วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โกง


สุภาพเซลแมนหนุ่มหิ้วกระเป๋าเครื่องใช้ไฟฟ้าเร่ขายตามบ้าน วันนี้สุภาพยังขายของไม่ได้ซักชิ้น ด้วยอากาศที่ร้อนและเดินมาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย เขารู้สึกเหนื่อยและหิวน้ำเหลือเกิน ท่าทางจะหน้ามืด สุภาพมองไปสองข้างทางเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง


"อ้าว!! เจอพอดี" สุภาพคิดในใจ เขารีบเดินไปยังร้านขายของชำเล็กๆที่อยู่หน้าเขาไปแค่ 10 ก้าว


"ป้าๆ ขอเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนเรียกป้าเจ้าของร้านที่แอบงีบบนเปลผ้าใบ สภาพร้านขายของชำเล็กๆที่ไม่มีทางเดินให้ลูกค้าเข้าไปเลือกซื้อสินค้า ลูกค้าต้องบอกกับเจ้าของร้านว่าต้องการสินค้าอะไร และเจ้าของร้านจะไปหยิบให้พร้อมคิดเงิน


"ป้าๆ เกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนอย่างเสียอารมณ์จากความเหนื่อยและหิวน้ำ ป้าเจ้าของร้านสะดุ้งตื่นลุกขึ้นไปปิดวิทยุที่กำลังเล่นเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ พร้อมเดินไปหยิบขวดเกลือแร่ออกมาจากตู้เย็น และหยิบหลอดส่งให้สุภาพ พร้อมรับธนบัตรมาใส่ในลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเปลผ้าใบต่อ


สุภาพรีบเปิดขวดเกลือแร่ออกและเสียบหลอดดูดเข้าไป เขาดูดเกลือแร่เข้าจนเริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นจึงหันหน้ามองไปที่ป้าเพื่อรับรับเงินทอน แต่ปรากฏว่าป้างีบหลับไปแล้ว สุภาพตะโกนเรียก


"อ้าว ป้าตังค์ทอนผมล่ะ" สุภาพตะโกนบอกป้าพร้อมกับปาดเกลือแร่บนริมฝีปาก


"โทษทีๆ ป้าลืม" ป้าเจ้าของร้านลุกขึ้นจากเปลพร้อมหยิบเงินทอนในกล่องใส่เหรียญหยิบเงินให้สุภาพไป 7 บาท พอยื่นให้ป้าแกก็ลงไปนอนต่อบนเปลผ้าใบโดยไม่สนใจสุภาพต่อ


"ป้าๆ ทอนตังค์ผมไม่ครบ เมื่อกี๊ให้แบงก์ร้อยไป ป้าต้องทอนผม 87 บาท แต่นี่ให้มาแค่ 7 บาทเอง ขาดอีก 80 บาท" สุภาพท้วงพร้อมวางเหรียญเงินทอนลงบนโต๊ะ


"หนูให้แบงก์ 20 ป้ามานะ ทอน 7 บาทก็ถูกแล้วนี่" ป้าลุกขึ้นมาจากเปลและตอบสุภาพไป


"ไม่ใช่แล้วป้า ผมยื่นแบงก์ร้อยให้เลย ป้าทอนผมไม่ครบ อย่างนี้ก็โกงกันนี่"


"จะให้ป้าทำยังไง ก็หนูให้แบงก์ 20 ป้ามาแล้วป้าจะเอาเงินที่ไหนมาให้ตั้ง 80 บาทมาให้หนู"


"ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าไป ป้าต้องทอนเงินผมอีก 80 บาท นี่! ดูทั้งตัวผมมีแค่แบงก์ร้อยใบเดียว" สุภาพทำท่าควักกระเป๋ากางเกงให้ดูว่าเป็นกระเป๋าว่างเปล่า


จะให้ป้าทำยังไงล่ะ ตั้งแต่เช้ายังขายของได้ไม่ถึง 40 บาท ป้ามีเศษเหรียญอยู่ 30 กว่าบาท หนูเอาอันนี้ไปก็ได้ป้าเจ้าของร้านพยายามจะต่อรอง


ไม่ใช่แล้วป้า ผมแค่ต้องการเงินของผมคืน 80 บาท เงินของป้าผมไม่ต้องการหรอก เอาคืนมาเลย อย่างนี้เรียกว่าโกงกันนี่สุภาพไม่รับข้อเสนอยังยืนยันที่จะขอเงินคืนเต็มจำนวน 80 บาท


สงสารป้าเถอะนะหนู ป้าแก่แล้วจะโกงเงินหนูไปทำไมกันป้าเจ้าของร้านอ้อนวอน


แต่ป้า!!สุชาติตะโกนใส่ป้าอย่างดุดัน


"ป้าไม่โกหกอยู่แล้ว อย่าทำอะไรป้าเลยป้าขอร้องป้าเจ้าของร้านร้องเสียงสูง แสดงท่าทางตกใจ


โธ่ป้า ป้าแค่คืนเงินทอนผมมาให้ครบก็จบแล้ว จะโวยวายทำไมกันท่าทางสุภาพเริ่มหมดความอดทน ยกไม้ยกมือแสดงความไม่พอใจ


"ป้า!! งั้นมาเปิดดูที่ลิ้นชักเลยว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่ จะได้จบๆ" สุภาพทำท่าทีหุนหันจะเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปเปิดลิ้นชักดู


อย่าเข้ามาในร้านนะ!!ป้าเจ้าของร้านโวยวายทันที ทันใดนั้นก็มีลูกค้าเข้ามาหน้าร้านพอดี


--------------------------


"ป้าค้า ขอชาเขียวหนึ่งขวด" ลูกค้ากระเทยรูปร่างสูงตัวใหญ่เดินเข้ามาหน้าร้านพร้อมสั่งน้ำดื่ม


สุภาพหยุดชะงัก "นี่คุณ ผมกำลังเคลียร์ปัญหากับป้าแกอยู่ ไม่มีมารยาทหรือไง ให้ผมคุยจบก่อนได้มั้ย" สุภาพรีบพูดใส่ลูกค้ากระเทย


"เกิดอะไรขึ้นป้า เคลียร์เรื่องอะไรกัน ใครทำอะไรใคร" ลูกค้ากระเทยเอ่ยถาม


"ก็ผมสิ ซื้อเกลือแร่ 1 ขวดแต่จ่ายแบงก์ร้อยป้าเค้าไป แต่ป้าทอนมาให้แค่ 7 บาท ยังขาดไปอีก 80 บาท" สุภาพรีบพูดกับลูกค้ากระเทยเพราะต้องการหาผู้สนับสนุนอีกแรง


