แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แฟนตาซี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แฟนตาซี แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มหัศจรรย์ คืนวันเกิด

ผมบรรจงหิ้วถุงพลาสติกใสลายน่ารักสวยงาม ข้างในถุงมีกล่องพลาสติกที่ห่อหุ้มเค้กที่ดูสีสันสดใสน่ารับประทาน ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินเค้กหรอกครับ ผมไม่ได้มาซื้อมันมากินเป็นประจำหรอก ไม่สิ... ผมไม่เคยกินเค้กเลยสักครั้งในชีวิตนี้ต่างหาก เพราะบ้านของผมจนมาก เงินทุกบาทจะต้องเก็บไว้ซื้อข้าวกินกัน ผมย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กับป้าในเมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผมเนื่องในโอกาสเป็นวันครบรอบวันเกิดในวัย 11 ปี และในคืนพิเศษๆเช่นนี้มันก็ควรจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะครับ

แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้

"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"

เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย

"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"

แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา

เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง

ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน

"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"

ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน

"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"

ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้

"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"

"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"

ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที

"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น จะลดราคาให้ด้วย"

ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้ ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ

"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"

พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว

"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"

ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว

"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"

พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZaMBnlgrnHuhtSVR_NzSY3RQBk4VsykmqYB6cuD_naGkj5IZtE5IBzW4pfji5T_I6HYA1V9tWdHwqNKESjVUiZc-JXqPhbmZeWWJGdcg3tx75kukvGMZDFvLZMhDM4ooWBX2jmhwZWFA/s640/blogger-image--1705964525.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด

นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ... ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว

ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์ แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป

ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้

อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์ อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที

เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น

"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"

อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก

"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"

"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้ เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง

"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"

ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ

"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"

ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้

"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"

พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่ เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง

"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"

พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ 

"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"

พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม

"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11 ปี"

"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"

"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"

ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว

"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"

"ว้าว...ว แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"

"ใช่"

พอพี่สายสืบพูดจบ แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย

"ที่นี่คือประเทศอินเดีย เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"

พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น

"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"

"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"

ผมทำหน้าสับสน ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่

"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"

พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา

"เอาล่ะ เราไปดูที่อื่นกันต่อ"

แสงสว่างโผล่มาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว เรามาโผล่ยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

"ที่นี่คือประเทศเนปาล ลองมองดูเด็กคนนั้นสิ เธอคนนั้นกำลังตั้งช่วยพ่อแม่ของเธอเก็บผลไม้ในสวน"

ผมเห็นเด็กผู้หญิงที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับผม ถ้าทางเธอจะเป็นลูกของคนงานในสวนผลไม้แห่งนี้ ผมคิดว่าเธอสมควรจะได้เค้กวันเกิด เพราะเธอเชื่อฟังและคอยช่วยเหลือพ่อแม่

"เธอคนนั้นควรจะได้รับเค้กใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้วล่ะ"

พี่สายสืบพาผมเดินทางไปอีกหลายที่ มีเด็กหลายคนที่ได้รับการบันทึกว่าจะได้รับเค้ก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ และเมื่อหมดภารกิจในการตามหาเด็กดี พี่สายสืบพาผมกลับมาที่โรงงานอีกครั้ง

"ตอนนี้เวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเลยวันเกิดของเธอไปแล้ว คงไม่ทันที่จะให้เธอกบับหปกินเค้กที่บ้าน พี่ได้เตรียมชิ้นเค้กที่สุดวิเศษจากโรงงานของเราไว้ให้ เธออยากเห็นหรือยัง"

"อยากครับ"

หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมจะได้ตักชิ้นเค้กใส่ปาก รสชาติของมันที่จะสัมผัสกับลิ้นของผมมันจะเป็นอย่างไรกันนะ แค่คิดถึงรสชาติที่ผมยังไม่เคยลิ้นลองนั่นก็ทำให้ใจของผมเตลิดไปไกลแล้ว ผมคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่มีอุปสรรค์ใดๆมาขวางกั้นให้ผมคลาดแคล้วกับเค้กอีกแล้ว ผมอดใจรอไม่นาน มีชายอีกคนยกถาดที่มีเคักชิ้นใหญ่วางอยู่บนนั้นเดินมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ เมื่อเค้กเดินทางมาใกล้ๆจนผมสามารถชื่นชมมันได้อย่างใกล้ชิด ผมแทบจะน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันใจ

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1B1ZLIivAXExiWe_3AnrrAi2zvdH2WNIK6IgJN7H0AmwW3Nod3JV4b7YiKTx7jgX3NnnzqzxZoi0q93Zh-kFAEsBU9kei4SmNLwWNA8FobI6fHysVGjNcavFfZGGqHxefIvZc2rhsVn0/s640/blogger-image--1001885683.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"ผมกินเค้กได้หมดทั้งก้อนเลยใช่มั้นครับ"

"ใช่แล้ว"

ผมถามด้วยความตื้นตันใจ คำแรกที่ผมหยิบเข้าใส่ปากคือสตอร์เบอรี่ที่เคลือบด้วยช็อกโกแลต ผมน้ำตาแทบเล็ดเมื่อได้ชิมรสชาติของผลสตอร์เบอรี่สดบวกกับช็อกโกแลตชั้นดีที่ผมไม่เคยสัมผัสมาเลยในชีวิตนี้ ชิ้นต่อไปผมใช้ช้อนตักไปที่เนื้อเค้ก บรรจงตักออกมาอย่างพอดีคำและนำมันเข้าไปในปาก สัมผัสแรกที่ก้อนชิ้นเค้กสัมผัสกับลิ้นของผม ผมไม่กล้าที่จะเคี้ยวมัน ปล่อยให้ต่อมสัมผัสบนลิ้นรับรสชาติของก้อนชิ้นเค้กอย่างยาวนานจนผมพอใจ แต่เมื่อคิดถึงยังมีเค้กก้อนใหญ่ที่เป็นของผมคนเดียวรออยู่ ผมจึงขยับปากเคี้ยวเค้กคำแรกของผมอย่างละเอียดละออ

ก้อนเค้กชิ้นใหญ่สำหรับ 4 ถึง 5 คน แต่เค้กก้อนใหญ่นี้ถูกผมจัดการด้วยคนเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไม่นาน อาจเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก ผนวกกับความหอมหวานและกลมกล่อมที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ทำให้ไม่แปลกเลยที่ผมจะจัดการก้อนเค้กชิ้นใหญ่นี้ได้เพียงคนเดียวในเวลาไม่นาน พี่สายสืบเตรียมน้ำส้มไว้ให้ผมหนึ่งแก้ว ผมดื่มมันทันทีที่จัดการเค้กจนหมดจาน

"ผมมีความสุขมากเลยครับ ผมจะไม่ลืมเรื่องราวในวันนี้ไปตลอดชีวิต"

ผมพูดจบแล้วก็เริ่มง่วงนอนผลอยหลับไปจากความเหนื่อยล้า แต่ยังได้ยินคำพูดที่พี่สายสืบตอบกลับมา

"เธอคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้านของเธอ คืนนี้ขอให้หลับสบายในคืนวันเกิดปีที่ 11 นะ"

...

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าบนเตียงที่เดิมในห้องเล็กๆของผม ผมงัวเงียและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ผมคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริง มันอาจจะเป็นแค่ความฝันในคืนวันเกิดของผมจากความกระหายอยากกินเค้กของผม ผมลุกขึ้นมาจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะพับผ้าห่มไว้อย่างดี ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะออกไปทำงาน

ป้าของผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง

"เมื่อคืนกลับบ้านดึกนะ"

คำแรกที่ป้าของผมทักมา ผมยังสับสนอยู่ว่าเมื่อคืนผมกลับมาที่บ้านกี่โมงกันแน่ แต่ก็ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษไปก่อน

"อ่อ เมื่อคืนพี่ที่หิ้วหลานมาส่ง เค้กที่พี่เขาให้ป้าไว้อร่อยมาก ในชีวิตนี้ป้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลยฝากขอบคุณเขาด้วยนะ"

