เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดใหญ่
ได้ตัดสินใจลาสึกออกจากเพศบรรพชิต ท่านยังไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้
คนเพียงคนเดียวที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับว่าที่อดีตเจ้าอาวาสก็คือ
รองเจ้าอาวาส
"โดยส่วนตัวแล้วผมก็เคารพการตัดสินใจของท่านเจ้าอาวาสนะครับ
ทุกๆคนย่อมมีความจำเป็นที่ต่างกัน
แต่การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงนัก
มันไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับตัวท่านเพียงคนเดียว
มันต้องกระทบกับความรู้สึกของเหล่าลูกศิษย์ของท่านอีกนับพัน"
ท่านเจ้าอาวาสพูดตอบด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น
"ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงท่านรองฯ
สำหรับตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
และสำหรับบรรดาลูกศิษย์นั้นพวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไป
ผมคงไม่สามารถไปดูแลความทุกข์ของคนเหล่านั้นไปได้ตลอดชีวิตหรอก
อีกสาเหตุที่ผมอยากสึกเพราะว่า ผมอยากไปศึกษาทางโลกบ้าง
ผมและท่านต่างก็ศึกษาทางธรรมมาตั้งแต่เด็กยันแก่
เราอาจจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างดี
แต่พวกเราไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในสถานะที่เป็นทุกข์เลย
แล้วนั่นยังจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใจความทุกข์ได้อย่างไรกัน"
"สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมีเหตุผลนัก แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ไปทำไมล่ะ
เราก็แค่ใช้สิ่งที่มีเขียนในตำราในการสั่งสอนลูกศิษย์ให้พ้นจากความทุกข์อยู่แล้ว
ไม่เห็นจะต้องค้นหาวิธีสอนอะไรใหม่ๆให้ยุ่งยากเลย และที่สำคัญ
หากท่านพ้นจากตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ยากที่จะมีใครมาสนใจคำสั่งสอนของท่านอีก"
"มันก็จริงเหมือนอย่างที่ท่านรองฯพูดนะ
หากเราคิดจะสั่งสอนลูกศิษย์เราก็เพียงแต่ใช้คำสอนเก่าๆที่สั่งสมกันมานับร้อยๆปีมาสอน
ใช้พิธีกรรมต่างๆที่เคยมีมาๆเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคนเหล่านั้นให้เป็นคนดีได้
แต่ว่าสิ่งที่ผมต้องการต่อจากนี้ไม่ใช่การสั่งสอนคนเหล่านั้นแล้ว"
ท่านเจ้าอาวาสหยุดนิ่งไปชั่วครู่
ทำให้ท่านรองฯชิงถาม
"มีสิ่งใดที่ท่านต้องการต่อจากนี้"
"อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าผมอยากออกไปศึกษาทางโลกบ้าง
อยากจะทำความเข้าใจในเรื่องความทุกข์ให้มากกว่านี้ ผมมีความเชื่อว่าคนทุกคนย่อมมีความทุกข์ฝังซ่อนลึกในจิตใจ
พวกเราคงจะแสร้งทำเป็นซ่อนมันไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมัน
มันก็คงจะกัดกร่อนแทะกินจิตใจเราให้เศร้าหมองลงไปอยู่วันยังค่ำ"
"ผมเข้าใจแล้ว เราทุกคนย่อมต้องคอยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา
ท่านทำให้ผมรู้ว่าเรานั้นมีความรู้เท่าหางอึ่งจริงๆ
อย่าประมาทที่จะหยุดหาสิ่งใหม่เพิ่มเติม แล้วท่านจะลาสึกเมื่อไหร่ล่ะ"
เจ้าอาวาสละสายตาจากท่านรอง
เขาทอดสายตาผ่านบานกระจกใหญ่ที่ล้อมรอบศาลาที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ
ภายนอกบริเวณลานวัดกว้าง คนหลายคนกำลังติดตั้งเวทีการแสดง
บางคนกางเต๊นท์ใหญ่จัดแจงทำเป็นร้านค้า ป้ายผ้าขนาดใหญ่แขวนโชว์เด่นหรา
ข้อความบนป้ายนั้นแสดงให้เห็นว่า อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานบุญประจำปีของวัดแห่งนี้
เจ้าอาวาสพูดตอบท่านรองฯทันทีหลังจากที่สำรวจความเรียบร้อยของงานด้วยสายตาแล้ว
"ก็คงจะเป็นหลังงานบุญปีนี้ของเราเสร็จก่อน
จากนั้นผมจะลาสึกทันทีอย่างเงียบๆ"
"ดีครับ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นมากเกินไป
ผมคิดว่าเหตุผลของท่านคนอื่นๆจะเข้าใจมันดี"
และแล้วงานบุญในปีนี้ก็หวนกลับมาครบรอบอีกครั้งในปีนี้
เนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง
เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง
หรือแม้แต่คนที่อยู่จังหวัดห่างไกลก็ยังเดินทางมา
ความยิ่งใหญ่ของงานไม่ต่างอะไรเลยกับงานประจำจังหวัด
บางทีแล้วแม้คนในพื้นที่ก็มักจะเข้าใจว่างานวัดแห่งนี้คืองานประจำจังหวัดนี่เอง
แน่นอนว่างานที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ย่อมมีเงินไหลเข้าออกวัดจำนวนมากมหาศาลกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการถึง
ไม่ว่าจะเป็นเงินทำบุญเข้าวัด
เงินที่ได้มาจากการให้เช่าพื้นที่ในวัดเพื่อตั้งร้านขายของ
หรือเงินที่มาจากการเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ หากงานนี้เป็นงานที่หน่วยราชการจัดขึ้น
เงินจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้คงจะถูกกระจายไปหลายที่
หากแต่ว่างานแบบนี้มีเพียงวัดเป็นเจ้าภาพ
เงินจำนวนมากมายเหล่านี้จึงไปกระจุกรวมตัวกันที่เดียวคือวัดแห่งนี้
และมีเพียงแต่เจ้าอาวาสเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รู้ตัวเลขจำนวนเงินเหล่านี้
และท่านก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจัดสรรก้อนเงินและหั่นแบ่งก้อนเค้กนี้ออกไปทางไหนก็ได้
ในที่สุดงานบุญประจำปีนี้ก็จบลง
ตัวเลขยอดเงินที่เข้าวัดนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก
และสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสได้เคยพูดเอาไว้กับท่านรองฯก็ถูกทำทันทีที่งานวัดจบลง
ท่านเจ้าอาวาสเปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาทันทีที่ผ่านขั้นตอนที่ถูกกำหนดมาแล้ว
ภายหลังจากนี้หัวโขนเจ้าอาวาสได้ถูกถอดวางเอาไว้
เพื่อรอให้คิวต่อไปหยิบมันไปสวมใส่ต่ออีกครั้ง
อดีตเจ้าอาวาสแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมราคาแพงและกางเกงยีนส์ยี่ห้อหรู
รวมถึงรองเท้าคัชชูที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต
เขากำลังขับรถยนต์ยี่ห้อหรูเพื่อเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
บ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแต่มีพื้นที่ขนาดใหญ่
ตัวบ้านหลังใหญ่ที่สร้างและตกแต่งอย่างวิจิตบรรจงแสดงให้เห็นว่า
มูลค่าของบ้านแถบนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
อดีตเจ้าอาวาสได้โทรไปบอกเจ้าของบ้านที่เขากำลังจะไปหาถึงการมาถึงของเขา
เมื่อประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกและอดีตเจ้าอาวาสขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน
ก็มีหญิงสาวพร้อมเด็กเล็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบเดินออกมาทางหน้าบ้านพอดี
อดีตเจ้าอาวาสเดินลงมาจากรถ
จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวและเด็กเดินเข้ามา
"สวัสดีค่ะหลวงพ่อ เอ่อ... พี่บูน"
หญิงสาวพูดและทำท่าบังคับให้เด็กยกมือไหว้ชายที่อยู่ตรงหน้า
อดีตเจ้าอาวาสมองมาที่ทั้งสอง และสังเกตถึงสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากทั้งคู่
ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งเมื่อทั้งสองเคยไปกราบอดีตเจ้าอาวาสที่วัดเมื่อหลายเดือนก่อน
"สวัสดี เจ้าเทิดอยู่มั้ย"
"พี่เทิดรออยู่ในบ้านแล้วค่ะ เห็นพี่เทิดบอกว่าวันนี้พี่ทูนจะมาวันนี้
เดี๋ยวเชิญพี่เข้าไปข้างในเลยค่ะ"
หญิงสาวพูดจบก็ยืนนิ่ง
เพื่อรอให้อดีตเจ้าอาวาสเดินผ่านหน้าไป
สีหน้าของเธอดูเหมือนดูเป็นกังวลถึงการมาถึงของชายคนนี้
เธอยังจ้องมองอดีตเจ้าอาวาสจนเขาเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน
"อ้าว... สวัสดีครับพี่ทูน ไม่คิดว่าจะมาเร็ว
เลยไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับ"
ชายที่นั่งรออยู่ในบ้านเมื่อเห็นอดีตเจ้าอาวาสจึงทำท่าดีอกดีใจออกหน้าออกตา
เขาโผลเข้าไปกอดชายที่มาเยือน
"เป็นยังบ้างน้องรัก วันนี้ไม่ออกไปทำงานเหรอ"
"โธ่... พี่ก็ว่าไป
มหาเศรษฐีร้อยล้านอย่างผมนี่จะต้องออกไปหางานทำให้ลำบากทำไมกัน
เอาเวลามาหาความสุขใส่ตัวดีกว่า"
สิ้นเสียงพูดของเทิด
เจ้าของคำพูดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่สบอารมณ์มากนัก
แต่อดีตเจ้าอาวาสก็แกล้งฝืนยิ้มให้กับเทิด
"มันก็จริงของแกนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีมั้ย"
"สบายดีสิพี่ชาย ความจริงวันนี้ผมมีนัดตีกล๊อฟกับเพื่อน
แต่เห็นว่าพี่จะมาวันนี้เลยโทรไปแคนเซิ่ลเพื่อน
ว่าแต่วันนี้เราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะครับ"
"เฮ้อ... เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน
พี่อยากจะขอพักผ่อนให้เต็มอิ่มจริงๆสักวันให้หายเหนื่อยก่อน
ใครว่าเกิดเป็นเจ้าอาวาสนั้นสบาย"
เทิดมองหน้าพี่ชายของตัวเองอย่างเป็นห่วง
"เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย พี่ถึงสึกออกมาเป็นคนธรรมดา"
"นั่นก็ใช่ พี่อยากหลีกหนีความวุ่นวายสับสนเสียบ้าง อยากออกมาเปิดหูเปิดตา
อยากออกเดินทางไปหลายๆที่..."
ยังไม่ทันที่อดีตเจ้าอาวาสจบพูดจบ
เทิดพูดแทรก
"อยากจะออกมาใช้เงินด้วยใช่มั้ยล่ะพี่"
อดีตเจ้าอาวาสหันมามองตาน้องชายสักครู่
เหมือนเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของเทิด
"ก็ประมาณนั้น"
"ได้สิพี่ พี่อยากได้เงินเท่าไหร่ ผมจะเตรียมไว้ให้พี่ใช้ไม่ขาดมือ"
อดีตเจ้าอาวาสยิ้มเล็กน้อย
เหมือนกับเขาจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันกับน้องชาย
"เดี๋ยวนะไอ้เทิด พี่ไม่ได้อยากให้แกคอยเตรียมเงินไว้ให้ข้าใช้
แต่ข้าอยากให้แกโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ข้าฝากแกไว้คืนมาให้ข้า และที่สำคัญ
บ้านหลังนี้แกก็ต้องโอนคืนมาเป็นชื่อของข้าด้วย"
"ใจเย็นๆครับพี่ชาย เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องรีบร้อนอะไรไป ยังไงซะเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
เงินทองมันไม่รั่วไหลไปไหนหรอก พี่ให้ผมเป็นคนดูแลทรัพย์สินดีกว่า
ส่วนตัวพี่จะอยากทำอะไร
อยากใช้เงินแค่ไหนพี่ก็มาเบิกเอาที่ผมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว"
"แต่ทรัพย์สินทุกอย่างมันเป็นของข้า
ข้าย่อมมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สมบัติทั้งหมด ข้าแค่ฝากแกไว้เฉยๆ
นี่แกคิดจะยักยอกของๆข้าไปอย่างนั้นหรือ ไอ้ขี้โกง"
อดีตเจ้าอาวาสหมดสิ้นความอดทน
เขาเริ่มรู้สึกตระหงิดๆตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาแล้วที่เจอหน้าลูกและเมียของเทิด
และท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ สิ้นเสียงอดีตเจ้าอาวาส
เทิดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพักใหญ่
"เงินของพี่ ขอถามหน่อยว่าเงินก้อนไหนที่เป็นของพี่"
"ก็เงินที่ข้าให้แกไปทุกเดือนไง
เงินที่ข้าฝากไว้ในบัญชีของแกเดือนละหลายล้านบาท"
"นี่พี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าเงินนั่นเป็นของพี่
ผมรู้ว่าพี่โกงเงินวัดทุกเดือน แล้วเอาเงินที่โกงมาฝากผมไว้ มันน่าแปลกไหมล่ะว่าทำไมพระถึงมีเงินได้เดือนละหลายล้านบาท
ถ้าไม่ได้มาจากเงินของวัด"
"แล้วยังไง แกจะแจ้งตำรวจจับข้าเหรอ เอาสิ! เราจะได้ไปนอนคุกด้วยกัน
ถึงข้าจะโกงเงินวัดมาแต่นั่นก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถบอกได้ว่าข้าโกง
เงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินที่ข้าใช้ชื่อเสียงและความศรัทธาที่สั่งสมมานานหามัน
คนที่มอบให้ข้าก็มอบด้วยความศรัทธาที่มีต่อตัวข้า
แล้วนั่นมันจะไม่ใช่เงินของข้าได้อย่างไรกัน"
อารมณ์โกรธของอดีตเจ้าอาวาสประทุขึ้นถึงจุดสูงสุด
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าคนที่เคยมีถึงอำนาจ มีคนเคารพนับถือกราบไหว้ตลอดเวลา
พอสิ่งเหล่านั้นหมดไปและถูกคนอื่นลูบคมแบบนี้
เขาจะรู้สึกหัวเสียเยี่ยงไรกับเรื่องแบบนี้
ในจิตใจของอดีตเจ้าอาวาสที่ลาสึกมานั้นไม่ใช่เขาอยากจะละทิ้งอำนาจที่เคยมีอยู่ในมือหรอก
แต่เขาคิดว่าเมื่อเขามีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลนั้นก็จะยังทำให้เขามีอำนาจบารมีเหมือนเดิม
เพียงแต่ไม่ต้องสวมหัวโขนเจ้าอาวาสที่จะปิดกั้นไม่ให้เขาสามารถทำได้ในบางสิ่ง
อำนาจทรัพย์สินเงินทองที่ไม่อยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้นจะทำให้เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ
"ผมคงไม่สามารถคืนเงินและบ้านหลังนี้ให้พี่ได้ พี่ลองคิดดูสิ
ความหอมหวานของเงินที่สามารถทำให้คนมากราบไหว้ได้ ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน
พี่จำได้มั้ยในสมัยที่เรายังเด็ก
เราทั้งคู่ยังเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนเวลาที่เราเดินไปไหนก็มีแต่คนรังเกียจ
แต่ดูตอนนี้สิไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็จะมีแต่คนยกมือไหว้กันทั้งนั้น
ถ้าผมคืนเงินให้พี่ไปทั้งหมด ผมก็จะไร้ซึ่งอำนาจที่เคยมีมานับสิบกว่าปี"
"นี่แกลืมบุญคุญของข้าไปแล้วเหรอ ใครกันที่เป็นคนส่งแกเรียน
ใครกันที่เป็นคนให้เงินแกใช้จ่าย แกนี่มันเป็นคนเนรคุณจริงๆ"
"ผมไม่ลืมคุณงามความดีที่พี่ทำไว้ให้กับผมหรอก
ผมยินดีจะช่วยเหลือพี่เรื่องเงินทองตลอดชีวิต
แต่ผมบอกไปแล้วนี่ว่าผมไม่สามารถคืนเงินให้พี่ได้ทั้งหมด
ผมบอกเหตุผลของผมไปแล้ว"
เหมาะสมแล้วที่อดีตเจ้าอาวาสและเทิดเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจริงๆ
พวกเขาทั้งสองคนนั้นมีนิสัยที่คล้ายกันต้ังแต่เด็ก
ความต้องการและความปราถนาในอำนาจวาสนาและความยึดติดนั่นคล้ายกันไม่มีอะไรแตกต่าง
เทิดยังคงคิดถึงอำนาจบารมีที่ตัวเองกำไว้อยู่ในมือ
และไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดออกจากมือไป
"ถ้าอย่างงั้นเรามาแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ถ้าแบบนี้แกจะว่ายังไง"
"ครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมดมันก็มากโขอยู่นะ ผมจะไม่ยอมหรอกครับ"
เหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดพ่นความร้อนออกไปหมดแล้ว
หลังแรงระเบิดคงเหลือไว้แต่ความสงบ
วันนี้อดีตเจ้าอาวาสได้ค้นพ้นสัจจะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เนื่องจากอดีตเจ้าอาวาสเคยได้รับการฝึกในเรื่องจิตใจมามากพอสมควร
เขาจึงเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้เป็นอย่างดี
สีหน้าของอดีตเจ้าอาวาสนั้นเปลี่ยนไปจากอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวเมื่อสักครู่นี้เป็นความสงบ
เขาตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เรียกร้องอะไรสักอย่างจากน้องชาย
_______________________
เวลาผ่านไปหลายปี
อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบพระทานประจำโบสถ์ในวัดที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน
ในตอนนี้เขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา
เวลาผ่านไปไม่นานอดีตรองเจ้าอาวาสที่ปัจจุบันนั้นขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสก็เดินเข้ามาในโบสถ์
อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบเจ้าอาวาส
"เป็นอย่างไรบ้างล่ะโยม
ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวภักดิ์เป็นอย่างไรบ้าง
และการศึกษาเรื่องทางโลกของโยมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"
"นี่ก็หลายปีแล้วนะหลวงพ่อ
มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นภายนอกวัดที่ผมประสบมา
มีหลายเรื่องที่ผมนั้นเข้าใจแต่ไม่เคยเข้าถึงมันเลย จนกระทั่งผมได้ไปเจอกับสิ่งๆนั้นจริงๆ
คนเรายากแท้หยั่งถึงนักแม้แต่กับใจของตัวเราเอง"
"ดูโยมพูดสิ เหมือนกับว่าโยมจะเจอแต่เรื่องร้ายๆมามากมายนะ
แต่สีหน้าโยมไม่เห็นเหมือนกับคนเป็นทุกข์เลย"
เจ้าอาวาสพูดพลางยิ้ม
"ผมยอมรับว่าอยู่ข้างนอกนั้นมันก็ไม่ได้สุขสบายนัก แต่ผมเองนั้นก็พยายามฝึกจิตใจไว้ไม่ให้ถูกกิเลศครอบงำ
หลังจากที่ผมเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากที่ออกจากวัดแห่งนี้
นั่นยิ่งทำให้ผมได้เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ได้ดียิ่งนัก
ความยึดติดนั้นจะทำใจเราเป็นทุกข์"
"เรื่องอะไรเหรอโยม พอจะเล่าให้อาตมาฟังได้มั้ย"
"ผมไม่อยากจะพูดถึงมันอีกแล้วครับ ขอโทษด้วย"
"ไม่เป็นไรโยม อดีตมันผ่านไปแล้ว อ้อ! แล้วตอนนี้โยมทำอะไรอยู่ล่ะ"
บรรยากาศในวัดเงียบสงบ
มันเงียบกว่าเมื่อก่อนสมัยที่อดีตเจ้าอาวาสยังคงเป็นเจ้าอาวาสอยู่
"ผมไปสอนหนังสือที่โรงเรียนตามชายแดนครับ ที่นั่นขาดแคลนครู แม้มันจะลำบาก
แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อ้อ! แล้วทำไมวัดถึงเงียบแบบนี้ครับ
งานบุญปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง"
"งานบุญอะไรนั่นเราไม่ได้จัดแล้วล่ะ มีเจ้าภาพจากวัดอื่นรับไปทำแทน
ตั้งแต่โยมออกไปจากวัดเรา เราก็ไม่ค่อยได้พัฒนาวัดเลย
มีก็แค่ซ่อมแซมแต่ไม่มีการสร้างอะไรเพิ่มอีกแล้ว"
อดีตเจ้าอาวาสหันมองไปดูรอบวิหารที่อยู่ในสถาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
"ตอนนี้คนที่เข้าวัดมาก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม
หรือมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนที่เข้ามาขอโชคขอลาภหรือเลขเด็ดต่างไม่มาที่นี่กันอีกแล้ว
ตั้งแต่เขารู้ว่าโยมไม่อยู่ที่นี่"
"นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ครับ
ในที่สุดวัดนี้ก็ได้กลับไปเป็นวัดจริงๆซะที"
"โยมคิดแบบนั้นจริงๆรึ"
เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันถามด้วยความแปลกใจ
"ใช่แล้วครับหลวงพ่อ แก่นแท้ของธรรมมะคือความสงบสุข
ความสงบสุขจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจในพระพุทธศาสนา
วัดควรที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมมะมากกว่าที่จะมาสร้างความเชื่องมงาย"
"โยมพูดได้ดี ดูเหมือนโยมจะเปลี่ยนไปนะ"
"ใช่ครับหลวงพ่อ เมื่อออกไปจากวัดเหมือนได้ไปฝึกจิตภาคปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชีวิตได้ถ่องแท้นัก
ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นมันเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย"
หลังจากทั้งคู่พูดคุยกันเสร็จ
จากนั้นอดีตเจ้าอาวาสก็ขอตัวลาและเดินออกจากวัดด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข
เขากลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบเงียยในที่ที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงมากนัก
ในอีกมุมหนึ่งของเทิด
ด้วยความที่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าทันผู้คนมากนัก
เขาถูกคนรู้จักหลอกให้ไปเล่นการพนันในบ่อนใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน
เทิดเสียพนันหลายครั้งโดยหวังจะไปแก้มือ แต่เขาไม่เคยแก้มือจากบ่อนเลยได้สักครั้ง
แท้จริงแล้วเพื่อนของเทิดเป็นนายหน้าหาคนมีเงินเข้าไปในบ่อนการพนัน
เมื่อเทิดหมดทั้งเงินและต้องขายบ้านหลังใหญ่ทิ้ง
เขากลายเป็นคนล้มละลายและเสียสติไปในที่สุด
และเป็นโชคร้ายของลูกเมียของเทิดที่ต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