วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สายใยชีวิต



ในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง ใจผมรู้สึกละล้าละลังที่เดินเข้าไปหาเธอในบ้าน
ยุพินคือแฟนสาวที่เคยคบหากับผมเมื่อกว่าหกปีก่อน ผมทิ้งเธอไปโดยไม่ได้ล่ำลากัน เมื่อครั้งที่ผมยังวัยรุ่นผมไม่ได้คิดถึงเกี่ยวกับความรับผิดชอบอะไรมากมาย แต่ครั้งนี้มีอะไรบางอย่างทำให้ผมกลับมายืนที่นี่อีกครั้งในรอบหกปี
ออด...!! ผมกดสวิทซ์ไฟที่มีรูประฆังติดอยู่
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากบ้าน นั่นทำให้หัวใจผมเต้นเร็วและรัวจนคิดว่าอยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปทั้งอย่างนั้น
"คมสัน" เธอพูดเมื่อเห็นหน้าผมอย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเธอกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ทั้งๆผมควรจะถูกเธอเกลียดเข้าไส้
"เธอมาที่นี่ทำไม"
"ยุพิน ผมดีใจจริงๆที่เจอเธออีก คือว่าผม..."
"เธอมาที่นี่ทำไม" น้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
ผมอยากจะกลับหันหลังและเดินจากไปให้พ้นจากตรงนี้ เพราะคำถามของเธอผมไม่สามารถตอบได้ และจะมีเหตุผลอะไรให้ผมต้องมาเจอหน้ากัน
"ไหนๆเธอก็มาแล้ว เข้าไปข้างในบ้านก่อนก็ได้นะ" ยุพินพูดเสร็จก็เปิดประตูรั้วให้ผม
 ผมเดินผ่านประตูบ้านที่ค่อนข้างเงียบและวังเวงเข้าไป แต่เมื่อพ้นขอบประตูผมเห็นภาพพ่อและแม่ของเธอแขวนอยู่บนผนังและมีกระถางธูปเล็กวางอยู่ใกล้ๆกัน
"พ่อและแม่ของเธอ..." ผมพูดพร้อมจ้องมองไปที่ภาพนั้น
"พ่อฉันเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะโดนรถชน และไม่นานแม่ฉันก็เป็นไข้หวัดใหญ่แต่รักษาไม่ทัน" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอีกครั้ง
"เสียใจด้วยนะ"
"ขอบคุณ"
เราทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งกันไปสักพัก ก่อนจะเธอจะถาม
"ว่าแต่อะไรทำให้เธอมาทีนี่ได้" เธอพูดด้วยสายตาที่อาวรณ์แต่พยายามปิดบังแววตานั้นไว้
"อยู่ๆผมก็คิดถึงคุณขึ้นมา เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ดึงให้ผมมาที่นี่" ผมพูดตามความรู้สึกในหัวใจ
"จริงเหรอ"
เธอหลบสายตามผมพร้อมทำท่าครุ่นคิด ผมก็พยายามทบทวนความรู้สึกนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่
"เป็นไปไม่ได้" เธอรำพึงเบาๆแต่ยังดังพอให้ผมได้ยิน
"อะไรเป็นไปไม่ได้" ผมถาม
"เอ่อ... ไม่มีอะไร" เธอบ่ายเบี่ยงอะไรบางอย่าง "ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบใจเธอมาในวันนี้นะ"
"ขอบคุณเช่นกัน" ในใจผมกลับซาบซึ้งมากกว่าที่เธอยอมคุยกับผม เพราะในอดีตนั้นผมทำผิดกับเธอหลายเรื่องจนยากเกินอภัย "แล้วเธออยู่บ้านคนเดียวหรือ"
"อยู่คนเดียว ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่"
"แล้วทำอะไรอยู่ล่ะตอนนี้" เธออึกอักไม่พูดไม่อะไร "หมายถึงทำงานอะไรอยู่เหรอ"
"คือฉันไม่ได้ทำงานที่ไหน ก็หารับจ้างทั่วไปแถวบ้านนี่ล่ะ"
"ถ้าเธอมีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็บอกได้นะ อย่างน้อยเราก็เคย..." ผมยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงแก้วแตกดังมาจากหลังบ้าน
เพล้ง...!!
ผมหันไปมองต้นเสียง
"เสียงอะไร" ผมถาม
"ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแมวก็ได้ ข้างบ้านเลี้ยงแมว มันชอบเข้ามาจับหนูในบ้านนี้"
ผมไม่คิดอะไร อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูด
“อย่างน้อยเราก็...” เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ “อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจ ถ้าหากมีเรื่องอะไรฉันจะติดต่อไปนะ”
เธอพูดเชิงเหมือนจะตัดบท ผมคิดอย่างนั้น
“แล้วผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
ผมลุกขึ้นยืนเตรียมหันหลังกลับ แต่ !
ครื่ด...!!
เสียงเลื่อนของโต๊ะหรือเก้าอี้ดังมาจากหลังบ้าน น่าจะเป็นทิศทางเดียวกับเสียงแก้วแตก
“นั่นไม่ใช่แมวแล้ว หรือว่าจะเป็นขโมย” ผมไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ รีบเดินตรงไปยังต้นเสียงนั่น
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าเข้าไปในนั้น” เธอพูด แต่ผมไม่สนใจ
ภาพที่ผมเห็นในห้องครัว นั่นคือแก้วน้ำที่แตกกระจายอยู่บนพื้นและรอยหยดเลือดจางๆรอบข้าง ถัดไปผมเห็นเด็กผู้ชายอายุไม่โตมากนักนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ดูเหมือนเด็กน้อยไม่แสดงอาการร้องไห้หรือแยแสกับบาดแผลที่เท้าของเขา
และดูจากใบหน้าของเด็ก ทำให้รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีอาการดาวน์ซินโดรม
เมื่อยุพินเห็นบาดแผลที่เท้าของเด็ก เธอรีบกุลีกุจอเข้ามาเช็ดบาดแผลและใช้ผ้าพันแผลทันที
“คุณดูแลเด็กคนนี้เหรอ”
“ใช่” เธอตอบไม่เต็มเสียง “ฉันรับจ้างดูแลเด็กคนนี้”
“คุณรับจ้างเลี้ยงเด็กคนนี้นี่เอง ถึงมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้”
“ใช่ ญาติของฉันให้ฉันดูแลเด็กคนนี้พร้อมค่าตอบแทน”
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องไปที่แววตาของเด็ก ความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ลำคอของผม แววตาของเด็กจ้องมองมาที่ผมเช่นกัน
นี่มันอะไรกันนะ เมื่อผมมองเข้าไปในแววตาบริสุทธิ์ ผมกลับมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น ความรู้สึกนี้เองหรือที่ชักนำให้ผมมาที่นี่ แล้วเหตุผลล่ะ ?
“เขาช่วยเหลือตัวเองได้ไหม ได้พาไปโรงเรียนหรือเปล่า ตอนนี้เด็กอายุเท่าไหร่แล้ว” ผมถามเพราะมีความสนใจในตัวเด็ก
“ญาติของฉันกำลังจะส่งเงินมาเพื่อพาเด็กเข้าโรงเรียน เขาก็ช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่งแต่ก็ยังต้องมีคนช่วยดูแล” เธอเงียบไปชั่วครู่ “ตอนนี้เขาก็ 5 ขวบกว่าแล้ว”
ผมได้แต่เฝ้าดูรอยยิ้มที่สดใสไร้ความคลางแคลงใจใดๆ

เมื่อผมขับรถออกมาจากบ้านเธอ รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นยังไม่จางหายไปจากความคิดของผม ผมย้อนคิดถึงยุพินที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกของญาติเธอที่เป็นเด็กพิเศษ มันคงจะเหนื่อยแสนสาหัสเมื่อทำหน้าที่ผู้ปกครองเพียงคนเดียว ไร้ผู้ช่วย
เวลาผ่านไปหลายวัน แต่ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความคิดเป็นห่วงเป็นใยทั้งยุพินและเด็กคนนั้นออกไปได้ ความรู้สึกแปลกนี้รบกวนจิตใจของผมอย่างมาก แต่มันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้ผมเลยแม้แต่น้อย มีแต่ผมเองที่เฝ้าจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดนั้นอย่างจริงจัง แม้กระทั่งตอนที่นั่งกินข้าวอยู่กับภรรยาของผม
“ช่วงนี้คุณเป็นอะไรคะ เห็นเหม่อลอยบ่อยๆ” สุนีย์ภรรยาของผมถามด้วยความห่วงใย
“ช่วงนี้งานคงจะหนักไปหน่อย ผมไม่เป็นอะไรหรอก คงต้องพักผ่อนเยอะๆหน่อยน่ะช่วงนี้” ผมไม่สารถอธิบายความรู้สึกในจิตใจของผมให้เธอฟังได้ เพราะความคิดที่อยู่ในหัวของผมเองนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
“ค่ะ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะ เจ้าตัวน้อยของผมก็โตขึ้นทุกวันๆ” เธอพูดพร้อมหันไปมองเด็กทารกอายุไม่กี่เดือนที่นอนอยู่ในเปล
ผมหันไปมองลูกน้อยที่นอนหลับสบาย ทำให้ผมคิดถึงเด็กพิเศษคนนั้นทันที สายสัมพันธ์แบบนี้หรือที่ชักนำพาให้ผมกลับไปหายุพินที่บ้าน
ในคืนนั้นผมเฝ้านอนคิดถึงคำพูดของยุพินที่พูดถึงเด็ก ตอนนี้อายุ 5 ขวบกว่าแล้ว  5 ปีก็เกือบเท่ากับเวลาที่ผมจากเธอมา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้น แท้จริงแล้วคือลูกของผม

ผมนอนบนเตียงแต่นอนไม่หลับ หันไปข้างๆก็เห็นสุนีย์นอนหลับไปแล้วโดยมีเจ้าตัวเล็กนอนตรงกลางระหว่างเราสองคน ผมเฝ้าคิดว่าหากนั่นเป็นลูกของผมจริงๆผมจะรับตรงนั้นได้หรือไม่ ผมควรจะแกล้งทำเป็นไม่สนในและลืมเรื่องนี้ไปจะเป็นไปได้ไหม
แต่คงจะยากที่จะลืม เพราะสายเลือดยังไงก็ไม่สามารถทำใจให้ลืมได้ หากเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่ผมคิด แสดงว่าเธอก็แบกรับความรับผิดชอบนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันถัดมาผมลางานเพื่อไปสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญาแห่งหนึ่งเท่าที่ผมจะหาข้อมูลได้ในเช้าวันนั้น
เมื่อไปถึงผมเห็นเด็กหลายคนที่สภาพแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไป พวกเขามีหลายระดับตั้งแต่เด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนไปถึงเด็กบางคนที่ดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปมากนัก
“สวัสดีครับ ใช่คุณที่โทรมานัดไว้ไหมครับ”
“ใช่ครับ คุณคงเป็น ผอ. ของที่นี่”
“ใช่ครับ” ผอ. ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนอื่นเลยผมขอมอบเงินบริจาคก่อนครับ ผมตั้งใจจะมาทำบุญ”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะเขียนเป็นใบอนุโมทนนาบัตรให้ครับ”
“ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากหรอกครับ” ผมตอบ
“ไม่ได้ครับ ผมต้องทำตามระเบียบขององค์กร ไว้หลังจากที่ผมพาคุณไปแนะนำสถานที่เสร็จ ผมจะให้เจ้าหน้าที่นำใบอนุโมทนาบัตรมาให้”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณคมสันทางนี้ครับ”
ผอ. พูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังห้องที่มีเตียงวางเรียงราย
“เริ่มจากห้องนี้ก่อนครับ ห้องนี้เป็นเด็กที่มีความพิการทางสมองค่อนข้างรุนแรง พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยดูแลกิจวัตรประจำวันให้ตลอด 24 ชั่วโมง”
ผมเห็นเด็กหลายคนนั่งนอนยิ้มหัวเราะกัน เจ้าหน้าที่หลายคนต่างเฝ้าคอยดูแล
“เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่พ่อแม่อาจจะมีปัญหาไม่สามารถดูแลได้ หากผมไม่รับเข้ามาดูแลพวกเขาก็อาจจะเป็นปัญหากับสังคม ทั้งๆที่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
เด็กหลายคนหันมาส่งยิ้มให้ผม นั่นทำให้หัวใจผมพองโตและยิ้มตอบ
“เด็กพวกนี้บางคนอาจจะมีความพิการทางด้านร่างกาย ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือตัวเอง หากต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้ผมต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน”
“ฟื้นฟู” ผมงงกับคำคำนี้
“เชิญมาดูทางนี้ครับ”
ผอ. เดินนำทางไปฝั่งหนึ่งของอาดาร
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆนี่ก็คือการทำกายภาพบำบัดให้กับเด็กที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย ขั้นตอนนี้สำคัญมาก”
ผมเห็นเด็กหลายคนใช้เครื่องมือทางการแพทย์โดยมีผู้ช่วยตามประกบอย่างใกล้ชิด
“น่าประทับใจมากครับ ผมเห็นภาพนี้แล้วแสดงให้เห็นว่าสังคมผมไม่ทอดทิ้งคนเหล่านี้”
“ใช่ครับ ผมทำตามกำลังที่ผมจะสามารถทำได้”
“ผอ. ช่วยอธิบายของคนที่มีอาการดาวน์ซินโดรมให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ครับ คำอธิบายสั้นๆก็คือคนพวกนี้จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าคนปกติทั่วไปแค่นั้นเองครับ ทั้งทางด้านสติปัญญา อารมณ์และการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านสังคม”
“แสดงว่าหากถึงจุดๆหนึ่งแล้วพวกเขาจะเป็นเหมือนคนปกติเลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ หากเราดูแลพวกเขาดีๆ เขาก็จะพัฒนาได้เหมือนคนปกติทั่วไปเลยครับ ผมจะพาคุณไปดูห้องเรียนของเรา”
ผอ. เดินน้ำผมห้องถัดไปไม่ไกลนัก
“นี่คือห้องที่ผมจำลองเป็นบ้านและห้องนอนของเขา เราพยายามสอนกิจวัตรประจำวันให้เขาและให้เขาเรียนรู้จดจำไปใช้เมื่อถึงเวลากลับบ้าน”
“พ่อแม่เด็กจะส่งลูกของเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตที่นี่หรือครับ”
“ไม่เสมอไปหรอกครับ เด็กแทบทุกคนที่มาที่นี่คือเด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กได้ แต่ถ้าบ้านไหนที่มีคนคอยดูแลและช่วยสอนกิจกรรมเหล่านั้นให้เด็ก เด็กก็จะพัฒนาได้ดีกว่าที่นี่หลายเท่าตัวนัก เพราะเด็กเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตจริงกับครอบครัว”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“และอีกสิ่งที่สำคัญคือ หากเด็กที่มีอาการดาวน์ซินโดรมได้ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป เช่นพ่อแม่พาไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่นๆ หากมีพี่น้องช่วยดูแลด้วย พวกเขาก็แทบจะสามารถดูแลตัวเองต่อไปในอนาคตได้เลยครับ ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่นี่ ผมเคยเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์”
“จริงหรือครับ” ผมถาม
“คุณคมสันเชื่อไหมว่า พ่อแม่บางคนมารู้ตอนหลังคลอดว่าเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม พวกเขาจะช็อกไปช่วงหนึ่ง พ่อแม่บางคู่ท้อแท้และสิ้นหวังมากจนไม่อยากจะเลี้ยงดูลูกอีกต่อไป แต่เมื่อพ่อแม่ทุกคนเริ่มทำใจยอมรับสภาพได้ พวกเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ มีการพูดคุยระหว่างพ่อแม่ที่ลูกเป็นดาวน์ด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนมีการศึกษาการพัฒนาการ สุดท้ายพ่อแม่ล้วนมีความสุขที่ได้เลี้ยงเด็กเหล่านี้”