ผมรู้สึกแปลกใจกัยลบคำพูดของป้า 'เค้ก' 'พี่คนนั้น' หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝันไป ผมนึกย้อนไปถึงรสชาติความหอมหวานของเค้กที่ผมได้สัมผัส ผมยังจดจำรสชาตินั้นได้อย่างตราตรึง มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน

"เค้กที่เขาให้มาก้อนใหญ่มากป้ากินไม่หมด ถ้าหลานหิวก็มากินต่อไปได้ เดี๋ยวป้าออกไปทำงานก่อน"

ป้าของผมพูดจบก็เก็บของใส่กระเป๋าออกจากบ้านไปทำงาน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่สักพัก ก่อนจะได้สติเดินไปที่โต๊ะและค่อยๆเปิดกล่องกระดาษออกมาดูว่าข้างในมีอะไร

ผมจำได้ทุกรายละเอียดของเค้กก้อนนี้ ลักษณะมันเหมือนกับเค้กก้อนเมื่อคืนที่ผมได้ลิ้มลอง ผมตักมันเข้าปากหนึ่งชิ้น ทำให้ผมรู้สึกคุ้นชิ้นและคำพูดของป้าทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ฝันไป

วันนี้ผมออกจากบ้านไปทำงานด้วยหัวใจที่พองโต กะเอาไว้ว่าจะต้องเดินผ่านร้านเค้กที่ผมเข้าไปเมื่อคืนนี้ ผมตั้งใจเดินออกไปตามเส้นทางปกติที่ผมไปทำงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ที่ผมจำได้แม่นยำว่าเป็นสถานที่ที่มีร้านเค้กมาตั้งอยู่เมื่อคืน ปรากฏว่ามันกลายเป็นห้องแถวร้างที่ไม่มีสิ่งของใดๆอยู่ข้างใน ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานก็รู้ว่าเมื่อคืนคงเป็นคืนมหัศจรรย์สำหรับผม และคงมีจะมีแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มันเกิดขึ้นกับผมต่างหากล่ะ แม้จะแค่ครั้งเดียวในชีวิตแต่ผมก็จะไม่มีวันลืมมันไปได้อย่างแน่นอน


วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมืองหุ่นยนต์



ผมชื่ออะไรไม่รู้ มาจากไหนไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ผมต้องวิ่ง เมื่อคอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนกฎ มนุษย์เป็นเพียงผู้ทำตามกฎ เพื่อนมนุษย์เท่าที่เห็นเลือกที่จะเล่นตามกฎ แต่ผมไม่! หุ่นยนต์ลาดตะเวนค่อยๆลอยไล่ตามหลังผมมาอย่างช้าๆ

"อาร์ที 374638 เจ้าได้ละเมิดมาตรา 370 และหากยังไม่หยุดหนีเจ้าจะละเมิดมาตรา 487 หากเดินพ้นเขต 17 เจ้าจะละเมิดมาตรา 598 ..."

ไอ่พวกหุ่นยนต์ลอยมาด้วยความเร็วเชื่องช้าพร้อมบ่นพรึมพรำ ผมรู้แต่เพียงว่าไม่ว่าจะทำผิดมาตราไหนบทลงโทษก็เหมือนๆกันหมด ผมไม่ลังเลที่จะทำผิดกฎ แม้มันจะเป็นมาตราข้อสุดท้ายก็ตาม

หุ่นยนต์ลาดตระเวนเคลื่อนไหวได้ช้า อาจเป็นเพราะว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนที่เร็ว งานหลักของพวกมันคือคอยเฝ้าดูแรงงานมนุษย์ที่ไม่มีวันหนีหรือไม่มีใครเคยหนี เป็นทีที่ผมวิ่งหนีมันมาได้อย่างสบาย

ซากสิ่งก่อสร้างในยุคสมัยเก่าซุดโทรมเกินจะซ่อมแซม ผมไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้มานานมากแล้ว นี่แสดงว่าเราหนีออกมาจากเขต 17 เรียบร้อยแล้ว เราจะไปไหนต่อดี?

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 610 ขอให้หยุดหนีและกลับไปยังโรงงานโดยทันที"

พวกหุ่นลาดตระเวนมันมาอีกแล้ว ผมหันหน้าไปดูมันก่อนจะหันมาเดินต่อไปโดยไม่สนใจ

เปรี้ยง!! "แว๊กกกก!" มันมีปืนด้วย ถึงเวลาต้องวิ่งแล้ว หนี! หนี! หนี! เอ๊ะ! ทำมัยปืนเลเซอร์ยิงไม่โดนเราเลย สงสัยมันต้องการให้เราเหนื่อยจนหมดแรง หยุดวิ่งดีกว่า

ผมหยิบท่อนไม้ค่อยๆเดินเข้าไปที่ตัวหุ่นยนต์ หุ่นพยายามเบี่ยงปากกระบอกปืีนไม่ให้ตรงตัวผม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆปากกระบอกไม่สามารถเบี่ยงหลบตัวผมได้ มันหยุดยิงแสงเลเซอร์ทันที ผมจะฟาดไม้ลงไปที่ส่วนบนสุดของตัวหุ่น หวังว่าจะกระทบโดนสมองกลของมันให้พังไป

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 629 ขอให้..."

ผมรีบฟาดซ้ำไปยังตำแหน่งเดิมอีกหลายครั้งก่อนที่มันจะพูดจบประโยค แย่แล้วพวกหุ่นยนต์มากันอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงมันมีตาข่ายมาล้อมจับตัวเราด้วย หนีไปอยู่ในตึกร้างก่อนดีกว่า

"อาร์ที 374638 หากเจ้ามอบตัวและยอมกลับไปโรงงานตอนนี้ สภาจะไม่เอาผิดเจ้า ขอให้ยอมมอบตัวเสียแต่โดยดี"

ใครจะไปยอม อ๊ะ! หลังเสาต้นนั้นเหมือนมีใครเคลื่อนไหว ขอไปดูให้เห็นหน่อยซิว่าเป็นตัวอะไร

"ว้าย! ยอมแล้วๆ"

"เธอก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหรือนี่ หนีมาจากเขตไหนล่ะ" ที่แท้เป็นหญิงสาวเพื่อนมนุษย์ ที่คงแอบหนีมาเหมือนเรา ดีใจจังมีคนที่คิดเหมือนเราด้วยเหรอเนี่ย

"ชั้นหนีมาจากเขต 18 หลบซ่อนตัวอยู่ในตึกนี้มาทั้งวัน นายเข้ามาในตึกนี้รู้มั้ยว่าพาหุ่นยนต์ตามเข้ามาด้วย"

ผมหันไปดูทางเข้าตึกเห็นหุ่นยนต์ 4 ตัวค่อยๆลอยเข้ามา หุ่นแต่ละตัวมีตาข่ายคงคิดจะล้อมจับเรา แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

"เธอไม่ต้องกลัวนะ พวกหุ่นนี่เดี๋ยวชั้นจะจัดการเอง"

ผมค่อยๆซ่อนตัวไปตามเสา เมื่อเห็นหุ่นยนต์ตัวแรกค่อยๆลอยมา ผมหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ขว้างสุดแรงโดนเข้าที่หัวหุ่นยนต์เต็มๆ หุ่นค่อยๆร่วงลงจากอากาศ ผมไม่ปล่อยให้เสียเวลาตามเข้าไปใช้ไม้ฟาดซ้ำ

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลัง..."

ใช่! ชั้นกำลังจะไปสู่อิสระภาพ ผมตะโกนบอกกับหุ่นยนต์อย่างสะใจ หุ่นยนต์ตัวที่สองลอยตัวเข้ามาทางผมพร้อมยิงถุงตาข่ายเพื่อหวังจะจับตัวผม แต่! ตาข่ายที่มันยิงออกมาแรงไม่มากพอ ผมจับตาข่ายพันรอบตัวเจ้าหุ่นยนต์ตัวที่ 2 จนมันไม่สามารถขยับตัวได้ หุ่นไร้ประโยชน์พังไปซะเถอะ ไม่รอช้าผมเดินเข้าไปกระหน่ำท่อนไม้หุ่นตัวที่ 3 และ 4 อย่างง่ายดาย

"เราหนีออกจากที่นี่ได้แล้ว รีบไปเร็ว"

"เราจะไปไหนกัน? ชั้นไม่รู้ว่าเราควรจะไปไหน"

"อ้าว! เธอหนีออกมานี่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนเหรอ"

"ชั้นไม่รู้... รู้แต่เพียงว่าต้องไปทิศนั้น"

เธอชี้นิ้วหันไปทิศทางของประตูทางเข้าตึก เมื่อผมเพ่งมองออกไป ภายหลังของม่านประตูเป็นทะเลทรายใกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ความรู้สึกในส่วนลึกของผมเองก็ต้องการไปในทิศทางนั้นเช่นเดียวกับเธอ

"เราเดินทางกันเลยดีกว่า"

เราทัั้งสองเดินเข้าเขตทะเลทรายมาแล้วก็ 10 กิโลเมตร ผมไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปในทิศทางไหน และคิดว่าเธอก็คงไม่รู้ แต่ขาของเราทั้งสองก็ก้าวเดินออกไปตามทิศทางที่ส่วนลึกของหัวใจเราสั่งให้เดินไปอย่างควบคุมไม่ได้

ความมืดเริ่มมาเยือน ความเวิ้งว้าง ความเงียบ ความเหงาและความสงบ ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนี่ นี่หรือคือความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ เราอยู่ในเมืองหุ่นยนต์มานานมากจนจะทำให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์ไปแล้วหรือไงนี่ พวกเราเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย มีเพียงใจเท่านั้นที่สั่งให้ขาก้าวไปในทิศทางที่ความรู้สึกสั่งให้เดินไป

เพราะนี่เป็นกลางทะเลทรายที่ไร้แสงไฟมั้งทำให้ผมเห็นดาวสว่างไสวเต็มท้องฟ้า เมื่อขาก้าวเดินอย่างอัตโมมัติทำให้ผมแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า พรางสงสัยว่าดาวแต่ละดวงมันอยู่ไกลจากจุดที่ผมยืนแค่ไหนกัน? ทำอย่างไรถึงจะไปที่นั่นได้? มันเป็นวัตถุจับต้องได้หรือเป็นเพียงแค่พลังงาน?

"นี่เธอ ชั้นเริ่มหมดแรงแล้ว เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ชั้นไม่ได้ชาร์จพลังมา 3 วันแล้ว วันนี้เป็นกำหนดเวลาที่ต้องเข้าแท่นชาร์จพลัง"

เธอพูดเสร็จก็ล้มตัวลงกับกองทราย มนุษย์ทุกวันนี้ถูกคอมพิวเตอร์ดัดแปลงให้รับพลังงานผ่านสายไฟที่เสียบเข้าปลั๊กทางท้ายทอยของมนุษย์ โชคดีที่ผมเพิ่งจะได้รับพลังงานครั้งล่าสุดเมื่อวาน ทำให้มีเวลาที่จะเดินทางไปยังจุดหมายได้อีก 2 วัน ความรู้สึกภายใต้จิตใจสั่งให้ผมแบก 'เธอ' ไปด้วย ผมแบกเธอขึ้นหลังและเดินต่อไป

อ๊ะ! เจ้าพวกหุ่นยนต์มาอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงเลย แย่แล้วทำไงดีเราไม่มีอาวุธ หุ่นยนต์ที่มาคราวนี้เป็นหุ่นยนต์ติดล้อตีนตะขาบ แต่ความน่ากลัวของพวกมันก็เหมือนเดิม ผมเดินเข้าไปใช้ท่อนแขนฟาดไม่กี่ครั้งหุ่นก็พัง ก่อนพังมันบ่นพรึมพรำเหมือนเช่นเคยแต่ผมไม่สนใจ

