วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ถอดหัวโขน




เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดใหญ่ ได้ตัดสินใจลาสึกออกจากเพศบรรพชิต  ท่านยังไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนเพียงคนเดียวที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับว่าที่อดีตเจ้าอาวาสก็คือ รองเจ้าอาวาส

"โดยส่วนตัวแล้วผมก็เคารพการตัดสินใจของท่านเจ้าอาวาสนะครับ ทุกๆคนย่อมมีความจำเป็นที่ต่างกัน แต่การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงนัก มันไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบเกี่ยวกับตัวท่านเพียงคนเดียว มันต้องกระทบกับความรู้สึกของเหล่าลูกศิษย์ของท่านอีกนับพัน"

ท่านเจ้าอาวาสพูดตอบด้วยท่าทีที่มุ่งมั่น

"ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงท่านรองฯ สำหรับตัวผมเองนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และสำหรับบรรดาลูกศิษย์นั้นพวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองต่อไป ผมคงไม่สามารถไปดูแลความทุกข์ของคนเหล่านั้นไปได้ตลอดชีวิตหรอก อีกสาเหตุที่ผมอยากสึกเพราะว่า ผมอยากไปศึกษาทางโลกบ้าง ผมและท่านต่างก็ศึกษาทางธรรมมาตั้งแต่เด็กยันแก่ เราอาจจะเข้าใจถึงสาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างดี แต่พวกเราไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในสถานะที่เป็นทุกข์เลย แล้วนั่นยังจะทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใจความทุกข์ได้อย่างไรกัน"

"สิ่งที่ท่านพูดนั้นล้วนมีเหตุผลนัก แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ไปทำไมล่ะ เราก็แค่ใช้สิ่งที่มีเขียนในตำราในการสั่งสอนลูกศิษย์ให้พ้นจากความทุกข์อยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องค้นหาวิธีสอนอะไรใหม่ๆให้ยุ่งยากเลย และที่สำคัญ หากท่านพ้นจากตำแหน่งนี้ไปแล้วก็ยากที่จะมีใครมาสนใจคำสั่งสอนของท่านอีก"

"มันก็จริงเหมือนอย่างที่ท่านรองฯพูดนะ หากเราคิดจะสั่งสอนลูกศิษย์เราก็เพียงแต่ใช้คำสอนเก่าๆที่สั่งสมกันมานับร้อยๆปีมาสอน ใช้พิธีกรรมต่างๆที่เคยมีมาๆเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคนเหล่านั้นให้เป็นคนดีได้ แต่ว่าสิ่งที่ผมต้องการต่อจากนี้ไม่ใช่การสั่งสอนคนเหล่านั้นแล้ว"

ท่านเจ้าอาวาสหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ทำให้ท่านรองฯชิงถาม

"มีสิ่งใดที่ท่านต้องการต่อจากนี้"

"อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าผมอยากออกไปศึกษาทางโลกบ้าง อยากจะทำความเข้าใจในเรื่องความทุกข์ให้มากกว่านี้ ผมมีความเชื่อว่าคนทุกคนย่อมมีความทุกข์ฝังซ่อนลึกในจิตใจ พวกเราคงจะแสร้งทำเป็นซ่อนมันไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเราไม่เข้าใจมัน มันก็คงจะกัดกร่อนแทะกินจิตใจเราให้เศร้าหมองลงไปอยู่วันยังค่ำ"

"ผมเข้าใจแล้ว เราทุกคนย่อมต้องคอยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา ท่านทำให้ผมรู้ว่าเรานั้นมีความรู้เท่าหางอึ่งจริงๆ อย่าประมาทที่จะหยุดหาสิ่งใหม่เพิ่มเติม แล้วท่านจะลาสึกเมื่อไหร่ล่ะ"

เจ้าอาวาสละสายตาจากท่านรอง เขาทอดสายตาผ่านบานกระจกใหญ่ที่ล้อมรอบศาลาที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ภายนอกบริเวณลานวัดกว้าง คนหลายคนกำลังติดตั้งเวทีการแสดง บางคนกางเต๊นท์ใหญ่จัดแจงทำเป็นร้านค้า ป้ายผ้าขนาดใหญ่แขวนโชว์เด่นหรา ข้อความบนป้ายนั้นแสดงให้เห็นว่า อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานบุญประจำปีของวัดแห่งนี้ เจ้าอาวาสพูดตอบท่านรองฯทันทีหลังจากที่สำรวจความเรียบร้อยของงานด้วยสายตาแล้ว

"ก็คงจะเป็นหลังงานบุญปีนี้ของเราเสร็จก่อน จากนั้นผมจะลาสึกทันทีอย่างเงียบๆ"

"ดีครับ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่นมากเกินไป ผมคิดว่าเหตุผลของท่านคนอื่นๆจะเข้าใจมันดี"

และแล้วงานบุญในปีนี้ก็หวนกลับมาครบรอบอีกครั้งในปีนี้ เนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้แต่คนที่อยู่จังหวัดห่างไกลก็ยังเดินทางมา ความยิ่งใหญ่ของงานไม่ต่างอะไรเลยกับงานประจำจังหวัด บางทีแล้วแม้คนในพื้นที่ก็มักจะเข้าใจว่างานวัดแห่งนี้คืองานประจำจังหวัดนี่เอง

แน่นอนว่างานที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ย่อมมีเงินไหลเข้าออกวัดจำนวนมากมหาศาลกว่าที่คนธรรมดาจะสามารถจินตนาการถึง ไม่ว่าจะเป็นเงินทำบุญเข้าวัด เงินที่ได้มาจากการให้เช่าพื้นที่ในวัดเพื่อตั้งร้านขายของ หรือเงินที่มาจากการเช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ หากงานนี้เป็นงานที่หน่วยราชการจัดขึ้น เงินจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้คงจะถูกกระจายไปหลายที่ หากแต่ว่างานแบบนี้มีเพียงวัดเป็นเจ้าภาพ เงินจำนวนมากมายเหล่านี้จึงไปกระจุกรวมตัวกันที่เดียวคือวัดแห่งนี้ และมีเพียงแต่เจ้าอาวาสเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้รู้ตัวเลขจำนวนเงินเหล่านี้ และท่านก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจัดสรรก้อนเงินและหั่นแบ่งก้อนเค้กนี้ออกไปทางไหนก็ได้

ในที่สุดงานบุญประจำปีนี้ก็จบลง ตัวเลขยอดเงินที่เข้าวัดนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก และสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสได้เคยพูดเอาไว้กับท่านรองฯก็ถูกทำทันทีที่งานวัดจบลง ท่านเจ้าอาวาสเปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาทันทีที่ผ่านขั้นตอนที่ถูกกำหนดมาแล้ว ภายหลังจากนี้หัวโขนเจ้าอาวาสได้ถูกถอดวางเอาไว้ เพื่อรอให้คิวต่อไปหยิบมันไปสวมใส่ต่ออีกครั้ง

อดีตเจ้าอาวาสแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมราคาแพงและกางเกงยีนส์ยี่ห้อหรู รวมถึงรองเท้าคัชชูที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต เขากำลังขับรถยนต์ยี่ห้อหรูเพื่อเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแต่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตัวบ้านหลังใหญ่ที่สร้างและตกแต่งอย่างวิจิตบรรจงแสดงให้เห็นว่า มูลค่าของบ้านแถบนี้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

อดีตเจ้าอาวาสได้โทรไปบอกเจ้าของบ้านที่เขากำลังจะไปหาถึงการมาถึงของเขา เมื่อประตูบ้านหลังใหญ่ถูกเปิดออกและอดีตเจ้าอาวาสขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ก็มีหญิงสาวพร้อมเด็กเล็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบเดินออกมาทางหน้าบ้านพอดี

อดีตเจ้าอาวาสเดินลงมาจากรถ จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวและเด็กเดินเข้ามา

"สวัสดีค่ะหลวงพ่อ เอ่อ... พี่บูน"

หญิงสาวพูดและทำท่าบังคับให้เด็กยกมือไหว้ชายที่อยู่ตรงหน้า อดีตเจ้าอาวาสมองมาที่ทั้งสอง และสังเกตถึงสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากทั้งคู่ ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งเมื่อทั้งสองเคยไปกราบอดีตเจ้าอาวาสที่วัดเมื่อหลายเดือนก่อน

"สวัสดี เจ้าเทิดอยู่มั้ย"

"พี่เทิดรออยู่ในบ้านแล้วค่ะ เห็นพี่เทิดบอกว่าวันนี้พี่ทูนจะมาวันนี้ เดี๋ยวเชิญพี่เข้าไปข้างในเลยค่ะ"

