วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทดสอบปัญญาประดิษฐ์


                ศาสตราจารย์ทีโอบีนั่งอยู่ในบัลลังก์กลางห้องประชุมใหญ่ ในห้องมีเหล่านักวิทยาศาสตร์หลายสิบคนนั่งเป็นสักขีพยาน ในการทดสอบอภิมหาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ เบื้องหน้าสายตาผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายคือ กล่องไม้ขนาดใหญ่เท่ากับห้องเล็ก ๆ  สองห้องแยกห่างกันประมาณสองเมตร ในแต่ละห้องสามารถบรรจุคนได้หนึ่งคน

                การทดสอบคือ ผู้สัมภาษณ์จากห้องหนึ่งจะไม่สามารถเห็นว่าอีกห้องหนึ่งที่บรรจุผู้ถูกสัมภาษณ์นั้น จะเป็นมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์กันแน่ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะประเมินว่าคู่สนทนาจะเป็นมนุษย์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องวิเคราะห์จากบทสนทนาเท่านั้น

เสียงผู้สัมภาษณ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในกล่องไม้เริ่มต้นบทสนทนา

                “สวัสดีครับคุณมายูติ ผมคือศาสตราจารย์วัลเลอี”

                “สวัสดีครับท่านศาสตราจารย์วัลเลอี” ผู้ถูกสัมภาษณ์ทักทายตอบ

                “คุณอายุเท่าไหร่ครับ”

                35 ปีครับ”

                “คุณเกิดและเติบโตที่ไหนครับ”

                “ผมมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเขาฟูจี ผมอยู่ที่นั่นจนอายุ 10 ปีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้ ผมเริ่มเข้ารับการศึกษาที่นี่จนกระทั่งจบมหาลัย”

                “คุณทำงานอะไรครับ”

                “ผมเป็นผู้ช่วยออกแบบโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ครับ”

                “สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ เช่นอะไรบ้างครับ”

                “อาคารขนาดใหญ่ สะพานข้ามแม่น้ำ อุโมงค์ถนนใต้ดิน หอประภาคารสูง นี่คือสิ่งปลูกสร้างที่ผมเคยช่วยออกแบบ”

                “ช่วยอธิบายลักษณะงานที่คุณทำด้วยครับ”

                “ผมมีหน้าที่ประเมินความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง และยังมีหน้าที่คำนวณตัวเลขทางด้านวิศวกรรม”

                “งานอดิเรกของคุณคืออะไรครับ”

                “ผมมักไปปั่นจักรยานขึ้นภูเขาในในหยุด”

                “ทำไมถึงชอบการปั่นจักรยานขึ้นภูเขาครับ”

                “การปั่นจักรยานขึ้นภูเขาทำให้หัวใจเราเต้นแรงขึ้น เมื่อหัวใจเต้นแรงจะทำให้เราสูดอากาศหายใจแรงขึ้น ออกซิเจนจำนวนมากที่เข้าไปเผลาผลาญพลังงานในร่างกายของเรา จะทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งออกมา ช่วงเวลานั้นทำให้ผมมีความสุขมากครับ”

                “คุณมีครอบครัวหรือยังครับ”

                “ผมมีภรรยาและลูกสาวอีกหนึ่งคนครับ”

                “คุณรักภรรยาของคุณมั้ยครับ”

                “รักครับ”

                “ช่วยอธิบายความรักหน่อยครับ ว่าความรักของคุณคืออะไร”

                “ณ ตอนนี้สำหรับผม ความรักคือการไว้ใจคนรัก การไว้เนื้อเชื่อใจไม่บังคับไม่ครอบครอง ไม่มีความสงสัยในตัวเธอ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน”

                “คุณรักลูกสาวของคุณมั้ย”

                “รักครับ”

                “ความรักที่มีต่อลูกสาว เหมือนกับความรักที่คุณมีให้ภรรยามั้ยครับ”

                “เหมือนกันครับ แต่จะเพิ่มในเรื่องของการดูแลเอาใจใส่”

                “คุณมีพี่น้องร่วมสายเลือดมั้ยครับ”

                “ไม่มีครับ”

                “คุณมีแนวคิดทางการเมืองอย่างไรครับ”

                “ผมคิดว่าทัศนะคติ ความคิด ค่านิยมและจิตใต้สำนึกของคนจะนำไปสู่ความจริงทางสังคม ซึ่งนั่นก็คืออิสรภาพของแต่ละปัจเจกบุคคล การปกครองสังคมที่ประสบความสำเร็จหรือไม่คงจะขึ้นอยู่กับอิสรภาพของประชาชนเป็นหลัก”

                “คุณชอบสีอะไรมากที่สุด”

                “ผมชอบสีฟ้าครับ”

                “เพราะอะไรคุณถึงชอบสีฟ้า”

                “ผมคิดว่าสีฟ้าทำให้ผมรู้สึกสงบและอิสระ”

                “คุณชอบงานศิลปะชนิดใด”

                “ผมชอบภาพวาดครับ”

                “ภาพวาดแนวไหนที่คุณชอบ”

                “ผมชอบภาพวาดแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิส”

                “ทำไมคุณถึงชอบภาพวาดแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิส”

                “เพราะภาพเขียนแนวนี้เน้นในเรื่องการแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน”

                “คุณนับถือศาสนามั้ย”

                “ผมนับถือศาสนาครับ”

                “คุณนับถือศาสนาอะไร”

                “ผมนับถือศาสนาคริสครับ”

                “คุณเชื่อในเรื่องพระเจ้ามั้ย”

                “เชื่อครับ”

                “ทำไมคุณถึงเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง”

                “พระเจ้าคือระบบความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันไม่สำคัญว่าตัวตนของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร ขอแค่เราเชื่อมั่นในพระเจ้า”

                “คุณเชื่อในเรื่องบาปมั้ย”

                “เชื่อครับ”

                “อะไรคือการทำบาป”

                “การกระทำที่เมื่อเราทำแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรารับรู้แล้วเป็นทุกข์”

                “คุณเชื่อเรื่องการไถ่บาปมั้ย”

                “เชื่อครับ”

                “คุณคิดว่าการไถ่บาปสามารถทำให้บาปหมดไปได้หรือไม่”

                “ได้ครับ ขอเพียงให้เราลืมเลือนบาปนั้นไป”

                “อะไรคือบาปที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณ และคุณจัดการไถ่บาปนั้นอย่างไร”

                “บาปของผมที่ไม่เคยลืม คือผมเคยขับรถชนสองสามีภรรยาตาย”

                “คุณยังไม่ลืม นั่นหมายถึงคุณไม่เคยไถ่บาปในเรื่องนี้”

                “บาปครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกน้อยของพวกเขารอดตายจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น แม้ผมจะชดใช้ความผิดตามกฎหมายทั้งหมดแล้ว แต่หากผมลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นไปจะทำให้ลูกของพวกเขากลายเป็นเด็กที่ไม่มีใครเลี้ยงดู”

                “แล้วคุณทำอย่างไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นบ้าง”

                “ผมรับเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมครับ”

                “หมายความว่าลูกสาวของคุณไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณและภรรยาของคุณ”

                “ผมและภรรยาเป็นหมัน เราไม่สามารถมีทายาทได้ การเลี้ยงดูเธอเท่ากับการไถ่บาปของผมไปตลอดชีวิต”

                ศาสตราจารย์วัลเลอีนิ่งเสียงเหมือนกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ในกล่องไม้เงียบ ๆ สักพักเขาก็พูดออกมาเสียงดังลั่นห้องประชุม

                “การสัมภาษณ์จบลงแล้วครับ ผมหมดคำถามที่จะพิสูจน์ว่าคู่สนทนาของผมนั้นเป็นเอไอหรือเป็นมนุษย์แล้วครับ ศาสตราจารย์ทีโอบี”

                “ผลการวิเคราะห์ของคุณเป็นยังไงบ้างครับ” ศาสตราจารย์ทีโอบีถาม

                “เขาไม่ใช่มนุษย์ครับ เขาเป็นเอไอ”

                “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นครับ”

                “ตอนแรกผมก็เกือบเชื่อแล้วครับว่าเขาคือมนุษย์ เขารู้ถึงสิทธิหน้าที่พลเมืองและยังเข้าใจในเรื่องของอารมณ์ศิลปะ แต่เมื่อเขาตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมเริ่มทำให้ผลลังเล ผมคิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ที่เชื่อในเรื่องศาสนามักจะไม่ตีความวิธีคิดของคำสอนมากนัก แต่เมื่อเขาบอกว่าเขารับลูกของคนที่เขาฆ่ามาเป็นลูกบุญธรรม ผมคิดว่านั่นผิดกฎธรรมชาติของมนุษย์”

                “คุณไม่เชื่อเรื่องการไถ่บาป หรือการสำนึกผิดอย่างที่เขาว่าเหรอ”

“ผมไม่เชื่อเรื่องการสำนึกผิดของมนุษย์ครับ” ศาสตราจารย์วัลเลอีกล่าวทิ้งท้ายคำอธิบาย

               

                “เอาล่ะครับทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้ ผมต้องขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เราพัฒนาขึ้นยาวนานเกือบศตวรรษ ยังไม่พัฒนาถึงจุดสูงสุดที่จะสามารถสื่อสารและเข้าใจจิตใต้สำนึกของมนุษย์อย่างแท้จริง แม้เอไอของเราจะสามารถพัฒนาไปถึงระดับระบบผู้เชี่ยวชาญ คือสามารถแก้ปัญหาหรือช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์...

                “อีกทั้งเอไอยังสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถตรวจจับรูปแบบการเกิดเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เอไอยังคิดอย่างมนุษย์ได้ด้วยการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกายเหมือนมนุษย์ การกระทำอย่างมีเหตุผลของเอไอ โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล”

                ศาสตราจารย์ทีโอบีพูดเสียงดังกังวานทั่วห้องประชุม โดยมีนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในห้องตั้งใจฟัง

                “แต่ระบบเอไอของเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจระบบศีลธรรมของมนุษย์ได้ ระบบศีลธรรมที่มีความสลับซับซ้อนจนไม่สามารถสร้างอัลกอรึทึ่มเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ เราอาจจะใช้เวลาอีกหนึ่งศตวรรษหรือเท่ากับระยะเวลาที่เราเริ่มต้นสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อที่จะงให้คอมพิวเตอร์เข้าใจระบบศีลธรรมของมนุษย์”

                ศาสตราจารย์ลุกขึ้นและกวาดสายไปที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้

                “ศาสตราจารย์วัลเลอีคือปัญญาประดิษฐ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ในอุดมคติของเราครับ” ผู้พูดมองไปที่กล่องไม้ที่มายูติอยู่ในนั้น “ขอเชิญคุณมายูติออกมาจากห้องได้แล้วครับ ขอขอบคุณที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในการทดสอบระบบให้เรา”