วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

กีตาร์ซาตาน


สมชายยืนกลางเวทีที่มีเสียงกลองและเสียงคีย์บอร์ดสร้างจังหวะ มือเบสบนเวทีตบสายพร้อมไล่นิ้วตามทางเดินคอร์ด เครื่องดนตรีสามชิ้นนี้กำลังบิ๊วอารมณ์ผู้ชมนับพันข้างล่างเวทีที่กำลังยืนรอจนเหงือกแห้ง พวกเขาเหล่าคนดูชาวร็อคเกอร์ทั้งหลายต่างกำลังรอฟังเสียงโซโล่กีตาร์เทพจากนิ้วเรียวยาวของสมชาย
เมื่อใกล้จะจบท่อนอินโทร สมชายสูดลมหายใจช้า ๆ เข้าไปเต็มปอด และเมื่อถึงจังหวะที่เขาต้องเล่น สมชายกระแทกลมหายใจออกมาพร้อมสะบัดข้อมือให้ปิ๊กกีตาร์กรีดลงไปบนสายเหล็ก มือขวาจับคอร์ดและเปลี่ยนมันอย่างรวดเร็วไปมา แค่การตีพาวเวอร์คอร์ดจังหวะร็อคด้วยความเร็วไปมารวมถึงเสียงสายกีตาร์ที่สะท้านผ่านเอฟเฟคราคาแพง นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าสาวกขาไฟต่างโห่ร้องครวญครางกันเต็มฮอลล์แสดง
เสียงร้องโหยหวนชวนสยองจากเหล่าคนดูเหมือนกับว่าพวกเขาและเธอเหล่านั้นคือปีศาจที่เพิ่งจะหลุดออกมาจากขุมนรก โดยมีเสียงสั่นสะเทือนจากสายกีตาร์นั้นมาสะเดาะกุญแจสู่นรกอเวจี ท่อนเวิร์สธรรมดาที่ยังไม่กระชากบาดใจเท่าใดนักอาจจะทำให้เหล่าผู้ชมยังสงวนท่าทีไม่ดิ้นแรงจนพื้นฮอลล์ลุกเป็นไฟ
สมชายเพ่งสายตาดุดันลงไปยังข้างล่างเวที ที่ข้างล่างนั้นเขาเห็นเหล่าสาวกต่างปลุกเร้าใจตัวเองด้วยการดื่มเหล้าเมายา บางคนยกขวดเบียร์เทลงปากรวดเดียวหมดขวด ขี้เหล้าผมยาวใส่ชุดหนังขาด ๆ คนหนึ่งขว้างขวดเบียร์ที่กินหมดแล้วขึ้นเวที ขวดแก้วสีเขียวขุ่นลอยล่องตรงไปยังหัวของมือกลอง แต่ด้วยความเร็วราวปีศาจของมือให้จังหวะประจำวง มือกลองร่างใหญ่ฟาดไม้กลองเหล็กลงไปกลางขวดเบียร์อย่างแม่นยำ เศษแก้วแตกละเอียดพรุ่งกระจายเต็มเวที แก้วเศษเล็กเศษน้อยลอยฟุ้งสะท้อนแสงระยิบระยับ เหมือนกับว่านี่คือเอฟเฟคอย่างหนึ่งของโชว์
มือกลองดูเหมือนจะโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขารัวกลองเร็วขึ้นเป็นสองเท่าก่อนจะค่อย ๆ เบาลงเมื่อกำลังจะเข้าท่อนพรีคอรัส
สมชายทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับความไร้รสนิยมจากแฟนดนตรีของตัวเอง เพลงที่มีแต่จังหวะเร้า ๆ และคอร์ดของเพลงที่วนไปวนมาไม่มีจบสิ้น บางทีสมชายใช้แค่เทคนิคง่าย ๆ ของการดีดกีตาร์ก็เหมือนกับเปลี่ยนบรรยากาศของเพลงให้เปลี่ยนไปบ้าง แต่สำหรับเขานั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างสรรค์หรือได้ใช้พรสวรรค์ทางดนตรีอะไรเลย สมชายคิดแบบนี้
แฟนเพลงอสูรกายบางคนพ่นควันฟุ้งลอยเต็มอากาศ สมชายคิดว่านั่นคงไม่ใช่แค่ยาสูบธรรมดา ๆ หรอก บางคนสูบฝิ่นสูบกัญชา หรือบางคนอาจจะเตรียมบุหรี่ที่ยัดผงยาบ้าเอาไว้ในใบยาขึ้นมาดูด ภาพหมู่คนที่ถูกรมไปด้วยควันชวนให้นึกถึงฉากการสังหารหมู่คนนับพันด้วยการรมแก๊สพิษให้ตายในครั้งเดียว การตายเพื่อเกิดใหม่หลายพันชีวิตด้วยยาพิษในอากาศแค่ไม่กี่ถัง เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชวนสยดสยองยิ่งนักสำหรับมือกีตาร์ฮีโร่บนเวทีนี้
เรียวนิ้วยาวเคลื่อนไหวไล่นิ้วไปตามเสกลเพนทาโทนิคด้วยความเร็วเกินกว่าที่หูใครจะทันจับได้ว่าเป็นการดีดกีตาร์ เสียงแผดร้องของสเกลง่ายระดับอนุบาลแต่ความเร็วปานสายฟ้ายิ่งเร้าอารมณ์ของคนดูขึ้นมาหน่อยนึง
เสียงกลองเปลี่ยนจังหวะเพื่อเตรียมเข้าท่อนฮุคสำคัญที่เตรียมจะน็อคเอาท์คนฟังให้สลบใต้เวที สมชายจับจังหวะเล่นลูกสวีปเปอร์กับคอร์ดที่ถูกกำหนดจากมือซ้าย มือขวากวาดปิ๊กกีตาร์ไปมาพร้อมใช้สันมืออุดสายที่ไม่ต้องการออก เสียงกีตาร์ที่ถูกขยายจากแอมปิฟลายเออร์และลำโพงดอกสิบสองนิ้วหลายสิบตัว เสียงพิศดารหว่านล้อมฟิลลิ่งคนฟังให้ฮึกเหิมไปกลับเสียงดนตรี สีหน้านักฟังแทบทุกคนเกือบจะสติแตกไปกับท่อนฮุคสุดโหด
หลายคู่ทนไม่ไหวมีเซ็กส์กันท่ามกลางงานคอนเสิร์ต พวกเขาและเธอเหล่านั้นต่างไม่รู้สึกเขินอายหรือกระดากใจแต่อย่างใด เพราะอารมณ์ทางดนตรีนั้นสูบฉีดให้คนเหล่านั้นขึ้นถึงจุดสุดยอดในความรู้สึก อคติและจริตที่มนุษย์สร้างขึ้นถูกทำลายลงด้วยท่วงทำนองที่แสนวิเศษและมหัศจรรย์ ความฝันและความคาดหวังทุกอย่างของมนุษย์ถูกขัดจังหวะจากเสียงแห่งปัจจุบัน แทบทุกคู่ที่กำลังร่วมรักกันกลางงาน ต่างพร้อมใจกันหน่วงเวลารอท่อนจบของท่อนฮุคเพื่อจะขึ้นถึงสวรรค์พร้อมกันกับท่อนสำคัญของเพลง
เสียงกลองกระทุ้งกระเดื่องคู่รัวจนหัวใจคนฟังแทบหยุดเต้น เสียงจังหวะเร็วรัวรบกวนจังหวะเต้นของหัวใจจนเกือบทำให้ผิดเพี้ยน กระเดื่องเงียบเสียง ทุกอย่างเงียบเหลือแต่เสียงตบสายโซโลเบสหยุดอารมณ์ไว้ชั่วครู่ เสียงคีย์บอร์ดเล่นโน๊ตเพลงที่สลับซับซ้อนก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคอร์ดอะเพ็กจิโอที่เรียบง่าย
ทุกอย่างเงียบเหลือแต่เสียงตีคอร์ดจากกีตาร์ไฟฟ้าโดยไม่มีเอฟเฟคใด ๆ มาทำให้เสียงธรรมชาติผิดเพี้ยน และไม่นานทุกอย่างก็เงียบงัน

