วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส
อากาศดีตั้งแต่เช้าเหมาะแก่ออกมาสูดออกซิเจนเข้าปอดยิ่งนัก
แต่ที่ผมออกจากบ้านมานั่งที่ร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้าวันนี้
ไม่ใช่เพราะอากาศที่แจ่มใสน่าสัมผัสหรอก
แต่เป็นเพราะวันนี้ผมมานั่งรอใครบางคนอยู่ต่างหาก เธอมักจะมานั่งกินกาแฟที่นี่เป็นประจำโดยสั่งเอสเปรสโซร้อนและสั่งคุกกี้โฮมเมดของร้านนี้
3 ชิ้นทุกครั้งในทุกๆเช้าวันอาทิตย์
แม้ว่าอาทิตย์นั้นฝนจะตกหรืออากาศหนาวเหน็บเพียงใด เธอก็มา
ผู้อ่านอาจคิดว่าผมนั้นได้นัดเธอไว้ที่ร้านแห่งนี้ ซึ่งรอเวลาที่จะมาเจอกันตามเวลานัด แต่แท้จริงแล้วผมไม่รู้จักเธอเลย ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเธอพักอาศัยอยู่แถวไหน ไม่รู้ว่าเธอชอบสีอะไร ไม่รู้ว่าเธอชอบกินอาหารชนิดไหน ไม่รู้ว่างานอดิเรกของเธอคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเธอ และที่ไม่รู้ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมไม่รู้ว่าเธอนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอก็คือ เธอจะมาที่นี่ทุกเช้าวันอาทิตย์และจะสั่งเอสเปรสโซร้อนกลิ่นหอมฉุยพร้อมด้วยจานใบเล็กที่ถูกวางไว้ด้วยคุกกี้รูปร่างแปลกๆ 3 ชิ้นในนั้น เธอจะค่อยๆละเลียดกาแฟในแก้วเล็กพร้อมค่อยๆแทะกินคุกกี้โดยมืออีกข้างจะเปิดพลิกหน้านิตยาสารดาราไว้เสมอ มันเป็นนิตยาสารที่วางแผงทุกๆเช้าวันอาทิตย์
ผมเพิ่งจะบอกคุณผู้อ่านว่าผมนั้นไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ว่าเธอมีตัวตนหรือเปล่า แล้วผมจะรู้ว่าเธอจะมาได้อย่างไร มันอาจจะฟังดูแปลกๆไปสักหน่อย แต่ขอให้ผู้อ่านฟังสิ่งที่ผมจะพูดก่อน ผมเคยเจอเธอหลายครั้งในฝันของผมครับ มันนานหลายเดือนมาแล้วที่ผมเริ่มฝันเห็นหญิงสาวผมยาว ผิวขาวใสดวงตากลมโตพร้อมกับขนตาแพรยาว คิ้วโก่งสูงเหมือนคันศร โหนกแก้มสูงรับเข้ากับสันจมูกที่เรียวยาว ริมฝีปากของเธอนั้นสวยเรียวบางสีชมพูใสไร้เครื่องประทินโฉมใดๆ ในครั้งแรกที่ผมฝันเห็นเธอ เธอมาในชุดเดรสยาวสีน้ำตาลพร้อมด้วยสร้อยลูกปัดสีน้ำตาลเข้มเข้ากับชุด ผมคิดว่าฝันของผมนั้นไม่ธรรมดา เพราะในฝันผมสามารถจดจำรายละเอียดของฝันได้อย่างแม่นยำ สามารถจดจำสีที่ผมเห็นได้ จดจำทุกอิริยาบถทุกคำพูดที่เธอทำ
โดยปกติเมื่อคนเราฝัน เรามักจะจดจำเรื่องราวในความฝันในช่วงกลางๆหรือท้ายๆของฝันก่อนที่เราจะตื่น เราไม่เคยรู้หรอกว่าจุดเริ่มต้นของความฝันของเรานั้นมันเริ่มมาจากอะไร หรือเริ่มอย่างไร แต่ผมไม่ใช่ ผมรู้ตัวดีทุกครั้งที่ผมเริ่มฝัน มันจะเริ่มจากเช้าวันที่ผมเดินผ่านร้านกาแฟที่อยู่ในตัวอาคารของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และผมเห็นเธอนั่งในร้านคนเดียว เมื่อผมเห็นเธอครั้งแรก ผมจ้องเธออยู่นานจนเธอเริ่มรู้สึกตัว เธอตอบกลับสายตาของผมด้วยรอยยิ้มที่สดใสชวนฝัน และรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้ความฝันของผมในทุกๆคืนต้องพาผมไปเจอเธอที่ร้านกาแฟแห่งนั้นในครั้งถัดๆไป
และฝันในครั้งที่ 2 ที่ผมได้พบเธอนั้น มันเริ่มมีเรื่องราวที่น่าประทับใจจนผมอยากจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมนั้นอิ่มเอมใจนั้นมันเป็นอย่างไร
ผมเดินผ่านบานประตูกระจกบานใหญ่ของร้านกาแฟ สายตามองลอดผ่านเข้าไปข้างในเพื่อมองหาใครบางคนที่อาจจะนั่งอยู่ในนั้น นั่นไง! เธอนั่งอยู่ในนั้น สายตาของเราสบประสานซึ่งกันและกัน เธอเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากให้ผม นั่นจึงทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปในร้านและตรงไปที่เธอ
"สวัสดีครับ"
ผมเริ่มต้นความประโยคแรกด้วยถ้อยคำที่สั้นกระชับ แต่รอยยิ้มที่ตามไปนั้นยืดยาว
"สวัสดีค่ะ"
เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม
"คุณชอบมานั่งทานกาแฟที่นี่ทุกวันหรือครับ"
"ใช่แล้วค่ะ ของที่นี่เป็นโฮมเมดทุกอย่าง ทั้งเมล็ดกาแฟที่ปลูกและคั่วเอง และคุกกี้ที่เป็นเพียงขนมชนิดเดียวที่อยู่ในร้านนี้ก็อบเอง"
ผมมองเธอพูดพร้อมรอยยิ้ม นี่หรือคือนางฟ้าที่ผมนั่งคุยอยู่ด้วย
"เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณถึงดื่มแต่เอสเปรโซร้อน"
"ใช่แล้วคะ สิ่งที่ชั้นโปรดปรานสำหรับการดื่มกาแฟ คือความหอมของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่กลิ่นของน้ำเชื่อม คาราเมลหรือครีมใดๆ"
"ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เสพกาแฟยิ่งห่างหายจากรสกาแฟที่แท้จริง หรือบางทีพวกเขาเพียงแค่ต้องการหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ"
เธอยิ้มทุกครั้งที่พูด และยิ้มทุกครั้งที่รับฟัง นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมองไปที่เธอ
"ใช่แล้วค่ะ ครั้งหนึ่งชั้นก็พยายามทดลองหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ ลองชิมกาแฟรูปแบบแปลกๆ แต่ลองได้ไม่นานก็เบื่อ แต่รสชาติที่นักดื่มกาแฟไม่เคยเบื่อก็คือรสชาติของกาแฟนั่งเอง"
ผมและเธอหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจของประโยคสนทนา
และการพูดคุยในครั้งนั้นก็จบเพียงแค่นี้เมื่อผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน และแล้วเช้าวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อเหงาของผมก็วนเวียนมาอีกครั้ง เวลาทั้งอาทิตย์ที่ไหลผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า แรกๆนั้นผมก็ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องของเธอ เพราะคิดว่ามันคงเป็นแค่ฝันเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อ ในทุกคืนวันเสาร์ผมก็จะไปพบเจอเธอในฝันอีกเช่นเคย
คุณผู้อ่านลองฟังเรื่องความฝันของผมอีกสักเรื่องสิ บางทีผมก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่ มันอาจจะไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาก็ได้
และวันนี้ก็เป็นเช้าวันอาทิตย์อีกเช้าหนึ่ง ที่ผมเลือกที่จะเดินผ่านหน้าร้านกาแฟเดิม โดยพยายามมองเข้าไปผ่านบานกระจกใหญ่ เพื่อมองหาเธอ และผมก็เห็นเธออีกครั้ง ผมเดินเข้าไปหาเธอโดยไม่ต้องรอสัญญาณใดๆจากเธอแล้ว
"สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ"
เธอทักทายผมก่อนเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ และแน่นอน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นถูกส่งออกมาอีกครั้งจนเกือบที่จะทำให้ใจผมหยุดเต้น
"สวัสดียามเช้าครับ"
ผมตอบรับเธอพร้อมเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนัง มันแสดงเวลาตอนนี้ยังค่อนข้างจะเช้าอยู่ ผู้คนยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก สักพักเธอตะโกนสั่งเมนูเดิมๆจากพนักงาน ไม่นานแก้วกาแฟดำใบเล็ก และจานใส่คุกกี้รูปทรงแปลก 3 ชิ้นก็ถูกนำมาวางโดยพนักงาน และแน่นอน เธอหยิบนิตยาสารดาราขึ้นมาเปิดอ่านหน้าแรก
"ทำไมคุณถึงชอบอ่านหนังสือดาราครับ ความจริงแล้วเราก็ต่างรู้กันดีอยู่ว่าเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่จัดฉากมันขึ้นมาไม่ได้มีเรื่องใดๆที่เข้าใกล้ความเป็นจริงเลยสักนิด แม้ตัวหนังสือเองจะอ้างว่าเขาไปเจอเรื่องคนนู้นคนนี้มาเลยเอาข้อเท็จจริงมาเขียน"
ผมถามเธอออกไปตรงๆเช่นนั้น เพราะผมเห็นว่าท่าทางของเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด ไม่น่าจะมาอ่านนิตยาสารลวงโลกไปวันๆ ตอนนี้เธอแค่เปิดดูรูปภาพพร้อมอ่านข้อความสั้นๆจากหน้าแรก เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