ผ่านมาหลายวันหลังจากที่ผมไปหาข้อมูลในสถานสงเคราะห์ฯและได้พูดคุยกับ ผอ. ผมกลับมานั่งคิดนอนคิดถึงยุพา เธอคงจะท้อแท้และหมดหวังเพียงใดในยามรู้ว่าลูกของเธอมีอาการดาวน์ซินโดรม กำลังใจและความเข็มแข็งเธอไปหามาจากไหนนะในเวลานั้น ผู้เป็นแม่ที่ต้องคอยดูแลลูกน้อยเพียงคนเดียวโดยปราศจากเงาของพ่อ
ช่วงเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของผม และเมื่อรวมถึงความรู้สึกที่ผมมองแววตาคู่นั้น ผมสัมผัสได้ถึงสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกติดผมไว้ด้วยกัน แววตาที่เหมือนกับจะอ้อนวอนขอร้องฉายออกมา ความรู้สึกที่อยากจะดูแลอยากจะรับผิดชอบของผมเมื่อเห็นแววตาคู่นั้น
ขั้นแรกผมต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกของผมจริงๆหรือเปล่า ถ้าหากใช่เล่า ผมคงจะช่วยดูแลและส่งเสียเด็กคนนั้นให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ผมตัดสินใจไปหาเธอทันทีที่คิดเรื่องนี้
“สวัสดียุพิน ขอเข้าไปได้ไหม”
“เข้ามาสิ” เธอต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม
ผมเดินไปหยิบของในรถ มีทั้งขนมและของเล่นสำหรับเสริมพัฒนาการที่ ผอ. แนะนำผมมา
“ผมซื้อของมาฝากเด็กน่ะ” ผมยื่นของให้เธอ และเธอรับไป “มีทั้งขนมและของเล่น”
“ขอบคุณมากคมสัน” เธอเริ่มเผยรอยยิ้มให้ผมเห็นบ้างแล้ว
ผมแกะของเล่นและนำไปยื่นให้เด็ก
“เขาชื่ออะไร”
“เขาชื่อเพชร” เธอพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ผมสองคนเล่นของเล่นชิ้นนั้นไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่ยุพินที่จะแสดงรอยยิ้มออกมา เพชรก็ยิ้มเริงร่าสนุกสนานไปด้วยเช่นกัน บางครั้งสิ่งที่เพชรแสดงออกมาผมก็มองว่าเขาก็เป็นเด็กปกติคนหนึ่ง โดยเฉพาะรอยยิ้มและความสนุกสนาน
“วันนี้ผมอยากจะพาเพชรไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ผมน่าจะพาเขาออกไปวิ่งเล่นบ้างนะ”
“ที่สวนเหรอ ที่นั่นคนเยอะจะตาย” ดูเหมือนเธอจะกังวลกับอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไรหรอก เพชรควรจะได้ไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นๆบ้าง” ผมนึกถึงคำแนะนำของ ผอ.

ผมขับรถพาทั้งยุพินและเพชรออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปยังสวนที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
“ดูสิ เพชรคงดีใจที่ได้ออกมาดูนั่นดูนี่บ้าง” ผมพูดพร้อมเหลียวไปมองยังเบาะหลัง เพชรกำลังจดจ้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
“ฉันไม่ค่อยได้พาเขาออกมาข้างนอก”
เมื่อถึงสวน คนหลายคนต่างมาพักผ่อน เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ผมเดินนำทั้งคู่ไปยังสนามหญ้าที่มีเด็กวิ่งเล่น และเพชรก็วิ่งตรงไปยังกลุ่มที่มีเด็กอายุไล่เลี่ยกันกับเขาเล่นอยู่
“ดูสิ เขาคงอยากมีเพื่อน”
“ดีจังเลย ก่อนหน้านี้ฉันกลัวว่าจะมีแต่คนรังเกียจเด็กแบบเพชร”
“ไม่หรอก ตอนนี้ทัศนคติของสังคมเริ่มยอมรับกับความแตกต่างมากขึ้น สังคมพร้อมจะให้โอกาสคนเหล่านี้เสมอ”
เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่มองเห็นกลุ่มเด็กก่อนหน้านี้ต่างยินดีวิ่งเล่นกับเพชร โดยไม่มีท่าทีรังเกียจหรือแปลกแยกแต่อย่างใด โดยเฉพาะยุพินที่เธอยิ้มและภูมิใจกับสิ่งที่เห็น
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ผมถาม
ยุพินนิ่งชะงักไปช่วงหนึ่ง  เธอสลัดสายตาจากกลุ่มเด็กหันมามองหน้าผม
“ได้สิ คุณอยากถามอะไร”
“เพชรใช่ลูกของผมหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่คาใจผมออกไปแล้ว
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
เป็นคราวของผมบ้างที่จะนิ่งเงียบ ผมพยายามทบทวนความคิดในหัวอีกครั้ง
“ข้อแรกคือช่วงเวลาอายุของเด็กกับช่วงเวลาที่เราทั้งคู่เคยคบหากัน ก็มีความเป็นไปได้ที่เพชรจะเป็นลูกของผม และอีกสิ่งหนึ่ง...” ผมพยายามรวบรวมคำพูด “แววตาของเขาฟ้องว่าเขาคือลูกของผมด้วย”
เธอทำท่าตกตะลึงกับคำถาม แต่ลึกๆก็ยังเห็นว่าแฝงไว้ด้วยความโล่งใจ
“คุณแน่ใจหรือ”
“ใช่ ทุกครั้งที่ผมสบตาที่หรือสัมผัสกับเพชร เลือดอุ่นในกายของผมมันสูบฉีดเหมือนกับตอนที่ผมอุ้มลูกน้อยของผมเอง”
“ลูกน้อย ?”
“ใช่ ผมกับภรรยาเพิ่งจะมีลูกด้วยกัน ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี”
“ฉันขอถามหน่อย ถ้าหากเพชรใช่ลูกของคุณจริงๆ คุณจะรับได้เหรอกับการที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษแบบนี้”
“ผมรับได้ ผมพร้อมที่จะมาช่วยเหลือดูแลเขา” ผมตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“คุณจะเอาเวลาที่ไหนมดูแลเพชรได้ล่ะ ในเมื่อคุณต้องดูแลภรรยาและลูกน้อย”
คำถามนี้ทำให้ผมนิ่ง ผมยังหาคำตอบไม่ได้
“แต่เอาล่ะ อย่างแรกเลยฉันขอบอกว่าฉันดีใจและประทับใจมากกับความมีน้ำใจของคุณ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า ความจริงแล้วเพชรคือลูกของฉันเอง ไม่ใช่เด็กที่รับจ้างดูแลอย่างที่เคยบอกไป” เธอหยุดพูดพร้อมกลืนน้ำลาย “และคุณก็เป็นพ่อของเพชรจริงๆ”
ความรู้สึกหลังจากได้ยินคำตอบนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีใจหรือเสียใจ แต่เป็นความรู้สึกของหัวใจที่พองโต
“แต่ว่าคุณไม่ต้องมาช่วยเลี้ยงดูหรือรับผิดชอบอะไรหรอก ฉันอยู่ของฉันได้”

ผมขับรถกลับบ้านหลังจากที่ไปส่งยุพินและเพชรที่บ้าน ผมไม่ตอบคำถามและไม่รบเร้าอะไรในเรื่องที่จะขอเป็นผู้อุปการะเด็ก ในหัวของผมตอนนี้ยังคิดว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินใจอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทั้งสุนีย์และลูกของผมยังเล็กและต้องการเวลาจากผมเช่นเดียวกัน ผมจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีนะ
“งานที่บริษัทยังไม่หายยุ่งหรือคะ” สุนีย์ถามบนโต๊ะอาหาร
ผมได้แต่มองหน้าเธอพร้อมรอยยิ้มที่แสดงความอ่อนแอของจิตใจออกมา ที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีว่าสุนีย์เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีวุฒิภาวะเกินตัว บางครั้งที่ยังมีมากกว่าผมเสียอีก ผมจึงไม่ลังเลที่จะเล่าเรื่องยุพินและเพชรให้เธอฟัง รวมทั้งคำขอที่ผมจะไปมีส่วนรับผิดชอบเด็กคนนั้นอีกด้วย
หลังจากผมเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง สีหน้าของเธอไม่แสดงความตระหนกใดๆออกมา ผมทึ่งในความมีน้ำใจตรงนั้นของเธอ
“เรื่องนี้นี่เองที่ทำให้คุณดูเศร้าหมอง” เธอยังตอบผมด้วยน้ำเสียงอาทร
“คุณไม่โกรธผมหรือ”
“ฉันจะไปโกรธคุณได้อย่างไร เรื่องมันเกิดนานมาแล้ว และสิ่งที่คุณทำก็คือการแสดงความรับผิดชอบ ฉันภูมิใจที่คุณไม่ทอดทิ้งเลือดเนื้อของคุณ”
“ถ้าผมจะแบ่งเวลาไปดูแลเด็กคนนั้นคุณจะว่าอะไรไหม” ผมคาดหวังให้เธอยอมรับ
“ได้สิคะ คุณจัดสรรเวลาให้เหมาะสมและไปดูแลเด็กตามที่คุณต้องการเถอะ ฉันสนับสนุนคุณในเรื่องนี้”
สุนีย์ยินยอมให้ผมเจียดเวลาหลังเลิกงานบางวันและวันอาทิตย์ให้ผมไปดูแลเพชรได้ ผมไปบ้านของยุพินตามวันเวลาไม่เคยขาดหรือไปสายเลยแม้แต่วันเดียว
บางวันผมเข้าไปเล่นเข้าไปกอดกับเพชรเหมือนอยากจะชดเชยเวลาที่ผ่านมา ในวันหยุดผมพาเขาออกไปเที่ยวหลายที่ พาไปพบพ่อแม่เด็กที่เด็กเป็นดาวน์ซินโดรมเหมือนกัน พาไปออกกำลังกายไปกายภาพบำบัด พาไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหาร ผมทำกิจกรรมเหล่านี้ตลอด 3 เดือนโดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

วันในหนึ่งขณะที่ผมยืนดูเพชรวิ่งเล่นกับเด็กๆในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ผมสังเกตเห็นยุพินมองผมที่มีสภาพเหนื่อยอ่อนเพราะต้องทำทั้งงานประจำ กลับไปดูแลครอบครัวและต้องมาหายุพินและเพชร วันหยุดวันอาทิตย์ยังต้องมาพาเพชรออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งวันอีกด้วย
“เหนื่อยไหมที่ทำแบบนี้” ยุพินถาม ผมค่อยๆหันไปมองหน้าเธอ
“เหนื่อยแต่มีความสุข ผมดีใจที่ได้ทำแบบนี้”
เธอหลบสายตาผมไปอีกครั้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณมากที่คุณทุ่มเทเวลามากมายให้กับเด็ก ต่อไปนี้เราคงจะไม่ต้องรบกวนเวลาคุณอีกต่อไปแล้ว นานๆทีจะมาเยี่ยมเพชรบ้างก็ได้นะ แต่ไม่ต้องมาเป็นประจำเหมือนอย่างเคย” เธอพูดไม่เต็มเสียงนัก “มีอีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกคุณ เพชรไม่ใช่ลูกของคุณ ฉันแกล้งบอกคุณไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลยสักนิด” น้ำตาใสๆเริ่มรินออกมาจากดวงตาของเธอ
ความจริงที่ได้ยินจากปากของเธอนั้นไม่ได้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกใดๆ ผมไม่สนใจหรอกว่าเพชรจะเป็นลูกของผมหรือไม่ ผมแค่หวังว่าจะได้ลบล้างความผิดที่เคยหักหาญน้ำใจของยุพินบ้าง
“มาบอกอะไรกันตอนนี้ ผมรักเพชรไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่สายเลือดของผมหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” ผมตอบสั้น
ยุพินร้องไห้ทันทีเมื่อผมพูดจบ เธอเข้ามากอดและซบหน้าลงกับอกของผมพร้อมยังร้องไห้ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด


ผมมองไปที่เพชรที่กำลังวิ่งเล่นเริงร่า ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาเป็นลูกของผมอย่างแน่นอน เพราะสายใยบางๆที่ชักนำพาให้ผมไปหายุพินวันนั้น มันคงเป็นสายใยแห่งชีวิตที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้ระหว่างพ่อกับลูก

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความในใจ

         
 ร้านทำรองเท้าของคุณหมอดิเรกเป็นร้านทำรองเท้าที่แตกต่างจากร้านทั่วไป หมอดิเรกเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก โดยเฉพาะกระดูกตั้งแต่ข้อเท้าลงไปถึงปลายนิ้วโป้ง หมอดิเรกใช้ความสามารถในการวิเคราะห์รูปทรงกระดูกของเท้าที่ผิดปกติ เปิดร้านรับทำรองเท้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูปเท้า กระดูกเท้าและข้อผิดปกติ ผู้ที่มีเล็บงอกขึ้นผิดปกติ การผิดปกติของกล้ามเนื้อและเอ็นทำให้เท้าเปลี่ยนรูป รวมถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อเท้าและการเดินผิดรูปไป  ภาวะเท้าแบน  โรงงานทำโรงเท้าองหมอดิเรกจึงได้ชื่อว่าคลินิกรองเท้าสุขภาพ

ร้านของหมอดิเรกเป็นร้านที่มือชื่อเสียงมาก เพราะการใช้รองเท้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความปกติเป็นเรื่องที่สำคัญ และคนที่จะสามารถวิเคราะห์ออกแบบรองเท้าพิเศษนี้ได้ก็มีน้อย ทำให้คู่แข่งของหมอดิเรกแทบจะเป็นศูนย์ไปเลย

แก้วตาเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่ร้านของหมอดิเรกได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้เธออยู่โรงงานเย็บผ้ามาก่อน แผนกแพทเทิร์น ด้วยคำแนะนำของป้าสุนทรีซึ่งเป็นเพื่อนกับน้าสมาน พนักงานอีกคนที่มีหน้าที่ประกอบรองเท้า แก้วตาเข้ารับงานในตำแหน่งขึ้นแพทเทิร์นรองเท้าหลังจากที่หมอมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นและฟิล์มเอ็กซเรย์เกี่ยวกับเท้า   ส่วนแผนกเย็บและประกอบเป็นตัวรองเท้ามีเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีกสองคนรับผิดชอบ เธอสามารถเรียนรู้และทำงานนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมมาก่อน

ที่โรงงานขนาดเล็กมีคนงานเพียง 4 คนนี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น ชั้น 2 และ 3 ถูกดัดแปลงเป็นห้องพักของพนักงาน ที่นี่ติดแอร์ทุกชั้นและทุกห้อง หน้าต่างในแต่ละชั้นถูกปิดตายไม่สามารถเปิดได้ เพราะตึกรอบข้างเป็นร้านอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากภายนอกอาคาร แก้วตาและพนักงานอยู่กินกันที่นี่ ด้วยเงินเดือนแตะ 2 หมื่นบาท นั่นมากพอสำหรับแก้วตา ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยสำหรับเธอ

หมอดิเรกเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี ด้วยงานประจำในโรงพยาบาลและร้านขายรองเท้าพิเศษนี้ ทำให้เขามีรายได้เยอะมากในแต่ละเดือน หมอดิเรกเป็นที่หมายตาของสาวๆรอบตัว รวมถึงแก้วตาด้วยที่เธอแอบชอบหมอดิเรก และด้วยความที่หมอดิเรกเป็นนายจ้างที่ใจดีกับพนักงานในร้านรองเท้า ทำให้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่แก้วตาไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจนั้นออกไปให้หมอได้รู้

“คุณหมอดิเรกคะ คือว่าน้าสมานเขาบอกหนูว่าเขาจะลาออกค่ะ” แก้วตาพูดกับหมอดิเรก เมื่อหมอดิเรกนำแพทเทิร์นรองเท้ามาส่ง

“อ้าว...จริงเหรอ เสียดายจริงๆ สมานเขาเป็นคนทำงานประณีตมีฝีมือ เขาจะลาออกทำไมล่ะ” หมอพูด

“เห็นน้าเขาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ “

“เหรอ น่าสงสารแกเหมือนกัน สมานเขามีหน้าที่ประกอบรองเท้าใช่มั้ย ถ้าช่วงที่ฉันยังหาคนมาทำแทนไม่ได้ แก้วตารับผิดชอบส่วนนี้ไปก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วฉันจะขึ้นเงินเดือนให้” หมอดิเรกยื่นเงื่อนไขที่ดูเป็นกันเองให้แก้วตา สำหรับพนักงานทุกคนในร้าน หมอดิเรกมักจะไม่เคยคิดจะเอาเปรียบลูกน้องอยู่แล้ว

“ได้ค่ะหมอ หนูทำได้” แก้วตาตอบรับข้อเสนอของหมอดิเรก


เวลาผ่านไปหลายเดือน แก้วตาทำงานด้วยความสุข ด้วยชีวิตที่มั่นคง และการที่ได้เจอหน้ากับหมอดิเรกบ่อยๆก็ทำให้เธอชอบที่จะทำงานอยู่ที่นี่ แม้จะเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพราะต้องรับผิดชอบการทำงานส่วนของสมานที่ลาออกไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกท้อใจกับงาน

วันนี้แก้วตารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ หมอดิเรกนัดเธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้เธอจะรู้ว่าหมอดิเรกเพียงแค่จะนัดให้เธอไปรับแพทเทิร์นรองเท้าและรวดเลี้ยงอาหารเธอเป็นการตอบแทน ที่เธอทำงานดีมาตลอด คืนนั้นเธอเลือกชุดที่สวยที่สุดเพื่ออกไปเจอหน้าคุณหมอ

แก้วตานั่งแท็กซี่ไปยังชานเมือง เธอบอกให้คนขับจอดที่หน้าสวนอาหารแห่งหนึ่ง หมอดิเรกบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ที่นี่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปที่โรงงาน จึงขอให้เธอมารับเอกสารที่นี่

“อ้าว...มาถึงแล้ว นั่งก่อนๆ อยากกินอะไรสั่งเลยนะ” หมอดิเรกที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นทันทีที่เห็นแก้วตาเดินเข้ามา

แก้วตาขยับเก้าอี้นั่ง เธอมองพร้อมยิ้มไปที่หมอดิเรก โดยที่หมอดิเรกไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อทานข้าวเสร็จ แก้วตานั่งรถแท็กซี่กลับที่พักพร้อมเอกสาร คืนนั้นเธอนอนฝันหวานถึงหมอดิเรกทั้งคืน


“จริงหรือคะป้าสุนทรี น้าสมานเสียแล้วเหรอ” แก้วตาตกใจเมื่อป้าสุนทรีโทรมาแจ้งข้าวการตายของสมาน

“จริงสิ สมานเพิ่งจะเสียเมื่อคืนที่โรงบาล ป้าไปอยู่ดูใจแกเมื่อคืนทั้งคืนเลย”

“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าน้าสมานเป็นอะไรตาย” แก้วตาถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตกใจ

“เห็นหมอบอกว่าเนื้อเยื่อที่ปอดถูกทำลายนะ”

“เอ... น้าแกเป็นโรคนี้ได้ยังไงนะ”

“หมอบอกว่าสมานสูดดมสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน นานจนเข้าขั้นเรื้อรังไม่ทันรักษาแล้ว”

“สารเคมี!” แก้วตาฉุกคิดว่าสารเคมีที่ไหนที่น้าสมานจะสูดดมเป็นเวลานาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ “หนูเสียใจด้วยค่ะป้า” แก้วตาเอ่ยอำลาป้าสุนทรีด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

แก้วตานอนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่น้าสมานสูดดมเป็นเวลานาน เธอคิดได้ว่าหรืออาจจะเป็นกาวสำหรับทำรองเท้าที่ระเหยออกมาจากชั้นล่าง และด้วยลักษณะของตึกที่ถูกปิดทึบไว้ตลอด ทำให้สารระเหยจากกาวยังวนเวียนอยู่แต่ในตึกไม่ออกไปไหน

เธอต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ขอให้หมอดิเรกจัดการกับปัญหานี้

แก้วตาได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับพนักงานที่ลาออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาทำงานแทน ในตอนนั้นสมานบอกว่าพนักงานคนนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกัน บางทีเธออาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้

“สวัสดีค่ะ นั่นคุณลลิตาใช่มั้ยคะ” แก้วตาพูดผ่านสายโทรศัพท์

“ใช่ค่ะ นั่นใครคะ”

แก้วตาแนะนำตัวเอง เธอบอกข่าวเกี่ยวกับสมานให้ลลิตาฟัง จากนั้นถามถึงสุขภาพของลลิตา ลลิตาได้ยินดังนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้แก้วตาฟัง

“ใช่แล้วล่ะ ที่โรงงานทำรองเท้าของหมอดิเรกมีพนักงานเข้าๆออกๆเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว และส่วนใหญ่ที่ออกเพราะเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพนี่แหละ" ลลิตาพูด

“ใช่จริงๆด้วย แล้วทำไมไม่เคยมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหมอดิเรกล่ะคะ”

“มีสิ พี่เคยพูดเรื่องนี้กับหมอดิเรกก่อนที่พี่จะลาออกจากที่นั่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนหมอแกจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”

“จริงหรือคะ น่าแปลกจัง ทั้งๆที่หมอดิเรกก็ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของลูกน้องอย่างดี แต่ทำไมไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”

สิ้นเสียงพูดของแก้วตา ลลิตาหัวเราะในลำคอเบาๆแต่แก้วตายังได้ยิน

“หมอเขาคงอยากให้พนักงานทุกคนตายอยู่แล้วมั้ง สมานไม่ใช่รายแรก และก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย” ลลิตาวางหูโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ คำพูดของเธอทำให้แก้วตาถึงกับเสียวสันหลังวาบ


หลายวันมานี้เธอทำงานตามปกติในโรงงานตึกแถวหลังนี้ แต่ในใจเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสารเคมีจากกระป๋องกาวที่คละคลุ้งจางๆ ได้

แก้วตาชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแม้จะอยู่ในห้องพักที่เธอนอน เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าสุขภาพของเธอแข็งแรง เพราะเธอคิดว่าการเต้นแอโรบิคที่เธอทำประจำทุกๆเย็น จะช่วยทำให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายเหล่านี้ขอร้องให้หมอดิเรกปรับปรุงตัวอาคาร หรือไม่ก็ซื้อเครื่องระบายอากาศขนาดใหญ่มาติดตั้งทั้งตึก แต่เธอก็กลัวว่าจะถูกหมอดิเรกปฏิเสธคำขอนั้น เพราะหากหมอดิเรกจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว กลับปล่อยให้พนักงานเป็นโรคร้ายถึงกลับตาย

แม้ความคลางแคลงใจที่แก้วตามีต่อหมอจะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยการปฏิบัติของหมอที่ดีต่อแก้วตา ทำให้แก้วตาใจอ่อน ไม่สามารถโกรธหรือเกลียดหมอได้ เธอยังคงยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ บางครั้งความสุขเหล่านี้ทำให้เธอลืมเรื่องสารเคมีที่ลอยคลุ้งในตัวอาคารไปหมดสิ้น

และแล้วก็ถึงวันของแก้วตา เธอเริ่มรู้สึกไอบ่อยขึ้น หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย แม้จะไม่มากแต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นโรคร้ายเหมือนสมานและลลิตา เธอพยายามเก็บอาการและไม่บอกให้ใครรู้ เพราะเธอกลัวว่าเธอจะไม่ได้ทำงานรองเท้าที่เธอรัก และอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหมอดิเรกอีกหากไม่ได้ทำงานที่นี่

แก้วตาตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เธอหวังว่าจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการที่เธอเป็นอยู่นี้ ผลตรวจปรากฏว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เมื่อรู้ความจริงข้อนี้เธอไม่เสียใจ เพราะเธอรักคุณหมอดิเรก

คลินิกให้ยาแก้วตามากิน ทำให้อาการของเธอดีขึ้น เพราะความรักที่เธอมีให้กับหมอ ทำให้เธอยอมอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน หมอดิเรกก็ทำตัวปกติกับพนักงานทุกคนเหมือนไม่มีเร่องเกี่ยวกับสารเคมีในอาคารเกิดขึ้น


อยู่มาวันหนึ่ง หมอดิเรกยื่นบัตรเชิญงานแต่งงานให้แก้วตา เธอเปิดดูบัตรเชิญและรู้สึกสะเทือนใจที่ชื่อในบัตรเชิญนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ ลับหลังเธอแอบร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ แก้วตาหลงเข้าข้างตัวเองมานานแล้วว่าหมอดิเรกมีใจให้กับเธอ แต่วันนี้กับสิ่งที่หมอดิเรกทำ นั่นยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอคิดไปเองมาตลอด

จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น จากความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง แก้วตาตัดสินใจหนีออกมาจากตึกนั้นในคืนวันนั้นทันทีที่ได้รับข่าวสะเทือนใจ เธอหนีออกมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่วนหนึ่ง และบัตรเชิญงานแต่งนั้น

ไม่มีใครสามารถติดต่อแก้วตาได้อีกเลยแม้แต่หมอดิเรก หรือบางทีหมอดิเรกก็อาจจะไม่คิดจะติดต่อตามหาเธออีกแล้ว แก้วตาคิดแบบนั้นในหัว เธอหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ เธอไม่บอกเรื่องโรคร้ายนี้ให้ใครรู้ เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน แต่เวลาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งอาการของปอดที่ถูกทำร้ายเริ่มกำเริบยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นเกลียดชังเพิ่มเป็นทวีคูน เธอหยิบบัตรเชิญงานแต่งของหมอดิเรกขึ้นมาดูพร้อมสายน้ำตาที่หยดลงบนบัตรเชิญใบนั้น


งานแต่งงานของหมอดิเรกถูกจัดในโรงแรมสุดหรู หมอดิเรกในชุดทักซิโด้เข้ารูปยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดในงาน เจ้าสาวของเขาในชุดเจ้าสาวราคาแพงระยับยืนเคียงข้างคอยต้อนรับแขกระดับเศรษฐีที่เข้ามาร่วมงาน

แขกนับร้อยทยอยเข้ามาในงาน หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแขกคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในงานโดยแต่งชุดพนักงานของทางโรงแรม ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีบัตรเชิญเข้างานที่เปื้อนคราบรอยน้ำตาโผล่ออกมา แต่เธอคิดว่าคงไม่ต้องใช้

ถึงจังหวะที่คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวแนะนำตัวบนเวที

“ขอบคุณสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ที่มาร่วมงานเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ ผมและเนตรเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราศึกษาดูใจจนแน่ใจว่าเราคู่กัน” ดิเรกกล่าวบนเวทีสั้นๆ นั่นเรียกเสียงปรบมือกังวานทั่วทั้งห้องจัดงาน

แขกเหรื่อทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่ เจ้าบ่าวที่ทั้งร่ำรวยและเก่ง รวมถึงเจ้าสาวที่สวยและมาจากตระกูลผู้ดี นั่นทำให้คู่สมรสคู่นี้ต่างได้รับการยอมรับและยกย่องจากผู้มาร่วมงาน คงจะมีแต่แขกที่ปลอมตัวเข้ามาในชุดพนักงานของโรงแรมเพียงคนเดียว ที่เครียดแค้นและชิงชังเจ้าบ่าวของงาน

และก็มาถึงช่วงที่โรงแรมจัดชุดอาหารโต๊ะจีนไปเสิร์ฟในแต่ละโต๊ะ อาหารในงานคืนนี้คือตือฮวนจากภัตตาคารชื่อดัง และขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร แขกลึกลับในชุดพนักงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสิร์ฟอาหารในครั้งนี้ด้วย

ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับตือฮวนสุดอร่อย น้ำซุปสุดเข้มข้น บนเวทีมีการบรรเลงเปียโนเพลงรัก และภาพจากโปรเจคเตอร์กำลังแสดงภาพพรีเว้ดดิ้งของคู่บ่าวสาว นั่นเกือบทำให้บ่อน้ำตาของแขกลึกลับคนนั้นต้องแตกออกมา โชคดีที่เธอกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ได้ ไม่อย่างนั้นแผนการที่เธอเตรียมมาอย่างดีทุกอย่างในคืนนี้คงต้องพังพินาศ

เมื่อเสียงโน้ตเปียโนตัวสุดท้ายจบลง ภาพสไลด์เฟรมสุดท้ายปรากฏ คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง และจังหวะนี้ที่แขกลึกลับคนนั้นรีบวิ่งชิงขึ้นไปบนเวทีแซงหน้าคู่บ่าวสาว

แขกลึกลับเมื่อยืนอยู่หน้าไมโครโฟน เธอพูดประกาศใส่ไมค์ทันที

“เอาล่ะ สำหรับความสำราญในคืนนี้จบลงแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ” เสียงของพูดของเธอทำให้แขกเหรื่อเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงฮือฮาโห่ร้องก็ดังไปทั่วห้องเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นห้อง คราวนี้ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงโดยมิได้นัดหมาย หมอดิเรกมองมาที่แขกลึกลับคนนั้นก่อนจะพูด

“แก้วตา นั่นแก้วตาใช่มั้ย”

แก้วตาที่ปลอมตัวมาในคราบพนักงานโรงแรม เธอหันมามองที่หมอดิเรก แต่คราวนี้เธอกลั้นสายน้ำที่ไหลเอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่ไหวแล้ว

“ใช่ค่ะ นี่แก้วตาเอง”

แม้ความเกลียดและชิงชังต่อหมอดิเรกที่แก้วตามีต่อเขา แต่เธอยังส่งสายตาที่ห่วงหาอาทรใส่เขาพร้อมสายน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด จากดวงตาทั้งสอง

“มาเข้าเรื่องกันเลย แขกทุกท่านคะ ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันคืออดีตพนักงานที่เคยทำงานในโรงงานทำรองเท้าเล็กๆของหมอดิเรก ฉันรู้ความจริงมาว่าหมอดิเรกละเลยที่จะใส่ใจปัญหาเรื่องสุขภาพของพนักงาน ทำให้พนักงานหลายคนเจ็บป่วยเป็นโรคเยื่อปอดถูกทำลาย เพราะโรงงานของหมอเต็มไปด้วยสารเคมีจากกาวสำหรับทำรองเท้า...

“หมอดิเรกทราบถึงปัญหานี้ดีแต่ละเลยที่จะแก้ไข เขาจงใจที่จะให้พนักงานตายเพราะไม่ต้องการให้สูตรทำรองเท้านี้เผยแพร่ไปอยู่ที่ไหน และฉันเองก็กำลังจะตายเพราะโรคร้ายนี้ในอีกไม่ถึงเดือน”

“ไม่จริงๆ เธอเข้าใจอะไรผิดไปหมดแล้วนะแก้วตา” หมอดิเรกพยายามจะแก้ตัว เพราะเขาเห็นปืนในมือของแก้วตา

“หมอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันไม่ประโยชน์ที่จะมาสำนึกอะไรในตอนนี้” เธอตวาดเสียงออกไปผ่านไมโครโฟน นั่นทำให้ทั้งห้องเงียบเสียงยิ่งกว่าเดิม

“หมอมันคนเห็นแก่ตัว” แก้วตากระแทกเสียงผ่านไมโครโฟนอีกครั้ง

หมอดิเรกค่อยๆเดินเข้ามาใกล้แก้วตา และหยุดยืนเมื่อห่างจากแก้วตาไม่ถึง 5 เมตร ส่วนเจ้าสาวในค่ำคืนนี้วิ่งหนีลงจากเวทีไปนานแล้ว

หมอดิเรกหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาทำเหมือนกับว่าถือไพ่เหนือกว่าบนเวทีนี้ หมอดิเรกรู้มานานแล้วว่าแก้วตามีใจให้เขา และหลงรักเขา เขามั่นใจว่าจะกล่อมเธอสำเร็จให้ยอมทำตามความต้องการของเขา

“เธอมีหลักฐานอะไรมากว่าวหาฉันในข้อนี้ ตลอดเวลาฉันดูแลพนักงานอย่างดี เงินเดือนที่ให้ก็มากโขอยู่เมื่อเทียบกับโรงงานอื่นๆ ไม่เอาน่า... เราอย่าให้เรื่องแค่นี้มาทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากเลย” หมอดิเรกเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลง เขาพยายามทำให้แน่ใจว่าแก้วตากำลังจ้องมองมาที่เขา

เจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยในชุดสูทสีดำเข้มค่อยๆแอบลอบเดินเข้ามาข้างหลังแก้วตา อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาจะสามารถตะครุบตัวเธอไว้ได้

“เราค่อยๆพูดกันดีกว่านะ ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบ...” หมอดิเรกยังไม่ทันพูดจบ

ปัง!

แก้วตากลับหันหลังพร้อมกระบอกปืนเล็งไปที่เจ้าหน้าที่คนนั้นทันที กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ของเจ้าหน้าที่คนนั้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว ฉันไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตาย กรุณาถอยไปซะ” แก้วตาตะคอกเสียงไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไป  เจ้าหน้าที่ที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น พยายามใช้ขาทั้งสองข้างถีบตัวเองออกไปจากกลางเวที

แก้วตาหันปลายกระบอกปืนมาที่หมอดิเรก หมอดิเรกทำท่าทางตกใจ ความเก่งกล้าของฝีปากเขาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

“เธอจะเอายังไง”

“ไม่ต้องกลัวหรอกหมอ ที่ฉันมาคืนนี้ไม่ได้จะมาทำให้ใครตาย ฉันแค่อยากจะออกมาบอกความจริงแค่นั้น” แก้วตาพูดเสร็จ เธอก็หยิบถุงพลาสติกใสออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ในถุงเป็นก้อนเนื้อสีแดงเข้มจนเกือบจะดำสนิท

“นี่คือปอดของพนักงานคนหนึ่งที่เคยทำงานในโรงงานของหมอ เธอตายไปนานแล้ว ในถุงนี้มีปอดเพียงแค่ครึ่งเดียว” แก้วตาชูถุงบรรจุเนื้อปอดให้ทุกคนในงานดู จากนั้นเธอโยนชิ้นเนื้อนิ่มๆในถุงพลาสติกไปที่หมอดิเรก

“แล้วอยากรู้ไหมว่าปอดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน” ไม่มีเสียงตอบรับคำถามของแก้วตา ทุกคนต้องตกตะลึงปนสยดสยองถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับของที่อยู่ในถุงใส

“นู่น! มันอยู่ในนู้น หม้อตือฮวนบนโต๊ะพ่อแม่ของหมอมีส่วนผสมของปอดนี้ด้วย แต่กลิ่นเน่าเหม็นของมันคงถูกกลบด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศสูตรเข้มข้นนั้นหมดแล้ว เป็นยังไงคะคุณพ่อคุณแม่ ปอดของอดีตพนักงานในโรงงานของลูกชาย อร่อยมั้ย” แก้วตาพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาดังลั่น แขกบนโต๊ะที่นั่งรวมกับโต๊ะพ่อแม่เจ้าบ่าวรวมทั้งพ่อแม่เจ้าบ่าวต่างสำรอกอาหารมื้อนั้นออกมาพร้อมเพรียงกัน

โต๊ะรอบข้างบางคนเมื่อเห็นชิ้นเนื้อแปลกๆในหม้อตือฮวนบนโต๊ะนั้น ก็ต่างเบือนหน้าหนีและทำหน้าผะอืดผะอมเช่นกัน

เสียงหัวเราะของแก้วตาดังขึ้นอีกครั้งเหมือนคนเสียสติ ใช่! เธอเสียสติไปแล้ว ไม่มีใครบนเวทีกล้าที่จะไปแย่งปืนจากคนเสียสติอย่างเธอ จากนั้นไม่นานเสียงปืนกระบอกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เลือดและเศษมันสมองสาดกระจายเต็มพื้นเวที

แก้วตารักษาสัญญาที่จะไม่ทำให้ใครในงานตาย นอกจากตัวเธอ เธอจบชีวิตตัวเองด้วยการระเบิดสมองท่ามกลางคนนับร้อย


ก่อนที่จะถึงกำหนดวันแต่งงานหลายอาทิตย์ แก้วตาเริ่มที่จะยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เธอเจอมา ความทุกข์ทรมานที่กัดกินจิตใจเธอมาตลอดหลายสัปดาห์เริ่มจะเจือจาง เธอบังเอิญไปเจอเศษกระดาษที่อยู่ในเสื้อตัวหนึ่ง ในกระดาษเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เธอจดมาจากพนักงานในโรงงานอีกคน เบอร์โทรนั้นเป็นของลลิตา

แก้วตาเดินทางมาหาลลิตาที่บ้าน เมื่อทั้งคู่นัดหมายกัน แก้วตายื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานแต่งให้กับลลิตาดู เธอบอกว่าสาเหตุนี้แหละที่ทำให้เธอหนีออกมาจากที่นั่น

เมื่อลลิตาเห็นเธอถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แก้วตามารู้ทีหลังว่าลลิตาก็เคยแอบหลงรักหมอดิเรกเช่นเดียวกัน ลลิตาบอกว่าเธอเคยคิดว่าจะได้แต่งงานกับหมอดิเรก แต่สุดท้ายก็รู้ว่าหมอดิเรกแอบหลอกใช้เธอให้ทำงานอย่างจงรักภักดีในโรงงานแห่งนี้

“ยิ่งรักก็ยิ่งแค้นนัก” ลลิตาพร่ำบ่นออกมาสั้นๆ

“แค้นแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้” แก้วตาพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“มีหลายครั้งที่หมอให้ความหวังกับพี่ว่าเราจะได้แต่งงานกัน แต่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นเรื่องโกหก” ลลิตาพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย “พี่พร้อมที่จะมอบทั้งใจและกลายให้กับหมอมาตลอด แต่หมอพยายามบ่ายเบี่ยงบอกเพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่อยากทำผิดประเพณี ไอ่เราก็นึกว่าหมออยากจะแต่งงานกับพี่” เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งคู่ต่างเงียบงันบทสนทนาไปชั่วครู่ แต่เสียงร่ำไห้ของลลิตายังคงอยู่ จากนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างออกมา

“เธออยากจะแก้แค้นหมอมั้ย”

แก้วตาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง สภาพจิตใจของเธอก็ไม่ต่างจากลลิตามากนั้น ทั้งรักทั้งแค้น แต่เธอยังไม่แค้นมากพอที่จะแก้แค้นหมอ

“อย่าจองเวรกันเลยดีกว่านะ เรายอมรับโชคชะตาและค่อยๆอยู่ไปแบบนี้ดีกว่า”

ลลิตาหัวเราะดังลั่น “เธอมันบ้าไปแล้ว บูชาความรักทั้งๆที่มันไม่เคยมีอยู่จริง เธอคงรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอน้อยไปเพราะเธอไหวตัวทันออกมาก่อน” ลลิตาเดินหายเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็เดินกลับออกมาพร้อมลังกระดาษขนาดไม่ใหญ่นัก

ลลิตาเทซองกระดาษจดหมายนับสิบฉบับลงตรงหน้าแก้วตา

“นี่คือจดหมายที่เราสองคนใช้โต้ตอบกัน ถ้าเธอได้อ่านเธอจะรู้ว่าความหวังทั้งชีวิต ถ้ามันถูกทำลายโดยคนที่เรารักมันจะเป็นยังไง”

แก้วตาเปิดอ่านจดหมายหลายฉบับ เธอถึงกับน้ำตาร่วงหล่นลงบนกระดาษหลายแผ่นที่เธอหยิบขึ้นมาอ่าน

“แล้วพี่จะแก้แค้นหมอยังไง” แก้วตาถามคำถามนี้เมื่ออ่านจดหมายครบทุกฉบับ

ลลิตายิ้มเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ออกมาจากแก้วตา

“ไหนๆฉันก็จะตายอยู่แล้ว ฉันอยากให้พวกนั้นได้รับรู้ว่าความน่าสยดสยองว่ามันเป็นยังไง” ลลิตาเล่าแผนการทุกอย่างให้แก้วตาฟังทั้งหมด

เมื่อได้ยินแผนการทั้งหมดของลลิตาแล้ว แก้วตาถึงกับผะอืดผะอมและไม่อยากทำ เมื่อเธอรู้ว่าขึ้นตอนแรกของแผนการคือ เธอต้องฆ่าลลิตาให้ตาย แล้วผ่าศพเอาปอดที่เน่าเฟะของลลิตาออกมา แก้วตาปฏิเสธทันที

ลลิตาหัวเราะเบาๆ “พี่เข้าใจว่าการฆ่าคนมันยากลำบาก แต่ไม่เป็นไร พี่จะข้ามขั้นตอนนั้นไป แต่เธอต้องทำตามแผนทั้งหมดที่พี่เล่าให้ฟังนะ” ลลิตเดินหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ไม่นานเธอก็เดินกลับออกมาพร้อมมีดทำครัวเล่มยาว

“พี่จะทำอะไร” แก้วตาตกใจเมื่อเห็นมีดในมือลลิตา

โดยที่ไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ ลลิตาใช้มีดด้ามนั้นคว้านเข้าไปในท้องของเธอ เธอใช้เรี่ยวแรงที่ยังเหลือกรีดมีดขึ้นมาจนถึงหน้าอก ลลิตาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายพูดคำบางคำออกมา

“ที่เหลือฝากต่อด้วยนะ ลาก่อน”

ลลิตาฟุบลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมกองเลือดที่ไหลนอง เลือดส่วนหนึ่งไหลไปเปรอะกับกระดาษโปสเตอร์แผ่นหนึ่ง โปสเตอร์แผ่นนั้นคือแผนผังร่างกายที่แสดงตำแหน่งอวัยวะภายในของมนุษย์ ลลิตาตั้งใจใช้ปากกาเมจิคสีแดงวงรอบตำแหน่งของปอดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว


เมื่อแก้วตาหายตกใจและหยุดส่งเสียงกรีดร้อง เธอตรงเข้าไปยังร่างของลลิตาและหยิบมีดเล่มนั้นออกมาจากมือของเธอ จากนั้นเธอหยิบแผ่นกระดาษโปสเตอร์ขึ้นมาและเทียบตำแหน่งอวัยวะชิ้นนั้นระหว่างในกระดาษกับร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่ใกล้ๆนี้