สมชายถอยรถออกจากลานจอดหลังทำงานเสร็จในคืนนี้ เขาตั้งลำบนถนนหลักและค่อย ๆ เปลี่ยนจากเกียร์ต่ำไปยังเกียร์สูงสุดตามความเร็วที่รถทำได้ และเมื่อสมชายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์เพิ่มอีกแล้ว เขาจึงเลื่อนมือซ้ายไปหยิบแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นออกจากซองที่แขวนอยู่บนที่บังแดดเหนือหัว ก่อนจะสอดแผ่นพลาสติกวงกลมเข้าไปยังช่องแคบ ๆ บนแผงคอนโซลรถ ตัวอักษรดิจิตอลบนแผงหน้าปัดแอลอีดีขึ้นตัวอักษรคำว่า ‘TOMMY EMMANUEL’
ลำโพง 6.1 ติดรถดังขึ้นด้วยเสียงกีตาร์ฟิงเกอร์สไตล์ เมโลดี้ที่วิ่งสลับไปมาเป็นท่วงทำนองที่จับใจสมชายยิ่งนัก วลีเพลงที่ตัวโน๊ตไม่เรียงต่อกันเหมือนการไล่สเกลง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยเป็นสิ่งที่สมชายทำไม่ได้ เขาไม่สามารถฟังเพลงเหล่านี้แล้วแกะออกมาเล่นได้เลย นิ้วของเขาเดินทางได้เป็นเส้นตรงอย่างเดียว เขารู้ทุกสเกลบนโลกนี้แต่ไม่สามารถเล่นวลีสั้น ๆ ที่มีเอกลักษณ์อะไรได้เลย
ความสบายเพลิดเพลินจากการฟังเพลงนี้แสดงออกมาบนใบหน้าของนักดนตรีที่มีแฟนคลับมากมาย เมื่อเพลงบรรเลงไปครบอัลบั้มบนแผ่นซีดี สมชายเลือกแผ่นของ Steve Vai ออกมาใส่เครื่องเล่น แต่คราวนี้เขาจงใจเลื่อนแทรคไปยังเพลงที่มีชื่อว่า Tender Surrender สมชายรู้สึกทึ่งกับไดนามิคของเพลงที่มีแข็งสลับอ่อนผ่อนปรนกันไปอย่างลงตัว เมโลดี้ของโน้ตกีตาร์ไพเราะเสนาะหูของเขาทุกครั้งแม้ครั้งนี้สมชายจะฟังมันเป็นครั้งที่พันแล้วก็ตาม
สมชายจะขับรถออกนอกตัวเมืองทุกครั้งหลังเล่นดนตรีเสร็จ เขาจะขับออกนอกเมืองระยะทางรวมร้อยกว่ากิโลเมตรเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานที่แสนจะน่าเบื่อของเขา นักดนตรีร็อคจะเปิดเพลงที่มีเมโลดี้สวย ๆ ฟังเพื่อลดความเครียดจากสิ่งที่เขาพบเจอมาในแต่ละวัน และบนถนนเลี่ยงเมืองออกไปจะเป็นทางตรงยาวที่แทบจะไม่มีรถวิ่งเลย นั่นจึงทำให้สมชายเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ทำความเร็วไปแตะสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
รถยนต์สปอร์ตราคาแพงทะยานรักษาความเร็วที่สองร้อยกิเมตรต่อชั่วโมงนานห้านาทีแล้ว และทันใดนั้น สมชายเห็นจุดดวงไฟเล็ก ๆ บนถนนตรงหน้าเขาห่างออกไปหลายร้อยเมตร เจ้าของรถรู้สึกแปลกใจจึงรีบถอนคันเร่งออก แสงไฟจากจุดเล็ก ๆ เริ่มเห็นเป็นภาพใหญ่ขึ้น สมชายเริ่มเห็นว่ามันเป็นรถบรรทุกที่มีตู้คอนเทนเนอร์ ท้ายรถมีไฟประดับประดาเต็มท้ายรถ เมื่อรถของสมชายเข้าไปจ่อตูดรถบรรทุกใกล้ ๆ รถบรรทุกเบรคกระทันหันทันทีจนเสียงล้อรถเบียดถนน
รถสปอร์ตคันหรูเบี่ยงหัวหลบออกทางขวาเตรียมจะแซง เมื่อสมชายบังคับรถอยู่ตำแหน่งขนาบข้างเขากำลังจะเตรียมเหยียบคันเร่งเต็มแรง แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อเห็นตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกตกแต่งเป็นห้องกระจก ภายในกระจกมีแสงไฟสลัว ๆ แต่ยังพอทำให้เห็นภาพกีตาร์วางเรียงรายเหมือนกับว่านี่คือร้านขายกีตาร์เคลื่อนที่ และทันใดนั้นแสงไฟภายในตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องกระจกก็สว่างไสวจากแสงไฟภายใน
สมชายยกเท้าถอนคันเร่งปล่อยให้รถไหลไปอยู่หน้ารถบรรทุกที่จอดนิ่งสนิทแล้ว เขาพยายามมองทะลุกระจกหน้ารถบรรทุกเข้าไปเพื่อมองหาคนขับ สมชายมองเห็นแต่เพียงเงามืด ๆ ของชายผมยาวจัดทรงไม่ได้รูปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใด ๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ารถพยายามจะทำท่าทางเรียกความสนใจจากเงาดำ ๆ หลังกระจก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
ชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายโดยเดินไปดูที่ตู้คอนเทนเนอร์ เขาเห็นประตูเปิดออกเหมือนรอให้ใครบางคนเข้าไป นักกีตาร์นิ้วไฟถูกดึงดูดด้วยอะไรบางอย่างจนทำให้เขาต้องปีนข้างรถขึ้นไป
เมื่อสมชายเข้าไปข้างในจึงทำให้สังเกตเห็นต้นกำเนิดแสงสว่างนั้นมาจากตะเกียงโบราญ เปลวไฟเล็ก ๆ ในหลอดแก้วกว่าสิบอันสั่นไหวตามจังหวะการเดินของแขกผู้มาเยือน บนชั้นวางกีตาร์มีกีตาร์ราคาแพงวางอยู่เรียงราย สมชายเห็นกีตาร์บางตัวเป็นลิมิเต็ดอีดิทชั่นที่หายากมาก ๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นอะไรเลยจนกระทั่งได้เห็นกีตาร์ไฟฟ้าสีขาวสะอาดตัวหนึ่งมีปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำมีรอยตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ
ชายผู้มาใหม่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับกีตาร์ตัวนั้นก่อนจะเอานิ้วมือไปลูบสัมผัสตรงปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำ เขาถูมันไปมาและหงายนิ้วขึ้นมาดู สมชายถึงกับขนลุกซู่เมื่อเห็นนิ้วมือของตัวเองชื้นไปด้วยของเหลวสีข้น ๆ  เขาไม่แน่ใจว่ามันคือเลือดสด ๆ หรือเปล่าเพราะแสงไฟสีส้มทำให้ไม่สามารถดูมันได้ว่าเป็นสีอะไรแน่ และทันใดนั้นเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น
“ต้องขออภัยด้วย กีตาร์ตัวนั้นเพิ่งจะทำสี มันยังไม่แห้งดี”
แขกผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือกกับน้ำเสียงแหบพร่านั้น เขาเผลอสะดุดเท้าไปโดนกับชั้นวางกีตาร์ สมชายตกใจรีบหันไปประครองชั้นวางที่มีกีตาร์หลายตัวแขวนอยู่
“ขะ...ขอโทษครับ ขอโทษที่เข้ามา...”
“ขอโทษอะไรกัน ร้านนี้ตั้งใจเปิดไว้รอคุณอยู่แล้ว”
“รอผม” สมชายกลืนน้ำลายลงคอ เขาหยุดคิดว่าคงเป็นการล้อเล่นกระมัง เพราะชายที่ยืนอยูตรงหน้านั้นที่ดูแก่ชราน้ำเสียงไร้ความรู้สึกใด ๆ ได้แต่ผงกศรีษะ 
ชายชราสภาพสกปรกโสโครกแต่งตัวเหมือนหยิบผ้าขี้ริ้วที่ซักแล้วมาห่ม ผมเผ้ายาวสีเทาดูหยุงเหยิงไร้การดูแล ตอนนี้ชายแก่เขยิบเข้ามายืนข้างสมชาย กลิ่นตัวเหม็นเน่าจนแทบจะอาเจียนจนทำให้สมชายต้องกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง
“คุณสนใจกีตาร์ตัวนั้น”
สมชายได้แต่ผงกหน้า
“คุณจะหยิบลงมาดูก็ได้นี่”
“แต่สีของมันยังไม่แห้งดีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องไปสนใจสีตรงปิ๊กการ์ดหรอก บางทีแล้วมันอาจจะไม่มีวันแห้งเลยก็ได้”
สิ้นเสียงชายชรา สมชายไม่สนใจคำพูดนั้น เขาเอื้อมมือไปจับที่คอกีตาร์ก่อนจะเอามืออีกข้างประครองที่ลำตัว ชายหนุ่มถือกีตาร์ในตำแหน่งพร้อมเล่นก็รู้สึกว่ามันช่างเหมาะพอดีมืออะไรอย่างนี้ เขาทดลองใช้นิ้วสะบัดลงบนสายเหล็กสองสามที
“ผมจะลองฟังเสียงมันหน่อยจะได้ไหม” สมชายหันมาพูดกับชายชรา และเบี่ยงหน้าหนีทันทีเมื่อสบสายคู่นั้นเข้า
“อยู่ข้าง ๆ เท้าคุณนั่นไง” ชราส่ายหน้าไปยังทิศทางที่พูดถึง
สมชายเสียบสายแจ๊คและปรับปุ่มต่าง ๆ ที่ลำโพงจนเรียบร้อย เขาทดลองไล่สเกลดูสองสามรอบก็ทำสีหน้ารู้สึกพอใจระดับหนึ่ง จากนั้นนักกีตาร์ทดลองตีคอร์ดจังหวะร็อคที่ดุดัน เขารู้สึกทึ่งว่ามันคือกีตาร์ที่ดีตัวหนึ่ง สมชายลองเล่นเทคนิคที่เขาถนัดที่สุดโดยการสวีปปิ้ง นั่นทำให้สมชายอยากได้กีตาร์ตัวนี้มาครอบครอง
“ฝีมือของคุณเยี่ยมมาก” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไม่ทราบว่าราคาของกีตาร์ตัวนี้อยู่ที่เท่าไหร่”
ชายชราทำท่าจะเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อได้ยินสมชายพูด “หากคุณจะเพียงแค่ใช้กีตาร์ทำในสิ่งที่คุณเพิ่งเล่นไปนั้น ในร้านนี้มีกีตาร์อีกหลายตัวที่มีเสียงดีเทียบเท่ากับกีตาร์ตัวนี้ มีรูปทรงกีตาร์สวย ๆ ให้คุณเลือกมากมาย คุณไม่จำเป็นต้องใช้กีตาร์ตัวนี้หรอก” คนดูแลร้านพูดเสร็จก็ผายมือให้ดูกีตาร์อีกหลายตัวในชั้นเดียวกัน
“ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูด”
“ทำไมไม่ลองเล่นเพลงของศิลปินที่คุณชื่นชอบล่ะ”
สมชายรู้สึกจุกอกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “ผมไม่เคยเล่นเพลงเหล่านั้นเลย เพลงที่มีเมโลดี้สลับซับซ้อนเป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัด”
“แล้วทำไมคุณไม่ลองเล่นมันดูล่ะ”
เขารู้สึกมือสั่นแข้งขาอ่อนเมื่อคิดถึงเพลงที่เขาชื่นชอบ แต่ทว่าเมื่อสมชายกำลังนึงถึงท่อนฮุคจากเพลงที่เขาเพิ่งจะเปิดฟังมาตอนขับรถ นิ้วเรียวยาวของเขาก็เลื่อนไปเล่นเองตามความรู้สึกของสมชาย
“เป็นไปไม่ได้” สมชายอึ้งกับวลีที่เขาเพิ่งจะเล่นออกไป มันแทบจะไม่แตกต่างจากต้นฉบับ หรือบางทีมันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำก็เป็นได้
“ทำไมคุณไม่เล่นเพลงเทนเดอร์เซอร์เรนเดอร์ของสตีฟไวตั้งแต่ต้นจนจบ” ชายชราพูดขึ้น
“คุณรู้จักเพลงนี้” สมชายพูดถามอย่างประหลาดใจ แต่เขาไม่รอฟังคำตอบก็เริ่มเล่นเพลงที่ว่านั้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อสมชายบรรเลงกีตาร์เสร็จ เขารู้สึกทึ่งมากกับเสียงเพลงนั้น แต่ความทึ่งนั้นคงไม่มากเท่ากับความประหลาดใจ
“ตอนนี้ผมอยากทราบราคาของกีตาร์ตัวนี้แล้ว” สมชายเน้นเสียง
ชายชราค่อย ๆ เดินไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะเก่า ๆ วางอยู่ เขาเปิดลิ้นชักพร้อมหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น “นักกีตาร์ส่วนมากจะมีปัญหาคล้าย ๆ กัน นั่นก็คือเล่นได้แต่แนวเพลงที่ต้องใช้ทำมาหากินทุกวัน ๆ จนไม่มีเวลาที่จะซ้อมแนวเพลงที่ตัวเองชื่นชอบ คุณก็อยู่ในข่ายนั้น... แต่นั่นแหละ คุณมีคุณสมบัติที่เจ้านายผมต้องการ”
“เจ้านาย” สมชายเดินตามมายังมุมห้องพร้อมทำสีหน้าแปลกใจ “หรือว่าหมายถึงเจ้าของร้านนี้”
“ก็อาจจะทำนองนั้น”
“เอาล่ะ... ผมอยากรู้ราคาของมันแล้ว” สมชายพูดน้ำเสียงหนักแน่น
"รายละเอียดอยู่ในสัญญา คุณกรุณาอ่านดูอย่างละเอียด แล้วผมจะคุยกับคุณ"
สมชายรับกระดาษมาอ่านอย่างงุนงง “ในนี้บอกว่าผมเพียงแค่เซ็นลงไป”
“ใช่”
“สัญญามีเพียงข้อเดียวว่าวิญญาณของผมจะถูกขายให้ปีศาจ และปีศาจจะมาเอามันไปเมื่อไหร่ก็ได้”
“ใช่”
ไม่มีท่าทีใด ๆ ปรากฏออกมาจากนักดนตรีนอกจากความไม่ชัดเจนเรื่องสัญญาที่ดูบ้า ๆ นี้
“ถ้าว่ากันตามสัญญา ปีศาจของคุณก็สามารถที่จะมาเอาวิญญาณของผมไปได้เลยทันทีที่ผมเซ็นชื่อลงไปในกระดาษใบนี้”
“เงื่อนไขก็เป็นไปตามนั้น แต่ผมคิดว่าเจ้านายของผมคงไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอก ไม่แน่นะถ้าเจ้านายเขาเกิดชอบคุณขึ้นมา เขาอาจจะมาเอาวิญญาณคุณตอนอายุ 99 ปีก็ได้ หรืออาจะซัก 120 คุณลองคิดดูสิ คุณจะกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่”
สมชายรู้สึกสับสนกับเรื่องลี้ลับนี้ เรื่องการขายวิญญาณให้ปีศาจเป็นตำนานที่เคยได้ยินมาแล้วหลายเรื่อง ก็เหมือนกับเรื่องภูติผีปีศาจทั้งหลายที่คนมักจะพูดต่อ ๆ กันมาโดยที่ไม่มีใครเคยเห็น หรือว่าคนต้นเรื่องอาจจะหูฝ้าตาฟางเห็นภาพหลอนอะไรไปก็ได้ และถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฝีมือกีตาร์ ก็ไม่น่าจะแปลกอะไรที่คน ๆ หนึ่งจะมีฝีมือกีตาร์เก่งกาจอย่างรวดเร็วภายในปีหรือสองปี อาจจะเป็นเรื่องการบรรลุโดยฉับพลันของคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้ สมชายคิดเรื่องนี้ในหัวก่อนจะลงมือทำอะไร พูดอะไรหรือคิดจะเซ็นสัญญาอะไร
เสียงชายแก่ดังขึ้นในขณะที่สมชายนิ่งเงียบไป “เอาอย่างนี้สิ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของคุณ เจ้านายของผมอนุญาตให้คุณเอากีตาร์ตัวนี้กลับไปลองเล่นที่บ้านได้หนึ่งคืน ตอนนี้คุณยังไม่ต้องเซ็นสัญญาอะไรทั้งสิ้น เมื่อถึงรุ่งเช้า ผมจะไปรับกีตาร์กลับคืนมา”
สมชายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนพูด ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวสายตาคู่นั้นแล้ว “จริงหรือ”
“ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวไม่ใช่เหรอ หากคุณเอาไปลองเล่นแล้วคิดว่ามันไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ก็แค่คืนมันมาแล้วคุณก็ใช้ชีวิตอย่างปกติไป แต่ถ้าคุณอยากได้มัน ก็แค่มาเซ็นสัญญาฉบับนี้”
ผู้ที่ถือกีตาร์อยู่ในมือเริ่มแสดงสีหน้าผ่อนคลายลง “เป็นข้อเสนอที่หน้าสนใจ แต่ผมขอถามอีกอย่างสิ ถ้าหากผมเซ็นสัญญา แล้วเจ้านายคุณมาเอาวิญญาณของผมไป วิญญาณของผมจะไปอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้” เสียงตอบที่ฟังดูเย็นชาดังขึ้น
สมชายทำท่าไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง สายตาของเขาหันไปมองปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำที่มันดูข้น ๆ หนืด ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะแห้ง แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียดายถ้าจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านเลยไป “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะขอรับกีตาร์ตัวนี้ไปทดลองเล่นหนึ่งคืน ว่าแต่ผมต้องมัดจำอะไรไว้มั้ย”
“คุณคิดถูกแล้ว เรื่องมัดจำนั่นไม่จำเป็นหรอก ขอให้คุณโชคดี”
“เอ่อ... พอจะมีกระเป๋าใส่กีตาร์หรืออะไรห่อมันไว้หน่อยมั้ย” สมชายถาม
“ไม่มี” เสียงตอบห้วน ๆ จากนั้นชายชราเปิดลิ้นชักโต๊ะก่อนจะนำกระดาษสัญญานั้นใส่ลงไป

เวลาเกือบจะตีสองแล้ว สมชายเดินเข้าลิฟท์ของคอนโดโดยถือกีตาร์สีขาวปิ๊กการ์ดสีแดงมาด้วย เขายังงงๆ ว่าเรื่องบ้า ๆ นี้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือมีใครอยากจะมาแกล้งเขา และเมื่อถึงห้องพักทีมีลักษณะเป็นห้องชุด สมชายแวะพักดื่มน้ำก่อนจะหิ้วกีตาร์ตัวนั้นเข้าไปยังห้องเก็บเสียงที่ดัดแปลงมาจากห้องนอน
ความรู้สึกตื่นเต้นทำให้เขาลืมง่วง ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เขาต้องพักผ่อนแล้ว สมชายเสียบสายกีตาร์นั้นเข้ากับลำโพง เขายังจำความรู้สึกถึงตอนที่เล่นเพลงนั้นได้ไม่ลืมเลือน และตอนนี้มือกีตาร์ก็บรรเลงเพลงนั้นอีกอย่างอิ่มเอมใจ
เมื่อเพลงแรกจบ สมชายก็นึกถึงเพลงอีกหลายเพลงจากศิลปินที่เขาชื่นชอบและเล่นมันออกมาอย่างไพเราะน่าพอใจยิ่งนัก เขายังนึกถึงเพลงใหม่ ๆ ที่เคยฟังผ่าน ๆ จากศิลปินที่มีชื่อเสียงและลองเล่นมันดู สมชายตกตะลึงมาเมื่อเล่นมันออกมาอย่างมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ความสุขและความพึงพอใจของสมชายแสดงออกมาทางใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุข เขาเอนหลังนอนลงบนโซฟายาวพร้อมพักสายตา ทันใดนั้นเหมือนเขาคิดอะไรบางอย่างออกมา อารมณ์ความรัก ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว อารมณ์ของความผิดหวัง การถูกพลัดพราก สิ้นหวัง ความเหงา ความเศร้า อารมณ์เดียวดายอ้างว้างโดดเดี่ยว อยู่ ๆ ความรู้สึกเหล่านี้ก็พรุ่งพรวดออกมาจากความทรงจำของเขาในขณะที่สมชายนอนกอดกีตาร์ตัวนั้นอยู่ในอ้อมแขน
สมชายเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา เขาลองอิมโพรไวส์ความรู้สึกที่ถูกขุดขึ้นมาจากหัวใจออกมาเป็นตัวโน๊ต สมชายไม่ลืมที่จะหยิบเครื่องบันทึกเสียงกดบันทึก
จากโน้ตดนตรีเดี่ยวง่าย ๆ ก็เริ่มซับซ้อนขึ้นมาเป็นขั้นคู่เสียง เป็นทรัยแอด เป็นคอร์ด เป็นวลีเพลงที่ฟังแล้วติดหู สมชายแต่งเพลงขึ้นมาสด ๆ พร้อมอัดลงในเครื่องบันทึกเสียงคุณภาพสูง แต่ละเพลงก็บรรยายอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เขาอัดเพลงไปทั้งหมด 29 เพลง
และตอนนี้พลังในตัวของสมชายก็หมดลง เขาฟุบลงนอนบนโซฟายาวโดยวางกีตาร์ไว้ที่พื้น

