วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กรง



วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมา ผมเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังเด็ก ว่าทำไมคนเรายิ่งอยู่ไปๆก็ยิ่งมีอิสรภาพที่น้อยลง ในครั้งที่เรายังเล็ก เราได้วิ่งเล่นสนุกสนานตามแต่ที่ใจเราจะปรารถนา ไม่ว่าจะในทุ่งกว้างใหญ่หรือในแม่น้ำสุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง พอโตมาหน่อยเราถูกส่งไปโรงเรียนก็เริ่มมีกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังพอรับได้ ยิ่งเรียนสูงขึ้นๆก็เหมือนโลกที่เคยกว้างกลับกลายเป็นกรงที่แคบลงๆจนเราไม่รู้จะเดินไปทางไหน จวบจนกระทั่งเมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยผมคิดว่ากรงนั้นได้แตกสลายปลดปล่อยผมให้โบยบินออกไปอย่างอิสระ แต่ผมเริ่มจะรู้แล้วว่าผมคิดผิด
ผมอยู่ในขบวนรถไฟฟ้าในรอบขบวนที่แออัดที่สุดของวัน ดูชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมสิ กางไหล่กว้างไม่เผื่อแผ่ที่ให้คนอื่นเลย ยายคนข้างหลังถือของพะลุงพะลังจนปลายแหลมของร่มแทบจะทะลุคอของผม และถุงผ้าของป้าที่อยู่ข้างๆก็บดบังที่ยืนของผมจนผมยืนไม่เต็มสองเท้าดีนัก นี่แค่บนตู้รถไฟฟ้าก็ทรมานขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบนรถเมล์ที่ผมต้องต่อไปให้ถึงตึกที่ทำงานอีก ยังครับนี่มันแค่กรงใบแรกสำหรับวันนี้ที่ผมจะเจอ ยังมีกรงอีกหลายใบที่รอผมอยู่

ในที่สุดผมก็ตอกบัตรเข้าทำงานตรงเวลา ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานของผมที่ถูกแบ่งด้วยพาร์ติชั่นให้เป็นสัดส่วน  ซึ่งบางคนเรียกมันว่า 'คอก' ผมคิดว่าคำว่าคอกนี่ชัดเจนดีนะครับที่จะบอกว่าไอ้แผ่นกระจกหนาๆที่ล้อมเรารอบข้างเนี่ย เพื่อให้เราติดต่อกับคนภายนอกได้ยากยิ่งขึ้น ยกเว้นกับคนบางพวก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
นักวิเคราะห์ระบบที่อายุแก่กว่าผมแค่ 5 ปีมักจะชอบใช้ให้ผมไปนู่นไปนี่ ก็แค่มีตำแหน่งงานที่สูงกว่าผม อาวุโสกว่าผมก็ทำเป็นวางมาด
"ได้ครับพี่พล"
แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ทำงานที่นี่ต้องใช้ระบบอาวุโส ผมรีบลงไปซื้อทันทีเพื่อให้รีบกลับมาแก้ไขงานทันก่อนจะมีพรีเซนท์เช้านี้
ผมกลับมาแก้ไขโค้ดของโปรแกรมที่ปรับเปลี่ยนตามรีไคว์เมนท์ของระบบ ตามที่ผู้วิเคราะห์ระบบนักสูบคนนั้นสั่งให้ผมแก้ไขอย่างเร่งด่วน ผมคิดถึงคำพูดเมื่อวานตอนเย็นระหว่างเรา 2 คนได้อย่างแม่นยำนัก
"ลูกค้าต้องการแบบนี้นี่ครับ ผมสร้างโปรแกรมตามที่พวกเขาต้องการแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ นี่ไงครับเอกสารความต้องการของลูกค้า"
"เอ๊ะ ! นี่แกเป็นคนไปเก็บข้อมูลมาเหรอถึงได้รู้ดีกว่าพี่ ก็เมื่อเช้านี้พี่ไปคุยกับลูกค้าเอง สั่งให้แก้ก็แก้ไปเหอะน่า แก้ตอนนี้ให้เสร็จ ถ้าวันนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้เช้ามีเวลาถึง 10 โมงก่อนนำเสนองานให้ลูกค้า"
"ได้ครับพี่"
ยังพอมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงครับสำหรับแก้โค้ด ประโยชน์ของคอกที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือมันช่วยทำให้เรามีสมาธิดีเหมือนกันนะครับเนี่ย


ในห้องประชุม
"เดี๋ยวๆ คราวแล้วเราไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่ครับคุณพีรพล เราตกลงกันตามเอกสารเล่มนี้แล้วนี่ครับ โปรแกรมทำงานยังไม่สมบูรณ์ก็ยิ่งเสียเวลาผมอีก"
ลูกค้ามองดูการทำงานของโปรแกรมที่ผมเขียนผ่านจอโปรเจคเตอร์ในห้องประชุม พลางก้มดูเอกสารเล่มเดียวกันกับที่อยู่ในมือของผมด้วย ผมคิดไว้แล้วว่าพี่พลสั่งให้ผมแก้โปรแกรมเพราะตัวแกเข้าใจผิดเอง
"ไหนครับ ผมขอดูเอกสารก่อน"
พี่พลก้มดูเอกสาร
"อ้อ จริงด้วยครับคุณทวีกานต์ ผมต้องขอโทษคุณแทนลูกน้องผมด้วย ผมอธิบายไปตามนั้นอย่างชัดเจนแล้ว แต่แกคงเข้าใจผิด เดี๋ยวผมจะรีบแก้ไปเลยนะครับ ทันเย็นนี้แน่เราจะได้ไปทำเฟสอื่นต่อไป"
ผมถึงกับหน้าชาในสิ่งที่พี่พลพูดกับลูกค้า แกพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตาผมสักครั้งเดียว การนำเสนองานในเช้าวันนั้นก็จบลงด้วยคำสั่งของพี่พลที่ให้ผมไปแก้งาน

หลังเลิกงานแล้วผมก็ต้องย้อนกลับเข้าไปสู่กรงใบเมื่อเช้านี้อีกครั้ง ทั้งในรถเมล์และรถไฟฟ้า ผมกลับมาถึงห้องพักของผมซึ่งก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากนัก จะว่าไปห้องเช่าของผมก็เหมือนกรงดีๆนี่เอง เพียงแต่ว่าผมไม่คิดว่านี่คือกรง เพราะว่าในห้องแคบๆนี้ผมยังมีอิสรภาพมากกว่าตอนที่อยู่นอกห้องเป็นไหนๆ จะนั่งจะนอน ดูทีวีกินนู่นกินนี่ เข้าอินเตอร์เน็ทผมก็ทำได้อย่างสบายใจ หรือแม้แต่ผมจะเอาอาหารให้เจ้ากระรอกของผมที่อยู่ในกรง
ผมซื้อเจ้า 'ลักกี้' มาจากเพื่อนที่บ้านของมันเพาะพันธ์กะรอกขาย ตอนที่เจ้าลักกี้อยู่กับแม่และพี่น้องของมัน มันดูร่าเริงสดใสน่ารักมาก ซึ่งแตกต่างกับในตอนนี้ที่ผมเอามันมาใส่ในกรงได้เกือบจะ 2 ปีแล้ว มันดูเหงาและเศร้าเมื่อสังเกตจากแววตาและท่าทางของมัน ผมยื่นมือเข้าไปในกรงพร้อมอาหารเม็ดจำนวนหนึ่ง
"โอ๊ย !!"
เจ้าลักกี้มันเข้ามากัดที่นิ้วผม มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย หรือมันจะบ้าไปแลัวกันแน่ หรือว่ามันอาจจะเครียดจากการถูกขังเป็นเวลานาน จะว่าไปแล้วเจ้าลักกี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากผมเลย อยู่ในกรงมาเกือบทั้งชีวิต และก็คงต้องอยู่ต่อไป ผมเริ่มคิดถึงชีวิตที่อิสระไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจใคร อยากจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่ใจเราต้องการ นั่นมันคงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆของผมต่อไป

และเช้าวันนี้ก็เป็นเหมือนกับเช้าของทุกๆวันที่ต้องไปทำงาน ชีวิตแบบนี้ถูกออกแบบมาให้ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบนรถไฟฟ้าและรถเมล์ ผมตอกบัตรเข้างานทันเวลาและวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานในคอกของผม
"อภิชาตลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อยสิ"
เสียงของนักวิเคราะห์ระบบตะโกนสั่งให้น้องฝึกงานที่เดินผ่านหน้าแกพอดี ผมเห็นน้องฝึกงานหยุดยืนมองหน้าผู้ออกคำสั่ง ก่อนจะพูด
"ผมมาฝึกงานในตำแหน่งคีย์ข้อมูล ไม่ใช่มีหน้าที่ซื้อบุหรี่"
น้องคนนั้นพูดเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่สนใจพี่พลและพนักงานคนอื่น ที่ต่างหันมามองเหตุการณ์นี้ ไม่เว้นแม้แต่ผมที่ก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง สักพักพี่พลตะโกนเรียกใช้งานผมทันที
"เอ้า เจ้าเมธีก็ได้ ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
สิ้นเสียงนั้นผมรีบทำตามคำสั่งทันที 

ในตอนกลางวัน ผมเดินไปหาน้องฝึกงานคนนั้นและถามถึงเรื่องเมื่อเช้า ที่ไม่ยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่พล
"โธ่พี่ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ทำไมเราต้องทำด้วยล่ะ"
"น้องก็พูดได้สิ เพราะเป็นแค่เด็กฝึกงาน เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่พี่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และนั่นเป็นหัวหน้าสายตรงของพี่ เขามีสิทธ์เลือกลูกน้องยังไงก็ได้ ถ้าพี่ไม่เอาใจแกก็อาจจะไม่ได้งานทำ"
"มันก็จริงของพี่"

เย็นวันนั้นผมมายืนรอรถเมล์ที่หน้าตึก เมื่อขึ้นรถผมเห็นผู้หญิงสาวสวยอยู่บนนั้นแล้ว เธอช่างน่ารักถูกใจผมจริงๆ แต่ผมคงไม่กล้าที่จะเข้าไปทักทายเธอหรอก ผมแอบมองเธอเป็นระยะโดยไม่ให้ผิดสังเกต เมื่อมาถึงป้ายที่จะไปต่อรถไฟฟ้า เธอก็ลงป้ายเดียวกับผมเพื่อไปขึ้นรถไฟ ผมแอบเดินตามเธอไป
วันนี้เป็นวันที่ผมโชคดีจริงๆ บนขบวนรถไฟฟ้าที่แออัด ผมบังเอิญยืนอยู่ชิดกับเธอคนนั้นพอดี บางครั้งแขนของผมก็ไปสัมผัสที่หัวไหล่ของเธอ ตามแรงเหวี่ยงของรถไฟ และเธอก็ลงสถานีเดียวกับที่ผมจะลง ผมแอบเดินตามเธอไปอีกครั้ง เห็นเธอไปรอที่ป้ายรถเมล์ สักพักมีรถเก๋งเข้ามาจอดและเธอก็เดินขึ้นรถไป ผมเห็นคนขับรถคันนั้นเป็นผู้ชายเลยคิดในใจว่า เธอมีแฟนแล้วน่าเสียดายจริงๆ จากนั้นผมหันหลังกลับเพื่อจะไปขึ้นสะพานลอย
"อ้าว ! นั่นเมธีใช่มั้ย ?"
ผมหันกลับไปตามเสียงนั้น ชายในรถเก๋งลงมาจากรถและเดินมาที่ผม ก่อนเขาจะถอดแว่นกันแดดออก ทำให้ผมคุ้นหน้าทันที
"เอ๊ะ !? ใช่อุดมโชคหรือเปล่า"
"ใช่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย"
"ก็เรื่อยๆน่ะ"
"ว่าแต่นายทำอะไรอยู่เหรอตอนนี้ ?"
"เอ๋ ? หมายถึงอาชีพเหรอ ตอนนี้เป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทน่ะ"
"เป็นลูกน้องเหรอ ?"
"ก็ใช่น่ะ แล้วนายล่ะ"
"ตอนนี้เราเป็นประธานบริษัทติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในโรงงานอุตสาหกรรมน่ะ"
"หา !? ได้เป็นถึงประธานแล้วเหรอเนี่ย"
ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่มันใส่ แว่นตากันแดดนั่นก็ยี่ห้อหรู ผมหันไปดูรถเก๋งที่มันขับมาเป็นรถสปอร์ตราคาแพงระยับ
"ใช่แล้วล่ะ เราก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อตอนที่เรียนจบใหม่ๆ อ้อ ถ้านายอยากมาทำงานกับเราก็ได้นะ จะให้เป็นรองประธานบริษัทเลยก็ได้ สนใจมั้ยล่ะ นี่คือนามบัตร ถ้าสนใจก็โทรมานะ เดี๋ยวขอตัวก่อนไว้ค่อยคุยกัน"
ผมรับนามบัตรจากเพื่อนมาไว้ในมือ เห็นชื่อและตำแหน่งของมันแล้วทำให้ผมตกใจ ผมกับอุดมโชคเป็นเพื่อนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกันปีเดียวกัน และคณะเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะก้าวหน้าไปเป็นถึงประธานบริษัท ผมกลับหอพักและได้แต่เฝ้ามองนามบัตรใบนั้นพลันคิดถึงตัวเอง สายตาผมชำเลืองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมเห็นตัวเองเข้าไปอยู่ในกรงนั้นแทน

หลายวันมานี้ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมานานหลายปี มันนานหลายปีจนผมเริ่มจะชินชากับมันแล้ว ผมไม่เคยตั้งคำถามถึงมันสักทีว่าเมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้ จนกระทั่งเมื่อพบกับเพื่อนของผมคนนั้น เพื่อนของผมสามารถที่จะให้โอกาสผมเดินออกจากวงจรชีวิตที่น่าสมเพชเหล่านี้ได้
ตอนนี้ในหัวสมองของผมเริ่มคิดถึงอิสรภาพ นั่นทำให้ผมมองไปที่กรงของเจ้าลักกี้ ที่ตอนนี้เจ้าตัวกระรอกนั้นนอนหมอบลงกับพื้นเหมือนกับหมดอาลัยตายอยาก นานๆทีมันจะหันหน้าออกมองไปที่หน้าต่างที่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา
วันนี้เป็นวันหยุด เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคแวะเข้ามาเยี่ยมผมที่ห้องเช่าซอมซ่อนี้ แน่นอนว่ามันขับรถสปอร์ตคันหรูมาจอดในย่านชุมชนแออัด
"นี่ไงเพื่อน ลองดูผลประกอบการย้อนหลัง 2 ปีนี้สิ เรากำไรปีละเกือบ 10 ล้านเลยนะ"
เพื่อนของผมเปิดสมุดบัญชีที่มันเตรียมมาด้วย ผมมองเห็นตัวเลขนั้นแล้วทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น
"จริงหรือนี่ ? นี่นายทำเงินได้เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ"
"ใช่สิ ตอนนี้เราอยากได้คนมาช่วยบริหาร ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไว้ใจด้วยเรายิ่งต้องการ"
"จริงเหรอ แล้วถ้าเราไปทำงานกับนาย เงินเดือนตำแหน่งบริหารนี่มันจะซักเท่าไหร่กันนะ"
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ตาเห็น จริงเผลอพูดคำถามเรื่องเงินเดือนที่ดูจะเสียมารยาทออกไป จากนั้นเพื่อนของผมหยิบสมุดเล่มเล็กอีกเล่มขึ้นมา พลิกหาหน้าที่ต้องการก่อนจะยื่นให้ผมดู
"นี่คือตัวเลขของเงินเดือนที่นายจะได้รับ"
ผมเห็นตัวเลขในสมุดถึงกลับดวงตาลุกวาว เมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่จะได้รับในแต่ละเดือน ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้องรูหนูนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยนึกบ่นถึงความอึดอัดจากมันเลย แต่ถ้าได้เงินเดือนเยอะแบบนั้นจริงๆก็คงต้องย้ายออก และนั่นยังทำให้ผมคิดถึงการเดินทางที่คงไม่ต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์อีกต่อไป
"ยังไงก็รีบตัดสินใจไปลาออกจากบริษัทเดิมเลยนะ จะได้รีบไปทำงานด้วยกัน"

ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกให้กับทางบริษัททันที ช่วงหนึ่งเดือนนับจากนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมจะทำงานได้อย่างสบายใจที่สุด นับตั้งแต่เคยอยู่กับที่นี่มา ผมเริ่มกล้าที่จะปฏิเสธพี่พลที่จะไมยอมลงไปซื้อบุหรี่ให้แกอีกแล้ว แม้การเดินทางไปกลับจะลำบากเพียงใด แต่เมื่อผมมีความหวังที่จะไม่ต้องมาใช้มันอีกแล้ว นั่นก็ทำให้ผมไม่ใส่ใจกับมันเท่าไหร่นัก
"เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย"
"ขอโทษครับพี่ พอดีผมกำลังรีบปั่นงาน"
เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าปฏิเสธพี่พล ผมยิ้ม

