วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

หมาแก่


พิชิตตำรวจแก่วัยใกล้เกษียณ เขากำลังเสพความสุขสังวาสกับผู้หญิงบริการที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบ 30 ปี สายตาเหม่อลอยเหมือนดูเขาจะไม่มีความสุขมากนัก แต่กับพิชิตที่ความชราใกล้เข้ามาทุกที เขาไร้เรี่ยวแรงและจินตนาการที่จะไปแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีกแล้ว 
"ป๋ามีความสุขมั้ยคะ
หญิงสาวพูดพร้อมเก็บเงินใส่ลงในลิ้นชัก เธอนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยมองทะลุบานกระจก เห็นเงาของพิชิตนอนทอดกายอยู่บนเตียง แสงไฟที่ไม่สว่างมากนักช่วยอำพรางใบหน้าของเขาไม่ให้เผยถึงความรู้สึกที่ด้านชา
ป๋าคะ"  หญิงสาวเร่งเร้า จนพิชิตรู้สึกตัว 
"หะ ! หา... เธอว่าอะไรนะ" 
"วันนี้ป๋ามีความสุขมั้ยคะ" 
"มีสิจ้ะ ป๋ามีความสุขทุกครั้งที่มาหาเธอ" เขาตอบสั้นๆ 
"หนูดีใจที่ได้ยินแบบนั้นค่ะ การทำให้ป๋ามีความสุขก็คือความสุขของหนูด้วย" เธอพูดแต่ไม่ได้สบตากับคนฟัง
"เธอเคยคิดจะออกไปจากที่นี่มั้ย" พิชิตพูดจนหญิงสาวหันไปมองหน้าเขา 
"หมายความว่ายังไงคะ" 
"ป๋าหมายความว่าเธออยากออกไปจากตึกหลังนี้มั้ย อยากออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ" 
"ป๋าก็พูดเป็นละครไปได้ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน" เธอพูด 
"เราหนีไปด้วยกัน ไปอยู่สถานที่ไกลๆห่างจากผู้คน ไปใช้ชีวิตสงบๆด้วยกัน" 
"เมื่อไหร่คะ" 
ไม่มีคำตอบจากพิชิต เขาเดินเข้ามาก่ายกอดกับเธอ ไม่นานฝ่ายหญิงเริ่มเล้าโลมพิชิตอีกครั้ง 
ค่ำคืนนี้ยาวนานเหมือนทุกคืนที่เขาเคยมาที่นี่ และเมื่อพิชิตกลับถึงห้อง อพาร์ทเมนท์เล็กๆของเขา ความเงียบและความเหงาก็หวนกลับคืนมาสู่จิตใจของพิชิตอีกครั้ง แต่ไม่ต้องห่วง พิชิตหิ้วขวดเหล้าติดมือมาด้วยแล้ว คืนนี้ความเงียบเหงาที่รุมเร้าจิตใจของพิชิต อาจจะถูกปัดเป่าไปให้พ้นด้วยฤทธิ์สุรา
เมื่อเขาเมาได้ที่ พิชิตหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋า เขาจ่อปลายปืนเข้าไปในปาก พิชิตนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะลั่นไก ! แต่ปืนไม่มีลูกกระสุน

เช้าวันต่อมาในสถานีตำรวจ
จ่าพิชิต วันนี้เปลี่ยนคู่หูใหม่นะ  พอดีสิบตรีดำรงเขาขอย้ายไปที่ สน. อื่น  และนี่สิบตรีอภิชาต วันนี้เขาจะออกตรวจการณ์กับจ่า" สารวัตรคมสันพูดในที่ประชุมต่อหน้าตำรวจหลายสิบนาย
"โธ่สารวัตร อีกแค่ 7 วันจ่าพิชิตก็จะเกษียณแล้ว ยังไม่เลิกเปลี่ยนคู่หูอีกเหรอจ่า" จ่ายักษ์พยายามพูดถากถางพิชิตให้เป็นเรื่องตลก มีตำรวจบางกลุ่มเห็นเป็นเช่นนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
"พอได้แล้วๆ ระวังปากไว้บ้างนะจ่ายักษ์ แล้วอย่าให้มีปัญหากันอีกล่ะ"
สารวัตรพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องไป ทุกคนต่างแยกย้ายไปที่รถประจำตำแหน่งของตัวเอง อภิชาตเดินตามพิชิตไปที่รถทันที 
พิชิตหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถออกหน้ารั้วสถานีตำรวจ เขามุ่งตรงไปยังเส้นทางที่คุ้นชิน อภิชาตที่นั่งข้างๆมองหน้าเขา 
"สวัสดีครับ ผมสิบตรีอภิชาต เพิ่งจะสอบเข้ามาเป็นตำรวจได้ไม่กี่วันนี่เองอภิชาตพูด พิชิตหันมาสบตาชั่วครู่แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบไป 
"อีกแค่ 7 วันจ่าก็จะเกษียณแล้วใช่มั้ยครับ จ่าเป็นตำรวจมากี่ปีแล้วครับ" อภิชาตพยามชวนคุย พิชิตหันหน้ามามองก่อนจะตอบ 
"30 ปี" 
นายตำรวจหนุ่มยิ้ม 
"ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจ่าจะทำงานมากกว่าอายุผมอีก จ่าเริ่มเป็นตำรวจตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลย" อภิชาตพยายามสร้างความสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนพิชิตจะไม่ใส่ใจ
"จ่ารู้มั้ยว่าผมอยากเป็นตำรวจตั้งแต่เด็ก ตอนเล็กๆผมมีกุญแจมือพลาสติกด้วยนะ" 
พิชิตขับรถไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจกับคำพูดของตำรวจใหม่มากนัก สักพักเขาแวะจอดริมทาง พิชิตจะแวะเข้าร้านขายอุปกรณ์เครื่องมือช่าง
"เอาล่ะ นายรออยู่ในนี้แป๊บนึงนะ ห้ามทำอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย" 
อภิชาตพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ เขาเฝ้ามองพิชิตก้าวเดินลงจากรถและหายเข้าไปในร้าน อภิชาตนั่งรอในรถ เขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาเห็นวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนทะเลาะกันถัดจากรถที่เขานั่งไปไม่ถึง 50 เมตร 
อภิชาตจับตามองดู ความรุนแรงดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ฝ่ายชายใช้มือผลักไปที่หน้าของฝ่ายหญิงหลายครั้ง จนบางครั้งเหมือนจะตบไปที่หัวของเธอ 
อภิชาตลงจากรถทันที เขาเดินเข้าไปที่ชายหญิงคู่นั้น 
"หยุดๆ นายทำอะไรนั่นน่ะ" อภิชาตพูด 
"อะไรกันคุณตำรวจ ผัวเมียมีเรื่องจะคุยกันไม่เกี่ยวกับตำรวจ อย่ามายุ่งน่า" หนุ่มผมยาวผิวดำอารมณ์ร้อนพูด 
"นายกำลังทำร้ายผู้หญิง ถ้าไม่หยุดฉันสาบานว่าจะจับนายไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก" 
"ทำร้ายที่ไหน มีร่องรอยบาดแผลมั้ย อย่ามากล่าวหาผมน่าคุณตำรวจ" 
ชายหนุ่มกระชากหัวของผู้หญิงไปมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีบาดแผล 
"หยุดนะ !" อภิชาตตกใจ เขาคว้าปืนที่เหน็บเอวไว้ขึ้นมาและเล็งไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น 
จังหวะนั้นพิชิตเดินออกมาจากร้านพร้อมถังสีและแปลง เขาเห็นเหตุการณ์ดังนั้นเขารีบปล่อยสิ่งของที่ถือมาทิ้งลงกับพื้น และรีบวิ่งไปแย่งด้ามปืนจากมือของอภิชาตทันที
"นี่นายทำบ้าอะไร อยากโดนสอบวินัยหรือยังไง ไป ! เข้าไปนั่งรอในรถก่อน เดี๋ยวตรงนี้ฉันจะจัดการเอง" 
อภิชาตทำตามที่พิชิตสั่ง จากนั้นพิชิตหันไปที่ชายหญิงคู่นั้น 
"เธอสองคนไปได้แล้ว คราวหลังอย่ามาทะเลาะกันข้างนอก เข้าใจมั้ย ครั้งหน้าคู่หูฉันอาจจะจับนายเข้าคุกได้ รีบไปซะ" 
พิชิตพูดเป็นเชิงตักเตือนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม ก่อนชายหญิงคู่นั้นจะรีบเดินจากไป พิชิตเปิดประตูรถเข้ามานั่งเบาะฝั่งคนขับ เขาค่อยๆโยนด้ามปืนไปใส่บนตักของอภิชาต
"ต่อไปนายต้องระวังหน่อย นายอาจโดนข้อหาใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุ" 
"แต่จ่า ไอ่หมอนั่นมันกำลังจะซ้อมเธอ" 
"เหรอ ฉันยังไม่เห็นบาดแผลบนใบหน้าเธอเลย" 
"ไม่แน่นะจ่า พรุ่งนี้เธออาจเป็นศพลงข่าวหน้าหนึ่งหรือออกทีวี จ่าอยากเห็นข่าวแบบนั้นเหรอ" 
"ฉันไม่อ่านข่าวไม่ดูข่าวในทีวี ในนั้นมีแต่เรื่องเครียดๆทุกวัน" พิชิตพูดในขณะที่ขับรถไปข้างหน้า สีหน้าพิชิตเรียบเฉย 
"โธ่จ่า เราควรทำอะไรได้มากกว่านี้สิ เราเป็นตำรวจ เห็นเหตุร้ายอยู่ตรงหน้าแล้ว" 
"นายเห็นไอ้นั่นเอาปืนจ่อหัวเธอเหรอ" พิชิตพูด ตำรวจหนุ่มเลือดร้อนรู้สึกเสียหน้าเมื่อได้ยินสิ่งที่พิชิตพูด 
"ไม่แปลกใจเลยจ่า ทำไมจ่าทำงานมา 30 กว่าปีไม่เคยจับคนร้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว" อภิชาตพูดในสิ่งที่เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้
"ฉันทำงานป้องปราม ไม่ใช่ปราบปราม" 
"เหรอจ่า ถ้าอย่างนั้นจ่าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพกปืนก็ได้นี่" อภิชาตระบายอารมณ์ด้วยคำพูดถากถาง แต่พิชิตไม่สนใจใดๆ เขาไม่ตอบโต้
ฉันจะบอกอะไรนายให้ พื้นที่นี้ไม่ใช่พื้นที่ในเส้นทางของเรา หากเจอเรื่องแบบนี้ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง รู้มั้ย เราได้คุยกันแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้
อภิชาตหันหน้าหนีพิชิต โชคดีวันนี้ทั้งวัน พิชิตและอภิชาตไม่เจอเหตุการณ์ร้ายๆใดบนท้องถนน นั่นทำให้ทั้งคู่ไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก นอกจากขับรถไปเรื่อยๆตามท้องถนน จะมีก็เพียงแต่บรรยากาศที่ดูอึมครึมในรถตรวจการณ์ อภิชาตรู้สึกอึดอัดนักกับความรู้สึกนี้ แต่กับพิชิตนั้นเขาชาชินกับมันแล้ว

"จ่าพิชิต นี่คือคู่หูใหม่ของจ่าชื่ออุดม" สารวัตรพูดในห้องประชุมตอนเช้า ใครคนหนึ่งในห้องหัวเราะเสียงดังลั่น 
"นี่จ่า ยังไม่หยุดใช้คู่หูเปลืองอีกเหรอ คงไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้แล้วนะ" จ่ายักษ์นักเล่าตลกคนเดิมพูด
"ถ้าจ่าไม่อยากมีปัญหาก็เงียบๆไว้" สาวัตรพูดโต้ตอบทันที
หลังจากประชุม พิชิตเดินออกจากห้องทันที สารวัตรคมสันเดินตามหลังของพิชิต
นี่จ่าสาวัตรพูด
ครับสารวัตร
อีก 6 วันจ่าก็จะเกษียณแล้วใชั่มั้ย
ครับ
ผมขอพูดว่าจ่าเป็นตำรวจที่ดี ความสงบในเมืองของเราจ่าก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น นี่จ่าทำงานมากี่ปีแล้วนะ
 30 ปีครับจ่าพิชิตตอบสั้นๆ แต่สีหน้าของเขาแสดงออกมาได้ถึงความเบื่อหน่ายและสิ้นหวัง จนสารวัตรคมสันสามารถสังเกตได้
เอาน่าๆ ทำงานหนัก 30 ปีเพื่อออกไปใช้ชีวิตสุขสบายอีก 30 ปีที่เหลือ ผมว่ามันคุ้มนะกับจำนวนเงินบำนาญที่จ่าจะได้ในแต่ละเดือน เอาล่ะ ยังไงผมก็ขอให้จ่าโชคดีนะ เหลืออีกแค่ 6 วันจ่าก็จะออกไปใช้ชีวิตอย่างมความสุขสารวัตรคมสันพูดจบก็เดินเร่งฝีเท้าจากไป ปล่อยให้พิชิตยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

พิชิตเดินตรงไปที่รถของเขา ที่นั่นมีตำรวจหนุ่มยืนรออยู่แล้ว
สวัสดีครับจ่า ผมสิบเอกอุดม เสียงคู่หูคนใหม่พูด จากนั้นทั้งคู่ขับรถออกจาก สน.
"ได้ยินว่าจ่าจะเกษียณอีกแค่ 6 วันนี้แล้วใช่มั้ยครับ" 
"ใช่"  พิชิตตอบ 
"ผมเคยคิดนะว่าเวลา 30 กว่าปีนี้เราจะทำอะไรได้บ้างเมื่อเป็นตำรวจ 30 ปีนี่มันนานมากเลยนะครับ ถ้าวันๆได้แต่ขับรถไปมาๆมันจะมีคุณค่าและความหมายอะไรกับชีวิตเราบ้าง" อุดมพูดในขณะที่พิชิตขับรถ
พิชิตไม่ตอบอะไร คำถามเหล่านี้เขาเฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เขายังไม่สามารถหาคำตอบเหล่านั้นได้เลยสักครั้งเดียว 
ตำรวจทั้ง 2 นายขับรถผ่านย่านชุมชนแออัด และเมื่อเขาเลี้ยวผ่านหัวมุม วัยรุ่นชายท่าทางลับๆล่อๆต่างตกใจเมื่อเห็นรถตำรวจ วัยรุ่นผอมแห้งผิวคล้ำเหล่านั้นต่างทำท่าตกใจและวิ่งกันทันที จ่าพิชิตพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร เขาขับรถผ่านไปเรื่อยๆโดยไม่มีท่าทีว่าจะจอดรถ
ทำอะไรครับจ่า จ่าไม่เห็นพวกขี้ยากลุ่มนั้นเหรอครับ
ปลาตัวเล็กจับยังไงก็ไม่มีวันหมดหรอก
เราอาจจะถูกมองว่าเพิกเฉยต่อเจ้าหน้าที่ได้
ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอก ไม่ต้องห่วง
อุดมทำท่าทางไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยิ่งกับการเพิกเฉยในหน้าที่ของจ่าพิชิต
ผมจะเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ อุดมพูด จ่าพิชิตหันมามองหน้าอุดมก่อนที่เขาจะยิ้มหัวเราะ
จ่าหัวเราะอะไร
รู้มั้ยไอ้หนู ฉันเคยเขียนรายงานแบบนี้มาแล้วหลายร้อยครั้งเมื่อตอนที่เข้ามาเป็นตำรวจใหม่ๆ รายงานหลายร้อยชิ้นไม่เคยได้รับการพิจารณาสักครั้งจากผู้บังคับบัญชา ฉันโดนตำรวจคนที่เขียนรายงานหัวเราะเยาะและเกลียดขี้หน้า แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ว่าอะไรนายหรอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ พิชิตขับรถไปข้างอย่างคนอารมณ์ดี หรือบางทีเขาอาจจะแกล้งแสดงความไม่ทุกข์ร้อนใดๆออกมา
จากนั้นอุดมนั่งนิ่งไม่แม้แต่จะมองหน้าพิชิต มีเรื่องราวมากมายที่ตำรวจหนุ่มอย่างเขาต้องเรียนรู้อีกมาก พิชิตมองตำรวจหนุ่มด้วยแววตาอาทร

และวันนั้นก็มาถึง พิชิตนั่งเซ็นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารหลายแผ่นให้เขา พิชิตเซ็นเอกสารครบทุกใบโดยไม่อ่านมันเลย 
"เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว" 
"แค่นี่หรือครับ เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย" 
เจ้าหน้าที่พยักหน้าในขณะก้มลงดูเอกสารฉบับอื่นๆ
พิชิตเดินออกจากโรงพัก ไม่มีคำทักทายใดๆลอยผ่านเข้ามาในหูของเขา ไม่มีงานเลี้ยงอำลาไม่มีของขวัญเป็นการตอบแทนมิตรภาพจากใคร แต่พิชิตไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว 
เขาขับรถออกไปในค่ำคืนที่ความเปลี่ยวเหงาและเคว้งคว้างที่มากกว่าวันที่ผ่านๆมา ในวันพรุ่งนี้เขาอาจจะไม่รู้ว่าจะให้ตื่นเช้ามาทำอะไร แต่คืนนี้เขารู้ดีว่าเขาจะไปที่ไหน 
พิชิตจอดรถในซอกมุมตึกที่แลดูเก่า เขาดับเครื่องและเดินเข้าไปในซ่องแห่งนั้น พิชิตเดินขึ้นบันไดและไปหยุดที่หน้าประตูห้องที่คุ้นเคย เขาเปิดประตูเข้าไปทันที เสียงชายหญิงกำลังทำรักกันอยู่บนเตียง พิชิตทำได้แค่ยืนฟังเสียงร้องอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้จะไปยืนรอที่ไหน ได้แต่แอบหลบมุมด้วยท่าทีกระสับกระส่ายแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่นานเสียงกิจกรรมบนเตียงก็สิ้นสุดลงด้วยความพึงพอใจของแขกผู้มาใช้บริการคู่ขาประจำของพิชิต ชายคนนั้นใส่เสื้อผ้าเดินผ่านพิชิตพร้อมหันมายิ้มอย่างมีความสุขให้พิชิตก่อนเดินหายออกไปจากห้อง
"ความผิดของป๋าเองนะที่มาเร็วกว่าเวลานัด" หญิงสาวโสเภณีพูด พิชิตยกนาฬิกาข้อมือดู
"ใช่ ป๋าผิดเองที่มาเร็ว คือวันนี้ป๋าออกจากที่ทำงานเร็ว ก็เลยขับรถตรงมาที่นี่ ว่าแต่วันนี้หนูมีอะไรใหม่ๆมั้ย"
"แหม ป๋าก้อ พูดแบบนี้แสดงว่าเบื่อ ถ้าอยากลองของใหม่จะเปลี่ยนคนก็ได้นะ" เธอทำท่างอนเล็กน้อย พิชิตคล้อยตามเหมือนถูกสะกด
"ป๋าไม่มีวันทำแบบนี้หรอกจ้ะ หนูก็รู้ว่าป๋ามาที่นี่ไม่เคยไปหาใครเลยนอกจากหนู" พิชิตพูดจบก็เข้ามาเล้าโลมฝ่ายหญิงทันที เธอตอบสนองความกระหายของชายวัยเกษียณแล้ว
บทเพลงรักของเธอและเขาในคืนนี้ซ้ำๆเดิมๆ ไม่มีความตื้นเต้นแปลกใหม่อะไร เธอและเขาต่างก็รู้ดีว่าเพียงแค่ทำมันให้จบๆ พิชิตชาชินกับความซ้ำซากนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีนอกจากเรื่องแบบนี้ และไม่เคยคิดที่ จะเปลี่ยนคู่นอน ส่วนเธอนั้นเพราะมันเป็นหน้าที่

พิชิตทอดกายลงบนเตียงอีกครั้งเมื่อเขาเสร็จกิจ หญิงโสเภณีนั่งบนโต๊ะเก้าอี้ เธอกำลังใช้เข็มฉีดยาจิ้มเข้าไปที่ข้อมือ ก่อนจะใช้นิ้วมือฉีดยาเข้าเส้นเลือด สีหน้าของหญิงสาวแสดงว่าเธอกำลังล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ บนโลกใบนี้ของเธอนั้นช่างสกปรกดำมืดนับตั้งแต่เธอจำความได้ ความโสมมของชีวิตนี้เธอเลือกที่จะใช้ยาเสพติดเป็นเครื่องชำระล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากจิตใจเธอ แม้จะเพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เธอคิดแบบนั้น
หญิงสาวหันหน้ามาทางพิชิตด้วยดวงตาที่เย้ายวน
"ซักเข็มมั้ยป๋า เพียงแค่เข็มเดียวก็สามารถทำให้ความทุกข์จากชีวิตทุเรศๆตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมามันจางหายไปได้" เธอพูดเสร็จก็ทำท่าเมาเคลิ้ม
"ป๋าไม่เล่นยา แค่เห็นหนูป๋าก็มีความสุขแล้ว" พิชิตยิ้มเล็กน้อย เขานอนเอนหลังลงไปกับพื้นเตียงและรอคอยให้คู่ขาหายจากอาการเมา เพื่อเขาจะได้มอบสิ่งของบางสิ่งบางอย่างให้เธอ
พิชิตเลื่อนเก้าอี้อีกตัวมานั่งเคียงข้างเธอ พร้อมหยิบกล่องเครื่องประดับออกมาจากกระเป๋ากางกาง เขาเปิดกล่องและหยิบสร้อยทองพร้อมจี้ฝังเพชรให้เธอ
"อะไรกันคะเนี่ย ของราคาแพงขนาดนี้ป๋าให้หนูเหรอคะ" หญิงสาวรับและทำท่าตื่นเต้น
"ใช่แล้ว ป๋าอยากให้อะไรหนูบ้าง เรารู้จักกันมาเกือบ 15 ปีแล้ว คิดว่าควรมีอะไรให้เป็นของขวัญ" พิชิตพูดเสร็จหญิงสาวเข้ามากอดและทำท่าขอบคุณ
"แต่ป๋าคะ ที่ให้ของนี่เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรมั้ย"
พิชิตหันหน้าไปหาคู่ขา เขาโอบกอดตัวเธอเข้ามาแนบชิด ก่อนจะบรรจงจูบลงไปที่ริมฝีปาก
"ป๋าอยากให้หนูหนีไปอยู่กับป๋า เราจะไปอยู่ด้วยกันที่เมืองเล็กๆ อาจจะเปิดร้านอะไรเล็กๆอยู่ด้วยกัน ป๋าได้เงินบำนาญไว้ใช้หลังเกษียณเดือนละหลายหมื่นเลยนะ หนูว่ายังไงจ้ะ"
หญิงสาวโสเภณีทำสีหน้าเจื่อน เธอไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาเสนออะไรให้เธอแบบนี้
"หนูทำอะไรไม่เป็นเลยนะนอกจากเรื่องแบบนี้" เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่เตียง "หนูไม่อยากไปเป็นภาระของป๋า ถ้าหนูไปอยู่กับป๋าจริงคนในซ่องจะไปลากหนูกลับมาอยู่ดี ป๋าก็รู้ว่าซ่องนี้เป็นของใคร"
"ไม่มีทางที่ใครจะพาหนูกลับมาที่นี่ได้ เราจะหนีไปอยู่ที่ไกลๆ ไม่มีใครหาเราเจอหรอก" พิชิตพยายามหว่านล้อม
"มันเป็นไปไม่ได้หรอก หนูเคยเล่าให้ป๋าฟังหลายครั้งแล้ว หนูถูกบังคับมาขายตัวที่ซ่องนี้ตั้งแต่อายุ 15 ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่มันคือบ้านของหนู"
"แต่เราจะไปสร้างบ้านจริงๆของเราอยู่ก็ได้ ที่นั่นหนูจะมีอิสรภาพ ไม่ต้องถูกกักขังและบังคับให้ต้องเป็นเครื่องบำเรออารมณ์ผู้ชาย"
'เพี๊ยะ !' สิ้นเสียงพูดของพิชิต หญิงโสเภณีตบหน้าของพิชิตเต็มแรง
"ไป !" หญิงสาวน้ำตานองหน้าร้องสะอื้น "ออกไปจากห้องนี้และไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก" เธอชี้นิ้วไล่พิชิต
"ฉันจะบอกให้รู้ไว้นะ ฉันไม่เคยถูกกักขังจากที่นี่ และไม่เคยมีใครบังคับฉันนอนกับผู้ชายเพื่อแลกเงิน และไม่เคยมีใครมาดูถูกอาชีพที่ฉันทำ"
"ดะๆ เดี๋ยวก่อน ป๋าขอโทษ ป๋าแค่เหงาเพราะไม่มีใคร ป๋าไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นทำอะไรหรือจะไปไหน ไม่รู้จะคุยกับใคร คงจะมีหนูคนเดียวในโลกใบนี้ที่ป๋าคุ้นเคยและไว้ใจที่สุด" พิชิตพยายามพูดแก้ตัวและดึงตัวเธอเข้ามากอด แต่หญิงสาวสะบัดตัวหนี
"ฉันจะบอกให้ว่าแกควรทำอะไรบ้าง ถ้าพรุ่งนี้ไม่รู้จะทำอะไร ก็เอาปืนของแกระเบิดสมองตัวเองให้ตายไปเลย ไป ! ออกไปแล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก"
หญิงสาวพูดจาจริงจังจนพิชิตไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เขาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง

รถยนต์คันเก่าขับเร่งเครื่องออกไปอย่างไร้ทิศทาง มันเป็นความโหดร้ายที่คนอย่างพิชิตเท่านั้นที่จะเข้าใจ ในหัวของเขาตอนนี้ไร้จุดหมายใดๆ เท่าที่เขาคิดได้ตอนนี้ก็คงมีเพียงแต่เหล้าหรืออาจจะเป็นยาเสพติดที่อดีตคู่ขาของเขาแนะนำไว้ ยาเสพติดที่เขาคิดว่าจะหาซื้อได้ง่ายจากหลายหัวมุมถนน ง่ายกว่าขวดเหล้าที่กว่าจะมีร้านขายก็ต้องผ่านไปหลายแยก พิชิตพยายามมองหาวัยรุ่นขี้ยาที่ออกเดินหาลูกค้าตามท้องถนน แต่เขายังไม่เจอใคร
เมื่อมองไม่เห็นคนขายยา เขานึกขึ้นได้ถึงคำพูดจากผู้หญิงคนนั้น เธอบอกว่าให้เอาปืนยิงหัวตัวเองตาย หากไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร และแน่นอนว่าพิชิตก็ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอะไรเช่นกัน พิชิตจอดรถข้างทางใต้โคมไฟจากเสาไฟฟ้า เขาจำได้ว่าที่นี่คือร้านขายอุปกรณ์เครื่องมือที่เขาเพิ่งจะมาซื้อสีและแปรงเมื่ออาทิตย์ก่อน กระบอกปืนที่ไร้ลูกกระสุนถูกหยิบออกมาจากใต้ลิ้นชักหน้ารถ เขาไม่ลืมที่จะหยิบกล่องกระดาษบรรจุลูกกระสุนออกมาด้วย
พิชิตบรรจงใส่ลูกกระสุนปืนลงในลูกโม่จนครบทุกช่อง ในความมืดมิดเขาทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างช่ำชอง ก่อนที่เขาจะมาเป็นตำรวจ เขาเข้ารับการฝึกในโรงเรียนตำรวจ และสิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือเรื่องปืนและการเข้าจู่โจม แต่ทว่าระบบตำรวจที่เน่าเฟะทำให้เขาถูกกีดกันจากสิ่งเหล่านั้น
เขาจ่อปลายกระบอกปืนเข้าไปในปากเหมือนกับครั้งก่อนๆ เพียงแต่ว่าครั้งนี้นิ้วที่คอยจะลั่นไกปืนกับไม่สามารถบังคับให้มันทำหน้าที่ได้ หรือเพราะว่าครั้งก่อนๆพิชิตรู้อยู่แล้วว่าปืนไม่มีลูกกระสุน แต่ครั้งนี้เขารู้ดีว่าหากเพียงลั่นไกปืนเมื่อไหร่ สมองนิ่มๆของพิชิตจะออกมากองกันอยู่ข้างนอกหัวของเขา พิชิตคิดว่าเขาอาจจะกลัวเกินไป
ความกลัวไหนเหรอที่พิชิตกลัว คงไม่ใช่ความตายหรอก แต่น่าจะเป็นการตายที่ไร้ความหมายใดๆ พิชิตคิดถึงคนจำนวนมากที่จะหัวเราะเยาะเมื่อรู้ว่าเขาตายในสภาพที่ไร้ค่าเยี่ยงนี้ หน้าของจ่ายักษ์พร้อมเสียงหัวเราะลอยเข้ามาในหัวทันที และนี่เองที่เป็นสิ่งที่จ่าพิชิตกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับนิ้วบนไกปืน
ความลังเลนี้กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้ม พิชิตพยายามอดกลั้นเสียงร้อยโหยหวนจากความเศร้าครั้งนี้ไม่ให้ลอดผ่านออกมาได้ ความทรมานในครั้งนี้สามารถจบลงไปได้เพียงแค่เขาขยับไกปืน พิชิตรวบรวมกำลังที่นิ้วมืออีกครั้ง เขาสามารถใช้นิ้วแตะที่ไกปืนได้แล้ว ขอเพียงแต่ออกแรงอีกนิด คมกระสุนก็จะทะลุผ่านปากขึ้นไปหาสมองของเขาได้ แต่ทันใดนั้น !
โครม...!
เสียงร่างๆหนึ่งกระแทกเข้ากับป้ายเหล็กที่ห่างออกไปจากรถของพิชิตไม่ถึง 50 เมตร พิชิตก้าวเท้าออกมาจากปากขุมนรกด้วยการเอาปลายกระบอกปืนออกจากปาก เขาสงสัยว่าเสียงนั่นเกิดจากอะไร พิชิตเพ่งไปยังต้นเสียงนั่น เขาเห็นหนุ่มวัยรุ่นผมยาวผิวดำ คนที่อดีตคู่หูอภิชาตเข้าไปตักเตือนเมื่ออาทิตย์ก่อน เจ้าหนุ่มผมยาวผอมแห้งท่าทางขี้ยานั่นกำลังซ้อมผู้หญิงคนเดิม เธอแสดงท่าทางที่หวาดกลัวเพราะกำลังถูกทำร้ายร่างกาย หนุ่มขี้ยาทั้งเตะ ถีบและประเคนหมัดใส่เธอจนเธอล้มลงไปนอนกองกับพื้น จากนั้นมีเสียงตะโกนด่าจากผู้ชายทิ้งท้ายก่อนหนุ่มขี้ยาจะใช้เท้ากระทืบเข้าไปที่ท้องของเธออีกหนึ่งครั้งและเดินจากไป
พิชิตเปิดประตูรถแล้วรีบเดินตรงไปที่เธอทันที หญิงสาวอยู่ในสภาพบอกช้ำสาหัสมากแต่ยังมีสติ
"หนู ยังรู้สึกตัวมั้ย" พิชิตพยายามประครองร่างหญิงคนนั้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรเรียกรถพยาบาลทันที จากนั้นหญิงสาวลืมตาขึ้นมาด้วยตาข้างเดียวเพราะอีกข้างปิดไปแล้วเพราะบอบช้ำ
"คุณตำรวจวันนั้นนี่" เธอฝืนพูด
"ใช่ วันนั้นฉันเห็นเธอสองคนทะเลาะกัน"
พิชิตพูดเสร็จ หญิงสาวแสดงแววตาที่โกรธแค้นออกมาทันที
"ทำไมวันนั้นไม่ลากไอ้ชั่วนั่นไปเข้าคุก หากวันนั้นจับมันเข้าคุกได้ วันนี้หนูคงไม่ต้องทรมานขนาดนี้" เธอพูดพร้อมร้องไห้ฟูมฟายและน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
"ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ไม่ทำอะไรสักอย่างในวันนั้น ว่าแต่ไอ้หมอนั่นมันซ้อมเธอทำไม"
"มันมาเอาเงินของหนูไปซื้อยาเสพติด มันเมามากถึงได้ซ้อมหนูถึงขนาดนี้ คุณตำรวจช่วยเอาปืนไปยิงหัวมันหน่อยได้มั้ย"
"มันไปเอายาที่ไหน"
"มันไปที่นี่..." หญิงสาวบอกตำแหน่งของแหล่งค้ายาให้พิชิต "หากเป็นไปได้ก็ฆ่ามันทิ้งเลย มันพกปืนไว้ตลอดเวลา" เธอพูดเสร็จ รถพยาบาลก็มาถึงพอดี เจ้าหน้าที่เดินลงจากรถพร้อมอุปกรณ์
"หนูปลอดภัยแล้ว ที่เหลือฉันจะจัดการเอง" พิชิตเดินกลับไปที่รถและหยิบปืนกระบอกนั้นออกมา เขาคิดในใจว่า
'เอาวะ ! ก่อนตายขอทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง ไหนๆก็จะตายอยู่แล้ว'
เขาลังเลที่จะโทรไปขอกำลังเสริม เพราะเวลานี้พิชิตพ้นจากหน้าที่แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะจบเรื่องนี้เพียงลำพัง
พิชิตทะยานบึ่งรถออกไปบนถนนสายว่างเปล่าไร้รถสัญจร หัวใจที่ฮึกเหิมพองโตในสมัยที่เริ่มเป็นตำรวจใหม่ๆ ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง

ถนนสายแสงไฟสลัวแต่คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นขี้ยา คนจรจัดและหญิงขายบริการ พิชิตค่อยๆเดินฝ่าแสงไฟจากเสาที่ติดบ้างดับบ้าง เขาเห็นเป้าหมายทันที หนุ่มขี้ยาคนนั้นกำลังต่อรองซื้อขายยากับคนขาย บ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพังเป็นแหล่งขายยาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย พิชิตเคยคิดที่จะบุกค้นบ้านหลังนี้มานานแล้วแต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะถูกเบื้องบนสั่งห้ามทุกครั้ง และในครั้งนี้พิชิตไม่ต้องรอฟังคำสั่งใครแล้ว พิชิตไม่กลัวโทษทางวินัย ไม่กลัวโทษทางกฎหมายในฐานบุกรุก เพราะเขาคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรที่อยู่เหนือความตาย ซึ่งพิชิตเพิ่งจะผ่านพ้นความตายมาได้เมื่อสักครู่นี้เอง
เป้าหมายขี้ยาคนนั้นเดินจากไปโดยที่พิชิตไม่สนใจอีกแล้ว เขาขยับด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ในถุงเสื้อให้กระชับ ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูนั่นและเคาะเรียกคนที่อยู่ในนั้นเสียงดังลั่น
ประตูเปิดทันทีผมชายหนุ่มถ้าท่ากระเซอะกระเซิงผมฟูไม่ได้ระเบียบ
อะไรวะ มึงอยากตายหรือยังไงกัน !
เปรี้ยง !!
            พิชิตยิงปืนไปที่ไหล่ของชายหัวฟูทันทีหนึ่งนัดโดยไม่เสียเวลาพูดพร่ำทำเพลงใดๆ หนุ่มที่ถูกยิงล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที พิชิตใช้เท้าเหยียบเข้าไปที่หน้าอกทันทีก่อนจะเริ่มถาม
“ไอ่เปี๊ยกอยู่ไหนพิชิตพูดถึงชื่อของเจ้าของบ้านที่เขาแอบตามสืบลับๆมานานหลายปีแล้ว
เปี๊ยกไหน กูไม่รู้จัก แกเป็นตำรวจใช่มั้ย รู้ใช่มั้ยว่าใครมาซ่าแถวนี้จะโดนอะไรชายที่นอนจมกองเลือดยังไม่เข้าใจสถานการณ์
พิชิตเล็งปืนไปที่ท้องและลั่นไกทันที เสียงร้องดังลั่นจากความเจ็บทรมานครั้งนี้คงหนักหนาเกินกว่าที่ใครจะทนไหว
ยอมแล้วๆ เรียกรถพยาบาลที ผมยังไม่อยากตายครับคุณตำรวจไอ่เปี๊ยกเมายาอยู่ในบ้านชายหัวฟูรีบพูดในสิ่งที่พิชิตถามทันที เสียงพูดปนกับเสียงร้องแสดงความเจ็บปวด ปัดโธ่ ! คุณตำรวจ ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ซักทีสิวะ !
คนอย่างแกไม่จำเป็นต้องใช้รถพยาบาลหรอก ไปโรงพยาบาลให้เสียเวลาหมอทำไมพิชิตพูดจบก็ฝังคมกระสุนลงไปที่หัวของคนขายยาทันที ทันใดนั้นมีชายอีก 2 คนวิ่งออกมาจากห้องในบ้านพร้อมปืนคนละกระบอก
เฮ้ย ! อะไรวะชายรูปร่างขี้ยาอีก 2 คนระดมยิงปืนใส่พิชิตทันที แต่สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกใช้ปืนอย่างจริงจังๆมาก่อน ทำให้วิถีกระสุนวิ่งสะเปะสะปะไร้ทิศทาง พิชิตเพียงแค่พลิกตัวหลบให้พ้นวิถีกระสุนนิดหน่อย ก่อนจะกดไกปืนไปเพียงแค่ 2 ครั้ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไปนอนกองกับพื้นทั้งคู่อย่างแน่นิ่ง
พิชิตเดินเข้าไปในห้อง สิ่งที่เขาเห็นคือไอ่เปี๊ยกนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ข้างๆมีผู้หญิงอีก 4-5 คนนอนเปลือยเปล่าก่ายกอดกันอัดแน่นบนเตียง พวกเธอก็คงจะเมาหลับไปเพราะฤทธิ์ยาเช่นเดียวกัน พิชิตยิงปืน เสียงดังเพื่อให้ไอ่เปี๊ยกตื่น
อะไรกันวะ ! ใครทะลึ่งมายิงปืนในห้องนี้เปี๊ยกสะลึมสะลือลุกขึ้นมาในห้องที่ไม่ค่อยมีแสง
ไอ่เปี๊ยก วันนี้เป็นวันตายของมึง กูอยากจะจับมึงเข้าคุกมานานแล้วพิชิตเล็งปืนไปที่เปี๊ยก เปี๊ยกพยายามเพ่งมองเจ้าของเสียงนั้น
อ้าว นั่นจ่าพิชิตนั่นเอง ผมก็นึกว่าใคร วันนี้จ่ามาล้อเล่นใช่มั้ย ผมไม่สนุกด้วยหรอก แต่เอาเถอะผมจะปล่อยให้จ่ากลับบ้านไปดีๆโดยไม่มีใครเจ็บตัวซักคน” เปี๊ยกพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
พิชิตยิงปืนขู่อีกนัดทันที ผู้หญิงรอบข้างต่างตกใจตื่นกันถ้วนหน้า พวกเธอต่างพากันวิ่งหนีออกจากห้องเมื่อเห็นพิชิตยืนถือปืนที่เพิ่งจะส่งเสียงคำรามน่าสะพรึงกลัวออกมา
เดี๋ยวๆ จ่าอย่าเพิ่งยิงนะ มีอะไรเราค่อยๆคุยกันก็ได้ ถ้าจ่าแค้นผมเรื่องคราวนั้นผมขอโทษก็ได้ เอาอย่างนี้มั้ย บนโต๊ะนั่นมีเงินอยู่เต็มกระเป๋า จ่าเอามันออกไปเลยเปี๊ยกชี้นิ้วไปที่โต๊ะ บนนั้นมีกระเป๋าใบใหญ่วางไว้ แต่พิชิตไม่สนใจในสิ่งที่เปี๊ยกพูดเลยสักนิด เปี๊ยกเห็นท่าทีไม่ได้ผล จึงพูดอ้อนวอนขอร้อง
ไม่เอาน่าจ่า จ่าฆ่าผมแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ผมตายแล้วประเทศเราจะดีขึ้นเหรอ พวกขี้ยาจะหมดไปจากเมืองเราเลยเหรอ ผมก็แค่ปลาซิวปลาสร้อยน่าจ่า ผมตายไปคนนึงไม่ทำให้วงการค้ายาสะเทือนไปได้เลยแม้แต่น้อย
พิชิตเริ่มสนใจในสิ่งที่เปี๊ยกพูด เขาเริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะไม่ฆ่าเปี๊ยกแล้ว แต่ปืนในมือพิชิตก็ยังพร้อมเล็งไปข้างหน้า
มึงมีอะไรจะเสนอ
พรุ่งนี้ผมจะไปรับยา ถ้าจ่าสนใจผมจะบอกสถานที่และเวลา ขอเพียงจ่าปล่อยผมไปพร้อมกระเป๋าใบนั้นเปี๊ยกพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่โต๊ะ
ได้ กูรับข้อเสนอมึง แต่มึงจะไปได้หลังจากจบงานนี้เท่านั้น"
"เดี๋ยวๆ หลังจากจบงานอะไรกัน ก็แค่ผมบอกจ่าเสร็จนั่นก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ"
"มึงต้องพากูไปที่นั่นเพื่อพบพ่อค้ายา"
"อะไรกันจ่า ถ้าทำอย่างนั้นเท่ากับว่าผมเดินเข้าไปหาที่ตายชัดๆ จ่าไม่รู้เหรอว่าพวกนั้นโหดกันขนาดไหน" เปี๊ยกแสดงสีหน้าหวาดกลัว
พิชิตหันปลายกระบอกปืนไปที่เปี๊ยกพร้อมทำหน้าดุ
"มึงอยากตายช้าหรือยากตายเร็ว"
เปี๊ยกทำสีหน้าจำยอมทันที เพราะเขารู้ดีกว่าสิ่งที่เขาเคยทำกับจ่าพิชิตนั้นมันทำให้เจ้าของปืนลั่นไกโดยง่ายโดยไม่ต้องลังเลอะไรมากนัก

ท่าเรือร้างที่มีแต่ซากเรือนอนเกยตื้นนับร้อย สถานที่นี้เป็นใช้เป็นแหล่งนัดพบได้ดียิ่งนัก เพราะคงไม่มีใครสักคนในเมืองนี่ที่จะอยากมาอยู่ในสถานที่แสนเปลี่ยวและเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมัน
"ไอ่เปี๊ยก มึงแน่ใจนะว่าที่นี่" จ่าพิชิตถาม
"แน่ใจสิจ่า อีก 10 นาที" เปี๊ยกพูดพร้อมยกนาฬิกาข้อมือยื่นให้พิชิตดู 
พิชิตมองตรงไปข้างในจุดที่เปี๊ยกบอกไว้ว่าจะเป็นจุดนัดพบของคนส่งยากับเปี๊ยก
"จะให้ผมทำยังไงต่อ"
พิชิตหยุดคิดไปชั่วหนึ่ง
"มึงไปรับยาตามปกติเลย ส่วนกูจะซ่อนอยู่ตรงนี้ ขอให้ให้เห็นหน้าของคนส่งยาก็พอ"
ทั้งคู่นั่งรออยู่หลังโขดหินสกปรกซ่อนตัวอยู่เงียบๆ สักพักเปี๊ยกเดินออกไปรอยังจุดนัดพบ และเวลาผ่านไปไม่นาน รถกระบะสีดำมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามาจอดพร้อมดับเครื่องยนต์ แต่ไฟหน้ารถยังคงส่องสว่างไปที่เปี๊ยก
“ว่าไงเปี๊ยก มาตรงเวลาดีนี่” ชายคนหนึ่งเดินลงจากรถแล้วพูด
“คนจะทำธุรกิจกันเรื่องเวลาสำคัญที่สุด กูไม่อยากทำให้พวกมึงเสียเวลา”
ชายตรงหน้าเปี๊ยกยิ้ม สักพักชายอีกคนเดินลงมาจากรถพร้อมกล่องหนังสีดำใบใหญ่
"นี่กระเป๋าเงิน" 
เปี๊ยกยื่นกระเป๋าที่เขาพกมาด้วยให้กลุ่มชาย 3 คน ชายคนหนึ่งรับกระเป๋าไปเปิดดู ก่อนที่ชายอีกคนหนึ่งจะวางกล่องสีดำสนิทไว้ตรงหน้า เปี๊ยกรีบเปิดกล่องออกดู แต่ความว่างเปล่าในกระเป๋าทำให้เปี๊ยกตกใจอย่างสุดขีด
"อะไรกันวะนี่ แล้วยาไปไหน !" เปี๊ยกพูดตะโกนเสียงดัง เพราะรู้สึกเสียหน้าจากการถูกหักหลังครั้งนี้
ผัวะ !! เปี๊ยกล้มหงายหลังจากแรงถีบของชายคนหนึ่ง เปี๊ยกยังคงนอนกองอยู่กับพื้น
"เสียใจด้วยว่ะไอ่เปี๊ยก ครั้งนี้ไม่มียา พวกข้ามีแต่ลูกปืนมาฝากแก" ชายเจ้าของเสียงพูดพร้อมยกปืนขึ้นมาและเล็งไปที่หัวเปี๊ยก
"เดี๋ยวๆ หมายความว่าลูกพี่พวกมึงสั่งเก็บกูเหรอ" เปี๊ยกถาม
ชายทั้ง 3 หัวเราะร่า
"เปล่าหรอกไอ่เปี๊ยก กูจะบอกมึงให้ก็ได้ ไหนๆมึงก็จะตายอยู่แล้ว ยาทั้งหมดอยู่ในรถนั่น แต่พวกกูจะรายงานนายว่ามึงถูกตำรวจยิงตายไปก่อน เงินที่แกหอบมาพวกกูก็จะเก็บไว้แบ่งกันเอง และยาก็ส่งคืนนายไป ลาก่อนไอ่เปี๊ยก" ชายถือปืนเล็งไปที่หัวเปี๊ยกและกำลังจะเหนี่ยวไก แต่ว่าเสียงปืนดังขึ้นก่อน 3 นัด
เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เปรี้ยง !!
ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ข้างหลังล้มลงนอนกับพื้นทันที มีแต่ชายถือปืนถูกยิงเข้าที่ไหล่จนเข้าทรุดลงไปกับพื้น
"จ่า !" เปี๊ยกร้องดังลั่นพร้อมมองไปที่ต้นเสียงของปืน จ่าพิชิตเดินออกมาจากทีซ่อน เขามองไปที่เปี๊ยกก่อนจะแอบทำท่าขยิบตาให้ เปี๊ยกเห็นท่าทางนั้นก็ยืนงงไปชั่วครู่ แต่สักพักเขาก็ทำหน้าเข้าใจสัญญาณที่พิชิตส่งให้
เปี๊ยกเล่นละครทันที เขาทำเป็นว่ามีพิชิตเป็นมือปืนที่ติดตามเขามาด้วย คราวนี้เป็นทีที่เปี๊ยกจะถีบเข้ากลางอกของชายที่ถูกยิง ให้ล้มกลิ้งไปกับพื้น
"กูกะแล้วว่าจะพวกมึงจะมาไม้นี้ ไม่เสียแรงที่กูจ้างมือปืนมือดีมาคุ้มกัน คราวนี้แหละมึงจะได้ลงนรกสมใจ แต่ก่อนมึงจะตายกูจะบอกอะไรมึงให้ กูจะเก็บเงินในกระเป๋านั้นไว้และเข้าไปเอายาในรถ จากนั้นจะส่งพวกมึงทั้ง 3 คนลงไปนอนคุยกับต้นหญ้าใต้ทะเลนี้ มึงรู้มั้ยว่าจะเป็นยังไงต่อ”
เปี๊ยกใช้มือดึงหัวของคนส่งยาขึ้นมา เขาจ้องไปที่แววตาชายคนนั้นด้วยสีหน้าที่ดุดัน แต่คนส่งยากลับพ่นน้ำลายไปที่หน้าของเปี๊ยก เปี๊ยกเช็ดคราบน้ำลายออกจากใบหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา
“มึงทำได้ดีไอ่อุดมโชค มึงคิดว่ากูจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมึงเลยเหรอ กูรู้ข้อมูลทั้งหมดของมึงรวมทั้งไอ่สองตัวที่นอนตายอยู่ตรงนั้นด้วย มึงมีพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด มึงส่งเงินให้ใช้เดือนละหลายหมื่น เมียมึงเปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน มีลูก 2 คน คนหนึ่ง 10 ขวบเข้าโรงเรียนแล้ว อีกคนกำลัง 3 ขวบวัยกำลังน่ารักเชียว มึงคิดดูสิถ้ามึงหายไปพร้อมยาโดยไม่สามารถติดต่อได้ คนทุกคนที่กูพูดมาจะถูกนายของมึงฆ่าตายหมดโทษฐานที่มึงทรยศ” เปี๊ยกพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันยอมแล้ว อย่าให้พวกเขาทำอะไรครอบครัวฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ จะให้ฉันทำอะไรฉันยอมหมดทุกอย่างแล้ว” คนส่งยาร้องร่ำไห้หวาดกลัวในสิ่งที่เปี๊ยกพูด
เปี๊ยกลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปมองที่พิชิต พิชิตยิ้มที่มุมปากแสดงความพึงพอใจจากนั้นก็พยักหน้าให้เปี๊ยกหนึ่งครั้ง
“เอาล่ะ กูต้องการซื้อยาจากหัวหน้าของมึงโดยตรง”
“แต่ !” คนส่งยาพยายามจะทักท้วงอะไรบางอย่าง
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น สิ่งที่กูต้องการคือข้อมูลของเจ้านายมึง รวมถึงวิธีการติดต่อ ไม่ต้องการความเห็นของมึงด้วย เข้าใจมั้ย”
คนส่งยาพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“โกดังเก็บยาอยู่ที่นี่” คนส่งยากยื่นนามบัตรให้เปี๊ยก "วีธีที่จะเข้าไปเอาได้จะต้องติดต่อไปที่นายสมซึ่งเป็นนายของฉัน โกดังยาจะไม่ขายยาให้กับคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน ฉันบอกทุกอย่างไปหมดแล้ว ถ้าหัวหน้ารู้ว่าฉันตั้งใจจะโกงพวกนาย ครอบครัวฉันก็ไม่รอดอยู่ดี ยังไงฆ่าฉันด้วยก่อนไป” คนส่งยาแสดงสีหน้าสลด แต่ก็ยอมรับสภาพความเป็นจริง
พิชิตส่งสายตาอาธรให้กับคนส่งยา เขาคิดว่าแม้คนที่เลวร้ายทำเรื่องชั่วๆมามากมายปานใด แต่ถ้าคนๆนั้นยังห่วงใยบุพการีและครอบครัว คนๆนั้นก็ยังพอมีคุณค่าแห่งความเป็นคนอยู่บ้าง อย่างน้อยแล้วคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์นั้นอาจจะอยู่ที่การมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงไปยังบุคคลอื่นๆ พิชิตมองดูตัวเองที่ไม่มีญาติพี่น้องใดๆให้เหลียวแล ไม่มีเพื่อนสักคนให้ออกไปใช้ชีวิตสนุกสนาน ไม่มีคู่ชีวิตให้ปรึกษา พิชิตนึกถึงโสเภณีคนที่เขาอยากจะพาไปใช้ชีวิตคู่ เขาคิดถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างและความเหงาว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่โหดร้ายเหลือเกินที่เขาจะทานทนมันได้อีกต่อไปแล้ว
“นายชื่ออุดมโชคใช่มั้ย ถ้ามีทางที่จะช่วยเหลือครอบครัวนาย นายจะยอมทำมั้ย” พิชิตถาม
“มาถึงจุดนี้แล้ว ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขาปลอดภัย” อุดมโชคพูด
พิชิตส่งสัญญาณบอกให้เปี๊ยกออกไปคุยกับเขาสองคน เปี๊ยกเดินตามพิชิตอออกไป

