วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ถอดหัวโขน




เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดใหญ่ ได้ตัดสินใจลาสึกออกจากเพศบรรพชิต  ท่านยังไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนเพียงคนเดียวที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับว่าที่อดีตเจ้าอาวาสก็คือ รองเจ้าอาวาส

"โดยส่วนตัวแล้วผมก็เคารพการตัดสินใจของท่านเจ้าอาวาสนะครับ ทุกๆคนย่อมมีความจำเป็นที่ต่างกัน แต่การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงนัก มันไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับตัวท่านเพียงคนเดียว มันต้องกระทบกับความรู้สึกของเหล่าลูกศิษย์ของท่านอีกนับพัน"

ท่านเจ้าอาวาสพูดตอบด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น

"ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงท่านรองฯ สำหรับตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และสำหรับบรรดาลูกศิษย์นั้นพวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไป ผมคงไม่สามารถไปดูแลความทุกข์ของคนเหล่านั้นไปได้ตลอดชีวิตหรอก อีกสาเหตุที่ผมอยากสึกเพราะว่า ผมอยากไปศึกษาทางโลกบ้าง ผมและท่านต่างก็ศึกษาทางธรรมมาตั้งแต่เด็กยันแก่ เราอาจจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างดี แต่พวกเราไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในสถานะที่เป็นทุกข์เลย แล้วนั่นยังจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใจความทุกข์ได้อย่างไรกัน"

"สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมีเหตุผลนัก แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ไปทำไมล่ะ เราก็แค่ใช้สิ่งที่มีเขียนในตำราในการสั่งสอนลูกศิษย์ให้พ้นจากความทุกข์อยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องค้นหาวิธีสอนอะไรใหม่ๆให้ยุ่งยากเลย และที่สำคัญ หากท่านพ้นจากตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ยากที่จะมีใครมาสนใจคำสั่งสอนของท่านอีก"

"มันก็จริงเหมือนอย่างที่ท่านรองฯพูดนะ หากเราคิดจะสั่งสอนลูกศิษย์เราก็เพียงแต่ใช้คำสอนเก่าๆที่สั่งสมกันมานับร้อยๆปีมาสอน ใช้พิธีกรรมต่างๆที่เคยมีมาๆเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคนเหล่านั้นให้เป็นคนดีได้ แต่ว่าสิ่งที่ผมต้องการต่อจากนี้ไม่ใช่การสั่งสอนคนเหล่านั้นแล้ว"

ท่านเจ้าอาวาสหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ทำให้ท่านรองฯชิงถาม

"มีสิ่งใดที่ท่านต้องการต่อจากนี้"

"อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าผมอยากออกไปศึกษาทางโลกบ้าง อยากจะทำความเข้าใจในเรื่องความทุกข์ให้มากกว่านี้ ผมมีความเชื่อว่าคนทุกคนย่อมมีความทุกข์ฝังซ่อนลึกในจิตใจ พวกเราคงจะแสร้งทำเป็นซ่อนมันไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมัน มันก็คงจะกัดกร่อนแทะกินจิตใจเราให้เศร้าหมองลงไปอยู่วันยังค่ำ"

"ผมเข้าใจแล้ว เราทุกคนย่อมต้องคอยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ท่านทำให้ผมรู้ว่าเรานั้นมีความรู้เท่าหางอึ่งจริงๆ อย่าประมาทที่จะหยุดหาสิ่งใหม่เพิ่มเติม แล้วท่านจะลาสึกเมื่อไหร่ล่ะ"

เจ้าอาวาสละสายตาจากท่านรอง เขาทอดสายตาผ่านบานกระจกใหญ่ที่ล้อมรอบศาลาที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ภายนอกบริเวณลานวัดกว้าง คนหลายคนกำลังติดตั้งเวทีการแสดง บางคนกางเต๊นท์ใหญ่จัดแจงทำเป็นร้านค้า ป้ายผ้าขนาดใหญ่แขวนโชว์เด่นหรา ข้อความบนป้ายนั้นแสดงให้เห็นว่า อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานบุญประจำปีของวัดแห่งนี้ เจ้าอาวาสพูดตอบท่านรองฯทันทีหลังจากที่สำรวจความเรียบร้อยของงานด้วยสายตาแล้ว

"ก็คงจะเป็นหลังงานบุญปีนี้ของเราเสร็จก่อน จากนั้นผมจะลาสึกทันทีอย่างเงียบๆ"

"ดีครับ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นมากเกินไป ผมคิดว่าเหตุผลของท่านคนอื่นๆจะเข้าใจมันดี"