คืนหนึ่งผมกลับมาที่ห้อง ผมนำอาหารเม็ดไปยื่นให้มันที่กรง แววตาที่เหงาหงอยของมันยังไม่เสื่อมคลายหายไปไหน ผมเริ่มคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะปล่อยให้มันออกไปใช้ชีวิตอิสระบ้าง ใกล้ๆกับหอพักที่ผมอยู่มีสวนสาธารณะ หรือว่ามันควรจะไปอยู่ที่นั่นดี เมื่อคิดได้ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุด ผมจึงคิดว่าจะเอามันไปปล่อย
วันรุ่งขึ้นผมเตรียมตัวจะหิ้วกรงของเจ้าลักกี้เดินไปที่สวนใกล้บ้าน แค่มันรู้ว่ามันจะได้ออกไปข้างนอกห้องมันก็ทำท่าดีใจแล้ว ผมอดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้เลยว่าชีวิตภายนอกกรงแคบๆของมัน จะมีความสุขแค่ไหน
เมื่อเจอมุมที่เหมาะผมวางกรงของมันลงกับพื้นดิน เจ้าลักกี้ทำท่าสูดดมกลิ่นดินบนพื้นที่มันยืน ผมเปิดประตูกรงมันออก เจ้าลักกี้วิ่งผ่านช่องลวดออกไปทันที ก่อนมันจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้ มันหยุดและหันมามองที่ผมสักพัก และมันก็วิ่งตรงไปที่ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด แต่ ?
อ๊ะ !! แมวเจ้าถิ่นตัวใหญ่สีน้ำตาลทองวิ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันวิ่งตามเจ้าลักกี้ที่พยายามจะวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ แมวจรจัดตัวนั้นวิ่งตามไล่งับเจ้ากระรอกวิ่งขึ้นต้นไม้ไป มันขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้พร้อมกำลังเคี้ยวเจ้าลักกี้ด้วยท่าทางที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
ผมยืนดูภาพนั้นด้วยความตกใจ มือเอื้อมลงไปหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือปาเข้าใส่เจ้าแมวนั้น ก้อนหินพลาดเป้า แต่นั่นก็ทำให้แมวตกใจวิ่งหนีกระโดดขึ้นหลังคาไป เศษซากของเจ้าลักกี้หลุดออกจากปากแมวในจังหวะที่วิ่งหนี หัวของกระรอกตัวที่ผมเคยเลี้ยงไว้หล่นลงมาใต้ต้นไม้
ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นหัวเจ้าลักกี้ขาดในลักษณะดวงตาเปิดกว้าง ความรู้สึกเศร้าและสงสารโผล่ขึ้นมาใน
จิตใจของผมทันที
“โธ่ ! เจ้าลักกี้”
ผมกลับมาที่ห้องเช่าด้วยความโศกเศร้า แต่เมื่อคิดถึงอนาคตที่สดใสของผมรออยู่ ความเศร้าก่อนหน้านี้ก็พลันหายไป สักพักโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น เพื่อนของผมที่ชื่ออุดมโชคโทรเข้ามา
“เพื่อน เราขอโทษนายด้วยนะ ตอนนี้ที่บริษัทล้มละลายแล้ว ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเลยช่วงนี้”
เสีบงปลายสายวางหูไปทันทีก่อนที่ผมจะพูดอะไรตอบกลับไป ความหวังที่ฝันไว้ทั้งหมดได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้นแล้ว
หลังจากนั้นผมไปยกเลิกใบลาออกของผมทันที โชคดีที่บริษัทยอม

“เมธี ลงไปซื้อบุหรี่ให้พี่หน่อย
เสียงตะโกนสั่งในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานดังมาจากเจ้าของเสียงคนเดิม
“ได้ครับพี่ ผมจะลงไปเดี่ยวนี้ล่ะ”
ผมรีบลงไปซื้อบุหรี่ตามคำสั่งทันที เพราะเช้านี้ต้องแก้งานจากการที่พี่พลอธิบายงานผิดพลาดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประชุมในเช้านี้
ตอนนี้เหรอครับ ผมเลิกคิดที่จะเดินออกจากกรงอันปลอดภัยไปแล้ว ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมันก็ย่อมมีกรงมาครอบเราไว้เสมอ เพียงแต่ว่าเราจะคุ้นเคยและเคยชินกับกรงใบไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง