั้นซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยาย เพื่อให้นางเอกและพระเอกที่อยู่ห่างไกลกันได้มาพบกัน


ช่วงวันเวลาระหว่างสัปดาห์ผ่านไปด้วยความเชื่องช้าเหมือนเคย ในเวลาระหว่างนั้นผมนั่งคิดอยู่นานว่านี่จะสามารถเป็นเรื่องจริงได้หรือไม่ และถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ผมจะได้เจอเธอในร้านกาแฟสักแห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในเช้าวันอาทิตย์ และเป็นสถานที่จริงๆ ตัวเธอจริงๆไม่ใช่ในฝันของผม


ผมคิดแผนอยู่นานว่าจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหน สุดท้ายก็คิดไว้ว่าจะพาเธอไปทะเลใกล้ๆนี่แหละ เพราะที่ทะเลมีทุกอย่างที่ถูกเซ็ทไว้ให้หมดแล้วสำหรับนักท่องเทียว มันจะมีอะไรมากไปกว่าโรงแรม ร้านอาหาร และหาดทราย


และในเช้าวันอาทิตย์นี้ที่เรานัดพบกัน ผมรีบขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อค้นหาร้านกาแฟที่ว่านั่น และก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ผมสามารถเดินตรงไปที่ร้านนั้นได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องค้นหา ตอนนี้เวลา 7 โมงแล้วห้างยังไม่เปิด แต่ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดกันหมดแล้ว ผมเดินเข้าไปนั่งรอเธอในร้าน เธอยังไม่มา นี่คงจะเช้าเกินไป ผมนั่งรอ


นี่แหละครับท่านผู้อ่าน สิ่งที่ผมเล่าไปนั้นคือสิ่งที่นำพาผมมานั่งอยู่ตรงนี้ เวลานี้ เวลาผ่านไปไม่นานแต่ผมก็เริ่มกังวลใจแล้วว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ นามบัตรที่ผมยื่นให้เธอไปนั้นผมอาจจะหยิบให้ใครไปนานแล้ว และนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าของก็อาจะได้รับมาจากใครสักคน


และเวลาก็ล่วงเลยไปเรื่อยจนเริ่มจะสายแล้ว เธอก็ยังไม่มาจนพบคิดว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องจริง จนกระทั่งผมได้ยินเสียงๆหนึ่ง


"ขอเอสเปรสโซร้อนหนึ่งที่ค่ะ คุกกี้ 3 ชิ้น"


ผมหันไปที่ต้นทางของเสียงทันที เธอคนนั้นยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ที่มีเครื่องชงกาแฟ และเธอยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนใส่รองเท้าผ้าใบ และสะพายประเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปไว้ด้วย เธอรับแก้วกาแฟและจานคุกกี้จากพนักงาน ก่อนที่จะหันหน้ามาทางผมพร้อมรอยยิ้ม เธอเดินตรงมายังโต๊ะที่ผมนั่ง


"ขอบคุณนะคะที่มาในวันนี้ ทานอะไรหรือยังคะ"


ผมแทบจะยืนอึ้งไปชั่วขณะ เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงคนจริงๆ และที่อยู่ต่อหน้าผมนั้นก็เป็นคนจริงๆซึ่งมีลักษณะทุกอย่างเหมือนในฝันของผม รวมทั้งรอยยิ้มของเธอ


"ผมเรียบร้อยแล้ว"


ผมตอบออกไปอย่างขวยเขิน ซึ่งอาจทำให้เธอประหลาดใจเพราะเราทั้งสองเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว ผมจึงต้องรีบทำตัวให้ปกติ


"จากที่เราคุยกันเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้คุณคิดได้หรือยังคะว่าจะพาชั้นไปเที่ยวที่ไหนดี"


มันเกิดขึ้นจริงๆด้วย สิ่งต่างที่เราคุยกันมาหลายเดือนนั้นมันเป็นเรื่องจริง แต่มันเกิดขึ้นที่ไหนนะ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบ ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็นจริงมันก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วในตอนนี้ จะมัวมาคิดอะไรตอนนี้ให้เสียเวลาอีก


"ครับ ผมจะขับรถพาคุณไปเที่ยวทะเลใกล้ๆแถวนี้ก่อน คุณคิดว่าอย่างไรครับ"


"ดีค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทรายขาวๆ"


ตอนนี้ผมยังตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เลย นี่สินะที่เรียกว่าปาฏิหาริย์


"แล้ววันนี้คุณไม่ซื้อนิตยาสารซุบซิบดาราอีกแล้วเหรอครับ ผมเดินผ่านแผงหนังสือ เล่มใหม่มาวางแผงแล้วนะครับ"


"ไม่แล้วค่ะ ชั้นเลิกอ่านนิตยาสารพวกนั้นแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เราควรที่จะไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ ห้างก็เปิดแล้วเราขึ้นไปข้างบนกันดีกว่าค่ะ"


"ตกลงครับ"


เราทั้งคู่เดินขึ้นไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อหาร้านอาหารหรูๆสักที่นั่งกัน เธอก้าวเดินไปเหมือนเด็กน้อยที่รู้ว่ากำลังจะไปเที่ยวสวนสนุก และนั่นมันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ใจผมเต้นเร็วและรัวเมื่อคิดในหัวว่าอยากให้เราทั่งคู่ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน ผมพยายามบังคับมือของผมให้ไปกุมมือเธอไว้


ระยะห่างอีกแค่ปลายนิ้วก้อยของผมก็จะไปสัมผัสที่ข้างมือของเธอ แต่ว่าสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!


(เสียงจากระบบสัญญาณเตือนภัยดัง)


ผมตกใจเมื่อเห็นคนรอบข้างต่างวิ่งวุ่นไป แม้แต่เธอก็วิ่งหนีออกจากผมไป และตอนนี้เริ่มมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมเริ่มรู้สึกสำลักควันไฟแล้ว


กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา เริ่มมองภาพของเพดานห้องนอนที่คุ้นเคย ผมหันหน้าไปที่นาฬิกาปลุกรุ่นโบราญที่กำลังสั่นกระดิ่งดังเพราะถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว


ผมเอื้อมมือไปปิดเสียงทันที พลันคิดด่าตัวเองในใจเรื่องที่ลืมปิดสวิทซ์ตั้งปลุกทีนาฬิกา ทั้งๆที่เช้านี้เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ ผมควรจะได้นอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันไฟจากกองเศษใบไม้ข้างบ้านกำลังถูกเผาควันโขมงลอยเข้ามาในห้องของผม


ผมลุกจากเตียงอย่างงัวเงียเพื่อจะเดินไปเข้าห้องน้ำ พลันคิดในหัวเล่นๆว่าเมื่อคืนนั้นผมฝันอะไรไปบ้าง


ใช่แล้วครับคุณผู้อ่าน ในทุกๆคืนวันเสาร์ที่ผมนอน มันจะเป็นบ้าอะไรไม่รู้ที่จะทำให้ผมมักจะฝันแปลกๆ ฝันในเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันมาหลายเดือนแล้ว และมันเป็นฝันที่ต่อเนื่องกันด้วยสิ เหมือนกับจะเป็นภาคต่อของฝันเลยด้วย เนื่องจากผมเองนั้นจำเรื่องราวของฝันได้ละเอียดยิบ อ่อ! ใช่สิ เมื่อคืนในฝันผมก็บอกเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับรู้ไว้แล้วด้วย


นี่แหล่ะครับ ความบันเทิงในชีวิตของผมก็คือความฝัน สิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้ความน่าเบื่อซ้ำซากจำเจของผมนั้นพอจะทุเลาลงได้บ้าง


ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ตอนเช้าในวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อในบ้านหลังเล็กที่ผมอาศัยอยู่คนเดียว ผมคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็คงจะดี คิดได้ดังนั้นผมรีบล้างหน้าแปรงฟันออกจากบ้านทันที ซึ่งเป้าหมายของผมในเช้าวันนี้ก็คือห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้าน


ในขณะที่ขับรถ ผมนึกถึงฝันเมื่อคืนแล้วแอบยิ้มปนหัวเราะอยู่คนเดียว ถ้าใครมาเห็นต้องนึกว่าผมเป็นบ้าอย่างแน่นอน และในความฝันของผมที่ฝันต่อเรื่องมาหลายครั้งนั้นได้สอนให้ผมเข้าใจถึงการที่จะได้เจอใครสักคนว่า ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาแค่นั้นเองที่จะทำให้เจอ หรือไม่เจอ


ตอนนี้เช้าเกินไปที่ห้างสรรพสินค้าจะเปิด ผมเดินดูรอบตัวห้างเผื่อว่าร้านอาหารไหนจะเปิดแล้วบ้าง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเลย จะมีก็แต่ร้านกาแฟที่เปิดตั้งแต่เช้าแล้ว ผมจึงเดินตรงไปยังร้านกาแฟร้านนั้น


ทันใดนั้นผมเห็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในร้านกาแฟ ผมคิดถึง 'เธอ' ในฝันของผมทันที หญิงสาวคนที่เดินเข้าไปในร้านสวมชุดเดรสยาวสีน้ำตาล เธอนั่งลงบนโต๊ะยาวใกล้ประตูทางเข้า ผมเปิดประตูเข้าไปและจ้องหน้าของเธอเพราะคิดว่าบางทีผู้หญิงในฝันอาจจะออกมาพบผมข้างนอกก็เป็นได้


ผมรู้ครับคุณผู้อ่านว่ามันฟังดูเหลวไหลไปหน่อย แต่ผมแค่คาใจเลยขอแค่ไปดูให้รู้แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่


"นี่คุณ... คุณ เราเคยรู้จักกันมาก่อนมั้ยคะ"


