วันนี้บังเอิญที่ผมมีธุระที่จะต้องไปทำกับเพื่อนที่ชื่อเฟรม
แต่พอผมไปรับเฟรมปรากฏว่ามันบอกให้ผมไปส่งมันที่งานเผาศพคนรู้จักของมันเอง
ผมก็ทำตามที่เพื่อนผมขอเพราะมันบอกว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ
และป่าช้าที่จะไปก็เป็นทางผ่านที่เราสองคนจะไปทำธุระกันอยู่แล้ว
เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่มีไอ้เฟรมซ้อนท้ายไปถึงหน้าป่าช้า
ลำบากมากที่จะลัดเลาะอีแก่ของผมเข้าไปในงานพิธี
เพราะว่ารถราหลายคันจอดกันเบียดเสียดทั้งรถ 4 ล้อและ 2 ล้อ แต่ด้วยความชำนาญในการควบ 'อีแก่' ของผม ผมจึงนำมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในงานให้ใกล้ที่สุด
เพื่อที่จะได้ปลีกตัวออกมาได้ง่ายเมื่อถึงเวลา
เมื่อเราไปถึงเป็นช่วงจังหวะที่โลงศพถูกลากเข้ามาที่กลางลานกว้างพอดี
ในงานผมสังเกตเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตานับหลายร้อยชีวิตในงาน
และหลายร้อยชีวิตก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน มีทั้งในชุดสีกากี บ้างเป็นชาวบ้านในชุดดำทั้งหนุ่มแก่
ยังมีกลุ่มที่เหมือนจะเป็นนักปั่นจักรยานหลายสิบคนมาร่วมงานด้วย
ถัดไปอีกก็เป็นกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงอีกหลายสิบคนเช่นกันในชุดเสื้อยืดสีดำรูปหัวกะโหลก
บางคนใส่ชุดหนังสีดำโพกหัวด้วยผ้าหลากสี และยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นชมรมอะไรกัน
ไม่เหมือนกับกลุ่มจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์หรูที่จอดยานพาหนะนั้นไว้ใกล้ๆกลุ่มของพวกเขา ผมสงสัยว่านี่มันงานบ้าอะไรกันจึงถามไอ้เฟรมเพื่อนของผม
"เฟรม คนพวกนี้เป็นใครกัน เขามาทำอะไรที่นี่"
"อ๋อ คนพวกนี้เหรอ เป็นคนในชมรมที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าอยู่น่ะ
พอมันตายก็เลยมีคนในชมรมมาร่วมงาน แต่บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามันอยู่หลายชมรม
ทั้งจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตกปลา
หมากรุกและมันทำงานเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่างที่เทศบาลด้วยน่ะ
พอมันตายก็เลยมีคนมาร่วมงานเยอะมาก"
ไอ้เฟรมบรรยายรายละเอียดให้ผมรู้
ผมเฝ้ามองดูผู้คนที่อยู่ในงานพลางคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของไอ้เฟรม
ว่าเขาเป็นคนที่กว้างขวางจริงๆ มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด ช่างน่านับถือจริงๆ
ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป
พอได้รู้ว่ามีคนมากมายที่มาร่วมงานในพิธีของลูกตนเอง ก็คงทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจได้ว่าลูกของตนเป็นที่รักของคนจำนวนมาก
แต่นั่นยังไม่หมด
พอถึงช่วงที่จะมีการถวายผ้าบังสกุล มีผู้ใหญ่หลายสิบคนที่ถูกเรียกชื่อ
แต่ละคนคือคนใหญ่คนโตทั้งผู้ใหญ่บ้านจนไปถึงผู้ว่าฯ
ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมงานเผาศพวันนี้ถึงมีคนสำคัญๆมาร่วมงาน
คนตายต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือคุณงามความดีหรืออย่างไรกัน แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่ถามมันกับไอ้เฟรม
ในระหว่างที่ยังมีการเรียกชื่อผู้ถวายผ้าบังสกุลอยู่
ผมเริ่มครุ่นคิดหนักถึงประเด็นที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน
การที่เราได้รู้จักคนเยอะๆและมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด
นั่นคือน่าที่ของมนุษย์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
หากไม่มีสังคมก็คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นได้แค่สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นที่ไม่ชอบเข้าสังคม ผมไม่มีชมรม
ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่เอาไว้สำหรับออกไปเฮฮาปาร์ตี้
ไม่มีเพื่อนที่สนใจในกิจกรรมที่คล้ายๆกัน เพื่อนที่ทำงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน
พ่อแม่พี่น้องของผมก็ไม่มีแล้ว
มีก็แค่ญาติห่างๆรวมถึงไอ้เฟรมเพียงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน
เพราะเฟรมกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงเข้ากันได้อย่างสนิทใจในทุกเรื่อง
เวลาในการเรียกชื่อผู้ที่จะถวายผ้าบังสกุลยังอีกนาน
เพราะผู้ใหญ่อีกหลายคนยังไม่ถูกเรียกออกไป
ทำให้ผมยังพอมีเวลาอีกนานที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
และในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ก็เหมาะสำหรับการนั่งพิจารณาความคิดของตัวเอง
ผมเริ่มกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี
ให้ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์ในอุดมคติตามที่ผมเพิ่งจะคิดไว้
ผมเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนโดยเริ่มจากตัวผมเองและไอ้เฟรม
อะไรกันนะที่ทำให้เรารู้จักกันและไว้เนื้อเชื่อใจกัน
แต่กับคนรอบๆข้างนั้นผมไม่รู้จะเริ่มยังไง
เมื่อไฟถูกจุดที่เมรุเผาศพ
ผมเห็นคนหลายคนร้องไห้โศรกเศร้า เมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน
คนอีกหลายคนก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกับมันเป็นอุปทานหมู่อย่างไรก็อย่างนั้น
ผมคิดว่าน่าจะมีแม่ของผู้ตายและอาจจะมีภรรยาของผู้ตายด้วยที่ช่วยกันร้องไห้
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมเริ่มมองตัวเองและคิดต่อไปว่า
หากเป็นงานศพของผมเองนั้นจะมีใครบ้างที่มาร่วมงานของผมบ้าง
ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแค่ยายของผมและไอ้เฟรม
การที่เราตายไปโดยที่ไม่เป็นที่จดจำของผู้คนมันช่างดูหดหู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงมัน
ไม่นานไอ้เฟรมก็ชวนให้ผมเดินออกจากงานเพื่อไปทำธุระต่อ
หลังจากที่มันเดินไปล่ำลากับเจ้าภาพของงาน
ความจริงแล้วธุระของเราสองคนก็ไม่ใช่สลักสำคัญอะไรมาก
แค่วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงชวนไอ้เฟรมไปเล่มเกมส์ที่ร้านคอมถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง
ซึ่งระยะทางก็ไกลโขอยู่เหมือนกัน
ต้องวิ่งผ่านถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถสิบล้อวิ่งผ่าน
และถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านอีก
ผมจึงไม่ค่อยจะชอบขี่รถบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ
เพราะวันนี้มันเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อของผม
ผมจึงเลือกที่จะขี่ไปในถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาความสำราญกับเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง
"ไปกันได้แล้ว ช้าเดี๋ยวที่นั่งเต็มอดเล่นกัน"
ไอ้เฟรมเริ่มกระสันที่จะอยากเล่นเกมแล้ว
จึงบอกให้ผมรีบบึ่งรถไปโดยเร็ว แต่วันนี้โชคร้ายหน่อยสำหรับผมกับไอ้เฟรม
เมื่อเราขี่ไปได้เกือบครึ่งทางของถนนที่วิบากและเต็มไปด้วยรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็ว
ในขณะที่ผมขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าแต่แรงดีของผมดัวยความเร็ว ผมไม่ทันหลบหลุมขนาดใหญ่ได้
ล้อหน้าตกลงไปในหลุมในจังหวะที่ผมพยายามจะหักเลี้ยวหลบ ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งผมและไอ้เฟรมลื่นไถลไปกับพื้นที่ถนนคอนกรีตที่เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย
ชั่วอึดใจเดียวสามัญสำนึกของผมก็ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
โดยที่ผมมองเห็นร่างของผมและไอ้เฟรมนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป
และสภาพร่างของผมและไอ้เฟรมที่ผมมองเห็น
สภาพมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซากรถมอเตอร์ไซค์
"นี่เราคงตายแล้วใช่มั้ย? ดูสภาพแล้วเราสองคนไม่น่ารอดนะ"
ผมได้ยินเสียงไอ้เฟรมยืนข้างๆ
"อืม... คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่แกไม่ตกใจเลยเหรอ
ดูท่าทางแกยังชิวๆอยู่เลย"
ผมหันหน้าไปทางไอ้เฟรม
ก่อนจะถามมันด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย
"ก็ไม่นะ ไม่รู้สึกตกใจอะไรเลย ก็แปลกดีนะในตอนที่เรายังไม่ตาย
เราต่างหวาดกลัวความตายและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตาย แต่เมื่อเราตายแล้วจริงๆกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย"
ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่ไอ้เฟรมพูดออกมา
เมื่อเราตายก็เหมือนกับแค่เราเปลี่ยนสถานะไปแค่นั้นเอง
ผมยังคิดไม่ออกว่าความตายมันน่ากลัวและน่ากังวลตรงไหน
ตอนนี้เราสองคนที่อยู่ในรูปของอะไรก็ไม่รู้กำลังนั่งมองดูร่างของตัวเองที่นอนจมกองเลือดอยู่
ตอนนี้ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นศพของเราสองคน
"แล้วเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้?"
ผมถามไอ้เฟรมเพราะผมไม่มีความเห็น
"ข้าก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปที่ไหนกันต่อ
แต่ตอนนี้ยังพอมีเวลาข้าขอกลับไปดูหน้าลูกเมียอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีกว่า
ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีใครมารับเราไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่า"
"เหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยละกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ไหน"
เมื่อเราสองคนตกลงกันได้
แค่เรานึกถึงหน้าคนที่เราต้องการจะเห็น จิตของผมและไอ้เฟรมก็ไปโผล่ที่คนๆนั้นทันที
แต่ปรากฏว่าสถานที่ที่เราโผล่ไปนั้นคือบ่อน
"โธ่! นังแก้ว มันมาเล่นไพ่อีกแล้ว เมื่อวานข้าเพิ่งจะว่าให้มัน
คราวแล้วก็เสียหมดตัว ถ้าต่อไปมันยังไม่เลิกเล่นการพนัน
และไม่มีข้าด้วยมันจะอยู่ยังไง ไอ้บอลก็ยังเรียนไม่จบ"
"เอาน่าๆใจเย็นก่อน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง
แก้วมันก็คงมาหาอะไรทำแก้เบื่อบ้างล่ะ อย่าไปโทษมันเลย ทีแกยังจะหนีไปเล่มเกมกับข้าเลย"
ท่าทางของไอ้เฟรมเหมือนจะเป็นห่วงครอบครัวของมันมากกว่าตัวมันเอง
เมื่อเราสองคนคิดถึงบอล ลูกชายของไอ้เฟรม
ทันใดนั้นจิตเราสองคนก็ไปโผล่ที่บ้านของไอ้เฟรมทันที
เสียงดนตรีบรรเลงจากกีตาร์คลาสสิคของบอลที่บรรจงดีดออกมาอย่างไพเราะ
เขานั่งเล่นมันในห้องเล็กๆแต่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงที่เขาแกะออกมาจากหนังสือ
สีหน้าของบอลตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขและความมุ่งมั่นที่จะเล่นเพลงในให้จบจนถึงโน๊ตตัวสุดท้าย
"ข้าไม่ห่วงลูกข้าคนนี้เลย การเรียนก็ดีเล่นดนตรีก็เก่ง
ต่อไปมันต้องสามารถเลี้ยงดูแม่มันได้แน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็หมดห่วงอะไรอีกแล้ว"
ผมเห็นไอ้เฟรมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
เราสองคนนั่งฟังโน๊ตตัวสุดท้ายจากเสียงของสายกีตาร์ที่ถูกดีด
จากนั้นจิตของเราทั้งสองคนก็ล่องลอยออกมาไปตามความคิดห่วงหาอาทรของแต่ละคน
ผมส่งไอ้เฟรมไปหาพ่อและแม่ของมัน และจากนั้นมันก็ไปหาเพื่อนๆ หาผู้ใหญ่หลายคนที่มันเคารพนับถือ
จนเมื่อมันเสร็จธุระของมันแล้ว ไอ้เฟรมมันก็ถามผมบ้าง
"ตอนนี้ข้าหมดห่วงกังวลหมดแล้ว
ข้ารู้สึกว่าพร้อมแล้วที่เราจะไปสู่ภพภูมิที่เราควรจะไป
ตอนนี้แกอยากไปหาใครบ้างล่ะ"
"ข้าคงขอไปดูหน้ายายของข้าเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ จากนั้นก็คงจะหมดห่วงและไปตามทางของใครของมัน"
ผมมองไปที่ยายของผมและก้มลงกราบที่เท้าเพื่อเป็นการบอกลา
ยายของผมเป็นคนที่ดี แกมักจะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีเสมอ
ท่านเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ
ผมมั่นใจว่ายายของผมจะทำใจได้ในไม่ช้าหากท่านรู้ว่าผมตายแล้ว
เมื่อผมหมดห่วงอะไรทุกอย่าง ท่าทางของไอ้เฟรมก็ไม่มีอะไรยึดติดบนโลกใบนี้อีกแล้ว
"ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางไปสู่สุขคติ
เราหมดหน้าที่แล้วบนโลกใบนี้"
ไอ้เฟรมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น
ผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ ไม่นานไอ้เฟรมก็ค่อยๆจางหายไป
แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งทึ่เป็นวิญญาณกำลังยืนงงอยู่กลางถนน
ผมเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันทีทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปตามไอ้เฟรมได้
ผมเข้าไปคุยกับวิญญาณร่างนั้น
"ลุงจะไปไหนเหรอครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้"
ร่างนั้นหันหน้ามาที่ผม
ก่อนจะถาม
"ลุงจะกลับบ้าน ลุงจากลูกกับเมียนานมากแล้ว พวกเขารอลุงอยู่"
ผมคิดว่าลุงเองคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว
"ตอนนี้ลุงตายแล้วครับ ลุงคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว"
ผมบอกลุงไปตามตรง
"ยังหรอกลุงยังไม่ตาย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย
พวกเขากำลังรอลุงอยู่ที่บ้าน"
ลุงคนนั้นพูดเสร็จก็เดินหายจากไป
โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ลุงแกรู้ตัว
หรือบางทีเขาอาจจะต้องเห็นศพของตัวเองเหมือนกับที่ผมเห็นศพของตัวเอง
ผมเดินตามลุงไปสักพักก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่
ด้วยความสงสัยผมเดินเข้าไปถาม
"ป้ายืนรออะไรอยู่ตรงนี้หรือครับ ทำไมไม่เดินทางไปภพภูมิต่อไป"
"ป้ายังเป็นห่วงลูกหลานของป้า
ป้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะดูแลธุรกิจที่ป้าสร้างมันมาทั้งชีวิตได้หรือเปล่า
ป้าอยากอยู่ดูพวกเขาสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาดูแลตัวเองได้"
"แล้วมันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ในการเฝ้าดูลูกหลาน"
ป้าคนนั้นหันมาและทำสีหน้าไม่แน่ใจ
"ป้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ป้าไปตอนนี้ยังไม่ได้
เพราะป้ายังเป็นห่วงพวกเขาอยู่"
ผมเดินจากมาโดยที่เหลียวหลังไปมองที่ป้าแก
ตอนนี้ผมคิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้จิตเรายึดติดกับบุคคลได้เพียงนี้
ไม่ไกลจากป้าแกผมเห็นวิญญาณชายหนุ่มเดินวนเวียนไปมาหน้าบ้านหลังหนึ่ง
"พี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่ไปสู่สุขคติ"
วิญญาณร่างนั้นชี้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่
"เห็นนั่นไหม บ้านหลังใหญ่ รถยนต์หลายคัน ในบ้านมีทรัพย์สินมูลค่ามากมาย
เมียของผมเพิ่งจะวางยาผมตายเพื่อหวังเงินประกันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ผมสะสมมาตลอดชีวิต
มันน่าแค้นใจเหลือเกิน ผมคงไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้หรอก
ต้องรอดูความวิบัติของเมียคนนี้เสียก่อน"
ผมทำได้แค่เฝ้าดูและเดินจากไป
คงไม่สามารถพูดอะไรให้พี่คนนั้นเปลี่ยนใจได้หรอก
อารมณ์ที่เครียดแค้นชิงชังนี้คงจะเกิดจากความแค้นที่เขาได้เจอมา ไม่แน่เหมือนกันถ้าเป็นผมเองก็อาจจะเครียดแค้นเหมือนเขาก็เป็นได้
ตอนนี้ผมเริ่มคิดแลัวว่าความสับสนวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
บางทีมันก็อาจจะยุ่งเหยิงพัลวันกันจนเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ไปไหนได้เลย
ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้ก่อนที่ผมจะหมดโอกาสที่จะไปแก้ไขมัน
ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังที่ที่ควรไป
ผมค่อยหลับตาลงและพยายามทำให้จิตใจว่างที่สุดก่อนที่วิญญาณของผมจะเสื่อมสลายไป
ชีวิตบนโลกที่สับสนวุ่นวายของผมคงจะจบแล้ว
แต่ความคิดสงสัยเล็กๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมสงสัยว่าญาติของไอ้เฟรมที่ผมเพิ่งจะไปงานเผาศพนั้น
ดวงวิญญาณของเขาจะไปล่ำลาคนรู้จักที่มากมายของเขาหมดหรือยัง แต่ช่างเถอะ!
ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะไปคิดเรื่องนั้น
อา...
ความสงบสุขหลังความตายมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสบายจัง...