วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุดแท้ทางเดิน



แกร๊ก!!

เสียงคีมยักษ์ตัดโซ่เหล็กหนาใหญ่ เหล็กชิ้นโตแตกละเอียดอย่างง่ายดาย โดยที่วิชิตไม่ต้องออกแรงมากนัก แผงประตูเหล็กถูกวางเรียงต่อๆกันถูกพันธนาการด้วยสายโซ่คล้องไปมาแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเดินเข้าไป ในตัวอาคารร้างที่ถูกหยุดก่อสร้างกลางคันเพราะพิษเศรษฐกิจ กำแพงผนังเปลือยตะไคร่เริ่มขึ้นแล้ว ชั้น 8 ที่เป็นชั้นบนสุดมีแค่การก่ออิฐขึ้นเป็นโครงเท่านั้น และชั้นบนขึ้นไปอีกก็เป็นดาดฟ้าที่มีขยะก่อสร้างวางทิ้งไว้เต็มไปหมด

เกร๊งงงงง!!

คีมเหล็กยักษ์ถูกปล่อยวางลงพื้นปูนทันทีที่มันหมดประโยชน์อีกต่อไป วิชิตค่อยๆเดินผ่านกรงลวด สายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆกับความน่าสะพรึงกลัวของตัวอาคาร และด้วยยามวิกาลเวลานี้แล้ว เขาแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าในตัวอาคารมีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงแค่แสงเงาจันทร์ในคืนเดือนหงายเท่านั้น ที่ส่องสะท้อนภายนอกตัวอาคารเพื่อให้รู้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน วิชิตไม่ลังเลใดๆที่จะเดินฝ่าความมืดมิดเข้าไปในตัวอาคาร

วิชิตเดินขึ้นบันไดวนยาวจนถึงชั้นบนสุด แค่เพียงจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เดินสะดุดกองเศษอิฐที่วางระเกะระกะแล้ว จนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น แต่วิชิตก็พยายามเดินต่อไปโดยเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะใช้มือสัมผัสราวบันไดขึ้นไป  และในชั้นที่ 3 วิชิตก็เดินเตะเข้ากับแท่งเหล็กจนหน้าแข้งของเขาอาบไปด้วยเลือด แต่วิชิตเองก็ไม่ได้สนใจหรือร้องครวญครางใดๆออกมาเลยสักนิดเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลใดๆที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นดาดฟ้า

ในที่สุดวิชิตก็มองเห็นแสงจันทร์เดือนหงาย ที่ลอดผ่านช่องประตูทางออกสู่ลานบนดาดฟ้า  เขาก้าวผ่านมันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าประตูบานนี้คือประตูสู่ยมโลกสำหรับเขา ใช่แล้ว! วิชิตขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของตึกร้างแห่งนี้ เพื่อที่จะมาฆ่าตัวตายนั่นเอง ชั่วอึดใจเดียวโดยที่วิชิตก็ยังไม่ทันรู้ตัว ขาของเขาทั้งสองข้างก็มายืนอยู่บนขอบตึก แม้ตัวตึกจะสูงเพียงแค่ 8 ชั้น แต่ข้างล่างที่มีกองเศษเหล็กเศษไม้วางทับถมกันเยอะแยะ วิชิตคิดว่าร่างของเขาคงต้องโดนแท่งเหล็กหรือไม้ เสียบตายคาที่แน่นอน คงไม่ต้องนอนทรมานหากเขายังไม่ตาย

วิชิตยืนนิ่งตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เขานึกถึงภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เสนอข่าวนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขึ้นมากระโดดตึกตายที่นี่ตรงนี้ ตำแหน่งที่เขายืนก็น่าจะใกล้เคียงกับตำแหน่งที่นักธุรกิจก่อนหน้านี้ยืน เพราะภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ถ่ายลงไปยังกองศพ ที่ลงไปนอนจมกองเลือดบนกองเศษเหล็กเศษไม้ข้างล่างนี้เอง ไม่แน่ว่าคราบเลือดก่อนหน้านี้อาจจะยังคงอยู่ข้างล่างนี้เอง หากมันไม่ถูกน้ำฝนชะล้างออกไปก่อนแล้ว

วิชิตเคยสงสัยมานานแล้วว่า สภาวะจิตสุดท้ายของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นเป็นเช่นไร อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่ง ยอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยความทรมาน พวกเขาเหล่านั้นไม่กลัวเจ็บกันหรืออย่างไร แล้วโลกหลังความตายสำหรับคนที่ทำอัตวิบากกรรมกับตัวเอง ในทางความเชื่อนั้นเมื่อตายไปแล้ว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

วิชิตเองก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไรกัน เพราะวิชิตก็ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยตอนนี้ หรือพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน จึงทำให้กล้าที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้วิชิตก็พร้อมแล้วที่จะตาย

แต่ทันใดนั้น! มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกสติของวิชิตกลับขึ้นมาจากภวังค์ กลิ่นควันบุหรี่ วิชิตได้กลิ่นควันบุหรี่ใกล้ๆเขา มีควันจางๆลอยผ่านหน้าเขาด้วย วิชิตหันหน้าไปที่ต้นทางของควัน เขาเห็นคนยืนดูดบุหรี่ข้างๆเขา บนขอบตึกข้างๆที่วิชิตไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทราคาแพงถูกดึงออกหลวมๆ ชายเสื้อที่ดึงออกนอกกางเกง รองเท้าหนังหรู วิชิตคิดว่าหรือนี่จะคือผีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สิ คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่น่าจะอายุเลยเลข 7 ไปแล้ว วิชิตสาวเท้าขวาที่เตรียมก้าวพ้นขอบตึกไปแล้วครึ่งก้าวกลับเข้ามา และพยายามตั้งสติทั้งหมดที่เขามีอยู่

"ลุงมาทำอะไร?" วิชิตถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
"ลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหมดบุหรี่มวนนี้ก่อน" น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่มีแรง พูดเสร็จเจ้าของเสียงก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาทางปาก
"แน่ใจเหรอว่าลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ยังจะมาสูบบุหรี่อย่างสบายใจไม่เหมือนคนอยากตายเลย"

ตอนนี้วิชิตเริ่มหมดความคิดที่จะตายแล้ว เขาอยากไขข้อข้องใจในใจเกี่ยวกับชายชราที่อยู่ตรงหน้า

"คนเรามันก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันนะ ลุงน่ะเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเป็นภาระของลูกหลานอีก"
"แล้วทำไมถึงไม่รักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆล่ะ มะเร็งปอดรักษาได้อยู่แล้วนี่"

แสงจันทร์สาดส่องชายทั้งสอง วิชิตหันหน้ามาสังเกตดูชายแก่ข้างๆเขา ร่างกายที่ผอมโซและสั่นไร้เรี่ยวแรง หายใจลำบาก ดูเหมือนคนป่วยในระยะสุดท้ายแล้ว

"ปอดลุงเหลือข้างเดียวแล้วตอนนี้ เคยฉายรังสีหลายครั้งในช่วงแรกๆ สภาพลุงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ" ลุงพูดจบก็ทำท่าจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น
"ก็ลุงยังไม่เลิกดูดบุหรี่น่ะสิ แล้วจะรักษาหายมั้ยเนี่ย"
"จะให้ลุงเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่คือความสุขเดียวในชีวิต" ชายชราพูดเสร็จก็คีบมวนบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก และอัดควันเข้าปอดอีกรอบ ก่อนจะตามด้วยเสียงไอที่แหบแห้งอย่างรุนแรง
"ลูกเมียของลุงไม่มีเหรอ?"
"เมียลุงตายไปนานแล้ว เธอโดนจี้ชิงทรัพย์ คนร้ายยังเอาเธอไปฆ่าข่มขืนอีก"
"นั่นเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงสูบบุหรี่อย่างหนัก" วิชิตพยายามเดา
"ใช่ มันทำให้ลุงสูบมันหนักขึ้น" สายตาของชายชราทอดยาวไปที่แสงจันทร์
"แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม มาทำอะไรบนนี้"
"ผมก็จะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกัน"
"เธอมีเรื่องทุกข์อะไร? ถึงจะมาหนีปัญหาแบบนี้ ร่างกายเธอยังแข็งแรงดี แต่งตัวก็ดีคงพอมีฐานะ"

วิชิตจ้องไปที่ใบหน้าของชายชรา ก่อนที่จะเปลี่ยนจุดมองไปที่จุดๆเดียวกับที่ชายชรามอง นั่นก็คือแสงจันทร์

"ทุกข์กายไม่ทุกข์เท่าทุกข์ใจ" น้ำเสียงแผ่วเบา ออกมาจากปากของวิชิต แต่มันยังดังพอที่ชายชราจะได้ยิน

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างคนป่วย

"แน่ใจแล้วเหรอพ่อหนุ่ม ไหนเธอลองว่ามาสิ ว่าทุกข์ใจของเธอมันหนักหนาสาหัสอะไรกัน"
"ผมเหรอ ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีเธอ"
"คนรักของเธอทิ้งเธอไปหรือ" คนชราหยุดสูบบุหรี่แล้ว เขาหันหน้ามาทางวิชิตเพื่อตั้งใจฟัง
"ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันคงจะตัดใจได้ง่ายกว่า คนรักของผมเธอถูกพ่อแม่บังคับให้ไปแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก แต่ชายคนที่เธอรักนั้นก็คือผมเอง"
"หา! ในสมัยนี้ยังมีเรื่องเช่นนั้นอยู่อีกหรือนี่" ชายชราเปลี่ยนอิริยาบถ จากท่ายืนที่ขอบตึกเปลี่ยนเป็นนั่งลง เพราะความเมื่อยล้า สักพักวิชิตจึงนั่งลงตาม เพราะเขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ชายชราเพิ่งจะถาม

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะคิดอย่างไร แต่ใครไม่เป็นผมก็คงไม่รู้หรอก ว่าความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มันน่าเจ็บช้ำเพียงใด"

ชายชราจ้องมองหน้าวิชิต ที่ตอนนี้ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ

"ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ถ้าใครไม่เป็นเธอก็คงไม่รู้หรอก"

วิชิตใช้ข้อมือปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาทางจมูก เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้น้ำไหลขึ้นไปถึงดวงตา

"โรคภัยของลุงมันคงทรมานมาก จนทำให้ลุงอยากจะหนีมัน หรือลุงอาจจะสู้กับมันไม่ไหวแล้วใช่มั้ย?"

วิชิตเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ไม่เชิง!"

ชายชราตอบทันควัน ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายในสิ่งที่เขาคิด

"ความทรมานลุงชินชากับมันแล้ว และเรื่องที่ว่าจะสู้กับมันไหวหรือไม่ ลุงสู้ไหว ลุงมีเงินเป็นโกดังที่จะจ้างหมอที่ดีที่สุดในโลกมารักษา แต่ประเด็นคือไม่รู้จะสู้กับมันเพื่ออะไร หากสู้ชนะทำให้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไงล่ะ จะให้ลุงทำอะไรต่อ"

วิชิตเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนรอบข้างเขา ทำไมจึงไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรทำให้วิชิตอยากตาย แม้เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาฟังคำอธิบายจากชายชรา แต่วิชิตเองก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

"แล้วลูกหลานของลุงล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน"
"ลูกชายทั้งสองคนก็มีครอบครัวกันแล้ว ลุงก็หมดห่วงไปแล้วล่ะ"
"มีสิ่งอื่นๆมากมายในโลกนี้ให้ทำอีกเยอะแยะ ถ้าลุงมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้เงินรักษาตัวเองให้หาย และใช้เงินที่เหลือเอามาใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย "

สิ้นสุดคำพูดของวิชิต ทั้งคู่ก็นั่งนิ่งคิดอะไรในหัวของตัวเอง ชายชราครุ่นคิดหนัก เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากเบาๆ

"ร่างกายเธอยังหนุ่มยังแน่น ดูๆก็แข็งแรงดี ทำไมไม่หาอะไรทำในสิ่งที่เธอพูด บางอย่างมันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะก็สามารถทำมันได้"

"เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เรายังมีกันและกัน ผมวาดฝันอนาคตไว้หลายอย่าง เริ่มจากผมและเธอจะเรียนจบเป็นสถาปนิก เราจะเปิดออฟฟิศเล็กๆที่มีชื่อผมและเธอรวมกัน เราจะแต่งงานกัน หลังจากนั้นเราจะมีลูกด้วยกันสักสองคน หากการงานไปได้ดีแล้ว เราอาจจะไปเรียนโทกันอีกคนละใบ เราจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้ยามแก่เฒ่า จะเดินทางรอบโลกจะไปยังที่ๆอยากด้วยกันสองคน และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราจะทำด้วยกัน ลุงเชื่อมั้ยว่าผมทำสิ่งเหล่านี้ไปเกือบครึ่งแล้ว"
"แล้วทำไมเธอไม่ทำมันต่อ"

วิชิตหันหน้ามาทางชายชรา

"โดยไม่มีเธอนี่นะ ผมอยากทำฝันร่วมกับเธอ ถ้าไม่มีเธอแล้วผมก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น มันเหมือนกับว่า เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมก้าวต่อไป หรือบางทีอาจจะเป็นทำให้ผมมีชีวิตต่อไปเลยก็ได้ แต่พอไม่มีเธอผมก็เหมือนกับหมดแรง หมดกำลังใจ"

ความเงียบสงัดระหว่างทั้งสองเริ่มเข้ามาเกาะกุมบรรยากาศอีกครั้ง จนกระทั่งชายชราพูดอะไรบางอย่างออกมา

"เธอทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?"
"ผมไม่รู้ว่าจะทำมันเพื่ออะไร หากทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แล้วยังไงต่อ ก็ผมไม่มีเธอแล้ว"
"พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้คนในสังคมต่างก็จะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเธอ เธอไม่แคร์กับสิ่งเหล่านั้นเหรอ?"
"ไม่เลย ความคาดหวังจากคนเหล่านั้นมันเป็นแค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาหวังถึงผลประโยชน์ที่จะสะท้อนไปถึงตัวเขาก็แค่นั้นเอง แต่ที่ผมต้องการสร้างฝันร่วมกับเธอ เพราะผมแค่อยากจะทำมัน และสนุกไปกับมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย"

ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาคิดในใจว่ารู้สึกแปลกดี ที่มาเจอคนอย่างวิชิต ในวันที่เขากำลังจะมากระโดดตึกตาย ชายชราควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และตอกมวนบุหรี่ออกมาอย่างชำนาญ บุหรี่อีกมวนถูกจุดและถูกสูดควันเข้าไปเต็มปอดชายชราอีกครั้ง พร้อมกับพ่นมันออกมา

"ถ้าลุงไม่รังเกียจ ผมขอลองดูดมันบ้างได้ไหม ขอดูดตัวเดียวกับลุงนี่แหละ"

ชายชรายิ้มทั้งๆที่ยังพ่นควันออกจากปาก เขาส่งบุหรี่มวนเดียวกันนี้ให้วิชิต 

วิชิตทำท่าเก้ๆกังๆก่อนรับมวนบุหรี่ไว้ในมือ เขาค่อยๆใช้ปากอมไปที่ก้นกรองบุหรี่ ก่อนจะตัดสินใจออกแรงสูดควันบุหรี่เต็มแรง

"แคร่กๆๆๆ"

วิชิตสำลักควันบุหรี่ เสียงหัวเราะจากชายชราดังลั่น แต่หัวเราะได้ไม่นานเพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก วิชิตเริ่มหายจากอาการสำลักควันแล้ว เขายื่นบุหรี่มวนนั้นคืนไปให้ชายชรา

"บุหรี่นี่มันดียังไงน่ะลุง ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงดูดมัน มันช่วยอะไรเราได้บ้างนอกจากจะทำให้เราเป็นโรคร้าย ช่วงหลังๆมานี่เห็นแต่คนพูดถึงมันแต่ในแง่ร้าย ลุงลองบอกข้อดีของมันให้ผมฟังหน่อยสิ"

ก่อนชายชราจะพูดถึงข้อดีของบุหรี่ เขาสูดลมจากปากผ่านมัน ก่อนจะพ่นควันสีเทาลอยคลุ้งขึ้นบนท้องฟ้า

"เธอรู้จักมอร์ฟีนมั้ย?"

"รู้ครับ มันคือยาเสพติดประเภทหลอนประสาท"

"มอร์ฟีนถูกใช้ในทางการแพทย์ เวลาที่มีผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรือขั้นตอนการรักษา มอร์ฟีนจะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจทรมานจนตายหรือท้อแท้หมดกำลังใจในการรักษาต่อไป"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบุหรี่ล่ะ?"