เสียงเคาะห้องดังขึ้นสามครั้ง สมชายงัวเงียตื่นขึ้นมาจากการนอนไปเพียงแค่ชั่วโมงกว่า ๆ  เขารีบหันไปมองกีตาร์สีขาวตัวนั้นก็พบว่ามันยังนอนอยู่บนพื้น ไม่นานสมชายก็เดินไปเปิดประตูห้อง
“ผมมารับกีตาร์คืน” ชายชราคนเมื่อคืนยืนอยู่หน้าประตู
สมชายพยายามเปิดเปลือกตาที่ยังคงปิดเพราะอาการงัวเงีย เขาเห็นชายชราในชุดเดิมที่ท่าทางโทรม ๆ “คุณเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องสนใจหรอกน่า”
สมชายเดินเข้าไปหยิบกีตาร์ตัวนั้นออกมายื่นให้ชายที่มาเยือน จากนั้นชายคนนั้นก็ยื่นแผ่นกระดาษให้สมชาย
“ถ้าคุณไม่คิดจะเซ็นก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน จะเก็บใส่ลิ้นชักหรือฉีกมันทิ้งก็ได้ แต่ถ้าคุณเซ็นมันเมื่อไหร่ ผมจะนำกีตาร์ตัวนี้มามอบให้คุณเอง”
“แล้วผมจะติดต่อกลับคุณได้อย่างไร”
ชายชรากำลังทำท่าทางจะเดินหันหลังออกไป เหลียวหันมาทางสมชายก่อนจะพูด “ไว้ให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” เมื่อพูดเสร็จเขาก็เดินจากไป
สมชายเดินกลับเข้ามานอนต่อในห้องนอนของเขา กระดาษสัญญาถูกวางไว้หัวเตียง ชายหนุ่มผู้อ่อนเพลียงีบหลับไปได้สิบนาทีกว่า ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำธุระส่วนตัว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จสมชายเดินเข้าไปยังห้องเก็บเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเดินไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้าของเขาเองออกมาจากที่แขวนข้างฝาผนังห้อง จากนั้นก็พยายามเล่นเพลงที่ตัวเองเพิ่งจะบรรเลงไปก่อนหน้านี้ แต่ทว่าเมื่อลองไล่นิ้วไปได้สักพักสมชายก็โยนกีตาร์ลงพื้นพรมก่อนจะยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาขยี้ผมบนหัว
ความกลัวเรื่อง ๆ หนึ่งบังเกิดขึ้นมาในใจของสมชายจนเขาต้องรีบคว้ากีตาร์ขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็เริ่มตีคอร์ดร็อค ทดลองไล่สเกลให้ได้มากที่สุด และยังเล่นลูกสวีปปิ้งที่ตัวเองถนัด ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเล่นออกมายังคงดุดันเร้าใจไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เคยเล่นได้ ตอนนี้สมชายก็ยังสบายใจไปเปราะหนึ่ง

งานในค่ำคืนนี้ของสมชายในร็อคผับก็เป็นเหมือนทุก ๆ คืน ดนตรี แสง สีเสียงยังคงปลุกเร้านักท่องราตรีให้สนุกสนานไปกับโลกแห่งเสียงเพลง โดยมีเหล้า ยาและเซ็กส์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ แต่งานก็คืองาน นักกีตาร์ขวัญใจนักเที่ยวยังคงต้องขับกล่อมผู้ฟังให้ไม่มีที่ติ แม้ว่าจิตใจของสมชายจะรู้สึกเบื่อหน่ายและซึมเศร้ามากเพียงใดก็ตาม
ความเบื่อหน่ายไร้จินตนาการของเขานั้นผ่านนานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นความหดหู่จนถึงที่สุด สมชายลาออกจากงานและไม่นานก็มีนักกีตาร์คนใหม่มาแทนเขาอย่างรวดเร็ว เหล้ายาอบายมุขทุกอย่างถูกใช้เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ เขาหันหลังให้สังคม เพื่อนฝูงญาติมิตรไม่เคยคิดอยากจะไปเจอหน้า ไม่ต้องพูดถึงดนตรีที่สมชายไม่คิดแม้แต่จะฟังมัน
เวลาผ่านไปเป็นปี วันหนึ่งหลังจากสมชายกลับเข้าคอนโดพร้อมขวดเหล้าเบียร์สำหรับพอประทังความทุกข์ไปวัน ๆ เขาขึ้นห้องและยัดขวดเบียร์ใส่ตู้เย็น เก็บขวดเหล้าส่วนหนึ่งเข้าตู้ จากนั้นเหล้าหนึ่งขวดที่เหลือจึงถูกเปิดรินใส่แก้ว สมชายเลือกที่จะดื่มเพียว ๆ เพราะต้องการฤทธิ์ของเหล้าที่แรงที่สุด
การไม่มีความคาดหวังใด ๆ ในชีวิตนั้นเป็นทุกข์ และการดื่มเหล้าไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวเองเมาจนหลับ อย่างน้อยนี่ก็คือจุดหมายที่สมชายแอบคาดหวังเอาไว้ในทุก ๆ คืน หลังจากดื่มไปได้ครึ่งขวด เขายกขวดเหล้าเข้าไปในห้องนอนเพราะเตรียมจะไปดื่มต่อที่นั่น สมชายวางขวดเหล้าบนหัวเตียงทับแผ่นกระดาษอะไรสักอย่าง และเมื่อเขาสังเกตดี ๆ ก็เห็นว่ามันเป็นกระดาษสัญญาจากชายชรา
สมชายจำได้ทุกตัวอักษรบนแผ่นกระดาษนั้น ช่วงแรก ๆ หลังจากที่ได้กระดาษแผ่นนี้มา เขาลองตรองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะเซ็นหรือไม่เซ็น เพราะความคลุมเครือในเงื่อนไขที่ว่าวิญญาณของเขาจะไปไหนนั้นยังไม่ชัดเจน ความกังวลว่าเจ้าของสัญญานี้จะมาทวงหนี้จากเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และภาพสยดสยองจากคราบสีแดงคล้ำที่อยู่ตรงปิ๊กการ์ดกีตาร์นั้นมันช่างหลอกหลอนให้สมชายคิดไปต่าง ๆ นานา
กระดาษแผ่นนั้นถูกหยิบขึ้นมา บัดนี้มันมีรอยน้ำเป็นวง ๆ จากก้นขวดเหล้าที่มีคราบของเหลวติด ในวงนั้นเน้นข้อความว่าเมื่อบรรลุข้อตกลงกับสัญญาฉบับนี้แล้ว กรรมสิทธิ์ในดวงวิญญาณของผู้ลงลายมือชื่อจะตกเป็นของผู้ให้ยืมกีตาร์
สมชายยกขวดเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนจะหยิบปากกาที่อยู่ข้าง ๆ นั้นเซ็นลายมือชื่อลงไปในช่องกรอกข้อความ เมื่อเซ็นชื่อเสร็จเขาล้มตัวลงนอนหงายลืมตามองเพดานอยู่บนเตียง เวลาผ่านไปสักพักจึงทดลองสำรวจล่างกายของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย สมชายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นห้องก่อนจะค่อย ๆ ม่อยหลับไป

ในร้านอาหารเล็ก ๆ  บนเวทีมีวงดนตรีสามชิ้นบรรเลงเพลงอยู่บนนั้น มือกลองหน้าตาสะอาดกำลังเคาะจังหวะช้า ๆ ส่งอินโทรให้กับเบส สมชายรอให้เสียงเบสเบาลงก่อนเขาจะเริ่มเกาสายกีตาร์ เมื่อเบสคุมโทนของเพลงได้หมด มือกีตาร์จึงเริ่มโซโล่ทันที เสียงกีตาร์หวานแหววจนทำหู้ฟังหลายคนทำสายตาหยาดเยิ้มกับเสียงเพลง บัดนี้สมชายและลูกวงของเขาสามารถคุมผู้ชมได้หมดทั้งร้านแล้ว
หลังจากสมชายได้รับกีตาร์สีขาวจากชายชราลึกลับคนนั้น และเมื่อเขาได้บรรเลงเพลงที่บรรยายถึงความทุกข์ ความหดหู่ซึมเศร้าที่สะสมยาวนานมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ๆ นั่นถึงกับทำให้นักกีตาร์ผู้ห่างหายจากเครื่องดนตรีไปนานถึงกับหลั่งน้ำตา สมชายนั่งบรรเลงเพลงในห้องเก็บเสียงอย่างเพลิดเพลินจนทำให้เขาลืมเลือนเงื่อนไขของสัญญาฉบับนั้นไป
สมชายสังเกตว่ามีแฟนเพลงของเขาหลายคนที่ติดตามไปฟังเขาเล่นเพลงในหลาย ๆ ที่ แฟนเพลงบางคนมอบของขวัญและคอยทักทายนักดนตรีอย่างสมชายบ่อยครั้ง เคยมีแฟนเพลงบางคนบอกว่าเพลงของเขานั้นเป็นสไตล์ที่หาฟังยากมาก และยังถามว่าทำไมไม่บันทึกเสียงวางขายในท้องตลาด สมชายก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
แต่ว่ามีแฟนเพลงคนหนี่งที่สะดุดตาของสมชายเป็นอย่างมาก แฟนเพลงคนนี้จะใส่สูทชุดดำในทุกที่ที่สมชายเจอ ทุกที่จริง ๆ ที่สมชายเดินทางไปเล่นจะต้องมีแฟนเพลงคนนี้ ชายใส่สูทสีดำมีสิวผิวออกคล้ำแม้จะอยู่ในแสงไฟ สีหน้าแววตาและรอยยิ้มที่แตกต่างจากผู้ฟังทั่วไป ในหลายเดือนมานี้เป็นช่วงเวลาที่สมชายมีความสุขเป็นอย่างยิ่งเพราะได้ขับกล่อมผู้ฟังจากเพลงที่เขาเล่น และสมองของนักดนตรีผู้นี้ยังสามารถผลิตผลงานเพลงเพราะ ๆ ไม่ว่าจะเพลงอมตะของใคร เพียงแค่สมชายได้ฟังสองสามรอบก็สามารถเล่นตามได้อย่างน่าอัศจรรย์
ถ้าหากไม่มีแฟนเพลงท่าทางแปลก ๆ คนนั้นโผล่มากวนใจ สมชายก็คงจะไม่คิดมากจนบางครั้งก็แทบจะสติแตกไม่ได้ ความระแวงแคลงใจเกี่ยวกับคำมั่นสัญญานั้นเริ่มตามมาหลอกหลอนเขาแล้ว เขานึกถึงสิ่งที่ชายชราลึกลับคนนั้นบอกเขาทำนองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมมีราคาเสมอ ราคาที่สมชายจะต้องจ่ายด้วยอะไรสักอย่าง แต่เขารู้ว่าเขาต้องตาย
ช่วงหลัง ๆ สองสามเดือนมานี้สมชายได้พบเจอแฟนเพลงในชุดสูทสีดำบ่อยขึ้น ความกลัวและความกังวลของเขาเริ่มแสดงออกมาบนสีหน้าเมื่อขึ้นเวที บางครั้งก็ถึงกับทำให้เพลงล่มกลางคันก็มี วันหนึ่งในขณะที่สมชายกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนเวที เขาเห็นชายในชุดดำยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผย และที่น่าตกใจที่สุดคือบนโต๊ะตัวที่แขกชุดดำนั่งมีแผ่นกระดาษสัญญาใบนั้นวางอยู่ จากคิวเพลงที่ต้องเล่นเพลงหวาน ๆ ในแขกฟัง ความรู้สึกและจิตใต้สำนึกของสมชายกลั่นออกมาจนทำให้บทเพลงที่เขากำลังเล่นอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นเพลงที่น่าสะพรึงกลัวทันที แขกคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องนี้ต่างชอบอกชอบใจกันจนโห่ร้องด้วยความสนุกสนาน

หลังจากเสร็จงานคืนนี้ เป็นครั้งแรกที่แขกในชุดดำเดินมาหาเขา สมชายพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติแต่ไม่สำเร็จ เมื่อเพื่อน ๆ ร่วมวงต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เสียงจากแขกผู้มาเยือนก็ดังขึ้น
“ข้ามาทวงสัญญา” ชายชุดดำพูดเสร็จก็กางเอกสารสัญญาออกมาให้สมชายเห็น
อาการหน้าซีดเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นเม็ด ๆ ของสมชายปรากฏขึ้นมาทันที ชายหนุ่มนักดนตรีตกใจสุดขีดเผลอทำกีตาร์ตกพื้นเสียงดังลั่น เขาเข่าอ่อนหงายหลังนั่งลงไปกับพื้น
ชายชุดดำเดินยิ้มฟันขาวเข้ามาหยิบกีตาร์ขึ้นมา เขารูดซิปกระเป๋ากีตาร์ออกและโยนมันทิ้งลงพื้น กีตาร์สีขาวตอนนี้กำลังมีเลือดสีแดงไหลออกมาจากบริเวณปิ๊กการ์ด บัดนี้สมชายมั่นใจแล้วว่าของเหลวข้น ๆ ตรงนั้นก็คือเลือดคนอย่างแน่นอน เลือดสีแดงฉานไหลออกมาเหมือนสายน้ำลงพื้นเจิ่งนองจนมาถึงชายที่กำลังนั่งอยู่
อาการชาที่ขาของสมชายเริ่มปรากฏขึ้นเพราะความเย็นยะเยือกของน้ำสีแดงนั่น รอยยิ้มของชายผิวคล้ำในชุดดำกำลังแสดงความสะใจออกมาอย่างน่าสะพรึง สมชายทำอะไรไม่ถูกแต่ยังพอรวบรวมสติได้ส่วนหนึ่งจึงใช้มือล้วงเข้าไปในประเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบัตรพลาสติกออกมา
“เดี๋ยวก่อน” สมชายพูดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่ยังพอเหลือ
“ทำไม เจ้าคิดจะเบี้ยวสัญญาเหรอ”
“เปล่า ผมไม่คิดจะเบี้ยวสัญญาหรอก” สมชายพูด
ผู้มาทวงวิญญาณหัวเราะออกมาเป็นเชิงเย้ยหยัน “เดี๋ยวก่อนพ่อนักกีตาร์ นี่เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาทุกอย่างแล้ว อย่ามาต่อรองอะไรทั้งนั้น”
“เดี๋ยวให้ผมพูดก่อน ผมรู้ว่าท่านต้องการอะไร บางทีสิ่งที่ผมพูดอาจจะทำให้ท่านพอใจ”
เจ้าของฟันขาวแสดงรอยยิ้มออกมาเหมือนนึกสนุกอะไรบางอย่าง จากนั้นของเหลวสีแดงบนพื้นก็ไหลย้อนกลับคืนเข้าสู่ที่ที่มันไหลออกมาจนหยดสุดท้าย
“ลองว่ามา อย่าทำให้ข้าเสียเวลาล่ะ”
สมชายค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูด “ผมรู้ว่าวิญญาณของผมคงจะต้องไปอยู่ในกีตาร์ตัวนี้ ผมจะต้องกลายเป็นกีตาร์เพื่อให้คนต่อไปมานำไปเล่นสร้างเสียงเพลง แต่ก่อนนั้นผมอยากจะบรรเลงเพลงสุดท้ายของผม เมื่อเรารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายก็เหมือนกับเป็นคนที่ตายไปแล้ว เพลงที่คนตายไปแล้วแต่งขึ้นและบรรเลงมันออกมาคงจะฟังดูหดหู่จนอาจจะทำให้คนฟังอยากจะฆ่าตัวตาย”
ซาตานในคราบผู้ดีเริ่มมีใจลังเล ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครสามารถต่อลองกับซาตานได้เลย แต่สิ่งที่สมชายพูดว่าอาจจะทำให้คนฆ่าตัวตายได้นั้นเป็นสิ่งที่ซาตานชอบ ยิ่งบางทีหากการตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ นั่นยิ่งจะทำให้ซาตานสามารถสร้างประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกครั้ง
สมชายอ่านความคิดของซาตานออกจากแววตาคู่นั้น เขายิ่งสำทับต่อ “ท่านอาจจะได้ดวงวิญญาณกลับบ้านอีกหลายพัน เพราะพรุ่งนี้ผมจะเล่นในฮอลล์ใหญ่”
เสียงหัวเราะของซาตานดังขึ้นอย่างสะใจ “ข้าไม่ต้องการวิญญาณชั้นต่ำเหล่านั้น วิญญาณของคนฆ่าตัวตายนั้นสกปรกโสมมเกินกว่าที่จะเอาไปทำอะไรได้ แต่ไม่เป็นไร ข้าอยากเห็นการฆ่าตัวตายหมู่ และข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะทำให้พวกนั้นอยากตายได้หรือไม่”
สมชายได้ยินดังนั้นเขาเพ่งมองไปที่ซาตานพร้อมเผลอขมวดคิ้ว “หมายความว่าผมมีเวลาอีกหนึ่งวัน”
“ตามนั้น จงใช้วันสุดท้ายของชีวิตให้คุ้มค่า และจงสร้างความบันเทิงให้กับข้าอย่างถึงที่สุด”
ซาตานพูดเสร็จก็เดินจากไปเหลือไว้แต่กีตาร์สีขาวที่ดูเหมือนจะส่งยิ้มสยอง ๆ ให้สมชาย

นักกีตาร์ชะตาชีวิตกำลังจะขาดกลับมานั่งคิดนอนคิดที่โซฟาในห้อง ณ บัดนี้แล้วความตายและการอดได้เล่นกีตาร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นก็คือวิญญาณของเขาอาจจะต้องไปอยู่ในกีตาร์ตัวนั้นอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ บางทีแล้ววิญญาณที่อยู่ในกีตาร์อาจจะทุกข์ทรมานเมื่อกีตาร์ถูกดีดก็เป็นได้ ใช่สิ น่าที่หลักของซาตานก็คือการทรมานคนเล่น สมชายจินตนาการความคิดเหล่านั้นแล้วยิ่งทำให้เขาเครียดมากยิ่งขึ้น
ภาพของกีตาร์สีขาวนี้มันช่างหลอกหลอนเขาให้หวาดกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น สมคิดชายข่มตาและตื่นขึ้นมาเพื่อจะยอมรับความตายในคืนถัดไป
และในค่ำคืนถัดมาการแสดงก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง แต่ท่าทางความทุกข์นั้นหายไปหมดสิ้นแล้วจากใบหน้าของสมชาย การแสดงเริ่มขึ้นและแฟนเพลงคนเดิมในชุดสูทสีดำก็ยังคงปรากฏตัวเหมือนเดิม รอยยิ้มฟันขาวดูพอใจกับโชว์นี้ เสียงเพลงแห่งความเศร้าความสิ้นหวังหดหู่ถูกขับกล่อมออกมาซึ่งขัดกับสีหน้าของสมชายยิ่งนัก
ซาตานรู้สึกว่าใบหน้าของผู้ที่กำลังจะตายกลับดูสดชื่นกว่าที่ควรจะเป็น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคืนนี้คงจะเป็นโชว์ที่ถูกใจเขายิ่งนัก ความวางใจว่าโชว์คงจะเป็นเหมือนที่ตัวเองคาดไว้ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ทว่าในระหว่างที่สมชายกำลังบรรเลงเพลงท่อนฮุดจบลง เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบขวดขวดเหล้าสแตนเลสแบบพกพาออกมา ไม่รอช้าเขาดื่มของเหลวทั้งหมดที่อยู่ในนั้นจนหมด และหลังจากนั้นสมชายฟุบลงกับพื้นทันที
เสียงตกใจดังขึ้น ทั้งบนเวทีและข้างล่างต่างอลหม่านจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น เหล่าผู้ชมต่างตกใจลุกขึ้นชะเง้อชะแง้มองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่ซาตานยังเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นโกรธแค้นแทบไม่ทัน เขาฉีกแผ่นกระดาษสัญญาทิ้งและเดินออกไปอย่างเจ็บแค้น


ในห้องของสมชายเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมาเก็บและพิสูจน์หลักฐาน ของใช้และทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บและขนย้ายออกไปจากห้องแล้ว ในห้องเก็บเสียงที่เป็นห้องซ้อมดนตรีของสมชายมีกีตาร์ราคาแพงหลายตัวถูกเก็บใส่กล่องรอการเคลื่อนย้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งขอร้องให้นักดนตรีที่เคยสนิทสนมกับสมชายและถูกขอมาให้ปากคำ ช่วยเปิดเสียงจากเครื่องบันทึกเสียงที่อยู่ในห้อง เสียงกีตาร์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น


วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นายอินกับนายสม



นายอินและนายสมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นายอินไม่ค่อยจะชอบหน้านายสมเท่าไหร่นัก เพราะนายสมชอบเอารัดเอาเปรียบนายอินตลอดเวลา แต่ทั้งคู่ก็ยังคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน วันหนึ่งในขณะที่นายอินกำลังทำงานในร้านซ่อมรถของตัวเอง นายสมมาหาเขาตอนเย็นเพื่อชวนออกไปหาอะไรกินกัน
“ปิดร้านรึยัง” นายสมพูดเมื่อเขายืนอยู่หน้าร้านซ่อมรถของนายอิน
“ใกล้แล้ว อีกสิบนาที เดี๋ยวเช็ครถให้ลูกค้าก่อน” นายอินตอบ
“วันนี้ไปกินข้าวกันที่เดิมนะ”
นายอินรีบจัดการธุระของตัวเองในร้านให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไปยังร้านอาหารข้างถนน ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคิดเมนู นายสมก็พูดขึ้น
“สั่งเหล้ามากินซักกลมนึงมั้ย”
“ใครจ่าย” นายอินถาม
“ก็หารกันสิ เหมือนทุกครั้ง”
“ไม่เอาล่ะ ข้ากินน้อย กินทีไรก็เสียเปรียบแกทุกทีเลย”
“นี่กินเหล้าสังสรรค์นะเว้ย ไม่ใช่มาทำธุรกิจ จะมาคิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกัน” นายอินทำเป็นพูดเสียงเข้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แสงโสมกลมนึง โซดาสาม น้ำแข็งหนึ่ง”
นายอินได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนยอมรับชะตาที่ต้องจ่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับคิดอะไรได้ขึ้นมา
“กินเหล้าอย่างเดียวมันไม่อร่อย สั่งกับแกล้มด้วยละกัน หารกันนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบจากฝั่งตรงข้าม นายอินตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แกงส้มชะอมทอด เม็ดมะม่วงฯ ยำไข่เยี่ยวม้า ปลาทับทิมนึ่งบ๊วย”
เมื่อสั่งเสร็จนายอินแอบอมยิ้ม ต่างจากนายสมที่ทำสีหน้าไม่พอใจ
“สั่งมาทำมัยเยอะ ข้ากินไม่หมด” นายสมที่หุ่นผอมแห้งประเมินแล้วว่าเขาคงกินอาหารทั้งหมดนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่แน่ๆ
“งั้นเดี๋ยวข้ากินเอง” คนสั่งอาหารอาสา
บนโต๊ะที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งคู่ลงมือดื่มกินโดยพยายามเลือกดื่มกินในสิ่งที่ตัวเองถนัด เหมือนกับว่าต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบค่าเหล้าค่าอาหารที่จะต้องหารกัน นายสมก็พยายามดื่มเหล้าให้ได้มากกว่านายอิน และนายอินก็พยายามกินอาหารให้ได้มากกว่านายสม เพราะหากว่าต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเสียเปรียบแล้ว เขาคนนั้นคงจะนอนไม่หลับในคืนนี้อย่างแน่นอน

หลังจบจากร้านอาหาร คอทองแดงอย่างนายสมไม่รู้สึกเมาเพราะเหล้าไม่ถึงกลมอย่างแน่นอน ละคนที่หุ่นอ้วนเป็นช้างอย่างนายอินก็ไม่ได้รู้สึกแน่นอึดอัดกับอาหารที่ยัดเข้าไปในปากเลย เขาทั้งสองจึงคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ
“จ่ายค่าอาหารกันเสร็จแล้ว เราไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยมั้ย” นายอินพูดชวน
“ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกกริ่มๆ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ไปหาอะไรดูดีกว่า ไปตลาดนัดหน้าปากซอยมั้ย” นายสมเสนอ
“ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันไปจนถึงตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าวางขายของทั่วไป ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่ จนกระทั่งมาเจอกับร้านายของเล่น มีบางสิ่งในร้านนั้นที่ดึงดูดความสนใจจากนายอิน นั่นก็คือโมเดลรถยนต์โฟล์คสวาเก้นตั้งขายอยู่กลางร้าน มีป้ายแปะราคา 600 บาท
“เอ๊ะนั่น!” นายอินชี้ไปที่ของกลางร้านขายของเล่น นายสมหันมาสนใจกับท่าทีนั้น
“อะไร”
“โมเดลโฟล์คสวาเก้นปี 1967 เป็นของแท้จากประเทศเยอรมันที่เลิกผลิตไปนานแล้ว หายากมาก สงสัยคนขายจะไม่รู้เรื่อง มูลค่าของมันจริงๆ น่าจะหลายพัน”
นายอินยิ้มเหมือนรู้สึกโชคดีที่มาเจอของดี เขารีบเดินเข้าไปในร้านพร้อมควักกระเป๋าเงิน แต่พอเขาหยิบเงินออกมานับ ปรากฏว่ามีเงินแค่ 550 บาท นายอินจึงหันไปถามยืมเงินจากนายสมที่เดินตามมา
“มีให้ยืมห้าสิบบาทมั้ย” นายอินพูด
นายสมได้ยินดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาและหยิบธนบัตรออกมา 600 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“ยืมแค่ห้า...”
ยังไม่ทันที่นายอินจะพูดจบ นายสมก็ตรงเข้าไปยังของชิ้นนั้นพร้อมบอกเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อ คนขายรับเงินและยื่นโมเดลชิ้นนั้นให้นายสม
“ข้าจะซื้อไปเป็นของขวัญให้คนรู้จักพอดี” นายสมพูดพร้อมเดินตัวลอยออกไป
นายอินรู้สึกเจ็บแค้นมากแต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ได้แต่ก่นด่าสาปแช่งในใจแล้วก็เดินต่อไป ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายแสตมป์เก่าสะสม
นายสมเป็นคนชอบสะสมแสตมป์อยู่แล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน นายสมเลือกดูแสตมป์ในตู้กระจกโดยมีนายอินยืนดูอยู่ข้างๆ สักพักนายสมชี้แสตมป์ดวงหนึ่งให้เจ้าของร้านดู
“ผมสนใจดวงนี้ครับ”
เจ้าของร้านหยิบซองพลาสติกที่มีแสตมป์อยู่ในนั้นขึ้นมาวางบนตู้ตรงหน้านายสม
“ราคาเท่าไหร่ครับ” นายสมถามเจ้าของร้าน
“ดวงนี้ผมคิดให้พิเศษเลยครับ 500 บาท” เจ้าของร้านตอบ
นายสมหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า แต่ปรากฏว่าเหลือเงินแค่ 350 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบชิงพูด
“ผมก็สนใจเหมือนกันครับ 500 ใช่มั้ย” นายอินยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันที
“แกจะซื้อไปทำมัย เป็นนักสะสมเหรอ” นายสมรีบพูดดักคอก่อนที่เจ้าของร้านจะรับเงินจากนายอิน
“ก็ซื้อไปดูเล่นน่ะ”
นายอินตอบหน้าตาเฉย แต่คำตอบนั้นเหมือนจะทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจเท่าไหร่ นายสมเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“เพื่อนผมคนนี้มันบ้า ชอบซื้ออะไรไปเก็บไว้จนรกบ้านไปหมด เชื่อเถอะ ได้แสตมป์ดวงนี้ไป อาทิตย์หน้าไปถามก็หาไม่เจอแล้ว”
นายสมพูดจบก็หัวเราะเยาะเล็กน้อยสร้างความอับอายให้นายอิน จากนั้นนายสมก็แสดงตัวกับคนขายว่าเขาคือนักสะสมตัวจริง และยังเล่าประวัติของแสตมป์ดวงนั้นได้อย่างเหมือนผู้รู้จริง เขายังแสดงความจำนงที่ต้องการแสตมป์ดวงนั้นไปรวมในคอลเลคชั่นสะสมของเขาให้เจ้าของร้านฟัง
เจ้าของร้านรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่นายสมพูดจึงยอมลดราคาแสตมป์ดวงนั้นให้เท่ากับเงินในกระเป๋าของนายสม ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยมีสีหน้าของนายสมที่เป็นเหมือนผู้ชนะและนายอินมีสีหน้าของผู้แพ้อีกตามเคย

ในมุมๆ หนึ่งของตลาด มีชายคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน เขานั่งบนเก้าอี้เหล็กและมีโต๊ะเหล็กตรงหน้าเขาอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะมีลูกแก้วขนาดเท่าผลส้มโอวางอยู่บนถาด ไม่มีป้ายบอกว่าเขาทำอะไร ทำให้ไม่มีใครในตลาดนี้สนใจเขาเลยสักคน ยกเว้นนายอินและนายสมที่เดินผ่านมาพอดี
“นั่นเขาทำอะไรน่ะ เป็นหมอดูหรือเปล่านะ” นายอินพูดขึ้นมา
“ลองเข้าไปถามกันเถอะ” นายสมพูดเสร็จก็เดินตรงเข้าไปที่ชายกับลูกแก้ว “ดูดวงหรือเปล่าครับ”
ชายในชุดภูมิฐานหลังลูกแก้วยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้โชคดี ข้าจะให้พรวิเศษกับเจ้าทั้งสองคน”
สิ้นเสียงคำพูดของชายลึกลับคนนั้น นายอินและนายสมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ภาพใบหน้าของผู้ยื่นข้อเสนอยังคงยิ้ม จากนั้นไม่นาน มีเงินก้อนโตปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ทั้งคู่เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นอ้าปากค้าง
“เอาเงินไปสิ คนละกอง” ชายที่นั่งอยู่พูด
ทั้งสองทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบเงิน แต่ก็มีเสียงทักขึ้นมา
“แต่เดี๋ยวก่อน ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะหยิบเงินก้อนนี้ไป และก็คงจะใช้หมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือพวกเจ้าจะขอพรวิเศษอะไรก็ได้จากข้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สบายไปตลอดชีวิต”
ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สายตาประสานกันของทั้งคู่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด ทั้งสองจึงพูดออกมาพร้อมกัน “งั้นเลือกขอพรวิเศษดีกว่า”
“พวกเจ้าทั้งสองฉลาดมาก พรที่ข้าจะให้นั้นจะมาจากคำขอของพวกเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น และอีกคนก็จะได้รับพรที่เหมือนกัน”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอีกครั้ง แต่เงื่อนไขนี้คงไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกลำบากอะไร จึงพูดออกมาพร้อมกัน “ครับ”
“แต่ยังไม่หมด” เจ้าของพรวิเศษทำเสียงเข้มจนทำให้นายอินและนายสมแปลกใจ “คนที่ไม่ได้ขอพรวิเศษจะได้รับพรเป็นสองเท่าของคนที่ขอพรวิเศษ พวกเจ้าไปตกลงกันมาว่าใครจะเป็นคนขอพร”
นายอินและนายสมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับเงื่อนไขนี้ พวกเขาทั้งสองออกมาคุยกัน นายอินรู้ดีอยู่ว่าตัวเขาเองอยากได้พรมากกว่านายสมเป็นสองเท่า เขาไม่อยากให้นายสมได้พรมากกว่าเขา หากเขาขอเงินหนึ่งพันล้าน นายสมก็จะได้เงินสองพันล้าน นายอินรู้สึกว่าหลายครั้งที่ถูกนายสมเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ เขาเป็นลูกไล่ลูกชนนายสมมาตลอดหลายปีมาแล้ว หากครั้งนี้นายสมสุขสบายกว่าเขาเป็นสองเท่า นั่นก็คงจะทำให้นายอินรู้สึกเจ็บแค้นไปตลอดชีวิต
เช่นเดียวกันกับนายอิน นายสมก็อยากได้พรเป็นสองเท่าของนายอิน บ่อยครั้งที่นายสมมักจะสร้างสถานการณ์ที่ถือไพ่ให้เหนือกว่านายอิน และครั้งนี้เขาก็พยายามพูดจาหว่านล้อมให้นายอินเป็นคนขอพรวิเศษ นายอินจึงต้องเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะของชายผู้ที่ว่าจะให้พร

เวลาผ่านไปไม่นาน นายอินเดินออกมายังจุดที่นายสมยืนอยู่ห่าง สีหน้าของผู้ได้รับพรยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ
“ว่ายังไงบ้างพ่อเศรษฐีใหม่ ขอพรอะไรไปเหรอ” นายสมยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงหัวเราะอย่างสะใจเล็ดลอดออกมาจากปากของนายอินแม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้
“ข้าขอให้ตัวเองตาบอดหนึ่งข้าง”
มาถึงตรงนี้นายอินไม่สามารถกักเก็บเสียงหัวเราะอย่างสะใจไว้ได้อีกแล้ว