เธอคนนี้ไม่ใช่นางในฝันของผม แค่คล้ายๆ แต่เธอก็ดูน่ารักไม่เบาเหมือนกัน


"คุณคะ จ้องหน้าชั้นแบบนี้เราเคยรู้จักกันหรือเปล่า"


"ใช่ครับ เราเคยเจอกันมาก่อน"


แม้เธอจะแค่คล้ายๆกับนางในฝันของผม แต่เธอก็ทำให้ผมเคลิ้ม


"เฮ้ย! ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงหน้าของคุณคล้ายๆกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง"


เธอหัวเราะเบาๆ


"หน้าของชั้นคงโหลนะ"


"ปะๆ...เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องหัวเสีย"


"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณไม่ได้ทำให้ชั้นหัวเสีย และคุณไม่ใช่คนหยาบคายด้วย"


"แต่ถึงอย่างไร ผมก็ทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับคุณ"


ผมรู้สึกไม่ดีที่ทำอะไรเปิ่นๆต่อหน้าสาวสวย จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ความอายลดน้อยลง


"งั้นเอาอย่างนี้สิ คุณเลี้ยงกาแฟชั้นสักแก้วละกัน และถ้าคุณทายถูกว่าชั้นชอบดื่มกาแฟอะไร ชั้นจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน"


ผมรับคำท้า ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ใครๆก็อยากเลี้ยงกาแฟ ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์กาแฟและมองดูที่ป้ายเมนู เพื่อลองเลือกสุ่มเมนูกาแฟ


"น้องครับ พี่ขอเอสเปรสโซร้อน 2 แก้ว และ เอ่อ... ขอคุกกี้ในโถนั้นด้วย 3 ชิ้น"


ผมชี้นิ้วไปที่โถแก้วใบหนึ่ง ที่เต็มคุกกี้รูปร่างแปลกๆ ผมยกแก้วกาแฟและจานคุกกี้ไปที่เธอ


"น่าประหลาดใจมากที่คุณรู้ว่าชั้นชอบดื่มเอสเปรสโซร้อน และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือคุณรู้ได้อย่างไรคะ ว่าชั้นชอบทานคุกกี้แบบนี้ และต้อง 3 ชิ้นด้วย"


ผมถึงกับตกใจทำหน้าตาเหรอหรา เมื่อเธอบอกถึงรสนิยมตัวเอง ผมลังเลใจที่จะบอกความจริงว่าทำไมผมถึงสั่งเอสเปรสโซร้อน และคุกกี้รูปทรงประหลาดอีก 3 ชิ้น เพราะขี้เกียจอธิบายอะไรที่ยืดยาว


"ก็คือว่าผมชอบทานแบบนี้ครับ ก็เลยเหมาว่าคุณคงจะชอบด้วย"


เธอยิ้มร่าแสดงความชอบใจกับคำพูดของผม รอยยิ้มของเธอทำให้ผมคิดถึง 'เธอ' อีกคน


"และผมยังคิดว่าคุณคงจะชอบทะเล และหาดทรายสีขาวด้วย"


หญิงสาวทำหน้าอึ้งไป


"เอ๊ะ! ชั้นเคยบอกคุณเรื่องนี้ด้วยเหรอ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ใช่ค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทราย แต่คุณรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกันในเมื่อเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก"


ผมทำหน้าเหรอหราอีกครั้ง


"เอ่อ... ก็แบบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงจะชอบไปทะเลกันมั้งครับ ผมก็เดาเอา"


เราทั้งคู่นิ่งกันไปชั่วขณะ เธอคงนิ่งไปเพราะยังงงๆกับคำพูดของผม แต่ที่ผมนิ่งไปก็เพราะผมกำลังรวบรวมความกล้าในการที่จะพูดคำบางคำต่อจากนี้


"ในฐานะที่ผมเดาถูกว่าคุณชอบไปทะเล เอาอย่างนี้มั้ยครับ เราสองคนไปเที่ยวทะเลด้วยกันครับ"


หน้าผมเริ่มร้อน และตอนนี้มันคงจะแดงจนเธอสังเกตได้แล้ว


"ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเลย"


"ตกลงครับ"


เราทั้งคู่เดินออกจากร้านกาแฟเพื่อเดินไปยังลานจอดรถที่ผมเอารถไปจอด และในระหว่างทางนั้นเราเดินผ่านร้านขายหนังสือพอดี เธอเดินตรงไปที่แผงหนังสือ และหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแผง


"เอ่อ... คุณชอบอ่านนิตยาสารดาราหรือครับ"


เธอหยิบเงินจ่ายให้พ่อค้า


"ใช่ค่ะ ชั้นชอบอ่านนิตยาสารพวกนี้ แต่ความจริงแล้วชั้นตั้งใจไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่า จะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้แล้วเหมือนกัน แต่เห็นว่าเราจะเดินทางชั้นเลยขอมีอะไรติดไม้ติดมือไปอ่านบ้างแค่นั้นเอง"


เป็นอีกครั้งที่ผมทำหน้าเหรอหรา


"แล้วทำไมคุณคิดจะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้ล่ะ"


"ชั้นเบื่อ ชั้นเริ่มเบื่อเรื่องราวเหล่านี้แล้ว อย่างอาทิตย์ที่แล้วนิตยสารก็เสนอข่าวเรื่องของนักร้องสาวชื่อดัง ไปมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆกับนักการเมืองระดับประเทศ หรือดาราบางคนก็ออกมาแก้ข่าวฉาวของตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาอ่านดี เลยหยิบเล่มนี้มา"


เธอพูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังลานจอดรถ ผมเดินตามเธอข้างหลัง ในใจก็คิดนึกพิศวงอยู่ในบางเรื่องเหมือนกัน ผมล้วงกระเป๋าเงินของผมออกมาจากกางเกง จากนั้นก็เปิดมันออกมาเพื่อหานามบัตรของผมที่มันเหลืออยู่ใบเดียวมานานมากแล้ว


ผมเจอนามบัตรหนึ่งใบที่มีชื่อและรูปของผมเองติดอยู่บนนั้น ผมโล่งใจว่านี่คงไม่ใช่ฝัน พลันคิดว่าเรื่องบางเรื่องที่มันเกิดขึ้นในเช้านี้ที่มันดูแปลกๆ และยังหาคำตอบไม่ได้ ผมจะลืมมันไปก่อน ยังไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวในตอนนี้ เพราะผมกำลังจะไปเที่ยวทะเลกับสาวสวยแบบสองต่อสอง


คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งมาคาดคั้นอะไรให้ผมหาคำตอบในเรื่องราวน่าพิศวงเหล่านี้เลย ผมขอตัวก่อนนะครับ บาย




กลับบ้าน


"ค่ะพ่อ กลับแน่นอนค่ะ"

"ดีแล้วลูก เราไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตามาหลายปีแล้ว เดี๋ยวพี่ศรก็จะกลับมาด้วย"

"กลับแน่นอนค่ะพ่อ ปีแล้วหนูขอโทษด้วยที่ไม่ได้กลับเพราะที่ร้านเค้าอยากได้คนเฝ้าร้านช่วงสงกรานต์"

"อันนั้นไม่เป็นไร แต่ปีนี้ลูกต้องกลับบ้านให้ได้นะ อ้อ... จำเปิ้ลลูกแม่เปี๊ยกได้มั้ย เปิ้ลเค้ากลับมาอยู่ที่บ้านได้เดือนกว่าแล้วนะ"

"อ้าว จริงหรือคะ แล้วเปิ้ลเค้าไม่ทำงานที่กรุงเทพแล้วหรือ"

หนูนาคุยกับพ่อของเธอผ่านสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด โดยเธอคุยผ่านสมอล์ทอล์ค เวลาที่แสดงบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแสดงวันที่ 
8 เมษายน 255x เธอจะได้หยุดงานในวันที่ 11 เพื่อเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์

"พอดีว่าเธอกำลังท้องใกล้จะคลอดแล้ว เปิ้ลเค้าเลยขอหยุดลาคลอด 3 เดือนน่ะเพื่อจะมาคลอดลูกที่บ้าน แฟนของเปิ้ลเค้าก็ดีนะ รู้สึกจะชื่อเมธี ไม่รู้ลูกเคยเห็นมั้ย?"

"ไม่ค่ะพ่อ เปิ้ลไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟนเค้าให้หนูฟังเลยสักครั้ง เราไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว"

"อ่อ ไม่เคยเลยเหรอ เห็นว่าเปิ้ลเป็นเพื่อนสนิทกับลูก เมธีน่ะเค้ายอมย้ายมาดูแลเปิ้ลที่บ้านเลยนะ เมธีเค้าเป็นคนดีมาก น่ารักอัธนาศัยดี พ่อยังนึกอิจฉาแม่เปี๊ยกเค้าจริงๆเลย"

หนูนาฟังถึงประโยคนี้ก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกที่คอ เธอทอดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาโดยไม่ให้เสียงลมเล็ดลอกเข้าไปในสายโทรศัพท์ แต่เธอก็ยังไม่พูดอะไรออกมาในตอนนี้

"แล้วหนูนาล่ะจ้ะ เมื่อไหร่จะ..."

"พ่อ! เอาอีกแล้วนะ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว พ่อจะพูดเรื่องนี้ทำไมอีก"

หนูนาพูดเสียงดัง เหมือนระเบิดอารมณ์ที่อัดแน่นมายาวนาน

"พ่อยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

"หนูรู้ว่าพ่อจะพูดอะไร เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วนี่คะ โอกาสของคนเรามันไม่เหมือนกัน ชีวิตคนเราๆก็ไม่ใช่ว่าเราจะกำหนดเส้นทางเดินให้มันได้หมดซะทุกอย่าง"

"จ้ะๆ พ่อไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้ เอาเป็นว่าสงการนต์ปีนี้เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสักที"

"ได้ค่ะพ่อ ไว้เจอกัน สวัสดีค่ะ"

"อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน"

พ่อของหนูนารีบพูดขัด ก่อนสายจะถูกตัด

"มีอะไรอีกคะ?"