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต ก่อนจะดูดบุหรี่อีกครั้งและดีดมวนบุหรี่มวนนั้น ลงไปยังพื้นล่างของตึก

"คนเราที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ไม่ได้นอนป่วยในโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ท้อแท้หรือเศร้าหมองเหมือนคนป่วยในโรงพยาบาลเสมอไปสักหน่อย ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  สถานะภาพเป็นอย่างไร ต่างก็ต้องมีความเครียด กดดัน ทุกข์ใจ ท้อแท้เศร้าหมองเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความทุกข์"
"แล้วยังไง?"
"วิธีที่มนุษย์จะพ้นจากทุกข์ตรงนั้นได้ก็คือลืมความคิดเหล่านั้นไปซะ แต่ความทรงจำของมนุษย์นั้นไม่เหมือนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่แค่กดลบมันก็หายไปหมดสิ้น ยิ่งความทรงจำไหนที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะลืมมัน"
"เราก็เลยใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้เราลืมความทุกข์เหล่านั้น"
"ใช่แล้ว แม้มันจะทำให้ลืมได้แค่ชั่วคราวก็ยังดี อย่างน้อยเวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง"
"ถ้าอย่างนั้นที่คนเราสูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา ก็เพื่อที่จะทำให้สมองชาจนไม่ไปตอบสนองกับความทุกข์เหล่านั้นใช่ไหม"
"ก็น่าจะใช่นะ แล้วเธอล่ะ เคยใช้ของพวกนี้ในการบำบัดความทุกข์ในใจมั้ย?"

วิชิตหยุดนิ่งไปชั่วหนึ่ง แล้วก็ตอบออกมา

"ผมไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าไม่เสพยา ผมมีแต่เธอเท่านั้นที่ทำให้ผมลืมความทุกข์ได้ทุกอย่าง เธอคอยให้กำลังใจผมเสมอในยามที่ผมท้อ ผมอาจจะมีเธอเป็นศาสดาก็ได้"
"แต่ศาสดาของเธอตายไปแล้ว เธอจึงไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีชีวิตต่อไป"
"ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับลุงที่ไม่สามารถใช้บุหรี่เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ได้อีกต่อไป"
"ก็คงจะเป็นเช่นนั้น"

ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด เมื่อมวลหมู่เมฆพากันบดบังแสงพระจันทร์ หากทั้งคู่ไม่ขึ้นมาเจอกันบนนี้ คงจะมีใครสักคนที่กระโดดตึกลงไปนอนตายข้างล่างแล้ว

"ยังอยากจะตายอยู่มั้ย?"

ชายชราถาม

"ก็ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความคิดผมนี่"
"เอาอย่างนี้ละกัน คงจะไม่ดีแน่ถ้าคนที่กระโดดทีหลัง จะเห็นศพที่ลงไปนอนกองข้างล่าง เดี๋ยวจะปอดแหกไปเสียก่อน บนดาดฟ้านี้มันก็กว้างอยู่ เธอไปอยู่มุมตึกฝั่งนู้นละกัน หลังกำแพงและเศษอิฐนั่น กำแพงจะทำให้เรามองไม่เห็นกัน ต่างคนจะไม่รู้ว่าอีกคนกระโดดตึกลงไปหรือเปล่า เพราะมันห่างไกลกันมาก และถ้าเธอเกิดล้มเลิกความตั้งใจที่จะกระโดด เธอก็แค่เดินลัดลงบันไดโดยไม่ต้องมองเห็นจุดที่ลุงยืน ว่าลุงยังอยู่หรือไปแล้ว"

วิชิตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผงกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

หลังจากนั้นก็สิ้นสุดการสนทนาใดๆจากทั้งคู่ วิชิตเดินอ้อมกำแพงไปอยู่อีกด้านของดาดฟ้า เขาไม่หันหลังหรือพะวงอะไรกับชายชราที่วิชิตเพิ่งจะเดินจากมาเลย ในที่สุด วิชิตก็มายืนอยู่ขอบตึกอีกด้าน แค่เพียงเขาทิ้งตัวลงไป ร่างๆนี้ก็จะลงไปเสียบกับเหล็กเส้นหนา ที่โผล่ขึ้นมาจากฐานคอนกรีต

.........

ด้านหนึ่งของมุมตึก ร่างๆหนึ่งลอยถลาลงมากระแทกลงบนกองเศษอิฐเศษปูน รวมถึงแท่งเหล็กอีกหลายแท่งเสียบทะลุร่าง เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำ บ้างก็สาดกระเซ็นไปติดกำแพงตึก ความสยดสยองของร่างไร้วิญญาณนี้ คงจะสมใจเจ้าของร่างแล้ว
________




จบแบบที่ 1

เสียงลากเท้าที่ขยับเดินได้ไม่เต็มที่นัก เพราะบาดแผลที่ขาก่อนหน้านี้เริ่มทำให้ขามีอาการชา แต่วิชิตก็ยังสามารถพาตัวเองเดินลงบันไดจากชั้นดาดฟ้าลงมาได้ เขานึกถึงคำพูดของชายชราที่บอกว่าศาสดาของวิชิตนั้น ได้ตายไปแล้ว แต่วิชิตคิดได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงจากตึกว่า 'ก็เธอยังไม่ได้ตายนี่' เมื่อนั้นวิชิตจึงเกิดแรงฮึกเหิมที่จะทำสิ่งๆหนึ่งให้สำเร็จให้ได้

วิชิตรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พ่อของหญิงที่เขารักนั้น ไม่ยอมยกลูกสาวให้ เพราะว่าผู้ชายที่พ่อของเธออยากให้แต่งงานด้วยนั้น มีธุรกิจที่ใหญ่โต มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมที่ดี วิชิตจึงคิดว่าทางเดียวที่เขาจะเอาชนะใจว่าที่พ่อตาได้ คือทำให้ตัวเองมีทุกอย่างที่มากกว่าชายคนนั้น วิชิตจึงเดินทางไปหาพ่อของเธอที่บ้าน เขาเข้าไปขอร้องว่าขอเวลาให้เขา 1 ปี เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงเงินทองให้มีมากกว่าชายคนนั้น ถ้าวิชิตทำได้ เขาขอให้พ่อยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ วิชิตสัญญาว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวใดๆกับเธออีกต่อไป 

พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น พรางคิดว่าวิชิตคงทำไม่สำเร็จ ก็ดีเหมือนกันที่วิชิตจะได้เลิกมาตอแยกับลูกสาวของตน จึงรับปากไปตามนั้น และให้เลื่อนงานแต่งงานของลูกสาวกับผู้ชายคนนั้นไว้ก่อน

ในระหว่างเวลาที่ก่อนจะครบกำหนดตามสัญญา วิชิตเปิดบริษัทที่เขาเคยวางแผนไว้ พยายามเร่งสร้างธุรกิจอย่างมั่นคง และชาญฉลาด ใช้คอนเนคชั่นที่เคยมีหางานเข้าบริษัท แต่ด้วยความที่วิชิตเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างสุจริต จึงทำให้ผลกำไรในบริษัทมีไม่มากนัก ดังนั้นเรื่องเงินทองของเขาจึงไม่สามารถชนะชายคนนั้นได้เลย เมื่อครบกำหนดหนึ่งปี และระยะเวลาแค่ 1 ปี มันสั้นไปที่วิชิตจะสร้างชื่อเสียงในสังคมให้คนยอมรับได้ เมื่อเทียบกับชายคนนั้นที่สร้างชื่อเสียงในสังคมมาตลอดหลายสิบปี วิชิตรู้ว่าตัวเองไม่สามารถชนะเดิมพันนั้นได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเขาจึงไปหาพ่อของเธอ เพื่อขอยอมแพ้และจะทำตามสัญญา

ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พ่อของเธอเฝ้าติดตามดูวิชิตทุกฝีก้าว เขาเห็นถึงความตั้งใจของวิชิต และความซื่อสัตย์สุจริตตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจ จึงเกิดความประทับใจและสุดท้ายก็ยอมยกลูกสาวให้กับวิชิต

สุดท้ายวิชิตก็ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เขาและเธอเดินตามฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้ ตอนนี้วิชิตมีทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ วิชิตนึกย้อนกลับไปถึงคืนวันนั้น วันที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายและได้เจอกับชายชราคนนัน วิขิตนึกย้อนไปว่าหากวันนั้นเขาตัดสินใจกระโดดตึกตาย เขาคงไม่มีโอกาสที่จะมีวันนี้ และไม่มีโอกาสที่จะทำให้เธอมีความสุขด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นับจากวันนั้น วิชิตไม่รู้เลยว่าชายชราคนนั้นได้กระโดดตึกหรือไม่ ในใจของเขาก็ภาวนาขอให้ชายชราเปลี่ยนใจในคืนวันนั้น เพราะมาถึงตอนนี้วิชิตได้ตระหนักดีแล้วว่า การที่ได้มีโอกาสมีชีวิต มันคือสิ่งมีค่าและวิเศษที่สุด ไม่ว่าระหว่างนั้นจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือสุขสบายเพียงใด ความสวยงามในการดำรงอยู่ของเรา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเรามองมันในแง่ที่ดี

______________

จบแบบที่ 2

เสียงฝีก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด ชายชราก็สามารถเดินลงถึงชั้นล่างได้ เขาไม่แม้แต่จะหวนคิดถึงว่าวิชิตจะกระโดดตึกหรือไม่ ชายชราได้แต่คิดว่าวันนี้เขารอดตายมาได้นั้น เพราะได้มาเจอกับวิชิต ความจริงแล้วชายชรารู้ดีถึงสัจธรรมของความทุกข์ดี ว่ามันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเดี๋ยวก็ดับไป แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้ก็คือวิธีที่จะลืมมัน ตลอดชีวิตเขาได้แต่ใช้บุหรี่ช่วยเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง ชายชราตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ที่เขาจะกระโดดตึกลงมา ว่าเขาจะค้นหาวิธีใหม่ๆในการลืมความทุกข์ โดยไม่ใช้บุหรี่หรือยาเสพติดใดๆ

ชายชราตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง ช่วงหนึ่งของการรักษาเขาต้องเข้าคอร์สบำบัดผู้ติดยา ชายชราได้พบปะผู้คนมากมายและได้พูดคุยและถกถึงปัญหาของแต่ละคน มีคนจำนวนมากได้ประโยชน์จากการพูดคุยกับชายชรา และชายชราก็ได้กำลังใจและแง่คิดในการดำเนินชีวิตจากคนจำนวนมาก

เวลาผ่านไป 20 ปี นับจากในคืนวันนั้น ชายชรารักษาร่างกายเป็นอย่างดี ผลลัพธ์จากกิจกรรมที่เขาพยายามทำเพื่อให้ลืมความทุกข์ เช่นการทำสมาธิ วิ่งออกกำลัง รำมวยจีน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อ่านหนังสือ แต่งเรื่องสั้น ฟังเพลง ฯลฯ ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาดีเยี่ยม และมาถึงวันนี้ชายชราก็มีอายุ 90 กว่าปีแล้ว เขาคิดว่านี่คงจะถึงเวลาแล้วที่จะหมดวาระบนโลกใบนี้

ในบ้านใหญ่กลางสวนกว้าง ชายชรานั่งบนเก้าอี้โยก เบื้องหน้าของเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกายที่ค่อยลดหายไป มันเหมือนกับว่าสิ่งต่างๆจะหวนคืนสู่จุดกำเนิดอีกครั้ง ความเงียบสงบเข้ามาอยู่ในใจของชายชรา เขารู้สึกดีใจที่ได้ใช้ชีวิตจนครบวาระที่ตัวเองต้องอยู่ นี่คงเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนตายตามธรรมชาติ มันคงเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่วิเศษที่สุด ชายชราหวนคิดกลับไปถึงคืนนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คืนที่เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย เขาคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีมาก ที่รอดพ้นความตายในคืนนั้นมาได้

เพราะหากเขาตายในวันนั้น จิตสุดท้ายของชีวิตจะเป็นความหดหู่ สิ้นหวัง แต่เมื่อชายชราไม่ตาย จิตสุดท้ายในตอนนี้คือความสงบ สมบูรณ์ หากชีวิตหลังความตายมีจริง  จิตสุดท้ายนี้คงจะเป็นตัวบ่งบอกถึงภพภูมิที่ชายชราจะไปอยู่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด ณ ตอนนี้

ชายชราสิ้นลมแล้ว เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลง ตอนนี้คนในบ้านคงยังไม่รู้ แต่สักพักคงมีคนมาเห็นร่างที่ไร้วิญญาณนี้

______________

จบแบบที่ 3

ชายชรายืนอยู่บนดาดฟ้าตึก ร่างเขาค่อยเปลี่ยนใบหน้าเป็นชายหนุ่ม แท้จริงแล้วใบหน้านี้คือหน้าของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาค่อยๆจางลงคล้ายๆพลังที่กำลังจะเสื่อมสลาย วิญญาณดวงนี้ก้มลงสำรวจร่างตัวเอง ทันใดนั้นเงาร่างๆหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น

"ท่านยมทูติ ไหนว่าถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนใจชายคนนั้น ให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ วิญญาณผมจะถูกกักขังไว้ในตึกนี้ แต่นี่วิญญาณผมกำลังจะได้รับการปลดปล่อย"
"ผลลัพธ์นั้นไม่สำคัญ เท่ากับที่เจ้าตอนนี้ได้รู้คุณค่าของการมีชีวิต บทสนทนาของเจ้ากับชายคนนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจ้าสำนึกผิดต่อการทำอัตวิบากกรรม"
"แล้วผมจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ในขุมนรกต่ออีกกี่ปีกี่ชาติกัน"

เสียงหัวเราะจากร่างยมทูตดังลั่น

"เจ้าเอาเรื่องนรกสวรรค์มาจากไหน ดูหนังมากไปหรือเปล่า มนุษย์นี่ตลกดีชอบกุเรื่องมาหลอกกันเอง มันไม่มีหรอกทั้งนรกสวรรค์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"อ้าว! ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ แล้วท่าน?"
"ถูกต้องแล้ว ข้าก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ทำให้ข้ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ ก็คือจิตของเจ้า เป็นเรื่องปกติของจิตมนุษย์เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว เขาจะเคว้งคว้างล่องลอย ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร จึงมักจะสร้างตัวละครสมมุติขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับตัวเอง เช่นเจ้านี่ไง"
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน?"

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองจางๆ แสดงว่าพระอาทิตย์ใกล้ไต่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว การเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ในมุมๆหนึ่งในโรงพยาบาล เด็กทารกตัวน้อยเพิ่งจะโผล่ออกมาดูโลกด้วยเสียงร้องแสบแก้วหู รังนกรังหนึ่งในสวนสาธารณะมีไข่นกเล็กๆอยู่ 3 ฟอง ไข่ฟองหนึ่งมีแรงกระทุ้งออกมาจากภายใน ลูกนกตัวน้อยพยายามจะจิกเปลือกไข่ให้แตกออกมาเอง และในอีกมุมโลกที่ตรงกันข้ามนี้ แสงอาทิตย์ก็กำลังจะลาจากไปเช่นกัน

"เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาก็จะเกิดดวงจิตขึ้นมาด้วย จิตคือพลังงานชนิดหนึ่ง เมื่ออยู่ๆไปจิตก็แข็งขึ้น หมายถึงเป็นพลังงานที่แข็งกล้าขึ้น และเมื่อร่างกายของมนุษย์เสื่อมสภาพลงจนดวงจิตที่เป็นพลังงานไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จิตนั้นยังคงอยู่ ตามธรรมชาติของพลังงานนั้น จะสลายไปเองโดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แต่ถ้าเป็นจิตของคนที่ก่อนออกจากร่างนั้น ยังมีความผูกพันหรือความกังวลกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ดวงจิตจะไม่ยอมเสื่อมสลายหายไปไหน ยังคงวนเวียนกับเรื่องนั้นๆอยู่ จิตจะเหมือนกับถูกเติมเชื้อเพลิงเข้าไปเรื่อยๆ และมีโอกาสที่จะกลายเป็นพลังงานมหาศาล"

"เหมือนจิตของผมที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ เพราะยังกังวลถึงความผิดพลาดที่เคยก่อ จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยในครั้งนี้"
"ใช่"

ดวงจิตดวงนี้ใกล้เสื่อมสลายแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจซึ่งทำจิตนี้ไม่สามารถเสื่อมสลายไปได้อย่างสมบูรณ์

"ถ้าหากท่านไม่มีตัวตนจริง แล้วท่านตอบคำถามที่ผมไม่รู้ได้อย่างไรกัน?"
"ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ทุกดวงจิตจะรู้ และรู้ดีด้วย แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์นานๆก็มักจะลืมไปว่าต้นกำเนิดของดวงจิตมาจากไหน และจะไปไหนต่อ ตัวเจ้าเองก็รู้ดีแต่แกล้งลืมมันไป การที่ข้าตอบคำถามเจ้าได้ ความจริงก็คือเจ้าเริ่มจะฟื้นความจำเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้แล้ว"


แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้พลังงานที่ก่อเป็นดวงจิตนี้เริ่มจางลงๆ จนกระทั่งลับหายไป แต่ยังมีดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่จะยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ และไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ที่จิตของวิชิตนั้นจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้


ปรารถนาสุดท้าย





ผมเห็นเธออีกครั้ง! เราแยกทางกันมาเกือบจะ 13 ปี ความทรงจำเก่าๆฉุดรั้งไว้ไม่ให้เข้าไปเจอเธออีก แม้ภายในก้นบึ้งของห้วงความคิดจะเป็นแรงดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหาเธอ

เราเริ่มคบกันเมื่อเธอเดินเข้ามา เธอปรารถนาผม ผมแค่สนองตอบ ครั้งนั้นผมอยู่กับเธอด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่มีใคร แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรักผม

ครั้งหนึ่งเราเดินผ่านร้านดอกไม้ เธอรบเร้าให้ผมซื้อดอกทิวลิปสีม่วงให้เธอ ผมบอกให้เธอไปซื้อเอง เธอไม่ซื้อ ผมไม่เข้าใจ

ครั้งที่ผมถูกนักเลงต่างถิ่นทำร้าย เธอออกมาปกป้องผม กราบเท้าขอร้องพวกนักเลงไม่ให้ทำร้ายผมอีก เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อผม บาดแผลและกระดูกที่หัก เธอพาไปหาหมอและช่วยรักษา ผมไม่เคยพูดขอบคุณเธอ

ในตอนที่ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมคิดว่าหมดอนาคต ไร้คนเหลียวแล เธอให้คำปรึกษาผมโดยไม่ปริปากบ่น หาสมัครงานกับคนรู้จักให้ผมจนผมได้งานทำ

จนผมถูกไล่ออกจากงาน เธอไม่เคยด่าว่าผมว่าเหลวไหล ยังคงให้กำลังใจและหาสมัครงานให้

ผมได้เงินเดือนไม่เคยแบ่งให้เธอซักครั้ง ผมใช้เงินเหล่านั้นหมดไปกับการเที่ยว กินเหล้า นอนกับผู้หญิงอื่น เธอไม่ปริปากบ่นซักคำ แถมบางครั้งผมยังเอาเงินจากเธอไปทำสิ่งเหล่านั้น เธอให้ด้วยความเต็มใจ

ผมติดยา เธอพาผมไปรักษาโดยไม่รังเกียจ ไม่อายพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง ไม่อายเพื่อน บางครั้งทะเลาะกับคนเหล่านั้นเพื่อผม

ผมค้ายาเสพติด เงินที่ได้หมดไปกับการเที่ยว ซื้อของแพงๆ ให้เงินกับผู้หญิงอื่น แต่ไม่เคยแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้เธอซักตัว เธอไม่รู้ว่าผมค้ายา

ผมโดนตำรวจจับข้อหาค้ายาเสพติด โทษจำคุก 15 ปี เธอไปเยี่ยมผมตลอด 3 ปี และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมมีและเคยมี ผมเป็นเด็กกำพร้า

ผ่านไป 3 ปี ความเงียบและความเหงาทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต นึกถึงเธอ ผมนอนร้องให้ทุกคืน อยากจะฆ่าตัวตาย ผมปฏิเสธการเยี่ยมของเธอตั้งแต่บัดนั้น

เธอยังเขียนจดหมายมาหาผมอีกหลายฉบับ ผมตัดสินใจไม่เปิดอ่าน

แค่ 5 ปีผมออกจากคุกแล้วเพราะทำตัวดีและมีการอภัยโทษหลายครั้ง ผมเดินออกมาจากคุกพร้อมเสื้อผ้าและกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน

ผมเริ่มงานกับเถ้าแก่ที่รู้จักกันในคุก ท่านรักและไว้ใจผม ผมตั้งใจทำงานเก็บหอมรอมริบจนสามารถไปตั้งโรงงานของตัวเองได้

กิจการรุ่งเรือง ผมมีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถคันโตหลายคัน ผู้คนนับถือผมเพราะมีเงินเยอะ ผมซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ยกเว้นกินเหล้ากับเที่ยวผู้หญิง

ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต การทำงาน การเดินทาง ท่องเที่ยว การบริจาคเงินเพื่อการกุศล ให้ความรู้และให้โอกาสผู้คน

จนมาวันหนึ่งผมพบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านในลังไม้ใบเก่า ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัว

ผมจ้างนักสืบออกหาตัวเธอ บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมแอบเฝ้ามองเธอ หัวใจผมพองโต บาปที่เกาะกินในจิตใจผมเริ่มมีความหวังที่จะชำระล้างแล้ว

ผมกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เฝ้าคิดถึงวันที่เราทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ผมจะแต่งงานกับเธอ จะให้เธอทำงานกับผมเพราะกลัวเธอเหงาถ้าอยู่บ้านคนเดียว

ผมจะพาเธอไปเที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ไปทุกที่ที่ผมเคยไปเที่ยวเมื่อครั้งที่ผมอยู่คนเดียว คราวนี้ผมจะได้เที่ยวอย่างไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ผมอยากจะมีลูกซักสองคนกับเธอ และจะให้เธอออกจากงานมาเลี้ยงลูก ผมจะให้พ่อแม่ของเธอมาอยู่ที่บ้านของผม เพื่อเธอจะได้ไม่เหงาและพวกท่านจะได้อยู่กับหลานๆ

ผมจะรักลูกๆทุกคน สอนพวกเขาให้เข้มแข็ง ให้พวกเขาเลือกที่จะเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน

ผมจะพาเธอไปเรียนต่อในมหาลัยอีกครั้ง ให้ได้ใบปริญญา เมื่อครั้งมีโอกาสเธอทิ้งมันเพื่อผม

ผมอยากขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆข้ามทวีปสักครั้งในชีวิต โดยมีเธอนั่งซ้อนไปด้วย

ในบั้นปลายชีวิตเราอยู่บ้านชานเมืองที่เงียบสงบ เวลานั้นแค่เราจ้องตากันก็คงมีความสุขพอแล้ว

เราจะสัญญาต่อกันว่าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจากไปก่อน อีกฝ่ายหนึ่งจะอยู่อย่างเข้มแข็งและไม่ร้องไห้

_________________

ผมหยิบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าตอนนั้นเธอยังคิดอย่างไรกับผมบ้าง ใจหนึ่งก็กลัวจะมีคำพูดบางประโยคในกองจดหมายที่เขียนว่า 'ไม่รักผมแล้ว' ผมเก็บกองจดหมายใส่ลังไว้ที่เดิม

ทุกความคิดทุกความรู้สึก กลั่นกรองออกมาเป็นแรงปราถนาในการที่จะให้ผมไปพบเธอในวันนี้ ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและร้อนใจ แต่เมื่อขับรถมาใกล้จะถึงบ้านเธอผมเริ่มรู้สึกกลัว

ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร จะพูดประโยคแรกเมื่อเจอกันว่าอย่างไร และหลังจากพูดคุยกันเสร็จจะทำอะไรต่อไป ความจริงผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซักซ้อมคำพูดและแววตามาหลายร้อยรอบ แต่ตอนนี้ผมลืมมันไปหมดสิ้น

ผมจอดรถไว้ถัดจากบ้านเธอไป 2 หลังเพื่อให้มีเวลาตั้งตัว ผมเปิดประตูรถและก้าวออกมาโดยไม่ลืมที่จะค่อยๆอุ้มช่อดอกทิวลิปสีม่วงที่ราคาแพงที่สุดในร้านลงมาด้วย

เมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเธอทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกลัวเกินกว่าที่จะกดกริ่งหน้าประตู

ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หลบอยู่หลังเสา และแอบชำเรืองลอดผ่านรั้วเหล็กเข้าไปในตัวบ้านโดยหวังว่าเธอจะออกมาเจอตัวผมเอง

ผมเห็นเด็กน้อยชายหญิงสองคนวิ่งเล่นกันบนสนามหญ้าในตัวบ้าน

ทั้งสองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผู้ชายคนน้องกลิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มก่อนคนพี่จะทิ้งตัวลงนอน เสียงหัวเราะทั้งคู่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์

"อ้าวๆ แก้วไปแกล้งน้องอีกแล้ว ไปนอนทับน้องเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

นั่นเสียงเธอ! ผมไม่ได้ยินเสียงเธอมานานเท่าไหร่แล้วนี่ เสียงที่ผมได้ยินเมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้ง เพราะผมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เคยมีใครพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเท่านี้แล้ว

ผมเห็นเด็กชายคนเล็กรีบลุกและวิ่งไปกอดเธอ เด็กน้อยแกล้งไปซบที่ขาเธอเหมือนจะไปฟ้องว่าโดนพี่สาวแกล้งจริงๆ

"กรมั่วแล้วแม่ น้องเป็นคนลงไปนอนกลิ้งเองต่างหาก หนูเปล่าซะหน่อย"

"เอาล่ะๆ ทั้งคู่รีบไปล้างมือเร็ว แม่เพิ่งอบคุ้กกี้เสร็จ นี่ไงกำลังอุ่นๆเชียว มีน้ำใบเตยของชอบของแก้วด้วยนะ"

"เย้"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้าบ้านไปเพื่อไปล้างมือ ผมคิดว่าถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปผมคงไม่กล้าเดินเข้าไปพบเธออีกแน่นอน อย่างน้อยก็คำบอกลา

ขาทั้งสองข้างไม่ขยับ 

ผมค่อยๆเดินจากมา

ตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน ผมพยายามถามหาเหตุผลจากตัวเองถึงความกลัวที่ปรากฎ

ไร้คำตอบใดๆ

ผมคิดทบทวนทุกเรื่องราวในหัวจนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า 'แค่ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจกัน นั่นก็คือความรักแล้ว' ใช่่แล้ว ผมคงกลัวที่จะทำร้ายจิตใจเธออีกครั้ง จิตใต้สำนึกจึงสั่งไม่ให้ผมไปเจอเธอ

ผมจอดรถข้างทาง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พิมพ์ข้อความว่า

'ขอโทษทุกอย่างที่ทศทำร้ายจิตใจแอมมาตลอด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเพราะแอม จึงทำให้ทศรู้จักกับความรัก อโหสิกรรมให้ทศด้วยนะ'

ป้อนเบอร์โทรศัทพ์ของเธอที่ได้จากนักสืบ

ผมตั้งใจจะกดปุ่ม 'ส่งข้อความ' เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จ แต่เมื่อกำลังจะกดน้ำหนักนิ้วชี้ไปที่ปุ่ม นิ้วมันไปกดปุ่ม 'ยกเลิกส่งข้อความ' โดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา



วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สินค้าหรือศิลปะ




ในห้องทำงานของบรรณาธิการสำนักพิมพ์นิยายชื่อดัง ห้องกระจกเปิดแอร์เย็นฉ่ำเกือบจะหนาวเหน็บ เมื่อเทียบกับอุณหภูมินอกห้องกระจกที่มีพนักงานหลายสิบคนนั่งแออัดกันในห้องขนาดใหญ่ มีเพียงแต่เครื่องปรับอากาศเก่าๆและทำงานส่งเสียงดังที่พอจะลดความร้อนแรงจากอากาศภายนอกให้พอนั่งทำงานได้

วิธิตพลิกกระดาษแผ่นสุดท้ายของหนังสือไปยังปกหลัง ในหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายมีภาพชายชาวต่างชาติวัยกลางคน หวีผมสีน้ำตาลเข้มเรียบแปล้ ระบุชื่อนายอนุชิต เกร๊กสัน อาชีพนักเขียนนิยายในประเทศอังกฤษ เคยมีผลงานนิยายขายดีหลายเล่ม Always my love [1989] A man who kill a woman [1995] Nightmare jason[1999] Bad country [2008] Secret Diary of Beethoven [2011] (ชื่อหนังสือสมมุติทั้งสิ้น) เคยได้รับรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ 2 สมัยซ้อน โดยมีคำโปรยทิ้งท้ายจากคณะกรรมการรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ไว้ว่า

อนุชิต เกร๊กสันเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ เขาใช้ศิลปะและพลังแห่งร้อยแก้ว สร้างสรรค์ศีลธรรมได้อย่างชัดเจน

หลังจากวิธิตใช้เวลากว่าชั่วโมงนั่งอ่านนิยายเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย วิธิตปิดปกหลังของหนังสือและใช้นิ้วมือไปขยับแว่นสายตายาวให้ลดระดับลง เพื่อให้เขาสามารถมองข้ามกรอบแว่นออกไปยังคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ คนที่นั่งตรงข้ามวิธิตคือ อนุชิต เกร๊กสัน

"ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณคุณอนุชิตที่ให้เกียรตินำนิยายเล่มใหม่มาเสนอสำนักพิมพ์ของเรา หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มหนานี้จบแล้ว ผมมีความประทับใจและรู้สึกสนุกที่ได้อ่านมัน คุณรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยได้เหมือนกับคุณเป็นคนไทย อ่อ! เพราะคุณเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เรียนและเติบโตที่ประเทศไทย ก่อนจะไปศึกษาต่อและทำงานที่ประเทศอังกฤษ"

อนุชิตยิ้มเมื่อได้ฟังคำชม เขาแสดงสีหน้าดีใจเมื่อคิดว่าบรรณาธิการจะตีพิมพ์นิยายของเขา

"ขอบคุณมากครับ หนังสือเล่มนี้ผมใช้เวลาถึง 5 ปีในการเก็บข้อมูลและเขียนมันเมื่อผมเริ่มกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อ 5 ปีก่อน"

"เอ่อ... แล้วทำไมถึงกลับมาอยู่เมืองไทย ในเมื่อคุณเป็นนักเขียนคนที่มีชื่อเสียงที่อังกฤษ"

"เพราะเบื่อประเทศอังกฤษ อยากมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย และอีกสาเหตุหนึ่งเพราะผมได้แต่งงานกับผู้หญิงไทยด้วย เราไปจัดงานแต่งงานกันที่อังกฤษ แต่เราทั้งคู่ตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเพราะผมคิดว่าสังคมเมืองไทยเหมาะกับลูกๆของผมมากกว่า"

"แล้วทำไมถึงเอานิยายที่คุณเขียนมาเสนอสำนักพิมพ์ของเราล่ะครับ ทำไมไม่ส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่เคยตีพิมพ์ผลงานของคุณ"

อนุชิตยิ้มก่อนพูดด้วยความเคยชิน เขาเคยอยู่เมืองไทยซึ่งเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มตั้งแต่เกิด

"ผมใช้ฉากของเรื่องเป็นเมืองไทย ตัวละครเป็นชาวต่างชาติที่เลือกมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ผมจึงคิดว่ามันควรที่ตะถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทย และสำนักพิมพ์ของคุณก็เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่น่าสนใจ ผมจึง..."

ก่อนที่อนุชิตจะพูดจบ วิธิตรีบพูดแทรกตัดบททันที

"เอ่อ... คือว่านิยายของคุณเป็นนิยายที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่ามันซับซ้อนเกินไป ผมไม่สามารถเอานิยายของคุณไปตีพิมพ์ได้ ผมต้องขอโทษด้วย"

"อะไรนะ! ผมไม่เข้าใจ คุณเพิ่งจะชมนิยายของผมว่าดี แต่คุณก็ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์มัน เพราะอะไรกัน"

"นิยายของคุณผูกเรื่องที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี แต่ผมคิดว่าคนไทยไม่ชอบอ่านนิยายประเภทนี้เพราะพวกเขาจะตามไม่ทันและเลิกอ่านก่อนที่จะถึงครึ่งเล่ม สำนวนโวหารคุณเขียนได้ดี เขียนพรรณนาได้สวยงาม แต่มันมากเกินไปที่คนไทยจะอ่านเข้าใจ ผมคิดว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจเหตุการณ์และการเดินเรื่องของหนังสือเพราะคำที่สวยหรูรวมถึงคำอุปมาอุปมัยนี้"

"ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคนไทยเขาอ่านอะไรกัน"

อนุชิตเปลี่ยนสีหน้าจากดีใจเป็นสงสัยแทบไม่ทัน เพราะคำชมเปลี่ยนคำปฏิเสธมาอย่างรวดเร็ว

"ถ้าคุณอนุชิตศึกษาหาข้อมูลสำนักพิมพ์ของเรามากอีกนิด คุณจะเห็นว่านิยายกว่าร้อยละเก้าสิบของเราเป็นนิยายรัก เค้าโครงเรื่องจะเป็นแนวรักๆไคร่ๆ นางเอกยากจนแต่หลงรักพระเอกที่ร่ำรวยจากตระกูลผู้ดี เรื่องของหนุ่มสาวที่ไม่รู้จักกันแต่มาพบรักกันพร้อมอุปสรรค ชายหนุ่มที่เกลียดหญิงสาวอย่างเข้าใส้เพราะความเข้าใจผิด สุดท้ายทั้งคู่รักกัน หรือเรื่องการกำจัดมือที่สาม แต่หนังสือของเราทุกเล่มจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทุกครั้ง และสิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามพระเอกและนางเอกตาย"

วิธิตยังพูดไม่จบประโยค เขาแค่พักหายใจชั่วครู่ แต่อนุชิตยิ่งทำหน้างงกว่าเดิมพร้อมอ้าปากค้าง

"ผมเป็นบรรณธิการมาเกือบ 20 ปี ผมย่อมรู้ดีว่าอะไรขายได้อะไรขายไม่ได้ คนอ่านของเราต้องการอะไรที่ง่ายๆไม่ต้องคิดตาม พวกเขารู้ตอนจบของนิยายอยู่แล้วเพียงแต่เขาแค่อยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คนอ่านของเราน่ะครับคุณอนุชิตใช้ไอคิวแค่ 50 ในการอ่านก็พอ แต่งานเขียนของคุณต้องใช้ไอคิวถึง 200"

"แต่ผมคิดว่างานเขียนที่ใช้ไอคิว 50 ในการอ่าน อาจจะทำให้คนที่มีไอคิว 200 ลดลงเหลือ 50 จริงๆเมื่ออ่านนิยายเหล่านั้น เราควรจะให้พวกเขาอ่านนิยายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเพื่อให้พวกเขาฉลาดขึ้น"

"นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเราครับคุณอนุชิต เราต้องการขายสินค้าที่คนต้องการซื้อ ไม่ใช่ขายงานศิลปะที่น้อยคนที่จะดูมันเป็น ผมยอมรับว่างานเขียนของคุณเป็นงานศิลปะชั้นยอด แต่คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะมองเห็นคุณค่าของมันและจะซื้อ เราต้องของโทษด้วยนะครับที่ไม่สามารถตีพิมพ์งานเขียนของคุณได้"

อนุชิตยังคงทำสีหน้างงกับสิ่งที่วิธิตพูด

"อะไรกัน ประเทศไทยก็มีนักเขียนมือรางวัลระดับนานาชาติหลายคน พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกับหมด"

"รางวัลอาเชียนไรท์น่ะเหรอครับ หนังสือรางวัลก็ได้แค่กล่อง ยอดขายมันก็ยังสู้พวกนิยายรักๆใคร่ๆไม่ได้ หนังสือที่ได้รางวัลก็มักจะอยู่แต่บนหิ้งของร้านหนังสือ รอวันส่งกลับคืนสำนักพิมพ์ อ่อ! พอดีผมมีประชุมกับนักเขียนประจำของสำนักพิมพ์ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า เดี๋ยวผมต้องขอตัวก่อนนะครับ สุดท้ายผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้อ่านชั้นดีมานานมากแล้ว ขอบคุณนะครับคุณอนุชิต"

วิธิตเดินอ้อมโต๊ะเตรียมจะออกจากห้องทำงานกระจกของเขา โดยที่เขาไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับกับมือของอนุชิตตามธรรมเนียมตะวันตก วิธิตออกไปจากห้องแล้วทิ้งไว้แต่อนุชิตให้ยืนงงทำอะไรไม่ถูก สักพักอนุชิตจึงตั้งสติได้ก่อนเดินออกจากห้องทำงาน เดินออกจากตึกเพื่อไปโบกรถแท๊กซี่

รถแท๊กซี่จอด อนุชิตเปิดประตูขึ้นไปนั่ง เขาบอกจุดหมายปลายทางแก่โชเฟอร์ก่อนอนุชิตจะเอนหลังลงที่เบาะพร้อมพักสายตาลงในห้องโดยสารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

รถแท๊กซี่จอดที่จุดหมายในตรอกแคบๆใจกลางเมือง อนุชิตจ่ายเงินพร้อมให้ทิปคนขับรถก่อนจะปิดประตูรถ เขาเดินตรงไปยังร้านอาหารตามสั่งเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่อนุชิตลงจากรถ เมื่อถึงหน้าร้านอนุชิตตะโกนสั่งอาหาร

"ข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาว"

อนุชิตสั่งอาหารเสร็จก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เขาวางกระเป๋าเอกสารไว้บนโต๊ะและเตรียมหญิบกระเป๋าเงินมาไว้ในมือ เวลาผ่านไปไม่นานพ่อครัวหัวทองนัยตาสีฟ้าใสเดินถือจานอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ อนุชิตเปิดกระเป๋าเงินและหยิบธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์ 50 ใบส่งให้ชายที่เพิ่งจะวางจาอาหารลงบนโต๊ะ

"Oh Greg... I think that I must win the bet." (โอ้เกรก... ฉันคิดไว้แล้วว่าฉันต้องชนะเดิมพัน)

"Yes, john... you win a bet. This's your money." (ใช่แล้วจอห์น นายชนะ นี่เงินของนาย)

*** (เพื่อความสะดวกของผู้อ่านและผู้เขียน บทสนทนาต่อไปนี้ตัวละครใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนา แต่ผู้เขียนขออนุญาติเขียนเป็นภาษาไทย)***

"ฉันบอกนายแล้วว่านายไม่มีทางได้ตีพิมพ์งานเขียนของนายที่สำนักพิมพ์นั้นได้แน่นอน"

"โอเค ตอนนี้ฉันเชื่อนายแล้ว บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไม่นายถึงรู้ว่างานเขียนของฉันจะไม่ผ่าน"

"นายเป็นนักเขียนนิยาย และฉันก็เป็นนักอ่านนิยาย ฉันรู้จักนายดีว่างานเขียนของนายมันเป็นงานเขียนที่ดี อ่านสนุก แต่เมียคนไทยของฉันก็เป็นนักอ่านด้วย เธอมีหนังสือนิยายของสำนักพิมพ์ที่นายเพิ่งจะไปมาหลายร้อยเล่มบนชั้นหนังสือ ฉันใช้หนังสือเหล่านั้นในการศึกษาภาษาไทย และเมื่อฉันเริ่มแต่กฉานในการอ่านภาษาไทยแล้วฉันจึงรู้ดีว่า นิยายเหล่านี้มันห่วยแค่ไหน และเมื่อนายมาอยู่เมืองไทยและบอกฉันว่าต้องการเขียนนิยายในเมืองไทย ฉันจึงคิดว่าสำนักพิมพ์นั้นไม่มีทางที่จะตีพิมพ์งานเขียนของนายอย่างแน่นอน เพราะสติปัญญานักอ่านของพวกเขาคงไม่สามารถอ่านงานของนายได้"

จอห์นยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อกำเงินจำนวน 5 พันดอลล่าร์ที่ได้จากเดิมพันในมือ

"โธ่...จอห์น นายเล่นแรงกันเกินไปแล้ว เงิน 5 พันดอลล่าร์สามารถใช้ได้เป็นปีๆในเมืองไทยเลยนะ แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะแล้วนายจะมีเงินจ่ายให้ฉันไหม"

จอห์นหัวเราะชอบใจเล็กน้อยก่อนจะพูด

"ไม่เอาน่าเกร๊ก นายรู้ดีว่าค้าๆขายๆในเมืองไทยจะไปเอาเงินที่ไหนมาเป็นแสนๆ ฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าฉันต้องชนะ เอาเป็นว่าอาหารจานนี้ฉันเลี้ยงนายเอง ส่วนเรื่องเงินที่นายจ่ายให้ฉันมา ฉันแนะนำให้นายเอานิยายเรื่องนั้นมาปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แล้วส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่อังกฤษ โดยให้เปลี่ยนจากชาวต่างชาติมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เปลี่ยนเป็นชาวไทยที่ต้องการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ รับรองว่ามันต้องได้ตีพิมพ์อย่างแน่นอน และนายจะได้เงิน 5 พันคืนหลายเท่าตัวเมื่อรวมส่วนแบ่งจากยอดขายที่นายจะได้รับ"

"นายแน่ใจเหรอจอห์น"

"ฉันมั่นใจเกร๊ก ก่อนที่ฉันจะมาอยู่เมืองไทย ฉันเป็นบรรณาธิการหนังสือที่ยูเอสเอ ถ้าตอนนั้นฉันไม่เบื่อประเทศและตัดสินใจมาอยู่กับเมียคนไทยที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน ฉันคงทำงานเป็นบรรณาธิการเป็นปีที่ 20 แล้ว ฉันมั่นใจว่านักอ่านในประเทศอังกฤษชอบอ่านนิยายของนายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเหมือนกันกับที่ยูเอสเอ"

"ขอบใจมากจอห์น แล้วฉันจะแก้ไขนิยายของฉันก่อนจะส่งไปที่สำรักพิมพ์เก่าของฉัน ที่นั่นคงจะต้อนรับฉันอยู่"

"นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวฉันปิดร้านเลยละกัน"

จอห์นใช้เวลาที่อนุชิตนั่งกินอาหารไปเก็บของในร้านและปิดประตูหน้าร้านลง จากนั้นเขาเดินไปที่ตู้แช่เครื่องดื่มพร้อมหยิบขวดเบียร์ออกมา 2 ขวด และแก้วทรงสูงอีก 2 ใบไปวางที่โต๊ะของอนุชิต

"Oh...John, I love Thai beer. I think it tastes best in the world. Don't tell anyone that this is the real reason I came back to Thailand."

(โอ้จอห์น ฉันรักเบียร์ไทย ฉันคิดว่ามันมีรสชาติที่ดีที่สุดในโลก อย่าบอกใครนะว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ฉันกลับมาอยู่เมืองไทย)

บรรยากาศเสียงหัวเราะตลบอบอวน ทั้งคู่ดื่มด่ำกับรสชาติของเบียร์พร้อมด้วยเรื่องเล่าสนุกๆจากนักเขียนนิยายชื่อดังและเสียงหัวเราจากอดีตบรรณาธิการหนังสือชื่อดังเช่นกัน



วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรงแรมอลวน




ไวพจชายวัย 65 ปี นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องน้ำ ระหว่างทำธุระส่วนตัวบนชักโครกในสำนักงานวางระบบคอมพิวเตอร์ของเขา

'ปัง!'

เสียงประตูถูกถีบแรงจนกลอนประตูแตกกระจาย ไวพจตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงใช้หนังสือพิมพ์ปิดส่วนล่างของเขาไว้ ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำจำนวน 5 คนเข้ามายืนพร้อมกันในห้องน้ำแคบๆ

"เรามาตามนัดที่เราสัญญากันไว้ครับ คุณไวพจ"

ชายหนุ่มคนกลางพูดถึงเหตุผลที่พวกเขามาในครั้งนี้

"เอ่อ! ขอฉันทำธุระในนี้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอ พวกเธอออกไปรอในออฟฟิศชั้นข้างนอกก่อนดีกว่ามั้ย"

'จ๋อม!'

เสียงก้อนของเสียของไวพจหล่มลงน้ำในโถชักโครก ชายหนุ่มในชุดหนังคนหนึ่ง ใช้เท้าเหยียบลงบนคันโยกของชักโครก เสียงน้ำไหลดัง

"พอดีเราต้องรีบไป คุยกันให้เสร็จในนี้เลย"

ชายหนุ่มคนกลางพูดต่อ

"ก่อๆ ก็ได้ พวกเธอมีธุระอะไร"

"วันนี้เรามาเก็บเงินที่คุณยืมจากเราไป ตอนนี้รวมดอกแล้วก็ 3 แสนบาท"

"จะบ้าเรอะ! ชั้นเอาเงินมาแค่ 7 หมื่นเอง"

ไวพจตะโกนเสียงดังลั่น กลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 หันหน้ามองกันไปมา

"ที่เหลือมันค่าทวงหนี้ ไม่เห็นเหรอพวกเรามากันตั้ง 5 คน ค่าทวงหนี้ต้องใช้คนถึง 5 คน"

ไวพจกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบมีดออกมาจากกระเป๋า

"อย่าให้มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเลย ค่าใช้อุปกรณ์เท่ากับคนทวงหนี้ 10 คน"

ไวพจกลืนน้ำลายอีกครั้ง เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของแก๊งทวงหนี้พวกนี้มาแล้ว หากใครเบี้ยวครั้งที่ 3 ก็ตายแน่นอน

"งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันพ่อหนุ่ม ชั้นจะเอาเงินจำนวน 3 แสนมาให้ภายในอีก 3 วันข้างหน้า"

"อีก 3 วัน ตกลงตามนี้"

ชายหนุ่มในชุดหนัง 5 คนค่อยๆเดินออกไปจากห้องน้ำและสำนักงานของไวพจอย่างง่ายดาย ไวพจทำท่าเป่าปากก่อนจะรีบทำธุระให้เสร็จ เขาออกมาจากห้องน้ำ ไวพจรีบตรงไปที่โทรศัพท์มือถือ เพื่อต่อสายไปถึงใครบางคน

.......

"โธ่พี่ชาย รับรองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย"

"แกพูดแบบนี้มา 3 ครั้งแล้ว ชั้นควรจะเชื่อแกดีมั้ย ของเดิมแกก็ยังไม่ใช้ให้ชั้นเลย"

เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากสายปลายทางดังลั่น จนไวพจตกใจ

"เอาอย่างนี้ละกัน เงิน 3 แสนมันต้องใช้เวลา ถ้าภายใน 3 วันไม่มีทางแน่ แกมาพบชั้นที่โรงแรมของชั้น แล้วแกก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าชั้นจะเตรียมเงินให้แกได้"

สีหน้าไวพจเริ่มมีรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวพจตั้งใจจะไปขอยืมเงินพี่ชาย เขาเอาเงินก้อนโตจากพี่ชายมาแล้ว 3 ครั้ง 3 ครั้งรวมกันแล้วยังไม่เท่าครั้งนี้ที่มากถึง 3 แสน และทุกครั้งที่ไวพจเอาเงินมา เขาก็ชักดาบทุกครั้ง

"ขอบคุณมากครับพี่ชาย ทั้งชีวิตนี้ผมก็มีพี่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งได้"

"เอ่อๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ยังไงก็รีบมาแล้วกัน เจอกันเย็นนี้"

"ครับพี่ชาย เจอกันที่โรงแรมเอ็มลอร์ดใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่! ครั้งนี้แกมาเจอชั้นที่โรงแรมเล็กๆของชั้นที่นอกเมือง เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ไปให้"

"ได้ครับ"

ไวพจรับคำเสร็จก็รีบวางสายโทรศัพท์ เขารีบจัดแจงเก็บเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ และจากนั้นก็รีบโบกแท็กซี่ไปยังที่อยู่ที่ได้รับทางโทรศัพท์ และในที่สุดแท็กซี่ก็มาส่งไวพจยังสถานที่เป้าหมายสำเร็จ

สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงหน้า จากคำบอกเล่าของพี่ชายนั้นคือโรงแรมเล็กๆที่อยู่ชานเมืองออกไปไกล และยังอยู่ในซอกซอยลึกลับ ยากที่จะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนจะหาเจอหรือเดินผ่าน เขามองครั้งแรกด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่คือโรงแรม เพราะลักษณะภายในที่เงียบเชียบและรั้วรอบขอบชิดเกินกว่าที่มีใครจะอยากเข้าไปพัก แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่สามารถเดินกลับหลังได้แล้ว ไวพจจึงได้แต่หยิบกระเป๋าและค่อยๆเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าแคบๆ เพื่อเข้าไปยังล็อบบี้

"สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีมีคนจองห้องพักไว้ให้ผม นี่ครับบัตร"

สีหน้าของพนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่แก่ชรา เธอทำท่างุ่มง่ามรับบัตรประชาชนจากไวพจ จากนั้นจึงกดโทรศัพท์ไปหาใครคนหนึ่ง หลังจากพนักงานชราสนทนาผ่านโทรศัพท์เสร็จ เธอหันหน้ามามองไวพจอีกครั้ง พร้อมใช้มือมาขยับแว่นตาหนาเตอะที่เธอสวม เพื่อให้มองเห็นใบหน้าของไวพจอย่างชัดเจน จากนั้นพนักงานชราบรรจงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่และเรียกชายที่เหมือนกับทำหน้าที่ยกกระเป๋าให้มารับกุญแจ พนักงานยกกระเป๋าเดินตรงเข้ามารับพวงกุญแจและชายตามองมาที่ไวพจไม่กระพริบ ไวพจรู้สึกไม่ชอบหน้าของพนักงานยกกระเป๋าคนนี้เท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายที่สูงและตัวค่อนข้างใหญ่ หวีผมเรียบแปล้และทาลิปสติกสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก นั่นทำให้ไวพจถึงกลับรีบหลบสายตาทันทีที่เขาถูกจ้อง

"เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้หน่อยค่ะ"

พนักงานชรายื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้ไวพจ ไวพจอ่านมันคร่าวๆ เมื่อเห็นว่ามันคือแค่เอกสารขอเข้าพัก เขารีบลงลายมือชื่ออย่างรวดเร็วลงบนเอกสารแผ่นนั้น

'นี่มันโรงแรมบ้าอะไรวะเนี่ย!' ไวพจคิดในใจพร้อมทำหน้าตาไม่ชอบใจและงุนงง แต่สิ่งที่ทำให้ไวพจประหลาดใจมากกว่าก็คือ เมื่อเขาหันหน้าไปทางลานล็อบบี้ที่มีชุดโต๊ะโซฟา เขาเห็นกลุ่มคนหลายคนนั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะไม่ไหวติง มีบางคนเท่านั้นที่หันมาทางไวพจ บางคนมียิ้มที่มุมปากส่งกลับมา และทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้ล้วนเป็นคนแก่ชราแทบทั้งสิ้น ไวพจคิดว่านี่มันโรงแรมหรือบ้านพักคนชรากันแน่นะ

"เชิญคุณไวพจครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่ห้อง"

พนักงานยกกระเป๋าเดินมาหยิบกระเป๋าของไวพจ และนำทางขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน ประตูห้องพักถูกเปิดออก ข้างในประดับไว้ด้วยของตกแต่งอย่างดี นั่นทำให้ไวพจอุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าที่นี่น่าจะเป็นโรงแรมจริงๆ ในห้องนี้มีทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกให้ได้

"อา... ห้องช่างสะดวกสบายจริงๆ เอ้านี่ขอบคุณมาก น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากฉัน"

ไวพจควักแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อยื่นให้คนยกกระเป๋า

"ขอบคุณมากครับ แต่ที่นี่เราไม่มีนโยบายรับทิปจากแขกผู้เข้ามาพัก ขอให้พักผ่อนให้สบายนะครับ"