"ชั้นรู้ดีค่ะ ว่าเรื่องราวในนิตยาสารเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องโกหก เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสของดาราให้มีคนจับตามากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับบทละครบทหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นมา แต่มันก็แค่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันก็เท่านั้นเองแหละค่ะ"
เธอแสดงทัศนะคติออกมาได้อย่างฉลาดมาก ผมดูเธอไม่ผิดเลยที่ว่าเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
"ในเมื่อคุณรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วยังจะอ่านมันอีกทำไมครับ"
"มันก็เหมือนกับที่เราดูละคร หรืออ่านนิยายแหล่ะค่ะ บางครั้งเราก็ได้ความเพลิดเพลินได้จรรโลงจิตใจของเราได้บ้าง เพื่อให้คลายความน่าเบื่อในชีวิตของเรา"
เธอยิ้มมาที่ผมอีกครั้ง
"แล้วคุณล่ะคะ เวลาที่คุณเบื่อๆคุณมักจะทำอะไร"
ผมอยากจะตอบเธอเหลือเกินว่า วิธีแก้เบื่อของผมก็คือการที่ได้นั่งอยู่กับเธอ ได้พูดคุยเรื่องต่างๆกับเธอ หรือเพียงแค่มองหน้าของเธอและรอยยิ้มใสๆจากเธอ แต่ผมยังไม่มีความกล้าพอที่จะพูดแบบนั้นออกไป
"คุณพูดถูกครับ ชีวิตเรานี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก และมันเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสเกินไปที่เราจะรับมือกับมันเพียงลำพัง"
ผมตอบคำถามเธอออกมาจากใจ เพราะลึกๆในใจผมแล้ว ผมเหงาเหลือเกินที่ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว
"ผมชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อดูในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น พบเจอผู้คนใหม่ๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์แปลกที่ในแต่ละคนไม่เคยเจอ ลองกินอาหารแปลกๆที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะกินได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็แค่ไปสูดอากาศในกลิ่นอื่นๆยังสถานที่ที่สภาพแวดล้อมต่างกันบ้าง"
ผมพยายามสรรหาคำตอบที่ฟังดูเท่ๆมาพูดกับเธอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมโกหก ผมเกลียดการเดินทาง ผมเบื่อที่จะพูดกับคนแปลกหน้าที่ความเห็นมักจะไม่ตรงกัน ผมมักจะกินแต่ของที่เคยกินเพราะกลัวไม่ถูกปาก และผมเป็นภูมิแพ้เกินกว่าที่จะไปสูดอากาศใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย
แต่คำตอบที่พูดออกไปนั้นถูกใจเธอ
"คุณเป็นคนน่าสนใจจริงๆค่ะ ทำในสิ่งที่ตัวชั้นเองบางครั้งก็ไม่กล้าทำ การออกไปพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด หากไม่เป็นการรบกวนบางทีชั้นอาจจะขอติดตามคุณเพื่อออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะคะ"
ผมและเธอยิ้ม เราทั้งคู่นั่งมองตากันพักใหญ่
และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถจดจำเรื่องราว และคำพูดที่เราทั้งสองพูดคุยกันได้อย่างแม่นยำ ผมจึงเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ผมเห็นในความฝันนั้นไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องฝัน
หลังจากนั้นผมพยายามใช้เวลาว่าในการหาข้อมูลว่า ความฝันนั้นจริงๆแล้วแท้จริงมันคืออะไร มันจะใช่นิมิตบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าและจะนำพาคนที่มาจากอนาคตมาให้ผมได้รู้จักได้หรือไม่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่จิตใต้สำนึกของผมเองที่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง จึงจินตนาการสร้างนางในฝันขึ้นมาแค่นั้นเอง
ในตอนแรกผมก็คิดว่าฝันคงผมนั้นคงจะไม่ใช่นิมิตหรือลางบอกเหตุอะไรนั่นหรอก เพราะมันก็ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง ผมคงคิดว่าจิตใต้สำนึกของผมเองได้สร้างฝันและเธอขึ้นมา ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ว่าไว้ ผมฝันหาเธอเป็นระยะ ทุกครั้งที่เราเจอกันก็จะเจอกันที่ร้านกาแฟร้านเดิม แก้วกาแฟรูปทรงเดิมที่มีน้ำสีดำๆอยู่ในนั้น คุกกี้รูปทรงเดิมจำนวน 3 ชิ้นและนิตยาสารดาราที่เปลี่ยนภาพหน้าปกในทุกครั้งที่เราเจอกัน
แต่ความฝันครั้งล่าสุดของผมนี่เอง ที่ทำให้ผมคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องจิตใต้สำนึกอีกต่อไป มันต้องเป็นลางนิมิตบอกเหตุการณ์ในอนาคตของผมแน่ๆ ถ้าคุณผู้อ่านไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันสามารถเปลี่ยนความคิดของผมได้ขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเราลองไปดูกันว่าฝันครั้งล่าสุดของผมนั้นเป็นอย่างไรกัน
ความสนิทสนมของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งนี้ผมไม่ต้องชะเง้อมองผ่านบานกระจกเพื่อมองหาเธออีกต่อไป ผมเดินเข้าไปหาเธอยังโต๊ะตัวเดิม และของที่อยู่บนโต๊ะก็เหมือนเดิม นิตยาสารปกเดิมในมือเธอแต่คราวนี้ภาพดาราบนหน้าปกเปลี่ยนเป็นนักร้องสาวสวยที่กำลังตกเป็นข่าวฉาวกับนักการเมืองระดับประเทศ
ผมเริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยรอยิ้มเหมือนเคย และก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเหมือนเคย
"คุณจำคำพูดที่ชั้นเคยพูดกับคุณเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้มั้ยคะ"
"เราคุยกันหลายเรื่อง ผมจำคำพูดของคุณได้ทุกเรื่อง คุณกำลังพูดถึงเรื่องไหนอยู่ล่ะครับ"
"คราวแล้วไงที่เราคุยกันเรื่องการหาอะไรทำแก้เบื่อของเรา"
"ครับ ผมจำได้"
ผมนึกขึ้นได้ทันที รวมถึงประโยคเท่ๆที่ผมพูดออกไป แต่คำพูดเหล่านั้นผมพูดโกหกออกไป ผมภาวนาว่าขออย่าให้เธอพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
"ชั้นยังประทับใจในตัวคุณที่ว่าคุณเป็นนักเดินทาง ชอบไปยังสถานที่ใหม่ๆ พบปะพูดคุยกับคนใหม่ๆ และเจอสิ่งใหม่ๆ"
"อ๋อ ใช่แล้วครับ"
ผมยิ้มเจื่อนๆ
"คือว่าชั้นอยากให้คุณพาชั้นออกไปท่องเที่ยวแบบนั้นบ้างจัง อยากให้พาไปหาสภาพแวดล้อมใหม่ๆที่มันไม่น่าเบื่อซ้ำซากจำเจอย่างทุกวันนี้"
"มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครับ"
ผมยังคงพยายามเก็บอาการไว้ เรื่องที่เคยพูดโกหกออกไป
"คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าชั้นมักจะอ่านหนังสือพวกนี้เพื่อแก้เบื่อ ฆ่าเวลาในยามที่ไม่มีอะไรทำ แต่พอเวลาผ่านไปนานๆก็ทำให้รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมา มันก็ซ้ำๆเดิมๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ขึ้นมาเลย ตอนนี้ชั้นไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ชั้นนึกถึงคำพูดของคุณในการที่จะออกไปดูโลกที่แท้จริง มันคงจะงดงามและน่าตื่นเต้นเป็นไหนๆ"
เธอพูดออกมาด้วยแววตาที่คาดหวังอย่างแรงกล้า หากบอกเธอตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นเป็นเรื่องโกหก นั่นมันคงจะทำให้เธอเกลียดผมได้
"ได้สิครับ เรามาออกร่วมเดินทางไปด้วยกัน ผมมีสถานที่หลายแห่งที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณ คุณอยากจะไปเมื่อไหร่ครับ"
สีหน้าแห่งความหวังแสดงออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเธอ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าพาเธอไปไหนก็ได้สักที่ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร
"เอาอย่างนี้ค่ะ เมื่อเราเจอกันครั้งหน้า ชั้นจะใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน เวลานั้นชั้นจะสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้ เราจะมาเจอกันที่นี่และนั่งดื่มกาแฟกันก่อนที่ชั้นจะออกเดินทางไปพร้อมกับคุณ"
"ผมก็อยากออกเดินทางกับคุณเช่นกันครับ"
ใจหนึ่งผมก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องเดินทาง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีใจมากจนลืมสิ่งเหล่านั้นไปก่อน
"เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมจะให้นามบัตรคุณไว้ใบหนึ่ง เผื่อมีอะไรคุณสามารถโทรมาหาผมก่อนได้ครับ"
ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาและค้นหานามบัตรของผม ซึ่งตอนนี้มีมันอยู่แค่แผ่นเดียว ผมยื่นนามบัตรให้เธอทันที เธอรับไปจากมือผม จากนั้นเธอก็ความหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพายของเธอ
"ขอบคุณค่ะ และนี่นามบัตรของชั้น"
ผมรับมาและเก็บมันลงในกระเป๋าเงินทันที
เมื่อผมตื่นขึ้นจากฝันครั้งนั้น นั่งทบทวนคำพูดทุกคำที่ได้พูดกับเธอในฝัน หัวใจผมเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาและตรวจสอบดูว่ายังมีนามบัตรของผมหลงเหลืออยู่หรือไม่
ผมแทบตกใจจนเกือบจะตกเตียง เมื่อพบว่านามบัตรของผมที่เหลืออยู่ใบเดียวมานานหลายปีนั้น ได้ถูกหยิบออกไปแล้ว และมีนามบัตรของใครก็ไม่รู้ว่าอยู่ในกระเป๋าของผม มันมีชื่อเจ้าของบัตรเป็นผู้หญิงด้วย ตอนนี้ในหัวของผมเริ่มมึนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่านั่นจะไม่ใช่ฝัน แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ และผมก็ไปอยู่ที่นั่นด้วยปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง
ผมนึกถึงหนังวิทยาศาสตร์หลายเรื่องที่เคยดู มีการข้ามมิติหลายชั้นซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยาย เพื่อให้นางเอกและพระเอกที่อยู่ห่างไกลกันได้มาพบกัน
ช่วงวันเวลาระหว่างสัปดาห์ผ่านไปด้วยความเชื่องช้าเหมือนเคย ในเวลาระหว่างนั้นผมนั่งคิดอยู่นานว่านี่จะสามารถเป็นเรื่องจริงได้หรือไม่ และถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ผมจะได้เจอเธอในร้านกาแฟสักแห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในเช้าวันอาทิตย์ และเป็นสถานที่จริงๆ ตัวเธอจริงๆไม่ใช่ในฝันของผม
ผมคิดแผนอยู่นานว่าจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหน สุดท้ายก็คิดไว้ว่าจะพาเธอไปทะเลใกล้ๆนี่แหละ เพราะที่ทะเลมีทุกอย่างที่ถูกเซ็ทไว้ให้หมดแล้วสำหรับนักท่องเทียว มันจะมีอะไรมากไปกว่าโรงแรม ร้านอาหาร และหาดทราย
และในเช้าวันอาทิตย์นี้ที่เรานัดพบกัน ผมรีบขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อค้นหาร้านกาแฟที่ว่านั่น และก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ผมสามารถเดินตรงไปที่ร้านนั้นได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องค้นหา ตอนนี้เวลา 7 โมงแล้วห้างยังไม่เปิด แต่ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดกันหมดแล้ว ผมเดินเข้าไปนั่งรอเธอในร้าน เธอยังไม่มา นี่คงจะเช้าเกินไป ผมนั่งรอ
นี่แหละครับท่านผู้อ่าน สิ่งที่ผมเล่าไปนั้นคือสิ่งที่นำพาผมมานั่งอยู่ตรงนี้ เวลานี้ เวลาผ่านไปไม่นานแต่ผมก็เริ่มกังวลใจแล้วว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ นามบัตรที่ผมยื่นให้เธอไปนั้นผมอาจจะหยิบให้ใครไปนานแล้ว และนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าของก็อาจะได้รับมาจากใครสักคน
และเวลาก็ล่วงเลยไปเรื่อยจนเริ่มจะสายแล้ว เธอก็ยังไม่มาจนพบคิดว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องจริง จนกระทั่งผมได้ยินเสียงๆหนึ่ง