"คือว่าแม่ของลูกฝากความคิดถึงมาให้น่ะ"

"ค่ะ แม่เป็นยังไงบ้างคะตอนนี้"

"แม่แกก็สบายดี แต่ตอนนี้เห็นซึมๆไป ไม่ค่อยกินค่อยนอนเลย"

"จริงหรือคะ แม่เป็นอะไรมากมั้ย?"

"พ่อก็ไม่รู้นะ แต่เวลาแกเห็นลูกเขยข้างบ้านทีไร เป็นต้องซึมเศร้าทุกทีเลย พ่อก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร"

หนูนาถึงกับน้ำตาซึมเพราะสงสารแม่ ความจริงแล้วเธอเข้าใจหัวอกของผู้เป็นพ่อและแม่ดี ว่าพวกเขาก็อยากเห็นลูกสาวของตัวเองเป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ชะตาชีวิตของคนเรานั้นยากที่จะฝืน หนูนาคิดว่าตัวเธอเองนั้นคงไม่มีดวงเรื่องคู่ครอง แม้เธอเองจะมีหน้าตาที่สระสรวย หุ่นทรวดทรงก็ถือว่าดี แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นหลักประกันใดๆว่าเธอจะต้องมีคู่ครอง อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเธอที่พิถีพิถันในการเลือกคบหาคน

และเพื่อต้องการให้แม่ของเธอรู้สึกดีขึ้น หนูนาจึงเผลอพูดประโยคหนึ่งออกไป แต่เธอลืมนึกไปว่าความกดดันนั้นจะมาบีบบังคับเธอในภายหลัง

"งั้นพ่อช่วยบอกแม่ด้วยนะคะ เดี๋ยวหนูจะพาแฟนไปให้พ่อกับแม่รู้จัก"

"ได้จ้ะๆ เดี๋ยวพ่อจะรีบบอกแม่แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ พ่อต้องรีบไปบอกข่าวดีนี้กับแม่แล้ว"

สิ้นบทสนทนา น้ำตาของหนูนาไหลพรากลงกลางแก้มขาวๆ ที่ตอนนี้เริ่มฝาดไปด้วยเลือดแล้วเพราะเธอเริ่มร้องไห้อย่างหนักหน่วง เสียงร้องไห้ถูกสกัดกลั้นไว้ไม่ให้ดังออกมา แต่สายน้ำที่ไหลออกจากตานั้นเธอไม่สามารถที่จะสกัดกลั้นใดๆมันได้อีกต่อไปแล้ว คืนนี้เธอคงจะต้องนอนจมทุกข์กับบ่อน้ำตาอีกหนึ่งคืน

.....

ช่วงเที่ยงในร้านอาหารยุโรปแสนหรู หนูนาออกมาต้อนรับลูกค้าฝรั่ง ด้วยความที่เธอเป็นผู้จัดการของร้าน ช่วงกลางวันจนถึงเที่ยงจึงเป็นช่วงที่หนูนายุ่งมากจนลืมเรื่องราวที่คุยกับพ่อของเธอ กระทั่งเลยไปถึงเวลาบ่ายกว่าๆลูกค้าเริ่มเบาบาง เธอต่อสายโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิทเพื่อปรึกษาเรื่องที่จุกอกของเธออยู่

"สวัสดีจ๊ะเอ๋ คือว่ามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะ"

"แหม ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา ถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อนคงจะไม่โทรมาสินะ"

จ๊ะเอ๋เพื่อนสนิทของหนูนาที่เป็นสาวประเภทสอง เธอเป็นเพื่อนที่รักและคอยช่วยเหลือหนูนามาตลอด 4 ปีที่เธอทั้งสองเรียนจบจากคณะเดียวกัน

"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ พอดีช่วงนี้ชั้นยุ่งๆเรื่องงาน แต่ที่โทรมาวันนี้มีเรื่องจะปรึกษา"

"ได้เลยเพื่อน ไหนเล่าปัญหามาให้ฟังหน่อย"

หนูนาเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อของเธอเมื่อคืนนี้ให้จ๊ะเอ๋ฟังทุกอย่าง จ๊ะเอ๋รับฟังและเข้าใจในความทุกข์เรื่องนี้ของหนูนาดี เพราะก่อนหน้านี้จ๊ะเอ๋เองก็ทำหน้าที่เป็นระบายและปรึกษาความลำบากใจทุกอย่างของหนูนา

"เอาอย่างนี้มั้ย เพื่อนๆของแฟนชั้นหน้าตาดีๆเยอะเลย และส่วนใหญ่เป็นเกย์ทั้งนั้น เธอก็หิ้วกลับบ้านสักคนสิ"

"มันจะดีเหรอเธอน่ากลัวออก มีผู้ชายนั่งรถกลับบ้านด้วย"

"เดี๋ยวชั้นจะถามแฟนชั้นให้ว่ามีใครพอจะไว้ใจได้บ้าง เธอไม่ต้องกลัวหรอก พวกนี้มันไม่สนใจชะนีหรอก"

"อืม... ถ้ามันเป็นทางเลือกเดียว ชั้นสงสารแม่น่ะ รู้มั้ยว่าแม่ชั้นเค้าอยากมีหลานไว้อุ้มมานานแล้ว พี่ศรก็ดันมากลายเป็นแบบเธออีก"

จ๊ะเอ๋เงียบไปชั่วครู่

"แหมเธอ... ก็ใครเค้าจะเลือกเกิดได้ล่ะ หากชั้นเลือกเกิดได้ก็ขอเกิดเป็นชะนีสวยๆอย่างเธอนั่นแหละ แต่มันเกิดมาแล้วก็ต้องอยู่ให้มีความสุขเท่านั้นแหล่ะ"

"จ้ะๆ ชั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอ เข้าใจความรู้สึกของพี่ชายชั้นด้วย "

"งั้นเอางี้ละกัน เดี๋ยวให้ชั้นโทรถามแฟนก่อน เพื่อนๆเค้าแต่ละคนน่ากินมาก แต่แฟนชั้นน่ากินกว่า"

ทั้งคู่หัวเราะเบาๆ

"แล้วเธออย่าไปหลงคารมหรือหน้าตาพวกนั้นล่ะ"

"ไม่หรอก ถ้าวิธีนี้มันได้ผลจริงๆ และมันทำให้พ่อแม่ของชั้นจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ได้แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ"

"แต่เธอก็ต้องรู้นะว่ากำลังทำอะไรอยู่ เอาล่ะๆ เดี๋ยวตอนเย็นจะโทรหานะ"

จ๊ะเอ๋วางสายโทรศัพท์จากเพื่อนรัก เธอรีบโทรหาแฟนหนุ่มของเธอทันทีและได้คำตอบว่าให้มาคุยกันที่บ้านของคนทั้งสอง ตกเย็นทั้งคู่กลับบ้านมาเจอกันและพูดคุย

"มันก็ไม่ยากนะกับการจะจ้างใครสักคนเพื่อจะแกล้งไปเป็นแฟน คนที่ไว้ใจได้ก็มีหลายคน แต่เป็นช่วงเทศกาลนี่สิ คงไม่ค่อยมีใครว่าง"

กรแฟนหนุ่มของจ๊ะเอ๋พูดหลังรับฟังเรื่องราวทั้งหมดของหนูนา แม้แต่กรเองก็ยังกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเพื่อนสนิทของคนรัก เพราะกรเองก็รู้จักและสนิทสนมกับหนูนาเป็นอย่างดี

"น่าเสียดายจัง แล้วเราจะหาใครช่วยหนูนาดีล่ะ"

"มีน้องคนนึงน่าจะพอช่วยได้ แต่เขาเป็นคนรู้จักของเพื่อนกรอีกทีน่ะ"

"แล้วกรไปรู้จักน้องเค้าได้ยังไงล่ะ จะไว้ใจได้มั้ย"

จ๊ะเอ๋ถาม

"กรเคยเจอน้องเค้าครั้งนึงน่ะเป็นเหมือนกับกร ตอนไปหาเพื่อนที่บ้าน น้องเค้าอยู่บ้านข้างๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กรจะเข้าไปหาเพื่อนที่บ้าน แต่ไม่แน่ว่าน้องเค้าจะว่างมั้ย"

"ไม่เป็นไร ก็ลองไปหาดูก่อน ถ้าน้องเค้าไม่ว่างก็ค่อยว่ากัน"

วันรุ่งขึ้นกรไปหาเพื่อนที่บ้าน แต่ปรากฎว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่บ้าน กรจึงไปเคาะเรียกน้องข้างบ้านเองโดยที่ไม่ได้บอกเพื่อนของเขา

"หวัดดีมัส พอดีพี่มาหาเพื่อนพี่แต่เค้าไม่อยู่น่ะ"

"สวัสดีครับพี่กร พี่มีธุระอะไรกับพี่โจหรือครับ"

"เปล่าหรอก ความจริงพี่ต้องการมาหามัสต่างหาก พอดีพี่จะถามว่าช่วงหยุดสงกรานต์นี้มัสว่างมั้ย พอดีพี่อยากขอความช่วยเหลือหน่อยน่ะ อยากจะจ้างมัสให้ช่วยทำงานชิ้นนึง แต่มันอาจจะฟังดูแปลกๆหน่อยนะ"

มัสเกย์หนุ่มรุ่นน้อง เขาและกรเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว ด้วยหน้าตาที่ดูเป็นมิตรจึงทำให้กรค่อนข้างจะไว้ใจ

"ผมก็สนใจอยู่ครับพี่ ว่าแต่เป็นงานประเภทไหนกันหรือ"

"คือว่าพี่มีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนนึง แล้วช่วงวันหยุดนี้เธอจะกลับบ้าน แต่เธอต้องพาแฟนหนุ่มของเธอกลับบ้านด้วย..."

"จะให้ผมช่วยเป็นคนขับรถให้พวกเขาหรือครับ"

"เปล่าหรอก คืออยากจะให้มัสไปเป็นแฟนหนุ่มของเพื่อนพี่น่ะ"

มัสทำสีหน้าแปลกใจ

"จะให้ผมทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อผมชอบผู้ชาย"

"พี่ไม่ได้ให้มัสเป็นแฟนกับเพื่อนพี่จริงๆสักหน่อย แค่แกล้งทำให้พ่อแม่ของเธอเห็นแค่นั้นก็พอแล้ว"

"อ๋อ ให้ผมแค่แกล้งแสดง"

"ใช่แล้วล่ะ สรุปว่าจะรับงานนี้มั้ย"

"ตกลงครับพี่ หาเงินใช้ดีกว่า แล้วผมจะได้เริ่มงานเมื่อไหร่ครับ"

"เดี๋ยวพี่ให้เบอร์โทรของเพื่อนพี่ไป โทรคุยกันกับนายจ้างโดยตรงเลย"

กรให้เบอร์โทรศัพท์ของหนูนาไป ก่อนที่กรจะออกจากบ้านของมัส และในเย็นวันนั้นเองมัสได้โทรไปหาหนูนา และแนะนำตัวว่ากรเป็นคนที่ติดต่อเขามา

"สวัสดีครับ ใช่เบอร์พี่หนูนาใช่มั้ยครับ ผมชื่อมัส พอดีพี่กรแนะนำ"

"สวัสดีจ้ะมัส กรโทรมาบอกพี่แล้ว ตกลงว่าเธอจะมาช่วยพี่ใช่มั้ย"

"ใช่ครับ พี่พอจะช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่าผมต้องทำอะไรบ้าง แต่พี่คงรู้นะครับว่าผมไม่ชอบผู้หญิง ต้องขอบอกไว้ก่อน"

"เธอก็แค่นั่งรถกลับบ้านไปกลับพี่ ไปกินข้าวกับพ่อแม่พี่และพูดคุยกันแค่นั้นเอง"

"แล้วผมต้องแกล้งแสดงละครให้ดูเหมือนว่าเราเป็นคู่รักกันด้วยใช่มั้ย"

"ก็ต้องรบกวนหน่อยน่ะในเรื่องนั้น"

หนูนารู้สึกเชื่อใจและไว้ใจมัส เพราะว่าเป็นคนที่กรแนะนำให้ เธอจึงไม่รู้สึกกังวลใจใดๆและยอมให้คนที่เพิ่งจะคุยกันแค่ครั้งเดียว นั่งรถไปด้วยกับเธอ

"จะให้ผมเริ่มงานวันไหนครับ"

"อีก 2 วันพี่จะเดินทาง แล้วพี่จะไปรับเธอ"

"ตกลงครับ"

ในที่สุดหนูนาก็สามารถหาคนที่จะแกล้งควงไปหาพ่อและแม่ได้ เธอคงหวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ลดแรงกดดันจากพ่อแม่ ในเรื่องคู่ครองไปได้บ้างแม้จะแค่ชั่วคราวก็ยังดี โดยเฉพาะหวังว่าจะให้แม่ของเธอนั้นหายโศรกเศร้าได้บ้างก็ยังดี และเมื่อวันที่หนูนาจะต้องเดินทางมาถึง เธอไปรับมัสที่บ้านและมัสก็อาสาเป็นคนขับรถให้เธอเพื่อเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

"เดี๋ยวผมขับเองครับพี่"

มัสอาสาเป็นคนขับรถให้ จากนั้นทั้งคู่ออกแล่นสู่ถนนใหญ่มุ่งตรงไปยังบ้านเกิดของหนูนาที่ต่างจังหวัด

ในเย็นวันนั้นเอง จ๊ะเอ๋และแฟนหนุ่มชื่อกรได้ไปกินเลี้ยงงานปาร์ตี้ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พวกเขาทั้งสองดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไปไม่นานกรก็พบเพื่อนคนที่เขาไปหาที่บ้านเมื่อ 2 วันก่อน

"เป็นไงแมน เมื่อสองวันที่แล้วไปหาที่บ้านไม่เจอ"

กรทักทายเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนกัน
  
"อ๋อ วันนั้นติดงานลูกค้าต่างจังหวัดน่ะ เพิ่งจะกลับมาเมื่อคืน แล้วมีธุระอะไรเหรอ"

"พอดีว่าเพื่อนของจ๊ะเอ๋ที่ชื่อหนูนาน่ะ เธออยากหาผู้ชายที่จะให้แกล้งเป็นแฟนเธอพากลับบ้านไปให้พ่อแม่ดู ก็ว่าจะให้แมนช่วยหาคนให้น่ะ"

"อืม... ทำไมล่ะ ทำไมต้องแกล้งพาผู้ชายไปให้พ่อแม่เห็นด้วย"

"ก็พอดีว่าพ่อแม่เธอชอบมาพูดกดดันให้หนูนาพาแฟนไปให้ดูตัวบ้างน่ะสิ แต่ปัญหาคือหนูนายังไม่มีแฟน จึงต้องพาแฟนหลอกๆไปแล้วทำให้ดูเพื่อตัดความรำคาญมั้ง เห็นเธอว่าอย่างนั้นนะ"

"เป็นเรื่องที่แปลกมาก สมัยนี้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมเราแล้วเหรอเนี่ย แค่ลูกชายพาลูกสะใภ้ที่เป็นผู้ชายเข้าบ้านก็นับว่าแปลกแล้วนะ แต่นี่แปลกยิ่งกว่า"

 ทั้งคู่หัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนที่แมนจะพูดต่อ

"แล้วตอนนี้คนได้หรือยังล่ะ ผ่านมาตั้ง 2 วันแล้ว?"

"ก็พอดีเคยเจอน้องที่อยู่ข้างบ้านของแมนได้ เลยถามน้องเขาว่าสนใจรับงานมั้ย ปรากฎว่าน้องเค้าก็อยากได้เงินพอดีเลยรับงานนี้"

พอกรพูดจบประโยค สีหน้าของของแมนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

"น้องคนไหน!"

แมนทำเสียงแข็งขึ้นมาทันทีจนกรตกใจ

"มัสไง"

เมื่อได้ฟังคำตอบ สีหน้าของแมนแสดงออกถึงความตกใจอย่างสุดขีด

"เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!"

"ทำไมหรือ?"

"คนแถวบ้านเค้าเล่ากันว่ามัสเพิ่งจะหลุดคดีฆาตรกรรมออกมา เขาโดนแจ้งจับข้อหาฆ่าคน แต่พยานหลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้หลุดคดีออกมาได้ ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก"

"เรื่องจริงหรือนี่ ถ้าอย่างนั้นหนูนาก็ตกอยู่ในอันตราย ต้องบอกเรื่องนี้ให้จ๊ะเอ๋รู้โดยด่วน"

กรยังไม่ได้ถามเรื่องราวของมัสโดยละเอียดจากปากของแมน แต่ตอนนี้เขาต้องรีบส่งคำเตือนนี้ไปถึงหนูนาโดยเร็วที่สุดก่อน เมื่อจ๊ะเอ๋รู้เรื่องเธอรีบโทรศัพท์ไปหาหนูนาโดยเร็วที่สุด แต่ปรากฎว่าไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากเครื่องโทรศัพท์ของหนูนาปิด

"ติดต่อไม่ได้ เครื่องถูกปิด"

จ๊ะเอ๋พูด

"แล้วทั้งคู่นั้นจะเดินทางออกไปด้วยกันเวลาไหน"

แมนถาม

"หนูนาบอกว่าจะเดินทางวันนี้ตอน 4 โมงเย็น ตอนนี้เวลา 2 ทุ่มแล้วทั้งคู่น่าจะอยู่ด้วยกันแล้ว 4 ชั่วโมง"

จ๊ะเอ๋ตอบ

"งั้นขั้นแรกเราต้องไปแจ้งความกับตำรวจก่อน ถ้านายมัสนั่นเคยมีประวัติถูกฟ้องคดีฆาตกรรม ตำรวจต้องเร่งช่วยค้นหาแน่"

แมนแสดงความเห็น จากนั้นทั้ง 3 ก็ออกจากงานเลี้ยงและไปยังสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความคดีลักพาตัว เวลาผ่านไปไม่นานตำรวจก็ลงบันทึกประจำวันไว้และบอกทั้ง 3 ว่าจะเร่งติดตามโดยใช้ข้อมูลทั้งหมดที่หนูนาบอกไป

จ๊ะเอ๋ขับรถกบับบ้านในคืนนั้น เธอนึกขึ้นได้ว่าในรถของหนูนาได้ติด gps ติดตามรถในกรณีรถหาย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอนำใบแจ้งความไปที่บริษัทอุปกรณ์ gps และขอให้เขาแสดงพิกัดรถของหนูนา

ในที่สุดตำแหน่งพิกัดรถของหนูนาก็มาแสดงอยู่บนสมาร์ทโฟนของจ๊ะเอ๋ และในตอนนี้รถของหนูนานั้นได้ขับไปถึงจังหวัดยุธยาแล้ว ไม่รอช้า เธอและแฟนหนุ่มชื่อกรก็รีบเร่งเครื่องรถไปตามถนนออกนอกเมืองไปตามจุดหมายที่อยู่บนสมาร์ทโฟน