พนักงานยกกระเป๋าค่อยๆบรรจงปิดประตูจนแทบจะไม่มีเสียง ไวพจรู้สึกปลอดภัยที่มาอยู่สถานที่แห่งนี้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จไวพจก็มาเปิดทีวีดูและเผลอหลับไปโดยทีวียังถูกเปิดทิ้งไว้

วันถัดมา ไวพจตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น จากการที่เขาได้นอนหลับอย่างเต็มที่แล้ว ไวพจคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนลืมปิดทีวี เขาควานหารีโมททีวีเพื่อจะปิดมัน แต่ยังไม่ทันที่จะหาเจอไวพจก็เห็นทีวีที่ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว และรีโมทก็วางอยู่ข้างๆทีวี ไวพจคิดว่าเมื่อคืนเขาคงปิดมันแล้ว ไวพจลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนที่จะออกไปหาอะไรกิน เขาคิดว่าเดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปขอบคุณพี่ชายสักหน่อย แต่เมื่อไวพจค้นหาโทรศัพท์มือถือ เขากลับไม่เจอมัน ไม่ว่าจะหาจากกระเป๋าเสื้อหรือกางเกง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่พบมัน ไวพจรีบสำรวจข้าวของๆเขาปรากฏว่าทุกอย่างอยู่ครบยกเว้นโทรศัพท์มือถือ ไม่รอช้า ไวพจรีบแต่งตัวและออกจากห้องเพื่อไปยังออฟฟิศข้างล่างเพื่อถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พนักงานที่อยู่ประจำออฟฟิศยังเป็นหญิงชราใส่แว่นตาหนาเตอะคนเดิม เธอเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเมื่อไวพจเข้าไปถาม

"คุณครับ เมื่อคืนมีคนเข้าไปในห้องผม และยังเอาโทรศัพท์มือถือผมไปด้วย ช่วยเช็คกล้องวงจรปิดให้หน่อยได้มั้ยว่าใคร"

ไวพจพูดด้วยกับพนักงานชรา เขาไม่แม้จะสบตากับเธอ ส่วนพนักงานชราก็ทำท่าเหมือนไม่โต้ตอบอะไร นั่นยิ่งทำให้ไวพจอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก

"นี่คุณ! นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ ที่นี่มีขโมยครับ ถ้าโรงแรมไม่สามารถตามหาคนร้ายให้ผมได้ ผมคงต้องแจ้งความกับตำรวจแล้วล่ะ"

พนักงานชรายังคงทำสีหน้าไม่รับรู้อะไร ไม่พูดโต้ตอบไม่แม้แต่จะมองหน้าไวพจ เธอยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารที่กำลังคัดแยก ไวพจเริ่มหมดความอดทน เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมเรียกหาโทรศัพท์เพื่อจะโทรแจ้งตำรวจ ไวพจเห็นเครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงานจึงเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่วางเครื่องโทรศัพท์ และใช้มือซ้ายยกหูก่อนใช้มือขวากดเบอร์โทร

ทันใดนั้น! มือๆหนึ่งที่ทั้งนุ่มและนิ้วมือเรียวงาม เล็บที่ถูกตกแต่งพร้อมทาสีชมพูอ่อนก็มาประกบจับที่มือของไวพจที่กำลังกดปุ่มบนเครื่องโทรศัพท์ เจ้าของมือนุ่มนั่นคือชายที่ช่วยไวพจหิ้วกระเป๋าขึ้นห้องนั่นเอง เขาออกแรงบิดข้อมือของไวพจจนไวพจร้องตะโกนลั่น

"นี่เธอเป็นใครกัน มีสิทธ์อะไรมาห้ามฉันไม่ให้ใช้โทรศัพท์ และนี่ยังเข้าข่ายทำร้ายร่างกายกันอีกด้วยนะเนี่ย ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ"

ชายหนุ่มยังคงล็อคข้อมือของไวพจไว้จนไวพจไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ สักพักชายหนุ่มใช้มืออีกข้างมาประคองไหล่ของไวพจ และพยายามบังคับให้เดินไปนั่งยังโต๊ะที่มีเก้าอี้สองตัว ไวพจถูกลากมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง เมื่อถูกปล่อยมือไวพจทำท่าทางเจ็บและโวยวาย ไม่ช้าพนักงานหญิงชราที่อยู่นอกห้องสำนักงานก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มานั่งยังเก้าอี้อีกตัว

"คุณไม่ต้องห่วงเรื่องข้อมือนะคะ เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่คนนี้ของเราจะมีหน้าที่คอยจัดการทุกอย่างในนี้ เขายังเป็นนักกายภาพบำบัดที่มีฝีมือของเราด้วย"

"เจ้าหน้าที่เรอะ? ที่นี่มันโรงแรมแบบไหนกันแน่ แล้วเรื่องโทรศัพท์ของผมจะว่ายังไงกัน"

ไวพจพูดพร้อมหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่หนุ่ม

"คือว่าที่นี่เราไม่มีนโยบายให้ผู้เข้าพักของเราใช้โทรศัพท์มือถือค่ะ เมื่อคืนขณะที่คุณไวพจหลับ พนักงานท่านนี้จึงไปเอาโทรศัพท์ของคุณไวพจมาเก็บไว้"

"นี่มันโรงแรมบ้าประเภทไหนกัน! ต่อสายโทรศัพท์ถึงเจ้าของโรงแรมให้ผมที ผมอยากจะคุยกับเขาหน่อย"

ไวพจพูดเสียงดังจนเป็นที่สนใจของคนอื่นที่อยู่ในล็อบบี้ ผู้คนมากมายต่างมายืนล้อมรอบห้องสำนักงานเพื่อเฝ้ามองดูเหตุการณ์ พนักงานหญิงชราสบตาพร้อมพยักหน้้าให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปหยิบเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้บนโต๊ะที่ไวพจนั่ง ไม่รอช้าไวพจรีบขยับเครื่องโทรศัพท์มาวางไว้ตรงหน้า พร้อมยกหูโทรศัพท์และกดหมายเลขที่คุ้นเคยลงไป

"พี่! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมบ้าๆนี่รู้มั้ย"

ไวพจตะโกนเสียงใส่โทรศัพท์

"นี่ๆเจ้าไวพจ แกไม่ต้องขอบอกขอบใจฉันมากขนาดนี้ก็ได้ เป็นยังไงบ้างคืนแรกกับที่นั่นดีใช่มั้ย"

"ดีกะผีอะไรเล่า มีคนขโมยโทรศัพท์ฉัน และเช้านี้ยังมีเด็กยกของมาบิดข้อมือฉันอีก ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เนี่ย?"

"ใจเย็นๆ อย่าไปทำให้เขาโกรธ ถ้าแกไปทำให้เขาโกรธจัดจะโดนหนักกว่านี้อีกนะฉันขอเตือนไว้ก่อน เอาล่ะ... แกโทรมาก็ดีแล้วฉันจะได้บอกความจริงแก ความจริงที่เป็นสถานที่ๆพวกลูกหลานคนมีเงิน มักจะเอาพ่อแม่ของเขามาฝากไว้ แกเชื่อมั้ยว่าธุรกิจนี้ทำเงินเป็นบ้าเลยว่ะ ลูกๆยอมจ่ายเงินแพงๆเพื่อให้พ่อแม่ของเขามาอยู่ที่นี่"

เสียงพี่ชายของไวพจตอบกลับมา ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่น

"แกอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้ฉันอีก รู้มั้ยว่าค่าใช่จ่ายต่อคนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องจ่ายปีละ 1 ล้านบาท"

"แต่นี่คือการลักพาตัว กักขังหน่วงเหยี่ยว"

"เอกสารที่แกเซ็นเมื่อวานคือหนังสือยินยอมให้อยู่ในการควบคุมของสถานที่แห่งนี้ แกไม่ได้อ่านเลยเหรอ เอาล่ะ... แกอยู่ในนั้นก็ทำตัวดีๆนะจะได้ไม่เจ็บตัวอีก ไว้ค่อยคุยกันโอกาสหน้า"

"ดะๆ เดี๋ยวๆ"

เสียงปลายสายวางไปแล้ว แต่ไวพจยังไม่หายคับข้องใจ เขาพยายามหาวิธีต่อรองกับคนทั้งสองตรงหน้า

"นี่รู้มั้ยว่าฉันคือน้องชายแท้ๆของเจ้าของที่นี่"

หญิงชราและชายหนุ่มหันมามองหน้ากัน และก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา

"นี่คุณ แขกของเราหลายคนก็ชอบอ้างว่าเคยเป็นคนนู้นเป็นคนนี้อยู่บ่อยๆ เป็นพ่อแม่ของนักการเมืองบ้าง ผู้มีอิทธิพลบ้าง แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อลูกๆของพวกเขายอมจ่ายเงินเพื่อส่งพ่อแม่มาอยู่ที่นี่แล้ว เราคงไม่ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองแน่ และที่สำคัญพวกเราไม่เจอกับคนที่เป็นเจ้าของที่นี่สักครั้งเลย เราไม่สนใจหรอกครับว่าแขกของเราจะพูดอะไร หน้าที่ของเราคือดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด"

เจ้าหน้าที่หนุ่มหันมาพูดกับไวพจ

"นี่พวกคุณจะบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่จริงๆเหรอ?"

ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

ไวพจเริ่มเกิดอาการวิตก เขานึกถึงภาพคนชราหลายสิบคนที่นั่งล้อมวงอย่างซึมเศร้าเหงาซึมที่ล๊อบบี้ แม้ไวพจจะมีอายุเลยเลข 6 กลางๆมาแล้ว แต่ตัวเลขแค่นี้ไม่น่าจะถึงกับต้องมาอยู่ในบ้านพักคนชรา ในหัวของเขาตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หนีออกไปจากที่นี่ก่อน คิดได้ดังนั้นไวพจรีบลุกขึ้นและวิ่งออกจากห้องสำนักงาน เขาพยายามวิ่งออกทางประตูหน้าของอาคาร ทางออกสู่ถนนที่ทั้งแคบและมีสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด ประตูที่จะออกไปสู่ถนนก็ไม่กว้างนัก เพราะที่นี่เป็นสถานที่แบบนี้นี่เอง ทางเข้าออกจึงไม่สะดวกสบาย

อีกแค่ไม่กี่ก้าว ไวพจก็จะรอดผ่านประตูแคบๆออกไปได้ แต่ทันใดนั้น! ร่างใหญ่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยก็โผล่มายืนขวางประตูไว้ ไม่ให้มีสิ่งใดรอดออกไปได้

...

ในที่สุดไวพจก็กลับมาอยู่ในท่าถูกล็อคข้อมือจากเจ้าหน้าที่คนเดิม พนักงานหญิงชรายืนอยู่ต่อหน้าเขา

"เรามีมาตรการสำหรับแขกที่คิดจะหลบหนีคือการถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเป็นเวลา 3 วันโดยไม่ให้ออกไปไหน แต่เราคงไม่ใจร้ายพอที่จะอดข้าวอดน้ำแขกของเราหรอก ใหม่ๆก็เป็นกันแบบนี้ทุกคนแหละคุณไวพจ แต่พอคนถูกขังไว้สักสองสามครั้งเดี๋ยวเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะหนี เพราะยังไงก็ไม่มีใครสามารถหนีไปจากที่นี่หรอก ถึงจะมีคนหนีออกไปจากที่นี่ได้แต่เดี๋ยวก็ถูกลูกหลานส่งกลับเข้ามาอีก"

สีหน้าของไวพจตกใจสุดขีด ถึงกับพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยืนนิ่ง เขาถูกลากตัวขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน

ไวพจยืนอยู่ในห้องพักของเขา ประตูถูกปิดจากชายคนเดิมแต่ครั้งนี้เสียงดังโครม! เสียงคล้องกุญแจดังขึ้นแสดงว่าประตูห้องนี้ถูกล็อคไว้ไม่ให้คนข้างในออกไปได้ ไวพจเดินไปลองผลักแต่ก็ไม่สามารถออกไปได้ เขาคิดว่าในช่วงเวลา 3 วันนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งวางแผนการหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้

ตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว เดี๋ยวคงจะมีคนเอาอาหารมาส่ง ไวพจคิดว่าเขาต้องทำใจอยู่ในห้องนี้อย่างเงียบๆไปก่อน เพื่อที่จะให้คนอื่นตายใจ และอีกชั่วครู่ เสียงไขกุญแจประตูก็ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกให้แม่บ้านเข็นรถที่วางจานอาหารเช้าอย่างดีมาเสิร์ฟให้ถึงในห้อง แต่ภายหลังบานประตูเมื่อไวพจสังเกตดีๆก็เห็นเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่คอยเฝ้าอยู่นอกห้อง แม่บ้านบรรจงยกจานอาหารมาวางไว้บนโต๊ะพร้อมส่งยิ้มให้กับไวพจเพื่อสร้างมิตรภาพ ไวพจรู้สึกเป็นมิตรจึงเอ่ยปากถามบางสิ่งกับแม่บ้านคนนั้น

"เอ่อ... ขอโทษนะครับ อาหารชั้นดีขนาดนี้ไม่ทราบว่านำมาจากข้างนอกหรือปรุงอาหารกันในโรงแรม?"

ไวพจทำสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นอาหารที่ดูน่ากิน

"เรามีห้องครัวเป็นของตัวเองค่ะ มีพ่อครัวสำหรับทำอาหารโดยเฉพาะ และพ่อครัวของเราก็ทำอาหารอร่อยด้วย ทำให้บรรดาแขกๆของเราได้เพลิดเพลินกับมื้ออาหารของพวกเขา"

แม่บ้านตอบด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มเจือปน

"โอ้ว... จริงหรือครับนี่ ผมเห็นในนี้มีคนอยู่เป็นร้อย คงต้องใช้วัตถุดิบเยอะมากแน่ๆ ใช่มั้ยครับ"

แม่บ้านหัวเราะชอบใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบ

"ใช่ค่ะ เพราะมีคนเยอะ เราจึงต้องมีระบบจัดการให้ดี แค่ในครัวเราก็มีพ่อครัวเป็นสิบ แบ่งหน้าที่กันชัดเจนเพื่อให้สามารถทำอาหารได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องความสะอาดก็ไม่ต้องห่วงเพราะเรามีเจ้าหน้าในการรักษาความสะอาด เรามีถังขยะขนาดใหญ่หลังครัวเพื่อรวบรวมขยะและเศษอาหารทั้งหมด และจะมีคนเอามันไปทิ้งทุกอาทิตย์"

แม่บ้านวางจานอาหารวางช้อนส้อมเสร็จ จึงเดินออกไปจากห้อง

'ถังขยะขนาดใหญ่ มันจะถูกนำไปทิ้งทุกอาทิตย์' ไวพจคิดถึงคำสองคำนี้แล้วเริ่มมองเห็นหนทางในการหนีทันที แต่ตอนนี้เขาทำได้แต่เพียงต้องคิดว่า ในการแหกคุกครั้งนี้ก็ใช้อะไรบ้าง และเขาต้องเตรียมตัวอย่างไร

ไวพจจัดการกับอาหารจนหมด เขาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำเปล่าออกมาและรินใส่แก้ว ไวพจเดินไปที่ประตูกระจกที่จะเปิดออกไปสู่ระเบียงห้อง เขารูดผ้าม่านออกสิ่งปรากฎสู่สายตาของเขาคือ ด้านล่างมีสระว่ายน้ำที่อยู่ติดกับตัวอาคาร ถัดไปมีสนามเทนนิสและสวนกลางแจ้ง และเมื่อมองออกไปไกลๆเขาเห็นอาคารหลังหนึ่งมีปล่องระบายอากาศ ไวพจคิดว่าอาคารหลังนั้นต้องเป็นอาคารที่มีห้องครัวแน่ๆ และถังขยะใบใหญ่ต้องอยู่ใกล้ๆกันนั้น

เวลาส่วนใหญ่ของไวพจที่ใช้ในห้องนี้คือ นั่งเฝ้ามองออกไปนอกอาคารเพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้คนที่อยู่ภายนอก เขาตั้งใจว่าถ้าออกไปจากห้องได้คราวนี้เขาต้องไปสำรวจและป้วนเปี้ยนแถวห้องครัวให้ได้ ใน 3 วันแห่งการถูกขังเดี่ยวนี้

ในที่สุดไวพจก็ถูกกักตัวในห้องพักครบ 3 วัน และวันนี้เป็นวันที่เขาจะได้ออกไปนั่งกินข้าวเช้าข้างนอกห้อง

"เป็นอย่างไรบ้างครับ เวลา 3 วันที่อยู่ในห้อง"

สีหน้าของพนักงานหนุ่มยังคงดูจริงจังจนไวพจยังเริ่มรู้สึกเกร็งๆ แต่ไวพจก็ยังพยายามพูดโต้ตอบ

"ก็ดี อยู่ที่นี่ก็สบายดี เตียงนุ่มสบายอาหารอร่อย เพียงแต่ฉันอยากออกไปเดินเล่นที่สวนกลางแจ้งตรงนั้นบ้าง"

ไวพจพลางชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง เจ้าหน้าที่หนุ่มหันหน้าออกไปทิศที่นิ้วของไวพจชี้

"อ่อ... คุณไวพจสามารถไปที่นั่นได้ตลอดเวลาครับ จะว่ายนำหรือไปตีเทนนิสก็ทำได้ เอาล่ะครับ ผมเอากุญแจห้องนี้มาให้ เดี๋ยวเิชิญคุณไวพจเดินลงไปรับประทานอาหารที่ชั้นล่างครับ ถ้าคุณไวพจต้องการอะไร หรือไม่ได้รับความสะดวกอะไรให้มาบอกที่ผมได้ครับ"

ผู้จัดการหนุ่มพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไป ไวพจเห็นท่าทางกิริยาของชายหนุ่มเมื่อสักครู่ก็รู้สึกพอใจกว่าเมื่อตอนเจอกันก่อนหน้านี้ เขานึกคิดในใจว่าสถานที่แห่งนี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน สุขสบายทุกอย่าง แต่ไวพจต้องรีบหยุดความคิดนั้นโดยพลันเมื่อเขาคิดว่าถ้าจะต้องอยู่ที่นี่เป็นสิบๆปี

ไวพจเดินลงมาที่ล๊อบบี้ของทางโรงแรม อาหารเช้าถูกวางไว้ที่โต๊ะรอเพียงแต่คนมานั่งกิน เขาเลือกที่จะไปนั่งยังโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ไวพจนั่งเคี้ยวอาหารโดยไม่สนใจใครจนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังแทรกเข้ามา

สวัสดีจ้ะ เพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่เหรอจ้ะ

ไวพจเงยหน้าขึ้นมาดูต้นทางของเสียง เจ้าของเสียงที่ฟังแล้วอบอุ่นดูเป็นมิตรนั้นคือหญิงชราอายุน่าจะเลยเลข 8 ไปแล้ว แต่ถ้าทางของเธอนั้นยังดูแข็งแรงและสีหน้ามีความสุข ซึ่งต่างจากคนอื่นๆที่นั่งในโต๊ะเดียวกัน ที่ต่างดูท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่สนใจสิ่งใดๆรอบข้าง

ชะๆ...ใช่ครับ ผมเพิ่งจะเข้ามาอยู่ใหม่เมื่อ 4 วันที่แล้วนี่เองครับ

อ้าวเหรอ มาอยู่แล้วตั้ง 4 วันแล้วทำไมเพิ่งจะเห็นหน้ากันวันนี้เองล่ะ

ไวพจหันซ้ายแลขวาก่อนจะตอบหญิงชราคนนั้น

รู้แล้วอย่าไปบอกใครนะ คือวันที่สองที่ผมก้าวเข้ามาพอรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ความจริงคือสถานกักขังคนชรา ผมพยายามจะหนีออกไป จึงโดนลงโทษถูกกักอยู่แต่ในห้องพัก 3 วัน

หญิงชราระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เรียกความสนใจจากคนอื่นๆที่นั่งกินข้าว ไวพจท่าทางตกใจเล็กน้อย เมื่อหญิงชราสงบเสียงหัวเราะลงได้ เธอก็ปลอบใจไวพจทันที

นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เธอเชื่อมั้ยว่าคนที่มาอยู่ที่นี่ทุกคน ไม่มีใครรู้เลยว่าสถานที่แห่งนี้ที่แท้จริงแล้วคือสถานที่แบบไหน ทุกคนล้วนถูกหลอกพาให้เดินเข้ามาที่นี่โดยลูกๆของพวกเขาเอง บางทีก็อ้างว่ามาเที่ยวบ้าง มาพักค้างคืนบ้าง เธอดูสิ

หญิงชราพูดถึงประโยคนี้พร้อมกับผายมือให้ไวพจมองดูไปรอบๆ เพื่อดูสถานที่ในอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บานกระจกที่มองทะลุออกไปเห็นหมู่มวลต้นไม่ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ

ที่แบบนี้ใครจะคิดกันเล่าว่าที่บ้านพักกักขังคนชรากัน เมื่อพวกลูกๆพาพวกเราเข้ามาในนี้แล้ว เช้าวันถัดไปพวกเขาก็แอบหนีไปโดยไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกลับมาเลย บางครั้งป้าก็คิดถึงพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับป้าแล้วมันก็แค้นใจ

มาถึงตรงนี้ นำเสียงของหญิงชราเริ่มสั่น แสดงให้ไวพจเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงที่มาจากเธอเอง เพื่อเป็นการรักษาบรรยากาศบนโต๊ะอาหารไว้ ไวพจจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เขาตักอาหารเข้าปากหนึ่งคำและค่อยๆบรรจงเคี้ยวเพื่อลิ้มรสรสชาติอาหาร ก่อนจะเอ่ยถามหญิงชรา

แล้วปกติในแต่ละวันคนที่อยู่ที่นี่เขาทำอะไรกันครับ และปกติป้าทำอะไรบ้างในแต่ละวัน

ไวพจใช้สรรพนามแทนหญิงชราว่าป้า เพราะเห็นเธอเรียกสรรพนามนี้แทนตัวเองก่อน หญิงชราหันซ้ายแลขวาก่อนจะตอบ

ก็คงไปออกกำลังกายบ้าง นั่งคุยกันบ้าง แต่พอเวลาผ่านไปนานๆพวกเขาก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ส่วนเรื่องที่ป้าทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยคุยกันที่อื่นนะ

ไวพจและหญิงชรานั่งคุยกันต่ออีกหลายเรื่องบนโต๊ะอาหาร พวกเขาไม่ถูกเพื่อนๆร่วมโต๊ะสนใจเลย บางคนทานอาหารเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไป
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งคู่แยกย้ายกันไปก่อนที่เวลาสายๆของวัน ไวพจจะเดินออกไปยังสวนกลางแจ้ง ใกล้กับกับโรงครัว เขาเห็นหญิงชราที่เจอกันก่อนหน้านี้บนโต๊ะอาหาร เธอนั่งบนม้าหินอ่อนหันหน้าออกไปทางกำแพงสูงใหญ่เหมือนกำลังนั่งรอใครบางคนอยู่

"สวัสดีครับคุณป้า เอ่อ..."

"เรียกป้าวิมลก็ได้จ้ะ"

หญิงชราหันมาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

"ผมนั่งคุยด้วยได้มั้ยครับ"

"เชิญจ่ะ"

ใบหน้าที่โศกเศร้าของหญิงชราเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร ไวพจเดินไปนั่งเก้าอี้ม้าหินอ่อนตัวเดียวกันกับที่ป้าวิมลนั่ง พร้อมจ้องมองไปที่กำแพงใหญ่พลางสงสัยว่ามันมีอะไรบนกำแพง หญิงชราถึงได้จ้องมองมัน

"คุณป้าจ้องมองอะไรบนกำแพงเหรอครับ?"

"ป้ากำลังเป็นห่วงลูกของป้าอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง"

"ทั้งๆที่แกเป็นคนเอาป้ามาไว้ที่นี่น่ะเหรอครับ"

ไวพจพูดเสียงดังเล็กน้อย นึกแปลกใจว่าทำไมถึงยังต้องมีเยื่อใยให้กับลูกของเธอ

"ถึงเรื่องนั้นมันจะเกิดมาแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นลูกของป้าอยู่ดี ยังไงก็ตามแม่ต้องย่อมเป็นห่วงลูกอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง"

"ผมเข้าใจแล้วครับ"

"แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจของป้าอยู่ก็คือว่า ป้ารู้มาว่าคนที่วางแผนให้ลูกชายของป้าพาป้าเข้ามาอยู่ที่นี่ แท้จริงแล้วคือคู่แข่งทางธุรกิจของครอบครัวของป้า ป้าชะล่าใจมาตลอดและนึกไม่ถึงว่าพวกมันจะใช้วิธีนี้ในการกำจัดป้าออกมา"

"อ้าว! ทำไมต้องกำจัดป้าด้วยผมไม่เข้าใจ"

"เพราะว่าที่บ้านป้านั้นทำธุรกิจนำเข้าสินสินค้าจากต่่างประเทศ และบริษัทของป้าเป็นบริษัทที่ใหญ่มากซึ่งสามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้ ด้วยการตั้งราคาสินค้าที่ต่ำและเป็นธรรมในตลาด ทำให้คู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทเล็กกว่าไม่สามารถสู้ราคาได้ แม้ป้าจะวางมือจากธุรกิจและส่งต่อไปให้ทายาทหมดแล้ว แต่ป้าก็ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีได้"

"ดังนั้นแล้วคู่แข่งจึงต้องการกันป้าออกมาจากแผนธุรกิจ"

"ใช่แล้ว เจ้าหมอนั่นมันคงเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายป้าพาป้ามาขังไว้ในที่แบบนี้"

ไวพจทำสีหน้าเคร่งเครียด เขานึกถึงชะตากรรมของแต่ละคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ จะมีสักกี่คนกันนะที่เต็มใจที่จะเข้ามาอยู่เอง

"แล้วเธอล่ะ เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน"

ไวพจถึงกับสะอึกเมื่อเจอกับคำถามนี้ เขาค่อยเงยหน้าเพื่อสบตากับป้าวิมล

"ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่ผมต้องชดใช้เวรกรรม เรื่องมันยาว"

หญิงชรายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

"ไม่เป็นไร ป้ามีเวลาทั้งวัน ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แบบนี้มีเวลาเหลือเฟือจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลย"

ไวพจยิ้มร่าเป็นเชิงชอบใจในคำพูดของป้าวิมล เขาทำท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าอับอายนั้นให้ป้าวิมลฟัง

"ผมมีนิสัยเสียคือผมเป็นคนที่ติดการพนัน และในระยะหลังๆผมเริ่มเล่นมันหนักขึ้นๆ และมีอยู่หลายครั้งที่ผมเสียเยอะจนต้องไปขอเงินพี่ชายเพื่อเอาไปใช้หนี้การพนันของผม จนในที่สุดเขาคงทนไม่ไหวจึงส่งให้ผมมาอยู่ที่นี่แทนเพื่อป้องกันไม่ให้ผมไปเล่นการพนัน"

"อ้าว! อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ พี่ชายของเธอคงต้องการแค่ดัดนิสัยเธอแค่นั้นเองมั้ง เดี๋ยวเค้าก็คงมาเอาเธอออกไป"

"ผมรู้นิสัยพี่ชายของผมดี ผมไม่ไว้ใจเค้าหรอก และอีกอย่างหน้าที่การงานของผม ลูกเมียของผมอีก ผมคิดว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้ผมออกไปจากที่นี่"

"จริงรึ?"

ป้าวิมลร้องถามด้วยความแปลกใจ

"ผมก็พยายามหาวิธีอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง"

"เอาล่ะ ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง ป้าเคยดูหนังเกี่ยวกับการแหกคุก เราต้องมี 3 อย่างในการแหกคุก หนึ่ง เราต้องรู้กิจวัติและพฤติกรรมของสถานที่และผู้ดูแล สอง เราต้องรู้แบบแปลนสถานที่ และสาม เราต้องมีผู้ช่วยจากข้างนอกด้วย"

"อืม... ดูเหมือนเราจะยังไม่มีอะไรเลย"

"ไม่เป็นไร ไว้ค่อยคิดกันทีหลังก็ได้ ตอนนี้ใกล้เวลาอาหารเที่ยงละ เดี๋ยวไปเจอกันที่โต๊ะอาหารละกันนะ"

ทั้งคู่แยกย้ายกันเพื่อเดินเข้าไปในตัวอาคาร ไวพจเดินเฉียดใกล้เข้าไปกับอาคารที่เป็นโรงครัว เขาพยายามเดินอ้อมไปอ้อมมาจนในที่สุด ไวพจก็มองเห็นถังขยะใบใหญ่ที่มีลักษณะเป็นตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่มีฝาปิดทึบ ที่พร้อมจะยกขึ้นบนหลังรถออกไป ไวพจคิดว่าเขาสามารถเข้าไปซ่อนตัวในนั้นได้ ไวพจตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้ป้าวิมลรู้

ไวพจนั่งดื่มชาร้อนบนโต๊ะในล็อบบี้ของโรงแรม เขาค่อยๆละเลียดกับรสชาติของใบชาชั้นดี นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไวพจไม่ได้ลิ้มรสความหอมของใบชาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยดื่มชาชั้นดีแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าในช่วงหลายๆปีมานี้เขาไม่ได้นั่งดื่มชาอย่างสงบสุขมานานแล้ว และเขาก็ไม่ได้สังเกตความหอมและวิเศษจากใบชามานานมากแล้วเหมือนกัน ไวพจจึงคิดว่าเวลานี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้มีความสุขจากการได้รับรสความหอมของชาในถ้วยอย่างแท้จริงสักที

ในล็อบบี้นี้ก็เปรียบเสมือนที่นั่งพักผ่อนของเหล่าคนชราทั้งหลาย มันคงจะดีกว่าให้นั่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักคนเดียว ที่นี่ยังพอได้เห็นผู้คนทำนู่นทำนี่บ้าง แม้คนส่วนใหญ่ก็มักจะนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย ที่นี่ไม่มีช่องโทรทัศน์ให้ดู นโยบายของที่นี่ไม่ยอมให้แขกที่มาพักรับชมข่าวสารจากภายนอก เพราะพวกเขาคิดเอาเองว่าขาวสารมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์และการโต้เถียง จะมีก็เพียงแต่การเปิดวีดีโอละครไทยน้ำเน่าให้ได้เสพกันบ้าง

"ขอนั่งด้วยคนนะจ้ะ"

ป้าวิมลเดินเข้ามาทักไวพจ ก่อนที่เธอจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่รอให้ไวพจตอบรับก่อน ไวพจรีบกระดกชาที่เหลือในถ้วยลงคอ ก่อนที่เขาจะตอบรับ

"ว่ายังไง เธอจะเอาด้วยมั้ย?"

ป้าวิมลถาม ไวพจสะดุ้งมองหน้าเธอ

"เอาอะไรครับ?"

"ก็หนีออกจากที่นี่ไง"

"ป้าวิมลเอาจริงหรือครับ ผมยังรู้จักที่นี่ไม่ดีพอ"

"ถ้าเป็นเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ป้าศึกษาที่นี่มาอย่างดีแล้ว รู้ทุกกิจวัตรในสถานที่แห่งนี้"

ไวพจทำสีหน้าเริ่มมีความหวัง เขาหันซ้ายแลขวาเล็กน้อย

"แล้วป้ารู้มั้ยว่ารถขนขยะจะเข้ามาเอาถังขยะออกไปทิ้งในวันไหน และเวลาไหน"

ป้าวิมลหยุดนิ่งไม่พูดอะไร ไวพจเริ่มไม่แน่ใจกับป้าวิมล แต่สักพักก็มีเสียงพูดออกมา

"รถจะเข้ามาจอดที่โรงครัวทุกๆเย็นวันเสาร์ และเช้ามืดวันอาทิตย์จะขนขยะออกไป ถามทำไมเหรอจ้ะ"

ไวพจทำหน้านิ่ง เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นป้าวิมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

"หรือว่า! เธอจะ..."

ไวพจรีบยกมือมาห้ามสิ่งที่ป้าวิมลกำลังจะพูดออกมา

"ครับ เราจะแอบซ่อนในนั้นและปล่อยให้รถขนขยะพาเราออกไป"

ไวพจพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"วันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว ถ้าเราจะหนีเราจะหนีพรุ่งนี้เลยหรือจะรอไปอีกหนึ่งอาทิตย์ดี"

ไวพจถาม

"ป้าอยู่ที่นี่มา 6 เดือนก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้าให้อยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ รับรองป้าต้องบ้าตายแน่ๆ"

คำพูดของป้าวิมลหมายถึงว่าต้องการหนีในคืนวันพรุ่งนี้เลย

"งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน เรามีเวลาเตรียมตัวแค่วันนี้และเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง"

ไวพจพูดแบบนี้เพราะตอนนี้เป็นเวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกันมานั่งที่โต๊ะ ก่อนที่จานอาหารจะถูกน้ำมาวางบนโต๊ะ

ในตอนเที่ยง ทั้งคู่ออกมานั่งประชุมลับยังม้านั่งตัวเดิมในสวนกลางแจ้ง ไม่ห่างจากที่นี่มากนักเป้าหมายของพวกเขาคือตู้คอนเทนเนอร์บรรจุถุงขยะ ก่อนหน้านี้ไวพจเดินไปเปิดฝาเหล็กบนตู้ถังขยะดู ปรากฏว่ามีถุงขยะใส่เกือบจะเต็มความจุของตู้แล้ว

"เอายังไงดีครับป้า เป็นแบบนี้แล้วเราจะไปซ่อนในนั้นได้อย่างไร"

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ต้นไม้ในสวนกลางแจ้งพอมีที่ให้เอาถุงขยะไปซ่อนได้บ้าง เช้าพรุ่งนี้เราพอมีเวลาที่จะขนถุงไปซ่อนก่อนที่เราจะซ่อนตัวในนั้น"

"งั้นก็ตามนั้นครับ แล้วเราจะมาที่นี่ยังไงตอนก่อนเช้ามืด จะผ่านด่านยามที่เดินไปมาได้อย่างไร"

ป้าวิมลละสายตาจากไวพจ เธอหันไปทางอาคารที่พัก

"ยามกะกลางคืนที่เฝ้าดูแลในตัวอาคารจะมีอยู่ 2 คน ทั้ง 2 คนจะนั่งเฝ้าหน้าอาคารจนถึงตอนตี 4 คนหนึ่งจะออกมายืนดูดบุหรี่ประมาณ 5 นาทีก่อนที่จะออกมาเดินวนรอบสระว่ายน้ำ สนามเทนนิสและเดินย้อนกลับไปยังหน้าอาคารเหมือนเดิม ใช้เวลาที่ออกมาจากหน้าอาคารประมาณ 20 นาที"

"แล้วยามอีกคนนึงล่ะ?"

"ยามอีกคนก็จะนั่งเฝ้าอยูที่เดิม"

"แล้วเราจะผ่านยามคนนั้นมาได้อย่างไร?"

"ทุกครั้งที่ยามคนนั้นถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เขาจะแอบงีบหลับจนกว่าเพื่อนยามอีกคนจะเดินกลับมาปลุก ดังนั้นแล้วเรามีเวลาแค่ช่วงตี 4 ถึงตี 4 ยี่สิบนาที และที่สำคัญช่วงเวลานั้นก็จะไม่มีใครเฝ้าหน้าจอมอนิเตอร์จากกล้องวงจรปิด ทำให้เราหมดกังวลเรื่องกล้องวงจรตามทางเดินได้"

"แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามนั้น"

ป้าวิมลหันหน้ามาทางไวพจ และตอบเขาอยางมั่นใจ

"ป้าแอบเฝ้าดูกิจวัตินี้มาตลอดหลายเดือนแล้ว มันไม่เคยผิดเพี้ยนไปจากนี้เลยสักครั้งเดียว เอาเป็นว่าตอนตี 3 เราจะมาเจอกันที่ล็อบบี้"

"โอเคครับ"

ไวพจตอบรับเสร็จ ทั้งสองก็ย้ายกันเพื่อเตรียมตัวในการหนี ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย เป็นไปตามที่ป้าวิมลคาดการณ์ นาฬิกาบอกเวลาเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 และเข็มสั้นชี้ไปที่เลข 4 ยามคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและถือไฟฉายพร้อมเสื้อคลุมเดินออกไปตรงทางเดินไปยังสระน้ำ เขาควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า และจุดมันสูบ

ทั้งสองคนค่อยๆย่องตามทางเดินตามแผนที่พวกเขาวางไว้ ป้าวิมลมองเห็นยามที่นั่งเฝ้าหน้าอาคารนอนงีบลงไป ตอนนี้แม้หน้าจอจากกล้องวงจรปิดจะฉายให้เห็นว่ากำลังมีคนจะหนี แต่ก็ไม่มีใครเห็นภาพบนหน้าจอนั้น เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นทั้งสองก็สามารถเดินมาถึงยังตู้เหล็กสำหรับบรรจุถุงขยะขนาดใหญ่ ไวพจเปิดฝาเหล็กออกในนั้นมีถุงขยะเต็มไปหมด

"เธอย้ายมันไหวมั้ย เอาไปซ่อนที่ต้นไม้ทางนั้น"

ป้าวิมลพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังสวนกลางแจ้ง ที่ตอนนี้บรรยากาศมืดสนิท ไวพจลองยกถุงขยะ

"สบายครับ"

ไวพจพูดเสร็จก็ขนถุงออกไปซ่อนจนข้างในตู้มีที่ว่างพอให้ทั้งสองซุกกายเข้าไปซ่อนอยู่ได้

"โชคดีที่ขยะอยู่ในถุงมัดแน่นหนา ตอนแรกป้าคิดว่าจะเหม็นซะอีก ตอนนี้ตี 4 ครึ่งแล้ว อีกไม่นานคนขับรถคงจะมาแล้ว"

เวลาผ่านไปอีก 10 นาที คนขับรถก็มาตามที่ป้าวิมลว่าไว้จริงๆ เสียงเปิดประตูรถดังพอให้ทั้งสองได้ยิน คนขับรถเดินวนรอบๆรถเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ทันใดนั้นเขาเห็นถุงขยะอีกใบที่ไวพจลืมยกไปซ่อนข้างต้นไม้ คนขับรถจึงเดินไปหยิบถุงขยะเพื่อจะนำไปใส่ในตู้เหล็ก

คนขับรถเปิดฝาตู้ขยะออก สิ่งที่เขาเห็นคือชายหญิง 2 คนนั่งอยู่ในนั้น ทั้งป้าวิมลและไวพจก็เกิดอาการตกใจไม่แพ้คนขับรถ ด้วยความตกใจ คนขับรับตะโกนเรียกยาม 2 คนที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าอาคาร

"รปภ. ๆ !!"

เสียงตะโกนดังลั่นเงียบลงเพราะป้าวิมลใช้มือข้างหนึ่งมาจับที่แขนของคนขับรถไว้ คนขับรถเห็นแหวนบนนิ้วมือของป้าวิมล 3 วง แต่ละวงประดับไปด้วยเพชรพลอยเม็ดโต รวมถึงสอยแขนบนข้อมือของป้าวิมลด้วยแล้ว เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

"เธอต้องช่วยป้าออกไปจากที่นี่นะ แล้วป้าจะสมนาคุณให้อย่างงามเลย"

ป้าวิมลพยายามต่อรองให้เร็ว เพราะคิดว่ายาม 2 คนกำลังรีบวิ่งมาจากหน้าอาคาร คงใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที ส่วนคนขับรถเมื่อเห็นก้อนเงินอยู่ตรงหน้าก็ตาโต แต่เขาก็ยังลังเลเรื่องบางเรื่องอยู่

"ถ้าผมถูกจับได้ว่าพาคนหนี ผมคงตกงาน"

ป้าวิมลล้วงหยิบกระเป๋าเงินใบหรูขึ้นมา เธอหยิบนามบัตรออกมาหนึ่งใบและยื่นให้คนขับรถ

"ป้าเป็นกรรมการบริษัทนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ป้าจะให้เธอมาทำงานด้วยหากเธอช่วยป้า"

สีหน้าของคนขับรถไร้ความลังเลใดๆ เขามองไปที่ยามทั้ง 2 ที่ตอนนี้กำลังจะเดินลัดสระว่ายน้ำมา

"เข้าไปซ่อนในนั้นเลยครับ เดี๋ยวข้างนอกนี้ผมจัดการเอง"

ป้าวิมลยิ้มดีใจที่เธอสามารถต่อรองได้ทันเวลา ในขณะที่สีหน้าของไวพจเริ่มผ่อนคลายลงจากก่อนหน้านี้ที่เขาดูเหมือนกับจะสิ้นหวังแล้ว คนขับรถรีบปิดฝาถังก่อนที่ยามทั้ง 2 จะเดินมาถึง

"มีอะไรให้ช่วยครับ"

"อะ... คือว่าผมเห็นถุงขยะวางอยู่ข้างนอกรถถุงหนึ่ง ตอนแรกตกใจคิดว่าใครจะมาคุ้ยถุงขยะ แต่เช็คความเรียบร้อยแล้วครับ คิดว่าพ่อครัวคงจะลืมวางไว้ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ"

คนขับรถพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ ยามทั้ง 2 เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพวกเขาจึงเดินกลับไปที่หน้าอาคาร จากนั้นคนขับรถก็ขึ้นรถและขับมันออกไป

"ผมขอโทษทีนะครับ ถุงขยะเมื่อกี๊นี้ผมลืมยกไป เกือบทำให้แผนการของเราล้มเหลว"

"ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว เราควรจะดีใจที่แผนการเรายังดำเนินต่อไปได้ อ๊ะ! แย่แล้ว"

"เกิดอะไรขึ้นครับ?!"

"ก่อนที่รถจะผ่านประตูออกไป จะมียามที่เฝ้าหน้าประตูมาเปิดฝาตู้เพื่อตรวจดูข้างในก่อน"

สีหน้าของไวพจที่เพิ่งจะดีขึ้นกลับแย่ลงไปเหมือนเดิม เมื่อเขารู้ว่ายังมีอุปสรรคขวางหน้าอยู่

"แล้วเราจะทำอย่างไรดีครับ"

"ตอนนี้ก็คงได้แต่ภาวนาว่า ขอให้คนขับรถช่วยพวกเรา"

เหตุการณ์เป็นไปตามคำขอของป้าวิมลพูด คนขับรถพยายามโน้มน้าวไม่ให้ยามมาเปิดฝาตู้

"วันนี้อย่าเปิดฝาตู้เลยครับ มีถุงขยะแตกหนึ่งถุง คิดว่าคงจะเป็นถุงที่ค้างมาเกือบอาทิตย์นึงแล้ว เหม็นมากจนแทบจะเป็นลม"

ยามที่เฝ้าหน้าประตูเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ทำท่าทางเหมือนเอามือกุมจมูกและรีบโบกมือให้รถผ่านออกไปโดยเร็ว รถแล่นออกไปสู่ถนนใหญ่ ทั้งป้าวิมลและไวพจรู้แล้วว่าพวกเขาสามารถหนีออกมาได้ คนขับรถจอดรถข้างทางเมื่อขับออกมาจากโรงแรมได้ไกลแล้ว และไปเปิดฝาตู้คอนเทนเนอร์ให้ทั้ง 2 ออกมา

"เอาล่ะครับ เราคงต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้ว"

"ขอบคุณมากนะจ้ะพ่อหนุ่ม แล้วเธอติดต่อป้ามาตามเบอร์โทรในนามบัตร เพื่อคุยเรื่องข้อตกลงของเรา"

รถขนขยะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ไวพจมองดูรอบกาย เขารู้สึกถึอิสรภาพขึ้นมาอีกครั้ง แม้ไวพจจะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ไม่นานนัก ไม่ต่างอะไรจากป้าวิมลเลย ที่เธอตอนนี้ก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมากหลังจากที่เธอถูกกักขังไว้ในสถานที่แห่งนั้นนานหลายเดือน

"เราคงจะต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้วใช่มั้ยครับ ผมว่าจะหาต่อรถเขาไปในเมือง"

"เดี๋ยวป้าคงจะโทรหาคนรู้จักให้มารับที่นี่ ถ้าไม่รังเกียจก็ให้ป้าไปส่งก็ได้นะ"

ไวพจก็คิดว่าดีเหมือนกัน เขาตอบรับ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินหาตู้โทรศัพท์

ในระหว่างกำลังรอรถมารับ ป้าวิมลเอ่ยถามเรื่องราวที่ไวพจเคยเล่าให้ฟัง

"ป้าจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าถูกพวกนักเลงไล่ทวงเงินอยู่ แล้วเธอจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?"

เมื่อไวพจได้ยินคำถาม เขาทำหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เขาคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือแอบหนีกลับเข้าไปอยู่ในโรงแรมแห่งนั้นก็น่าจะดี แต่ไวพจก็ไม่ได้พูดมันออกมาเพราะคิดว่าคงจะไม่กลับไปอยู่ในนั้นจริงๆ และไวพจก็ยังไม่มีคำตอบใดๆให้ป้าวิมล

"เอาอย่างนี้มั้ย ป้าจะให้ยืมเงินเพื่อให้เธอเอาไปใช้หนี้พวกนักเลง เธอจะได้ออกมาอยู่ข้างนอกได้อย่างสบายใจ"

"จะๆ จริงหรือครับ"

ไวพจเหมือนเห็นอุโมงค์ทางออกสว่างขึ้น

"จริงสิ เดี๋ยวป้าจะเซ็นเช็คให้ แล้วเธอต้องสัญญานะว่าจะเลิกเล่นการพนัน"

"เลิกครับเลิก ผมสัญญา และเงินทุกบาทผมจะหามาคืนให้ป้า"

รถเก๋งคันหรูมารับทั้งคู่ออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ป้าวิมลพาไวพจไปที่ออฟฟิศของเธอเพื่อรับเช็ค

"นี่จ้ะ เช็คเงินสด"

ไวพจยกมือไหว้ก่อนจะรับกระดาษแผ่นนั้นมา

"เดี๋ยวผมขอตัวลาก่อนครับ จะรีบเอาเช็คใบนี้ไปใช้หนี้ แล้วหลังจากนั้นผมต้องรีบไปหาใครบางคน"

"โอเคจ้ะ ป้าก็มีเรื่องที่จะต้องสะสางด้วย"

ทั้งคู่ล่ำลากัน จากนั้นไวพจก็นั่งแท๊กซี่เพื่อเอาเงินไปจ่ายให้พวกนักเลง เมื่อเสร็จธุระที่แรกไวพจรีบนั่งแท๊กซี่ไปยังโรงแรมเอ็มลอร์ด เพื่อไปหาพี่ชายของเขาทันที

โรงแรมระดับ 5 ดาวใจกลางเมือง ความหรูหราของที่นี่ไม่เป็นสองรองใคร ไวพจเดินตรงเข้าไปและแจ้งกับพนักงานต้อนรับว่าต้องการพบกับเจ้าของโรงแรม พนักงานกดเบอร์โทรศัพท์และคุย จากนั้นจึงเดินมาแจ้งให้ไวพจขึ้นไปหาพี่ชายของเขา

"แกออกมาได้อย่างไรกัน"

พี่ชายของไวพจพูดด้วยน้ำเสียงตระหนก

"เรื่องผมจะออกมายังไงไม่สำคัญ แต่เรื่องที่พี่ส่งผมเข้าไปอยู่ในนั้นพี่คิดได้ยังไงกัน"

"แกก็รู้ว่าถ้าแกอยู่ข้างนอกแกก็จะโดนพวกนักเลงนั่นทำร้าย ที่ชั้นทำไปก็เพราะว่าอยากช่วยแกต่างหากเล่า"

"แต่นี่มันเรื่องใหญ่นะ มันคือการกักขังเหนี่ยวกันเลยทีเดียว"

"ชั้นรู้ๆ แต่ชั้นคงไม่ให้แกอยู่ที่นั่นไปตลอดหรอกน่า"

ไวพจแทบจะอดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็ไม่รู้จะไปคาดคั้นอะไรกับพี่ชาย จึงได้แต่เพียงแสดงสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น

"เอาน่าๆ เดี๋ยวชั้นจะช่วยเหลือแกเรื่องเงินก็ได้ ถือว่าหายกันนะ โอเคมั้ย"

ไวพจทำท่าทางไม่ยอมรับข้อเสนอ ตอนนี้เขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงินแล้ว พี่ชายของเขาเห็นดังนั้นจึงทำท่าจะปล่อยให้เรื่องมันค่อยๆเงียบไป

"เอ่อ เดี๋ยวชั้นจะมีการประชุมผู้บริหาร แกนั่งเล่นในนี้ไปก่อนก็ได้นะ"

เมื่อพูดเสร็จ เจ้าของเสียงก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ไวพจอยู่สงบสติอารมณ์ในห้องคนเดียว ไวพจนั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟาสักพักเพื่อให้อารมณ์เย็นลง เขานึกถึงอดีตที่ถูกพี่ชายกลั่นแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ไวพจไม่เคยเอาคืนพี่ของเขาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไวพจคิดว่าครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โดนพี่ชายเล่นแรงๆอีกครั้ง

ไวพจลุกจากโซฟากำลังจะกลับบ้าน แต่ในสันดานเขาที่ติดพนันบอลงอมแงมก็ขอแค่ให้ได้รู้ราคาแทงบอลก็ยังดี ไวพจเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของพี่ชายที่เปิดค้างไว้อยู่เพื่อจะเปิดเว็บไซต์พนันบอลเพื่อดูราคา สายตาของเขาไล่ดูไอคอนบนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมเว็บบร๊าวเซอร์ เขาเห็นไฟล์เอกสารหลายสิบไฟล์วางอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไวพจรู้สึกรำคาญที่เขามองหาไอคอนที่ต้องการไม่พบ แต่เขาก็ไปสะดุดกับไฟล์ๆหนึ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ไวพจเกิดความคิดขึ้นในหัวจนทำให้มีรอยยิ้มที่มุมปาก

เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง พี่ชายของไวพจเดินกลับมายังห้องทำงานของเขา เมื่อเปิดประตูเขาเห็นไวพจยังนั่งเล่นอยู่บนโซฟาตัวเดิม

"อ้าว! ยังไม่กลับเหรอ?"

"ยังพี่ ผมว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็ผ่่านไปแล้ว ผมก็ไม่ติดใจอะไรอีก และเราสองคนก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่ ผมเลยคิดว่าคืนนี้เราน่าจะไปออกเที่ยวยามราตรีกันหน่อยดีมั้ย"

"ก็ได้ ตามใจแกแล้วกัน งั้น 2 ทุ่มคืนนี้เจอกันที่ร้านเดอะฮิลล์ พรุ่งนี้วันหยุดเราไปเมากันให้เต็มที่เลย"

พี่ชายของไวพจหัวเราะชอบใจ

เวลา 2 ทุ่มตรงที่ร้านเดอะฮิลล์ ไวพจมารอก่อนหน้านี้แล้ว เวลาผ่านไปสัก 10 นาทีพี่ชายของเขาก็โผล่มา

"สั่งอะไรไปหรือยัง"

"ก็นิดหน่อยแล้ว รอพี่มาสั่งเพิ่ม"

"น้อง! สั่งอาหารหน่อย เอาบรั่นดรี 12 ปีมาด้วยหนึ่งขวด"

ทั้งสองนั่งกินดื่มกัน ในบรรยากาศที่สนุกสนานมีดนตรีคลอ เมื่อเริ่มดื่ม ไวพจพยายามที่จะไม่ดื่มเหล้า เขาแค่จิบๆเท่านั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เพราะเขากลัวว่าความเมาจะทำให้แผนการที่ไวพจเตรียมไว้นั้นล้มเหลวเสียก่อน

"ไอ่น้อง แกรู้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้ชั้นประสบความสำเร็จในเรื่องการทำธุรกิจ"

ฝ่ายพี่ชายที่เริ่มเมาแล้วพยายามเปิดประเด็นเพื่อพูดข่มน้องชาย

"อะไร"

"คนที่จะประสบความสำเร็จร่ำรวยจากธุรกิจได้นั้น สิ่งแรกเลยที่เขาต้องมีก็คือ..."

