วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำหนักกุ้งที่หายไป



สุชาติเดินเลือกไซส์กุ้งสดจากฟาร์มกุ้งเจ้าประจำ ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับการดูกุ้งในถังน้ำแข็งเฮียง้อเจ้าของฟาร์มเดินเข้ามาทักอย่างสนิทสนม

"วันนี้อยากได้กุ้งไซส์ไหนดีคุณสุชาติ" เฮียถามอย่างเป็นกันเอง

"อ่อเฮีย ผมอยากได้กุ้งไซส์ใหญ่เพื่อเอาไปทำฉู่ฉี่ให้เพื่อนๆผมน่ะครับ พอดีเพื่อนมาเที่ยวบ้านเลยว่าจะเอาไปเยอะหน่อย" สุชาติโกหกเฮียว่าจะเอากุ้งไปทำอาหารแต่ความจริงเค้าจะเอากุ้งไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ที่บ้าน

ความจริงแล้วสุชาติเป็นคนที่ชอบกินกุ้งเป็นชีวิตจิตใจ เค้าชอบมาซื้อกุ้งจากฟาร์มแห่งนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์สุชาติจะต้องกินกุ้งอย่างน้อยหนึ่งมื้อ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้สุชาติต้องเลิกกินกุ้งไปตลอดชีวิตเพราะว่า เมื่อเดือนที่แล้วเค้าตัดสินใจไปหาหมอเพราะว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนสุชาติเริ่มมีอาการมือชาเท้าชา อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร และท้องผูก หมอบอกกับสุชาติว่าเลือดของเค้าปนเปื้อนไปด้วยสารตะกั่วจำนวนมาก ทำให้สุชาติเป็นโรคพิษตะกั่วขั้นเรื้อรั้ง เมื่อหมอซักประวัติชีวิตประจำวันอาหารการกิน สุชาติบอกว่าเค้าชอบกินกุ้งมากหมอจึงสงสัยว่ากุ้งอาจมีสารตะกั่วเจือปน หลังจากนั้นสุชาติกลับไปตรวจสอบกุ้งที่ซื้อมาจากฟาร์มของเฮียง้อ ปรากฏว่าในกุ้งแต่ละตัวจะมีเม็ดตะกั่วขนาดเท่ากรวดเม็ดทรายจำนวน 4-5 เม็ดฝังอยู่ในหัวกุ้ง หลังจากนั้นสุชาติก็เลิกกินกุ้งตลอดชีวิตแม้จะเป็นกุ้งจากฟาร์มอื่น

"คุณสุชาติเป็นลูกค้าคนสำคัญของฟาร์มเรา ถ้าขาดคุณสุชาติไปนี่ฟาร์มเราต้องแย่ๆแน่ๆเลย 55555" เฮียพูดหยอกสุชาติอย่างสนิทสนม

"เฮียก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่ลูกค้ารายย่อยมาซื้อทีละโลสองโล เทียบอะไรได้กับร้านอาหารใหญ่ๆหลายร้านที่มาซื้อกุ้งของเฮียไปทำอาหารให้คนกิน" สุชาติพูดโต้ตอบเฮียง้อแบบไม่สบตาเฮีย

"แต่คุณสุชาติเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้อกุ้งเองจากฟาร์มมานานจนตอนนี้ผมคิดว่าคุณสุชาติเป็นเพื่อนผมไปแล้วนะครับเนี่ย" เฮียง้อตามคุยกับสุชาติอย่างสนิทสนม

"ผมต้องขอบคุณเฮียมาก ที่หลายเดือนมานี่เฮียชอบแถมกุ้งให้ผมตลอดเลย ซื้อแค่โลเดียวแต่แถมมาให้อีกโล" สุชาติพูดเหมือนขอบคุณเฮียที่ช่วยแถมตะกั่วในกระแสเลือดให้เค้าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

"เอาน่าๆ เล็กน้อยๆ ถือซะว่าเราเป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เฮียพูดต่อ

สุชาติคิดในใจ "กัลยาณมิตรเรอะ" สุชาติเลือกกุ้งเสร็จ นำกุ้งไปชั่งกิโลและจ่ายเงิน เฮียง้อแถมกุ้งให้สุชาติเพิ่ม