"ไม่จริงนะๆ ป้าได้แบงก์ 20 มา ก็ทอนไป 7 บาทก็ถูกแล้ว" ป้าเจ้าของร้านเล่าบอกเหตุการณ์ให้ลูกค้ากระเทยฟังเพื่อต้องการหาผู้สนับสนุนเช่นกัน


"ไม่จริงป้า อย่ามาโกหก ผมให้แบงก์ร้อยไป" สุภาพรีบเถียงด้วยความที่เริ่มจะมีอารมณ์โกรธ


"ถ้าหนูไม่เชื่องั้นมาลองเปิดลิ้นชักป้าดูเลยก็ได้ ว่าเป็นแบงก์อะไร" ป้าเจ้าของร้านทำท่าจะเปิดลิ้นชักให้ดู จากตอนแรกที่ไม่กล้าเปิดลิ้นชักเพราะอยู่คนเดียว แต่พอมีลูกค้าอีกคนมายืนหน้าร้านจึงกล้าที่จะเปิดลิ้นชัก


"ได้ไงป้า งี้ป้าจะหยิบแบงก์อะไรออกมากก็ได้น่ะสิ ป้าคืนผมมาเลยดีกว่า" สุภาพรีบพูดตัดบทก่อนที่ป้าจะหยิบแบงก์ออกจากลิ้นชักด้วยกลัวว่าจะป้าจะหยิบแบงค์ 20 ออกมา จากที่ตอนแรกไม่ทันคิดเรื่องนี้


"โอ๊ยยย!! อะไรกันคุณ หน้าตาก็ดี เป็นผู้ชายซะเปล่า ยังจะมารังแกป้า สงสารป้ามั่งสิคู๊ณ ถ้าแน่จริงก็ให้ป้าหยิบแบงก์ออกมาดูสิ ว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่" ลูกค้ากระเทยวีนแตก รีบออกมาปกป้องป้าร้านขายของประจำที่มาซื้อบ่อยๆ


"ได้ไงล่ะคุณ ป้าแกจะหยิบแบงก์อะไรออกมาก็ได้นี่ อย่างนี้มันโกงกันชัดๆเลย ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าเค้าไปจริงๆนะ แต่ได้ตังค์ทอนไม่ครบ อย่างนี้ผมก็ถูกโกงสิ" สุภาพรีบหันไปพูดกับลูกค้ากระเทย เพื่ออยากให้ฝ่ายนั้นเข้าใจว่าสุภาพโดนโกงจริงๆ


แกสิโกงป้าเค้า หน้าไม่อาย นิสัยแบบนี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ สาธุ ใครโกงขอให้มันคนนั้นชาตินี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ ล่มจมทำอะไรไม่ขึ้นไปตลอดลูกค้ากระเทยเข้าข้างป้าเจ้าของร้าน พร้อมทำท่ายกมือไหว้ฟ้าดินสาปแช่งพร้อมทำน้ำเสียงกระแทกกระทั้นในประโยคสุดท้าย


"งั้นผมไม่เอาแล้วป้า เอาน้ำคืนไปแล้วเอาตังค์ผมคืนมา ไม่กงกินกินแล้ว เอาตังค์คืนมาเลย" สุภาพมองหน้าลูกค้ากระเทยนิดนึงก่อนจะเบือนหน้าหนีแบบไม่กล้าสบตา


"หนูเปิดน้ำกินไปแล้ว จะให้ป้าคืนเงินได้ยังไง ป้าขายของแบบนี้ก็ขาดทุนสิ" ป้าเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบและสั่นเล็กน้อย


"นี่ของซื้อของขายนะ เอาของไปแล้วก็ต้องจ่ายเงิน เปิดกินไปแล้วจะมาคืนได้ยังไง จะบ้าหรือเปล่า" ลูกค้ากระเทยรีบปกป้องป้า ว่าไง ยอมรับมั้ยว่าโกงลูกค้ากระเทยพูดข่มสุภาพ


สุภาพทำท่าทางกุมขมับ เหมือนกับโดนรุมด่า "เอ้อๆๆ ไม่เอาแล้ว ไม่กงไม่กินมันแล้ว เอาคืนไปเลย เอาน้ำเอาเงินคืนไปให้หมดเลย" สุภาพเดินจากไปอย่างเซ็งอารมณ์โดยทิ้งไว้ทั้งขวดเกลือแร่และเงินทอน 7 บาทที่วางอยู่บนโต๊ะ


"ขอบคุณมากนะจ๊ะหนู ถ้าไม่ได้หนูนี่ป้าแย่เลย ไม่รู้จะโดนทำร้ายหรือเปล่า" ป้ารีบหันไปขอบอกขอบคุณลูกค้ากระเทย


"ไม่เป็นไรหรอกป้า คนสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ป้าต้องระวังไว้บ้างนะคนบ้าคนชอบเอารัดเอาเปรียบมันเยอะ ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีมากถึงขนาดต้องมาโกงเล็กๆน้อยๆกับร้านขายของชำเลยเหรอ หนูเข้าใจค่ะป้าขายของมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้กำรี้กำไรอะไรมาก ซ้ำยังต้องมาเสี่ยงกับไอ่พวกนี้อีก โอ๊ย...แย่ๆ สมัยนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน คนเราเนี่ยรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ หนูละเกลียดจริงคนพวกนี้ พ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่มันก็คงจะโกงเหมือนกันมั้ง ถึงสอนลูกให้โกง ประเทศชาติไม่พัฒนาเพราะคนพวกนี้แหล่ะ $%^&*()$#)(>………”


หนูจะเอาอะไรนะจ๊ะป้ารีบพูดแทรกเพราะเห็นว่าลูกค้ากระเทยชักจะพูดมากไปแล้ว จึงรีบตัดบทก่อนที่ลูกค้าจะพูดจบ


อ้อ หนูขอชาเขียว 1 ขวดค่ะ" ลูกค้ากระเทยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังขึ้นสูงอยู่จากอารมณ์ที่ยังค้างอยู่เมื่อกี๊นี้


"นี่จ้ะ ชาเขียวหนึ่งขวด" ป้ารีบยื่นขวดชาเขียวให้ลูกค้า


"ขอบคุณค่ะป้า" ลูกค้ากระเทยยื่นแบงก์ยี่สิบให้ "นี่ค่าชาเขียวค่ะป้า นี่ถ้าไอ่ขี้โกงนั่นมันมาโกงกับหนูนะ จะกระทืบมันให้ตายคาตีนไปเลย ไม่ให้มันได้ไปโกงกับใครอีก ดีนะที่มันยังไม่ถึงกับขั้นลงไม้ลงมืออะไร น่ากลัวนะคะป้า $#%#$@#()&$@#........."