เวลาผ่านไปไม่นานตำแหน่งรถของหนูนาก็จอดแน่นิ่งอยู่นาน นั่นยิ่งสร้างความกังวลใจไม่น้อยให้กับจ๊ะเอ๋ เธอคิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ หรือคิดในแง่ดีก็คือหนูนาและมัสอาจจะจอดแวะพักกินข้าวหรืออาจจะพักนอนที่โรงแรมที่ไหนสักแห่ง

จ๊ะเอ๋มองดูเวลาที่หน้าจอในมือของเธอ ตอนนี้เวลาเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว และตำแหน่งพิกัดรถของหนูนาก็ไม่เคลื่อนไหวไปไหนกว่า 3 ชั่วโมง จ๊ะเอ๋ภาวนาว่าขอให้หนูนาจอดรถแวะพักนอนที่โรงแรมสักที่

และในที่สุดจ๊ะเอ๋และกรก็ขับรถมาถึงตำแหน่งรถยนต์ของหนูนา จ๊ะเอ๋โล่งใจว่าอย่างน้อยที่นี่ก็คือโรงแรม แต่ก็ยังไม่โล่งใจทั้งหมดจนกว่าเธอจะเจอหน้าเพื่อนรัก จ๊ะเอ๋รีบไปที่เคาท์เตอร์ของโรงแรมและรีบยื่นใบแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ดู เพื่อขอให้พาไปที่ห้องของหนูนา พนักงานเห็นใบแจ้งความถึงกับตกใจ รีบค้นหารายชื่อลูกค้าตามในใบบันทึกแจ้งความและให้พนักงานรีบพาจ๊ะเอ๋และกรขึ้นไปชั้นบน

เสียงเคาะประตูดังกึกก้องอยู่เนิ่นนานไร้เสียงตอบรับใดๆ จ๊ะเอ๋ร้อนใจขอร้องให้พนักงานรีบใช้กุญแจไขประตู พนักงานรีบความหาหมายเลขกุญแจในพวงกุญแจพวงใหญ่

ประตูถูกไข ไม่มีการล็อคกลอนจากด้านในของประตู และเมื่อจ๊ะเอ๋รีบผลุนผลันโผกระโจนเข้าไปในห้อง เธอถึงกับกรีดร้องเสียงดังน้ำตาไหลพร่างหล่นลงพื้นเมื่อเห็นภาพน่าสยดสยองอยู่ตรงหน้า กรรีบเข้าสวนกอดแฟนสาวของเธอไว้เพื่อหวังจะสะกดอารมณ์ของจ๊ะเอ๋ที่ตื่นตระหนกตกใจสุดขีดนั้นไว้

ผ้าปูที่นอนสีขาวตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม ร่างขาวนอนสงบแน่นิ่งไร้การตอบสนองใดๆ

.....

ในบ้านหลังหนึ่งกลับเงียบเหงาไรัเสียงอึกทึกครึกโครมใดๆ ซึ่งแตกต่างกับบ้านอีกหลายหลังในละแวกนั้นที่่ต่างก็เต็มไปดัวยผู้คนมากมาย บรรยากาศที่ตรึงเครียดระหว่างสามพ่อแม่ลูกนั้น ไม่มีใครพูดอะไรเพราะสิ่งที่ทั้ง 3 อยากพูดนั้นมันจุกอยู่ในอก งานสงการต์ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้วที่ไม่มีหนูนาในบ้านหลังนี้

อาถรรพ์ขุมทรัพย์มรณะ



ชายหนุ่มร่างใหญ่ 3 คนกำลังบรรจงค่อยๆใช้จอบโกยดินขึ้นมาจากหลุมลึกกว่า 2 เมตร หลุมลึกนี้เกิดจากที่พวกเขาออกแรงขุดดินในป่ารกร้างตามตำแหน่งที่มาลีชี้เป้าไว้ มาลีเปิดดูแผ่นกระดาษที่มีรูปร่างแผนที่คร่าวๆตามภูมิทัศน์โดยรอบแบบหยาบๆ และกากบาทสีแดงที่อยู่บนแผนที่นั้น


'กรึ่กๆๆ'


เสียงปลายจอบดังกระทบโลหะที่คาดว่าน่าจะเป็นฝาหีบเหล็กใบใหญ่ มาลีได้ยินเสียงนั่นเธอโยนสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมือลงพื้นก่อนรีบเดินเข้าไปสำรวจดูที่ขอบหลุม


"ลูกพี่ เราเจอมันแล้ว เราเจอหีบสมบัติแล้ว"


สบชัย ชาวบ้านที่ถูกมาลีว่าจ้างให้นำทางเข้ามาในป่าลึก มาลีจ้างเขาโดยสัญญาว่าจะแบ่งสิ่งของที่อยู่ในหีบเหล็กนั้น ซึ่งมาลีได้บอกกับสบชัยว่าสิ่งของที่เธอกำลังตามหาอยู่นั้นมีมูลค่ามหาศาล สบชัยจึงขอให้เพื่อนสนิทรุ่นน้องของเขาอีก 2 คนมาช่วยงานด้วย และมาลีก็ไม่ขัดข้องที่ก้องฟ้ากับมานะจะเข้ามาเป็นตัวหารสมบัติ เพราะระยะทางและการนำทางเพื่อที่จะเข้ามายังจุดหมายในป่าลึกนั้น มันต้องผ่านอุปสรรคและอันตรายนับไม่ถ้วน


"ดีมากทุกคน ช่วยกันยกขึ้นมาเลย ค่อยๆนะ"


มาลีส่งแรงใจให้ 3 หนุ่มช่วยกันยกหีบสมบัติขึ้นมาจากปากหลุม และพวกเขาทั้ง 3 ก็ช่วยกันยกมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเพราะมีถึง 3 แรง และในที่สุด สิ่งที่มาลีเฝ้ารอคอยก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ที่ฝาหีบนั้นมีแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องปิดอย่างแน่นหนา แต่นั่นมันไม่ทำให้มาลีรู้สึกกังวลใจใดๆเลย เมื่อเธอสั่งให้สบชัยใช้ปืนลูกซองเล็งไปที่แม่กุญแจ


'เปรี้ยงงงงง!!!'


เสียงปืนลูกซองแผดดังก้องผืนท้องป่า ฝูงนกกากระพือปีกบินกันด้วยความตกใจ และแล้วแม่กุญแจตัวใหญ่ที่เคยคล้องที่ฝาหีบก็แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี เป็นทีที่มาลีจะเดินเข้าไปและเปิดฝาหีบออกทันที


ทองคำหลายสิบแท่ง สร้อยแหวนเพชรนิลจินดาและธนบัตรกองใหญ่ที่น่าจะมีเงินสัก 20 ล้าน ทั้ง 4 มองสิ่งของที่อยู่ในหีบนั้นตาไม่กระพริบ เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดจาอะไรใดๆออกมา มาลีลูบคลำสร้อยแหวนเงินทองในขณะที่ชายหนุ่มทั้ง 3 หยิบจับธนบัตรปึกใหญ่ขึ้นมาดอมดม


"ลูกพี่ พวกเรา 3 คนจะได้ส่วนแบ่งกันคนละเท่าไหร่กัน"


สบชัยพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ในชาตินี้เขาไม่เคยจับอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อมีเงินจำนวนมากอยู่ในมือ นั่นก็หมายถึงอำนาจวาสนา และบารมีที่เพิ่มขึ้น สบชัยคิด


"ก็แบ่งสมบัติออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน แต่ละคนก็เอาไปคนละส่วน แฟร์ๆไปเลย"


มาลีพูด ชายหนุ่มทั้ง 3 ตะโกนโห่ร้องดังลั่นป่า พวกเขาไม่ต้องกลัวใครจะมาได้ยิน เพราะในป่าลึกแบบนี้มีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น


"วันนี้เราจะฉลองกัน เดี๋ยวผมจะทำเมนูอาหารป่าสุดวิเศษไปเลย แต่ขอผมและมานะออกไปล่าสัตว์และเก็บของป่าก่อน และวันนี้เรามีเหล้าป่าอีก 4 ขวด"


ก้องฟ้าพูดจบก็เดินไปหยิบปืนลูกซองคู่ใจพร้อมด้วยมีดสะปาต้าเล่มยาวสะพายบ่าไว้ เพื่อเตรียมตัวออกไปหาวัตถุดิบมาทำอาหารค่ำในคืนนี้โดยมีมานะติดตามไปด้วย


เมื่อเหลือเพียงแต่มาลีและสบชัยอยู่ด้วยกันตามลำพัง


"ลูกพี่ถามจริงๆเถอะ ค่าจ้างพวกเราเข้ามาในป่าแค่นี้กับจำนวนมูลค่าของค่าจ้าง มันมากเกินไปหรือเปล่า"


มาลีละสายตาออกมาจากเครื่องประดับทองนานแล้ว เธอปิดฝาหีบไว้


"ที่ฉันเข้ามาป่ามาครั้งนี้ ความจริงแล้วฉันไม่ได้หวังจำนวนของสมบัติอะไรนั่นหรอก คือฉันแค่อยากจะพิสูจน์กับแผนที่และคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมาแค่นั้นเอง ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ฉันแค่คิดว่านี่คือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นแค่นั้นเอง และส่วนแบ่งของพวกเธอนั้นมันก็สมน้ำสมเนื้อที่จะได้รับแล้วนี่ ถ้าตัวฉันคนเดียวคงไม่มีทางเข้ามาเอาเจ้าหีบเหล็กนี้ออกไปจากป่าได้อย่างแน่นอน"


"พวกเรารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้มาทำงานนี้ ว่าแต่ไหนๆเราก็เจอสมบัตินี้แล้ว ลูกพี่พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าแผนที่นี้มาจากไหน และใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ"


"ได้สิ แต่เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟังนะ คือว่าฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่พ่อของเขาเป็นคนชอบสะสมของเก่า อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่ฉันกับเพื่อนเดินดูของเก่ากัน ฉันเปิดดูในตู้เอกสารไม้ปรากฎว่าเจอเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพแห้งกรอบไปตามกาลเวลา เราทั้งคู่ค่อยๆพลิกกระดาษแต่ละแผ่นดูอย่างระมัดระวัง เนื้อความในเอกสารเป็นเหมือนบันทึกการปล้นร้านทองแห่งหนึ่ง และยังมีบันทึกเกี่ยวกับการปล้นธนาคารที่อยู่ใกล้เคียงกันอีกด้วย"


มาลีหยุดพูด เธอหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาและเทน้ำใส่ปาก ก่อนที่จะใช้หลังมือปาดคราบน้ำที่ติดอยู่บนริมฝีปาก สบชัยได้โอกาสรีบถาม


"เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับสมบัติที่อยู่ในหีบนี้หรือ?"


"ตอนแรกฉันก็คิดว่าข้อความในกระดาษนั้นเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น อาจจะเป็นพล็อตเรื่องนิยายของใครบางคน ในตอนนั้นฉันและเพื่อนจึงไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก เอกสารทั้งหมดจึงถูกเก็บไว้ที่เดิม แต่เวลาผ่านไปหลายวันฉันเรื่มคิดว่าข้อความในเอกสารนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเพราะมันมีการระบุสถานที่ วันเวลาและชื่อคนอีก 3 คนที่ดูจะเหมือนจริงมาก เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงไปขอถ่ายรูปเอกสารเหล่านั้นจากเพื่อน ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้องใดๆ"


เสียงฟ้าร้องดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของมาลี เมื่อเสียงคำรามบนท้องฟ้าชุดแรกจบลง เม็ดฝนเม็ดเล็กค่อยฟุ้งกระจายลงมา


"ช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่หน้าฝนพอดี แต่ผมเตรียมผ้าใบไว้แล้ว เดี๋ยวผมขอเอาไปผูกกับกิ่งไม้ก่อน เราจะได้มีร่มหลบฝนกัน"


สบชัยพูดเสร็จก็เดินไปแก้เชือกที่มัดระหว่างม้วนผ้าใบกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ จากนั้นเขากางผ้าใบออกและขึงมันเข้ากับต้นไม้ 4 มุมอย่างชำนาญ พื้นที่ว่างใต้ผ้าใบกว้างพอที่จะกางเต๊นท์ 4 หลังโดยมีกองไฟอยู่ตรงกลาง เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สบชัยกลับเข้ามาคุยกับมาลีอีกครั้ง เพื่อฟังเรื่องเล่าจากมาลีต่อ


"ในเอกสารนั้นมีการระบุวันเวลาของเหตุการณ์ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีที่แล้ว จากนั้นฉันลองกลับไปค้นหาข่าวเก่าๆในเรื่องคดีการปล้นร้านทองและธนาคารตามวันเวลาที่ได้มา ปรากฎว่ามีข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นจริงๆและสถานที่ก็ตรงกันด้วย ในเอกสารบอกว่าพวกเขาจะกลับมาขุดเอาสมบัติออกไปหลังจากนั้น 20 ปี"


"อืมมม... เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แต่ลูกพี่! ในเอกสารนั่นมีการบอกไว้ว่าจะมีการกลับมาขุดหีบสมบัติภายหลังอีก 20 ปี แต่นี่มันก็ผ่านมาแล้ว 23 ปี ลูกพี่มั่นใจได้อย่างไรว่าหีบสมบัตินี้จะยังอยู่"


สบชัยเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาสงสัยในข้อขัดแย้งบางอย่าง และในตอนนี้สายฝนเริ่มลงหนาเม็ดขึ้นแต่มันก็ไม่สามารถขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ได้แล้ว


"ใช่... ตอนแรกฉันก็คิดว่าพวกเขาทั้ง 3 คงจะมาขุดเอาสมบัติออกไปแล้วแน่ๆ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อมั่นว่าสมบัติยังคงถูกฝังอยู่นั้นเพราะว่า ในเอกสารมีการระบุชื่อคนไว้ 3 คน ฉันได้ลองสืบหาชื่อของคนเหล่านั้น ชื่อแรกนั้นชื่อนาย จัน บำรุงบุญ นายจันนั้นแท้จริงแล้วคือพนักงานของธนาคารที่ถูกปล้นแห่งนั้นนั่นเอง คนต่อไปคือนาย สม รัศมี นายสมนั้นเป็นช่างทำทองร้านที่ถูกปล้น และคนสุดท้ายคือนาย อำนาจ มาทองสุก นายคนนี้คือนักเขียนนิยายชื่อดังเหมือนกัน ฉันคิดว่านายอำนาจเป็นคนจดบันทึกเรื่องราวละเอียดยิบนี้ลงบนกระดาษ"


"แล้วพวกเขาไม่กลับมาเอาของเหรอ หรือว่าเขาทำเอกสารแผนที่หาย แล้วลูกพี่รู้ได้อย่างไรว่าเขาทำเอกสารหายก่อนที่จะมาขุดสมบัติกัน"


มาลีหยุดพูด เธอหันหน้าหลบไปให้พ้นสายตาของสบชัยก่อนจะพูดว่า


"พวกเขาตายหมดแล้ว!"


"จริงหรือนี่ แล้วพวกเขาตายไปเมื่อไหร่กัน?"


"นี่เป็นเหตุการณ์ที่ประหลาดมากเช่นกัน ทั้ง 3 คนนั้นตายวันเดียวกันแต่ต่างสถานที่และสาเหตุการตายที่ต่างกัน นายจันนั้นรถชนตายหน้าธนาคารตอนที่กำลังจะข้ามถนนเพื่อไปทำงาน นายสมโดนไฟฟ้าดูดตายเพราะเอานิ้วไปกดสวิทซ์พัดลมเหล็กที่ไฟรั่ว และนายอำนาจตายเพราะเศษอาหารเข้าไปอุดหลอดลมตายในบ้านพัก และที่หน้าแปลกกว่านั้นพวกเขาตายในวันเดียวกันหลังจากที่เกิดคดีปล้นธนาคารและร้านทองเพียงแค่ปีเดียวพอดี"


"แสดงว่าสมบัติเหล่านี้มีอาถรรพ์!!??"


มาลีหันมาสบตากับสบชัย เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่สบชัยพูดออกมา


"เรื่องนั้นฉันก็เคยคิดเหมือนกัน แต่สำหรับตัวฉันเองแล้วมันก็ยากที่จะเชื่อในสิ่งเหล่านั้น มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่คนทั้ง 3 นั่นตายในวันเดียวกัน อุบัติเหตุมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้วนี่"


"และเรื่องอาถรรพ์นี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งใช่มั้ยที่ลูกพี่ต้องการพิสูจน์?"


มาลีนิ่งเงียบไปสักพัก เธอหลบสายตาของสบชัยอีกครั้ง


"มันก็ไม่เชิงหรอก เพราะฉันไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว แล้วเธอล่ะสบชัย เธอกลัวมั้ย?"


ถึงคราวที่สบชัยนิ่งเงียบบ้าง เหมือนเขากำลังสำรวจจิตใจตัวเองอยู่ตอนนี้เพื่อจะได้บอกถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่


"ผมก็เริ่มกลัวๆแล้วบ้างเหมือนกัน แต่เรามาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ผมถอยก็คงจะไม่ทัน ใช่!! การตายของคน 3 คนนั้นในวันเดียวกันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ"


จบการสนทนาในเรื่องที่มาของลายแทง ทั้งคู่หัวเราะเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ ไม่นานทั้งก้องฟ้าและมานะก็เดินกลับมายังที่ตั้งเต๊นท์ในลักษณะที่เปียกปอน มานะหิ้วกวางตัวน้อยที่ตายแล้วพาดบ่าเดินมา ในขณะที่ก้องฟ้าหิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ใส่เหล่าพืชผักใบไม้และเห็ดป่า


"ดูนี่สิ ดูว่าเราได้อะไรมา"


มานะโชว์กวางที่เขาล่ามาได้ให้ทั้งสบชัยและมาลีดู


"ไม่รู้ว่าลูกพี่จะกินอาหารป่าของเราได้มั้ย"


สบชัยหันไปถามมาลี ซึ่งทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อนึกถึงอาหารที่เธอไม่คุ้นเคย


"ก็น่าจะได้มั้งอาหารป่ากับเหล้าป่า เข้าป่ามาทั้งที่จะให้กินของในเมืองก็กะไรอยู่"


สิ้นเสียงพูดมาลี ทั้ง 4 ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นชายหนุ่มทั้ง 3 ช่วยกันจัดแจงเตรียมทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ในคืนนั้นมีการกินอาหารและดื่มกินเหล้าป่า สำหรับมาลีแล้วเธอไม่เคยกินเหล้าป่า เมื่อเธอกินแก้วแรกผ่านไปในอารมณ์ที่เหล้าบาดคอ แก้วต่อๆไปจึงเป็นเรื่องง่ายแล้วที่จะดื่มมัน ประจวบกับอากาศที่ค่อนข้างเย็นในป่าลึกหลังฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อสักครู่ การดื่มเหล้าจึงทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ดียิ่งนัก


บทสนทนาในวงรอบกองไฟนั้น จะเป็นเรื่องเล่าและตำนานพื้นบ้านเก่าๆที่เล่าออกมาผ่านปากของชายหนุ่มทั้ง 3 บางครั้งมีเรื่องสยองๆบ้าง เรียกเสียงกรี๊ดจากมาลีได้ในบางครั้ง แต่โดยรวมส่วนมากจะเป็นเสียงหัวเราะสนุกสนานจากวงเหล้ามากกว่า


และถึงเวลาที่ค่ำคืนนี้ต้องสิ้นสุดลง เมื่อทั้ง 4 ต่างเมามายง่วงนอนกัน สบชัยอาสาเป็นคนดับกองไฟในขณะที่คนอื่นๆก็ต่างแยกย้ายเข้านอนเต๊นท์ใครเต๊นท์มัน เมื่อแสงไฟจากกองฟืนมอดลง ความเงียบสงบก็กลับคืนมาสู่ผืนป่าอีกครั้ง


แสงอาทิตย์ส่องแสงแรงทำให้อากาศในเช้าวันนี้ร้อน มาลีค่อยๆคลานออกมาจากเต๊นท์ฃองเธอแต่ก็ไม่พบใคร เธอคิดว่าทุกคนคงเมาหลับต้องการเวลาพักฟืนนานหน่อย มาลีไปที่เป้ของเธอเพื่อหยิบอาหารกระป๋องออกมา 4-5 กระป๋องเผื่อคนอื่นๆ เสียงดังกุกกักๆของเธอทำให้สบชัยและมานะค่อยๆคลานออกมาจากเต๊นท์เช่นกัน


"เป็นไงบ้าง เมื่อคืนหนักมากเลยนะ ฉันยังมึนหัวอยู่เลย"


มาลีพูดเรียกเสียงหัวเราะจากชายทั้ง 2


"เหล้าป่ามันก็อย่างนี้แหล่ะสำหรับคนที่ไม่เคยกิน แต่เมื่อคืนลูกพี่ก็ดื่มไปเยอะเหมือนกันนะ"


สบชัยพูดทำให้บรรยากาศอบอวนด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง


"ก็ดีนะ นานๆเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี เอ้อ... แล้วก้องฟ้ายังไม่ตื่นเหรอเนี่ย"


"ยังมั้ง ไอ้นี่เวลาเมาก็แบบนี้แหล่ะ หลับยาวกว่าจะตื่นก็สายๆ"


มานะพูดบ้าง มาลีพลิกดูนาฬิกาที่ข้อมือแสดงเวลาที่ยังค่อนข้างเช้าอยู่


"นี่ก็ยังเช้าอยู่เลย ปล่อยเขานอนเอาแรงไปก่อน พวกเรามากินอาหารกระป๋องง่ายๆลองท้องกันก่อน"


พูดจบมาลีก็ยื่นอาหารกระป๋องให้พร้อมช้อนเหล็ก ทั้ง 3 นั่งล้อมวงกินกันก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวกัน


เวลาล่วงเลยเริ่มสายแล้ว แดดเริ่มแรงจ้าแผ่รัศมีความร้อนยิ่งขึ้น บรรยากาศความเขียวชะอุ่มของใบไม้ที่ถูกชะโลมด้วยน้ำฝนเริ่มเหือดแห้ง สบชัยเริ่มแปลกใจว่าทำไมก้องฟ้ายังไม่ตื่นสักที เขาเดินไปเปิดเต๊นท์ของก้องฟ้าเพื่อเตรียมปลุกให้ตื่น


แต่ปรากฎว่า! ไม่มีใครอยู่ในนั้น สบชัยรีบตะโกนเรียกอีก 2 คนมา


"ก้องฟ้าไม่อยู่ในเต๊นท์"


สบชัยพูด


"เขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"


มาลีถาม


"ก็คงจะก่อนที่พวกเราจะตื่น แต่ก้องฟ้ามันจะออกไปไหน ไปทำอะไร"


สบชัยตั้งข้อสงสัย


"อาจจะไปหาของป่ามั้ง ก้องฟ้ามันชำนาญเรื่องของป่า หรือไม่มันก็ออกไปเมาหลับที่อื่นก็ได้"


มานะพยายามพูดในแง่ดี แต่ทั้ง 3 ยังคงกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของก้องฟ้า


"เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพวกเราออกไปตามหาก้องฟ้ากัน ลูกพี่ช่วยดูแถวใกล้ๆนี้ก็ได้ ไม่ต้องออกไปไกลเดี๋ยวหลงป่า"


สบชัยพูดจบก็แยกย้ายกันออกตามหาก้องฟ้ากันคนละทิศคนละทาง เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครพบก้องฟ้า ทั้งหมดจึงกลับมารวมตัวกันที่จุดตั้งเต๊นท์


"เอาอย่างนี้ เรามาลองคิดว่าก้องฟ้าจะออกไปไหนได้บ้าง และไปในทิศทางไหน"


สบชัยพูด


"ก้องฟ้ามันอาจจะออกไปฉี่ เมื่อคืนเราดื่มกันหนัก"


มานะตอบ


"ถ้าไปฉี่ก็น่าจะฉี่ข้างต้นไม้ใกล้ๆนี่ก็ได้ จะไปที่ไหนไกล"


สบชัยถามอีกครั้ง


"เมื่อวานตอนออกไปเก็บของป่ากับก้องฟ้า เรา 2 คนแวะฉี่ตรงเนินหน้าผาไม่ไกลจากนี่ เรายังคุยกันว่าที่นี่วิวดีเป็นสวรรค์ของการฉี่ เมื่อคืนมันเมามันอาจจะไปฉี่ที่นั่นก็ได้"


"ถ้าอย่างนั้นเราไปดูพร้อมกันเลย มันอาจจะเมาหลับอยู่ที่นั่น"


ทั้ง 3 เดินมุ่งหน้าไปยังเนินผาโดยมีมานะเดินนำไป เมื่อทั้ง 3 มาถึงก็ไม่พบก้องฟ้าที่เนินหน้าผานี้ สบชัยจึงเสนอว่าให้แต่ละคนเดินดูรอบๆแถวนี้ ทั้ง 3 แยกย้ายกันไปแต่ไม่นานก็เดินกลับมารวมตัวกันที่จุดเดิมโดยที่แต่ละคนก็ไม่มีใครพบก้องฟ้า


"เอาล่ะ ถ้าคิดว่าก้องฟ้ามาที่นี่จริงๆ และแถวนี้ที่เดียวที่เรายังไม่ได้ไปคือก้นหน้าผานี้"


สบชัยพูด


"หมายความว่ายังไง! ก้องฟ้าตกหน้าผา"


เสียงพูดของมานะแสดงออกมาถึงความตกใจอย่างชัดเจน


"เราต้องลงไปดูกัน"


สบชัยพยายามมองหาทางเพื่อเดินลงไปยังก้นหน้าผา เขาเจอมันจึงบอกให้มานะไปกับเขา


"เดี๋ยวผมขึ้นมานะ ลูกพี่ยืนรออยู่ตรงนี้"


สีหน้าของมาลียังคงนิ่งเรียบ ท่าทางเธอคงยังรู้สึกงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาผ่านไปหลายสิบนาที สบชัยและมานะเดินขึ้นมาจากก้นเหวพร้อมช่วยกันแบกร่างที่ไร้ลมหายใจของก้องฟ้าขึ้นมา


เสียงร้องไห้ของมานะดังมาไม่ขาดสาย ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อสูญเสียเพื่อนรักไปทำให้มานะถึงกับสติแตก


"มันเกิดอะไรขึ้น"


มาลีถามด้วยน้ำเสียงตกใจ


"เขาคงลื่นตกหน้าผาตอนที่กำลังยื่นฉี่ลงไปในก้นเหวน่ะ นั่นไงจุดที่คิดว่าเขาจะยืนฉี่ เมื่อคืนฝนตกทำให้พื้นดินแฉะ และขอบหน้าผามีใบหญ้าด้วย ก้องฟ้าอาจจะลื่นตกลงไป"


สบชัยพูด ทั้ง 3 เดินกลับไปยังจุดตั้งเต๊นท์โดยที่สบชัยและมานะช่วยกันแบกร่างของก้องฟ้าไปด้วย


เมื่อกับมาถึงจุดตั้งเต๊นท์ เสียงร้องไห้ของมานะเงียบลงไปแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงเสียใจและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้


"แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี"


เสียงมานะพูดอย่างสะอื้น


"เอาน่า ไหนๆมันก็ตายไปแล้ว เรื่องการตายในป่ามันก็เป็นเรื่องปกติของหมู่บ้านเรานี่ มีคนเข้ามาหาของป่าแล้วตายมันก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว"


สบชัยพยายามพูดปลอบใจมานะที่ยังอยู่ในอารมณ์ที่เริ่มหวาดวิตก


"แต่มันเป็นเพื่อนรักของผมนี่"


"ข้ารู้ๆ แต่เอาเถอะ แกก็พยายามทำใจให้ได้ละกัน"


สบชัยพูดปลอบใจอีกครั้ง เขาตั้งใจว่าจะหยุดพูดแล้ว ปล่อยให้มานะค่อยๆทำใจให้สบาย ทั้งสบชัยและมาลีก็นั่งนิ่งเฝ้าสังเกตุอาการณ์ของมานะที่ดูไม่ดีขึ้นเลย


มานะพร่ำเพร้อถึงเพื่อนรัก สายตาเขาสาดส่องไปทั่วจนกระทั่งไปตกกระทบกับหีบสมบัติ เมื่อนั้นความคิดแปลกๆของเขาจึงผุดขึ้นมาในหัว และพูดมันออกมา


"มันจะเป็นไปได้มั้ยว่ามีใครผลักก้องฟ้าตกลงหน้าผาไป"


สบชัยและมาลีมองหน้าหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะรีบหันไปมองที่มานะ


"แกพูดอะไร นอกจากพวกเราแล้วจะมีใครอีกแถวนี้ แกมันบ้าไปแล้ว"


สบชัยรีบปรามคำพูดของมานะ แต่ไม่สำเร็จ


"พี่ลองคิดดูสิ ก้องฟ้ามันตายไปตัวหารสมบัติก็น้อยลงไป"


"นี่แกพูดบ้าอะไรออกมา เราแบ่งสัดส่วนกันลงตัวแล้ว ใครจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร"


เมื่อคนที่สติแตกไปแล้ว อารมณ์ความกลัวมักจะอยู่เหนือเหตุผลทั้งมวล มีปัจจัยหลายๆด้านที่มาบีบเค้นอารมณ์ของมานะ


"แต่เดี๋ยวนะ ถ้าฆ่าไอ้ก้องฟ้าไปหนึ่ง ตัวหารก็จะลดไปหนึ่ง และถ้าฆ่าผมไปอีกคนด้วยตัวหารก็จะลดไปอีกหนึ่ง"


"ไอ้มานะ! แกเพ้ออะไรออกมารู้ตัวมั้ย ก้องฟ้ามันลื่นตกหน้าผาไปเอง ไม่มีใครไปฆ่ามันหรอก แกหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว"


สบชัยยิ่งพูดเหมือนมานะยิ่งสติแตก


"ใช่สิ พี่กับเธอสมคบคิดกันมาจ้างพวกผมให้เข้ามาช่วยหาสมบัติ แต่พอหาเจอแล้วก็คิดจะฆ่าผมกับก้องฟ้าปิดปาก แล้วเอาสมบัติไปแบ่งกันสองคนใช่มั้ย"


"นี่! ไอ้มานะ แกพูดอะไรของแกวะ"


สบชัยตะโกนเสียงใส่มานะทันทีเพื่อหวังให้สติของมานะกลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล มานะยิ่งมีอาการหวาดกลัวจนตัวสั่นจนสบชัยต้องรีบเข้าไปจับตัวของมานะไว้ แต่นั่นยิ่งทำให้มานะตกใจคิดว่าสบชัยจะเข้ามาทำร้ายตัวเอง


เส้นบางๆที่เชื่อมระหว่างคำว่าสติของมานะขาดออกจากสามัญสำนึกทันที มานะรีบวิ่งไปที่เต๊นท์ของเขาและเข้าไปหยิบด้ามปืนลูกซองออกมา มานะเล็งปืนไปที่คนทั้ง 2 สลับไปมา


"เดี๋ยวๆมานะ แกตั้งสติให้ดีๆก่อน เก็บปืนก่อนแล้วค่อยๆมานั่งคุยกัน อย่าทำแบบนี้เลยนะ ค่อยๆวางปืนลง"


สบชัยยืนตัวแข็ง พยายามยกมือทั้งสองข้างห้ามปรามสิ่งที่มานะอาจจะทำ ส่วนมาลีนั้นเธอยืนแข็งทื่อไปแล้วด้วยความกลัวสุดขีด


"ไม่ล่ะพี่ ผมรู้ว่าพวกพี่รวมหัวกัน ผมรู้หมดแล้ว นั่งนี่ใช่มั้ยที่ปั่นหัวพี่ให้มาฆ่าพวกผม"


สิ้นเสียงพูดของมานะ เขาหันปากกระบอกปืนไปที่มาลีพร้อมลั่นไกปืน ร่างเล็กของมาลีกระเด็นตามแรงของลูกกระสุน มานะรีบใส่ลูกกระสุนนัดถัดไปในกระบอกปืนทันที สบชัยรู้ดีว่ากระสุนนัดถัดไปต้องเล็งมาที่เขาอย่างแน่นอน สบชัยรีบพุ่งหมายเข้าชาร์จตัวมานะไว้ก่อนที่จะบรรจุกระสุนเสร็จ


ด้วยความชำนาญการใช้ปืนของมานะที่เป็นพรานตั้งแต่ยังเด็ก เขาบรรจุกระสุนได้ก่อนที่สบชัยจะเข้าถึงตัวเขา มานะรีบเหนี่ยวไกปืนทันทีที่คิดว่าตั้งกระบอกปืนเล็งไปที่สบชัยแล้ว


แต่ด้วยความเร่งรีบของการเหนี่ยวไกปืน ทำให้จังหวะที่เหวี่ยงแขนขึ้นมายิงนั้นสูงเกินไป องศาของวิถีกระสุนพุ่งข้ามหัวสบชัยไปประกอบกับการวางเท้าของมานะที่ยังไม่อยู่ในท่าพร้อมยิงนั้น ส่งผลให้ร่างของเขาถูกถีบหงายหลังลงไปกับพื้น โชคร้ายที่หัวของมานะกระแทกลงกับก้อนหินใหญ่พอดี ด้วยความแรงจึงทำให้มานะตายค่าที่


สบชัยค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากท่าหมอบหลบลูกปืน เขาสำรวจตัวเองว่าโดนกระสุนบ้างหรือไม่ จากนั้นสบชัยเดินเข้าไปดูร่างของมานะที่น่อนแน่นิ่งไปแล้ว สบชัยนั่งสงบสติอารมณ์ที่ใต้ต้นไม้ เมื่อเขาอารมณ์เริ่มเย็นลงจึงไปเก็บกวาดศพทั้งสามพร้อมขุดหลุมฝังอย่างเรียบร้อย


สบชัยนั่งลงใต้ต้นไม่ใหญ่อีกครั้ง เขาจุดบุหรี่สูบพลันคิดถึงคำพูดของมานะเรื่องการลดตัวหารนั้นมันจะเป็นไปได้หรือไม่ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเรื่องจริงในเมื่อทุกคนก็ตายกันหมดแล้ว สบชัยคิดว่ามาลีคงไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ เธอไม่มีท่าทีแบบนั้นเลย


สบชัยหลับตาลงเพื่อใช้สมาธิในการวิเคราะห์เหตุการณ์ เขานึกขึ้นได้ว่าถ้าสามารถพิสูจน์การตายของก้องฟ้าได้ เขาจะรู้ว่าเรื่องการลดตัวหารนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง สบชัยยังคงมืดแปดด้านว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าก้องฟ้าลื่นตกไปเองหรือมีคนผลักลงไป ในเมื่อไม่มีพยานแวดล้อมใดๆทั้งสิ้น ไม่มีกล้องวงจรปิด เขานึกเล่นๆว่าถ้ามีกล้องวงจรปิดถ่ายที่จุดเกิดเหตุไว้ก็คงดี อย่างน้อยก็สามารถรู้ว่ามีคนค่อยๆย่องไปข้างหลังเขาหรือไม่ แม้ที่เกิดเหตุจะมืดไม่สามารถระบุตัวคนได้ก็ตาม


สบชัยลืมตาขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เมื่อคืนฝนตกพื้นดินแฉะ อย่างน้อยตอนที่ก้องฟ้าเดินไปที่ขอบเนินผาถ้าเป็นเวลาก่อนเช้า พื้นดินจะต้องยังเปียกอยู่ รอยเท้านั้นจะระบุจำนวนคนตรงจุดนั้นได้ คิดได้ดังนั้นสบชัยรีบเดินไปที่ขอบเนินผาทันที และเป็นดังที่เขาคิด มีรอยเท้าชัดเจนบนดินก่อนที่จะถึงขอบเนินหน้าผา สบชัยเห็นชัดเจนว่ามีแต่รอยรองเท้าบู๊ทของก้องฟ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตรงไปยังขอบหน้าผา นั่นจึงทำให้สบชัยสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ก้องฟ้าลื่นตกหน้าผาไปเอง


สบชัยเดินกลับมายังจุดที่ฝังศพคนทั้ง 3 ไว้ พลันรำพึงรำพันออกมาเบาๆกับตัวเองว่า


"ถ้าไขปริศนานี้ได้ก่อนหน้านี้ 2 คนนี้คงไม่ต้องมาตาย ขอให้ทั้ง 3 ไปสู่สุขคติละกัน"


สบชัยมองไปที่หลุมฝังศพของมาลี เขานึกถึงคำพูดของมาลีเรื่องอาถรรพ์ของสมบัติ นึกถึงคำบอกเล่าที่โจร 3 คนเกิดอุบัติเหตุตายวันเดียวกัน และนี่ก็มีอีก 3 ศพที่ตายวันเดียวกันเหมือนกัน สบชัยเริ่มกลัวกับเรื่องนี้แล้ว เขามองไปที่หีบสมบัติและคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับของในนั้นดี ใจหนึ่งก็กลัวอาถรรพ์ของสมบัติแต่ใจหนึ่งก็คิดถึงมูลค่าของสิ่งของที่อยู่ในนั้น หากเขาได้ไปมันคงจะทำให้เขาสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต


สบชัยคิดถึงคำพูดของมาลีที่ว่า


'มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่คนทั้ง 3 นั่นตายในวันเดียวกัน อุบัติเหตุมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้วนี่'


สบชัยเปิดหีบเหล็กและหยิบปึกธนบัตรหนึ่งปึกพร้อมสร้อยทองจำนวนหนึ่งที่เขาพอจะหยิบกลับไปได้ เขาค้นหากระดาษที่เขียนแผนที่จากกระเป๋าของมาลี จากนั้นสบชัยนำหีบสมบัติไปฝังไว้ตำแหน่งเดิมตามที่แผนที่ระบุไว้


สบชัยเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เขาเดินทางออกจากป่าพร้อมกับกระเป๋าที่ใส่ของใช้ส่วนตัว ทรัพย์สมบัติที่ขุดพบและลายแทงขุมทรัพย์นี้เพื่อที่จะกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง