แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ดราม่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ดราม่า แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คู่เสียงที่หายไป





ผมวอร์มนิ้วด้วยบทเพลง Romance de amour บนสายกีตาร์คลาสสิก  ท่วงทำนองและการวางนิ้วง่าย ๆ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเพลงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าในตอนนั้นผู้บรรเลงจะมีความเศร้าที่เก็บซ่อนไว้ภายในอย่างไรแต่เขาคงไม่อาจอาจปิดบังความรู้สึกนี้ไว้เมื่อเล่นเพลงนี้ได้อย่างแน่นอน โน้ตเพลงทำให้ผู้ฟังพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองสั้น ๆ แต่ถลำลึกดำดิ่งลงไปในข้างในของจิตใจ

ในหัวค่ำแขกในร้านยังไม่เยอะนัก ผมบรรเลงเพลงในคลับร้านเหล้าเล็ก ๆ ที่ญาติของผมเองเป็นเจ้าของ แขกแต่ละคนที่มามักจะหน้าเดิม ๆ ที่ต้องการบรรยากาศเดิม ๆ ในการจิบน้ำสุรา ทุกคนที่มาที่นี่มันจะไม่ค่อยพูดจากันเพราะเขาต้องการมาฟังเพลงบรรเลง
เมื่อแขกเริ่มเข้ามาเกือบค่อนร้านผมเริ่มเล่นเพลงที่มีจังหวะเร้าใจอย่าง Spanish Dance No. 5 เพราะอยากให้ช่วงหัวค่ำยังเป็นเพลงที่สนุกสนานเร้าใจ สำหรับเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมากอีกเพลงหนึ่ง เริ่มต้นของเพลงนี้ถูกใช้บรรเลงโดยเปียโน แต่ผมคิดว่าเมื่อมันถูกนำมาเรียบเรียงโดยใช้กีตาร์สายเอ็นเล่น มันดูสนุกและเร้าใจมากกว่า แขกหลายคนพึงพอใจกับเพลงนี้แม้พวกเขาจะเคยฟังมันมาแล้วหลายร้อยรอบก็ตาม

กีตาร์คลาสสิกมักจะเล่นด้วยคีย์ของเพลงที่เน้นอารมณ์ของความโศกเศร้าเป็นหลัก หลาย ๆ เพลงที่ผมเตรียมมาในวันนี้มักจะมีความเศร้าแฝงไว้ในนั้น ผมไม่อยากให้ผู้ฟังของผมเข้าถึงอารมณ์นั้นเร็วเกินไป รวมถึงตัวผมเองด้วยที่ไม่อยากให้หัวใจสั่นไหวก่อนเวลาอันควร
ผมยังอยากรักษาบรรยากาศสนุกสนานนี้เอาไว้ก่อน ผมคิดจะเล่นเพลง Choro No.1 ที่ถูกประพันธ์โดย Heitor Villa Lobos บทเพลงที่มีจังหวะคึกคักในแบบของเพลงบรรเลงโดยเครื่องดนตรีชิ้นเดียวนี้ คงไม่สามารถทำให้ใครลุกขึ้นมาเต้นได้ แต่ผมก็ยังมั่นใจว่ามันคงทำให้ใครหลายคนเพลิดเพลินไปกับท่วงทำนองนี้ได้
ชื่อ Choro No.1 นี้นำมาจากแนวเพลงประเภทการแสดงสดในบราซิล เพลงบรรเลงที่มีต้นกำเนิดในริโอเดอจาเนโรในศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นมักจะแต่เพลงแจ๊สซึ่งเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่

เมื่อเห็นแขกเต็มร้าน ผมหยุดพักทักทายกับลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้านด้วยประโยคสั้น ผมรู้ว่าคนเหล่านี้ต้องการฟังเสียงบรรเลงเพลงมากกว่าที่จะมาฟังผมพล่ามอะไรบนเวที แต่ผมก็แค่อยากจะให้บรรยากาศนั้นผ่อนคลายลงและให้ผู้ฟังทุกคนไม่รู้สึกเกร็ง ๆ เท่านั้นเอง
ในการเอาใจผู้ฟังที่เป็นลูกค้าร้านเหล้าทั่วไป ผมมักจะเล่นเพลงสากลสมัยใหม่ที่ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลง ผมกำลังจะเล่นเพลง Hotel California เพียงแค่ผมขึ้นท่อนอินโทรเท่านั้น แขกในร้านก็พากันตบมือสร้างบรรยากาศเหมือนในคอนเสิร์ตของวง Eagles อย่างไรอย่างนั้นเลย และในระหว่างที่ผมเล่นช่วงที่เป็นเนื้อร้องของเพลง แขกบางคนก็ทำท่าขยับปากตามเนื้อเพลงที่เขาเคยฟัง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกอินและสนุกสนานมากกับเพลงนี้
และเมื่อผมตีคอร์ดรัวสามครั้งเพื่อจบเพลง เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือก็ดังอีกครั้ง

Wonderful Tonight ของ Eric Clapton ก็ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นเพลงบรรเลงโดยกีตาร์คลาสสิกอีกเช่นกันบทเพลงที่หวานซึ้งนี้มีเนื้อหาคำร้องเกี่ยวกับการพรรณนาถึงหญิงสาว ทุกคนจดจำความรู้สึกและคำร้องของเพลงได้เป็นอย่างดี พวกเขาบางคนฟังเพลงนี้แล้วหันไปยิ้มและโอบกอดพร้อมกุมมือคนข้าง ๆ ไว้ หรือบางคนอาจจะมีคนให้คิดถึงอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ห่างไกลกันก็ตาม แต่สำหรับตัวผมนั้นได้แต่เฝ้าสะท้อนใจถึงความว่างเปล่าในเรื่องนี้
เพลงนี้เล่นด้วยจังหวะง่ายที่แทบจะราบเรียบ ใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวเล่นสลับกันไปมา แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้ทรงพลังมาเมื่อนึกถึงต้นฉบับของเพลง


แม้ผมจะเล่นบทเพลงที่สำหรับใช้เป็นแบบฝึกหัดอย่าง Etude Op. 35 No. 17 ของ Fernando Sor แต่มันก็เป็นท่วงทำนองที่สะกิดใจของผู้ฟังได้ เคยมีคนว่าไว้ว่ามันเป็นส่วนผสมระหว่างความสุขและความเศร้า มันเหมือนกับกับเวลาที่คุณได้เจอใครหรือสัมผัสกับสิ่งใดหลังจากที่ไม่ได้เห็นกันมานานมาก หรือคิดว่าทำสิ่ง ๆ  นั้นหายไปแล้ว
แต่สำหรับตัวผมเองนั้นคงจะมีแต่ความเศร้าสำหรับบทเพลงนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ หรือผมอาจจะต้องจมอยู่กับความทุกข์ต่อไป

เพลงแบบฝึกหัดอีกบทเพลงหนึ่งอย่าง Etude Op. 6 No. 11 นั้นก็ดูค่อนข้างจะเศร้า แม้มันจะอยู่ในจังหวะที่ดูเริงร่าและความเร็วไม่ช้าเกินไปนัก

หลายครั้งเมื่อผมเล่นมาถึงตรงนี้ ความทรงจำเก่า ๆ ก็มักจะผุดขึ้นมา แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นดนตรีของผมหรอก มันกลับทำให้ผมขับกล่อมบรรเลงเพลงได้ดีขึ้นเสียอีก
ยังซ้อมไม่เสร็จเหรอ
เสียงนี้ยังคงอยู่ในหัวของผม แม้มันจะลางเลือนเท่าไหร่ก็ตาม ในตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจกับเสียง ๆ นี้ มีแต่เสียงดนตรีและทำนองเพลงใหม่ ๆ ที่ผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ผมสลัดความคิดนั้นออกจากหัว แต่ทว่าความเศร้าโศกนั้นยังอยู่ที่เดิม และเมื่ออารมณ์ได้แล้ว ผมจึงคิดที่จะบรรเลงเพลง Recuerdos de la Alhambra เพลงนี้ใช้เทคนิค Tremolo ในการดีด ทำให้เสียงบรรเลงกีตาร์นั้นคล้ายกับการสีไวลิน เพลงนี้เป็นบทเพลงเศร้า และนั่นทำให้ผมคิดถึงเธอมากขึ้น

ค่ำคืนนี้ผมบรรเลงอีกหลายบทเพลงที่เน้นอารมณ์เศร้าเป็นหลัก ผมคิดถึงเธออีกหลายครั้ง ไม่เคยมีคำตัดพ้อใด ๆ ออกมาจากปากเธอให้ผมได้เอะใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ลาจากไปแล้วโดยทิ้งคำพูด ๆ หนึ่งไว้ให้ และคำพูดนั้นก็บาดลึกเข้าไปในจิตใจของผมจนยากที่จะข่มความเจ็บนั้นไว้ในเวลาต่อมา

ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักเล่นเพลงก็อยากจะมีเพลงที่ตัวเองแต่งเองบ้าง ผมพยายามแต่งเพลงโดยการใช้คู่เสียงที่ต่างกันในแต่ละคู่และตามโน้ตเพลงที่คิดได้ แต่มันก็ไม่ได้ดีหรือสนุกอะไรมากนัก ผมใช้ช่วงท้าย ๆ ของการแสดงลองเล่นเพลงนี้ให้แขกฟัง ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาชอบมันหรือเปล่า อาจจะไม่มั้ง พวกเขาอาจจะคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่ก็เป็นได้ มันฟังดูไม่ค่อยเหมือนเพลงเท่าไหร่
เพลงนี้ผมยังแต่งไม่จบ ขาดท่อนลงเพราะผมไม่สามารถหาโน้ตตัวสุดท้ายที่จะเป็นคู่เสียงของโน้ตก่อนหน้าได้ ผมแกล้งค่อย ๆ แผ่วเสียงกีตาร์จนเงียบเพราะไม่อยากเล่นเพลงที่ยังดูด้วน ๆ นี้ออกไป แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะแขกคงคิดว่าผมกำลังตั้งสายกีตาร์อยู่มั้ง
เธอจากไปในตอนที่ผมยังแต่งเพลงไม่เสร็จ ผมเสียใจที่ไม่ฉุดรั้งเธอไว้เพราะตอนนั้นต้องการสมาธิในการแต่งเพลงให้จบ และกะว่าจะไปง้อเธอเมื่อเพลงนี้สมบูรณ์แล้ว แต่ทว่าจนบัดนี้คู่เสียงสุดท้ายนั้นผมยังหาไม่เจอ
คำพูดสุดท้ายของเธอดังขึ้นมาในหัวของผมอีกแล้ว

ขอให้มีความสุขกับการเล่นกีตาร์นะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

แรงเฉื่อย


สายตาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากำลังจับภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตาสีดำในม่านตาขาวนิ่งสนิทแม้ว่ามันกำลังจดจ้องอยู่กับภาพที่สลับไปมาอย่างรวดเร็ว ริ้วรอยรอบดวงตาที่นิ่งสนิทเผยให้เห็นตัวเลขเลยหลักห้าสิบของอายุอเนกไปแล้ว ภาพที่อเนกกำลังจ้องมองดูนั้นไม่ใช่การแข่งขันเรื่องความเร็วของนักแข่งรถในสนามหรอก มันไม่ใช่ภาพของการเต้นรำท่ามกลางแสงสีในจังหวะดิสโก้ และมันก็ไม่ใช่ภาพที่ดูแปลกหูแปลกตาอะไรหรอก แต่ภาพที่อเนกกำลังเฝ้าดูอยู่นั้นเป็นภาพในโรงอาหารของตึกสำนักงานสูงสามสิบชั้นแห่งหนึ่ง
ไอระเหยจากถ้วยกาแฟร้อนบนโต๊ะของอเนกหมดไปนานแล้ว แม้น้ำสีดำยังคงเต็มถ้วยอยู่ จานอาหารบนโต๊ะหมดไปแค่ครึ่ง แต่เจ้าของอาหารก็ไม่แตะจานข้าวแล้ว ความเชื่องช้าและนิ่งสงบบนโต๊ะของอเนกช่างตรงกันข้ามกับบรรยากาศในโรงอาหารช่วงพักเที่ยงในวันทำงานยิ่งนัก พนักงานชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกำลังนั่งเคี้ยวข้าวอย่างเร่งรีบ เขาไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการกดจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ พลางกินข้าวไปเพียงสองสามคำก็ยกแก้วน้ำปั่นขึ้นมาดูดอึกใหญ่ ชายหนุ่มผู้เร่งรีบทำทั้งสามอย่างนี้สลับกันจนจานข้าวหมดและในแก้วเหลือแต่เศษน้ำแข็ง เขาก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทันทีพร้อมกรอกเสียงลงไปในนั้น
อเนกเบี่ยงทิศทางการมองออกไปเพียงไม่กี่องศา และปรับระยะโฟกัสออกไปนึดหนึ่งก็จับภาพของกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวที่ดูเหมือนเพิ่งจะจบการศึกษาและเริ่มเข้าทำงานใหม่ ทั้งโต๊ะต่างนั่งกินข้าวเงียบ ๆ โดยไม่มีการหันไปพูดจาอะไรกัน นั่นทำให้ดูว่าทั้งหมดนั้นเหมือนกับจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทอะไรกัน คงจะเป็นพนักงานใหม่ที่เพิ่งจะมาเจอหน้ากัน เลยทำให้ยังไม่สนิทสนมอะไรกันมากนัก เมื่อทั้งหมดกินข้าวเสร็จก็ลุกเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ข้าง ๆ กันนั้นมีหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงเดินถือจานอาหารพร้อมแก้วน้ำมา เธอกำลังมองหาโต๊ะที่ว่างและสะอาดในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านในโรงอาหารและแม่บ้านมักจะเก็บโต๊ะไม่ค่อยทัน พอดีที่แม่บ้านเก็บโต๊ะนั้นเสร็จ หญิงสาวผู้มาใหม่ก็วางจานและแก้วน้ำลง เธอยังไม่รีบกินเหมือนคนอื่น ๆ แต่เธอรีบหยิบตลับเครื่องสำอางมาแต่งหน้าอย่างเร่งรีบ และเมื่อเธอก้มเงยส่องกระจกบานเล็กจนมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงรีบลงมือจัดการกับอาหารในจานทันที
แต่ทว่าเมื่อหญิงสาวกินข้าวไปได้เพียงแค่สามคำ ดูเหมือนว่าเสียงโทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้นจนทำให้ผู้ที่กำลังเคี้ยวอาหารต้องรีบกลืนข้าวลงลำคอไป เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดหนึ่งทีก่อนจะรีบควักโทรศัพท์มารับ ท่าทีกระสับกระส่ายในระหว่างสนทนานั้นดูน่าอึดอัดใจ เมื่อสิ้นสุดการสนทนาเธอก็ทิ้งอาหารและน้ำในแก้วโดยการเดินออกไปทันที
ภาพบรรยากาศโดยรวมของโรงอาหารก็คล้าย ๆ กัน ความวุ่นวายภายใต้กฎระเบียบของโรงอาหารที่ต้องทำงานแข่งขัน คงมีแต่โต๊ะของอเนกโต๊ะเดียวเท่านั้นในที่นี่ที่เป็นตัวแทนของความเฉื่อย เขาเข้ามานั่งที่นี่ตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว เขาเข้ามาตั้งแต่ที่นี่ยังคงเบาบางด้วยผู้คน จนกระทั่งที่นี่บางเบาด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง
เสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ในกระเป๋าของอเนกดังขึ้นเบา ๆ หนึ่งครั้ง เจ้าของหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หน้าจอ 5.5 นิ้วขึ้นมากดปุ่มเปิดหน้าจอ เขาเลื่อน ๆ ดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาและข้อความเก่า ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน หลายข้อความมาจากลูกค้าของเขาที่โอนเงินค่าเช่าบ้านให้ อเนกกดอ่านผ่าน ๆ และกดปิดหน้าจอไป ชายอายุห้าสิบกว่า ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะอเนกหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ ๆ ก่อนจะวางลงและเดินออกไป



สองริมฝั่งถนนกว้างสี่เลนและบนสะพานลอยยังสับสนวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่เดินไปมาอย่างรวดเร็ว อเนกมองไปรอบ ๆ ก็มองเห็นมุม ๆ หนึ่งมีร้านขายน้ำเล็ก ๆ มีโต๊ะวางริมถนนสามชุดหน้าร้าน เขาจ้องมองและเกิดความคิดว่า บางทีพรุ่งนี้สาย ๆ ในวันที่น่าเบื่ออีกครั้งเขาอาจจะมานั่งดื่มน้ำเย็น ๆ เพื่อมองความยุ่งเหยิงที่ไร้รูปแบบนี้

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

คำนึงสุดท้าย


               
 
                “โต้ง...” เสียงชายสูงอายุร้องทักเมื่อเขาเดินเข้ามาในงานศพของใครคนหนึ่ง “กลับมาเมืองไทยนานแล้วหรือ”

                “สวัสดีครับอาน้อย ผมกลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์กว่าเองครับ” โต้งยกมือไหว้อาน้อยที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยความเคารพ

                “อืม... อย่างน้อยก็ทันได้กลับมาดูใจพ่อเอ็งนะ ก่อนตาย”

                โต้งรู้สึกจุกอกในคำพูดนี้ แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์นั้นไว้แม้ว่าจะไม่มิดก็ตาม

                “เปล่าครับ ผมกลับมาตอนที่พ่อนอนไม่ได้สติแล้ว ทันเห็นพ่อตอนสายยางระโยงระยางเต็มไปหมด”

                “เหรอ... เฮ้อ...” อาน้อยถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

                “อาเพิ่งจะลงเครื่องมาวันนี้หรือครับ”

                “ใช่ บินตรงมาจากหาดใหญ่ไฟลท์เช้านี้เอง”

                “นี่แจ๊คครับ ลูกชายของผม ตอนนี้ 5 ขวบแล้วครับ แจ๊คไหว้ปู่ซะสิ”

                เด็กชายตัวน้อยยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ

                “ว่าไงหลานชาย” อาน้อยใช้มือลูบไปที่หัวของเด็ก “แล้วนี่จะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่า หรือจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก”

                “ผมลาออกมาแล้วครับ เพราะต้องเคลียร์งานเสร็จก่อน เลยกลับมาเมืองไทยช้าครับ”

                “แล้วเมียเอ็งล่ะ”

                “ซาร่าห์จะบินตามมาภายในเดือนนี้ครับ”

                “อ้อ มีเมียฝรั่ง มิน่าหลานตาสีน้ำข้าวเชียว”

                โต้งฝืนหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่เศร้าและหดหู่นี้ เขารู้ตัวดีว่าคำแก้ตัวเรื่องที่ทำให้เขากลับเมืองไทยล่าช้าแม้จะพูดให้ใครฟัง แต่มันก็ยังดูไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ถึงข้ออ้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม

                “แล้วจะอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”

                “ใช่ครับ ผมคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ส่วนเรื่องงานก็คงหาทำแถวนี้ครับ”

                “ดีแล้ว พ่อเขาเป็นห่วงเอ็งมาก สมบัติทุกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายคนเดียวมารับต่อ”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ

                “งั้นเดี๋ยวอาเข้าไปในงานก่อนนะ ไว้คุยกัน”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ อีกครั้ง

                เขามองเข้าไปในศาลางานศพที่ไม่ใหญ่มาก มีแขกเหรื่อไม่เยอะเพราะโต้งยังไม่ทันส่งข่าวให้ใคร เพราะเขาเองก็เริ่มห่างหายจากเพื่อนๆ และคนสนิทของพ่อไปนานหลายปี มีแต่ญาติหลายสิบคนเต็มศาลา งานในครั้งนี้จึงเหมือนกับการรวมญาติครั้งใหญ่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่มีพ่อของโต้ง

                โต้งไม่แน่ใจว่ามีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เขาคิดสะท้อนกลับไปกว่า 15 ปีที่เขาไปเรียนและทำงานเป็นแพทย์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาจะบินกลับไทยเฉลี่ยปีละครั้งนั้น ยกเว้น 5 ปีหลังสุดที่เขามีลูก โต้งไม่มีเวลากลับมาเมืองไทย นั่นคงจะทำให้พ่อของเขารู้สึกเหงาอยู่บ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้อยู่เคียงข้างชายแก่คนหนึ่ง

                อาน้อยเป็นญาติที่โต้งสนิทที่สุด นอกนั้นเป็นญาติที่ค่อนข้างจะเหินห่าง ทำให้โต้งไม่ได้ต้อนรับแขกเหรื่อได้ดี ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าภาพ

 

                ในเช้าหลังจากที่มีการเผาศพเรียบร้อยแล้ว โต้งตื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เขายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เขาจากไปนาน โต้งเข้าไปในห้องเก็บหนังสือของพ่อที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือและกองหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้น หนังสือหลายเล่มเป็นนิตยสารเก่าที่เรียงหมายเลขต่อเนื่องกัน ในตู้หนังสือคงจะเป็นหนังสือที่ไม่ได้หยิบออกมาบ่อยนัก

                โต้งหันไปมองยังโต๊ะอ่านหนังสือ บนนั้นมีสมุดเก็บภาพถ่ายหลายเล่มวางอยู่บนนั้น โต้งค่อยๆ หยิบเล่มบนสุดเปิดดู เขาเห็นภาพถ่ายของตัวเองในวัยเด็ก ในนั้นมีทั้งเขา พ่อและแม่ รวมไปถึงพี่สาวของเขาที่ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นแม่ก็ตรอมใจตายตามไป

                ความหดหู่และรู้สึกสงสารพ่อเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในลำคอของโต้ง พ่อของเขาที่ต้องอดทนต่อสู้กับความเหงาว้าเหว่ถึง 10 ปีจากที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า แม้โต้งจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังมีพี่สาวและแม่ แต่เมื่อความสูญเสียมาเยือน นั่นทำให้พ่อต้องเดียวดายอย่างแท้จริง

                โต้งเคยบอกพ่อว่าจะกลับมาหางานทำในประเทศไทยเมื่อเรียนจบ แต่พ่อของโต้งไม่เห็นด้วยในตอนนั้น

               

                โต้งพาแจ๊คซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้าน เขาตั้งใจจะพาลูกชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าที่เขาเคยมากินนานแล้ว หากแต่ว่ามันไม่ปิดไปเสียก่อน

                รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าร้านที่คนพลุกพล่าน นั่นแสดงว่าร้านยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมสั่งเมนู โต้งมองไปรอบๆ ร้านพร้อมรำลึกความหลังเก่าๆ ที่เขาเคยมากินพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างในร้านแทบจะเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับกว่า 10 ปีที่แล้ว มีเพียงแต่เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หน้าตาไม่คุ้นเคย

                กลิ่นหอมของน้ำซุปจากโต๊ะอื่นโชยมาเข้าจมูก โต้งรู้ดีว่าร้านนี้คือร้านโปรดของพ่อ พ่อคงจะมาที่นี่บ่อย ภาพพ่อของเขาที่นั่งคีบเส้นในชามก๋วยเตี๋ยวยังคงติดตาและไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ ทุกครั้งพ่อจะต้องซดน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่ไม่ผ่านการปรุงใดๆ จนหมดชาม

                โต้งแทบจะไม่เชื่อสายตา! เขามองเห็นโต๊ะๆ หนึ่งที่ถัดจากเขาไปและอยู่ริมรั้ว ชายแก่ที่นั่งคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากคนนั้นคือพ่อของโต้ง เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าชายคนนั้นคือพ่อของเขาอย่างแน่นอน โต้งคงจะลุกเดินไปหาพ่อของเขาแล้ว หากเขาลืมไปว่าเพิ่งจะเผาร่างพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

                ภาพชายแก่ที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดคนเดียวทุกวันๆ คงจะเป็นภาพธรรมดาที่คงจะชาชินไปแล้วสำหรับคนที่ต้องทนอยู่กับความเหงา แต่สำหรับโต้งที่มีทั้งลูกและเมีย มันช่างสะเทือนอารมณ์ของเขาไปถึงก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ ความเศร้าสะเทือนใจกำลังจะกลั่นตัวออกมาเป็นหยดสายน้ำใสๆ ในอีกชั่วอึดใจเดียว หากไม่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างอารมณ์นั้นก่อน

                “นั่นโต้งใช่มั้ย”

                โต้งหันไปทางต้นเสียง เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเจ้าของร้านที่เคยทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามา

                “สวัสดีครับป้าละมัย” โต้งยกมือไหว้ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “ไหว้ยายสิลูก”

                “เป็นยังไงบ้าง ป้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องพ่อของเธอ เสียใจด้วยนะ”

                โต้งยิ้มรับคำ เขาหันไปมองที่โต๊ะริมรั้วอีกครั้ง เขาไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่ที่เขาไม่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขานั่งอยู่

                “แล้วนี่จะยังไงต่อไปล่ะ จะกลับมาอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปเป็นหมอที่อเมริกา”

                “ผมจะกลับมาหางานทำที่นี่ครับ เอ่อ... ป้ารู้ว่าผมทำงานอะไร...”

                “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พ่อของเธอมาที่นี่บ่อย ชอบมาคุยเรื่องลูกชายให้คนโน้นคนนี้ฟัง แกดูจะภูมิใจในตัวโต้งมากเลยนะ”

                “พ่อของผมคงจะเหงา เขาคงมาหาเพื่อนคุย”

                ละมัยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็มาหาเพื่อนเก่านั่งคุยกันตามประสานั่นแหละ ป้าขอตัวเข้าไปในครัวก่อนนะ แล้วโอกาสหน้าแวะมากินบ่อยๆ ล่ะ”

                “ขอบคุณครับ” โต้งพูด

                หลังจากป้าละมัยเดินพ้นไป โต้งหันไปมองยังโต๊ะริมรั้วอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่กำลังใช้ช้อนกวาดน้ำก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายใส่ปาก

 

                ในคืนนั้น โต้งแต่งตัวด้วยชุดนอนหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกาย เมื่อหันไปที่เตียงก็เห็นแจ๊คกำลังเปิดสมุดเก็บรูปภาพหลายเล่ม

                “พ่อครับ ผมคิดถึงคุณปู่”

                โต้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ แค่เพียงอาทิตย์เดียวที่ลูกชายของเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปู่ จะสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันได้เพียงนี้ แม้พ่อของเขาจะไม่ได้สติเหมือนคนทั่วไป

                “ปู่ของลูกก็คงจะคิดถึงลูกเช่นกัน รู้มั้ยว่าปู่บ่นอยากเห็นลูกมานานแล้ว แต่ว่าพ่อไม่ได้พาลูกมาเจอปู่ก่อนหน้านี้ พ่อขอโทษนะลูก” โต้งลูบหัวของลูกชายเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเด็กน้อย

                “พ่อร้องไห้ทำไมครับ” แจ๊คตกใจที่เห็นน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่อ

                โต้งปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว “พ่อสงสารลูกที่ไม่มีโอกาสได้เจอปู่น่ะสิ พ่อผิดเองที่ไม่พาลูกกลับมาที่เมืองไทยก่อนหน้านี้”

                เด็กน้อยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เขยื้อนตัวเขามาใกล้พ่อของเขาพร้อมโอบกอดร่างใหญ่โอบไม่มิดไว้แน่น “ผมได้เจอกับปู่แล้วครับ ผมได้นอนกอดปู่ ได้คุยกับปู่ ได้ร้องเพลงให้ปู่ฟัง”

                “ลูกไม่เสียใจหรือที่ไม่ได้มาเจอปู่ก่อนหน้านี้”

                “ไม่ครับ สำหรับแจ๊คแล้วมีโอกาสแค่นี้ก็เพียงพอ”

                โต้งยิ้มรับกับคำพูดที่ออกมาจากปากน้อยๆ เขาโอบกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก

                “ในตอนที่แม่ของลูกคลอดลูกออกมา  พ่อส่งข่าวและรูปภาพของลูกมาให้ปู่ดู รู้มั้ยว่าปู่ดีใจแค่ไหน คิดดูสิ คนอีกซีกโลกนึงตื่นเต้นดีใจที่คนอีกซีกโลกนึงถือกำเนิดออกมา ในตอนนั้นพ่อก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อว่าคืออย่างไร มันทำให้พ่อคิดถึงปู่มากขึ้น แต่เพราะหน้าที่การงานและภาระหลายอย่างทำให้พ่อบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมปู่ทุกครั้งหลังจากที่มีลูก ลูกรู้มั้ยว่าลูกเป็นดวงใจของพ่อ เหมือนกับที่พ่อก็เป็นดวงใจของปู่เช่นกัน”

                โต้งพูดจบก็ก้มลงดูลูกชายที่นอนซุกตัวในอ้อมอกของเขา ปรากฏว่าแจ๊คนอนหลับตาสนิทไปแล้ว โต้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ วางเจ้าตัวน้อยลงบนที่นอน พร้อมห่มผ้าให้กับดวงใจดวงเล็กๆ ของเขา

               

                โต้งลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เขาเดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือที่มีโต๊ะประจำตำแหน่งของพ่อ โต้งนั่งลงบนนั้น

                ลิ้นชักใต้โต๊ะถูกเปิดออก ในนั้นรกไปด้วยเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ โต้งหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น

                พ่อคิดถึงโต้ง พ่อเหงา พ่อไม่เหลือใครแล้ว....

                โต้งไม่อาจจะทนทานอ่านต่อได้ เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสงสารพ่อของเขาจับใจ

                “ร้องไห้ทำไม่โต้ง” เสียงที่คุ้นเคยดังมาผ่านหูของโต้ง

                เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่ง ที่พ่อของเขาเข้ามาปลอบใจยามที่โต้งมีน้ำตาในอดีต  แต่ทว่าเมื่อเขาคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ นั่นเป็นเสียงที่เขารับรู้ได้ด้วยหูของเขาอย่างแน่นอน

                “พ่อ” โต้งพูด

                พ่อของโต้งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง โต้งเห็นและแน่ใจว่านั่นคือพ่อตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน

                “พ่อมาได้ยังไง” เสียงพูดปนตกใจดังมากจากลูกชาย

                “เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือลูกร้องไห้ทำไมกัน”

                “ก็ผมสงสารที่พ่อทนอยู่อย่างเหงาๆ มาหลายปี ผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้”

                “อย่าพูดแบบนั้น” พ่อของโต้งเอ่ยคำๆ นั้นด้วนน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ความเหงาเป็นแค่อารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จางหาย”

                “แต่ผมบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ หลังจากที่ผมมีแจ๊ค นั่นคงจะทำให้พ่อเสียใจ”

                “ไม่หรอกลูก อย่าคิดแบบนั้นเลย คนทุกคนมีหนทางเดินที่ต่างกัน ลูกก็มีความจำเป็นของลูก ส่วนเรื่องหลานของพ่อ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่พ่อได้เจอกับหลาน แม้พ่อจะไม่ได้สติ แต่พ่อก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีลูกและลูกของลูกอยู่ใกล้ๆ เจ้าแจ๊คที่มานอนข้างพ่อๆ ก็รับรู้ มาร้องเพลงมาพูดคุยพ่อก็รับรู้ได้ แค่ไม่สามารถตอบรับกลับไปได้แค่นั้นเอง”

                “จริงหรือครับ” โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง

                “พ่อหมดอายุขัยไปแล้ว ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ที่จะต้องให้มาคอยกังวล ทุกข์และสุขที่เคยเป็นเรื่องในอดีตมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับพ่อ ตอนนี้พ่อไปสู่นิพพานที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกห่วงใยใดๆ ให้ต้องคำนึงอีกต่อไปแล้ว มันจบแล้ว”

                โต้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขามองรอบตัวยังเห็นแจ๊คที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา โต้งคงฝันไป แม้โต้งจะคิดว่านั่นเป็นความฝัน แต่ทุกถ้อยคำที่ได้ยินจากในฝันนั้นเขาจดจำมันได้เป็นอย่างดี โต้งคิดว่านั่นคงเป็นแค่จิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง ที่ยอมให้อภัยความสำนึกผิดที่เขาพยายามคิด และต่อไปคงถึงเวลาที่เขาจะให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง

                ในคืนนั้นโต้งนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ความสำนึกผิดใดๆ บางทีเขาอาจจะให้อภัยตัวเองแล้ว เหมือนกับเรื่องจิตใต้สำนึกที่โต้งเคยเรียนมาว่า คนเราพอนอนฝันถึงเรื่องใด แสดงว่าเรื่องนั้นคือเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของคนๆ นั้น และต่อไปโต้งคงจะไม่นอนฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

 

                บนท้องฟ้ามีมวลหมู่เมฆหลายก้อนเรียงรายไม่ห่างกัน ร่างพ่อของโต้งโปร่งใสกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไป

                “ไปไหนมาหรือท่าน” ผู้เฒ่าบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                “จิตไม่สงบ ยังเป็นห่วงลูกชาย ผมก็เลยกลับไปปรากฏตัวให้ลูกชายเห็น และยังไปเข้าฝันลูกชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจอีกด้วย”

                “แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”

                “คิดว่าคงได้ ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว คงถึงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ได้ซักที” พ่อของโต้งพูด

                “อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเอาบ้าง นี่ก็ตายมาหลายปีแล้ว แต่ลูกกับเมียยังมาแย่งธุรกิจที่เราสร้างไว้ เราเป็นห่วงจริงๆ ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง คงต้องลงไปเตือนสติกันบ้างแล้ว”

                “โอ้... เห็นข่าวเรื่องการแย่งสมบัติในโลกมนุษย์เยอะจริงๆ ว่าแต่เมียท่านชื่ออะไรล่ะ แล้วธุรกิจของท่านคืออะไร”

                “เมียเราเหรอ ชื่อประนี ทำธุรกิจโขลกน้ำพริกขาย”