นี่จ้ะป้าแถมลูกอมให้ ขอบคุณนะที่ช่วยป้าไว้ป้าเจ้าของร้านรีบตัดบทพูดของลูกค้าอีกครั้ง


ขอบคุณมากค่ะคุณป้า หนูไปก่อนนะคะลูกค้ากระเทยไหว้คุณป้าแบบถอนสายบัวเหมือนกับคุณป้าหยิบยื่นของราคาแพงให้




หลังจากลูกค้ากระเทยเดินออกจากร้านไปแล้ว ป้าเจ้าของร้านเดินไปเปิดวิทยุเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ เอื้อมมือไปเปิดพัดลม เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน เปิดมันออกมาและมองดูแบงก์ 50 บาทที่วางบนจานสังกะสีเก่าๆเพียงใบเดียว จากนั้นก็ปิดลิ้นชักลง เก็บเศษเหรียญจำนวน 7 บาทใส่กลับในกล่องตังค์ทอนเหมือนเดิม นำขวดเกลือแร่เทน้ำข้างในทิ้งและโยนขวดพลาสติกไปใส่ลงในตะกร้าสำหรับรีไซเคิลขยะ จากนั้นจึงเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเปลผ้าใบ นอนฟังบทเพลงธรรมะอย่างสบายอารมณ์


หมอดูกำหนดรัก


เรวดีเพิ่งจะเดินเข้าบ้านหลังจากกลับจากการทำงาน อากาศที่ร้อนอบอ้าวจากอากาศเดือนเมษายนทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยขึ้นเป็นพิเศษ แม้ว่าเธอขับรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำจากที่ทำงานกลับมายังบ้าน แต่ระยะทางระหว่างที่จอดรถกับประตูบ้านห่างกันถึง10 เมตร รวมทั้งเวลาที่เริ่มเปิดแอร์ในบ้านจนกว่าบ้านจะเย็นก็กินเวลาเกือบ 5 นาที ทำให้เธอถึงกลับเหงื่อชุ่มทั้งตัว เพราะน้ำหนักตัวของเรวดีที่หนักถึง 98 กิโลกรัม

เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างรุนแรงจนทำให้ฝุ่นที่ฝังตัวในโซฟาถึงกลับฟุ้งกระจาย เธอตั้งใจว่าจะงีบซักพักแต่คิดว่าจะหยิบอะไรมาอ่านซักหน่อย จึงเอื้อมมือไปควานหาหนังสือบนโต๊ะ พลันคว้าเจอนิตยสาร 'ผู้หญิงสอดรู้' ที่สามีเธอซื้อเตรียมไว้ให้เป็นประจำทุกสัปดาห์ เมื่อเธอเปิดดูหน้าสารบัญ ปรากฎว่าเจอแผ่นพับโฆษณาเกี่ยวกับการพยากรณ์ชีวิต และการแก้เคล็ด เธอมีความสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเรวดีเป็นคนที่รอบครอบมาก มักจะตรวจสอบข้อมูลของบุคคลอื่นที่ตนเองจะไปติดต่อด้วยทุกครั้ง จึงเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นเปิดโปรแกรมเว็บบร๊าวเซ่อร์ขึ้นมาและพิมพ์ที่อยู่เว็บเซิร์ทเอ็นจิ้นยอดนิยม หน้าจอแสดงกล่องข้อความให้ป้อนคำค้น เธอพิมพ์เข้าไปว่า 'หมอดูมาโนช กำหนดกรรม' ตามชื่อของพ่อหมอที่ปรากฎในแผ่นโฆษณา

ผลลัพธ์ของการค้นหาปรากฎออกมา ส่วนใหญ่เว็บที่ปรากฎจะเป็นพวกเว็บบอร์ดทั่วไป ที่คนเข้าไปตั้งหัวข้อแล้วให้คนอื่นเข้ามาอ่านหรือเข้ามาคอมเมนต์ได้ เธอเปิดเว็บแรก

'ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่หมอมาโนชทักนั้นจะเป็นจริง ชั้นได้มีโอกาสเข้าไปหาหมอมาโนชมา หลังจากบอกวันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุลไป ท่านก็ทักมาเลยนะว่ากำลังจะมีปัญหาเรื่องการงาน แล้วมันก็มีจริงๆด้วยเพราะหลังจากนั้นเพื่อนที่ทำงานก็เกิดการทะเลาะกัน จึงได้กลับมาปรึกษาหมอมาโนช ท่านเพียงบอกว่าให้ใส่เสื้อสีครีมไปทำงานติดต่อกันทั้งอาทิตย์ ปัญหาในที่ทำงานก็หายไปหมดเลย'

'ผมเครียดมากกับเรื่องที่ลูกของผมไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ การบ้านไม่เคยคิดจะทำเลย จนอาจารย์ที่ปรึกษาต้องโทรมาเรียกให้ผมเข้าไปคุย พอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังเพื่อนก็แนะนำให้ไปปรึกษาหมอมาโนช ผมเพียงแค่โทรไปคุยกับท่าน ท่านเพียงบอกว่าให้ลองเอารถไปทำสีใหม่ทั้งคันให้เป็นสีแดง หรือให้เอาสติ๊กเกอร์ที่เขียนว่า 'รถคันนี้สีแดง' เอาไปติดก็ได้ ทำลองทำตามทันทีโดยเอาสติ๊กเกอร์ที่หมอมาโนชบอกไปติด ไม่น่าเชื่อลูกผมเริ่มสนใจการเรียนขึ้นมาทันที'

เรวดีเริ่มคล้อยตาม เพราะเธอชอบและเชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