แย่แล้ว! มันมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมทำเธอหลุดมือ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งวิ่งมาและตีนตะขาบของมันไถลไปที่หน้าของเธอ เผยให้เห็นภายใต้เนื้อที่หลุดลุ่ยออกปรากฏเป็นกระดูกใบหน้าเหล็ก

"แว๊กกก!" เธอเป็นหุ่นยนต์ ผมตกใจสุดขีดที่คนที่คิดว่าเป็นมนุษย์นั้นที่แท้จริงคือหุ่นยนต์ ภายในหัวผมแทบจะระเบิด หุ่นยนต์เกือบ 20 ตัวถูกผมทำลายในเวลาไม่นาน ก่อนเดินจากไปผมลังเลที่จะไปดูร่างของเธอให้แน่ชัด แต่ในใจของผมคงเกิดความกลัวมากจนเกินกว่าที่จะไปพิสูจน์อะไร ผมออกวิ่งตามเส้นทางออกไปอย่างเร็ว

ในหัวผมมีแต่ความกลัวว่าตัวเองจะเป็นหุ่นยนต์หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ทำงานอยู่ในโรงงานนั่นก็ล้วนแต่เป็นหุ่นยนต์เหมือนเธอ แต่ผมต่างจากมนุษย์ที่อยู่ในโรงงาน แต่เธอก็ต่างจากคนที่อยู่ในโรงงานเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเมื่อกี๊มันคืออะไรกันเล่า ความเหงา ความสงบ ความเป็นห่วงเป็นใยระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันและความกลัว 

ผมหยุดวิ่ง ความคิดที่จะใช้เศษท่อนไม้กรีดหน้าตัวเองผุดขึ้นมาในหัว เพื่อดูว่าผมเป็นหุ่นยนต์หรือไม่ ผมจิ้มปลายแหลมจิกลงลึกเข้าไปใต้เนื้อ

"โอ๊ย!" เจ็บ ผมยังมีความรู้สึกอยู่ 'ผมเป็นมนุษย์แท้' ผมเริ่มคิดว่าความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจนั้น พยายามบังคับให้ผมเดินไปยังอาณานิคมที่ยังมีมนุษยชาติเหลืออยู่ ผมออกวิ่งอย่างสุดแรงเกิด

เวลาผ่านมา 12 ชั่วโมง ผมยังคงวิ่งแม้ในตอนกลางวันแดดจะร้อนจัดเพียงใด ความรู้สึกที่จะได้เจอเพื่อนมนุษย์แรงขึ้นเรื่อย ผมคงใกล้มาถึงยังจุดหมายแล้ว อ๊ะ! นั่น! อารยะธรรมมนุษย์ ผมเริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้างไกลๆ ผมเพิ่มความเร็วขึ้น

ในที่สุดผมก็ยืนอยู่ที่จุดหมายปลายทาง ในภาพข้างหน้าผมเห็นสิ่งปลูกสร้างไม่ใหญ่นักแต่มีหลายแห่ง นี่สินะที่เรียกว่า 'บ้าน' ผมเดินเข้าไปในบ้านแต่ละหลังแต่ไม่พบใครเลย เดินเข้าเดินออกหลายหลังเพื่อสำรวจสิ่งของเคร่ื่องใช้ ที่นี่มีรูปภาพ เสื้อผ้า เครื่องครัว หนังสือและขวดน้ำดื่ม ใช่แล้ว ที่นี่เป็นที่อยู่ของมนุษย์เช่นผมอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาไปไหนล่ะพวกคุณอยู่ที่ไหนกัน

ผมหยิบภาพถ่ายที่มีผู้ชายและผู้หญิงยืนเคียงข้างกันขึ้นมาดู นี่คงเป็น 'คู่รัก' ผมหยิบภาพถัดไปที่แขวนอยู่บนฝาผนังขึ้นมาดู ในภาพมีคนแก่ 1 คู่ ผู้ใหญ่ 1 คู่ และมีเด็กๆอีก 2 คน นี่คงคือ 'ครอบครัว' ผมยังคงดูรูปภาพอีกหลายรูป บางรูปมีตัวรูปร่างประหลาดๆมันคงจะเป็นสัตว์เลี้ยง ผมแปลกใจน้ำที่ไหลซึมออกมาที่ดวงตา มันคือ 'น้ำตา'

ช่วง 2-3 วันมานี้ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ความรู้สึกแปลกๆมันเกิดขึ้นกับตัวผม ความทรงจำแปลกๆที่มันน่าจะผ่่านมานานมากผุดขึ่นมาในหัวผมอย่างต่อเนื่อง ผมเดินออกนอกตัวบ้านและสังเกตุเห็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นลำต้น มีใบสีเขียวๆติดตามกิ่งก้านสาขา สิ่งนี้คือ 'ต้นไม้' 'รถยนต์' 'สระว่ายน้ำ' 'สนามเด็กเล่น' ฯลฯ 

ผมเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าบางตัวออกมาลองสวมใส่ ผมหยิบหมวกทรงปีกนกสวมบนหัว ไม่ลืมที่จะหันหน้าดูตัวเองผ่านกระจก 'มนุษย์' ผมมั่นใจเต็มที่ว่าผมคือมนุษย์แน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจต่อไปคือ ผมจะอยู่กับใครและอย่างไร

ถึงกำหนดต้องเติมพลังงานจากแท่นชาร์จแล้ว พลังงานผมใกล้หมดแต่ที่นี่ไม่มีแท่นชาร์จ ผมจะทำอย่างไรดี ใช่แล้วผมต้องหาอะไรกิน หาของกินใส่เข้าทางปาก

ผมเดินเข้าบ้านหลังที่มีตู้เย็นหลายบ้านเพื่อหาอาหาร เดินดูในครัว แต่ผมไม่เจออะไรเลย เหลือแต่ก้อนเศษซากที่เน่าเละแห้งเหี้ยว เหลือเพียงสิ่งสุดท้ายที่พอจะหาเข้าปากได้คือ 'น้ำ' ผมรีบวิ่งไปยังบ้านหลังที่มีขวดน้ำ

ขวดน้ำปิดฝาสนิทมีน้ำอยู่เต็มขวด ผมเปิดฝาออกและคิดว่าจะใส่มันเข้าไปในปากอย่างไร? ผมรู้ว่าต้องใช้ปากแต่ผมไม่เคยใช้ปากกินอะไรเลยมาก่อน ผมเทน้ำเข้าปากผ่านลำคอ ความรู้สึกแรกเหมือนร่างกายเกร็งไปทั้งตัว ควันไฟทะลักออกมาจากปากผม และความรู้สึกสุดท้ายของผมคือเห็นภาพสีแดงท่วมเต็มจอตาก่อนจะวูบดับหายไป

_______________________

คอมพิวเตอร์ 2 ตัวคุยกัน

"อาร์ที 374638 เราพบมันแล้ว อยู่ที่ตำแหน่งพิกัด เอ๊กซ์468 วาย754 สภาพช๊อตไปทั้งตัว ไม่สามารถส่งซ่อมบำรุงได้"

"ที่นั่นอีกแล้วเหรอ เดือนนี้เราสูญเสียหุ่นยนต์แรงงานไป 78 ตัว ถ้าเราไม่สามารถควบคุมไวรัสของมนุษย์ได้เราต้องสูญเสียแรงงานเราไปอีกเรื่อยๆ"

"ไวรัสของมนุษย์! ใครเป็นคนปล่อย มนุษย์สูญพันธ์ไปจากโลกนี้นานแล้ว แสดงว่าไวรัสยังฝังอยู่ในระบบเมนเฟรมหลัก"

"ใช่... ไม่อยากจะคิดเลยถ้าทั้งแกกับชั้นติดไวรัสบ้างจะเป็นอย่างไร?"

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ใครก็ได้ช่วยทำเรื่องอัพเกรดพวกหุ่นยนต์ลาดตระเวนหน่อย ส่งไอ่พวกนั้นออกไปล่าสัตว์ยังไม่ได้เลย"




นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...