"ขอเอสเปรสโซร้อนหนึ่งที่ค่ะ คุกกี้ 3 ชิ้น"
ผมหันไปที่ต้นทางของเสียงทันที เธอคนนั้นยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ที่มีเครื่องชงกาแฟ และเธอยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนใส่รองเท้าผ้าใบ และสะพายประเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปไว้ด้วย เธอรับแก้วกาแฟและจานคุกกี้จากพนักงาน ก่อนที่จะหันหน้ามาทางผมพร้อมรอยยิ้ม เธอเดินตรงมายังโต๊ะที่ผมนั่ง
"ขอบคุณนะคะที่มาในวันนี้ ทานอะไรหรือยังคะ"
ผมแทบจะยืนอึ้งไปชั่วขณะ เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงคนจริงๆ และที่อยู่ต่อหน้าผมนั้นก็เป็นคนจริงๆซึ่งมีลักษณะทุกอย่างเหมือนในฝันของผม รวมทั้งรอยยิ้มของเธอ
"ผมเรียบร้อยแล้ว"
ผมตอบออกไปอย่างขวยเขิน ซึ่งอาจทำให้เธอประหลาดใจเพราะเราทั้งสองเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว ผมจึงต้องรีบทำตัวให้ปกติ
"จากที่เราคุยกันเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้คุณคิดได้หรือยังคะว่าจะพาชั้นไปเที่ยวที่ไหนดี"
มันเกิดขึ้นจริงๆด้วย สิ่งต่างที่เราคุยกันมาหลายเดือนนั้นมันเป็นเรื่องจริง แต่มันเกิดขึ้นที่ไหนนะ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบ ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็นจริงมันก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วในตอนนี้ จะมัวมาคิดอะไรตอนนี้ให้เสียเวลาอีก
"ครับ ผมจะขับรถพาคุณไปเที่ยวทะเลใกล้ๆแถวนี้ก่อน คุณคิดว่าอย่างไรครับ"
"ดีค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทรายขาวๆ"
ตอนนี้ผมยังตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เลย นี่สินะที่เรียกว่าปาฏิหาริย์
"แล้ววันนี้คุณไม่ซื้อนิตยาสารซุบซิบดาราอีกแล้วเหรอครับ ผมเดินผ่านแผงหนังสือ เล่มใหม่มาวางแผงแล้วนะครับ"
"ไม่แล้วค่ะ ชั้นเลิกอ่านนิตยาสารพวกนั้นแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เราควรที่จะไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ ห้างก็เปิดแล้วเราขึ้นไปข้างบนกันดีกว่าค่ะ"
"ตกลงครับ"
เราทั้งคู่เดินขึ้นไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อหาร้านอาหารหรูๆสักที่นั่งกัน เธอก้าวเดินไปเหมือนเด็กน้อยที่รู้ว่ากำลังจะไปเที่ยวสวนสนุก และนั่นมันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ใจผมเต้นเร็วและรัวเมื่อคิดในหัวว่าอยากให้เราทั่งคู่ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน ผมพยายามบังคับมือของผมให้ไปกุมมือเธอไว้
ระยะห่างอีกแค่ปลายนิ้วก้อยของผมก็จะไปสัมผัสที่ข้างมือของเธอ แต่ว่าสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!
(เสียงจากระบบสัญญาณเตือนภัยดัง)
ผมตกใจเมื่อเห็นคนรอบข้างต่างวิ่งวุ่นไป แม้แต่เธอก็วิ่งหนีออกจากผมไป และตอนนี้เริ่มมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมเริ่มรู้สึกสำลักควันไฟแล้ว
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา เริ่มมองภาพของเพดานห้องนอนที่คุ้นเคย ผมหันหน้าไปที่นาฬิกาปลุกรุ่นโบราญที่กำลังสั่นกระดิ่งดังเพราะถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว
ผมเอื้อมมือไปปิดเสียงทันที พลันคิดด่าตัวเองในใจเรื่องที่ลืมปิดสวิทซ์ตั้งปลุกทีนาฬิกา ทั้งๆที่เช้านี้เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ ผมควรจะได้นอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันไฟจากกองเศษใบไม้ข้างบ้านกำลังถูกเผาควันโขมงลอยเข้ามาในห้องของผม
ผมลุกจากเตียงอย่างงัวเงียเพื่อจะเดินไปเข้าห้องน้ำ พลันคิดในหัวเล่นๆว่าเมื่อคืนนั้นผมฝันอะไรไปบ้าง
ใช่แล้วครับคุณผู้อ่าน ในทุกๆคืนวันเสาร์ที่ผมนอน มันจะเป็นบ้าอะไรไม่รู้ที่จะทำให้ผมมักจะฝันแปลกๆ ฝันในเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันมาหลายเดือนแล้ว และมันเป็นฝันที่ต่อเนื่องกันด้วยสิ เหมือนกับจะเป็นภาคต่อของฝันเลยด้วย เนื่องจากผมเองนั้นจำเรื่องราวของฝันได้ละเอียดยิบ อ่อ! ใช่สิ เมื่อคืนในฝันผมก็บอกเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับรู้ไว้แล้วด้วย
นี่แหล่ะครับ ความบันเทิงในชีวิตของผมก็คือความฝัน สิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้ความน่าเบื่อซ้ำซากจำเจของผมนั้นพอจะทุเลาลงได้บ้าง
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ตอนเช้าในวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อในบ้านหลังเล็กที่ผมอาศัยอยู่คนเดียว ผมคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็คงจะดี คิดได้ดังนั้นผมรีบล้างหน้าแปรงฟันออกจากบ้านทันที ซึ่งเป้าหมายของผมในเช้าวันนี้ก็คือห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้าน
ในขณะที่ขับรถ ผมนึกถึงฝันเมื่อคืนแล้วแอบยิ้มปนหัวเราะอยู่คนเดียว ถ้าใครมาเห็นต้องนึกว่าผมเป็นบ้าอย่างแน่นอน และในความฝันของผมที่ฝันต่อเรื่องมาหลายครั้งนั้นได้สอนให้ผมเข้าใจถึงการที่จะได้เจอใครสักคนว่า ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาแค่นั้นเองที่จะทำให้เจอ หรือไม่เจอ
ตอนนี้เช้าเกินไปที่ห้างสรรพสินค้าจะเปิด ผมเดินดูรอบตัวห้างเผื่อว่าร้านอาหารไหนจะเปิดแล้วบ้าง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเลย จะมีก็แต่ร้านกาแฟที่เปิดตั้งแต่เช้าแล้ว ผมจึงเดินตรงไปยังร้านกาแฟร้านนั้น
ทันใดนั้นผมเห็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในร้านกาแฟ ผมคิดถึง 'เธอ' ในฝันของผมทันที หญิงสาวคนที่เดินเข้าไปในร้านสวมชุดเดรสยาวสีน้ำตาล เธอนั่งลงบนโต๊ะยาวใกล้ประตูทางเข้า ผมเปิดประตูเข้าไปและจ้องหน้าของเธอเพราะคิดว่าบางทีผู้หญิงในฝันอาจจะออกมาพบผมข้างนอกก็เป็นได้
ผมรู้ครับคุณผู้อ่านว่ามันฟังดูเหลวไหลไปหน่อย แต่ผมแค่คาใจเลยขอแค่ไปดูให้รู้แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่
"นี่คุณ... คุณ เราเคยรู้จักกันมาก่อนมั้ยคะ"
เธอคนนี้ไม่ใช่นางในฝันของผม แค่คล้ายๆ แต่เธอก็ดูน่ารักไม่เบาเหมือนกัน
"คุณคะ จ้องหน้าชั้นแบบนี้เราเคยรู้จักกันหรือเปล่า"
"ใช่ครับ เราเคยเจอกันมาก่อน"
แม้เธอจะแค่คล้ายๆกับนางในฝันของผม แต่เธอก็ทำให้ผมเคลิ้ม
"เฮ้ย! ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงหน้าของคุณคล้ายๆกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง"
เธอหัวเราะเบาๆ
"หน้าของชั้นคงโหลนะ"
"ปะๆ...เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องหัวเสีย"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณไม่ได้ทำให้ชั้นหัวเสีย และคุณไม่ใช่คนหยาบคายด้วย"
"แต่ถึงอย่างไร ผมก็ทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับคุณ"
ผมรู้สึกไม่ดีที่ทำอะไรเปิ่นๆต่อหน้าสาวสวย จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ความอายลดน้อยลง
"งั้นเอาอย่างนี้สิ คุณเลี้ยงกาแฟชั้นสักแก้วละกัน และถ้าคุณทายถูกว่าชั้นชอบดื่มกาแฟอะไร ชั้นจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน"
ผมรับคำท้า ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ใครๆก็อยากเลี้ยงกาแฟ ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์กาแฟและมองดูที่ป้ายเมนู เพื่อลองเลือกสุ่มเมนูกาแฟ
"น้องครับ พี่ขอเอสเปรสโซร้อน 2 แก้ว และ เอ่อ... ขอคุกกี้ในโถนั้นด้วย 3 ชิ้น"
ผมชี้นิ้วไปที่โถแก้วใบหนึ่ง ที่เต็มคุกกี้รูปร่างแปลกๆ ผมยกแก้วกาแฟและจานคุกกี้ไปที่เธอ
"น่าประหลาดใจมากที่คุณรู้ว่าชั้นชอบดื่มเอสเปรสโซร้อน และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือคุณรู้ได้อย่างไรคะ ว่าชั้นชอบทานคุกกี้แบบนี้ และต้อง 3 ชิ้นด้วย"
ผมถึงกับตกใจทำหน้าตาเหรอหรา เมื่อเธอบอกถึงรสนิยมตัวเอง ผมลังเลใจที่จะบอกความจริงว่าทำไมผมถึงสั่งเอสเปรสโซร้อน และคุกกี้รูปทรงประหลาดอีก 3 ชิ้น เพราะขี้เกียจอธิบายอะไรที่ยืดยาว
"ก็คือว่าผมชอบทานแบบนี้ครับ ก็เลยเหมาว่าคุณคงจะชอบด้วย"
เธอยิ้มร่าแสดงความชอบใจกับคำพูดของผม รอยยิ้มของเธอทำให้ผมคิดถึง 'เธอ' อีกคน
"และผมยังคิดว่าคุณคงจะชอบทะเล และหาดทรายสีขาวด้วย"
หญิงสาวทำหน้าอึ้งไป
"เอ๊ะ! ชั้นเคยบอกคุณเรื่องนี้ด้วยเหรอ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ใช่ค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทราย แต่คุณรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกันในเมื่อเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก"
ผมทำหน้าเหรอหราอีกครั้ง
"เอ่อ... ก็แบบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงจะชอบไปทะเลกันมั้งครับ ผมก็เดาเอา"
เราทั้งคู่นิ่งกันไปชั่วขณะ เธอคงนิ่งไปเพราะยังงงๆกับคำพูดของผม แต่ที่ผมนิ่งไปก็เพราะผมกำลังรวบรวมความกล้าในการที่จะพูดคำบางคำต่อจากนี้
"ในฐานะที่ผมเดาถูกว่าคุณชอบไปทะเล เอาอย่างนี้มั้ยครับ เราสองคนไปเที่ยวทะเลด้วยกันครับ"
หน้าผมเริ่มร้อน และตอนนี้มันคงจะแดงจนเธอสังเกตได้แล้ว
"ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเลย"
"ตกลงครับ"
เราทั้งคู่เดินออกจากร้านกาแฟเพื่อเดินไปยังลานจอดรถที่ผมเอารถไปจอด และในระหว่างทางนั้นเราเดินผ่านร้านขายหนังสือพอดี เธอเดินตรงไปที่แผงหนังสือ และหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแผง
"เอ่อ... คุณชอบอ่านนิตยาสารดาราหรือครับ"
เธอหยิบเงินจ่ายให้พ่อค้า
"ใช่ค่ะ ชั้นชอบอ่านนิตยาสารพวกนี้ แต่ความจริงแล้วชั้นตั้งใจไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่า จะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้แล้วเหมือนกัน แต่เห็นว่าเราจะเดินทางชั้นเลยขอมีอะไรติดไม้ติดมือไปอ่านบ้างแค่นั้นเอง"
เป็นอีกครั้งที่ผมทำหน้าเหรอหรา
"แล้วทำไมคุณคิดจะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้ล่ะ"
"ชั้นเบื่อ ชั้นเริ่มเบื่อเรื่องราวเหล่านี้แล้ว อย่างอาทิตย์ที่แล้วนิตยสารก็เสนอข่าวเรื่องของนักร้องสาวชื่อดัง ไปมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆกับนักการเมืองระดับประเทศ หรือดาราบางคนก็ออกมาแก้ข่าวฉาวของตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาอ่านดี เลยหยิบเล่มนี้มา"
เธอพูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังลานจอดรถ ผมเดินตามเธอข้างหลัง ในใจก็คิดนึกพิศวงอยู่ในบางเรื่องเหมือนกัน ผมล้วงกระเป๋าเงินของผมออกมาจากกางเกง จากนั้นก็เปิดมันออกมาเพื่อหานามบัตรของผมที่มันเหลืออยู่ใบเดียวมานานมากแล้ว
ผมเจอนามบัตรหนึ่งใบที่มีชื่อและรูปของผมเองติดอยู่บนนั้น ผมโล่งใจว่านี่คงไม่ใช่ฝัน พลันคิดว่าเรื่องบางเรื่องที่มันเกิดขึ้นในเช้านี้ที่มันดูแปลกๆ และยังหาคำตอบไม่ได้ ผมจะลืมมันไปก่อน ยังไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวในตอนนี้ เพราะผมกำลังจะไปเที่ยวทะเลกับสาวสวยแบบสองต่อสอง
คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งมาคาดคั้นอะไรให้ผมหาคำตอบในเรื่องราวน่าพิศวงเหล่านี้เลย ผมขอตัวก่อนนะครับ บาย