ผมนัดพบกับกลุ่มก๊วนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์
ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เวลา 6 โมงเช้า เส้นทางที่จะไปขี่รถคือถนนเส้นจากอำเภอแม่ริมไปยังอำเภอสะเมิง
พี่ๆในกลุ่มประกอบด้วย พี่เหน่ง Kawasaki Z1000 พี่ตั้ม Suzuki
GSXR1000 พี่อาร์ Honda CBR1000 พี่กิ่ม Yamaha
R1ส่วนผมเด็กที่สุดในกลุ่ม ขี่ Ducati 1199 Panigale R
ยามเช้าหน้าหนาวในจังหวัดเชียงใหม่ และยิ่งถนนบนดอยที่มีป่าต้นไม้ล้อมรอบ
สองข้างทางทำให้อากาศเหมาะต่อการถูกสูดเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่
โค้งบนถนนเส้นนี้เป็นโค้งที่สวย เป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดทุกเพศทุกวัย
ไม่เว้นแม้ชาวต่างชาติก็ยังยกย่องถนนเส้นนี้
เป็นถนนเส้นที่เหมาะกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะทุกโค้งบนถนนจะรับโค้งกับการเข้าโค้ง
เวลาเข้าโค้งนักบิดจึงไม่ต้องชะลอความเร็วมากนัก
ผมวิ่งเส้นนี้นับร้อยครั้งจนจำองศาของโค้งได้หมดแล้วครับ
รวมถึงถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ
ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ฟาร์มงู ฟาร์มผีเสื้อ ฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนพฤกษศาสตร์ รีสอร์ท
ร้านอาหาร ฯลฯ
ที่ถนนเส้นนี้จึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
หากเป็นช่วงสายๆขึ้นไปก็อาจจะมีรถวิ่งกันพลุกพล่าน
ผมจึงเลือกช่วงเวลาเช้าๆในขณะที่ยังไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่
เรานัดกินกาแฟในปั๊มน้ำมันกันก่อน พูดคุยวางแผนการเดินทางตั้งใจกันไว้ว่า
พอลงจากดอยผ่านอุทยานหลวงราชพฤกษ์พืชสวนโลก จะแวะร้านข้าวต้มประจำ
ที่เราต้องแวะไปกินทุกครั้งหากวิ่งมาเส้นนี้ จากนั้นแต่ละคนก็เติมน้ำมันกันเต็มถัง
เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมกันหมดแล้วผมจึงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว
ผมบิดคันเร่งเล็กน้อยเสียงเครื่องยนต์ 1000cc
ดังกระหึ่ม ผมเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านแถบนั้น
จึงเผลอรีบปล่อยครัชรถไหลออกจากปั๊มไป หันไปมองว่าพี่ๆออกตัวกันมาหรือยัง
ปรากฏว่าพี่ตั้มเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำส่วนคนอื่นๆยังคงจอดรอพี่ตั้มกัน
ผมขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปชะลอรถรอพวกพี่ๆทางแยกขึ้นดอย
ผมขับรถถึงแยกสัญญาณจราจรเลี้ยวซ้าย
เพื่อขึ้นดอยไปยังอำเภอสะเมิงปรากฏว่า สัญญาณไฟเป็นสีเขียวผมจึงเลี้ยวซ้ายทันที
การจราจรมีรถขับลงมาจากดอยบ้างประปราย เนื่องจากถนนเลนฝั่งผมโล่ง
และยังเป็นทางตรงผมบิดคันเร่งๆความเร็วไปที่ 160
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทันใดนั้นรถเก๋งเลนฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร
แต่ยังอยู่ห่างจากผมประมาณ 100 เมตร
เมื่อสังเกตดีๆผมเห็นรถกระบะคันใหญ่สีเขียว
บรรทุกสินค้าทางการเกษตรเต็มลำวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พยายามวิ่งแซงขวารถเก๋ง
แล้วยังคร่อมเลนออกมาทับเลนที่ผมวิ่ง รถกระบะคงนึกไม่ถึงแน่ที่มอเตอร์ไซค์
จะมีความเร็วสูงขนาดนี้เมื่อแซงรถเก๋งมาได้ จึงรีบหักหลบเข้าเลนตัวเอง
ฉิวเฉียดที่จะประสานงานกับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที
ผมหัวใจหวิวๆเพียงเล็กน้อยเพราะประสบการณ์เฉียดตายจากมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นผ่านมาเยอะแล้ว
"โครม.....ม!"
เสียงรถชนประสานงานกันดังสะนั่นลั่นถนน
ผมรีบสำรวจตัวเองด้วยความกังวลว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นของผมเอง
และที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจะเป็นดวงวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากร่างกาย
ผมชะลอรถยกมือซ้ายกำมือแบมือสลับยกมือขวากำมือแบมือ ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นลงๆ
สะบัดหัวซ้ายขวาๆผงกหัวขึ้นลงๆ กรอกลูกตาซ้ายขวาบนล่าง กัดลิ้นตัวเองเบาๆ
สูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ร่างกายความรู้สึกผมก็ยังปกติดีทุกอย่างนี่
สงสัยเจ้ารถกระบะซ่านั่นจะแหกโค้งออกนอกถนนไปแล้วมั้ง น่าเห็นใจจัง
ทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาวไปน่าจะประมาณอีก 500 เมตร
ผมลดเกียร์ลงเป็นเกียร์ 2 บิดคันเร่งเกือบหมดปลอก
ล้อหน้ายกทะยานท้าความเร็วที่พุ่งขึ้นพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มท้องถนน
เมื่อมั่นใจว่ายังรับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ครบถ้วน
ผมค่อยๆลดคันเร่งลงด้วยความเกรงใจคนแถวนั้นเรื่องเสียงเครื่องยนต์ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เห็นใครเลยซักคนข้างถนน
ในทางโค้งผมเข้าโค้งได้อย่างหมดจดไม่มีบานไม่มีพับ
ก่อนที่จะเข้าในโค้งผมเข้าโค้งแบบ Counter
Steering ถ่ายน้ำหนักจากสะโพกไปทางโค้ง
เมื่ออยู่ในโค้งผมแบนโค้งจนเซนเซอร์ที่ตำแหน่งหัวเข่าแตะพื้น
และตอนออกจากโค้งผมบิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ในทางซิกแซกผมพลิกตัวซ้ายขวาไม่มีหลุด
ความเร็วที่ใช้ในโค้งเป็นความเร็วสูงสุดที่สามารถจะใช้ได้
ผมแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ขี่รถได้ดีเหลือเกิน
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน พริ้วอย่างไม่น่าเชื่อ
ในทางตรงผมบิดคันเร่งความเร็วแตะท็อปสปีด ก่อนจะเข้าโค้งผมแบนโค้งเข่าแตะพื้นอีกครั้ง
ผมคิดในใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์มา หรือเป็นวิญญาณล่องลอยมากันแน่
ถ้าผมยังไม่เป็นวิญญาณอาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา
เลยทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีดขี่รถได้แบบไม่กลัวตาย
อากาศบนดอยสูงสดชื่นมาก ผมขี่รถในช่วงท้ายๆของเส้นทางแบบสบายๆ
ค่อยๆผ่อนคลาย ผมเปิดชีลด์หมวกกันน็อคเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด
ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวลมที่ประทะกับใบหน้าเหมือนกับจะทำให้ผมเข้าสู่เข้าสู่ภวังค์ได้เลย
ผมเริ่มเห็นผู้คนเดินทางไปมาบ้างแล้ว ทำให้อุ่นใจไปอีกระดับนึงว่าผมน่าจะยังอยู่ในภพภูมิเดียวกับมนุษย์ทั่วไป
การจราจรเริ่มหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดผมก็ขี่มาถึงร้านข้าวต้มที่ประจำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักของพวกเรา
ผมเอารถไปจอดที่จอดรถประจำ ซึ่งสามารถจอดได้ 5 คันพอดี จากนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับ 6
คน ผมเปิดเมนูเพื่อเลือกอาหารและแอบชำเลืองมองเด็กเสิร์ฟ
เขาเดินผ่านผมไป พรางบ่นในใจว่าทำไมไม่เอาน้ำมาให้ซักที ผมหิวน้ำแล้ว
ทันใดนั้นรถกลุ่มพี่ๆค่อยๆเข้ามาจอดรถในตำแหน่งประจำของแต่ละคน
พี่ๆค่อยถอดหมวกถอดถุงมือแล้วค่อยๆทยอยเดินกันมา พี่ตั้มเดินมานั่งที่โต๊ะเป็นคนแรกแต่เหมือนกับจะมองไม่เห็นผม