'สามีของดิฉันนั้นไม่เคยที่จะรับฟังคำขอร้องจากชั้นเลย ทั้งๆที่เราเตือนด้วยความหวังดีนะ เช่นเรื่องการดื่มเหล้าก็ขอให้เค้าลดลงหน่อย หรือเรื่องให้เวลากับชั้นบ้างในแต่ละวัน จนมาวันหนึ่ง ชั้นได้รับการเชื้อเชิญจากเพื่อนให้ไปพบกับพ่อหมอมาโนช ท่านแก้เคล็ดของดิชั้นด้วยการให้เลิกใส่รองเท้าส้นสูง และเปลี่ยนมาเป็นรองเท้าบู๊ททุกครั้งที่ออกจากบ้าน ชั้นลองทำตาม แค่เพียงไม่กี่วัน อะไรๆที่เคยขอร้องเค้า เค้ากลับให้ชั้นได้ทุกเรื่องเลย ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ'

เรวดีถึงกลับตาโต เพราะกรณีที่เพิ่งอ่านไปนั้นมันช่างตรงกลับชีวิตของเธอเลย เธอจึงไม่รอช้าที่จะโทรไปปรึกษาพ่อหมอมาโนช กำหนดกรรม เธอกดเบอร์โทรศัพท์ตามแผ่นพับโฆษณาในมือ

"สวัสดีค่ะ ขออนุญาติเรียนสายหมอมาโนชค่ะ" เธอใช้กล่าวอย่างสุภาพจนเธอเองยังแปลกใจ เพราะปกติไม่ว่าเธอจะคุยกับใคร แม้แต่กับเจ้านายมักจะใช้น้ำเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตร

"กำลังพูดสายอยู่ครับ มีอะไรให้ช่วยครับ" ผู้ที่อยู่ปลายสายตอบกลับทันที

"คือดิชั้นได้ยินเรื่องของคนอื่นที่มีปัญหาและมาปรึกษาท่าน หลังจากนั้นปัญหาก็หมดลง จึงอยากรู้ว่าท่านพอจะช่วยเหลือดิชั้นบ้างได้มั้ยคะ"

"ได้สิ แค่บอกวันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุล และปัญหาที่คาใจอยู่ตอนนี้มา แล้วหมอจะเอามาหาวิธีแก้เคล็ดให้ ถ้าทำตามที่หมอบอกแล้วไม่ได้ผลก็จะไม่คิดเงินเลย แต่ถ้าได้ผลหรือเป็นไปตามที่ต้องการ ค่อยมาสมนาคุณทีหลังก็ได้"

เรวดีรู้สึกเชื่อใจหมอคนนี้มาก เพราะท่านบอกว่าถ้าไม่ได้ผลจะไม่คิดเงิน จึงเล่าเรื่องปัญหาของเธอกับสามีให้หมอมาโนชฟัง

วันรุ่งขึ้นเธอแต่งตัวออกจากบ้านโดยใส่ชุดคลุมยาวทั้งตัวตามที่พ่อหมอแนะนำ และแต่งหน้าให้บางลงจนเหลือแค่รองพื้นนิดหน่อยเท่านั้น ตามด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนตามที่หมอมาโนชแนะนำ เธอเดินออกมาที่โรงจอดรถ ปรากฎว่าสามีเธอขับรถออกไปทำงานแล้ว เธอคิดในใจ 'นี่อาจจะยังเพิ่งเริ่มมั้งคงต้องให้เวลามันหน่อย'

เมื่อถึงตอนเย็น เรวดีขี่รถเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ เธอไม่สังเกตุเห็นรถของสามีเธอเลยที่มาจอดไว้ก่อนหน้านี้ เธอเดินเข้าบ้าน เหงื่อโทรมกาย กดรีโมทเปิดแอร์ ทิ้งตัวลงบนโซฟา ฝุ่นฟุ้งกระจาย ซักพักก่อนที่ดวงตาเธอจะปิด สามีเธอตะโกนมาจากชั้นบนว่า

"ที่รัก รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็ว ผมจองโต๊ะไว้ที่โรงแรมไว้ เราจะไปกินข้าวกันพร้อมฟังเพลงเบา และอาจจะหาอะไรดื่มซักนิดหน่อยด้วย"

เรวดีขนลุกซู่ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้มากว่า 7 ปีแล้ว

"ได้ค่า... ที่รัก" เรวดีตอบกลับอย่่างเรียบง่ายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกระดี๊กระด๊าเพียงใด

คืนนั้นจบลงได้ด้วยดี เธอมีความสุข

"พ่อหมอคะ มันได้ผลจริงๆค่ะ สามีของดิชั้นพาไปทานอาหารเมื่อคืนนี้ และเราก็ดื่มกันอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วเลยค่ะ" เรวดีบอกผลลัพธ์ให้หมอมาโนชฟัง และถามถึงวิธีการจ่ายเงินให้พ่อหมอ

"ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก แค่นี้มันแค่ธรรมดา แต่ถ้าเธอทำตามที่พ่อหมอบอกอย่างเคร่งครัด เจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าก็คาดไม่ถึง" หมอมาโนชกำชับการแก้เคล็ดให้เรวดีฟัง

วันนี้วันศุกร์แล้ว เธอขอลาป่วยจากที่ทำงาน เพราะต้องการทำในสิ่งที่หมอมาโนชบอกให้เธอทำ เธอขับรถไปที่ห้างและไปเลือกซื้อชุดเครื่องนอนสีฟ้า ตามที่หมอมาโนชแนะนำ และรีบกลับมาเปลี่ยนในห้องนอนเธอ เรวดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เฝ้าแต่คิดว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

พอถึงเวลาเลิกงาน เรวดีแกล้งออกไปข้างนอกเพื่อแสร้งว่าเธอเพิ่งกลับจากที่ทำงานหลังสามี เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง เรวดีลงจากรถ เธอเดินเข้าบ้าน เหงื่อโทรมกาย กดรีโมทเปิดแอร์ ทิ้งตัวลงบนโซฟา ฝุ่นไม่ฟุ้งกระจาย เพราะวันนี้เธอทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอย่างดี ตามที่หมอมาโนชแนะนำ สามีเธอบอกให้ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปกินข้าว เธอและเขาออกไปกินข้าว และดื่มจนเริ่มเมา

เธอและเขากลับถึงบ้าน เรวดีอาบน้ำเตรียมเข้านอนในห้องนอนของเธอ สามีเธอที่แยกห้องนอนไปกว่า 5 ปีแล้วก็เข้าห้องนอนของเขาไป เรวดีอาบน้ำเสร็จและทาครีมบำรุงผิว ในใจก็ยิ้มกว้างกว่าปากเมื่อแอบมีลุ้นว่าคืนนี้มันคงยังไม่จบแค่นี้ ไม่ผิดจากที่เธอคิดเลย เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงพูดของสามีเธอดังขึ้นเมื่อเธอฝันหวานจบลง

"ที่รักเปิดประหน่อยสิครับ ผมไม่อยากนอนคนเดียวอีกต่อไปแล้ว" สำเนียงอ่อนหวานดังมาจากสามี

เรวดีค่อยๆลุกไปเปิดประตูกลบความกระดี๊กระด๊าของเธอ คืนนั้นจบลงอย่างหวานชื่นและยาวนานกว่าที่เรวดีคาดคิด วันรุ่งขึ้นสามีเธอยังบอกว่าจะพาเธอขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ไปนอนค้างซัก 1 คืน พอกลับมาจากท่องเที่ยว เธอก็โทรไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้หมอมาโนชฟัง

"สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใข่เกิดจากสิ่งลี้ลับ หรือไม่มีต้นสายปลายเหตุแต่อย่างใด เช่นการที่บอกให้เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวก็ส่งผลกระทบกับอารมณ์ของเราและเค้าด้วย เรื่องสีก็เป็นปัจจัยหลักในเรื่องของการตัดสินใจนะ สภาวะแวดล้อมที่ดีก็มีส่วนนะ" พ่อหมออธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตรย์เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

"อ่อ เป็นอย่างนั้นเองหรือคะ แต่ดิชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ขอให้ดิชั้นทำตามที่หมอแนะนำอย่างเดียวได้มั้ยคะ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ชั้นต้องทำอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ" เรวดีเริ่มกังวลว่าสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว

"สิ่งที่บอกให้เธอทำไปนั้นมันก็คือการปรับเปลี่ยนเรื่องอารมณ์ ซึ่งอารมณ์ของคนเรานั้นก็มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา"

"แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้างคะ" เรวดีรีบร้อนถามหมอ เหมือนกำลังจะเสียของรักไปและไม่มีวันจะได้กลับคืน

หมอมาโนชยิ้มที่มุนปากเล็กน้อย แต่เรวดีไม่สังเกตุเห็น "มันมีวิธีแก้เคล็ดวิธีนึง มันเคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายคน แต่มันก็เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเหมือนกัน"

"อะไรคะคุณหมอ ดิชั้นจะยอมทำทุกอย่าง" อาการร้อนรนของเธอเริ่มแสดงชัดขึ้น

"วิธีการก็คือ ต้องยอมให้สามีเอาเมียน้อยเข้ามาไว้ในบ้านอีกคนนึง" หมอกล่าวอย่างสงบนิ่ง

เรวดีนิ่งไปครู่นึง ก่อนจะถามอยากมีเหตุผลว่า"แล้วมันจะช่วยยังไงได้เหรอคะ แบบนี้" เธอถามเพื่อถ่วงเวลาให้เธอได้คิดตัดสินว่าจะเอายังไงดี

"มันเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ในตอนนี้เราต้องพยายามรักษาอารมณ์ของเค้าให้คงที่ อย่าให้แกว่งไกวไปจากที่เราต้องการ เมื่อเอาผู้หญิงเข้าบ้านแล้ว ก็ให้อยู่ในถานะผู้อาศัยก็ได้ ไม่ต้องออกหน้าว่าเป็นเมียคนที่ 2 และอีกอย่างคือ ให้แยกห้องนอนเป็น 2 ห้อง ให้สามีสลับกันนอน โดยให้นอนกับเธอ 4 วันและอีก 3 วันให้นอนกับผู้หญิงคนใหม่ เพื่อให้เธอมีอำนาจมากว่าเมียน้อย" หมอมาโนชพยายามอธิบายอย่างรวบรัด เพื่อให้เรวดีตัดสินใจโดยไม่ต้องไตร่ตรองมากนัก

"ต้องรีบตัดสินใจแล้วนะ เพราะหากปล่อยให้นานกว่านี้อารมณ์ของสามีอาจเปลี่ยนไปจากตอนนี้ได้" เมื่อเรวดีถูกเร่งเร้าการตัดสินใจจึงรีบให้คำตอบ

"ตกลงค่ะหมด ดิชั้นจะทำตามนั้น"

____________________________

ในห้องอาหารของบริษัทที่สามีของเรวดีทำงานอยู่ เขาเดินเข้าไปเพื่อไปพบใครบางคนที่นั่งรออยู่แล้ว

"สำเร็จแล้วมาโนช นายแน่มากจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นถึงนักจิตวิทยาออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท ตอนนี้ข้าอยู่ติดบ้านหนึบเลย พอเลิกงานก็รีบกลับบ้านทันที ฮ่าๆๆ ยอมนอนกับเมีย 4 วัน นอนกับเมียใหม่ 3 วันก็ถือว่าโอเคอยู่นะ ทุกฝ่ายมีความสุข"

มาโนชนั่งยิ้มอย่างภูมิใจในความสามารถของตัวเอง

"เดี๋ยวเย็นนี้มีเลี้ยงชุดใหญ่ ต้องขอบคุณเจ้าดำรงอีกคนนึง ที่ไปปั่นกระทู้หมอมาโนชให้ดูน่าเขื่อถือ" เขาพูดถึงเพื่ออีกคนที่อยู่ร่วมขบวนการเดียวกัน

"แล้วคิวต่อไปเป็นของใครล่ะ เดี๋ยวข้าจะรับบทหมอมาโนชเอง ฮ่าๆๆ"



วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เกมรักต้องลุ้น



ละมุนนอนป่วยอยู่บ้านมานาน 2 วันตั้งแต่วันจันทร์ อาการป่วยก็คือเป็นไข้หวัดธรรมดาทั่วไป และวันนี้เป็นวันหยุดวันที่ 3 ของเค้า และคาดว่าวันศุกร์อาการน่าจะดีขึ้นพร้อมไปทำงานได้แล้ว เค้าจึงโทรไปบอกที่ออฟฟิศว่าขอลางานวันพฤหัสอีกหนึ่งวัน เมื่อโทรไปสมหมายเพื่อร่วมงานบอกว่าละไมที่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์จะเข้าไปเยี่ยมพร้อมเอาของฝากจากเพื่อนๆและเจ้านายไปเยี่ยมในวันพฤหัส

ละมุนหัวใจพองโต เค้าแอบชอบละไมมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกความในใจซักที เค้าคิดมาตลอดตั้งแต่แลกเจอละไมแล้วว่า เค้าและเธอต้องเกิดมาคู่กันแน่ๆ เพราะละมุนกับละไมชื่อมันช่างคล้องจองกัน ละไมเป็นโสด น่ารัก ต๊องๆเหมือนนางเอกหนังเกาหลีเบาสมอง ละมุนครุ่นคิดว่าจะทำยังไงให้ละไมรู้ถึงความในใจของเค้า เค้านึกมุขเด็ดขึ้นได้ ละมุนเฝ้าติดตามความสนใจของละไมมานานแล้ว ละไมเป็นคนรักสุนัข เธอชอบนั่งคุยเรื่องสุนัขกับใครก็ได้ในที่ทำงานที่ชอบสุนัขเหมือนกัน และเธอเป็นคนที่ชอบตุ๊กตาหมีด้วยเพราะรอบตัวเธอเต็มไปด้วยตุ๊กตาหมี ตั้งแต่พวงกุญแจ ที่คาดผม กระเป๋าถือและเสื้อยืด เธอชอบคุยให้คนอื่นฟังว่าเธอเป็นนักสะสมตุ๊กตาหมี แต่ปัญหาคือละมุนเป็นคนที่เกลียดหมา เค้าไม่มีความรู้เรื่องหมาเลย และละมุนก็ไม่ชอบตุ๊กตาหมี เค้ามองว่ามันเป็นของสิ้นเปลือง รกบ้าน ตัวเก็บฝุ่น แต่ตอนนี้เค้าไม่สนใจแล้ว ละมุนคิดได้ดังนั้นจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกไปห้างใหญ่ใกล้บ้านแบบลืมป่วย

เมื่อไปถึงห้างละมุนตรงไปยังแผนกของเล่นแล้วมองไปที่มุมตุ๊กตา มองหาตุ๊กตาหมี มีตั้งแต่ราคา 200, 450, 500, 1,200 และตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าตู้เย็น 5 คิวมีราคา 2,500 เค้าไปด้อมๆมองๆซักพักก็มีพนักงานขายเข้ามาถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย ละมุนบอกว่าเค้าอยากเริ่มสะสมตุ๊กตาหมี พนักงานบอกว่าตุ๊กตาหมีที่นักสะสมเค้าสะสมกันไม่ใช่แบบนี้หรอก ตุ๊กตาพวกนี้เค้าซื้อไปให้เด็กกอดเล่น พอเด็กโตก็เลิกเล่น ตุ๊กตาก็ถูกทิ้งแล้ว พนักงานขายจึงเอาโทรศัพท์มาเปิดให้ละมุนดูว่าเค้าก็เป็นนักสะสมตุ๊กตาเหมือนกัน ละมุนดูรูปและคิดว่ามันดูสวยและดูมีคุณค่ามากกว่าตุ๊กตาที่วางอยู่บนชั้นจริงๆ พนักงานขายจึงให้นามบัตรร้านขายตุ๊กตาหมีแก่ละมุน ละมุนรู้สึกดีใจมากและขอบคุณพนักงาน ละมุนขับรถออกจากห้างทันที พนักงานกดโทรศัพท์ไปยังร้านขายตุ๊กตาหมีและพูดใส่โทรศัพท์ว่า "เฮ้ยมึง กูแนะนำลูกค้าไปให้ร้านมึงได้อีกแล้วนะ เย็นนี้เจอกันที่เดิม มึงเป็นเหล้า เดี๋ยวกูเป็นกลับแกล้มเอง เออ!! ตุ๊กตาหมีไหมพรมจากตูนิเซียมาแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆเข้าไปถ่ายรูปเพิ่มเอามาเก็บเป็นคอลเลคชั่นหลอกให้ลูกค้าดู อย่าลืมค่าคอม 20 เหมือนเดิมนะ .... ไอ้บ้า 20 เปอร์เซ็นไม่ใช่ 20 บาท แล้วเจอกันที่เดิมเพื่อน อ้อ ขาวอ้วนหัวล้าน เสื้อเชิ้ตอามาร์นี่สีน้ำตาล ของแท้"

ร้านขายตุ๊กตาหมี บรรยากาศในร้านเป็นสวรรค์ของนักสะสมตุ๊กตาหมีจริงๆ มีลูกค้าเดินอยู่บ้างประปรายมีพนักงานสองคนยืนประจำตามตำแหน่งของตัวเอง ละมุนเปิดประตูเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านเห็นละมุนลักษณะตรงตามคำบอกเล่าจากโทรศัพท์ ว่าตรงกัน จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ละมุนบอกว่าอยากเริ่มสะสมตุ๊กตาหมี เจ้าของร้านพาละมุนเดินชมตุ๊กตารอบร้านพร้อมเชียร์ขายตุ๊กตาจากทั่วมุมโลก ละมุนหมดเงินค่าหมีไป 2 หมื่นบาท แลกกับหมีนานาชาติ 8 ตัวจากทั่วโลก ละมุนออกไปจากร้าน เจ้าของร้านดีใจที่ละมุนไม่ต่อราคาซักคำ โดยปกติลูกค้าจะขอต่อราคา ร้านจะลดราคาให้สูงสุด 30 เปอร์เซ็น

เย็นวันนั้นเจ้าของร้านนัดเจอเพื่อนพนักงานในห้างพร้อมกับบ่นอุบ "ลูกค้าแต่งตัวดีซะเปล่า ต่อราคากะให้ร้านเจ๊งเลย อะแฮ่ม" เจ้าของร้านตุ๊กตากระแอมในลำคอเล็กน้อยเหมือนมีความลับปิดบัง เพื่อนพนักงานห้างมองหน้าอย่างสงสัย "เอ้า!! ดื่มๆ แต่ขอบคุณมากนะที่ช่วยหาลูกค้า นี่ค่าคอมเอาไปเลย" เจ้าของร้านหยิบเงินที่เตรียมไว้ออกมา 4 พัน และยักแบงก์พันออกไปใบนึง "นี่ 20% ของหมื่นสี่ แถมให้อีกสองร้อย"



ละมุนคิดออกว่าเค้าต้องไปหาพวกโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับหมาและหาพวกหนังสือเกี่ยวกับหมามาอ่านบ้าง ละมุนไปที่ร้านขายหนังสือและไปเลือกโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับหมาที่มีคำอธิบายใต้ภาพ เค้าเลือกเฉพาะรูปที่ดูเหมือนกับเจ้าของถ่ายเองจากบ้านเพื่อให้ดูเหมือนกับเค้าถ่ายเอง เมื่อกลับมาถึงบ้านเค้ารีบตกแต่งบ้านให้ดูเป็นบ้านของนักสะสมตุ๊กตาหมี และบ้านที่เต็มไปด้วยภาพสุนัขสำหรับคนรักสุนัข เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเค้าคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ จึงคิดว่าน่าจะเอาไดอารี่ที่เลิกเขียนไปเป็นปีแล้วมาเขียนใหม่ให้ครบที่วันปัจจุบันและในหน้าสุดท้ายเค้าตั้งใจว่าจะเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ๆพร้อมขีดเส้นใต้ว่า เค้าแอบชอบละไม และนำไปวางที่โต๊ะรับแขกโดยหวังว่าละไมจะเปิดอ่าน

แผนการสุดท้ายใช้เวลาในการทำถึง 2 ทุ่มและในหน้าสุดท้ายเค้าก็ได้เขียนว่าเค้าแอบชอบละไมมานานแล้ว และไม่ลืมที่จะเอาปากกาที่ใช้เขียนคั่นไว้หน้าสุดท้ายที่ต้องการให้ผู้มาหยิบอ่านเปิดเจอเป็นหน้าแรก ดึกแล้วละมุนง่วงนอนมากจึงไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน เมื่ออาบเสร็จก่อนนอนซักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ละมุนหยิบโทรศัพท์พร้อมกดรับ

"สวัสดีค่ะ นั่นคุณละมุนใช่มั้ย นี่ละไมนะ พอดีที่ออฟฟิศเค้าอยากให้ชั้นเอาของฝากจากคนในออฟฟิศมาเยี่ยมแต่พอดีว่าพรุ่งนี้ญาติชั้นจะมาจากต่างประเทศจึงต้องขอยกเลิกไปก่อน เห็นสมหมายบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วนี่ งั้นไว้เจอกันที่ออฟฟิศเลยแล้วกันนะนะคะ ต้องขอโทษคุณละมุนด้วยจริงๆ บายค่ะ" ละไมพูด

เมื่อละไมวางสายไปละมุนเดินลงไปเปิดไฟห้องรับแขกที่เค้าตกแต่งไว้อย่างดีข้างล่าง อาการป่วยที่หายไปในตอนเช้ากลับมากำเริบอีกครั้งจนต้องไปหยิบยาพารามากิน 2 เม็ดก่อนนอน

รุ่งเช้าอาการเค้าไม่ดีขึ้นเลย จึงตั้งใจที่จะลางานเพิ่มอีก 1 วัน เค้าโทรไปลางานกับหัวหน้าทำให้พรุ่งนี้เค้าก็ไม่ต้องไปทำงานจนถึงวันจันทร์หน้านู่นเลย ละมุนนอนซมบนที่นอนจนถึงบ่ายจึงลุกขึ้นมาเพื่อที่จะโทรศัพท์สั่งของมากินที่บ้าน เสียงออดดังหน้าประตูบ้าน ละมุนไปเปิด ปรากฏว่าวดีเพื่อนสนิทของละไมที่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยกันมาเยี่ยมพร้อมเอาของฝากมาให้ เพราะเจ้านายเห็นว่าอาการยังไม่ดีเลยให้มาดู ละมุนเชิญวดีเข้าไปนั่งยังห้องรับแขก ละมุนขอตัวไปล้างหน้าแปลงฟันชั้นบนของบ้าน

ผ่านไป 20 นาที เมื่อละมุนทำธุระเสร็จ เค้าเดินลงมานั่งคุยกับวดีและเล่าว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร คิดว่าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้นจึงขอหยุดยาวไปถึงวันจันทร์เลย

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย หัวหน้าเค้าให้คุณละมุนพักผ่อนเต็มที่ แล้วนี่ของบำรุงร่างกาย นี่ข้าวต้มร้อนๆ เดี๋ยววดีไปเทใส่ชามให้นะ" วดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ละมุน ละมุนมองหน้าวดีด้วยความแปลกใจ

"คุณละมุนเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาจริง รู้มั้ยคะว่าวดีเองก็ชอบสะสมตุ๊กตาหมีเหมือนกัน วดีกับละไมชอบคุยกันเรื่องตุ๊กตาที่ตัวเองสะสมกัน (เสียงหัวเราะเล็กน้อย)" วดีเย้าหยอกละมุนเหมือนสนิทสนมกันมาก่อนทั้งๆที่ความจริงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่

วดีขออนุญาตละมุนถ่ายรูปตุ๊กตาหมีและภาพถ่ายสุนัขที่ละมุนติดไว้เต็มบ้าน ละมุนอนุญาต วดีถามถึงประวัติของตุ๊กตาหมีว่าเดินทางมาจากประเทศไหนบ้าง มันทำจากวัสดุอะไร ละมุนตอบปัญหาวดีได้ครบทุกข้อเพราะเค้าจำคำอธิบายสรรพคุณจากปากของเจ้าของร้านขายตุ๊กตาได้หมดทุกตัวอักษร จากนั้นวดีเดินไปที่รูปสนุขพันธ์ชิวาว่าลายน้ำตาลสลับขาว ภาพสุนัขที่ละมุนเอามาติดเป็นภาพสุนัขที่ถ่ายจากทางบ้าน ละมุนเลยโม้ไปว่าสุนัขตัวนี้ชื่อดอลล่าร์ เป็นสุนัขที่เค้าเคยเลี้ยงไว้

“นี่คือเจ้าดอลล่าร์ ชิวาว่าเพศเมียที่ผมเคยเลี้ยงมันไว้ แต่ตอนนี้ต้องยกมันไปอยู่กับเพื่อนผมแล้วเพราะสงสารมันที่อยู่ตัวเดียวเวลาที่ผมออกไปทำงาน ครอบครัวของเพื่อนเป็นครอบครัวใหญ่มีคนดูแลเจ้าดอลล่าร์ตลอดเวลา แต่ผมก็ไปเยี่ยมมันประจำทุกเดือนนะ ที่เลี้ยงมันไว้เพราะเวลาผมกลับมาจากที่ทำงานก็รู้สึกเหงา ได้เจ้าดอลล่าร์อยู่เป็นเพื่อน” ละมุนจ้องไปที่รูปภาพสุนัขบนผนังและแกล้งเอาปลายนิ้วชี้ขยี้บริเวณที่ต่อมน้ำตาเพื่อให้มีน้ำตาคลอเล็กน้อย ความจริงแล้วเค้าตั้งใจว่าจะเก็บการแสดงนี้ไว้ใช้กับละไมเพื่อให้เธอได้รู้ว่าเค้าเหงาเพียงใดเวลากลับจากที่ทำงาน

“โรแมนติกจริง แล้วคุณละมุนมีแรงบันดาลใจอะไรให้สะสมตุ๊กตาหมีคะ” วดีถาม

“ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ครอบครัวผมก็ไม่ถึงกับยากจนมากนักแต่ก็ไม่ได้มีเงินเหลือพอที่จะไปซื้อของเล่นให้ผมเล่น ของเล่นชิ้นแรกที่ผมได้รับเป็นตุ๊กตาหมีใช้แล้วของพี่ข้างบ้านที่เค้าทิ้งเพราะได้ตุ๊กตาตัวใหม่และใหญ่กว่า พ่อผมจึงไปขอมาให้ผมเป็นของเล่น เมื่อผมเห็นตุ๊กตาหมีเมื่อไหร่ผมมักย้อนนึกถึงบ้าน และความอบอุ่นจากครอบครัวที่มีให้ผมทุกครั้ง”

ละมุนขยี้ที่ต่อมน้ำตาแรงขึ้นเพื่อเร่งให้น้ำตาคลอเบ้าเยอะขึ้น เค้าเสียดายเพราะตั้งใจจะเก็บการแสดงทั้งสองนี้ไว้กับละไม แต่ละมุนคิดว่าถ้าไม่ใช้การแสดงตอนนี้ก็คงไม่ได้ใช้อีกเลย อุตส่าห์ซ้อมบทมา

“คุณละมุนเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นจริงๆ”

วดีขอตัวกลับก่อน แต่ก่อนกลับก็หยอกใส่ละมุนไปอีกหนึ่งประโยค "ดูและตัวเองดีๆนะคะ ก่อนที่จะไปดูและคนอื่น (เสียงหัวเราะเล็กน้อย)" ละมุนรู้สึกแปลกๆ เค้าไม่เคยคิดอะไรกับวดีเลย

เช้าวันจันทร์อาการป่วยของละมุนหายสนิท เค้าเดินออกจากบ้านแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปดูตุ๊กตาหมีกับรูปภาพสุนัขที่ติดไว้เต็มบ้าน เค้าเริ่มที่จะชอบตุ๊กตาหมีแล้ว ภาพสุนัขทำให้เค้ามีความสุขเวลาที่มองมัน เมื่อไปถึงที่ทำงานเค้าเดินผ่านโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ทั้งละไมและวดีนั่งคู่กัน วดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ละมุนแบบออกหน้าออกตา ละไมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและมองมาทางเค้า สิ่งนั้นนั่นเองที่ทำให้ละมุนยิ้มตอบ

ในห้องทำงานของละมุนเค้าขะมักเขม้นเคลียร์งานที่ค้างไว้ เสียงเคาะประตูดัง วดีเปิดประตูเข้ามากล่าวทักทายเล็กน้อยพร้อมยื่นกระดาษที่พับไว้ให้กับละมุนและรีบเดินออกจากห้องอย่างเขินอาย ละมุนคิด เอาแล้วไงกู แต่ก็ไม่วายรีบเปิดอ่าน ใจความในจดหมายมีดังนี้

"ชั้นรู้สึกปลื้มคุณละมุนมานานแล้วแต่ไม่กล้าเผยความในใจออกไป ยิ่งเมื่อรู้ว่าคุณละมุนชอบสะสมตุ๊กตาหมีเหมือนกันก็ยิ่งทำให้อยากเผยความในใจมากขึ้นทุกที และคุณละมุนคงจะมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับสุนัขเยอะแน่ๆ ว่างๆจะมาขอความรู้หน่อยนะคะ" วดีชอบหมาด้วยเหรอ ละมุนคิด "แต่จริงหรือเปล่าคะที่คุณละมุนเขียนในไดอารี่ว่าแอบชอบชั้นมานานแล้ว ถ้ามันเป็นเรื่องจริงมันก็วิเศษที่สุดเลยนะคะ" ละมุนคิดในใจต่อ เค้าเขียนว่าชอบละไมต่างหากละไม่ใช่วดีซักหน่อย เอ๊ะ! แต่เค้าก็ระบุชื่อไปแล้วนี่ว่าเค้าแอบชอบละไม ละมุนดูที่ชื่อลงท้ายจดหมาย ‘ละไม’ ละไมหรือนี่ละไมแอบชอบชั้นเหมือนกันหรือ เราไปอยู่ที่ไหนกันมา "ปล. ต้องขอโทษแทนวดีด้วยนะคะที่ไปแอบอ่านไดอารี่ของคุณละมุน และเอาเรื่องนี้มาบอกชั้น วดีเล่าเรื่องเจ้าดอลล่าร์ให้ชั้นฟังด้วยค่ะ แล้วเราไปเยี่ยมเจ้าดอลล่าร์ด้วยกันนะคะ เรื่องราวในอดีตของตุ๊กตาหมีตัวแรกของคุณละมุนที่วดีเล่าฟังดูอบอุ่นมากเลยค่ะ" ละมุนจะรู้สึกโกรธวดีมากกว่าถ้าวดีไม่เปิดอ่านไดอารี่ของเค้าที่เขียนเรื่องราวย้อนหลังทั้งปีภายในคืนเดียว และรู้สึกขอบคุณวดีที่เอาการแสดงของละมุนไปถ่ายทอดให้วดีฟัง เย็นนี้ละมุนตั้งใจว่าจะไปที่ฟาร์มสุนัขเพื่อหาชิวาว่าที่มีลักษณะเดียวกันกับภาพสุนัขที่ติดอยู่ในบ้านของเค้าเอง และเตรียมตั้งชื่อให้มันไว้แล้วว่า “เจ้าดอลล่าร์”



ละมุนพูดออกมากับตัวเองอย่างสะใจ "ก็บอกแล้วไงว่ายังไงก็ละมุนละไม ๕๕๕ "