วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นายอินกับนายสม



นายอินและนายสมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นายอินไม่ค่อยจะชอบหน้านายสมเท่าไหร่นัก เพราะนายสมชอบเอารัดเอาเปรียบนายอินตลอดเวลา แต่ทั้งคู่ก็ยังคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน วันหนึ่งในขณะที่นายอินกำลังทำงานในร้านซ่อมรถของตัวเอง นายสมมาหาเขาตอนเย็นเพื่อชวนออกไปหาอะไรกินกัน
“ปิดร้านรึยัง” นายสมพูดเมื่อเขายืนอยู่หน้าร้านซ่อมรถของนายอิน
“ใกล้แล้ว อีกสิบนาที เดี๋ยวเช็ครถให้ลูกค้าก่อน” นายอินตอบ
“วันนี้ไปกินข้าวกันที่เดิมนะ”
นายอินรีบจัดการธุระของตัวเองในร้านให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไปยังร้านอาหารข้างถนน ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคิดเมนู นายสมก็พูดขึ้น
“สั่งเหล้ามากินซักกลมนึงมั้ย”
“ใครจ่าย” นายอินถาม
“ก็หารกันสิ เหมือนทุกครั้ง”
“ไม่เอาล่ะ ข้ากินน้อย กินทีไรก็เสียเปรียบแกทุกทีเลย”
“นี่กินเหล้าสังสรรค์นะเว้ย ไม่ใช่มาทำธุรกิจ จะมาคิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกัน” นายอินทำเป็นพูดเสียงเข้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แสงโสมกลมนึง โซดาสาม น้ำแข็งหนึ่ง”
นายอินได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนยอมรับชะตาที่ต้องจ่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับคิดอะไรได้ขึ้นมา
“กินเหล้าอย่างเดียวมันไม่อร่อย สั่งกับแกล้มด้วยละกัน หารกันนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบจากฝั่งตรงข้าม นายอินตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แกงส้มชะอมทอด เม็ดมะม่วงฯ ยำไข่เยี่ยวม้า ปลาทับทิมนึ่งบ๊วย”
เมื่อสั่งเสร็จนายอินแอบอมยิ้ม ต่างจากนายสมที่ทำสีหน้าไม่พอใจ
“สั่งมาทำมัยเยอะ ข้ากินไม่หมด” นายสมที่หุ่นผอมแห้งประเมินแล้วว่าเขาคงกินอาหารทั้งหมดนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่แน่ๆ
“งั้นเดี๋ยวข้ากินเอง” คนสั่งอาหารอาสา
บนโต๊ะที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งคู่ลงมือดื่มกินโดยพยายามเลือกดื่มกินในสิ่งที่ตัวเองถนัด เหมือนกับว่าต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบค่าเหล้าค่าอาหารที่จะต้องหารกัน นายสมก็พยายามดื่มเหล้าให้ได้มากกว่านายอิน และนายอินก็พยายามกินอาหารให้ได้มากกว่านายสม เพราะหากว่าต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเสียเปรียบแล้ว เขาคนนั้นคงจะนอนไม่หลับในคืนนี้อย่างแน่นอน

หลังจบจากร้านอาหาร คอทองแดงอย่างนายสมไม่รู้สึกเมาเพราะเหล้าไม่ถึงกลมอย่างแน่นอน ละคนที่หุ่นอ้วนเป็นช้างอย่างนายอินก็ไม่ได้รู้สึกแน่นอึดอัดกับอาหารที่ยัดเข้าไปในปากเลย เขาทั้งสองจึงคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ
“จ่ายค่าอาหารกันเสร็จแล้ว เราไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยมั้ย” นายอินพูดชวน
“ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกกริ่มๆ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ไปหาอะไรดูดีกว่า ไปตลาดนัดหน้าปากซอยมั้ย” นายสมเสนอ
“ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันไปจนถึงตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าวางขายของทั่วไป ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่ จนกระทั่งมาเจอกับร้านายของเล่น มีบางสิ่งในร้านนั้นที่ดึงดูดความสนใจจากนายอิน นั่นก็คือโมเดลรถยนต์โฟล์คสวาเก้นตั้งขายอยู่กลางร้าน มีป้ายแปะราคา 600 บาท
“เอ๊ะนั่น!” นายอินชี้ไปที่ของกลางร้านขายของเล่น นายสมหันมาสนใจกับท่าทีนั้น
“อะไร”
“โมเดลโฟล์คสวาเก้นปี 1967 เป็นของแท้จากประเทศเยอรมันที่เลิกผลิตไปนานแล้ว หายากมาก สงสัยคนขายจะไม่รู้เรื่อง มูลค่าของมันจริงๆ น่าจะหลายพัน”
นายอินยิ้มเหมือนรู้สึกโชคดีที่มาเจอของดี เขารีบเดินเข้าไปในร้านพร้อมควักกระเป๋าเงิน แต่พอเขาหยิบเงินออกมานับ ปรากฏว่ามีเงินแค่ 550 บาท นายอินจึงหันไปถามยืมเงินจากนายสมที่เดินตามมา
“มีให้ยืมห้าสิบบาทมั้ย” นายอินพูด
นายสมได้ยินดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาและหยิบธนบัตรออกมา 600 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“ยืมแค่ห้า...”
ยังไม่ทันที่นายอินจะพูดจบ นายสมก็ตรงเข้าไปยังของชิ้นนั้นพร้อมบอกเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อ คนขายรับเงินและยื่นโมเดลชิ้นนั้นให้นายสม
“ข้าจะซื้อไปเป็นของขวัญให้คนรู้จักพอดี” นายสมพูดพร้อมเดินตัวลอยออกไป
นายอินรู้สึกเจ็บแค้นมากแต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ได้แต่ก่นด่าสาปแช่งในใจแล้วก็เดินต่อไป ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายแสตมป์เก่าสะสม
นายสมเป็นคนชอบสะสมแสตมป์อยู่แล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน นายสมเลือกดูแสตมป์ในตู้กระจกโดยมีนายอินยืนดูอยู่ข้างๆ สักพักนายสมชี้แสตมป์ดวงหนึ่งให้เจ้าของร้านดู
“ผมสนใจดวงนี้ครับ”
เจ้าของร้านหยิบซองพลาสติกที่มีแสตมป์อยู่ในนั้นขึ้นมาวางบนตู้ตรงหน้านายสม
“ราคาเท่าไหร่ครับ” นายสมถามเจ้าของร้าน
“ดวงนี้ผมคิดให้พิเศษเลยครับ 500 บาท” เจ้าของร้านตอบ
นายสมหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า แต่ปรากฏว่าเหลือเงินแค่ 350 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบชิงพูด
“ผมก็สนใจเหมือนกันครับ 500 ใช่มั้ย” นายอินยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันที
“แกจะซื้อไปทำมัย เป็นนักสะสมเหรอ” นายสมรีบพูดดักคอก่อนที่เจ้าของร้านจะรับเงินจากนายอิน
“ก็ซื้อไปดูเล่นน่ะ”
นายอินตอบหน้าตาเฉย แต่คำตอบนั้นเหมือนจะทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจเท่าไหร่ นายสมเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“เพื่อนผมคนนี้มันบ้า ชอบซื้ออะไรไปเก็บไว้จนรกบ้านไปหมด เชื่อเถอะ ได้แสตมป์ดวงนี้ไป อาทิตย์หน้าไปถามก็หาไม่เจอแล้ว”
นายสมพูดจบก็หัวเราะเยาะเล็กน้อยสร้างความอับอายให้นายอิน จากนั้นนายสมก็แสดงตัวกับคนขายว่าเขาคือนักสะสมตัวจริง และยังเล่าประวัติของแสตมป์ดวงนั้นได้อย่างเหมือนผู้รู้จริง เขายังแสดงความจำนงที่ต้องการแสตมป์ดวงนั้นไปรวมในคอลเลคชั่นสะสมของเขาให้เจ้าของร้านฟัง
เจ้าของร้านรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่นายสมพูดจึงยอมลดราคาแสตมป์ดวงนั้นให้เท่ากับเงินในกระเป๋าของนายสม ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยมีสีหน้าของนายสมที่เป็นเหมือนผู้ชนะและนายอินมีสีหน้าของผู้แพ้อีกตามเคย

ในมุมๆ หนึ่งของตลาด มีชายคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน เขานั่งบนเก้าอี้เหล็กและมีโต๊ะเหล็กตรงหน้าเขาอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะมีลูกแก้วขนาดเท่าผลส้มโอวางอยู่บนถาด ไม่มีป้ายบอกว่าเขาทำอะไร ทำให้ไม่มีใครในตลาดนี้สนใจเขาเลยสักคน ยกเว้นนายอินและนายสมที่เดินผ่านมาพอดี
“นั่นเขาทำอะไรน่ะ เป็นหมอดูหรือเปล่านะ” นายอินพูดขึ้นมา
“ลองเข้าไปถามกันเถอะ” นายสมพูดเสร็จก็เดินตรงเข้าไปที่ชายกับลูกแก้ว “ดูดวงหรือเปล่าครับ”
ชายในชุดภูมิฐานหลังลูกแก้วยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้โชคดี ข้าจะให้พรวิเศษกับเจ้าทั้งสองคน”
