
ชายหนุ่มร่างใหญ่
3 คนกำลังบรรจงค่อยๆใช้จอบโกยดินขึ้นมาจากหลุมลึกกว่า
2 เมตร หลุมลึกนี้เกิดจากที่พวกเขาออกแรงขุดดินในป่ารกร้างตามตำแหน่งที่มาลีชี้เป้าไว้
มาลีเปิดดูแผ่นกระดาษที่มีรูปร่างแผนที่คร่าวๆตามภูมิทัศน์โดยรอบแบบหยาบๆ
และกากบาทสีแดงที่อยู่บนแผนที่นั้น
'กรึ่กๆๆ'
เสียงปลายจอบดังกระทบโลหะที่คาดว่าน่าจะเป็นฝาหีบเหล็กใบใหญ่ มาลีได้ยินเสียงนั่นเธอโยนสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในมือลงพื้นก่อนรีบเดินเข้าไปสำรวจดูที่ขอบหลุม
"ลูกพี่ เราเจอมันแล้ว เราเจอหีบสมบัติแล้ว"
สบชัย ชาวบ้านที่ถูกมาลีว่าจ้างให้นำทางเข้ามาในป่าลึก มาลีจ้างเขาโดยสัญญาว่าจะแบ่งสิ่งของที่อยู่ในหีบเหล็กนั้น ซึ่งมาลีได้บอกกับสบชัยว่าสิ่งของที่เธอกำลังตามหาอยู่นั้นมีมูลค่ามหาศาล สบชัยจึงขอให้เพื่อนสนิทรุ่นน้องของเขาอีก 2 คนมาช่วยงานด้วย และมาลีก็ไม่ขัดข้องที่ก้องฟ้ากับมานะจะเข้ามาเป็นตัวหารสมบัติ เพราะระยะทางและการนำทางเพื่อที่จะเข้ามายังจุดหมายในป่าลึกนั้น มันต้องผ่านอุปสรรคและอันตรายนับไม่ถ้วน
"ดีมากทุกคน ช่วยกันยกขึ้นมาเลย ค่อยๆนะ"
มาลีส่งแรงใจให้ 3 หนุ่มช่วยกันยกหีบสมบัติขึ้นมาจากปากหลุม และพวกเขาทั้ง 3 ก็ช่วยกันยกมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเพราะมีถึง 3 แรง และในที่สุด สิ่งที่มาลีเฝ้ารอคอยก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ที่ฝาหีบนั้นมีแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องปิดอย่างแน่นหนา แต่นั่นมันไม่ทำให้มาลีรู้สึกกังวลใจใดๆเลย เมื่อเธอสั่งให้สบชัยใช้ปืนลูกซองเล็งไปที่แม่กุญแจ
'เปรี้ยงงงงง!!!'
เสียงปืนลูกซองแผดดังก้องผืนท้องป่า ฝูงนกกากระพือปีกบินกันด้วยความตกใจ และแล้วแม่กุญแจตัวใหญ่ที่เคยคล้องที่ฝาหีบก็แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี เป็นทีที่มาลีจะเดินเข้าไปและเปิดฝาหีบออกทันที
ทองคำหลายสิบแท่ง สร้อยแหวนเพชรนิลจินดาและธนบัตรกองใหญ่ที่น่าจะมีเงินสัก 20 ล้าน ทั้ง 4 มองสิ่งของที่อยู่ในหีบนั้นตาไม่กระพริบ เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดจาอะไรใดๆออกมา มาลีลูบคลำสร้อยแหวนเงินทองในขณะที่ชายหนุ่มทั้ง 3 หยิบจับธนบัตรปึกใหญ่ขึ้นมาดอมดม
"ลูกพี่ พวกเรา 3 คนจะได้ส่วนแบ่งกันคนละเท่าไหร่กัน"
สบชัยพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ในชาตินี้เขาไม่เคยจับอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เมื่อมีเงินจำนวนมากอยู่ในมือ นั่นก็หมายถึงอำนาจวาสนา และบารมีที่เพิ่มขึ้น สบชัยคิด
"ก็แบ่งสมบัติออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน แต่ละคนก็เอาไปคนละส่วน แฟร์ๆไปเลย"
มาลีพูด ชายหนุ่มทั้ง 3 ตะโกนโห่ร้องดังลั่นป่า พวกเขาไม่ต้องกลัวใครจะมาได้ยิน เพราะในป่าลึกแบบนี้มีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
"วันนี้เราจะฉลองกัน เดี๋ยวผมจะทำเมนูอาหารป่าสุดวิเศษไปเลย แต่ขอผมและมานะออกไปล่าสัตว์และเก็บของป่าก่อน และวันนี้เรามีเหล้าป่าอีก 4 ขวด"
ก้องฟ้าพูดจบก็เดินไปหยิบปืนลูกซองคู่ใจพร้อมด้วยมีดสะปาต้าเล่มยาวสะพายบ่าไว้ เพื่อเตรียมตัวออกไปหาวัตถุดิบมาทำอาหารค่ำในคืนนี้โดยมีมานะติดตามไปด้วย
เมื่อเหลือเพียงแต่มาลีและสบชัยอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"ลูกพี่ถามจริงๆเถอะ ค่าจ้างพวกเราเข้ามาในป่าแค่นี้กับจำนวนมูลค่าของค่าจ้าง มันมากเกินไปหรือเปล่า"
มาลีละสายตาออกมาจากเครื่องประดับทองนานแล้ว เธอปิดฝาหีบไว้
"ที่ฉันเข้ามาป่ามาครั้งนี้ ความจริงแล้วฉันไม่ได้หวังจำนวนของสมบัติอะไรนั่นหรอก คือฉันแค่อยากจะพิสูจน์กับแผนที่และคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมาแค่นั้นเอง ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ฉันแค่คิดว่านี่คือการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นแค่นั้นเอง และส่วนแบ่งของพวกเธอนั้นมันก็สมน้ำสมเนื้อที่จะได้รับแล้วนี่ ถ้าตัวฉันคนเดียวคงไม่มีทางเข้ามาเอาเจ้าหีบเหล็กนี้ออกไปจากป่าได้อย่างแน่นอน"
"พวกเรารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้มาทำงานนี้ ว่าแต่ไหนๆเราก็เจอสมบัตินี้แล้ว ลูกพี่พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าแผนที่นี้มาจากไหน และใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ"
"ได้สิ แต่เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟังนะ คือว่าฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่พ่อของเขาเป็นคนชอบสะสมของเก่า อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่ฉันกับเพื่อนเดินดูของเก่ากัน ฉันเปิดดูในตู้เอกสารไม้ปรากฎว่าเจอเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพแห้งกรอบไปตามกาลเวลา เราทั้งคู่ค่อยๆพลิกกระดาษแต่ละแผ่นดูอย่างระมัดระวัง เนื้อความในเอกสารเป็นเหมือนบันทึกการปล้นร้านทองแห่งหนึ่ง และยังมีบันทึกเกี่ยวกับการปล้นธนาคารที่อยู่ใกล้เคียงกันอีกด้วย"
มาลีหยุดพูด เธอหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาและเทน้ำใส่ปาก ก่อนที่จะใช้หลังมือปาดคราบน้ำที่ติดอยู่บนริมฝีปาก สบชัยได้โอกาสรีบถาม
"เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับสมบัติที่อยู่ในหีบนี้หรือ?"
"ตอนแรกฉันก็คิดว่าข้อความในกระดาษนั้นเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น อาจจะเป็นพล็อตเรื่องนิยายของใครบางคน ในตอนนั้นฉันและเพื่อนจึงไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก เอกสารทั้งหมดจึงถูกเก็บไว้ที่เดิม แต่เวลาผ่านไปหลายวันฉันเรื่มคิดว่าข้อความในเอกสารนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเพราะมันมีการระบุสถานที่ วันเวลาและชื่อคนอีก 3 คนที่ดูจะเหมือนจริงมาก เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงไปขอถ่ายรูปเอกสารเหล่านั้นจากเพื่อน ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้องใดๆ"
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของมาลี เมื่อเสียงคำรามบนท้องฟ้าชุดแรกจบลง เม็ดฝนเม็ดเล็กค่อยฟุ้งกระจายลงมา
"ช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่หน้าฝนพอดี แต่ผมเตรียมผ้าใบไว้แล้ว เดี๋ยวผมขอเอาไปผูกกับกิ่งไม้ก่อน เราจะได้มีร่มหลบฝนกัน"
สบชัยพูดเสร็จก็เดินไปแก้เชือกที่มัดระหว่างม้วนผ้าใบกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ จากนั้นเขากางผ้าใบออกและขึงมันเข้ากับต้นไม้ 4 มุมอย่างชำนาญ พื้นที่ว่างใต้ผ้าใบกว้างพอที่จะกางเต๊นท์ 4 หลังโดยมีกองไฟอยู่ตรงกลาง เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สบชัยกลับเข้ามาคุยกับมาลีอีกครั้ง เพื่อฟังเรื่องเล่าจากมาลีต่อ
"ในเอกสารนั้นมีการระบุวันเวลาของเหตุการณ์ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีที่แล้ว จากนั้นฉันลองกลับไปค้นหาข่าวเก่าๆในเรื่องคดีการปล้นร้านทองและธนาคารตามวันเวลาที่ได้มา ปรากฎว่ามีข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นจริงๆและสถานที่ก็ตรงกันด้วย ในเอกสารบอกว่าพวกเขาจะกลับมาขุดเอาสมบัติออกไปหลังจากนั้น 20 ปี"
"อืมมม... เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แต่ลูกพี่! ในเอกสารนั่นมีการบอกไว้ว่าจะมีการกลับมาขุดหีบสมบัติภายหลังอีก 20 ปี แต่นี่มันก็ผ่านมาแล้ว 23 ปี ลูกพี่มั่นใจได้อย่างไรว่าหีบสมบัตินี้จะยังอยู่"
สบชัยเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาสงสัยในข้อขัดแย้งบางอย่าง และในตอนนี้สายฝนเริ่มลงหนาเม็ดขึ้นแต่มันก็ไม่สามารถขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ได้แล้ว
"ใช่... ตอนแรกฉันก็คิดว่าพวกเขาทั้ง 3 คงจะมาขุดเอาสมบัติออกไปแล้วแน่ๆ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อมั่นว่าสมบัติยังคงถูกฝังอยู่นั้นเพราะว่า ในเอกสารมีการระบุชื่อคนไว้ 3 คน ฉันได้ลองสืบหาชื่อของคนเหล่านั้น ชื่อแรกนั้นชื่อนาย จัน บำรุงบุญ นายจันนั้นแท้จริงแล้วคือพนักงานของธนาคารที่ถูกปล้นแห่งนั้นนั่นเอง คนต่อไปคือนาย สม รัศมี นายสมนั้นเป็นช่างทำทองร้านที่ถูกปล้น และคนสุดท้ายคือนาย อำนาจ มาทองสุก นายคนนี้คือนักเขียนนิยายชื่อดังเหมือนกัน ฉันคิดว่านายอำนาจเป็นคนจดบันทึกเรื่องราวละเอียดยิบนี้ลงบนกระดาษ"
"แล้วพวกเขาไม่กลับมาเอาของเหรอ หรือว่าเขาทำเอกสารแผนที่หาย แล้วลูกพี่รู้ได้อย่างไรว่าเขาทำเอกสารหายก่อนที่จะมาขุดสมบัติกัน"
มาลีหยุดพูด เธอหันหน้าหลบไปให้พ้นสายตาของสบชัยก่อนจะพูดว่า
"พวกเขาตายหมดแล้ว!"
"จริงหรือนี่ แล้วพวกเขาตายไปเมื่อไหร่กัน?"
"นี่เป็นเหตุการณ์ที่ประหลาดมากเช่นกัน ทั้ง 3 คนนั้นตายวันเดียวกันแต่ต่างสถานที่และสาเหตุการตายที่ต่างกัน นายจันนั้นรถชนตายหน้าธนาคารตอนที่กำลังจะข้ามถนนเพื่อไปทำงาน นายสมโดนไฟฟ้าดูดตายเพราะเอานิ้วไปกดสวิทซ์พัดลมเหล็กที่ไฟรั่ว และนายอำนาจตายเพราะเศษอาหารเข้าไปอุดหลอดลมตายในบ้านพัก และที่หน้าแปลกกว่านั้นพวกเขาตายในวันเดียวกันหลังจากที่เกิดคดีปล้นธนาคารและร้านทองเพียงแค่ปีเดียวพอดี"
"แสดงว่าสมบัติเหล่านี้มีอาถรรพ์!!??"
มาลีหันมาสบตากับสบชัย เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่สบชัยพูดออกมา
"เรื่องนั้นฉันก็เคยคิดเหมือนกัน แต่สำหรับตัวฉันเองแล้วมันก็ยากที่จะเชื่อในสิ่งเหล่านั้น มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่คนทั้ง 3 นั่นตายในวันเดียวกัน อุบัติเหตุมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้วนี่"
"และเรื่องอาถรรพ์นี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งใช่มั้ยที่ลูกพี่ต้องการพิสูจน์?"
มาลีนิ่งเงียบไปสักพัก เธอหลบสายตาของสบชัยอีกครั้ง
"มันก็ไม่เชิงหรอก เพราะฉันไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว แล้วเธอล่ะสบชัย เธอกลัวมั้ย?"
ถึงคราวที่สบชัยนิ่งเงียบบ้าง เหมือนเขากำลังสำรวจจิตใจตัวเองอยู่ตอนนี้เพื่อจะได้บอกถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่
"ผมก็เริ่มกลัวๆแล้วบ้างเหมือนกัน แต่เรามาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ผมถอยก็คงจะไม่ทัน ใช่!! การตายของคน 3 คนนั้นในวันเดียวกันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ"
จบการสนทนาในเรื่องที่มาของลายแทง ทั้งคู่หัวเราะเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ ไม่นานทั้งก้องฟ้าและมานะก็เดินกลับมายังที่ตั้งเต๊นท์ในลักษณะที่เปียกปอน มานะหิ้วกวางตัวน้อยที่ตายแล้วพาดบ่าเดินมา ในขณะที่ก้องฟ้าหิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ใส่เหล่าพืชผักใบไม้และเห็ดป่า
"ดูนี่สิ ดูว่าเราได้อะไรมา"
มานะโชว์กวางที่เขาล่ามาได้ให้ทั้งสบชัยและมาลีดู
"ไม่รู้ว่าลูกพี่จะกินอาหารป่าของเราได้มั้ย"
สบชัยหันไปถามมาลี ซึ่งทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อนึกถึงอาหารที่เธอไม่คุ้นเคย
"ก็น่าจะได้มั้งอาหารป่ากับเหล้าป่า เข้าป่ามาทั้งที่จะให้กินของในเมืองก็กะไรอยู่"
สิ้นเสียงพูดมาลี ทั้ง 4 ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากนั้นชายหนุ่มทั้ง 3 ช่วยกันจัดแจงเตรียมทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ในคืนนั้นมีการกินอาหารและดื่มกินเหล้าป่า สำหรับมาลีแล้วเธอไม่เคยกินเหล้าป่า เมื่อเธอกินแก้วแรกผ่านไปในอารมณ์ที่เหล้าบาดคอ แก้วต่อๆไปจึงเป็นเรื่องง่ายแล้วที่จะดื่มมัน ประจวบกับอากาศที่ค่อนข้างเย็นในป่าลึกหลังฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไปเมื่อสักครู่ การดื่มเหล้าจึงทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ดียิ่งนัก
บทสนทนาในวงรอบกองไฟนั้น จะเป็นเรื่องเล่าและตำนานพื้นบ้านเก่าๆที่เล่าออกมาผ่านปากของชายหนุ่มทั้ง 3 บางครั้งมีเรื่องสยองๆบ้าง เรียกเสียงกรี๊ดจากมาลีได้ในบางครั้ง แต่โดยรวมส่วนมากจะเป็นเสียงหัวเราะสนุกสนานจากวงเหล้ามากกว่า
และถึงเวลาที่ค่ำคืนนี้ต้องสิ้นสุดลง เมื่อทั้ง 4 ต่างเมามายง่วงนอนกัน สบชัยอาสาเป็นคนดับกองไฟในขณะที่คนอื่นๆก็ต่างแยกย้ายเข้านอนเต๊นท์ใครเต๊นท์มัน เมื่อแสงไฟจากกองฟืนมอดลง ความเงียบสงบก็กลับคืนมาสู่ผืนป่าอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ส่องแสงแรงทำให้อากาศในเช้าวันนี้ร้อน มาลีค่อยๆคลานออกมาจากเต๊นท์ฃองเธอแต่ก็ไม่พบใคร เธอคิดว่าทุกคนคงเมาหลับต้องการเวลาพักฟืนนานหน่อย มาลีไปที่เป้ของเธอเพื่อหยิบอาหารกระป๋องออกมา 4-5 กระป๋องเผื่อคนอื่นๆ เสียงดังกุกกักๆของเธอทำให้สบชัยและมานะค่อยๆคลานออกมาจากเต๊นท์เช่นกัน
"เป็นไงบ้าง เมื่อคืนหนักมากเลยนะ ฉันยังมึนหัวอยู่เลย"
มาลีพูดเรียกเสียงหัวเราะจากชายทั้ง 2
"เหล้าป่ามันก็อย่างนี้แหล่ะสำหรับคนที่ไม่เคยกิน แต่เมื่อคืนลูกพี่ก็ดื่มไปเยอะเหมือนกันนะ"
สบชัยพูดทำให้บรรยากาศอบอวนด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง
"ก็ดีนะ นานๆเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี เอ้อ... แล้วก้องฟ้ายังไม่ตื่นเหรอเนี่ย"
"ยังมั้ง ไอ้นี่เวลาเมาก็แบบนี้แหล่ะ หลับยาวกว่าจะตื่นก็สายๆ"
มานะพูดบ้าง มาลีพลิกดูนาฬิกาที่ข้อมือแสดงเวลาที่ยังค่อนข้างเช้าอยู่
"นี่ก็ยังเช้าอยู่เลย ปล่อยเขานอนเอาแรงไปก่อน พวกเรามากินอาหารกระป๋องง่ายๆลองท้องกันก่อน"
พูดจบมาลีก็ยื่นอาหารกระป๋องให้พร้อมช้อนเหล็ก ทั้ง 3 นั่งล้อมวงกินกันก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวกัน
เวลาล่วงเลยเริ่มสายแล้ว แดดเริ่มแรงจ้าแผ่รัศมีความร้อนยิ่งขึ้น บรรยากาศความเขียวชะอุ่มของใบไม้ที่ถูกชะโลมด้วยน้ำฝนเริ่มเหือดแห้ง สบชัยเริ่มแปลกใจว่าทำไมก้องฟ้ายังไม่ตื่นสักที เขาเดินไปเปิดเต๊นท์ของก้องฟ้าเพื่อเตรียมปลุกให้ตื่น
แต่ปรากฎว่า! ไม่มีใครอยู่ในนั้น สบชัยรีบตะโกนเรียกอีก 2 คนมา
"ก้องฟ้าไม่อยู่ในเต๊นท์"
สบชัยพูด
"เขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"
มาลีถาม
"ก็คงจะก่อนที่พวกเราจะตื่น แต่ก้องฟ้ามันจะออกไปไหน ไปทำอะไร"
สบชัยตั้งข้อสงสัย
"อาจจะไปหาของป่ามั้ง ก้องฟ้ามันชำนาญเรื่องของป่า หรือไม่มันก็ออกไปเมาหลับที่อื่นก็ได้"
มานะพยายามพูดในแง่ดี แต่ทั้ง 3 ยังคงกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของก้องฟ้า
"เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพวกเราออกไปตามหาก้องฟ้ากัน ลูกพี่ช่วยดูแถวใกล้ๆนี้ก็ได้ ไม่ต้องออกไปไกลเดี๋ยวหลงป่า"
สบชัยพูดจบก็แยกย้ายกันออกตามหาก้องฟ้ากันคนละทิศคนละทาง เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครพบก้องฟ้า ทั้งหมดจึงกลับมารวมตัวกันที่จุดตั้งเต๊นท์
"เอาอย่างนี้ เรามาลองคิดว่าก้องฟ้าจะออกไปไหนได้บ้าง และไปในทิศทางไหน"
สบชัยพูด
"ก้องฟ้ามันอาจจะออกไปฉี่ เมื่อคืนเราดื่มกันหนัก"
มานะตอบ
"ถ้าไปฉี่ก็น่าจะฉี่ข้างต้นไม้ใกล้ๆนี่ก็ได้ จะไปที่ไหนไกล"
สบชัยถามอีกครั้ง
"เมื่อวานตอนออกไปเก็บของป่ากับก้องฟ้า เรา 2 คนแวะฉี่ตรงเนินหน้าผาไม่ไกลจากนี่ เรายังคุยกันว่าที่นี่วิวดีเป็นสวรรค์ของการฉี่ เมื่อคืนมันเมามันอาจจะไปฉี่ที่นั่นก็ได้"
"ถ้าอย่างนั้นเราไปดูพร้อมกันเลย มันอาจจะเมาหลับอยู่ที่นั่น"
ทั้ง 3 เดินมุ่งหน้าไปยังเนินผาโดยมีมานะเดินนำไป เมื่อทั้ง 3 มาถึงก็ไม่พบก้องฟ้าที่เนินหน้าผานี้ สบชัยจึงเสนอว่าให้แต่ละคนเดินดูรอบๆแถวนี้ ทั้ง 3 แยกย้ายกันไปแต่ไม่นานก็เดินกลับมารวมตัวกันที่จุดเดิมโดยที่แต่ละคนก็ไม่มีใครพบก้องฟ้า
"เอาล่ะ ถ้าคิดว่าก้องฟ้ามาที่นี่จริงๆ และแถวนี้ที่เดียวที่เรายังไม่ได้ไปคือก้นหน้าผานี้"
สบชัยพูด
"หมายความว่ายังไง! ก้องฟ้าตกหน้าผา"
เสียงพูดของมานะแสดงออกมาถึงความตกใจอย่างชัดเจน
"เราต้องลงไปดูกัน"
สบชัยพยายามมองหาทางเพื่อเดินลงไปยังก้นหน้าผา เขาเจอมันจึงบอกให้มานะไปกับเขา
"เดี๋ยวผมขึ้นมานะ ลูกพี่ยืนรออยู่ตรงนี้"
สีหน้าของมาลียังคงนิ่งเรียบ ท่าทางเธอคงยังรู้สึกงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาผ่านไปหลายสิบนาที สบชัยและมานะเดินขึ้นมาจากก้นเหวพร้อมช่วยกันแบกร่างที่ไร้ลมหายใจของก้องฟ้าขึ้นมา
เสียงร้องไห้ของมานะดังมาไม่ขาดสาย ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อสูญเสียเพื่อนรักไปทำให้มานะถึงกับสติแตก
"มันเกิดอะไรขึ้น"
มาลีถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
"เขาคงลื่นตกหน้าผาตอนที่กำลังยื่นฉี่ลงไปในก้นเหวน่ะ นั่นไงจุดที่คิดว่าเขาจะยืนฉี่ เมื่อคืนฝนตกทำให้พื้นดินแฉะ และขอบหน้าผามีใบหญ้าด้วย ก้องฟ้าอาจจะลื่นตกลงไป"
สบชัยพูด ทั้ง 3 เดินกลับไปยังจุดตั้งเต๊นท์โดยที่สบชัยและมานะช่วยกันแบกร่างของก้องฟ้าไปด้วย
เมื่อกับมาถึงจุดตั้งเต๊นท์ เสียงร้องไห้ของมานะเงียบลงไปแล้ว แต่สีหน้าของเขายังคงเสียใจและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
"แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
เสียงมานะพูดอย่างสะอื้น
"เอาน่า ไหนๆมันก็ตายไปแล้ว เรื่องการตายในป่ามันก็เป็นเรื่องปกติของหมู่บ้านเรานี่ มีคนเข้ามาหาของป่าแล้วตายมันก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว"
สบชัยพยายามพูดปลอบใจมานะที่ยังอยู่ในอารมณ์ที่เริ่มหวาดวิตก
"แต่มันเป็นเพื่อนรักของผมนี่"
"ข้ารู้ๆ แต่เอาเถอะ แกก็พยายามทำใจให้ได้ละกัน"
สบชัยพูดปลอบใจอีกครั้ง เขาตั้งใจว่าจะหยุดพูดแล้ว ปล่อยให้มานะค่อยๆทำใจให้สบาย ทั้งสบชัยและมาลีก็นั่งนิ่งเฝ้าสังเกตุอาการณ์ของมานะที่ดูไม่ดีขึ้นเลย
มานะพร่ำเพร้อถึงเพื่อนรัก สายตาเขาสาดส่องไปทั่วจนกระทั่งไปตกกระทบกับหีบสมบัติ เมื่อนั้นความคิดแปลกๆของเขาจึงผุดขึ้นมาในหัว และพูดมันออกมา
"มันจะเป็นไปได้มั้ยว่ามีใครผลักก้องฟ้าตกลงหน้าผาไป"
สบชัยและมาลีมองหน้าหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะรีบหันไปมองที่มานะ
"แกพูดอะไร นอกจากพวกเราแล้วจะมีใครอีกแถวนี้ แกมันบ้าไปแล้ว"
สบชัยรีบปรามคำพูดของมานะ แต่ไม่สำเร็จ
"พี่ลองคิดดูสิ ก้องฟ้ามันตายไปตัวหารสมบัติก็น้อยลงไป"
"นี่แกพูดบ้าอะไรออกมา เราแบ่งสัดส่วนกันลงตัวแล้ว ใครจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร"
เมื่อคนที่สติแตกไปแล้ว อารมณ์ความกลัวมักจะอยู่เหนือเหตุผลทั้งมวล มีปัจจัยหลายๆด้านที่มาบีบเค้นอารมณ์ของมานะ
"แต่เดี๋ยวนะ ถ้าฆ่าไอ้ก้องฟ้าไปหนึ่ง ตัวหารก็จะลดไปหนึ่ง และถ้าฆ่าผมไปอีกคนด้วยตัวหารก็จะลดไปอีกหนึ่ง"
"ไอ้มานะ! แกเพ้ออะไรออกมารู้ตัวมั้ย ก้องฟ้ามันลื่นตกหน้าผาไปเอง ไม่มีใครไปฆ่ามันหรอก แกหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว"
สบชัยยิ่งพูดเหมือนมานะยิ่งสติแตก
"ใช่สิ พี่กับเธอสมคบคิดกันมาจ้างพวกผมให้เข้ามาช่วยหาสมบัติ แต่พอหาเจอแล้วก็คิดจะฆ่าผมกับก้องฟ้าปิดปาก แล้วเอาสมบัติไปแบ่งกันสองคนใช่มั้ย"
"นี่! ไอ้มานะ แกพูดอะไรของแกวะ"
สบชัยตะโกนเสียงใส่มานะทันทีเพื่อหวังให้สติของมานะกลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล มานะยิ่งมีอาการหวาดกลัวจนตัวสั่นจนสบชัยต้องรีบเข้าไปจับตัวของมานะไว้ แต่นั่นยิ่งทำให้มานะตกใจคิดว่าสบชัยจะเข้ามาทำร้ายตัวเอง
เส้นบางๆที่เชื่อมระหว่างคำว่าสติของมานะขาดออกจากสามัญสำนึกทันที มานะรีบวิ่งไปที่เต๊นท์ของเขาและเข้าไปหยิบด้ามปืนลูกซองออกมา มานะเล็งปืนไปที่คนทั้ง 2 สลับไปมา
"เดี๋ยวๆมานะ แกตั้งสติให้ดีๆก่อน เก็บปืนก่อนแล้วค่อยๆมานั่งคุยกัน อย่าทำแบบนี้เลยนะ ค่อยๆวางปืนลง"
สบชัยยืนตัวแข็ง พยายามยกมือทั้งสองข้างห้ามปรามสิ่งที่มานะอาจจะทำ ส่วนมาลีนั้นเธอยืนแข็งทื่อไปแล้วด้วยความกลัวสุดขีด
"ไม่ล่ะพี่ ผมรู้ว่าพวกพี่รวมหัวกัน ผมรู้หมดแล้ว นั่งนี่ใช่มั้ยที่ปั่นหัวพี่ให้มาฆ่าพวกผม"
สิ้นเสียงพูดของมานะ เขาหันปากกระบอกปืนไปที่มาลีพร้อมลั่นไกปืน ร่างเล็กของมาลีกระเด็นตามแรงของลูกกระสุน มานะรีบใส่ลูกกระสุนนัดถัดไปในกระบอกปืนทันที สบชัยรู้ดีว่ากระสุนนัดถัดไปต้องเล็งมาที่เขาอย่างแน่นอน สบชัยรีบพุ่งหมายเข้าชาร์จตัวมานะไว้ก่อนที่จะบรรจุกระสุนเสร็จ
ด้วยความชำนาญการใช้ปืนของมานะที่เป็นพรานตั้งแต่ยังเด็ก เขาบรรจุกระสุนได้ก่อนที่สบชัยจะเข้าถึงตัวเขา มานะรีบเหนี่ยวไกปืนทันทีที่คิดว่าตั้งกระบอกปืนเล็งไปที่สบชัยแล้ว
แต่ด้วยความเร่งรีบของการเหนี่ยวไกปืน ทำให้จังหวะที่เหวี่ยงแขนขึ้นมายิงนั้นสูงเกินไป องศาของวิถีกระสุนพุ่งข้ามหัวสบชัยไปประกอบกับการวางเท้าของมานะที่ยังไม่อยู่ในท่าพร้อมยิงนั้น ส่งผลให้ร่างของเขาถูกถีบหงายหลังลงไปกับพื้น โชคร้ายที่หัวของมานะกระแทกลงกับก้อนหินใหญ่พอดี ด้วยความแรงจึงทำให้มานะตายค่าที่
สบชัยค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากท่าหมอบหลบลูกปืน เขาสำรวจตัวเองว่าโดนกระสุนบ้างหรือไม่ จากนั้นสบชัยเดินเข้าไปดูร่างของมานะที่น่อนแน่นิ่งไปแล้ว สบชัยนั่งสงบสติอารมณ์ที่ใต้ต้นไม้ เมื่อเขาอารมณ์เริ่มเย็นลงจึงไปเก็บกวาดศพทั้งสามพร้อมขุดหลุมฝังอย่างเรียบร้อย
สบชัยนั่งลงใต้ต้นไม่ใหญ่อีกครั้ง เขาจุดบุหรี่สูบพลันคิดถึงคำพูดของมานะเรื่องการลดตัวหารนั้นมันจะเป็นไปได้หรือไม่ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเรื่องจริงในเมื่อทุกคนก็ตายกันหมดแล้ว สบชัยคิดว่ามาลีคงไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้นได้ เธอไม่มีท่าทีแบบนั้นเลย
สบชัยหลับตาลงเพื่อใช้สมาธิในการวิเคราะห์เหตุการณ์ เขานึกขึ้นได้ว่าถ้าสามารถพิสูจน์การตายของก้องฟ้าได้ เขาจะรู้ว่าเรื่องการลดตัวหารนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง สบชัยยังคงมืดแปดด้านว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าก้องฟ้าลื่นตกไปเองหรือมีคนผลักลงไป ในเมื่อไม่มีพยานแวดล้อมใดๆทั้งสิ้น ไม่มีกล้องวงจรปิด เขานึกเล่นๆว่าถ้ามีกล้องวงจรปิดถ่ายที่จุดเกิดเหตุไว้ก็คงดี อย่างน้อยก็สามารถรู้ว่ามีคนค่อยๆย่องไปข้างหลังเขาหรือไม่ แม้ที่เกิดเหตุจะมืดไม่สามารถระบุตัวคนได้ก็ตาม
สบชัยลืมตาขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เมื่อคืนฝนตกพื้นดินแฉะ อย่างน้อยตอนที่ก้องฟ้าเดินไปที่ขอบเนินผาถ้าเป็นเวลาก่อนเช้า พื้นดินจะต้องยังเปียกอยู่ รอยเท้านั้นจะระบุจำนวนคนตรงจุดนั้นได้ คิดได้ดังนั้นสบชัยรีบเดินไปที่ขอบเนินผาทันที และเป็นดังที่เขาคิด มีรอยเท้าชัดเจนบนดินก่อนที่จะถึงขอบเนินหน้าผา สบชัยเห็นชัดเจนว่ามีแต่รอยรองเท้าบู๊ทของก้องฟ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตรงไปยังขอบหน้าผา นั่นจึงทำให้สบชัยสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ก้องฟ้าลื่นตกหน้าผาไปเอง
สบชัยเดินกลับมายังจุดที่ฝังศพคนทั้ง 3 ไว้ พลันรำพึงรำพันออกมาเบาๆกับตัวเองว่า
"ถ้าไขปริศนานี้ได้ก่อนหน้านี้ 2 คนนี้คงไม่ต้องมาตาย ขอให้ทั้ง 3 ไปสู่สุขคติละกัน"
สบชัยมองไปที่หลุมฝังศพของมาลี เขานึกถึงคำพูดของมาลีเรื่องอาถรรพ์ของสมบัติ นึกถึงคำบอกเล่าที่โจร 3 คนเกิดอุบัติเหตุตายวันเดียวกัน และนี่ก็มีอีก 3 ศพที่ตายวันเดียวกันเหมือนกัน สบชัยเริ่มกลัวกับเรื่องนี้แล้ว เขามองไปที่หีบสมบัติและคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับของในนั้นดี ใจหนึ่งก็กลัวอาถรรพ์ของสมบัติแต่ใจหนึ่งก็คิดถึงมูลค่าของสิ่งของที่อยู่ในนั้น หากเขาได้ไปมันคงจะทำให้เขาสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต
สบชัยคิดถึงคำพูดของมาลีที่ว่า
'มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญที่คนทั้ง 3 นั่นตายในวันเดียวกัน อุบัติเหตุมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้วนี่'
สบชัยเปิดหีบเหล็กและหยิบปึกธนบัตรหนึ่งปึกพร้อมสร้อยทองจำนวนหนึ่งที่เขาพอจะหยิบกลับไปได้ เขาค้นหากระดาษที่เขียนแผนที่จากกระเป๋าของมาลี จากนั้นสบชัยนำหีบสมบัติไปฝังไว้ตำแหน่งเดิมตามที่แผนที่ระบุไว้
สบชัยเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เขาเดินทางออกจากป่าพร้อมกับกระเป๋าที่ใส่ของใช้ส่วนตัว ทรัพย์สมบัติที่ขุดพบและลายแทงขุมทรัพย์นี้เพื่อที่จะกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น