และแล้วงานบุญในปีนี้ก็หวนกลับมาครบรอบอีกครั้งในปีนี้ เนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้แต่คนที่อยู่จังหวัดห่างไกลก็ยังเดินทางมา ความยิ่งใหญ่ของงานไม่ต่างอะไรเลยกับงานประจำจังหวัด บางทีแล้วแม้คนในพื้นที่ก็มักจะเข้าใจว่างานวัดแห่งนี้คืองานประจำจังหวัดนี่เอง

แน่นอนว่างานที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ย่อมมีเงินไหลเข้าออกวัดจำนวนมากมหาศาลกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการถึง ไม่ว่าจะเป็นเงินทำบุญเข้าวัด เงินที่ได้มาจากการให้เช่าพื้นที่ในวัดเพื่อตั้งร้านขายของ หรือเงินที่มาจากการเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ หากงานนี้เป็นงานที่หน่วยราชการจัดขึ้น เงินจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้คงจะถูกกระจายไปหลายที่ หากแต่ว่างานแบบนี้มีเพียงวัดเป็นเจ้าภาพ เงินจำนวนมากมายเหล่านี้จึงไปกระจุกรวมตัวกันที่เดียวคือวัดแห่งนี้ และมีเพียงแต่เจ้าอาวาสเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รู้ตัวเลขจำนวนเงินเหล่านี้ และท่านก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจัดสรรก้อนเงินและหั่นแบ่งก้อนเค้กนี้ออกไปทางไหนก็ได้

ในที่สุดงานบุญประจำปีนี้ก็จบลง ตัวเลขยอดเงินที่เข้าวัดนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก และสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสได้เคยพูดเอาไว้กับท่านรองฯก็ถูกทำทันทีที่งานวัดจบลง ท่านเจ้าอาวาสเปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาทันทีที่ผ่านขั้นตอนที่ถูกกำหนดมาแล้ว ภายหลังจากนี้หัวโขนเจ้าอาวาสได้ถูกถอดวางเอาไว้ เพื่อรอให้คิวต่อไปหยิบมันไปสวมใส่ต่ออีกครั้ง

อดีตเจ้าอาวาสแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมราคาแพงและกางเกงยีนส์ยี่ห้อหรู รวมถึงรองเท้าคัชชูที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต เขากำลังขับรถยนต์ยี่ห้อหรูเพื่อเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแต่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตัวบ้านหลังใหญ่ที่สร้างและตกแต่งอย่างวิจิตบรรจงแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของบ้านแถบนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

อดีตเจ้าอาวาสได้โทรไปบอกเจ้าของบ้านที่เขากำลังจะไปหาถึงการมาถึงของเขา เมื่อประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกและอดีตเจ้าอาวาสขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ก็มีหญิงสาวพร้อมเด็กเล็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบเดินออกมาทางหน้าบ้านพอดี

อดีตเจ้าอาวาสเดินลงมาจากรถ จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวและเด็กเดินเข้ามา

"สวัสดีค่ะหลวงพ่อ เอ่อ... พี่บูน"

หญิงสาวพูดและทำท่าบังคับให้เด็กยกมือไหว้ชายที่อยู่ตรงหน้า อดีตเจ้าอาวาสมองมาที่ทั้งสอง และสังเกตถึงสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากทั้งคู่ ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งเมื่อทั้งสองเคยไปกราบอดีตเจ้าอาวาสที่วัดเมื่อหลายเดือนก่อน

"สวัสดี เจ้าเทิดอยู่มั้ย"

"พี่เทิดรออยู่ในบ้านแล้วค่ะ เห็นพี่เทิดบอกว่าวันนี้พี่ทูนจะมาวันนี้ เดี๋ยวเชิญพี่เข้าไปข้างในเลยค่ะ"

หญิงสาวพูดจบก็ยืนนิ่ง เพื่อรอให้อดีตเจ้าอาวาสเดินผ่านหน้าไป สีหน้าของเธอดูเหมือนดูเป็นกังวลถึงการมาถึงของชายคนนี้ เธอยังจ้องมองอดีตเจ้าอาวาสจนเขาเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน

"อ้าว... สวัสดีครับพี่ทูน ไม่คิดว่าจะมาเร็ว เลยไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับ"

ชายที่นั่งรออยู่ในบ้านเมื่อเห็นอดีตเจ้าอาวาสจึงทำท่าดีอกดีใจออกหน้าออกตา เขาโผลเข้าไปกอดชายที่มาเยือน

"เป็นยังบ้างน้องรัก วันนี้ไม่ออกไปทำงานเหรอ"

"โธ่... พี่ก็ว่าไป มหาเศรษฐีร้อยล้านอย่างผมนี่จะต้องออกไปหางานทำให้ลำบากทำไมกัน เอาเวลามาหาความสุขใส่ตัวดีกว่า"

สิ้นเสียงพูดของเทิด เจ้าของคำพูดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่สบอารมณ์มากนัก แต่อดีตเจ้าอาวาสก็แกล้งฝืนยิ้มให้กับเทิด

"มันก็จริงของแกนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีมั้ย"

"สบายดีสิพี่ชาย ความจริงวันนี้ผมมีนัดตีกล๊อฟกับเพื่อน แต่เห็นว่าพี่จะมาวันนี้เลยโทรไปแคนเซิ่ลเพื่อน ว่าแต่วันนี้เราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะครับ"

"เฮ้อ... เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน พี่อยากจะขอพักผ่อนให้เต็มอิ่มจริงๆสักวันให้หายเหนื่อยก่อน ใครว่าเกิดเป็นเจ้าอาวาสนั้นสบาย"

เทิดมองหน้าพี่ชายของตัวเองอย่างเป็นห่วง

"เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย พี่ถึงสึกออกมาเป็นคนธรรมดา"

"นั่นก็ใช่ พี่อยากหลีกหนีความวุ่นวายสับสนเสียบ้าง อยากออกมาเปิดหูเปิดตา อยากออกเดินทางไปหลายๆที่..."

ยังไม่ทันที่อดีตเจ้าอาวาสจบพูดจบ เทิดพูดแทรก

"อยากจะออกมาใช้เงินด้วยใช่มั้ยล่ะพี่"

อดีตเจ้าอาวาสหันมามองตาน้องชายสักครู่ เหมือนเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของเทิด

"ก็ประมาณนั้น"

"ได้สิพี่ พี่อยากได้เงินเท่าไหร่ ผมจะเตรียมไว้ให้พี่ใช้ไม่ขาดมือ"

อดีตเจ้าอาวาสยิ้มเล็กน้อย เหมือนกับเขาจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันกับน้องชาย

"เดี๋ยวนะไอ้เทิด พี่ไม่ได้อยากให้แกคอยเตรียมเงินไว้ให้ข้าใช้ แต่ข้าอยากให้แกโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ข้าฝากแกไว้คืนมาให้ข้า และที่สำคัญ บ้านหลังนี้แกก็ต้องโอนคืนมาเป็นชื่อของข้าด้วย"

"ใจเย็นๆครับพี่ชาย เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องรีบร้อนอะไรไป ยังไงซะเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เงินทองมันไม่รั่วไหลไปไหนหรอก พี่ให้ผมเป็นคนดูแลทรัพย์สินดีกว่า ส่วนตัวพี่จะอยากทำอะไร อยากใช้เงินแค่ไหนพี่ก็มาเบิกเอาที่ผมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว"

"แต่ทรัพย์สินทุกอย่างมันเป็นของข้า ข้าย่อมมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สมบัติทั้งหมด ข้าแค่ฝากแกไว้เฉยๆ นี่แกคิดจะยักยอกของๆข้าไปอย่างนั้นหรือ ไอ้ขี้โกง"

อดีตเจ้าอาวาสหมดสิ้นความอดทน เขาเริ่มรู้สึกตระหงิดๆตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาแล้วที่เจอหน้าลูกและเมียของเทิด และท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ สิ้นเสียงอดีตเจ้าอาวาส เทิดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพักใหญ่

"เงินของพี่ ขอถามหน่อยว่าเงินก้อนไหนที่เป็นของพี่"

"ก็เงินที่ข้าให้แกไปทุกเดือนไง เงินที่ข้าฝากไว้ในบัญชีของแกเดือนละหลายล้านบาท"

"นี่พี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าเงินนั่นเป็นของพี่ ผมรู้ว่าพี่โกงเงินวัดทุกเดือน แล้วเอาเงินที่โกงมาฝากผมไว้ มันน่าแปลกไหมล่ะว่าทำไมพระถึงมีเงินได้เดือนละหลายล้านบาท ถ้าไม่ได้มาจากเงินของวัด"

"แล้วยังไง แกจะแจ้งตำรวจจับข้าเหรอ เอาสิ! เราจะได้ไปนอนคุกด้วยกัน ถึงข้าจะโกงเงินวัดมาแต่นั่นก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถบอกได้ว่าข้าโกง เงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินที่ข้าใช้ชื่อเสียงและความศรัทธาที่สั่งสมมานานหามัน คนที่มอบให้ข้าก็มอบด้วยความศรัทธาที่มีต่อตัวข้า แล้วนั่นมันจะไม่ใช่เงินของข้าได้อย่างไรกัน"

อารมณ์โกรธของอดีตเจ้าอาวาสประทุขึ้นถึงจุดสูงสุด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าคนที่เคยมีถึงอำนาจ มีคนเคารพนับถือกราบไหว้ตลอดเวลา พอสิ่งเหล่านั้นหมดไปและถูกคนอื่นลูบคมแบบนี้ เขาจะรู้สึกหัวเสียเยี่ยงไรกับเรื่องแบบนี้ ในจิตใจของอดีตเจ้าอาวาสที่ลาสึกมานั้นไม่ใช่เขาอยากจะละทิ้งอำนาจที่เคยมีอยู่ในมือหรอก แต่เขาคิดว่าเมื่อเขามีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลนั้นก็จะยังทำให้เขามีอำนาจบารมีเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ต้องสวมหัวโขนเจ้าอาวาสที่จะปิดกั้นไม่ให้เขาสามารถทำได้ในบางสิ่ง อำนาจทรัพย์สินเงินทองที่ไม่อยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้นจะทำให้เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ

"ผมคงไม่สามารถคืนเงินและบ้านหลังนี้ให้พี่ได้ พี่ลองคิดดูสิ ความหอมหวานของเงินที่สามารถทำให้คนมากราบไหว้ได้ ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน พี่จำได้มั้ยในสมัยที่เรายังเด็ก เราทั้งคู่ยังเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนเวลาที่เราเดินไปไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่ดูตอนนี้สิไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็จะมีแต่คนยกมือไหว้กันทั้งนั้น ถ้าผมคืนเงินให้พี่ไปทั้งหมด ผมก็จะไร้ซึ่งอำนาจที่เคยมีมานับสิบกว่าปี"

"นี่แกลืมบุญคุญของข้าไปแล้วเหรอ ใครกันที่เป็นคนส่งแกเรียน ใครกันที่เป็นคนให้เงินแกใช้จ่าย แกนี่มันเป็นคนเนรคุณจริงๆ"

"ผมไม่ลืมคุณงามความดีที่พี่ทำไว้ให้กับผมหรอก ผมยินดีจะช่วยเหลือพี่เรื่องเงินทองตลอดชีวิต แต่ผมบอกไปแล้วนี่ว่าผมไม่สามารถคืนเงินให้พี่ได้ทั้งหมด ผมบอกเหตุผลของผมไปแล้ว"

เหมาะสมแล้วที่อดีตเจ้าอาวาสและเทิดเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจริงๆ พวกเขาทั้งสองคนนั้นมีนิสัยที่คล้ายกันต้ังแต่เด็ก ความต้องการและความปราถนาในอำนาจวาสนาและความยึดติดนั่นคล้ายกันไม่มีอะไรแตกต่าง เทิดยังคงคิดถึงอำนาจบารมีที่ตัวเองกำไว้อยู่ในมือ และไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดออกจากมือไป

"ถ้าอย่างงั้นเรามาแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ถ้าแบบนี้แกจะว่ายังไง"

"ครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมดมันก็มากโขอยู่นะ ผมจะไม่ยอมหรอกครับ"

เหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดพ่นความร้อนออกไปหมดแล้ว หลังแรงระเบิดคงเหลือไว้แต่ความสงบ วันนี้อดีตเจ้าอาวาสได้ค้นพ้นสัจจะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เนื่องจากอดีตเจ้าอาวาสเคยได้รับการฝึกในเรื่องจิตใจมามากพอสมควร เขาจึงเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้เป็นอย่างดี สีหน้าของอดีตเจ้าอาวาสนั้นเปลี่ยนไปจากอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวเมื่อสักครู่นี้เป็นความสงบ เขาตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เรียกร้องอะไรสักอย่างจากน้องชาย

_______________________

เวลาผ่านไปหลายปี อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบพระทานประจำโบสถ์ในวัดที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน ในตอนนี้เขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา เวลาผ่านไปไม่นานอดีตรองเจ้าอาวาสที่ปัจจุบันนั้นขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสก็เดินเข้ามาในโบสถ์ อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบเจ้าอาวาส

"เป็นอย่างไรบ้างล่ะโยม ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวภักดิ์เป็นอย่างไรบ้าง และการศึกษาเรื่องทางโลกของโยมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"

"นี่ก็หลายปีแล้วนะหลวงพ่อ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นภายนอกวัดที่ผมประสบมา มีหลายเรื่องที่ผมนั้นเข้าใจแต่ไม่เคยเข้าถึงมันเลย จนกระทั่งผมได้ไปเจอกับสิ่งๆนั้นจริงๆ คนเรายากแท้หยั่งถึงนักแม้แต่กับใจของตัวเราเอง"

"ดูโยมพูดสิ เหมือนกับว่าโยมจะเจอแต่เรื่องร้ายๆมามากมายนะ แต่สีหน้าโยมไม่เห็นเหมือนกับคนเป็นทุกข์เลย"

เจ้าอาวาสพูดพลางยิ้ม

"ผมยอมรับว่าอยู่ข้างนอกนั้นมันก็ไม่ได้สุขสบายนัก แต่ผมเองนั้นก็พยายามฝึกจิตใจไว้ไม่ให้ถูกกิเลศครอบงำ หลังจากที่ผมเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากที่ออกจากวัดแห่งนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมได้เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ได้ดียิ่งนัก ความยึดติดนั้นจะทำใจเราเป็นทุกข์"

"เรื่องอะไรเหรอโยม พอจะเล่าให้อาตมาฟังได้มั้ย"

"ผมไม่อยากจะพูดถึงมันอีกแล้วครับ ขอโทษด้วย"

"ไม่เป็นไรโยม อดีตมันผ่านไปแล้ว อ้อ! แล้วตอนนี้โยมทำอะไรอยู่ล่ะ"

บรรยากาศในวัดเงียบสงบ มันเงียบกว่าเมื่อก่อนสมัยที่อดีตเจ้าอาวาสยังคงเป็นเจ้าอาวาสอยู่

"ผมไปสอนหนังสือที่โรงเรียนตามชายแดนครับ ที่นั่นขาดแคลนครู แม้มันจะลำบาก แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อ้อ! แล้วทำไมวัดถึงเงียบแบบนี้ครับ งานบุญปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง"

"งานบุญอะไรนั่นเราไม่ได้จัดแล้วล่ะ มีเจ้าภาพจากวัดอื่นรับไปทำแทน ตั้งแต่โยมออกไปจากวัดเรา เราก็ไม่ค่อยได้พัฒนาวัดเลย มีก็แค่ซ่อมแซมแต่ไม่มีการสร้างอะไรเพิ่มอีกแล้ว"

อดีตเจ้าอาวาสหันมองไปดูรอบวิหารที่อยู่ในสถาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

"ตอนนี้คนที่เข้าวัดมาก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม หรือมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนที่เข้ามาขอโชคขอลาภหรือเลขเด็ดต่างไม่มาที่นี่กันอีกแล้ว ตั้งแต่เขารู้ว่าโยมไม่อยู่ที่นี่"

"นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ครับ ในที่สุดวัดนี้ก็ได้กลับไปเป็นวัดจริงๆซะที"

"โยมคิดแบบนั้นจริงๆรึ"

เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันถามด้วยความแปลกใจ

"ใช่แล้วครับหลวงพ่อ แก่นแท้ของธรรมมะคือความสงบสุข ความสงบสุขจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจในพระพุทธศาสนา วัดควรที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมมะมากกว่าที่จะมาสร้างความเชื่องมงาย"

"โยมพูดได้ดี ดูเหมือนโยมจะเปลี่ยนไปนะ"

"ใช่ครับหลวงพ่อ เมื่อออกไปจากวัดเหมือนได้ไปฝึกจิตภาคปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชีวิตได้ถ่องแท้นัก ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นมันเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย"

หลังจากทั้งคู่พูดคุยกันเสร็จ จากนั้นอดีตเจ้าอาวาสก็ขอตัวลาและเดินออกจากวัดด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข เขากลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบเงียยในที่ที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงมากนัก

ในอีกมุมหนึ่งของเทิด ด้วยความที่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าทันผู้คนมากนัก เขาถูกคนรู้จักหลอกให้ไปเล่นการพนันในบ่อนใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน เทิดเสียพนันหลายครั้งโดยหวังจะไปแก้มือ แต่เขาไม่เคยแก้มือจากบ่อนเลยได้สักครั้ง แท้จริงแล้วเพื่อนของเทิดเป็นนายหน้าหาคนมีเงินเข้าไปในบ่อนการพนัน เมื่อเทิดหมดทั้งเงินและต้องขายบ้านหลังใหญ่ทิ้ง เขากลายเป็นคนล้มละลายและเสียสติไปในที่สุด และเป็นโชคร้ายของลูกเมียของเทิดที่ต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