สิ้นเสียงคำพูดของชายลึกลับคนนั้น นายอินและนายสมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ภาพใบหน้าของผู้ยื่นข้อเสนอยังคงยิ้ม จากนั้นไม่นาน มีเงินก้อนโตปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ทั้งคู่เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นอ้าปากค้าง
“เอาเงินไปสิ คนละกอง” ชายที่นั่งอยู่พูด
ทั้งสองทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบเงิน แต่ก็มีเสียงทักขึ้นมา
“แต่เดี๋ยวก่อน ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะหยิบเงินก้อนนี้ไป และก็คงจะใช้หมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือพวกเจ้าจะขอพรวิเศษอะไรก็ได้จากข้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สบายไปตลอดชีวิต”
ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สายตาประสานกันของทั้งคู่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด ทั้งสองจึงพูดออกมาพร้อมกัน “งั้นเลือกขอพรวิเศษดีกว่า”
“พวกเจ้าทั้งสองฉลาดมาก พรที่ข้าจะให้นั้นจะมาจากคำขอของพวกเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น และอีกคนก็จะได้รับพรที่เหมือนกัน”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอีกครั้ง แต่เงื่อนไขนี้คงไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกลำบากอะไร จึงพูดออกมาพร้อมกัน “ครับ”
“แต่ยังไม่หมด” เจ้าของพรวิเศษทำเสียงเข้มจนทำให้นายอินและนายสมแปลกใจ “คนที่ไม่ได้ขอพรวิเศษจะได้รับพรเป็นสองเท่าของคนที่ขอพรวิเศษ พวกเจ้าไปตกลงกันมาว่าใครจะเป็นคนขอพร”
นายอินและนายสมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับเงื่อนไขนี้ พวกเขาทั้งสองออกมาคุยกัน นายอินรู้ดีอยู่ว่าตัวเขาเองอยากได้พรมากกว่านายสมเป็นสองเท่า เขาไม่อยากให้นายสมได้พรมากกว่าเขา หากเขาขอเงินหนึ่งพันล้าน นายสมก็จะได้เงินสองพันล้าน นายอินรู้สึกว่าหลายครั้งที่ถูกนายสมเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ เขาเป็นลูกไล่ลูกชนนายสมมาตลอดหลายปีมาแล้ว หากครั้งนี้นายสมสุขสบายกว่าเขาเป็นสองเท่า นั่นก็คงจะทำให้นายอินรู้สึกเจ็บแค้นไปตลอดชีวิต
เช่นเดียวกันกับนายอิน นายสมก็อยากได้พรเป็นสองเท่าของนายอิน บ่อยครั้งที่นายสมมักจะสร้างสถานการณ์ที่ถือไพ่ให้เหนือกว่านายอิน และครั้งนี้เขาก็พยายามพูดจาหว่านล้อมให้นายอินเป็นคนขอพรวิเศษ นายอินจึงต้องเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะของชายผู้ที่ว่าจะให้พร

เวลาผ่านไปไม่นาน นายอินเดินออกมายังจุดที่นายสมยืนอยู่ห่าง สีหน้าของผู้ได้รับพรยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ
“ว่ายังไงบ้างพ่อเศรษฐีใหม่ ขอพรอะไรไปเหรอ” นายสมยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงหัวเราะอย่างสะใจเล็ดลอดออกมาจากปากของนายอินแม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้
“ข้าขอให้ตัวเองตาบอดหนึ่งข้าง”
มาถึงตรงนี้นายอินไม่สามารถกักเก็บเสียงหัวเราะอย่างสะใจไว้ได้อีกแล้ว


ผู้ชาย 3 บาป


บาปสวาทของคนเจ้าชู้
ผมพยายามซ่อนสายตาตัวเองไม่ให้แช่ไปที่หญิงสาวผมยาวใส่แว่นกรอบหนานานเกินไปจนอาจจะทำให้เธอรู้ตัว สาวสวยคนนั้นเป็นพนักงานใหม่ที่มานั่งถัดจากโต๊ะทำงานของผมไปสามโต๊ะ ใบหน้าขาวสะอาดบวกกับดวงตาคู่นั้นทำให้ใจของผมกระชุ่มกระชวยตลอดวัน ความน่าเบื่อหน่ายในงานบัญชีที่ซ้ำซากจำเจทุกวี่ทุกวันไม่เป็นอุปสรรคให้ผมไม่อยากเดินเข้าออฟฟิศ เมื่อคิดว่าจะได้มาเจอเธอ
สายสุนีย์เป็นชื่อของเธอและผมจะจดจำมันไว้ไม่ลืมเลือน เธอเพิ่งเรียนจบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับเท่าไหร่ไม่รู้จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ผมไม่คิดจะเชิดชูความสามารถอะไรของเธอหรอก งานในออฟฟิศแบบนี้ใคร ๆ ก็สามารถทำได้หากฝึกงานมากพอ แต่ผมแอบปลื้มความสวยจากใบหน้าของเธอรวมถึงทรวดทรงที่ดูโอเวอร์ไซส์ทั้งบน กลางและล่างของเธอต่างหากล่ะ ผมแอบสังเกตบรรดาผู้ชายในออฟฟิศนี้ทั้งหนุ่มแก่ต่างก็แอบมองเธอทั้งสิ้น ทำไมผมจะไม่รู้ความคิดของคนเหล่านั้น ผู้ชายที่ไหนก็มักจะคิดคล้าย ๆ กันแหละ
แต่ผมคิดว่าผมได้เปรียบพวกเสือแก่และสมันน้อยตัวผู้ที่หวังจะมางาบแม่เนื้อทรายขาวอวบของผมไปได้ เพราะผมนั้นเป็นถึงผู้จัดการแผนกบัญชี และพนักงานใหม่คนนี้ก็เป็นเด็กฝึกงานในแผนกของผมเอง ผมคงจะสามารถทำความสนิทสนมและจะได้อยู่ใกล้ชิดเธอมากกว่าใคร ๆ ในที่นี้ บางทีผมอาจจะหยั่งเชิงโดยใช้คำพูดแทะโลมเธอดูว่าเธอจะเล่นด้วยหรือไม่ และอาจจะแกล้งทำเป็นแตะเนื้อต้องตัวเธอดูสักหน่อย แค่คิดถึงเนื้อนิ่ม ๆ ดูเต็มไม้เต็มมือของเธอแล้วก็ทำให้เลือดผมสูบฉีดทั่วเรือนร่าง
ผมจะพยายามโปรโมทเธอให้ดูว่ามีแววในการทำงาน จะทำให้เธอดูโดดเด่นกว่าเด็กฝึกงานอีกสองคนที่คนหนึ่งเป็นหนุ่มเด็กเนิร์ดอ้วนเตี้ย ผมหยิกหยอยหน้าสิวใส่แว่นตาทรงหยดน้ำไม่เข้ากับใบหน้า อีกคนหนึ่งเป็นตุ๊ดท่าทางเรียบร้อยดูมีความสามารถมาก แต่ผมคงจะไม่ทุ่มเทสอนงานให้คนเก่งหรอก ผมจะดันสายสุนีย์ให้หนักเลยต่างหากล่ะ ผมจะทุ่มเทสอนงานให้เธออย่างหนัก ไม่แน่นะผมอาจจะสอนงานให้เธอนอกเวลาด้วยก็ได้ ผมไม่เกี่ยงหรอก
แต่ตอนนี้ผมยังออกลายมากไม่ได้เดี๋ยวงูตื่น ผมต้องทำตัวให้เธอไว้ใจเสียก่อน หากมองเธอมากไปจะทำให้เธอรู้ตัวและเธออาจจะสร้างกำแพงอะไรสักอย่างมากั้นกลางระหว่างเราสอง หากมันเป็นแบบนั้นจริง แผนการที่ผมคิดจะแอ้มเธอนั้นคงไม่สำเร็จได้โดยง่าย

แม้ผมจะทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกในบริษัทที่ดูมั่นคง รายได้ต่อเดือนก็ปริ่ม ๆ แสน แต่ผมก็พยายามทำตัวให้เหมือนกับคนทั่วไปที่เงินเดือนหมื่นสองหมื่น นั่นคือผมจะเดินทางมาทำงานและกลับบ้านด้วยรถเมล์ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่ารถเมล์ช่วงก่อนเข้างานและหลังเลิกงานจะอัดแน่นไปด้วยคน และตึกสูงสามสิบชั้นที่ผมทำงานอยู่ก็มีแต่สาว ๆ ออฟฟิศกันทั้งนั้น ดังนั้นในรถเมล์หนึ่งคัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีสาว ๆ สวย ๆ สักสี่ห้าคนบนรถเมล์อย่างแน่นอน
ในตอนเช้าเมื่อผมเดินขึ้นบันไดรถมา สายตาเหยี่ยวของผมมองไปปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผมควรจะไปยืนตรงไหน แน่นอนว่าผมต้องทำเนียนไปยืนตรงข้างหญิงสาวสวย หรือบางวันโชคดีหน่อยอาจจะมีเด็กนักเรียนหน้าตาน่ารักยืนอยู่บนรถก็ได้ เมื่อผมไปยืนข้าง ๆ เธอ และเมื่อผู้โดยสารเริ่มเยอะขึ้น ผมก็จะได้เขยิบเข้าไปใกล้ชิดเธอด้วย ในจังหวะที่รถออกตัว บางทีข้อศอกของผมอาจจะไปสะกิดโดนเนื้อที่บนตัวเธอก็เป็นได้ หรือเมื่อรถเมล์เบรกแรง ๆ ต้นขาของผมก็อาจจะโน้มไปโดนส่วนสะโพกของพวกเธอ
ในตอนเช้ากลิ่นตัวของเหล่าสาว ๆ มักจะสดชื่นจากครีมอาบน้ำผสมน้ำหอม กลิ่นนี้แหละที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าได้ดีกว่ากาแฟเอสเปรสโซ่รสชาติเข้มข้นเป็นไหน ๆ ผมโปรดปราณรสสัมผัสนี้มากจนคิดว่าต้องตักตวงความหอมนี้ไว้ให้มากที่สุด เหมือนกับมันเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดไป ส่วนกลิ่นของผู้หญิงในตอนเย็นนั้นก็ให้สัมผัสของรสชาติที่ต่างกันออกไป มันเป็นกลิ่นของเหงื่อไคลที่ดึงดูดความสนใจของผมได้ดียิ่งนัก ความรัญจวนใจยามสูดกลิ่นแสนวิเศษนี้คงจะเหมือนกับสารฟีโรโมนของแมลงที่สร้างมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นอยากจะดึงดูดผมกันแน่นะ

เป็นธรรมดาของพนักงานออฟฟิศที่มักจะออกเที่ยวในคืนวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมมักจะรวมตัวกับเพื่อนอีกสองคนไปนั่งร้านหรู ๆ ดื่มอะไรเบา ๆ แกล้งทำเป็นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนด้วยประโยคคำถามสั้น ๆ และประโยคคำตอบที่สั้นกว่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ความจริงแล้วจุดประสงค์ของพวกเราก็คือมานั่งมองสาว ๆ ที่เข้ามานั่งในร้านต่างหากล่ะ
หญิงสาวหลายคนไม่ซ้ำหน้าในแต่ละอาทิตย์ต่างวนเวียนกันมาเพื่อเป็นอาหารตาชั้นเลิศให้พวกผม หลายครั้งพวกเราต่างผลัดกันโชว์ฝีมือ หากวันไหนฟลุ๊ค ๆ ก็อาจจะได้หญิงสาวติดไม่ติดมือไปก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะผมมักจะตกลงกับพวกเธอเหล่านั้นแล้วว่าความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ชั่วคราว ผมจะไม่ยอมให้สาว ๆ ประเภทนี้มาสร้างภาระผูกพันให้กับผมหรอก นั่นก็เพราะว่าผมต้องกลับบ้านในทุก ๆ คืนเพื่อไปดูแลภรรยาสาวแสนสวยของผมยังไงล่ะ
ละอองดาวคือภรรยาที่อายุอ่อนกว่าผมไปเกือบสิบปี เนื้อตัวเธอยังหลงเหลือความสาวไว้ให้ผมได้ลิ้มลองไปอีกนาน เราช่วยกันผ่อนคอนโดราคากลาง ๆ เพื่อไว้เป็นที่อยู่อาศัย เธอทำงานฟรีแลนซ์พวกออกแบบตกแต่งอะไรสักอย่างนี่แหละ
อย่างที่บอกว่าผมต้องกลับมาหาเธอทุกคืน และยังมอบรสสวาทให้เธออย่างเต็มอิ่มทุกครั้งก่อนนอนโดยไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว นั่นอาจเป็นเพราะผมต้องการปลดปล่อยอารมณ์จากภาพสาว ๆ ที่ผมเห็นในทุกวัน กลิ่นตัวของพวกเธอเหล่านั้นช่างเย้ายวนให้ผมค่อย ๆ สะสมความกำหนัดที่อยากจะแสดงออกในเรื่องนี้ รวมถึงเมื่อผมได้แอบไปสัมผัสเนื้อตัวพวกหญิงสาวที่พบเจอ มันเหมือนกับระเบิดภูเขาไฟที่เริ่มประทุขึ้น ๆ จนผมต้องระเบิดมันออกมาทุกวัน ๆ

วิถีชีวิตแบบนี้ผมพยายามทำให้มันดำเนินต่อไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้มันกระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยไม่จำเป็น ผมไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจผมมานานหลายวันแล้วก็คือ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเดินออกไปข้างหลังระเบียงห้อง พอมองไประเบียงของห้องข้าง ๆ ผมเห็นกางเกงในผู้หญิงสีชมพูมีลายน่ารัก ๆ พาดไว้กับเหล็กกั้นตรงระเบียง และในเวลานั้นมันดึกแล้ว ผมจึงแอบใช้ด้ามไม้ถูกพื้นแอบสอยมันมาสำรวจดู ผมใช้มือขยี้กางเกงในผืนนั้นและจับมันยัดจมูกผมพร้อมสูดดมมันเต็มลมหายใจ
อารมณ์ความเสียวซ่านมันโผล่มาอีกแล้ว ทุกอณูสัมผัสในร่างกายของผมถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นสาวจาง ๆ ที่ยังคงหลงเหลือแม้จะถูกซักล้างด้วยผงซักฟอก ผมคงจะบ้าตายแน่ ๆ ถ้าหากไม่ได้ไปทำความรู้จักกับสาวข้างห้องที่ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่เซ้นส์เรื่องการดมกลิ่นของผมที่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ผมพอเดาอายุของเธอและรูปร่างหน้าตาของเธอได้ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน

บาปสวาทของชายสำนึกผิด
เป็นเรื่องที่แปลกดีที่จะมีใครมานั่งดื่มกินในร้านเหล้าคนเดียวในบรรยากาศที่ครึกครื้นสนุกสนาน ผมมานั่งที่นี่ก็เพราะเธอ แต่ว่าผมไม่ได้มานั่งรอเธอหรอก ผมแค่มารำลึกถึงความหลังที่เคยมาที่นี่กับเธอ
สายสุนีย์เป็นหญิงสาวที่ดีกับผมมาก ๆ เราคบกันตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย เพราะเธอผมจึงเลิกเป็นเด็กเกเรหันมาตั้งใจเรียนหนังสือจนจบได้ และที่สอบเข้ามหาลัยได้ก็เป็นเพราะการคะยั้นคะยอให้ผมอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะเดียวกับที่เธอเรียน และก็เป็นเธออีกที่ทำให้ผมเรียนจบด้วยคะแนนค่อนข้างจะดี ผมยอมรับได้อย่างไม่อายปากเลยว่าถ้าไม่มีเธอ ผมก็คงไม่ได้มายืนตรงจุดนี้ อย่างดีที่สุดผมก็เป็นได้แค่เด็กเข็นผักในตลาด หรืออาจจะเป็นได้แค่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตลาด
ความดีของเธอนั้นมากมายเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจะมีให้กันได้ ในยามที่ผมป่วยก็เป็นเธอนี่แหละที่คอยดูแลหาหยูกหายาป้อนข้าวป้อนน้ำ ความดีที่เธอมีให้ผมนั้นมันมีค่ามากกว่าคำว่าคู่ชีวิตเสียอีก หากผมได้แต่งงานกับเธอ สายสุนีย์ก็จะเป็นภรรยาที่แสนวิเศษคนหนึ่งที่ชายหลายคนต่างไขว่คว้าหา แต่ทว่าผมและเธอก็ไม่ใช่คู่ชีวิตกัน หากว่ามีการจับคู่มาแล้วจากพรหมลิขิตนะ
เมื่อผมเรียนจบออกมาก็เริ่มหางานทำ ในตอนนั้นเรายังคบกันอยู่อย่างเปิดเผย เธอได้งานที่ดีทำเพราะคะแนนเกียรตินิยมของเธอจากมหาลัยที่มือชื่อเสียง แม้จะอยู่ในขั้นทดลองงานในแผนกบัญชี แต่เธอก็ได้ค่าตอบแทนสูงมากเพราะบริษัทที่เธอทำงานนั้นใหญ่โต ผมเริ่มรู้สึกละอายที่จะขอความช่วยเหลือจากเธออีก ผมจะกล้ามองหน้าใครได้เล่าว่าเกาะผู้หญิงกินเพราะผมยังตกงาน ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนสำหรับสองคนมันคงดูลำบากเมื่อเงินนั้นมาจากเธอคนเดียว และสิ่งนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจตีตัวออกห่างจากเธอ
ผมไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเธอเศร้าโศกเสียใจ สายน้ำตาใส ๆ ของเธอคงจะทิ่มแทงจิตใจของผมให้ดำดิ่งลงไปความกับเลวทรามในครั้งนี้ ผมเก็บข้าวของออกจากห้องพักเล็ก ๆ ที่เธอเป็นผู้เช่าในขณะที่เจ้าของห้องออกไปทำงาน ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ทันทีเหมือนกับตัดทิ้งอดีตที่ผมอยากหลบหนี ผมอยากจะหลบหนีอดีตที่ดูน่าอดสูนี้ไปสู่โลกใบใหม่ของผมที่ดูมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีกว่าเดิม
ละอองดาวคือหญิงสาวคนใหม่ที่อายุแก่กว่าผมไปกว่าสิบปี แต่เพราะเธอยังดูสาวสวยและเก่ง ทำให้ผมพร้อมที่จะยอมรับใช้เธอโดยการแลกกับค่าตอบแทนที่ดูสมน้ำสมเนื้อนี้
เธอทำงานด้านการออกแบบและจัดงานอีเวนท์ ซึ่งผมเข้ามาช่วยงานเธอในฐานะเลขาหนุ่มไฟแรงดูกระฉับกระเฉง แม้ในช่วงปีแรก ๆ ผมจะยังไม่เป็นงาน แต่ด้วยการคลุกคลีกับแวดวงธุรกิจบวกกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของผม จึงทำให้หลาย ๆ คนต่างไว้ใจให้ผมทำงานชิ้นสำคัญ โดยเฉพาะละอองดาวที่โปรโมทผมอย่างออกนอกหน้านอกตาจนผมเลื่อนขึ้นมาเป็นมือขวาของเธอในที่สุด
ทั้งรถยนต์ป้ายแดงเธอก็เป็นคนผ่อน อพาร์ทเมนท์ที่ดูกว้างขวางและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเธอเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้ ผมสามารถมีเงินไปกินร้านอาหารหรู ๆ ได้ไม่อายใคร ผมสามารถพาครอบครัวเดินทางไปเที่ยวได้เหมือนครอบครัวอื่น ๆ ผมมีเงินส่งให้พ่อแม่ได้คงจะทำให้ผมดูเป็นลูกกตัญญูบ้าง
ผมไม่ขัดเขินหรอกที่จะบอกว่าในบางครั้งที่ผมติดตามละอองดาวไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะต้องตอบแทนเธอด้วยการเป็นคู่นอนให้เธอ นั่นไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรหรอก ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องตอบแทนเธอบ้างแค่นั้นเอง

แต่ความเคยชินในการใช้ชีวิตที่เป็นแบบคนชั้นกลางทั่วไปสำหรับผมมันคงดูน่าเบื่อแล้วล่ะ ชีวิตที่ไร้สีสันแม้จะสุขสบายแต่ก็ดูจืดชืด ผมอยู่ในแวดวงธุรกิจนานพอที่จะทำให้รู้จักผู้คนมากมายหลากหลายชนชั้น ดลฤดีคือเศรษฐีนีตัวจริง เธอเป็นหม้าย แม้เธอจะแก่กว่าผมถึงสามสิบปี แต่ในยุคสมัยนี้ที่เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคต่อการคบหา และยิ่งผมฝันถึงการใช้ชีวิตแบบหรูหราเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป การได้นั่งเรือยอร์ชลำใหญ่ออกทะเลในฐานะเจ้านายที่มีคนนับสิบมาคอยบริการ อาหารดี ๆ ราคาแพง ๆ ในภัตตาคารชั้นหนึ่งคงจะมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้สัมผัส ชีวิตในฝันที่ใคร ๆ หลายคนคงได้แค่ฝัน แต่ผมนั้นมีโอกาสที่จะได้สัมผัสมันแล้ว
ผมไม่รู้สึกเสียดายรถกระป๋องที่ขับไปทางไหนก็จะเจอแต่พวกเดียวกันหรอก ห้องอพาร์ทเมนท์มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่มีทุกอย่างอยู่ในนั้น ผมไม่แม้แต่จะเขียนใบลาออกจากบริษัทของละอองดาว

บาปสวาทของชายบนหอคอย
บางทีผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อบนโลกนี้ไปเพื่ออะไร ผมไม่มีความท้าทายอะไรใหม่ ๆ เลยในชีวิต หลังจากที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มาแล้วอย่างมากมาย ธุรกิจโรงแรมที่มีสาขาเกือบจะทุกจังหวัดก็ให้ผลตอบแทนมากมายจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร พอร์ทหุ้นนี่แค่เทขายให้หมดก็สามารถซื้อกิจการขนาดกลางได้อย่างสบาย ๆ หนึ่งแห่ง ไม่นับรวมพวกธุรกิจขายปลีกยานยนต์ที่ผมผูกขาดตลาดในจังหวัดใหญ่ ๆ ไว้หมดแล้ว
ในทุก ๆ เช้าผมตื่นมาเปิดดูราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีใจตื่นเต้นอะไร ผมแค่เปิดดูมันเพราะเป็นความเคยชินที่ทำแบบนี้ทุกเช้ามากว่า 40 ปีแล้ว และถึงแม้พวกหุ้นเหล่านี้จะดิ่งลงเหวแค่ไหน ผมก็คงไม่สะทกสะท้านอะไรกับมัน ผมยังเบื่อหน่ายธุรกิจโรงแรมที่มีแต่สร้างผลกำไรด้วยตัวเลขเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยอดขายรถก็ยังขายได้เรื่อย ๆ แม้ว่าผมจะโก่งราคาขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตาม ความท้าทายในชีวิตของผมมันผมมันหมดลงไปแล้ว และผมยังเบื่อเมียของผมอีกด้วย
เมียของผมเป็นหมัน เราจึงไม่มีทายาททางธุรกิจ ผมไม่มีญาติอะไรที่ไหนที่จะมารับช่วงต่อทางธุรกิจได้เลย  มีแต่ญาติทางเมีย ดังนั้นเมื่อผมเสนอจะยกธุรกิจทั้งหมดให้เมีย รวมถึงพอร์ททั้งหมดให้เธอครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เมียของผมจึงรีบรับข้อเสนอหย่าโดยไม่มีการง้องอนอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ผมหย่ากับเธอโดยไม่มีกรรมสิทธิ์อะไรเป็นของผมเลย มีแต่ทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ติดตัวมารวม ๆ ก็เกือบร้อยล้านได้
ความท้าทายใหม่ของผมในตอนนี้คือ ผมอยากจะไปทำธุรกิจเล็ก ๆ ตามจังหวัดที่ติดเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 30 จังหวัด ผมอาจจะลงทุนที่ละ 3 ถึง 5 ล้านบาทแล้วแต่สถานที่ ผมจะใช้ประสบการณ์ที่ผมมีในการทำโฮมสเตย์ขนาดกลาง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะไหลทะลักเขามาตามแนวชายแดน
กลยุทธ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผมคือ ในทุกที่ที่ผมไปลงทุน ผมจะหาผู้หญิงสาวมาทำเมียเพื่อคอยดูแลธุรกิจใหม่ที่ผมสร้างขึ้น เผื่อบางทีพวกเธอเหล่านั้นอาจจะสร้างทายาทของผมขึ้นมาและสืบทอดธุรกิจเล็ก ๆ นั้นก็เป็นได้
การมีเมียพร้อมกันทีเดียวถึง 30 คน และต้องคอยบริหารเวลาให้เท่าเทียมกันเป็นความท้าทายใหม่ของผมที่น่าตื่นเต้น ผมคิดว่าดลฤดีเมียเก่าของผมคงจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเราต่างก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไปแล้ว หากเธอจะมีผู้ชายคนใหม่อีกกี่คนก็เป็นเรื่องของเธอเอง