วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรารถนาสุดท้าย





ผมเห็นเธออีกครั้ง! เราแยกทางกันมาเกือบจะ 13 ปี ความทรงจำเก่าๆฉุดรั้งไว้ไม่ให้เข้าไปเจอเธออีก แม้ภายในก้นบึ้งของห้วงความคิดจะเป็นแรงดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหาเธอ

เราเริ่มคบกันเมื่อเธอเดินเข้ามา เธอปรารถนาผม ผมแค่สนองตอบ ครั้งนั้นผมอยู่กับเธอด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่มีใคร แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรักผม

ครั้งหนึ่งเราเดินผ่านร้านดอกไม้ เธอรบเร้าให้ผมซื้อดอกทิวลิปสีม่วงให้เธอ ผมบอกให้เธอไปซื้อเอง เธอไม่ซื้อ ผมไม่เข้าใจ

ครั้งที่ผมถูกนักเลงต่างถิ่นทำร้าย เธอออกมาปกป้องผม กราบเท้าขอร้องพวกนักเลงไม่ให้ทำร้ายผมอีก เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อผม บาดแผลและกระดูกที่หัก เธอพาไปหาหมอและช่วยรักษา ผมไม่เคยพูดขอบคุณเธอ

ในตอนที่ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมคิดว่าหมดอนาคต ไร้คนเหลียวแล เธอให้คำปรึกษาผมโดยไม่ปริปากบ่น หาสมัครงานกับคนรู้จักให้ผมจนผมได้งานทำ

จนผมถูกไล่ออกจากงาน เธอไม่เคยด่าว่าผมว่าเหลวไหล ยังคงให้กำลังใจและหาสมัครงานให้

ผมได้เงินเดือนไม่เคยแบ่งให้เธอซักครั้ง ผมใช้เงินเหล่านั้นหมดไปกับการเที่ยว กินเหล้า นอนกับผู้หญิงอื่น เธอไม่ปริปากบ่นซักคำ แถมบางครั้งผมยังเอาเงินจากเธอไปทำสิ่งเหล่านั้น เธอให้ด้วยความเต็มใจ

ผมติดยา เธอพาผมไปรักษาโดยไม่รังเกียจ ไม่อายพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง ไม่อายเพื่อน บางครั้งทะเลาะกับคนเหล่านั้นเพื่อผม

ผมค้ายาเสพติด เงินที่ได้หมดไปกับการเที่ยว ซื้อของแพงๆ ให้เงินกับผู้หญิงอื่น แต่ไม่เคยแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้เธอซักตัว เธอไม่รู้ว่าผมค้ายา

ผมโดนตำรวจจับข้อหาค้ายาเสพติด โทษจำคุก 15 ปี เธอไปเยี่ยมผมตลอด 3 ปี และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมมีและเคยมี ผมเป็นเด็กกำพร้า

ผ่านไป 3 ปี ความเงียบและความเหงาทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต นึกถึงเธอ ผมนอนร้องให้ทุกคืน อยากจะฆ่าตัวตาย ผมปฏิเสธการเยี่ยมของเธอตั้งแต่บัดนั้น

เธอยังเขียนจดหมายมาหาผมอีกหลายฉบับ ผมตัดสินใจไม่เปิดอ่าน

แค่ 5 ปีผมออกจากคุกแล้วเพราะทำตัวดีและมีการอภัยโทษหลายครั้ง ผมเดินออกมาจากคุกพร้อมเสื้อผ้าและกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน

ผมเริ่มงานกับเถ้าแก่ที่รู้จักกันในคุก ท่านรักและไว้ใจผม ผมตั้งใจทำงานเก็บหอมรอมริบจนสามารถไปตั้งโรงงานของตัวเองได้

กิจการรุ่งเรือง ผมมีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถคันโตหลายคัน ผู้คนนับถือผมเพราะมีเงินเยอะ ผมซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ยกเว้นกินเหล้ากับเที่ยวผู้หญิง

ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต การทำงาน การเดินทาง ท่องเที่ยว การบริจาคเงินเพื่อการกุศล ให้ความรู้และให้โอกาสผู้คน

จนมาวันหนึ่งผมพบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านในลังไม้ใบเก่า ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัว

ผมจ้างนักสืบออกหาตัวเธอ บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมแอบเฝ้ามองเธอ หัวใจผมพองโต บาปที่เกาะกินในจิตใจผมเริ่มมีความหวังที่จะชำระล้างแล้ว

ผมกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เฝ้าคิดถึงวันที่เราทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ผมจะแต่งงานกับเธอ จะให้เธอทำงานกับผมเพราะกลัวเธอเหงาถ้าอยู่บ้านคนเดียว

ผมจะพาเธอไปเที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ไปทุกที่ที่ผมเคยไปเที่ยวเมื่อครั้งที่ผมอยู่คนเดียว คราวนี้ผมจะได้เที่ยวอย่างไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ผมอยากจะมีลูกซักสองคนกับเธอ และจะให้เธอออกจากงานมาเลี้ยงลูก ผมจะให้พ่อแม่ของเธอมาอยู่ที่บ้านของผม เพื่อเธอจะได้ไม่เหงาและพวกท่านจะได้อยู่กับหลานๆ

ผมจะรักลูกๆทุกคน สอนพวกเขาให้เข้มแข็ง ให้พวกเขาเลือกที่จะเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน

ผมจะพาเธอไปเรียนต่อในมหาลัยอีกครั้ง ให้ได้ใบปริญญา เมื่อครั้งมีโอกาสเธอทิ้งมันเพื่อผม

ผมอยากขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆข้ามทวีปสักครั้งในชีวิต โดยมีเธอนั่งซ้อนไปด้วย

ในบั้นปลายชีวิตเราอยู่บ้านชานเมืองที่เงียบสงบ เวลานั้นแค่เราจ้องตากันก็คงมีความสุขพอแล้ว

เราจะสัญญาต่อกันว่าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจากไปก่อน อีกฝ่ายหนึ่งจะอยู่อย่างเข้มแข็งและไม่ร้องไห้

_________________

ผมหยิบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าตอนนั้นเธอยังคิดอย่างไรกับผมบ้าง ใจหนึ่งก็กลัวจะมีคำพูดบางประโยคในกองจดหมายที่เขียนว่า 'ไม่รักผมแล้ว' ผมเก็บกองจดหมายใส่ลังไว้ที่เดิม

ทุกความคิดทุกความรู้สึก กลั่นกรองออกมาเป็นแรงปราถนาในการที่จะให้ผมไปพบเธอในวันนี้ ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและร้อนใจ แต่เมื่อขับรถมาใกล้จะถึงบ้านเธอผมเริ่มรู้สึกกลัว

ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร จะพูดประโยคแรกเมื่อเจอกันว่าอย่างไร และหลังจากพูดคุยกันเสร็จจะทำอะไรต่อไป ความจริงผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซักซ้อมคำพูดและแววตามาหลายร้อยรอบ แต่ตอนนี้ผมลืมมันไปหมดสิ้น

ผมจอดรถไว้ถัดจากบ้านเธอไป 2 หลังเพื่อให้มีเวลาตั้งตัว ผมเปิดประตูรถและก้าวออกมาโดยไม่ลืมที่จะค่อยๆอุ้มช่อดอกทิวลิปสีม่วงที่ราคาแพงที่สุดในร้านลงมาด้วย

เมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเธอทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกลัวเกินกว่าที่จะกดกริ่งหน้าประตู

ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หลบอยู่หลังเสา และแอบชำเรืองลอดผ่านรั้วเหล็กเข้าไปในตัวบ้านโดยหวังว่าเธอจะออกมาเจอตัวผมเอง

ผมเห็นเด็กน้อยชายหญิงสองคนวิ่งเล่นกันบนสนามหญ้าในตัวบ้าน

ทั้งสองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผู้ชายคนน้องกลิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มก่อนคนพี่จะทิ้งตัวลงนอน เสียงหัวเราะทั้งคู่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์

"อ้าวๆ แก้วไปแกล้งน้องอีกแล้ว ไปนอนทับน้องเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

นั่นเสียงเธอ! ผมไม่ได้ยินเสียงเธอมานานเท่าไหร่แล้วนี่ เสียงที่ผมได้ยินเมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้ง เพราะผมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เคยมีใครพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเท่านี้แล้ว

ผมเห็นเด็กชายคนเล็กรีบลุกและวิ่งไปกอดเธอ เด็กน้อยแกล้งไปซบที่ขาเธอเหมือนจะไปฟ้องว่าโดนพี่สาวแกล้งจริงๆ

"กรมั่วแล้วแม่ น้องเป็นคนลงไปนอนกลิ้งเองต่างหาก หนูเปล่าซะหน่อย"

"เอาล่ะๆ ทั้งคู่รีบไปล้างมือเร็ว แม่เพิ่งอบคุ้กกี้เสร็จ นี่ไงกำลังอุ่นๆเชียว มีน้ำใบเตยของชอบของแก้วด้วยนะ"

"เย้"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้าบ้านไปเพื่อไปล้างมือ ผมคิดว่าถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปผมคงไม่กล้าเดินเข้าไปพบเธออีกแน่นอน อย่างน้อยก็คำบอกลา

ขาทั้งสองข้างไม่ขยับ 

ผมค่อยๆเดินจากมา

ตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน ผมพยายามถามหาเหตุผลจากตัวเองถึงความกลัวที่ปรากฎ

ไร้คำตอบใดๆ

ผมคิดทบทวนทุกเรื่องราวในหัวจนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า 'แค่ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจกัน นั่นก็คือความรักแล้ว' ใช่่แล้ว ผมคงกลัวที่จะทำร้ายจิตใจเธออีกครั้ง จิตใต้สำนึกจึงสั่งไม่ให้ผมไปเจอเธอ

ผมจอดรถข้างทาง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พิมพ์ข้อความว่า

'ขอโทษทุกอย่างที่ทศทำร้ายจิตใจแอมมาตลอด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเพราะแอม จึงทำให้ทศรู้จักกับความรัก อโหสิกรรมให้ทศด้วยนะ'

ป้อนเบอร์โทรศัทพ์ของเธอที่ได้จากนักสืบ

ผมตั้งใจจะกดปุ่ม 'ส่งข้อความ' เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จ แต่เมื่อกำลังจะกดน้ำหนักนิ้วชี้ไปที่ปุ่ม นิ้วมันไปกดปุ่ม 'ยกเลิกส่งข้อความ' โดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น