หญิงสาวพูดจบก็ยืนนิ่ง เพื่อรอให้อดีตเจ้าอาวาสเดินผ่านหน้าไป สีหน้าของเธอดูเหมือนดูเป็นกังวลถึงการมาถึงของชายคนนี้ เธอยังจ้องมองอดีตเจ้าอาวาสจนเขาเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน

"อ้าว... สวัสดีครับพี่ทูน ไม่คิดว่าจะมาเร็ว เลยไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับ"

ชายที่นั่งรออยู่ในบ้านเมื่อเห็นอดีตเจ้าอาวาสจึงทำท่าดีอกดีใจออกหน้าออกตา เขาโผลเข้าไปกอดชายที่มาเยือน

"เป็นยังบ้างน้องรัก วันนี้ไม่ออกไปทำงานเหรอ"

"โธ่... พี่ก็ว่าไป มหาเศรษฐีร้อยล้านอย่างผมนี่จะต้องออกไปหางานทำให้ลำบากทำไมกัน เอาเวลามาหาความสุขใส่ตัวดีกว่า"

สิ้นเสียงพูดของเทิด เจ้าของคำพูดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่สบอารมณ์มากนัก แต่อดีตเจ้าอาวาสก็แกล้งฝืนยิ้มให้กับเทิด

"มันก็จริงของแกนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีมั้ย"

"สบายดีสิพี่ชาย ความจริงวันนี้ผมมีนัดตีกล๊อฟกับเพื่อน แต่เห็นว่าพี่จะมาวันนี้เลยโทรไปแคนเซิ่ลเพื่อน ว่าแต่วันนี้เราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะครับ"

"เฮ้อ... เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน พี่อยากจะขอพักผ่อนให้เต็มอิ่มจริงๆสักวันให้หายเหนื่อยก่อน ใครว่าเกิดเป็นเจ้าอาวาสนั้นสบาย"

เทิดมองหน้าพี่ชายของตัวเองอย่างเป็นห่วง

"เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย พี่ถึงสึกออกมาเป็นคนธรรมดา"

"นั่นก็ใช่ พี่อยากหลีกหนีความวุ่นวายสับสนเสียบ้าง อยากออกมาเปิดหูเปิดตา อยากออกเดินทางไปหลายๆที่..."

ยังไม่ทันที่อดีตเจ้าอาวาสจบพูดจบ เทิดพูดแทรก

"อยากจะออกมาใช้เงินด้วยใช่มั้ยล่ะพี่"

อดีตเจ้าอาวาสหันมามองตาน้องชายสักครู่ เหมือนเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของเทิด

"ก็ประมาณนั้น"

"ได้สิพี่ พี่อยากได้เงินเท่าไหร่ ผมจะเตรียมไว้ให้พี่ใช้ไม่ขาดมือ"

อดีตเจ้าอาวาสยิ้มเล็กน้อย เหมือนกับเขาจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกันกับน้องชาย

"เดี๋ยวนะไอ้เทิด พี่ไม่ได้อยากให้แกคอยเตรียมเงินไว้ให้ข้าใช้ แต่ข้าอยากให้แกโอนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ข้าฝากแกไว้คืนมาให้ข้า และที่สำคัญ บ้านหลังนี้แกก็ต้องโอนคืนมาเป็นชื่อของข้าด้วย"

"ใจเย็นๆครับพี่ชาย เรื่องนั้นพี่ไม่ต้องรีบร้อนอะไรไป ยังไงซะเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เงินทองมันไม่รั่วไหลไปไหนหรอก พี่ให้ผมเป็นคนดูแลทรัพย์สินดีกว่า ส่วนตัวพี่จะอยากทำอะไร อยากใช้เงินแค่ไหนพี่ก็มาเบิกเอาที่ผมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว"

"แต่ทรัพย์สินทุกอย่างมันเป็นของข้า ข้าย่อมมีกรรมสิทธ์ในทรัพย์สมบัติทั้งหมด ข้าแค่ฝากแกไว้เฉยๆ นี่แกคิดจะยักยอกของๆข้าไปอย่างนั้นหรือ ไอ้ขี้โกง"

อดีตเจ้าอาวาสหมดสิ้นความอดทน เขาเริ่มรู้สึกตระหงิดๆตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาแล้วที่เจอหน้าลูกและเมียของเทิด และท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ สิ้นเสียงอดีตเจ้าอาวาส เทิดระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นพักใหญ่

"เงินของพี่ ขอถามหน่อยว่าเงินก้อนไหนที่เป็นของพี่"

"ก็เงินที่ข้าให้แกไปทุกเดือนไง เงินที่ข้าฝากไว้ในบัญชีของแกเดือนละหลายล้านบาท"

"นี่พี่ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าเงินนั่นเป็นของพี่ ผมรู้ว่าพี่โกงเงินวัดทุกเดือน แล้วเอาเงินที่โกงมาฝากผมไว้ มันน่าแปลกไหมล่ะว่าทำไมพระถึงมีเงินได้เดือนละหลายล้านบาท ถ้าไม่ได้มาจากเงินของวัด"

"แล้วยังไง แกจะแจ้งตำรวจจับข้าเหรอ เอาสิ! เราจะได้ไปนอนคุกด้วยกัน ถึงข้าจะโกงเงินวัดมาแต่นั่นก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถบอกได้ว่าข้าโกง เงินทั้งหมดนั้นเป็นเงินที่ข้าใช้ชื่อเสียงและความศรัทธาที่สั่งสมมานานหามัน คนที่มอบให้ข้าก็มอบด้วยความศรัทธาที่มีต่อตัวข้า แล้วนั่นมันจะไม่ใช่เงินของข้าได้อย่างไรกัน"

อารมณ์โกรธของอดีตเจ้าอาวาสประทุขึ้นถึงจุดสูงสุด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าคนที่เคยมีถึงอำนาจ มีคนเคารพนับถือกราบไหว้ตลอดเวลา พอสิ่งเหล่านั้นหมดไปและถูกคนอื่นลูบคมแบบนี้ เขาจะรู้สึกหัวเสียเยี่ยงไรกับเรื่องแบบนี้ ในจิตใจของอดีตเจ้าอาวาสที่ลาสึกมานั้นไม่ใช่เขาอยากจะละทิ้งอำนาจที่เคยมีอยู่ในมือหรอก แต่เขาคิดว่าเมื่อเขามีทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลนั้นก็จะยังทำให้เขามีอำนาจบารมีเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ต้องสวมหัวโขนเจ้าอาวาสที่จะปิดกั้นไม่ให้เขาสามารถทำได้ในบางสิ่ง อำนาจทรัพย์สินเงินทองที่ไม่อยู่ภายใต้ผ้าเหลืองนั้นจะทำให้เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ

"ผมคงไม่สามารถคืนเงินและบ้านหลังนี้ให้พี่ได้ พี่ลองคิดดูสิ ความหอมหวานของเงินที่สามารถทำให้คนมากราบไหว้ได้ ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน พี่จำได้มั้ยในสมัยที่เรายังเด็ก เราทั้งคู่ยังเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีบ้านจะซุกหัวนอนเวลาที่เราเดินไปไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่ดูตอนนี้สิไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็จะมีแต่คนยกมือไหว้กันทั้งนั้น ถ้าผมคืนเงินให้พี่ไปทั้งหมด ผมก็จะไร้ซึ่งอำนาจที่เคยมีมานับสิบกว่าปี"

"นี่แกลืมบุญคุญของข้าไปแล้วเหรอ ใครกันที่เป็นคนส่งแกเรียน ใครกันที่เป็นคนให้เงินแกใช้จ่าย แกนี่มันเป็นคนเนรคุณจริงๆ"

"ผมไม่ลืมคุณงามความดีที่พี่ทำไว้ให้กับผมหรอก ผมยินดีจะช่วยเหลือพี่เรื่องเงินทองตลอดชีวิต แต่ผมบอกไปแล้วนี่ว่าผมไม่สามารถคืนเงินให้พี่ได้ทั้งหมด ผมบอกเหตุผลของผมไปแล้ว"

เหมาะสมแล้วที่อดีตเจ้าอาวาสและเทิดเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจริงๆ พวกเขาทั้งสองคนนั้นมีนิสัยที่คล้ายกันต้ังแต่เด็ก ความต้องการและความปราถนาในอำนาจวาสนาและความยึดติดนั่นคล้ายกันไม่มีอะไรแตกต่าง เทิดยังคงคิดถึงอำนาจบารมีที่ตัวเองกำไว้อยู่ในมือ และไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดออกจากมือไป

"ถ้าอย่างงั้นเรามาแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ถ้าแบบนี้แกจะว่ายังไง"

"ครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมดมันก็มากโขอยู่นะ ผมจะไม่ยอมหรอกครับ"

เหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดพ่นความร้อนออกไปหมดแล้ว หลังแรงระเบิดคงเหลือไว้แต่ความสงบ วันนี้อดีตเจ้าอาวาสได้ค้นพ้นสัจจะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เนื่องจากอดีตเจ้าอาวาสเคยได้รับการฝึกในเรื่องจิตใจมามากพอสมควร เขาจึงเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้เป็นอย่างดี สีหน้าของอดีตเจ้าอาวาสนั้นเปลี่ยนไปจากอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวเมื่อสักครู่นี้เป็นความสงบ เขาตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เรียกร้องอะไรสักอย่างจากน้องชาย

_______________________

เวลาผ่านไปหลายปี อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบพระทานประจำโบสถ์ในวัดที่ตัวเองเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน ในตอนนี้เขาแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดา เวลาผ่านไปไม่นานอดีตรองเจ้าอาวาสที่ปัจจุบันนั้นขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสก็เดินเข้ามาในโบสถ์ อดีตเจ้าอาวาสก้มลงกราบเจ้าอาวาส

"เป็นอย่างไรบ้างล่ะโยม ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวภักดิ์เป็นอย่างไรบ้าง และการศึกษาเรื่องทางโลกของโยมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"

"นี่ก็หลายปีแล้วนะหลวงพ่อ มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นภายนอกวัดที่ผมประสบมา มีหลายเรื่องที่ผมนั้นเข้าใจแต่ไม่เคยเข้าถึงมันเลย จนกระทั่งผมได้ไปเจอกับสิ่งๆนั้นจริงๆ คนเรายากแท้หยั่งถึงนักแม้แต่กับใจของตัวเราเอง"

"ดูโยมพูดสิ เหมือนกับว่าโยมจะเจอแต่เรื่องร้ายๆมามากมายนะ แต่สีหน้าโยมไม่เห็นเหมือนกับคนเป็นทุกข์เลย"

เจ้าอาวาสพูดพลางยิ้ม

"ผมยอมรับว่าอยู่ข้างนอกนั้นมันก็ไม่ได้สุขสบายนัก แต่ผมเองนั้นก็พยายามฝึกจิตใจไว้ไม่ให้ถูกกิเลศครอบงำ หลังจากที่ผมเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากที่ออกจากวัดแห่งนี้ นั่นยิ่งทำให้ผมได้เข้าใจสัจจะธรรมของชีวิตมนุษย์ได้ดียิ่งนัก ความยึดติดนั้นจะทำใจเราเป็นทุกข์"

"เรื่องอะไรเหรอโยม พอจะเล่าให้อาตมาฟังได้มั้ย"

"ผมไม่อยากจะพูดถึงมันอีกแล้วครับ ขอโทษด้วย"

"ไม่เป็นไรโยม อดีตมันผ่านไปแล้ว อ้อ! แล้วตอนนี้โยมทำอะไรอยู่ล่ะ"

บรรยากาศในวัดเงียบสงบ มันเงียบกว่าเมื่อก่อนสมัยที่อดีตเจ้าอาวาสยังคงเป็นเจ้าอาวาสอยู่

"ผมไปสอนหนังสือที่โรงเรียนตามชายแดนครับ ที่นั่นขาดแคลนครู แม้มันจะลำบาก แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อ้อ! แล้วทำไมวัดถึงเงียบแบบนี้ครับ งานบุญปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง"

"งานบุญอะไรนั่นเราไม่ได้จัดแล้วล่ะ มีเจ้าภาพจากวัดอื่นรับไปทำแทน ตั้งแต่โยมออกไปจากวัดเรา เราก็ไม่ค่อยได้พัฒนาวัดเลย มีก็แค่ซ่อมแซมแต่ไม่มีการสร้างอะไรเพิ่มอีกแล้ว"

อดีตเจ้าอาวาสหันมองไปดูรอบวิหารที่อยู่ในสถาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

"ตอนนี้คนที่เข้าวัดมาก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม หรือมาศึกษาธรรมะจริงๆ คนที่เข้ามาขอโชคขอลาภหรือเลขเด็ดต่างไม่มาที่นี่กันอีกแล้ว ตั้งแต่เขารู้ว่าโยมไม่อยู่ที่นี่"

"นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ครับ ในที่สุดวัดนี้ก็ได้กลับไปเป็นวัดจริงๆซะที"

"โยมคิดแบบนั้นจริงๆรึ"

เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันถามด้วยความแปลกใจ

"ใช่แล้วครับหลวงพ่อ แก่นแท้ของธรรมมะคือความสงบสุข ความสงบสุขจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจในพระพุทธศาสนา วัดควรที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมมะมากกว่าที่จะมาสร้างความเชื่องมงาย"

"โยมพูดได้ดี ดูเหมือนโยมจะเปลี่ยนไปนะ"

"ใช่ครับหลวงพ่อ เมื่อออกไปจากวัดเหมือนได้ไปฝึกจิตภาคปฏิบัติ ทำให้เข้าใจชีวิตได้ถ่องแท้นัก ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจในครั้งนั้นมันเปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย"

หลังจากทั้งคู่พูดคุยกันเสร็จ จากนั้นอดีตเจ้าอาวาสก็ขอตัวลาและเดินออกจากวัดด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข เขากลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบเงียยในที่ที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงมากนัก

ในอีกมุมหนึ่งของเทิด ด้วยความที่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าทันผู้คนมากนัก เขาถูกคนรู้จักหลอกให้ไปเล่นการพนันในบ่อนใหญ่ประเทศเพื่อนบ้าน เทิดเสียพนันหลายครั้งโดยหวังจะไปแก้มือ แต่เขาไม่เคยแก้มือจากบ่อนเลยได้สักครั้ง แท้จริงแล้วเพื่อนของเทิดเป็นนายหน้าหาคนมีเงินเข้าไปในบ่อนการพนัน เมื่อเทิดหมดทั้งเงินและต้องขายบ้านหลังใหญ่ทิ้ง เขากลายเป็นคนล้มละลายและเสียสติไปในที่สุด และเป็นโชคร้ายของลูกเมียของเทิดที่ต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ของเธอ


วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

น้ำตาของชายหนุ่ม




อาทิตย์กำลังแต่งตัวในชุดนักศึกษาช่างอาชีวะแห่งหนึ่งในเมืองกรุง เขาบรรจงขยับหัวเข็มขัดให้พอดีกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งของเขา รอยขาดปะผุบนกางเกงบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นวัยรุ่นหนุ่มที่ชอบความเซอ ลวดลายของสีย้อมผ้าที่มีริ้วรอยเป็นเส้นตามแนวรอยยับของกางเกงเรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้ดียิ่งนัก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กางเกงตัวนี้จะดูโดดเด่นและถูกอาทิตย์หยิบมาสวมใส่บ่อยครั้งกว่าตัวอื่นๆ เสียงตะโกนจากแม่ของเขาดังลั่นขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน

"ยังไม่ไปเรียนหรือลูก แม่เตรียมอาหารเสร็จแล้วนะ"

"แต่งตัวเสร็จแล้วแม่ กำลังจะลงไป"

อาทิตย์ตอบขณะที่กำลังใช้หวีเสยผมจากหน้าผากขึ้นไปเพื่อให้เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยเจลใสตั้งขึ้นเหมือนดาราวัยรุ่นในจอทีวี จากนั้นเขาจัดแจงหยิบกระเป๋าสะพายที่ข้างในนั้นมีหนังสือเพียง 2-3 เล่มขึ้นมาค้องคอ อาทิตย์เกือบจะเดินออกจากห้องแล้วถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นมีดพับเล่มกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างประตู เขาหยิบมันใส่กระเป๋าทันทีก่อนจะเดินลงบันไดลงไปนั่งยังโต๊ะอาหารที่มีจานข้าววางไว้รอแล้ว

"เป็นยังไงบ้างลูก ที่วิลัยโอเคมั้ย"

ผู้เป็นแม่ถามขณะที่จัดแจงวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ

"ก็ดีครับแม่ ตอนนี้ผมเริ่มจะมีเพื่อนมากขึ้นแล้ว"

"ดีแล้วลูก มีเพื่อนใหม่จะได้ไม่เหงา แล้วเพื่อนๆที่เชียงใหม่ได้ติดต่อกันบ้างมั้ย"

อาทิตย์กำลังเคี้ยวข้าวเช้าของเขาอยู่ แต่เขาก็พยายามตอบเมื่อกลืนคำข้าวในปากแล้ว

"ไม่ได้ติดต่อเลย นี่ก็ผ่านมาจะเกือบปีแล้วนะ พอดีว่าช่วงนี้ผมเรียนหนักไปหน่อย และมีกิจกรรมที่วิลัยเยอะมาก"

"ยังงั้นเหรอลูก ได้เพื่อนใหม่ก็อย่าลืมเพื่อนเก่านะ"

แม่ของอาทิตย์ขยับจานกับข้าวให้เข้าใกล้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

"แน่นอนครับ ผมไม่ลืมเพื่อนพวกนั้นหรอก ได้ยินว่าเพื่อนสนิทของผมย้ายจากเชียงใหม่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพเหมือนผมด้วยนะ แต่ยังไม่มีเวลาไปตามหามันเลยว่าอยู่ที่ไหน"

"เพื่อนลูกที่ชื่อเอน่ะเหรอ ใช่คนที่มานอนบ้านเราบ่อยๆหรือเปล่า"

"ใช่ครับ เรามาสอบเรียนต่อที่กรุงเทพเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามันไปเรียนที่ไหน"

อาทิตย์ก้มมองดูเข็มนาฬิกาที่วิ่งอยู่บนเรือนนาฬิกาที่ข้อมือของเขา เข็มสั้นชี้ไปที่กึ่งกลางระหว่างเลข 7 และ 8 เขารีบกลืนข้าวคำสุดท้ายก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าเตรียมจะออกจากบ้าน

"ผมไปก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวไม่ทันรถเมล์ สวัสดีครับ"

อาทิตย์ดูลนลานออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้แม่ของเขา เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที อาทิตย์ก็ปรากฏตัวอยู่ที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถสายประจำของเขา สักพักโทรศัพท์มือถือของอาทิตย์ก็ดังขึ้น

"ฮัลโหล ไงเพื่อนกำลังรอรถอยู่ ทันคันเวลา 7 โมง 45 อยู่"

"โอเคเพื่อน แกเอาของที่ข้าฝากไว้มาด้วยหรือเปล่า"

เสียงปลายสายตอบกลับมา

"หยิบใส่กระเป๋ามาแล้วไม่ต้องห่วง"

อาทิตย์ตอบกลับไปผ่านไมค์โครโฟนของโทรศัพท์พร้อมใช้มือคลำไปที่ด้ามเหล็กในกระเป๋าสะพาย ยังไม่ทันที่ปลายสายจะตอบรับกลับมา รถเมล์สายที่อาทิตย์รอคอยก็จอดลงที่หน้าป้ายตามเวลาที่ใกล้เคียงกับทุกๆวัน

"เยี่ยมเพื่อน แล้วเจอกันที่ป้ายหน้าบ้านข้า"

อาทิตย์เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นรถทันที ป้ายรถเมล์ที่อาทิตย์รอนั้นอยู่ใกล้กับอู่รถจึงทำให้เวลาที่รถเมล์มาจอดป้ายค่อนข้างจะใกล้เคียงกันทุกวัน และรถสายนี้จะขับผ่านป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนรออยู่เหมือนกัน

เช้าวันนี้ผู้คนไม่หนาแน่นมากนัก อาทิตย์จึงเลือกนั่งเบาะหลังสุดเพื่อจะรอให้เพื่อนที่ 3 คนมานั่งถัดจากเขา รถเมล์วิ่งทำเวลาเหมือนกับทุกวันที่มันทำ จอดรับส่งผู้โดยสารตามป้ายเป็นปกติเหมือนที่มันเคยทำทุกวัน และในที่สุดรถเมล์ก็มาจอดในป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์ยืนรอ เพื่อนทั้ง 3 คนเดินขึ้นมาบนรถและมานั่งยังเบาะที่อาทิตย์เตรียมไว้ให้

"ไงทิด วันนี้เรียนเสร็จไปเที่ยวไหนดี"

เบียร์ เพื่อนหัวโจกของกลุ่มพูดถามเมื่อเจอหน้าอาทิตย์ที่นั่งรออยู่แล้วบนรถเมล์

"ไม่ล่ะเพื่อน วันนี้ข้าขอตัวดีกว่า คราวแล้วพวกแกกลับซะดึก ข้าไม่อยากกลับบ้านค่ำ"

"เอ่อๆ ตามใจแกละกัน ไว้คราวหน้าก็ได้ เดี๋ยวเย็นนี้ข้าไปกัน 3 คนกับต้นและเป้ก็ได้"

หลังจากเบียร์พูดเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างๆกับอาทิตย์ ปล่อยให้เพื่อนอีก 2 คนนั่งด้วยกันอีกเบาะ รถเคลื่อนบนถนนไม่เร็วนักเพราะต้องคอยจอดตามป้าย ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับแออัด ทันใดนั้นเบียร์ก็ทวงถามสิ่งของที่เขาฝากอาทิตย์ไว้เมื่อหลายวันก่อน

"ของๆข้าเอามาด้วยหรือเปล่า"

"เอามาสิ"

อาทิตย์พูดเสร็จก็ล้วงเอามีดพับออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เบียร์ทันที

"คราวหลังไม่ต้องเอามาฝากข้าอีกนะ กลัวแม่เห็นแล้วจะถามว่าไปเอามาจากไหน"

"ได้ๆ ไม่มีปัญหา"

เบียร์ตอบรับคำพูดที่อาทิตย์เสนอ แต่เช้าวันนี้เหมือนกับเป็นเช้าที่โชคร้ายสำหรับพวกเขาเมื่อมีกลุ่มนักเรียนอาชีวะที่เป็นคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา 6 คน เพื่อน 2 คนที่นั่งเบาะข้างหน้าของอาทิตย์สังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนดังกล่าว จึงรีบกระซิบมายังเบาะหลังเพื่อเตือนเพื่อน

"ซวยแล้วไงเช้านี้ พวกเราไป!"

เป็นเรื่องปกติของเด็กอาชีวะที่ถ้าหากว่าเจอคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา และมีจำนวนที่มากกว่า กลุ่มที่มีน้อยกว่าจะต้องเดินลงจากรถเมล์ไป เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนั้น กลุ่มของอาทิตย์จึงเลือกที่จะเดินลงจากรถไปเอง

เหมือนกับจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ดูวิปลิตผิดเพี้ยนไปแล้ว และสีหน้าของนักเรียนคู่อริที่มองมายังกลุ่มของอาทิตย์ก็ทำสีหน้าพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อเพื่อนอีก 2 คนของอาทิตย์กำลังจะเดินลงบันไดรถลงไป และเรื่องราวในเช้านี้คงจะผ่านพ้นไปได้อย่างสงบเหมือนกับหลายๆเช้าที่ผ่านมา ถ้าเบียร์ไม่แสดงท่าทางเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้มือจับที่หัวเข็มขัดของตัวเองแล้วทำเป็นเหมือนจะท้าให้คู่อริมาชิงมันไป

ความจริงแล้วเบียร์เพียงต้องการเพียงแค่จะเย้ยหยันฝ่ายตรงข้ามมากกว่า เขาคิดว่าพอทำท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นเสร็จจะรีบวิ่งลงจากรถไปในจังหวะที่รถเมล์เคลื่อนตัวออกไป เพื่อไม่ให้พวกนั้นวิ่งตามลงมากได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เบียร์คิด กลุ่มนักเรียนอาชีวะคู่อริทั้ง 6 คนต่างวิ่งกรูตามกลุ่มของเบียร์ลงจากรถทันที เบียร์ตกใจมากจึงตะโกนออกมาเสียงดัง

"วิ่ง! เร็ว"

ในสายตาของผู้โดยสารบนรถเมล์ พวกเขาต่างจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างระแวงอยู่แล้ว เพราะคิดว่ามันคงจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง ในบางคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนก็สงสัยว่านักเรียนพวกนั้นมีเรื่องแค้นเคืองบาดหมางอะไรกันมานะ แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนความป่าเถื่อนเหล่านั้นออกมา คือการปลูกฝังค่านิยมจากรุ่นพี่ในเรื่องของคำว่า 'ศักดิ์ศรีของสถาบัน' ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปนั้นย่อมจะไม่เข้าใจ

ทั้ง 4 ออกแรงวิ่งเต็มที่โดยมีกลุ่มนักเรียน 6 คนวิ่งมาไม่ห่างมากนัก กลุ่มนักเรียนที่รวมกันได้ 10 คนกำลังเพิ่มความวุ่นวายให้กับท้องถนนที่แออัดไปด้วยคนที่เดินไปมาอยู่แล้ว คนบางคนถูกกลุ่มนักเรียนวิ่งชนจนล้มระเนระนาดวุ่นวายไปหมด และทันใดนั้นคู่อริคนหนึ่งสามารถวิ่งไล่ทันอาทิตย์ที่วิ่งรั้งท้ายของกลุ่ม อาทิตย์ถูกเตะเข้าที่ต้นขาอย่างแรงทำให้เข้าล้มลงไปนอนกลับพื้น

เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนเมื่อเห็นว่าอาทิตย์ลงไปนอนกองกับพื้น พวกเขาหันกลับมาและพยายามเข้าไปช่วยกันอาทิตย์ไว้ไม่ให้ถูกซ้ำ กลุ่มของคู่อริ 2 คนพยายามเข้ามากระโดดถีบเบียร์ที่ยืนขวาง แต่เบียร์กะจังหวะพลิกตัวหลบลูกถีบจากทั้ง 2 ได้ทันก่อนที่จะใช้หมัดต่อยไปที่ปลายคางของทั้ง 2 ทีละคน

ลีลาการต่อสู้ของเบียร์นั้นไม่ธรรมดานัก ทำให้กลุ่มคู่อริที่เหลือหยุดชะงักไม่กล้าผลีผลามเข้ามารุมสะกรัม เพื่อนอีก 2 คนในกลุ่มของอาทิตย์เข้ามาประจันหน้ากันระหว่าง 3 ต่อ 6 เพราะตอนนี้อาทิตย์ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ อาทิตย์ยังคงมีอาการมึนงง ด้วยเพราะว่าเขานั้นไม่ค่อยถนัดในการต่อสู้มากนัก การถูกเตะลงไปนอนกลิ้งกับพื้นจึงดูเหมือนจะเป็นอะไรที่รุนแรงมากสำหรับอาทิตย์ เขาได้แต่นอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้น

ถึงแม้เบียร์จะมีฝีมือทางการต่อสู้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก และดูเหมือนกลุ่มนักเรียน 6 คนจะสามารถคุมเชิงฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว นักเรียนอาชีวะคนที่ถูกเบียร์เย้ยหยันพูดออกมาเสียงดังลั่น

"ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้ พวกมึงถอดหัวเข็มขัดออกมา"

เบียร์และเพื่อนอีก 2 คนทำท่าทางจะทำตามที่คู่อริพูดแต่โดยดี เพราะสถานการณ์แบบนี้แล้วพวกเขาคิดว่าน่าจะคุ้มกว่า หากยอมสละหัวเข็มขัดไป ส่วนอาทิตย์นั้นยังคงนอนจุกอยู่บนพื้น เรื่องดูท่าทางจะจบลงแค่นี้โดยที่ไม่น่าจะมีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ทว่าคนที่เพิ่งออกคำสั่งนั้นได้พูดคำพูดที่มันเสียดแทงความเชื่อของเบียร์

"สถาบันของพวกมึงมันกระจอกว่ะ ตั้งแต่ครูยันลูกศิษย์แม่_กระจอกทั้งนั้น"

ความจริงแล้วสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของนักเรียนคนนี้ไม่ใช่ความจริง มันก็แค่บทพูดจากรุ่นพี่ที่พยายามกรอกหูให้รุ่นน้องฟัง เพื่อทำให้เกิดความฮึกเหิมในพวกเดียวกันแค่นั้นเอง กลุ่มคนเหล่านั้นอาจจะลืมคิดไปว่าผลลัพธ์จากวลีเหล่านี้มันอาจจะสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด

ในอีกมุมหนึ่ง สถาบันที่ถูกปลูกฝังและหล่อหลอมเขาขึ้นมานั้น มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่สถานศึกษาหรือสถานที่ใดๆ แต่มันคือจิตวิญญาณของเบียร์ และรวมถึงเพื่อนๆร่วมสถาบันด้วย คนอย่างเบียร์มีความคิดที่ว่า ถ้าตัวของเขาเองโดนดูถูกหรือโดนทำร้ายเพียงใดมันก็ยังพอทน แต่การที่สิ่งที่เขารักโดนดูถูกหรือทำร้ายนั้น เบียร์ทนไม่ได้ สติที่เพิ่งจะขาดออกจากกันเมื่อได้ฟังประโยคเหล่านั้น ทำให้เบียร์ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อควักมีดพับปลายแหลมออกมา ไม่รอช้าเบียร์จ้วงแทงมีดไปที่ตรงกลางลิ้นปี่ของเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่

ด้วยความเร็วของนักเรียนที่เป็นเป้าหมายของคมมีด รวมถึงระยะห่างของเบียร์กับคู่อริ นักเรียนหัวโจกคนนั้นสามารถปัดป้องและเบี่ยงเบนวิถีของมีดให้พ้นวิถีโคจรออกจากตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าทิศทางของปลายมีดก็ยังพุ่งเสียบไปที่ร่างของนักเรียนกลุ่มคู่อริอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังและไม่ทันได้ระวังตัว นักเรียนคนนั้นล้มลงนอนไปกองกับพื้นทันทีเพราะหมดสติ เลือดทะลักพุ่งออกมาเพราะปลายมีดเสียบเข้าไปที่อวัยวะสำคัญภายใน 

เบียร์ผงะถอยปล่อยมีดลงกับพื้น เช่นเดียวกับทุกๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่อาทิตย์คนเดียวที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง เมื่ออาทิตย์พยายามพยุงตัวลุกขึ้นมา เขาไม่เห็นเพื่อนๆของตัวเอง และไม่รู้ว่านักเรียนกลุ่มคู่อริหายไปไหน อาทิตย์เห็นเพียงแต่นักเรียนคนที่นอนจมกองเลือดเพียงคนเดียวเท่านั้น อาทิตย์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าจะต้องไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้เร็วที่สุด

เมื่ออาทิตย์เข้าไปใกล้ปรากฏว่า! คนที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นคือเอ เพื่อนสนิทของอาทิตย์ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน อาทิตย์แทบจะไม่เชื่อสายตาเลยว่า เพื่อนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาปีกว่า จะมาเจอกันในสภาพแบบนี้ ร่างของเอนอนแน่นิ่งไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ว่าเขาจะมีความยินดีเพียงใด เมื่อเพื่อนรักมายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว คงมีเพียงแต่อาทิตย์เท่านั้นที่แสดงออกถึงความเศร้าและเสียใจออกมาทางใบหน้า สายนำ้ตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสายคงแสดงออกได้ถึงความสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดแล้ว

อาทิตย์ร้องไห้ฟูมฟายได้แต่พูดเพ้อถึงโชคชะตาของเพื่อนรัก เขาได้แต่เฝ้าคิดว่าใครกันนะที่เป็นคนฆ่าเพื่อนรัก เอจะต้องมาตายตรงนี้เพราะอะไรกัน อาทิตย์ไม่ได้กล่าวโทษถึงกลุ่มคู่อริเลยแม้แต่น้อย เขาไม่โทษเพื่อนของเขาที่เรียนร่วมสถาบันที่พามาเจอสถานการณ์แบบนี้ อาทิตย์ได้แต่คิดถึงคำพูดต่างๆที่เขาได้ยินมาจากรุ่นพี่ที่พยายามพูดกรอกหูเขา นี่น่ะหรือคือสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการ พวกเขาต้องการให้มีคนตายหรือย่างไร

เวลาผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ สิ่งที่ตำรวจเห็นก็คือชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังนอนจมกองเลือดกับพื้น โดยมีชายหนุ่มอีกคนที่ใส่ชุดนักศึกษาต่างสถาบันนั่งข้างๆพร้อมส่งเสียงร้องให้ดังลั่น และใกล้ๆกันนั้นยังมีด้ามมีดพับเหล็กที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดและรอยนิ้วมือของอาทิตย์แฝงอยู่บนนั้น่

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตสุดท้าย




วันนี้บังเอิญที่ผมมีธุระที่จะต้องไปทำกับเพื่อนที่ชื่อเฟรม แต่พอผมไปรับเฟรมปรากฏว่ามันบอกให้ผมไปส่งมันที่งานเผาศพคนรู้จักของมันเอง ผมก็ทำตามที่เพื่อนผมขอเพราะมันบอกว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ และป่าช้าที่จะไปก็เป็นทางผ่านที่เราสองคนจะไปทำธุระกันอยู่แล้ว เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่มีไอ้เฟรมซ้อนท้ายไปถึงหน้าป่าช้า ลำบากมากที่จะลัดเลาะอีแก่ของผมเข้าไปในงานพิธี เพราะว่ารถราหลายคันจอดกันเบียดเสียดทั้งรถ 4 ล้อและ 2 ล้อ แต่ด้วยความชำนาญในการควบ 'อีแก่' ของผม ผมจึงนำมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในงานให้ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกตัวออกมาได้ง่ายเมื่อถึงเวลา

เมื่อเราไปถึงเป็นช่วงจังหวะที่โลงศพถูกลากเข้ามาที่กลางลานกว้างพอดี ในงานผมสังเกตเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตานับหลายร้อยชีวิตในงาน และหลายร้อยชีวิตก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน มีทั้งในชุดสีกากี บ้างเป็นชาวบ้านในชุดดำทั้งหนุ่มแก่ ยังมีกลุ่มที่เหมือนจะเป็นนักปั่นจักรยานหลายสิบคนมาร่วมงานด้วย ถัดไปอีกก็เป็นกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงอีกหลายสิบคนเช่นกันในชุดเสื้อยืดสีดำรูปหัวกะโหลก บางคนใส่ชุดหนังสีดำโพกหัวด้วยผ้าหลากสี และยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นชมรมอะไรกัน ไม่เหมือนกับกลุ่มจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์หรูที่จอดยานพาหนะนั้นไว้ใกล้ๆกลุ่มของพวกเขา  ผมสงสัยว่านี่มันงานบ้าอะไรกันจึงถามไอ้เฟรมเพื่อนของผม

"เฟรม คนพวกนี้เป็นใครกัน เขามาทำอะไรที่นี่"

"อ๋อ คนพวกนี้เหรอ เป็นคนในชมรมที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าอยู่น่ะ พอมันตายก็เลยมีคนในชมรมมาร่วมงาน แต่บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามันอยู่หลายชมรม ทั้งจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตกปลา หมากรุกและมันทำงานเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่างที่เทศบาลด้วยน่ะ พอมันตายก็เลยมีคนมาร่วมงานเยอะมาก"

ไอ้เฟรมบรรยายรายละเอียดให้ผมรู้ ผมเฝ้ามองดูผู้คนที่อยู่ในงานพลางคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของไอ้เฟรม ว่าเขาเป็นคนที่กว้างขวางจริงๆ มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด ช่างน่านับถือจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป พอได้รู้ว่ามีคนมากมายที่มาร่วมงานในพิธีของลูกตนเอง ก็คงทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจได้ว่าลูกของตนเป็นที่รักของคนจำนวนมาก

แต่นั่นยังไม่หมด พอถึงช่วงที่จะมีการถวายผ้าบังสกุล มีผู้ใหญ่หลายสิบคนที่ถูกเรียกชื่อ แต่ละคนคือคนใหญ่คนโตทั้งผู้ใหญ่บ้านจนไปถึงผู้ว่าฯ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมงานเผาศพวันนี้ถึงมีคนสำคัญๆมาร่วมงาน คนตายต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือคุณงามความดีหรืออย่างไรกัน แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่ถามมันกับไอ้เฟรม

ในระหว่างที่ยังมีการเรียกชื่อผู้ถวายผ้าบังสกุลอยู่ ผมเริ่มครุ่นคิดหนักถึงประเด็นที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน การที่เราได้รู้จักคนเยอะๆและมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด นั่นคือน่าที่ของมนุษย์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากไม่มีสังคมก็คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นได้แค่สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นที่ไม่ชอบเข้าสังคม ผมไม่มีชมรม ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่เอาไว้สำหรับออกไปเฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีเพื่อนที่สนใจในกิจกรรมที่คล้ายๆกัน เพื่อนที่ทำงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน พ่อแม่พี่น้องของผมก็ไม่มีแล้ว มีก็แค่ญาติห่างๆรวมถึงไอ้เฟรมเพียงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน เพราะเฟรมกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงเข้ากันได้อย่างสนิทใจในทุกเรื่อง

เวลาในการเรียกชื่อผู้ที่จะถวายผ้าบังสกุลยังอีกนาน เพราะผู้ใหญ่อีกหลายคนยังไม่ถูกเรียกออกไป ทำให้ผมยังพอมีเวลาอีกนานที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ก็เหมาะสำหรับการนั่งพิจารณาความคิดของตัวเอง ผมเริ่มกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี ให้ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์ในอุดมคติตามที่ผมเพิ่งจะคิดไว้ ผมเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนโดยเริ่มจากตัวผมเองและไอ้เฟรม อะไรกันนะที่ทำให้เรารู้จักกันและไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่กับคนรอบๆข้างนั้นผมไม่รู้จะเริ่มยังไง

เมื่อไฟถูกจุดที่เมรุเผาศพ ผมเห็นคนหลายคนร้องไห้โศรกเศร้า เมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน คนอีกหลายคนก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกับมันเป็นอุปทานหมู่อย่างไรก็อย่างนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีแม่ของผู้ตายและอาจจะมีภรรยาของผู้ตายด้วยที่ช่วยกันร้องไห้

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมเริ่มมองตัวเองและคิดต่อไปว่า หากเป็นงานศพของผมเองนั้นจะมีใครบ้างที่มาร่วมงานของผมบ้าง ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแค่ยายของผมและไอ้เฟรม การที่เราตายไปโดยที่ไม่เป็นที่จดจำของผู้คนมันช่างดูหดหู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงมัน ไม่นานไอ้เฟรมก็ชวนให้ผมเดินออกจากงานเพื่อไปทำธุระต่อ หลังจากที่มันเดินไปล่ำลากับเจ้าภาพของงาน

ความจริงแล้วธุระของเราสองคนก็ไม่ใช่สลักสำคัญอะไรมาก แค่วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงชวนไอ้เฟรมไปเล่มเกมส์ที่ร้านคอมถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งระยะทางก็ไกลโขอยู่เหมือนกัน ต้องวิ่งผ่านถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถสิบล้อวิ่งผ่าน และถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านอีก ผมจึงไม่ค่อยจะชอบขี่รถบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เพราะวันนี้มันเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อของผม ผมจึงเลือกที่จะขี่ไปในถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาความสำราญกับเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง

"ไปกันได้แล้ว ช้าเดี๋ยวที่นั่งเต็มอดเล่นกัน"

ไอ้เฟรมเริ่มกระสันที่จะอยากเล่นเกมแล้ว จึงบอกให้ผมรีบบึ่งรถไปโดยเร็ว แต่วันนี้โชคร้ายหน่อยสำหรับผมกับไอ้เฟรม เมื่อเราขี่ไปได้เกือบครึ่งทางของถนนที่วิบากและเต็มไปด้วยรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็ว ในขณะที่ผมขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าแต่แรงดีของผมดัวยความเร็ว ผมไม่ทันหลบหลุมขนาดใหญ่ได้ ล้อหน้าตกลงไปในหลุมในจังหวะที่ผมพยายามจะหักเลี้ยวหลบ ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งผมและไอ้เฟรมลื่นไถลไปกับพื้นที่ถนนคอนกรีตที่เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย ชั่วอึดใจเดียวสามัญสำนึกของผมก็ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน โดยที่ผมมองเห็นร่างของผมและไอ้เฟรมนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป และสภาพร่างของผมและไอ้เฟรมที่ผมมองเห็น สภาพมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซากรถมอเตอร์ไซค์

"นี่เราคงตายแล้วใช่มั้ย? ดูสภาพแล้วเราสองคนไม่น่ารอดนะ"

ผมได้ยินเสียงไอ้เฟรมยืนข้างๆ

"อืม... คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่แกไม่ตกใจเลยเหรอ ดูท่าทางแกยังชิวๆอยู่เลย"

ผมหันหน้าไปทางไอ้เฟรม ก่อนจะถามมันด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

"ก็ไม่นะ ไม่รู้สึกตกใจอะไรเลย ก็แปลกดีนะในตอนที่เรายังไม่ตาย เราต่างหวาดกลัวความตายและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตาย แต่เมื่อเราตายแล้วจริงๆกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย"

ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่ไอ้เฟรมพูดออกมา เมื่อเราตายก็เหมือนกับแค่เราเปลี่ยนสถานะไปแค่นั้นเอง ผมยังคิดไม่ออกว่าความตายมันน่ากลัวและน่ากังวลตรงไหน ตอนนี้เราสองคนที่อยู่ในรูปของอะไรก็ไม่รู้กำลังนั่งมองดูร่างของตัวเองที่นอนจมกองเลือดอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นศพของเราสองคน

"แล้วเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้?"

ผมถามไอ้เฟรมเพราะผมไม่มีความเห็น

"ข้าก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปที่ไหนกันต่อ แต่ตอนนี้ยังพอมีเวลาข้าขอกลับไปดูหน้าลูกเมียอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีใครมารับเราไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่า"

"เหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยละกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ไหน"

เมื่อเราสองคนตกลงกันได้ แค่เรานึกถึงหน้าคนที่เราต้องการจะเห็น จิตของผมและไอ้เฟรมก็ไปโผล่ที่คนๆนั้นทันที แต่ปรากฏว่าสถานที่ที่เราโผล่ไปนั้นคือบ่อน

"โธ่! นังแก้ว มันมาเล่นไพ่อีกแล้ว เมื่อวานข้าเพิ่งจะว่าให้มัน คราวแล้วก็เสียหมดตัว ถ้าต่อไปมันยังไม่เลิกเล่นการพนัน และไม่มีข้าด้วยมันจะอยู่ยังไง ไอ้บอลก็ยังเรียนไม่จบ"

"เอาน่าๆใจเย็นก่อน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง แก้วมันก็คงมาหาอะไรทำแก้เบื่อบ้างล่ะ อย่าไปโทษมันเลย ทีแกยังจะหนีไปเล่มเกมกับข้าเลย"

ท่าทางของไอ้เฟรมเหมือนจะเป็นห่วงครอบครัวของมันมากกว่าตัวมันเอง เมื่อเราสองคนคิดถึงบอล ลูกชายของไอ้เฟรม ทันใดนั้นจิตเราสองคนก็ไปโผล่ที่บ้านของไอ้เฟรมทันที

เสียงดนตรีบรรเลงจากกีตาร์คลาสสิคของบอลที่บรรจงดีดออกมาอย่างไพเราะ เขานั่งเล่นมันในห้องเล็กๆแต่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงที่เขาแกะออกมาจากหนังสือ สีหน้าของบอลตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขและความมุ่งมั่นที่จะเล่นเพลงในให้จบจนถึงโน๊ตตัวสุดท้าย

"ข้าไม่ห่วงลูกข้าคนนี้เลย การเรียนก็ดีเล่นดนตรีก็เก่ง ต่อไปมันต้องสามารถเลี้ยงดูแม่มันได้แน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็หมดห่วงอะไรอีกแล้ว"

ผมเห็นไอ้เฟรมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เราสองคนนั่งฟังโน๊ตตัวสุดท้ายจากเสียงของสายกีตาร์ที่ถูกดีด จากนั้นจิตของเราทั้งสองคนก็ล่องลอยออกมาไปตามความคิดห่วงหาอาทรของแต่ละคน ผมส่งไอ้เฟรมไปหาพ่อและแม่ของมัน และจากนั้นมันก็ไปหาเพื่อนๆ หาผู้ใหญ่หลายคนที่มันเคารพนับถือ จนเมื่อมันเสร็จธุระของมันแล้ว ไอ้เฟรมมันก็ถามผมบ้าง

"ตอนนี้ข้าหมดห่วงกังวลหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่าพร้อมแล้วที่เราจะไปสู่ภพภูมิที่เราควรจะไป ตอนนี้แกอยากไปหาใครบ้างล่ะ"

"ข้าคงขอไปดูหน้ายายของข้าเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ จากนั้นก็คงจะหมดห่วงและไปตามทางของใครของมัน"

ผมมองไปที่ยายของผมและก้มลงกราบที่เท้าเพื่อเป็นการบอกลา ยายของผมเป็นคนที่ดี แกมักจะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีเสมอ ท่านเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมมั่นใจว่ายายของผมจะทำใจได้ในไม่ช้าหากท่านรู้ว่าผมตายแล้ว เมื่อผมหมดห่วงอะไรทุกอย่าง ท่าทางของไอ้เฟรมก็ไม่มีอะไรยึดติดบนโลกใบนี้อีกแล้ว

"ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางไปสู่สุขคติ เราหมดหน้าที่แล้วบนโลกใบนี้"

ไอ้เฟรมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น ผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ ไม่นานไอ้เฟรมก็ค่อยๆจางหายไป แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งทึ่เป็นวิญญาณกำลังยืนงงอยู่กลางถนน ผมเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันทีทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปตามไอ้เฟรมได้ ผมเข้าไปคุยกับวิญญาณร่างนั้น

"ลุงจะไปไหนเหรอครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้"

ร่างนั้นหันหน้ามาที่ผม ก่อนจะถาม

"ลุงจะกลับบ้าน ลุงจากลูกกับเมียนานมากแล้ว พวกเขารอลุงอยู่"

ผมคิดว่าลุงเองคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว

"ตอนนี้ลุงตายแล้วครับ ลุงคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว"

ผมบอกลุงไปตามตรง

"ยังหรอกลุงยังไม่ตาย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย พวกเขากำลังรอลุงอยู่ที่บ้าน"

ลุงคนนั้นพูดเสร็จก็เดินหายจากไป โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ลุงแกรู้ตัว หรือบางทีเขาอาจจะต้องเห็นศพของตัวเองเหมือนกับที่ผมเห็นศพของตัวเอง ผมเดินตามลุงไปสักพักก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ด้วยความสงสัยผมเดินเข้าไปถาม

"ป้ายืนรออะไรอยู่ตรงนี้หรือครับ ทำไมไม่เดินทางไปภพภูมิต่อไป"

"ป้ายังเป็นห่วงลูกหลานของป้า ป้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะดูแลธุรกิจที่ป้าสร้างมันมาทั้งชีวิตได้หรือเปล่า ป้าอยากอยู่ดูพวกเขาสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาดูแลตัวเองได้"

"แล้วมันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ในการเฝ้าดูลูกหลาน"

ป้าคนนั้นหันมาและทำสีหน้าไม่แน่ใจ

"ป้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ป้าไปตอนนี้ยังไม่ได้ เพราะป้ายังเป็นห่วงพวกเขาอยู่"

ผมเดินจากมาโดยที่เหลียวหลังไปมองที่ป้าแก ตอนนี้ผมคิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้จิตเรายึดติดกับบุคคลได้เพียงนี้ ไม่ไกลจากป้าแกผมเห็นวิญญาณชายหนุ่มเดินวนเวียนไปมาหน้าบ้านหลังหนึ่ง

"พี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่ไปสู่สุขคติ"

วิญญาณร่างนั้นชี้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่

"เห็นนั่นไหม บ้านหลังใหญ่ รถยนต์หลายคัน ในบ้านมีทรัพย์สินมูลค่ามากมาย เมียของผมเพิ่งจะวางยาผมตายเพื่อหวังเงินประกันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ผมสะสมมาตลอดชีวิต มันน่าแค้นใจเหลือเกิน ผมคงไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้หรอก ต้องรอดูความวิบัติของเมียคนนี้เสียก่อน"

ผมทำได้แค่เฝ้าดูและเดินจากไป คงไม่สามารถพูดอะไรให้พี่คนนั้นเปลี่ยนใจได้หรอก อารมณ์ที่เครียดแค้นชิงชังนี้คงจะเกิดจากความแค้นที่เขาได้เจอมา ไม่แน่เหมือนกันถ้าเป็นผมเองก็อาจจะเครียดแค้นเหมือนเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ผมเริ่มคิดแลัวว่าความสับสนวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บางทีมันก็อาจจะยุ่งเหยิงพัลวันกันจนเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ไปไหนได้เลย ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้ก่อนที่ผมจะหมดโอกาสที่จะไปแก้ไขมัน

ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังที่ที่ควรไป ผมค่อยหลับตาลงและพยายามทำให้จิตใจว่างที่สุดก่อนที่วิญญาณของผมจะเสื่อมสลายไป ชีวิตบนโลกที่สับสนวุ่นวายของผมคงจะจบแล้ว แต่ความคิดสงสัยเล็กๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมสงสัยว่าญาติของไอ้เฟรมที่ผมเพิ่งจะไปงานเผาศพนั้น ดวงวิญญาณของเขาจะไปล่ำลาคนรู้จักที่มากมายของเขาหมดหรือยัง แต่ช่างเถอะ! ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะไปคิดเรื่องนั้น

อา... ความสงบสุขหลังความตายมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสบายจัง...


วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มหัศจรรย์ คืนวันเกิด

ผมบรรจงหิ้วถุงพลาสติกใสลายน่ารักสวยงาม ข้างในถุงมีกล่องพลาสติกที่ห่อหุ้มเค้กที่ดูสีสันสดใสน่ารับประทาน ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินเค้กหรอกครับ ผมไม่ได้มาซื้อมันมากินเป็นประจำหรอก ไม่สิ... ผมไม่เคยกินเค้กเลยสักครั้งในชีวิตนี้ต่างหาก เพราะบ้านของผมจนมาก เงินทุกบาทจะต้องเก็บไว้ซื้อข้าวกินกัน ผมย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กับป้าในเมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผมเนื่องในโอกาสเป็นวันครบรอบวันเกิดในวัย 11 ปี และในคืนพิเศษๆเช่นนี้มันก็ควรจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะครับ

แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้

"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"

เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย

"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"

แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา

เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง

ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน

"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"

ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน

"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"

ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้

"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"

"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"

ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที

"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น จะลดราคาให้ด้วย"

ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้ ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ

"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"

พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว

"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"

ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว

"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"

พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZaMBnlgrnHuhtSVR_NzSY3RQBk4VsykmqYB6cuD_naGkj5IZtE5IBzW4pfji5T_I6HYA1V9tWdHwqNKESjVUiZc-JXqPhbmZeWWJGdcg3tx75kukvGMZDFvLZMhDM4ooWBX2jmhwZWFA/s640/blogger-image--1705964525.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด

นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ... ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว

ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์ แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป

ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้

อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์ อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที

เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น

"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"

อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก

"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"

"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้ เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง

"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"

ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ

"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"

ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้

"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"

พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่ เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง

"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"

พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ 

"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"

พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม

"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11 ปี"

"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"

"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"

ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว

"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"

"ว้าว...ว แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"

"ใช่"

พอพี่สายสืบพูดจบ แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย

"ที่นี่คือประเทศอินเดีย เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"

พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น

"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"

"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"

ผมทำหน้าสับสน ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่

"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"

พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา

"เอาล่ะ เราไปดูที่อื่นกันต่อ"

แสงสว่างโผล่มาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว เรามาโผล่ยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

"ที่นี่คือประเทศเนปาล ลองมองดูเด็กคนนั้นสิ เธอคนนั้นกำลังตั้งช่วยพ่อแม่ของเธอเก็บผลไม้ในสวน"

ผมเห็นเด็กผู้หญิงที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับผม ถ้าทางเธอจะเป็นลูกของคนงานในสวนผลไม้แห่งนี้ ผมคิดว่าเธอสมควรจะได้เค้กวันเกิด เพราะเธอเชื่อฟังและคอยช่วยเหลือพ่อแม่

"เธอคนนั้นควรจะได้รับเค้กใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้วล่ะ"

พี่สายสืบพาผมเดินทางไปอีกหลายที่ มีเด็กหลายคนที่ได้รับการบันทึกว่าจะได้รับเค้ก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ และเมื่อหมดภารกิจในการตามหาเด็กดี พี่สายสืบพาผมกลับมาที่โรงงานอีกครั้ง

"ตอนนี้เวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเลยวันเกิดของเธอไปแล้ว คงไม่ทันที่จะให้เธอกบับหปกินเค้กที่บ้าน พี่ได้เตรียมชิ้นเค้กที่สุดวิเศษจากโรงงานของเราไว้ให้ เธออยากเห็นหรือยัง"

"อยากครับ"

หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมจะได้ตักชิ้นเค้กใส่ปาก รสชาติของมันที่จะสัมผัสกับลิ้นของผมมันจะเป็นอย่างไรกันนะ แค่คิดถึงรสชาติที่ผมยังไม่เคยลิ้นลองนั่นก็ทำให้ใจของผมเตลิดไปไกลแล้ว ผมคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่มีอุปสรรค์ใดๆมาขวางกั้นให้ผมคลาดแคล้วกับเค้กอีกแล้ว ผมอดใจรอไม่นาน มีชายอีกคนยกถาดที่มีเคักชิ้นใหญ่วางอยู่บนนั้นเดินมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ เมื่อเค้กเดินทางมาใกล้ๆจนผมสามารถชื่นชมมันได้อย่างใกล้ชิด ผมแทบจะน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันใจ

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1B1ZLIivAXExiWe_3AnrrAi2zvdH2WNIK6IgJN7H0AmwW3Nod3JV4b7YiKTx7jgX3NnnzqzxZoi0q93Zh-kFAEsBU9kei4SmNLwWNA8FobI6fHysVGjNcavFfZGGqHxefIvZc2rhsVn0/s640/blogger-image--1001885683.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"ผมกินเค้กได้หมดทั้งก้อนเลยใช่มั้นครับ"

"ใช่แล้ว"

ผมถามด้วยความตื้นตันใจ คำแรกที่ผมหยิบเข้าใส่ปากคือสตอร์เบอรี่ที่เคลือบด้วยช็อกโกแลต ผมน้ำตาแทบเล็ดเมื่อได้ชิมรสชาติของผลสตอร์เบอรี่สดบวกกับช็อกโกแลตชั้นดีที่ผมไม่เคยสัมผัสมาเลยในชีวิตนี้ ชิ้นต่อไปผมใช้ช้อนตักไปที่เนื้อเค้ก บรรจงตักออกมาอย่างพอดีคำและนำมันเข้าไปในปาก สัมผัสแรกที่ก้อนชิ้นเค้กสัมผัสกับลิ้นของผม ผมไม่กล้าที่จะเคี้ยวมัน ปล่อยให้ต่อมสัมผัสบนลิ้นรับรสชาติของก้อนชิ้นเค้กอย่างยาวนานจนผมพอใจ แต่เมื่อคิดถึงยังมีเค้กก้อนใหญ่ที่เป็นของผมคนเดียวรออยู่ ผมจึงขยับปากเคี้ยวเค้กคำแรกของผมอย่างละเอียดละออ

ก้อนเค้กชิ้นใหญ่สำหรับ 4 ถึง 5 คน แต่เค้กก้อนใหญ่นี้ถูกผมจัดการด้วยคนเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไม่นาน อาจเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก ผนวกกับความหอมหวานและกลมกล่อมที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ทำให้ไม่แปลกเลยที่ผมจะจัดการก้อนเค้กชิ้นใหญ่นี้ได้เพียงคนเดียวในเวลาไม่นาน พี่สายสืบเตรียมน้ำส้มไว้ให้ผมหนึ่งแก้ว ผมดื่มมันทันทีที่จัดการเค้กจนหมดจาน

"ผมมีความสุขมากเลยครับ ผมจะไม่ลืมเรื่องราวในวันนี้ไปตลอดชีวิต"

ผมพูดจบแล้วก็เริ่มง่วงนอนผลอยหลับไปจากความเหนื่อยล้า แต่ยังได้ยินคำพูดที่พี่สายสืบตอบกลับมา

"เธอคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้านของเธอ คืนนี้ขอให้หลับสบายในคืนวันเกิดปีที่ 11 นะ"

...

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าบนเตียงที่เดิมในห้องเล็กๆของผม ผมงัวเงียและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ผมคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริง มันอาจจะเป็นแค่ความฝันในคืนวันเกิดของผมจากความกระหายอยากกินเค้กของผม ผมลุกขึ้นมาจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะพับผ้าห่มไว้อย่างดี ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะออกไปทำงาน

ป้าของผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง

"เมื่อคืนกลับบ้านดึกนะ"

คำแรกที่ป้าของผมทักมา ผมยังสับสนอยู่ว่าเมื่อคืนผมกลับมาที่บ้านกี่โมงกันแน่ แต่ก็ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษไปก่อน

"อ่อ เมื่อคืนพี่ที่หิ้วหลานมาส่ง เค้กที่พี่เขาให้ป้าไว้อร่อยมาก ในชีวิตนี้ป้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลยฝากขอบคุณเขาด้วยนะ"

ผมรู้สึกแปลกใจกัยลบคำพูดของป้า 'เค้ก' 'พี่คนนั้น' หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝันไป ผมนึกย้อนไปถึงรสชาติความหอมหวานของเค้กที่ผมได้สัมผัส ผมยังจดจำรสชาตินั้นได้อย่างตราตรึง มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน

"เค้กที่เขาให้มาก้อนใหญ่มากป้ากินไม่หมด ถ้าหลานหิวก็มากินต่อไปได้ เดี๋ยวป้าออกไปทำงานก่อน"

ป้าของผมพูดจบก็เก็บของใส่กระเป๋าออกจากบ้านไปทำงาน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่สักพัก ก่อนจะได้สติเดินไปที่โต๊ะและค่อยๆเปิดกล่องกระดาษออกมาดูว่าข้างในมีอะไร

ผมจำได้ทุกรายละเอียดของเค้กก้อนนี้ ลักษณะมันเหมือนกับเค้กก้อนเมื่อคืนที่ผมได้ลิ้มลอง ผมตักมันเข้าปากหนึ่งชิ้น ทำให้ผมรู้สึกคุ้นชิ้นและคำพูดของป้าทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ฝันไป

วันนี้ผมออกจากบ้านไปทำงานด้วยหัวใจที่พองโต กะเอาไว้ว่าจะต้องเดินผ่านร้านเค้กที่ผมเข้าไปเมื่อคืนนี้ ผมตั้งใจเดินออกไปตามเส้นทางปกติที่ผมไปทำงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ที่ผมจำได้แม่นยำว่าเป็นสถานที่ที่มีร้านเค้กมาตั้งอยู่เมื่อคืน ปรากฏว่ามันกลายเป็นห้องแถวร้างที่ไม่มีสิ่งของใดๆอยู่ข้างใน ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานก็รู้ว่าเมื่อคืนคงเป็นคืนมหัศจรรย์สำหรับผม และคงมีจะมีแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มันเกิดขึ้นกับผมต่างหากล่ะ แม้จะแค่ครั้งเดียวในชีวิตแต่ผมก็จะไม่มีวันลืมมันไปได้อย่างแน่นอน