ผมตะโกนถามพี่ตั้ม "กินข้าวต้มอะไรดีครับพี่"
พี่ตั้มเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร "พี่ตั้มๆ"
ในใจผมเริ่มวิตก นี่เราเป็นวิญญาณหรือไงนี่
ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่พี่ตั้ม "ฟ้าววววว" เสียงฝ่ามือวิ่งฝ่าอากาศ
ผมรีบวิ่งไปยังกลุ่มพี่ๆที่เหลือ "ฟ้าววววว" ผมวิ่งทะลุร่างพี่เหน่ง
"ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพี่อาร์ "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพึ่กิ่ม
วิ่งไปดูที่รถของพี่ๆลองไล่สัมผัสดูแต่มือไม่สามารถสัมผัสได้
ในหัวผมเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ตายแล้วจะไปไหน
ใครจะมารับไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือว่ารถกระบะคันนั้นมันแซงรถเก๋งไม่พ้นจึงชนกับรถของผม
และเสียงรถชนกันที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอุบัติเหตุของผมเองแต่จิตใต้สำนึกของผมยังเชื่อมั่นไปเองว่ารถกระบะต้องแซงพ้นและหักหลบเข้าเลนตัวเองไปแล้ว
อาจจะเหมือนหนังผีฝรั่ง ที่คนตายอย่างกะทันหันมักจะไม่รู้ตัวเองตาย
จิตยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ จนกว่าจะมีเหตุการณ์ให้รู้ว่าตัวเองตายแล้ว
จิตถึงจะหลุดพ้นไปยังสรวงสวรรค์หรือไปเกิดใหม่ได้
เสียงเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มตะโกนเสียงดังลั่นร้าน "เฮีย
เกิดอุบัติเหตุบิ๊กไบค์เลยแยกทางขึ้นดอยแม่ริม ประสานงานกับกระบะขนกะหล่ำ
กระบะพลิกคว่ำ 3 ตลบเลย
ไอ้บิ๊กส่งข่าวมาเรียกให้ไปช่วยกู้ซากรถหน่อย"
เสียงเด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ตะโกนบอกเฮียเจ้าของร้านที่กำลังปรุงหม้อข้าวต้ม
เพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่กู้ภัยจากอุบัติเหตุเมื่อได้รับข้อความแจ้งจากเพื่อน
"ไหนๆ ดูซิ"
เฮียเจ้าของร้านรีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปภาพพร้อมข้อความที่อาสาสมัครส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันดู
"ข้อความบอกว่ากระบะแซงขวารถเก๋ง
บิ๊กไบค์วิ่งมาเร็วกระบะหักหลบไม่ทันประสานงานกันเต็มๆ"
เด็กเสิร์ฟพูดให้เฮียฟังพร้อมเตรียมส่งข้อความตอบกลับ
ผมขนลุกไปทั้งตัวไม่เว้นขนจมูกและขนในรูหู
รีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองไกลๆเห็นแล้วไอ้กระบะเวรนั่น
ในที่สุดผมก็มั่นใจว่าผมได้ตายแล้วจริงๆ
ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นแค่วิญญาณที่ล่องลอยไปตามอากาศ
และยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ๆเคยไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็ไม่ตกใจอะไรไปมากกว่านี้
พยายามที่ยอมรับความตายอย่างสงบที่สุด ผมมองออกไปยังท้องฟ้า
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดจ้าขึ้น
ผมคิดในใจว่าจะมีเทวดาลอยลงมารับตัวผมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์
หรือจะมียมทูตมารับตัวผมไปสู่นรกกันแน่
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเบาขึ้น เหมือนกับจะล่องลอยขึ้นไปยังบนท้องฟ้า
เดี๋ยวซักพักวิญญาณของผมคงจะค่อยๆแตกสลายเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ผมค่อยๆยกแขนยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับแสงแดดบนท้องฟ้า
รอเวลาให้พลังงานที่ก่อรูปเป็นวิญญาณนี้สลายไปกับอากาศ
วิญญาณไม่ยอมสลาย มือผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแสงแดด
ผมรีบยื่นหัวเข้าไปดูใกล้ๆกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็น Ducati ของผมหรือเปล่า
"น้องๆ ตกใจอะไรกัน"
เฮียเจ้าของร้านสะกิดที่ไหล่ผม
"อ้าวเฮียหมู เห็นตัวผมด้วยเหรอ"
ผมตกใจถามเพราะคิดว่าตัวผมเองเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้
อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสงสัยว่าทำไมพี่ๆไม่เห็นตัวผมมีแต่เฮียและเด็กเสิร์ฟที่หันมามองหน้าและยิ้มทักทาย
แอบคิดในใจหรือว่าเฮียกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งจะตายโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันกับผม
"เห็นสิ หัวบังเต็มจอเลย อ้อ! น้องบอลนี่เอง
มาช่วยกันดูซิว่าพวกนี้เป็นกลุ่มไหนเผื่อน้องรู้จัก แต่งตัวเต็มยศเลย
ขี่บิ๊กไบค์มาเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ" เฮียหมูถามพร้อมจำหน้าผมได้
ผมไม่สนใจรีบจ้องดูที่รถมอเตอร์ไซค์ว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน
"นี่ไงเฮีย บิ๊กไบค์ตายเรียบ 4 ศพคนขับกระบะเจ็บสาหัสส่งโรงบาลแล้ว"
เด็กเสิร์ฟรายงานข่าวที่เพื่อนอาสาสมัครส่งมาให้ “4 เหรอ
เอ๊ะหรือว่า!” ผมเริ่มคุ้นกับจำนวนตัวเลข
สภาพรถจากภาพ Kawasaki คอหัก
Yamaha ล้อหลุดทั้งสองข้าง โครงรถแตกกระจาย สภาพ 2 คันนี่ไม่ต่างกันกับ Honda และ Suzuki
"เฮ้ย!" ผมอุทานเบาๆ
พร้อมรีบวิ่งไปดูรถของพี่ๆ ณ ที่จอดรถ "เฮ้ย!" ผมอุทานรอบ 2 สภาพรถที่เห็นตรงหน้าสภาพไม่ต่างจากที่เห็นในอินเตอร์เน็ทเลย คอหัก
ล้อหลุด โครงแตกละเอียด รอบๆตัวรถแปะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
พื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือด
รอยเลือดลากเป็นทางยาวจากที่รถไปยังโต๊ะที่พี่ๆนั่งกันอยู่
ผมกลั้นใจหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่ๆ
เหมือนเลือดบนใบหน้าผมจะพร้อมใจกันวิ่งออกไปจากที่ๆมันเคยอยู่
พี่เหน่งคอหักหัวห้อยลงไปด้านหลัง ชีลด์หมวกกันน็อคแตกเห็นดวงตาพี่แกถลน
พี่ตั้มหัวหลุดคาหมวกกันน็อค หมวกวางบนอุ้งมือที่พี่ตั้มอุ้มประครองไว้
ตัวพี่แกไหล่บิดจนแขนพลิกกลับหน้ากลับหลัง พี่อาร์แขนขาหักจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ลงไปนอนกองกับพื้น
พี่กิ่มสภาพศพโดยรวมสวยกว่าเพื่อน แต่ซี่โครงของแกแทงทะลุออกมาภายนอกเห็นได้ชัด
มีไส้ไหลห้อยลงมากองกับพื้น ถ้าทางเหมือนพวกพี่ๆกำลังนั่งรอใครอยู่
แค่คิดถึงข้อนี้แล้วผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แขนขาผมเริ่มเป็นเหน็บกิน ขยับตัวเริ่มไม่ค่อยได้
หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม
เฮียเจ้าของร้านตะโกนเรียกผม "บอล! เป็นอะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว
วิ่งไปวิ่งมาพูดจาอะไรกับใครไม่รู้เรื่อง" ผมหันหน้าไปหาเฮียแต่ไม่ได้ตอบ
ผมลำดับเหตุการณ์ในใจ พวกพี่คงขับรถมาแบบหน้ากระดานเรียงสอง และมาด้วยความเร็วสูง
พอเจอกระบะประสานงานเหมือนกับโยนลูกโบลลิ่งกระทบพินล้มหมด "สไตค์" เลย
ผมนึกถึงสภาพพวกพี่ๆที่เห็นเมื่อกี๊นี้
รวมถึงเสียงรถประสานงานที่ดังลั่นถนนที่ผมได้ยินมา ซึ่งเป็นเสียงตอนที่พี่ๆโดนชน
ผมขออนุญาตเป็นลมก่อนนะครับ แล้วไว้ค่อยไปทำบุญให้พี่ๆกันทีหลัง
หลังจากผมฟื้นขึ้นมาก่อนนะ
"คร่อกกกก!!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น