"ความรู้เหรอ"

ไวพจลองตอบเพราะพี่ชายเว้นวรรคคำพูดให้

"ไม่ใช่ สิ่งแรกที่ต้องมีคือความเหี้ยม เราต้องมีความเหี้ยมพอที่จะฟันกำไรจากลูกค้าให้ได้มากที่สุด ดูอย่างโรงแรมของชั้นสิ เงินที่ลงทุนประดับประดาโรงแรมให้ดูสวยหรู ก็เพื่อจะดูดเงินจากบรรดาคนที่เข้ามาพักให้ได้มากที่สุด แล้วแกล่ะ ออฟฟิศวางระบบคอมพิวเตอร์ ถึงลูกค้าแกจะเยอะขนาดไหน แต่กำไรที่ได้ต่อครั้งมันน้อย ทำให้แกไม่รวยสักทีน่ะสิ"

ฝ่ายพี่ชายเริ่มเมาแล้ว น้ำเสียงเริ่มดังและฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ไวพจก็สามารถจับใจความได้

"แล้วความรู้ล่ะ ไม่สำคัญเหรอ"

"เฮ้ย... ความรู้น่ะทำให้คนเป็นทาส ดูอย่างแกสิ จบโทมาแต่ก็ทำได้แค่ออฟฟิศระบบคอมพิวเตอร์ ได้งานมาทีแกก็ต้องออกไปจัดการเองตลอด ไม่มีลูกน้องเป็นของตัวเอง ขอแค่มีเงินเราก็สามารถไปจ้างคนที่มีความรู้มาทำงานให้เราได้ ไอ่พวกที่จบสูงๆเนี่ย มันไม่ค่อยกล้าที่จะออกไปทำอะไรของตัวเองหรอก หวังมีเงินเดือนประจำสูงๆก็พอแล้ว"

"อืมมม แต่ผมก็มีความสุขกับออฟฟิศของผมแล้ว แม้มันจะไม่ใหญ่และทำกำไรให้ไม่มาก"

พี่ชายของไวพจกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว ก่อนที่จะพูด

"นี่แกจะบอกว่าพอเพียงกับชีวิตสมถะของแก เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว... สุดท้ายแล้วคนก็จะไขว่คว้าอำนาจ บารมีกันทั้งนั้น ซึ่งมันก็ต้องใช้เงิน"

"แต่จุดมุ่งหวังของคนเราก็ไม่เหมือนกันนะพี่..."

"แล้วแกเคยเห็นใครมั้ยที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียง แม้จะเคยเห็นมาบ้าง แต่แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นแค่ไม่มีโอกาสที่จะไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นได้ ขอแค่ให้ลู่ทางแก่คนเหล่านั้นสิ รับรองมูมมามทุกราย"

"ก็อาจจะเป็นแบบพี่ว่า"

ไวพจรู้ว่าแนวของพี่ชายก็เป็นแบบนี้ เขาเลยเลิกที่จะโต้เถียงใดๆปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปพร้อมกับปริมาณเหล้าในขวดที่ลดลงเรื่อยๆ และในที่สุดพี่ชายของไวพจก็เมาเต็มที่

ทั้งสองกลับบ้านโดยที่ไวพจอาสาที่จะขับรถไปส่งพี่ชายที่บ้าน ขับไปได้ไม่นานฝ่ายพี่ชายก็เผลอหลับไปโดยไม่ได้สติ

.....


....


...


..


.

พี่ชายของไวพจค่อยๆลืมตา เขาเห็นห้องพักสุดหรูซึ่งไม่คุ้นเคยมาก่อน พลางคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาคงเมามาก ไวพจเลยมาเปิดโรงแรมที่ไหนสักแห่งให้นอน พี่ชายของไวพจพยายามลุกจากเตียงเพื่อไปควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อคลุม แต่เขาหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ พี่ชายของไวพจเริ่มหัวเสีย กระเป๋าเงินก็หาไม่เจอ เขารีบออกจากห้องเพื่อลงไปหาพนักงานที่อยู่ชั้นล่าง เมื่อเขาออกมาจากห้องก็เริ่มรู้สึกคุ้นๆว่าเคยมาสถานที่แห่งนี้

พี่ชายของไวพจจำได้ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างว่า แท้จริงแล้วโรงแรมแห่งนี้คือโรงแรมของเขาเอง ที่จะรับฝากดูแลคนชรา เขาหัวเราะดังลั่นและบ่นในลำคอว่า 'อำกันแรงจังนะ'

"เอ่อ... คุณครับผมขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้มั้ยครับ"

พี่ชายของไวพจเดินไปที่ห้องสำนักงานเพื่อขอใช้โทรศัพท์จากพนักงานหญิงชรา เธอชี้นิ้วไปที่เครื่องโทรศัพท์ในห้องสำนักงาน

พี่ชายของไวพจกดเบอร์โทรศัพท์เข้าหมายเลขตัวเอง เพราะเขาคิดว่าน้องชายคงเก็บโทรศัพท์ของเขาไว้ให้ แบะเป็นไปตามนั้นเมื่อไวพจน์รับสาย

"นี่แก รีบมารับชั้นออกจากโรงแรมเร็วๆ"

"อะไรกันพี่ชาย อยู่ที่นั่นก็สุขสบายดีนี่ไม่เห็นต้องรีบออกมาเลย"

เสียงปลายสายตอบกลับ ทำให้อารมณ์ของพี่ชายเริ่มขุ่น

"อย่ามาล้อเล่นกันน่า รีบมาเลยนะ"

"ก็ได้ครับ งั้นไว้รอผมเสร็จธุระกับลูกค้าผมก่อน แล้วจะรีบไปรีบพี่ทันทีเลย"





"อืมดี งั้นเอาธุระแกให้เสร็จก่อนก็ได้ ชั้นจะได้พักผ่อนที่นี่ ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้อยู่สถานที่สงบๆแบบนี้มานานมากแล้ว แล้วแกจะมารับชั้นกี่โมง ขอไม่เกินเย็นนี้นะ"

"คงจะไม่ทัน เพราะผมกำลังขึ้นเครื่องบินไปคุมไซท์งานที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับก็อีก 3 เดือน พี่ก็อยู่พักผ่อนที่นั่นยาวไปเลยละกันนะเห็นถามหาที่สงบๆอยู่ไม่ใช่รึ"

ไวพจพูดเสร็จเขาก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

"นี่แก! ไม่เป็นไรเดี๋ยวชั้นเรียกแท็กซี่มารับก็ได้"

"โธ่ๆ พี่คิดว่าโรงแรมนั้นจะเหมือนกับโรงแรมทั่วไปหรือ ที่จะเข้าออกได้ตลอดเวลา เมื่อวานตอนที่พี่ออกไปประชุมและปล่อยให้ผมอยู่ที่ห้องคนเดียว ผมแอบไปเปิดคอมและเห็นแบบฟอร์มสำหรับส่งคนเข้าไปอยู่ในนั้น ผมกรอกรายละเอียดของพี่แบบปลอมๆ พร้อมติดรูปของพี่ไป และผมก็แอบปลอมลายเซ็นของพี่ลงไปด้วย ผมยื่นเอกสารนี้ตอนเอาพี่ไปส่งเมื่อคืน พอเจ้าหน้าที่เห็นเอกสารก็เชื่อสนิทว่าพี่คือคนชราที่ถูกส่งมาโดยญาติๆเหมือนคนอื่น"

พี่ชายของไวพจได้ยินดังนั้นก็เริ่มโวยวายเสียงดัง

"เชอะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จำหน้าชั้นได้"

"ไม่มีทางหรอก เจ้าหน้าที่หญิงชราคนนั้นบอกว่าเจ้าของโรงแรมไม่เคยโผล่หัวไปที่นั่นเลย ไม่มีใครที่นั่นจำหน้าของพี่ได้อย่างแน่นอน"

"ถ้าอย่างนั้นชั้นจะโทรเรียกหุ้นส่วนของโรงแรมนี้มายืนยันตัวตนของชั้น"

"คงจะทำแบบนั้นไม่ได้ครับ"

"ทำไมล่ะ!!"

"ผมเขียนลงในหมายเหตุของใบส่งตัวระบุว่า จะอนุญาตให้แขกใช้โทรศัพท์ได้ครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้นให้คอยดูแลห้ามให้ใช้โทรศัพท์เด็ดขาด ตอนนี้คงมีเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่ผิวขาวผมยาวมายืนคลุมพี่อยู่ข้างหลังก็ได้ เพราะเขาคนนั้นเข้มงวดมากกับกฎระเบียบ อ้อ... ผมขอเตือนพี่ก่อนนะว่าอย่าทำให้พ่อหนุ่มนั่นโกรธเชียวล่ะ"

เสียงหัวเราะปลายสายดังขึ้น พี่ชายของไวพจหันหลังไปดูข้างหลังของเขา และเขาถึงกับตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มผิวขาวร่างใหญ่ ผมยาวหวีผมเรียบแปล้ยืนเฝ้าดูเขาอยู่

"อ้อ... ถ้าพี่ไม่อยากอยู่ที่นั่นนาน มีทางเดียวคือเมื่อวางโทรศัพท์แล้วให้พี่รีบวิ่งหนีออกจากโรงแรมไปเลย เหมือนกับที่ผมทำนี่ไงถึงออกไปเจอพี่เมื่อวานได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอวางสายก่อนนะ โชคดีนะพี่"

"ดะๆ เดี๋ยวๆ ..."

เสียงปลายสายวางไปแล้ว พี่ชายของไวพจคิดได้ถึงประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากไวพจ เขาค่อยๆเดินออกจากห้องสำนักงาน เมื่อเดินออกมาถึงหน้าอาคาร เขารีบวิ่งหนีออกไปทางเดินแคบๆที่มีสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด และอีกไม่กี่ก้าวเขาก็จะสามารถวิ่งออกสู่ถนนใหญ่ได้ แต่ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยก็โผล่ออกมาขวางประตูทางออก

พี่ชายของไวพจถูกล็อคแขนโดยเจ้าของมือนุ่มร่างใหญ่ผิวขาว ในที่สุดเขาก็ถูกลากตัวมานั่งที่โต๊ะของพนักงานชรา ใบหน้าที่แลดูเคร่งเครียดและจริงจังของหญิงชราหมกมุ่นอยู่กับกองเอกสาร และเธอก็เงยหน้าขึ้นมาดูคนที่เพิ่งพยายามจะหลบหนี

"คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร"

หญิงชราและเจ้าหน้าที่หนุ่มร่างใหญ่มองหน้ากัน เหมือนคุ้นๆว่าจะเคยมีใครเล่นมุกนี้ไปแล้ว

"คุณเป็นใครคะ?"

หญิงชราถาม

"ผมเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้"

เสียงหัวเราะจากทั้งหญิงชราและเจ้าหน้าที่หนุ่มดังลั่นเนิ่นนาน เขาทั้งสองคงคิดว่าไม่น่าจะมีแขกคนไหนกล้าเล่นมุกนี้

"เอาอีกแล้วๆ ครั้งแล้วก็เพิ่งจะมีคนมาแอบอ้างว่าเป็นน้องชายของเจ้าของโรงแรม มาคราวนี้คุณเล่นมาบอกว่าเป็นเจ้าของโรงแรม"

หญิงชราพูดทั้งๆที่ยังมีเสียงหัวเราะเจือปนอยู่ พี่ชายของไวพจแสดงสีหน้าไม่ถูก

"แต่จริงๆนะ ผมถูกน้องชายแกล้งเอามาอยู่ที่นี่ตอนผมหลับ ไม่เชื่อเดี๋ยวเอาบัตรให้ดู"

พี่ชายของไวพจความหากระเป๋าเงิน แต่เขาก็นึกได้ว่ากระเป๋าก็หายไปแล้วเช่นกัน

"กระเป๋าไม่อยู่แล้ว งั้นเดี๋ยวผมลองเซ็นชื่อให้ดูละกัน แล้วลองเอาไปเทียบกันกับเอกสาร"

พี่ชายของไวพจรีบเอื้อมมือไปหยิบปากกาบนโต๊ะ แต่เขารีบร้อนไปจนทำให้กล่องใส่ปากกาที่มีเครื่องเขียนอยู่ในนั้นเต็มกล่องหล่นกระจายลงบนพื้น และเหตุการณ์นี้ทำให้มือนุ่มจากร่างใหญ่เข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของพี่ชายไวพจไว้

"เลิกเล่นตลกได้แล้วค่ะ โทษของคนที่พยายามจะหลบหนีคือถูกกักบริเวณไว้ในห้องพักเป็นเวลา 3 วัน และต่อไปถ้ามีใครมาแอบอ้างเป็นคนนู้นคนนี้อีก ก็จะมีบทลงโทษด้วย"

พนักงานหญิงชราพูดจบก็ก้มหน้าลงเพื่อจัดการกับกองเอกสาร ในขณะที่เจ้าหน้าที่หนุ่มกำลังลากพี่ชายของไวพจขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน

"ชั้นไล่แกออก! แกด้วย คอยดูเถอะจะไล่ออกให้หมดเลย ปล่อย... ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้"

พนักงานหญิงชราเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร เหมือนจะฉุนขาดกับคำพูดที่เพิ่งจะได้ยิน

"กักบริเวณเพิ่มอีก 4 วันเป็น 1 อาทิตย์เลย"

เสียงร้องโวยวายจากพี่ชายของไวพจยังดังต่อเนื่อง จนเขาถูกลากตัวขึ้นลิฟท์ไป

...

ที่คฤหาสน์หรูหลังหนึ่ง ห้องรับแขกกว้างขวางและถูกประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราราคาแพง ทั้งห้องอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของคน 2 คน คนหนึ่งคือไวพจ และอีกคนหนึ่งคือป้าวิมลซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังโตหลังนี้

"ทำแบบนี้มันไม่หนักไปหน่อยเหรอ นั่นพี่ชายเธอนะ"

ป้าวิมลพูดด้วยหัวเราะไปด้วย ไวพจก็ยังหัวเราะไม่หายเหมือนกัน เมื่อเขายังนึกถึงน้ำเสียงของพี่ชายในการคุยโทรศัพท์ครั้งล่าสุดนั้น

"ก็ให้พี่ชายของผมได้รู้ซะบ้าง ว่าลูกค้าของเขานั้นจะรู้สึกอย่างไรกัน"

เสียงหัวเราะจากทั้ง 2 ดังลั่นอีกครั้ง สักพักทั้งคู่ก็ค่อยสงบจากการหัวเราะ

"ผมคงปล่อยพี่ชายผมไว้ไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวก็จะไปรับเร็วๆนี้ แล้วลูกชายป้าเป็นอย่างไรบ้างครับ ป้าได้ต่อว่าอะไรมั้ย?"

"อ๋อ... ไม่หรอก ลูกชายป้าเริ่มระแคะระคายอยู่แล้วว่านั่นมันคือแผนจากคู่แข่งทางธุรกิจ เขาก็ตั้งใจว่าจะไปรับป้าออกมา แต่ก็ช้าไปแล้วที่ป้าออกมาก่อน และลูกชายป้าก็ขอโทษป้าแล้วล่ะ จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ นั่นมันลูกชายป้า"

ไวพจยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น

"ผมได้ยินแบบนั้นก็สบายใจแล้วครับ อ้อ! แล้วพนักงานขับรถขนขยะ คนที่ช่วยเราหนีออกมาล่ะ ป้าได้เจอเขาหรือยัง"

ป้าวิมลชี้นิ้วไปที่โถงทางเดิน

"นั่นไง มานู่นแล้วไง"

ชายหนุ่มคนที่ขับรถพาป้าวิมลและไวพจหนีออกมาจากโรงแรม เดินหิ้วถุงของกินเข้ามา เขาวางของลงบนโต๊ะ และยกมือไหว้คนทั้ง 2

"สวัสดีครับ นี่ครับผมซื้อของกินสำหรับเลี้ยงงานฉลองของเรา"

"อ้าว เธอมาทำงานที่นี่แล้วเหรอ"

ไวพจหันหน้าไปพูดกับชายหนุ่ม แต่ป้าวิมลก็ชิงตอบ

"ใช่แล้วล่ะ เขาลาออกจากบริษัทแล้วมาอยู่กับป้าเลย ป้ากำลังขาดคนขับรถประจำตัวอยู่พอดี"ทั้ง 3 ช่วยกันจัดโต๊ะอาหาร ป้าวิมลหยิบขวดเหล้าราคาแพงมาเปิดกิน เสียงหัวเราะจากคน 3 รุ่นดังลั่นเหมือนทั้ง 3 เป็นเพื่อนวัยใกล้ๆกัน