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เสียงที่เพราะที่สุดในโลก


ผมเดินเข้าบู๊ทขายหนังสือของสำนักพิมพ์เกี่ยวกับดนตรีในงานสัปดาห์หนังสือที่จัดขึ้นในปีนี้  ผมตั้งใจจะไปหาข้อมูลของศิลปินใหม่ๆ หรือศิลปินที่เล่นเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีสักชิ้น เพื่อหาท่วงทำนองและสำนวนทางดนตรีใหม่ๆรวมถึงท่วงทำนองเสียงประสานที่จะขับกล่อมจิตใจของผม
สำนักพิมพ์มิวสิคกูรู (ชื่อสมมุติ) คือสำนักพิมพ์ที่ผมหาข้อมูลมาทางอินเตอร์เน็ท นิตยสารที่ใช้ชื่อหัวเดียวกันกับชื่อสำนักพิมพ์ฉบับล่าสุดวางเด่นหราอยู่บนชั้นหน้าบู๊ท ผมหยิบขึ้นมาและเปิดออกดู
 ‘ไมเคิล จาคอบ (ชื่อสมมุติ) นักร้องเพลงป๊อบที่ผสมผสานความเป็นบลูเข้าด้วยกัน ถือเป็นงานดนตรีที่ไม่เหมือนใครด้วยคำร้องที่แต่งขึ้นเอง เนื้อเพลงส่วนใหญ่พูดถึงการแบ่งชนชั้นในวัยเด็กที่เขาเจอ เนื่องจากครอบครัวของเขาเป็นคนอเมริกันแอฟริกัน จึงมีเรื่องราวคล้ายๆกับนักร้องเพลงบลูหลายๆคน แต่งานครั้งนี้ผสานความเป็นป๊อบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในอัลบั้มชุดนี้...’
“สวัสดีค่ะผู้เข้าชมงานทุกท่าน วันนี้สำนักพิมพ์เมนี่เลิฟ (ชื่อสมมุติ) จัดโปรโมชั่นซื้อ 3 แถม 1 เพื่อเอาใจคนรักหนังสือโดยเฉพาะ พิเศษ! พบกับนักเขียนตัวจริงเสียงจริงได้ในบู๊ทหนังสือ พร้อมรับของแถมอีกมากมาย ขอเชิญนะคะ ที่บู๊ทหนังสือเมนี่เลิฟ”
ผมสะดุดการอ่านด้วยเสียงประกาศผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ทำให้สมาธิในการอ่านรายละเอียดนักร้องนั้นขาดสะบั้นไป ผมพลิกไปอ่านหน้าถัดๆไป
 ‘สตีฟ แฟรงค์ (ชื่อสมมุติ) เขาสามารถบรรเลงแซกโซโฟนบนเวทีโดยสะกดผู้ชมนับหมื่นให้หยุดหายใจ ด้วยท่อนฮุคอันทรงพลัง แม้จะเป็นการโซโล่เดี่ยวจากเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวก็ตาม กับอัลบั้มงานเพลงที่จะออกวางตลาดในช่วงปลายซัมเมอร์นี้ อาจจะทุบทุกสถิติยอดขายเพลงผ่านอินเตอร์เน็ท ถ้านับเฉพาะงานเพลงบรรเลงที่ไม่ค่อยจะนิยมมากนักในตลาดเพลงออนไลน์…’
 “ตอนนี้ที่บู๊ทหนังสือสำนักพิมพ์นิยายสยาม (ชื่อสมมุติ) พบกับนักเขียนนามปากกาฟ้าลั่น (นามสมมุติ)ได้แล้วค่ะ นักเขียนพร้อมแล้วที่จะแจกลายเซ็นพร้อมพูดคุยกับแฟนหนังสือ ขอเชิญนะคะที่บู๊ทสำนักพิมพ์นิยายสยาม”
สมาธิจากการอ่านผมขาดสะบั้นลงอีกครั้ง ผมพยายามพลิกหน้าถัดๆไปเพื่อหาศิลปินใหม่ๆ แต่เสียงประกาศก็ดังขึ้นและพูดติดต่อกันจากหลายๆบู๊ทจนทำให้ผมไม่สามารถอ่านนิตยสารเล่มนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ผมควักเงินตามราคาหน้าปกนิตยสารเล่มนี้ส่งให้กับพนักงานและเดินออกมาทันที
ผมเดินผ่านโซนหนังสือนิยายเผื่อจะเห็นหนังสือเล่มไหนน่าสนใจ แต่ตลอดทางที่ผมเดินผ่านกลับเต็มไปด้วยเสียงจอแจจากพนักงานขาย เสียงดังจากการสนทนาของผู้เข้าชมงาน แต่นั่นไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับเสียงประกาศผ่านลำโพงดังมาไม่ขาดช่วง
 “นาทีทองค่ะ หนังสือลด 30%...”
 “พบกับหนังสือที่มียอดขายถล่มทะลาย แต่มาในงานนี้ด้วยราคาสุดพิเศษสำหรับผู้เข้าชมงาน...”
 “จัดกิจกรรมแจกหนังสือฟรีค่ะ พบกันที่บู๊ท...”
 “พบนักเขียน...”
 “เล่นเกมส์...”
“ชิงรางวัล...”
ผมเดินออกมาจากศูนย์ประชุมฯทันทีโดยไม่สนใจจะมองหาหนังสือใดๆอีกแล้ว พอคิดถึงงานหนังสือของประเทศไทยแล้ว แม้ผมจะไม่เคยไปงานหนังสือที่ประเทศใดๆมาก่อน แต่ผมคิดว่างานหนังสือในบ้านเราเป็นงานหนังสือที่ดังที่สุดในโลก ดังในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงมีชื่อเสียงโด่งดัง หากแต่หมายถึงเป็นงานที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมตลอดทั้งงาน ความจริงแล้วงานหนังสือควรจะเป็นงานที่เงียบสงบ ให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินใจเนื้อหาในหนังสืออย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้พนักงานขายมาตัดสินใจแทนลูกค้าโดยประกาศเสียงผ่านลำโพงดังกึกก้องทั่วหอประชุม
 
ผมเดินลงบันไดลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน ในสถานีนี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายและหลีกหนีความวุ่นวายจอแจลงมาได้บ้าง แม้ผู้โดยสารในช่วงนี้จะเยอะเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ทำเสียงดังมากนัก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อต่อการรอรถไฟเที่ยวถัดไป
ระหว่างที่ผมยืนรอรถไฟผมหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีกรอบ ความเงียบสงบในครั้งนี้ทำให้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปินได้หลายคน เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจซื้อเพลงผ่านอินเตอร์เน็ทของผมได้
ไม่นานรถไฟก็จอดเทียบชานชาลา ผมเก็บหนังสือลงในกระเป๋า กะว่าจะไปเปิดอ่านอีกทีบนรถไฟฟ้า เมื่อขึ้นมายืนบนรถผมหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดอ่านต่อจากหน้าที่อ่านค้างไว้
แต่ทว่า! เสียงโฆษณาในรถไฟฟ้าที่ฉายออกมาทางจอทีวีจอเล็กและเสียงดังผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้รอบตัวรถ ทำลายสมาธิในการอ่านของผมอีกครั้ง ด้วยเสียงที่ดังเกินค่ามาตรฐาน แม้ผู้ที่ไม่ตั้งใจฟังก็ยังสัมผัสได้ยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมเก็บนิตยสารลงในกระเป๋าอีกครั้งและพยายามปิดหูปิดตาไม่รับฟังเสียงใดๆ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมลพิษทางเสียงนั้นก็ยังเล็ดลอดเข้ามาในหูผมได้ตลอดเส้นทาง
ผมอดทนแค่ช่วงสถานีเดียว เพราะผมจะลงรถที่สถานีสวนลุมฯนี้แล้ว ผมคงจะเดินเข้าไปหามุมสงบๆในสวนลุมพินีเพื่อนั่งอ่านนิตยสารเล่มนี้ให้จบเล่มเสียที
ผมเจอร่มไม้ที่คงจะเงียบสงบจากเสียงจอแจจากผู้คน เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายๆที่ยังไม่ค่อยมีคนมาออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ผมเปิดหน้านิตยสารที่ยังอ่านค้างไว้และตั้งหน้าตั้งตาอ่าน
ทันใดนั้นเสียงเพลงบรรเลงสำหรับรำมวยจีนที่แสนจะปวดแก้วหูก็ดังขึ้น ผมยังคิดว่าเวลานี้จะมีใครมารำมวยจีนกันนะ ปกติเขาจะรำกันช่วงเช้าๆนี่
ผมมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นอาม่าเพียงแค่สองคนยืนสอนท่าทางมวยจีนกันอยู่ แม้ตรงนั้นจะมีเพียงแค่สองคน แกก็เปิดเครื่องเสียงดังเหมือนมีคนอยู่บริเวณนั้นนับร้อย
ผมย้ายที่ออกจากจุดนั้นให้ไกลพอจะไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญนั้น ผมไปนั่งบริเวณใกล้ๆกับรั้วฝั่งถนนพระราม 4 เสียงเครื่องยนต์รถวิ่งพร้อมเสียงบีบแตรก็สร้างความรำคาญให้ผมไม่แพ้กัน บวกกับกลิ่นควันรถจางๆที่ลอยเข้ามาทำให้ผมตัดสินใจย้ายที่นั่งอีกครั้ง
คราวนี้ผมย้ายไปตรงกลางสวนอีกฟากหนึ่งที่มั่นใจว่าจะสงบ แต่ทันใดที่หย่อนก้นลงกับพื้น เสียงร้องคาราโอเกะกลางสวนก็ดังขึ้นจนนกกาแถวนั้นบินหนี บางทีแล้วคนร้องเพลงอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าคนอื่นชอบฟังเสียงร้องของตัวเองก็เป็นได้
ผมตัดสินใจไม่ย้ายที่นั่งไปทางไหนอีกในสวน แต่ตัดสินใจเดินออกจากสวนทันที ผมเดินออกทางประตูฝั่งถนนสีลมเพื่อตั้งใจจะเดินเท้าไปให้ถึงเกือบถึงแยกนนทรีย์เพื่อจะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดของผม
 
ตลอดทางที่ผมเดินผ่านถนนสีลมทุกๆช่วงตึก ยามที่คอยโบกรถให้คนเข้าออกจะเป่านกหวีดเต็มแรงเพื่อให้สัญญาณกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารพอจะได้ยินเสียง แต่กับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนที่ได้รับเสียงนกหวีดเต็มๆ บวกกับเสียงแตรรถจากผู้ขับรถยนต์ แม้เสียงแตรจะไม่สร้างความรำคาญให้คนในห้องโดยสาร แต่คนที่อยู่นอกตัวรถกลับรำคาญเป็นอย่างมาก
เสียงนกหวีดดังที่ 120 เดซิเบล ในขณะที่เสียงแตรรถดังที่ 110 เดซิเบล ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนาน ๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย
ผมสงสัยว่าคนที่ทำงานอยู่กับเสียงดังขนาดนี้นานๆหูอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วก็เป็นได้ และทุกๆ 10 ก้าวผมก็จะเจอยามเป่านกหวีดในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างในเวลานี้ และคงจะไม่แปลกอะไรที่ผมจะยกให้ถนนสีลมแห่งนี้เป็นถนนเส้นที่ดังมากแห่งหนึ่งในโลกนี้
 
หลังจากผมแวะทานก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดและต่อรถไฟฟ้ามาอีกหนึ่งสถานีมาลงยังสถานีสุรศักดิ์เพื่อเดินเข้าหอพักของผม ที่อยู่ติดกับสุสานแต้จิ๋ว ผมต้องเดินเข้าตรอกซอกซอยอีกประมาณเกือบกิโลฯ ในซอยนี้เป็นทั้งชุมชนมุสลิมที่มีมัสยิด และสมาคมของคนจีนที่อยู่ร่วมกันได้
ที่นี่จึงค่อนข้างเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ผมค้นพบ เมื่อถึงหอพักผมหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านจนทะลุปรุโปร่งทั้งเล่ม ทำให้ผมมั่นใจว่าจะเลือกซื้อเพลงของศิลปินคนไหนมาฟังในคืนนี้
ค่ำคืนนี้ผมปิดไฟและเปิดหน้าต่างหลังห้องเพื่อรับลมเย็นๆให้พัดเข้ามาในห้องของผม ผมเปิดเพลงบรรเลงชุดใหม่ที่ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ท ผมเปิดลำโพงเบาๆให้พอได้ยินเสียงทุกๆตัวโน๊ตที่ขับกล่อมผ่านสายกีตาร์จากศิลปิน ความเพลิดเพลินนี้เกิดจากเมโลดี้ที่เรียงร้อยถ้อยคำได้อย่างลงตัว ช่วงจังหวะทำนองที่หนักเบาสลับกันแต่ลงตัวทำให้เพิ่มอรรถรสในการฟังได้ดียิ่งนัก
เสียงประสานจากเครื่องดนตรีอิเล็คทรอนิกส์กลมกลืนกับเสียงสั่นจากสายเหล็กของกีตาร์ ผมเข้าใจแล้วว่าเสียงที่ไพเราะเพียงใดนั้นมันจะต้องประกอบไปด้วยความสงบ ความเงียบสงบจะเป็นตัวขับความไพเราะออกมาจากคลื่นเสียงที่ประกอบกันเป็นท่วงทำนอง
หรือบางทีผมยังคิดว่า แค่เสียงแห่งความเงียบสงบนั้น ก็เป็นเสียงที่เพราะที่สุดในโลกแล้วก็เป็นได้ ผมค่อยๆงีบหลับไปเมื่อฟังเพลงครบทุกเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ความเงียบสงบกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วในคืนนี้
 
ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!

ผมตกใจตื่นในช่วงสายๆของวันหยุด ด้วยเสียงจุดประทัดดังเป็นชุด ผมพลันมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นลูกหลานบรรพบุรุษต่างมาทำพิธีต่อหน้าหลุมศพในสุสานแต้จิ๋วที่ติดหลังห้องผมพอดี ผมอยากจะทวงคืนเช้านี้ที่แสนจะเงียบสงบจากใครสักคน แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะยังเห็นลูกหลานอีกหลายกลุ่มที่เตรียมตัวจะจุดประทัดดังอีกนับสิบครอบครัว
ใจหนึ่งผมก็ยินดีกับความมีน้ำใจของลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันสร้างเสียงดังเพื่อต้องการให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของพวกเขารับรู้ว่าลูกหลานมาเยี่ยม
แต่ผมว่าแค่กระซิบบอกพวกท่านเบาๆพวกท่านก็รับรู้และดีใจแล้วกระมังครับ ไม่ต้องส่งเสียงป่าวประกาศให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมารับรู้ด้วยก็ได้

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...