เมื่อกลับถึงบ้านสุชาตินำกุ้งทั้งหมดวางบนโต๊ะ ค่อยๆแกะหัวกุ้งทีละตัวเพื่อใช้ครีมปลายแหลมความหาก้อนเม็ดตะกั่ว เมื่อพบแล้วก็ครีบเม็ดตะกั่วเก็บไว้ในขวดโหลแก้ว สุชาติแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งจนครบทุกตัวจึงปิดฝาขวดโหลเก็บไว้ ซากเปลือกกุ้งและเนื้อกุ้งที่เหลือเค้ารวบรวมและนำไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน

อาทิตย์ต่อมาสุชาติก็กลับมาเลือกซื้อกุ้ง วันนี้สุชาติขอเฮียเดินดูรอบๆฟาร์มกุ้ง เฮียง้อใจดีพาสุชาติเดินชมรอบฟาร์ม ฟาร์มของเฮียง้อเป็นฟาร์มกุ้งขนาดกลาง เลี้ยงกุ้งทั้งหมด 4 บ่อ เป็นบ่อที่ปูขอบบ่อด้วยผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ และบ่อที่ไม่ปูผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ มีห้องที่ทำเป็นโรงเก็บกุ้งท้ายบ่อ

"เฮียเริ่มต้นธุรกิจนี้ได้ยังไง เริ่มมาจากไหนเหรอ" ผมถามเฮียถึงเรื่องราวในอดีต

"เฮ่ออออ" เฮียง้อถอนหายใจก่อนจะตอบคำถาม "พ่อแม่ผมเริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ตอนผมยังเล็กๆแล้ว จากเมื่อก่อนก็ยังเป็นสระเล็กๆไม่ได้มาตรฐานอะไรมาก กำรี้กำไรแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ได้เงินมาก็พอจ่ายค่าลูกน้อง สมัยก่อนในจังหวัดเราฟาร์มกุ้งมันเยอะ ราคาก็แข่งกันจนจะขาดทุนกันหมดแล้ว ตอนผมอายุได้ 15 ปี พ่อท่านก็มาตายเพราะทำงานหนัก จากนั้นอีก 3 ปีแม่ก็มาตายตามกันไป" เฮียง้อพูดถึงความยากลำบากในสมัยเด็กให้สุชาติฟัง เหมือนได้ระบายอะไรออกมา

"แล้วใครเป็นคนดูแลฟาร์มกุ้งต่อล่ะ" สุชาติถามต่อเพราะรู้ว่าเฮียแกอยากเล่า

"ตอนที่แม่เสียผมก็ดูแลต่อเลย เพราะงานทุกอย่างในฟาร์มผมรู้หมดแล้ว แต่ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ว่าหนี้สินของฟาร์มเยอะมาก เยอะจนท้อไปเลย แต่ก็ไม่อยากขายฟาร์มนะเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน" เฮียตอบคำถาม

"แล้วเฮียทำยังไงต่อ" สุชาติถาม

"ผมก็ไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมสิ เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตนิดหน่อยก็ทำให้มีรายได้ต่อเดือนมากขึ้นจนสามารถที่จะไปกู้แบงค์ไปเงินก้อนมาจำนวนหนึ่ง จึงปรับปรุงฟาร์มให้มีมาตรฐานดีขึ้น พอฟาร์มใหญ่กำลังผลิตเยอะก็แข่งราคากับฟาร์มเล็กๆจนฟาร์มเล็กๆต้องปิดฟาร์มไปเลย ผมจึงลืมตาอ้าปากได้ถึงทุกวันนี้ไง" เฮียง้อพูดอย่างภูมิใจ

เฮียง้อพาสุชาติเดินรอบบ่อจนถึงท้ายบ่อผ่านห้องที่ทำเป็นโรงคัดไซส์กุ้ง สุชาติทำทีจะขอเข้าไปดู

"เฮีย ผมขอเข้าไปดูในโรงงานนั่นหน่อยได้มั้ย อยากไปดูกรรมวิธีแยกไซส์กุ้งว่าเค้าทำยังไงกัน" สุชาติถามเฮียง้อด้วยสายตากึ่งอยากรู้อยากเห็น

"เอาะอ่อ! ค่ะๆคือว่าตอนนี้ที่โรงแยกกุ้งคนงานเพิ่งจะเอากุ้งขึ้นมาจากสระ ข้างในอาจจะวุ่นวายกัน เข้าไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก ไว้คราวหน้าละกันเนาะ เดี๋ยวจะให้เข้าไปดู" เฮียพูดกันท่าสุชาติที่จะขอเข้าไปดูในโรงงาน

"ไม่เป็นไรเฮีย ไว้คราวหน้าก็ได้" สุชาติพูดเหมือนกับจะไม่สนใจที่ถูกปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่ให้เข้าไปดูแน่

วันนี้สุชาติหิ้วกุ้งกลับบ้าน 3 กิโล แน่นอนว่าบางส่วนเป็นของแถมจากเฮียง้อ สุชาติทำตามขั้นตอนเดิมคือแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งทุกตัว และเก็บมันใส่ขวดโหลแก้วอย่างดีมีฝาปิดมิดชิด และนำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้านเหมือนเดิม

อาทิตย์ต่อมาสุชาติโทรไปถามเฮียง้อว่าวันนี้เฮียจะอยู่ที่ฟาร์มกี่โมง เฮียบอกว่าจะอยู่ช่วงบ่ายๆ ดังนั้นสุชาติจึงเข้าไปที่ฟาร์มช่วงสายๆประมาณ 10 โมง โดยทำทีไปขอเลือกดูกุ้งเหมือนปกติ และเมื่อคนงานอื่นๆเผลอสุชาติก็ทำเป็นเดินลงไปดูบ่อกุ้ง เดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงงานท้ายบ่อ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ในนั่นจึงแอบเข้าไปในโรงงาน

เป็นตามที่สุชาติคิด เค้าเห็นถังพลาสติกใบใหญ่สีดำ ข้างในบรรจุเม็ดตะกั่วเม็ดเล็กๆประมาณเท่าเม็ดทรายเม็ดใหญ่ สุชาติแอบถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายเอาไว้ เมื่อสุชาติมั่นใจว่าที่ฟาร์มนี้นี่เองที่แอบยัดตะกั่วลงในกุ้งก็รีบเดินออกมาจากโรงงานอย่างทันทีโดยระวังไม่ให้ใครเห็น เมื่อออกมาสุชาติก็ทำทีเป็นเดินดูนู่นดูนี่จนเวลาผ่านไปไม่นานเฮียง้อก็กลับมา

"สวัสดีคุณสุชาติ ขอโทษทีที่ปล่อยให้รอนาน พอดีตอนเช้าไปคุยกับร้านอาหารที่มาเปิดใหม่ ไปสู้ราคากับเจ้าอื่นๆมา สรุปเป็นผมที่สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น" เฮียง้อทักทายสุชาติอย่างอารมณ์ดี

"ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมก็เพิ่งมาก่อนหน้าเฮียไม่นานหรอก พอดีที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงน่ะ ผมเลยจะมาเอากุ้งไซส์ใหญ่ซัก 10 โลไปเลย แต่งวดนี้เฮียไม่ต้องแถมให้ผมนะ เพราะบริษัทให้งบมาแล้ว" สุชาติพูดกับเฮียด้วยสีหน้าเก็บอาการจากสิ่งที่เค้าเจอมาเมื่อซักครู่นี้ "อ่อ แล้ววันนี้ผมขอบิลเงินสดด้วยนะ พอดีต้องใช้ตั้งเบิกกับบริษัทด้วยน่ะเฮีย" สุชาติย้ำ

"ได้เลยๆ" เฮียรับปากสุชาติ

"นี่คือไซส์ที่ใหญ่และดีที่สุดของเราเลย รับประกันได้ว่าฟาร์มเราราคาดีที่สุดแล้วในจังหวัด คุ้มแน่นอน" เฮียง้อพูด

"ใช่แล้วเฮีย ผมถึงอุดหนุนฟาร์มนี้ไม่เคยเปลี่ยนไง" สุชาติตอบเฮียง้อ "เฮีย วันอาทิตย์หน้าเฮียมีธุระไปไหนมั้ย" สุชาติถามเฮียง้อ

"อาทิตย์หน้าไม่มีนะ ทำไมเหรอ" เฮียง้อถาม

"คือว่าอาทิตย์หน้าเฮียไปเที่ยวสวนของผมมั้ย เป็นสวนผลไม้ของผมเอง ได้มรดกมาจากพ่อ แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้น่ะว่าสวนนั้นมีผมเป็นเจ้าของ เฮียห้ามบอกใครนะแม้แต่ลูกน้องว่าไปดูสวนกับผม" สุชาติพูดย้ำกับเฮียโดยระวังไม่ให้ใครได้ยิน

"อ่อๆ ได้ๆไม่มีปัญหา เดี๋ยวไว้วันอาทิตย์หน้าค่อยโทรนัดกันออกไปเจอข้างนอกก็ได้" เฮียง้อพูด

"งั้นวันนี้ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องรีบเอากุ้งไปให้พ่อครัวที่บริษัทจ้างมา ไว้เจอกันเฮีย" สุชาติบอกลาเฮีย เฮียง้อตอบรับ

สุชาติขนกุ้งกลับไปทำตามขั้นตอนเดิมทุกประการแต่วันนี้มีปริมาณมากหน่อย สุชาติแยกตะกั่วออกจากตัวกุ้ง เก็บตะกั่วใส่ในขวดโหล นำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน สุชาติเอารูปตะกั่วในโรงงานที่ถ่ายมาเปิดดูเทียบกับตะกั่วในขวดโหล เมื่อมั่นใจลักษณะตะกั่วใกล้เคียงกัน สุชาติจึงได้นำขวดโหลที่ใส่เม็ดตะกั่วจำนวนมากพร้อมเอกสารจำนวนหนึ่งไปส่งยังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งมีการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อาทิตย์ถัดมาสุชาติโทรไปหาเฮียง้อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อนัดออกมาเจอกันแถวนอกเมืองในเวลาบ่ายโมง โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าอย่าบอกใครว่าออกมาเจอกับเค้า สุชาติไปแอบซุ่มรอเฮียง้อตั้งแต่เช้าแล้วโดยไปซ่อนตัวแถวใกล้จุดนัดพบ เมื่อถึงเวลานัดพบเฮียง้อขับรถเข้ามาเห็นสุชาติยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงถามสุชาติว่า

"อ้าว! แล้วคุณสุชาติมายังไงเนี่ย เอารถไปจอดไว้ที่ไหน" เฮียง้อถาม

"อ๋อ ผมเอารถจอดที่สวนไง แล้วก็เดินออกมารับเฮียตรงนี้ เพราะถ้านัดที่สวนเลยกลัวเฮียไปไม่ถูก" สุชาติตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมาดมั่น

"เฮีย ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ชวนเฮียมาดูสวนผมอย่างเดียวนะ" สุชาติพูด

"อ่อๆ แล้วมีอะไรอีกเหรอ ที่ชวนมาวันนี้" เฮียง้อถาม

"ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้เฮียสมนาคุณของแถมให้ผมตลอดเลย ผมรู้สึกเกรงใจเลยคิดว่าจะเอาของสิ่งนั้นมาคืนเฮียน่ะ" สุชาติพูดพร้อมจ้องตาเฮียง้ออย่างดุดัน

"อ่อๆ ถ้าคิดจะเอาเงินมาคืนให้เลิกคิดไปเลย ผมไม่เอาหรอก" เฮียง้อพูด

"ไม่ใช่เงินเฮีย แต่เป็นอันนี้" สุชาติหยิบเม็ดตะกั่ววางบนมือเฮียง้อหนึ่งเม็ด เฮียง้อก้มหน้าดูแต่ไม่ทันที่เฮียง้อจะดูเสร็จว่าเป็นเม็ดอะไรสุชาติพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

"นั่นยังไม่หมด ยังเหลืออีกเม็ดหนึ่ง" เมื่อพูดจบสุชาติเล็งปืนมาที่หัวเฮียง้อ เหนี่ยวไกปืน .38 ทะลุกลางหัวเฮียง้อ

เฮียง้อตายคาที่ จากนั้นสุชาติรีบหลบหนีตามเส้นทางที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ สุชาติต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้เค้ามีนัดเข้ารับการรักษาโรคพิษตะกั่วที่โรงพยาบาล สุชาติตั้งใจว่าก่อนที่จะเข้ารับการรักษาทางกายเค้าอยากชำระความแค้นทางใจออกไปก่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สุชาติส่งตะกั่วทั้งหมดที่เค้าเก็บไว้ในขวดโหลแก้วไปให้โรงหล่อโลหะ และเอกสารนั้นเป็นแบบหัวกระสุนของลูกปืน .38 เมื่อสุชาติได้หัวกระสุนที่มาจากตะกั่วในตัวกุ้ง จึงนำหัวกระสุนนี้ไปสลับกับหัวกระสุนที่ติดมากับลูกกระสุนเดิม



