ผมบรรจงหิ้วถุงพลาสติกใสลายน่ารักสวยงาม
ข้างในถุงมีกล่องพลาสติกที่ห่อหุ้มเค้กที่ดูสีสันสดใสน่ารับประทาน
ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินเค้กหรอกครับ ผมไม่ได้มาซื้อมันมากินเป็นประจำหรอก ไม่สิ...
ผมไม่เคยกินเค้กเลยสักครั้งในชีวิตนี้ต่างหาก เพราะบ้านของผมจนมาก
เงินทุกบาทจะต้องเก็บไว้ซื้อข้าวกินกัน
ผมย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กับป้าในเมืองหลวงเพื่อหางานทำ
แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผมเนื่องในโอกาสเป็นวันครบรอบวันเกิดในวัย 11 ปี
และในคืนพิเศษๆเช่นนี้มันก็ควรจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะครับ
แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม
เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา
ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว
เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน
และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง
ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม
ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว
แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม
ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย
ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น
ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป
และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน
และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้
"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"
เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"
แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย
ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน
เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย
ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว
เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น
ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา
เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว
สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม
ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง
ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว
ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว
ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล
เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง
ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน
บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม
บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม
บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท
ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน
"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"
ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน
ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน
"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"
ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม
ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้
"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"
"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"
ผมยิ้มเล็กน้อย
แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก
แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที
"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น
จะลดราคาให้ด้วย"
ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว
แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้
ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ
"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"
พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู
แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว
"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"
ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว
"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ
ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"
พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน
ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน
พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย
ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน
ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท
พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด
นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน
ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี
ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ...
ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก
แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว
ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์
แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า
และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน
หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน
และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย
และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า
มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท
ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก
เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว
และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย
ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้
อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป
ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์
อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้
ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ
ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร
จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป
ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที
เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง
แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ
ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น
"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"
อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก
"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"
"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร
พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที
แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี
แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้
เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้
ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง
"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"
ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา
ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว
มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน
แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน
บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ
"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"
"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง
ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก
เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"
ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน
เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"
พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง
ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง
พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง
ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ
มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ
แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่
เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง
"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา
เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี
และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"
พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู
ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย
หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ
"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"
พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม
"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก
เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต
เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข
และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11
ปี"
"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"
"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา
ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก
เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"
ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว
"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน
วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"
"ว้าว...ว
แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"
"ใช่"
พอพี่สายสืบพูดจบ
แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย
"ที่นี่คือประเทศอินเดีย
เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้
พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า
นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"
พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น
"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"
"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง
เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"
ผมทำหน้าสับสน
ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่
"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว
วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"
พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา
"เอาล่ะ เราไปดูที่อื่นกันต่อ"
แสงสว่างโผล่มาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เรามาโผล่ยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน
"ที่นี่คือประเทศเนปาล ลองมองดูเด็กคนนั้นสิ
เธอคนนั้นกำลังตั้งช่วยพ่อแม่ของเธอเก็บผลไม้ในสวน"
ผมเห็นเด็กผู้หญิงที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับผม
ถ้าทางเธอจะเป็นลูกของคนงานในสวนผลไม้แห่งนี้ ผมคิดว่าเธอสมควรจะได้เค้กวันเกิด
เพราะเธอเชื่อฟังและคอยช่วยเหลือพ่อแม่
"เธอคนนั้นควรจะได้รับเค้กใช่มั้ยครับ"
"ใช่แล้วล่ะ"
พี่สายสืบพาผมเดินทางไปอีกหลายที่
มีเด็กหลายคนที่ได้รับการบันทึกว่าจะได้รับเค้ก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ และเมื่อหมดภารกิจในการตามหาเด็กดี
พี่สายสืบพาผมกลับมาที่โรงงานอีกครั้ง
"ตอนนี้เวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว
อีกไม่กี่นาทีก็จะเลยวันเกิดของเธอไปแล้ว คงไม่ทันที่จะให้เธอกบับหปกินเค้กที่บ้าน
พี่ได้เตรียมชิ้นเค้กที่สุดวิเศษจากโรงงานของเราไว้ให้ เธออยากเห็นหรือยัง"
"อยากครับ"
หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมจะได้ตักชิ้นเค้กใส่ปาก
รสชาติของมันที่จะสัมผัสกับลิ้นของผมมันจะเป็นอย่างไรกันนะ
แค่คิดถึงรสชาติที่ผมยังไม่เคยลิ้นลองนั่นก็ทำให้ใจของผมเตลิดไปไกลแล้ว
ผมคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่มีอุปสรรค์ใดๆมาขวางกั้นให้ผมคลาดแคล้วกับเค้กอีกแล้ว
ผมอดใจรอไม่นาน
มีชายอีกคนยกถาดที่มีเคักชิ้นใหญ่วางอยู่บนนั้นเดินมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
เมื่อเค้กเดินทางมาใกล้ๆจนผมสามารถชื่นชมมันได้อย่างใกล้ชิด
ผมแทบจะน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันใจ
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
"ผมกินเค้กได้หมดทั้งก้อนเลยใช่มั้นครับ"
"ใช่แล้ว"
ผมถามด้วยความตื้นตันใจ
คำแรกที่ผมหยิบเข้าใส่ปากคือสตอร์เบอรี่ที่เคลือบด้วยช็อกโกแลต
ผมน้ำตาแทบเล็ดเมื่อได้ชิมรสชาติของผลสตอร์เบอรี่สดบวกกับช็อกโกแลตชั้นดีที่ผมไม่เคยสัมผัสมาเลยในชีวิตนี้
ชิ้นต่อไปผมใช้ช้อนตักไปที่เนื้อเค้ก บรรจงตักออกมาอย่างพอดีคำและนำมันเข้าไปในปาก
สัมผัสแรกที่ก้อนชิ้นเค้กสัมผัสกับลิ้นของผม ผมไม่กล้าที่จะเคี้ยวมัน
ปล่อยให้ต่อมสัมผัสบนลิ้นรับรสชาติของก้อนชิ้นเค้กอย่างยาวนานจนผมพอใจ
แต่เมื่อคิดถึงยังมีเค้กก้อนใหญ่ที่เป็นของผมคนเดียวรออยู่
ผมจึงขยับปากเคี้ยวเค้กคำแรกของผมอย่างละเอียดละออ
ก้อนเค้กชิ้นใหญ่สำหรับ
4 ถึง 5 คน
แต่เค้กก้อนใหญ่นี้ถูกผมจัดการด้วยคนเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไม่นาน
อาจเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก
ผนวกกับความหอมหวานและกลมกล่อมที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน
ทำให้ไม่แปลกเลยที่ผมจะจัดการก้อนเค้กชิ้นใหญ่นี้ได้เพียงคนเดียวในเวลาไม่นาน
พี่สายสืบเตรียมน้ำส้มไว้ให้ผมหนึ่งแก้ว ผมดื่มมันทันทีที่จัดการเค้กจนหมดจาน
"ผมมีความสุขมากเลยครับ ผมจะไม่ลืมเรื่องราวในวันนี้ไปตลอดชีวิต"
ผมพูดจบแล้วก็เริ่มง่วงนอนผลอยหลับไปจากความเหนื่อยล้า
แต่ยังได้ยินคำพูดที่พี่สายสืบตอบกลับมา
"เธอคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้านของเธอ
คืนนี้ขอให้หลับสบายในคืนวันเกิดปีที่ 11 นะ"
...
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าบนเตียงที่เดิมในห้องเล็กๆของผม
ผมงัวเงียและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่ผมคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริง
มันอาจจะเป็นแค่ความฝันในคืนวันเกิดของผมจากความกระหายอยากกินเค้กของผม
ผมลุกขึ้นมาจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะพับผ้าห่มไว้อย่างดี
ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะออกไปทำงาน
ป้าของผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง
"เมื่อคืนกลับบ้านดึกนะ"
คำแรกที่ป้าของผมทักมา
ผมยังสับสนอยู่ว่าเมื่อคืนผมกลับมาที่บ้านกี่โมงกันแน่
แต่ก็ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษไปก่อน
"อ่อ เมื่อคืนพี่ที่หิ้วหลานมาส่ง เค้กที่พี่เขาให้ป้าไว้อร่อยมาก
ในชีวิตนี้ป้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลยฝากขอบคุณเขาด้วยนะ"
ผมรู้สึกแปลกใจกัยลบคำพูดของป้า
'เค้ก' 'พี่คนนั้น'
หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ผมไม่ได้ฝันไป ผมนึกย้อนไปถึงรสชาติความหอมหวานของเค้กที่ผมได้สัมผัส
ผมยังจดจำรสชาตินั้นได้อย่างตราตรึง มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน
"เค้กที่เขาให้มาก้อนใหญ่มากป้ากินไม่หมด ถ้าหลานหิวก็มากินต่อไปได้
เดี๋ยวป้าออกไปทำงานก่อน"
ป้าของผมพูดจบก็เก็บของใส่กระเป๋าออกจากบ้านไปทำงาน
ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่สักพัก
ก่อนจะได้สติเดินไปที่โต๊ะและค่อยๆเปิดกล่องกระดาษออกมาดูว่าข้างในมีอะไร
ผมจำได้ทุกรายละเอียดของเค้กก้อนนี้
ลักษณะมันเหมือนกับเค้กก้อนเมื่อคืนที่ผมได้ลิ้มลอง ผมตักมันเข้าปากหนึ่งชิ้น
ทำให้ผมรู้สึกคุ้นชิ้นและคำพูดของป้าทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ผมไม่ได้ฝันไป
วันนี้ผมออกจากบ้านไปทำงานด้วยหัวใจที่พองโต กะเอาไว้ว่าจะต้องเดินผ่านร้านเค้กที่ผมเข้าไปเมื่อคืนนี้ ผมตั้งใจเดินออกไปตามเส้นทางปกติที่ผมไปทำงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ที่ผมจำได้แม่นยำว่าเป็นสถานที่ที่มีร้านเค้กมาตั้งอยู่เมื่อคืน ปรากฏว่ามันกลายเป็นห้องแถวร้างที่ไม่มีสิ่งของใดๆอยู่ข้างใน ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานก็รู้ว่าเมื่อคืนคงเป็นคืนมหัศจรรย์สำหรับผม และคงมีจะมีแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มันเกิดขึ้นกับผมต่างหากล่ะ แม้จะแค่ครั้งเดียวในชีวิตแต่ผมก็จะไม่มีวันลืมมันไปได้อย่างแน่นอน