เมื่อสุชาติยิงเฮียง้อตาย เค้าพูดออกมาเสียงหนักแน่นว่า "ของสิ่งไหนที่มันไม่ใช่ของเรา ก็ให้คืนเจ้าของเค้าไป ตอนนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ"


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซุปเปอร์ไบค์ชวนเสียว



ผมนัดพบกับกลุ่มก๊วนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เวลา 6 โมงเช้า เส้นทางที่จะไปขี่รถคือถนนเส้นจากอำเภอแม่ริมไปยังอำเภอสะเมิง พี่ๆในกลุ่มประกอบด้วย พี่เหน่ง Kawasaki Z1000 พี่ตั้ม Suzuki GSXR1000 พี่อาร์ Honda CBR1000 พี่กิ่ม Yamaha R1ส่วนผมเด็กที่สุดในกลุ่ม ขี่ Ducati 1199 Panigale R


ยามเช้าหน้าหนาวในจังหวัดเชียงใหม่ และยิ่งถนนบนดอยที่มีป่าต้นไม้ล้อมรอบ สองข้างทางทำให้อากาศเหมาะต่อการถูกสูดเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ โค้งบนถนนเส้นนี้เป็นโค้งที่สวย เป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้ชาวต่างชาติก็ยังยกย่องถนนเส้นนี้ เป็นถนนเส้นที่เหมาะกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะทุกโค้งบนถนนจะรับโค้งกับการเข้าโค้ง เวลาเข้าโค้งนักบิดจึงไม่ต้องชะลอความเร็วมากนัก ผมวิ่งเส้นนี้นับร้อยครั้งจนจำองศาของโค้งได้หมดแล้วครับ


รวมถึงถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ฟาร์มงู ฟาร์มผีเสื้อ ฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนพฤกษศาสตร์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ ที่ถนนเส้นนี้จึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หากเป็นช่วงสายๆขึ้นไปก็อาจจะมีรถวิ่งกันพลุกพล่าน ผมจึงเลือกช่วงเวลาเช้าๆในขณะที่ยังไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่


เรานัดกินกาแฟในปั๊มน้ำมันกันก่อน พูดคุยวางแผนการเดินทางตั้งใจกันไว้ว่า พอลงจากดอยผ่านอุทยานหลวงราชพฤกษ์พืชสวนโลก จะแวะร้านข้าวต้มประจำ ที่เราต้องแวะไปกินทุกครั้งหากวิ่งมาเส้นนี้ จากนั้นแต่ละคนก็เติมน้ำมันกันเต็มถัง เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมกันหมดแล้วผมจึงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว ผมบิดคันเร่งเล็กน้อยเสียงเครื่องยนต์ 1000cc ดังกระหึ่ม ผมเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านแถบนั้น จึงเผลอรีบปล่อยครัชรถไหลออกจากปั๊มไป หันไปมองว่าพี่ๆออกตัวกันมาหรือยัง ปรากฏว่าพี่ตั้มเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำส่วนคนอื่นๆยังคงจอดรอพี่ตั้มกัน ผมขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปชะลอรถรอพวกพี่ๆทางแยกขึ้นดอย


ผมขับรถถึงแยกสัญญาณจราจรเลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นดอยไปยังอำเภอสะเมิงปรากฏว่า สัญญาณไฟเป็นสีเขียวผมจึงเลี้ยวซ้ายทันที การจราจรมีรถขับลงมาจากดอยบ้างประปราย เนื่องจากถนนเลนฝั่งผมโล่ง และยังเป็นทางตรงผมบิดคันเร่งๆความเร็วไปที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันใดนั้นรถเก๋งเลนฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร แต่ยังอยู่ห่างจากผมประมาณ 100 เมตร เมื่อสังเกตดีๆผมเห็นรถกระบะคันใหญ่สีเขียว บรรทุกสินค้าทางการเกษตรเต็มลำวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พยายามวิ่งแซงขวารถเก๋ง แล้วยังคร่อมเลนออกมาทับเลนที่ผมวิ่ง รถกระบะคงนึกไม่ถึงแน่ที่มอเตอร์ไซค์ จะมีความเร็วสูงขนาดนี้เมื่อแซงรถเก๋งมาได้ จึงรีบหักหลบเข้าเลนตัวเอง ฉิวเฉียดที่จะประสานงานกับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมหัวใจหวิวๆเพียงเล็กน้อยเพราะประสบการณ์เฉียดตายจากมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นผ่านมาเยอะแล้ว


"โครม.....ม!" เสียงรถชนประสานงานกันดังสะนั่นลั่นถนน ผมรีบสำรวจตัวเองด้วยความกังวลว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นของผมเอง และที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจะเป็นดวงวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากร่างกาย ผมชะลอรถยกมือซ้ายกำมือแบมือสลับยกมือขวากำมือแบมือ ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นลงๆ สะบัดหัวซ้ายขวาๆผงกหัวขึ้นลงๆ กรอกลูกตาซ้ายขวาบนล่าง กัดลิ้นตัวเองเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ร่างกายความรู้สึกผมก็ยังปกติดีทุกอย่างนี่ สงสัยเจ้ารถกระบะซ่านั่นจะแหกโค้งออกนอกถนนไปแล้วมั้ง น่าเห็นใจจัง ทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาวไปน่าจะประมาณอีก 500 เมตร ผมลดเกียร์ลงเป็นเกียร์ 2 บิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ล้อหน้ายกทะยานท้าความเร็วที่พุ่งขึ้นพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มท้องถนน เมื่อมั่นใจว่ายังรับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ครบถ้วน ผมค่อยๆลดคันเร่งลงด้วยความเกรงใจคนแถวนั้นเรื่องเสียงเครื่องยนต์ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เห็นใครเลยซักคนข้างถนน


ในทางโค้งผมเข้าโค้งได้อย่างหมดจดไม่มีบานไม่มีพับ ก่อนที่จะเข้าในโค้งผมเข้าโค้งแบบ Counter Steering ถ่ายน้ำหนักจากสะโพกไปทางโค้ง เมื่ออยู่ในโค้งผมแบนโค้งจนเซนเซอร์ที่ตำแหน่งหัวเข่าแตะพื้น และตอนออกจากโค้งผมบิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ในทางซิกแซกผมพลิกตัวซ้ายขวาไม่มีหลุด ความเร็วที่ใช้ในโค้งเป็นความเร็วสูงสุดที่สามารถจะใช้ได้ ผมแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ขี่รถได้ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน พริ้วอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางตรงผมบิดคันเร่งความเร็วแตะท็อปสปีด ก่อนจะเข้าโค้งผมแบนโค้งเข่าแตะพื้นอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์มา หรือเป็นวิญญาณล่องลอยมากันแน่ ถ้าผมยังไม่เป็นวิญญาณอาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา เลยทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีดขี่รถได้แบบไม่กลัวตาย


อากาศบนดอยสูงสดชื่นมาก ผมขี่รถในช่วงท้ายๆของเส้นทางแบบสบายๆ ค่อยๆผ่อนคลาย ผมเปิดชีลด์หมวกกันน็อคเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวลมที่ประทะกับใบหน้าเหมือนกับจะทำให้ผมเข้าสู่เข้าสู่ภวังค์ได้เลย ผมเริ่มเห็นผู้คนเดินทางไปมาบ้างแล้ว ทำให้อุ่นใจไปอีกระดับนึงว่าผมน่าจะยังอยู่ในภพภูมิเดียวกับมนุษย์ทั่วไป การจราจรเริ่มหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย


ในที่สุดผมก็ขี่มาถึงร้านข้าวต้มที่ประจำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักของพวกเรา ผมเอารถไปจอดที่จอดรถประจำ ซึ่งสามารถจอดได้ 5 คันพอดี จากนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับ 6 คน ผมเปิดเมนูเพื่อเลือกอาหารและแอบชำเลืองมองเด็กเสิร์ฟ เขาเดินผ่านผมไป พรางบ่นในใจว่าทำไมไม่เอาน้ำมาให้ซักที ผมหิวน้ำแล้ว ทันใดนั้นรถกลุ่มพี่ๆค่อยๆเข้ามาจอดรถในตำแหน่งประจำของแต่ละคน พี่ๆค่อยถอดหมวกถอดถุงมือแล้วค่อยๆทยอยเดินกันมา พี่ตั้มเดินมานั่งที่โต๊ะเป็นคนแรกแต่เหมือนกับจะมองไม่เห็นผม ผมตะโกนถามพี่ตั้ม "กินข้าวต้มอะไรดีครับพี่" พี่ตั้มเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร "พี่ตั้มๆ"


ในใจผมเริ่มวิตก นี่เราเป็นวิญญาณหรือไงนี่ ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่พี่ตั้ม "ฟ้าววววว" เสียงฝ่ามือวิ่งฝ่าอากาศ ผมรีบวิ่งไปยังกลุ่มพี่ๆที่เหลือ "ฟ้าววววว" ผมวิ่งทะลุร่างพี่เหน่ง "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพี่อาร์ "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพึ่กิ่ม วิ่งไปดูที่รถของพี่ๆลองไล่สัมผัสดูแต่มือไม่สามารถสัมผัสได้ ในหัวผมเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ตายแล้วจะไปไหน ใครจะมารับไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ารถกระบะคันนั้นมันแซงรถเก๋งไม่พ้นจึงชนกับรถของผม และเสียงรถชนกันที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอุบัติเหตุของผมเองแต่จิตใต้สำนึกของผมยังเชื่อมั่นไปเองว่ารถกระบะต้องแซงพ้นและหักหลบเข้าเลนตัวเองไปแล้ว อาจจะเหมือนหนังผีฝรั่ง ที่คนตายอย่างกะทันหันมักจะไม่รู้ตัวเองตาย จิตยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ จนกว่าจะมีเหตุการณ์ให้รู้ว่าตัวเองตายแล้ว จิตถึงจะหลุดพ้นไปยังสรวงสวรรค์หรือไปเกิดใหม่ได้


เสียงเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มตะโกนเสียงดังลั่นร้าน "เฮีย เกิดอุบัติเหตุบิ๊กไบค์เลยแยกทางขึ้นดอยแม่ริม ประสานงานกับกระบะขนกะหล่ำ กระบะพลิกคว่ำ 3 ตลบเลย ไอ้บิ๊กส่งข่าวมาเรียกให้ไปช่วยกู้ซากรถหน่อย" เสียงเด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ตะโกนบอกเฮียเจ้าของร้านที่กำลังปรุงหม้อข้าวต้ม เพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่กู้ภัยจากอุบัติเหตุเมื่อได้รับข้อความแจ้งจากเพื่อน






"ไหนๆ ดูซิ" เฮียเจ้าของร้านรีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปภาพพร้อมข้อความที่อาสาสมัครส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันดู


"ข้อความบอกว่ากระบะแซงขวารถเก๋ง บิ๊กไบค์วิ่งมาเร็วกระบะหักหลบไม่ทันประสานงานกันเต็มๆ" เด็กเสิร์ฟพูดให้เฮียฟังพร้อมเตรียมส่งข้อความตอบกลับ


ผมขนลุกไปทั้งตัวไม่เว้นขนจมูกและขนในรูหู รีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองไกลๆเห็นแล้วไอ้กระบะเวรนั่น ในที่สุดผมก็มั่นใจว่าผมได้ตายแล้วจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นแค่วิญญาณที่ล่องลอยไปตามอากาศ และยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ๆเคยไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็ไม่ตกใจอะไรไปมากกว่านี้ พยายามที่ยอมรับความตายอย่างสงบที่สุด ผมมองออกไปยังท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดจ้าขึ้น ผมคิดในใจว่าจะมีเทวดาลอยลงมารับตัวผมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ หรือจะมียมทูตมารับตัวผมไปสู่นรกกันแน่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเบาขึ้น เหมือนกับจะล่องลอยขึ้นไปยังบนท้องฟ้า เดี๋ยวซักพักวิญญาณของผมคงจะค่อยๆแตกสลายเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมค่อยๆยกแขนยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับแสงแดดบนท้องฟ้า รอเวลาให้พลังงานที่ก่อรูปเป็นวิญญาณนี้สลายไปกับอากาศ


วิญญาณไม่ยอมสลาย มือผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแสงแดด ผมรีบยื่นหัวเข้าไปดูใกล้ๆกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็น Ducati ของผมหรือเปล่า


"น้องๆ ตกใจอะไรกัน" เฮียเจ้าของร้านสะกิดที่ไหล่ผม


"อ้าวเฮียหมู เห็นตัวผมด้วยเหรอ" ผมตกใจถามเพราะคิดว่าตัวผมเองเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้ อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสงสัยว่าทำไมพี่ๆไม่เห็นตัวผมมีแต่เฮียและเด็กเสิร์ฟที่หันมามองหน้าและยิ้มทักทาย แอบคิดในใจหรือว่าเฮียกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งจะตายโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันกับผม


"เห็นสิ หัวบังเต็มจอเลย อ้อ! น้องบอลนี่เอง มาช่วยกันดูซิว่าพวกนี้เป็นกลุ่มไหนเผื่อน้องรู้จัก แต่งตัวเต็มยศเลย ขี่บิ๊กไบค์มาเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ" เฮียหมูถามพร้อมจำหน้าผมได้ ผมไม่สนใจรีบจ้องดูที่รถมอเตอร์ไซค์ว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน


"นี่ไงเฮีย บิ๊กไบค์ตายเรียบ 4 ศพคนขับกระบะเจ็บสาหัสส่งโรงบาลแล้ว" เด็กเสิร์ฟรายงานข่าวที่เพื่อนอาสาสมัครส่งมาให้ “4 เหรอ เอ๊ะหรือว่า!ผมเริ่มคุ้นกับจำนวนตัวเลข


สภาพรถจากภาพ Kawasaki คอหัก Yamaha ล้อหลุดทั้งสองข้าง โครงรถแตกกระจาย สภาพ 2 คันนี่ไม่ต่างกันกับ Honda และ Suzuki


"เฮ้ย!" ผมอุทานเบาๆ พร้อมรีบวิ่งไปดูรถของพี่ๆ ณ ที่จอดรถ "เฮ้ย!" ผมอุทานรอบ 2 สภาพรถที่เห็นตรงหน้าสภาพไม่ต่างจากที่เห็นในอินเตอร์เน็ทเลย คอหัก ล้อหลุด โครงแตกละเอียด รอบๆตัวรถแปะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด พื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือด รอยเลือดลากเป็นทางยาวจากที่รถไปยังโต๊ะที่พี่ๆนั่งกันอยู่ ผมกลั้นใจหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่ๆ


เหมือนเลือดบนใบหน้าผมจะพร้อมใจกันวิ่งออกไปจากที่ๆมันเคยอยู่ พี่เหน่งคอหักหัวห้อยลงไปด้านหลัง ชีลด์หมวกกันน็อคแตกเห็นดวงตาพี่แกถลน พี่ตั้มหัวหลุดคาหมวกกันน็อค หมวกวางบนอุ้งมือที่พี่ตั้มอุ้มประครองไว้ ตัวพี่แกไหล่บิดจนแขนพลิกกลับหน้ากลับหลัง พี่อาร์แขนขาหักจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ลงไปนอนกองกับพื้น พี่กิ่มสภาพศพโดยรวมสวยกว่าเพื่อน แต่ซี่โครงของแกแทงทะลุออกมาภายนอกเห็นได้ชัด มีไส้ไหลห้อยลงมากองกับพื้น ถ้าทางเหมือนพวกพี่ๆกำลังนั่งรอใครอยู่ แค่คิดถึงข้อนี้แล้วผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แขนขาผมเริ่มเป็นเหน็บกิน ขยับตัวเริ่มไม่ค่อยได้ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม


เฮียเจ้าของร้านตะโกนเรียกผม "บอล! เป็นอะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว วิ่งไปวิ่งมาพูดจาอะไรกับใครไม่รู้เรื่อง" ผมหันหน้าไปหาเฮียแต่ไม่ได้ตอบ ผมลำดับเหตุการณ์ในใจ พวกพี่คงขับรถมาแบบหน้ากระดานเรียงสอง และมาด้วยความเร็วสูง พอเจอกระบะประสานงานเหมือนกับโยนลูกโบลลิ่งกระทบพินล้มหมด "สไตค์" เลย ผมนึกถึงสภาพพวกพี่ๆที่เห็นเมื่อกี๊นี้ รวมถึงเสียงรถประสานงานที่ดังลั่นถนนที่ผมได้ยินมา ซึ่งเป็นเสียงตอนที่พี่ๆโดนชน ผมขออนุญาตเป็นลมก่อนนะครับ แล้วไว้ค่อยไปทำบุญให้พี่ๆกันทีหลัง หลังจากผมฟื้นขึ้นมาก่อนนะ






"คร่อกกกก!!"