“เราจะใช้เจ้านี้เป็นนกต่อเพื่อสาวไปถึงหัวหน้าขบวนการ” พิชิตพูด
“จะบ้าหรือไงจ่า มันยังไม่จบอีกเหรอ ผมพามาเจอกับคนส่งยาแล้ว ผมทำงานของผมจบแล้วนะ ต่อไปไม่ต้องใช้งานผมแล้วใช่มั้ย”
“นี่มึงลืมไปแล้วหรือไง กูเพิ่งจะช่วยมึงไว้ไม่ให้โดนเป่าสมองเมื่อกี๊นี้เองนะ ตอนนี้แผนเปลี่ยนแล้ว ไหนๆเราก็มาถึงตรงนี้แล้วถ้าล้มเลิกตอนนี้มึงจะโดนหัวหน้าของอุดมโชคมาตามเก็บมึง เพราะมันรู้ว่าลูกน้องมาส่งยาให้มึง” พิชิตพูดเสียงจริงจัง เปี๊ยกเริ่มกลัว
“ก็ได้ๆจ่า นี่ถ้าไม่เห็นว่าจ่าช่วยชีวิตผมไว้นะ จ่าจะเอายังไงก็ว่ามาเลย”
“กูอยากรู้ว่าเจ้าของโกดังเก็บยานั่นเป็นใครกัน ถ้าทำลายโกดังมันได้คงทำให้ขี้ยาในเมืองเราคงน้อยลงบ้าง”
“เดี๋ยวก่อนจ่า จ่าก็รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังยาเสพติดในเมืองเรา หากใครคิดจะไปต่อสู้มีหวังตายกับตาย”
“แล้วมึงรู้เหรอว่าใครอยู่เบื้องหลัง” พิชิตถาม เปี๊ยกอ้ำอึ้งตอบไม่ได้
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่ามีอำนาจมาก แต่เรื่องนี้มันถึงตายเลยนะจ่า ดูสิมีตำรวจคนไหนกล้ามายุ่งกับยาเสพติดบ้าง”
“กูเกษียณออกจากตำรวจแล้ว และก่อนหน้านี้กูเพิ่งจะฟื้นออกมาจากความตายเหมือนกับมึง จึงไม่คิดเรื่องกลัวตาย และไอ้ระบบบ้าๆของตำรวจนี่แหละที่มันฉุดรั้งกูไว้ไม่ให้ออกมาต่อสู้กับยาเสพติด แต่ตอนนี้กูไม่แคร์แล้วกับระบบเฮงซวยนั่น”
“เอางั้นเหรอจ่า ก็ได้ๆ ถือเสียว่าถ้าผมช่วยจ่าล้มโกดังยาเสพติดนั่น มันคงจะชดเชยในสิ่งที่ผมเคยทำชั่วไว้ก่อนหน้านี้ได้”
“ดีมากไอ่เปี๊ยก เดี๋ยวเราจะไปกล่อมอุดมโชคให้มาเป็นพวกเรา ว่าแต่มึงรู้ได้ยังไงเกี่ยวกับครอบครัวของอุดมโชค”
“ไม่มีอะไรมากหรอกจ่า ผมเคยได้ยินมันคุยโม้ในวงเหล้ากับพรรคพวกมันเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นมันคงจำผมไม่ได้เลยมั้ง”
ทั้งคู่เดินเข้าไปหาอุดมโชคที่ยังนั่งลงกลับพื้น

“นี่นายอุดมโชค ความจริงแล้วพวกเราเป็นตำรวจ เปี๊ยกคือสายตำรวจ  เราไม่ต้องการให้ใครตาย แต่ก็อย่างว่าแหละนะ เราต้องดูแลคนในทีม” พิชิตพูดต่อหน้าอุดมโชค
“ผมเข้าใจครับคุณตำรวจ” อุดมโชคพูด
“แกเป็นจ่า” เปี๊ยกแนะนำ
“ครับจ่า”
“ฉันคิดว่านายจะร่วมมือกับเรา เพราะตอนนี้เหตุการณ์มันบังคับแล้ว ว่ายังไงจะร่วมมือกับเรามั้ย”
“ผมเอาด้วยอยู่แล้ว” อุดมโชคพูด
“ถ้าอย่างนั้นเรามีแผนแบบนี้ นายไปบอกว่าไอ่เปี๊ยกเกิดหักหลังในการเจรจาซื้อขาย เปี๊ยกยิงคนของนายตายไป 2 และยิงไหล่นายบาดเจ็บ แต่นายก็ไล่ยิงไอ่เปี๊ยกจนหนีไปได้ ทั้งเงินและยายังอยู่กับนาย ถ้าเอาสองสิ่งนี้ไปให้นายสม เขาต้องพอใจและไม่สงสัยในตัวนาย”พิชิตอธิบาย
“วิธีนี้เข้าท่าดี แล้วต่อไปจะให้ผมทำยังไงต่อ” อุดมโชคเห็นด้วยกับแผน
“จากนั้นเราจะรอจังหวะที่นายสมไปติดต่อซื้อยาจากโกดัง นายจะได้ติดตามนายสมไปด้วยมั้ย”
“ใช่ ผมมีหน้าที่ขับรถเข้าไปขนยา”
“ดีมาก ในจังหวะที่พวกนายเข้าไปในโกดัง ฉันจะแอบซ่อนอยู่ใต้ท้องรถเข้าไปในโกดัง ในนั้นคงจะมีหลักฐานอะไรที่สามารถระบุได้ถึงตัวหัวหน้าขบวนการ”
"ตามนั้นจ่า ถ้าถึงเวลานั้นผมจะส่งสัญญาณไป จ่าไม่ต้องลำบากอยู่ใต้ท้องรถ วันนั้นจะมีลูกน้องอีก 2 คนตามไปด้วย จ่ากับเปี๊ยกสวมรอยเป็นลูกน้องแล้วติดตามเข้าไป”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายกลับไปได้แล้ว เอาศพ 2  คนนั่นกลับไปให้นายสมดู และถ้าถึงเวลานั้นก็โทรมาที่เบอร์นี้” พิชิตพูดพร้อมจดเบอร์โทรให้กับอุดมโชค จากนั้นอุดมโชคขนศพทั้งสองขึ้นรถและขับมันออกไป

อุดมโชคจากไปแล้ว เหลือแต่พิชิตและเปี๊ยกยืนอยู่ตรงนั้น
“แหมจ่า ทีกับไอ้อุดมโชคจ่าพูดฉันกับนาย ทีผมล่ะใช้มึงๆกูๆ มันน่าน้อยใจนัก” เปี๊ยกทำท่าหยอกล้อกวนประสาท
“แค่กูคุยดีๆกับมึงได้ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้วไอ่เปี๊ยก เมื่อก่อนมึงกับกูแทบจะยิงกันตาย” พิชิตตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เปี๊ยกยิ้นเขินๆ
“โอเคจ่า โอเค ตอนนี้เราดีกันแล้วนี่ แต่ช่างเถอะจ่าจะว่ายังไงผมก็ว่าตามนั้น แต่จ่าไว้ใจไอ้อุดมโชคได้เหรอ”
“น่าจะไว้ใจได้ มันก็คงกลัวว่ามึงจะเอาเรื่องที่มันคิดจะโกงไปฟ้องนายมันเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ อย่างมากก็แค่ตายล่ะน่า”
“เอ่อ ถ้าเลือกได้ผมยังไม่ตายดีกว่านะ” เปี๊ยกตัดพ้อเล็กน้อย

พิชิตพาเปี๊ยกมากบดานอยู่ที่อพาร์ทเมนท์เล็กๆของเขา ช่วงเวลาที่เฝ้าคอยการติดต่อจากอุดมโชคทั้งสองใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เปี๊ยกอยู่แต่ในห้องไม่ยอมออกไปไหนเพราะขึ้นบัญชีดำของพวกค้ายาแล้ว และในช่วงเวลานี้ที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ทำให้ความแค้นเคืองจากอดีตถูกลืมเลือนไปจากทั้งสอง เหตุการณ์ในครั้งนี้คงจะเปลี่ยนชีวิตของเปี๊ยกจากคนขายยาให้กลายเป็นสุจริตชนได้
และแล้วอุดมโชคก็ติดต่อมา เขาส่งข้อความ SMS จากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่โชว์เลขหมาย ข้อความบอกถึงกำหนดการนัดแนะ และสถานที่นัดเจอกัน พิชิตและเปี๊ยกออกเดินทางไปยังสถานที่นัดหมายทันทีที่ถึงเวลานัด
ข้างถนนสายที่ไม่ค่อยจะมีรถราพลุกพล่านมากนัก รถตู้สีดำคนยาวจอดรออยู่ก่อนแล้ว พิชิตและเปี๊ยกรีบเดินตรงไปที่รถที่เปิดประตูรอไว้ ทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปในรถ ในนั้นมีชาย 2 คนนอนสลบอยู่บนเบาะหลังสุด
“ผมวางยาสลบไว้แล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงจะฟื้น จะทำยังไงกับพวกนี้ดี” อุดมโชคถามความคิดเห็นจากพิชิต
“เอา 2 คนนี้ไปมัดไว้ในป่าข้างหน้า เราคงเสร็จธุระก่อนที่พวกนี้จะหลุดออกมาได้”
ทั้ง 3 คนช่วยกันนำร่างชายที่สลบไสลลงจากรถและไปมัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ข้างทางห่างไกลสายตาผู้คน จากนั้นอุดมโชคขับรถพาทั้งหมดไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่นานทั้ง 3 ก็มาอยู่ตรงหน้าโกดังใหญ่ที่มองจากภายนอกเป็นโรงงานคัดแยกเศษขยะ แต่ที่ต่างกันคือที่หน้าประตูใหญ่ทางเข้าโรงงานมีกลุ่มชายหลายคนเดินผลัดเวรกันไปมา เมื่ออุดมโชคเปิดกระจกและโผล่หน้าไปหาชายคนหนึ่ง ท่าทางคุ้นเคยจากทั้งคู่ทำให้รถตู้สีดำคันยาวผ่านเข้าไปในโรงงานได้อย่างง่ายดาย
"อืม ภายนอกดูแน่นหน้า แต่ข้างในแทบจะไม่มีคนเดินเลย” เปี๊ยกพูด
“ยังหรอก ต้องในตัวอาคารจะมีคนเดินกันเยอะกว่านี้ เดี๋ยวผมจะเอารถไปจอดตรงนั้นนะจ่า แล้วเราก็แยกย้ายกัน ผมคงใช้เวลาแค่ 30 นาทีจะกลับมาที่รถและขับออกไป อ้อ ! วันนี้เจ้านายผมบอกว่าเจ้าของโกดังแห่งนี้จะเข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาซื้อขายกับลูกค้ารายใหม่ สำนักงานอยู่ตรงนั้น” อุดมโชคชี้นิ้วไปที่ตึกเล็กๆแต่มีคนคุ้มกันแน่นหน้าเช่นกัน “แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่นะ”
“จริงเหรอ วันนี้เราโชคดีที่จะได้ตกปลาตัวใหญ่ จริงมั้ยไอ่เปี๊ยก” พิชิตพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมหันไปที่เปี๊ยก
“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย มันอาจจะทำให้เราตายเร็วขึ้นนะจ่า” เปี๊ยกทำหน้าหงอย
อุดมโชคจอดรถในจุดที่เคยจอดประจำ มีคนเดินไปมา 3-4 คนคอยเฝ้าทางเข้าออกตัวอาคาร ทั้ง 3 เดินลงมาจากรถโดยไม่มีท่าทางพิรุธใดๆ
“เอาล่ะ ตรงนี้ปลอดคนแล้ว จ่าแยกไปได้ อย่าลืมนะอีก 30 นาทีเจอกันที่รถ”
“ได้ ฉันข้อแค่ให้ได้รูปของคนที่อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้ก็เป็นพอ” จ่าพิชิตกระชับกระเป๋ากล้องถ่ายรูปพร้อมเลนส์ซูมตัวยาว ภารกิจครั้งนี้คือลอบจับความเคลื่อนไหวที่ตึกสำนักงาน
“แล้วถ้าฉันมาไม่ทันภายใน 30 นาทีนี้ล่ะ มีทางออกจากโรงงานแห่งนี้มั้ย” พิชิตถาม
“กำแพงหลังสุดของโรงงานหากปีนออกไปได้จะเป็นป่า ไม่มีบ้านผู้คนแถวนั้น ไม่มียามเฝ้าแต่มีกล้องวงจรปิด ดังนั้นจ่าจะต้องวิ่งหนีให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกมันจะตามทัน โชคดีนะจ่า หากเราไม่ได้ออกไปพร้อมกันผมจะติดต่อไปทีหลัง” อุดมโชคเดินเลี้ยวไปอีกทาง ทิ้งใว้แต่พิชิตและเปี๊ยกที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“เอาไงจ่า จ่าจะทำยังไงต่อ” เปี๊ยกถาม
พิชิตเดินนำเปี๊ยกให้ออกจากตึกไปซ่อนยังซอกตึกเล็กๆเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น ณ จุดนี้เข้าสามารถใช้เลนส์ซูมภาพไปหาดูความเคลื่อนไหวในตึกที่ทำเป็นสำนักงานหลังนั้นได้ พิชิตเห็นคนคุ้มกันหลายคนยืนอยู่หน้าตึก เปี๊ยกคอยเฝ้าระวังหลังให้
และสิ่งที่ทำให้พิชิตถึงกับอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเขาเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินลงจากรถที่เทียบจอดหน้าตึก
จ่ายักษ์พิชิตรู้สึกตกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขามาทำอะไรที่นี่นะ หรือว่า !? จ่ายักษ์คือลูกค้ารายใหม่ตามที่อุดมโชคบอกไว้ เพื่อมาติดต่อซื้อยา หรือว่าเขาเองคือเจ้าของโรงงาน” พิชิตตั้งคำถามในใจ
พิชิตยังคงเฝ้าดูความเคลื่อนไหวต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานมีรถเก๋งอีกคันมาจอด  คนที่เดินลงมาจากรถเสื้อคลุมแน่นหน้าพร้อมหมวกและผ้าปิดบังใบหน้าจนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร พิชิตมั่นใจว่าคนๆนี้จะต้องเป็นลูกค้ารายใหม่ที่จะมาซื้อยา หรืออาจจะเป็นเข้าของโรงงานแห่งนี้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอย่างแน่นอน
เมื่อทั้งจ่ายักษ์และคนคลุมหน้าเดินเข้าไปในตึก ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น แน่นอนว่าพิชิตบันทึกภาพทั้งสองลงในกล้องถ่ายรูปไว้แล้ว แต่ข้อมูลแค่นี้เขาไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้เลย ถึงแม้ว่าหากจะให้อุดมโชคยอมเป็นพยานว่าที่นี่คือโกดังเก็บยาเสพติด แต่คนที่ระบุได้มีเพียงจ่ายักษ์เท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนี้พิชิตจึงคิดที่จะลอบเข้าไปยังตึกแห่งนั้น
“เปี๊ยก กูจะลอบเข้าไปในตึกหลังนั้น มึงมาอยู่ที่กล้องนี่คอยถ่ายรูปหากมีอะไรเกิดขึ้น หรือมีใครเดินเข้าออก”
“จ่าพูดเป็นเล่นน่า ไม่เห็นเหรอว่ามือปืนยืนอยู่ตรงนั้นเป็นสิบ”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เก็บภาพให้ได้มากที่สุด ที่ตรงนี้ปลอดภัยคงไม่มีใครหาเจอแน่ๆ ถ้ากูไม่กลับมาให้มึงถอดการ์ดออกจากกล้องและหนีออกไปตามทางที่อุดมโชคบอกไว้ ถ้าหากว่าหนีออกไปได้นะ ให้เอาการ์ดไปให้นักข่าวที่ไหนก็ได้ หรืออาจจะสำเนาหลายๆชุดแล้วไปให้หลายสำนักข่าว“ พิชิตพูดเสร็จก็ไม่รอช้า เขารีบเดินออกจากที่กำบังทันที เปี๊ยกพยายามจะพูดห้ามไว้แต่ไม่สำเร็จ

พิชิตวิ่งเข้าไปหาดงมือปืนที่ยืนกันอยู่หลายคน เสียงปืนดังหลายนัดจากพิชิตยิงเข้าใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำ มือปืนบางคนพยายามจะยิงต่อสู้ แต่ความแม่นยำยังไม่สามารถสู้พิชิตได้ จึงถูกลูกระสุนของพิชิตเจาะทะลุกะโหลกเกือบทุกคน
มือปืนที่ยังเหลือรอดเริ่มเข้าที่กำบังแล้ว ทำให้สามารถยิงประทะสู้กับพิชิตที่ตอนนี้วิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ข้างแทงค์น้ำเหล็กขนาดใหญ่ เมื่อเสียงปืนดังจึงทำให้มือปืนจากที่อื่นๆเริ่มต่างทยอยวิ่งมาที่เกิดเหตุและเล็งกระสุนมาที่พิชิต แทงค์น้ำเหล็กหลายใบวางเรียงรายกันทำให้พิชิตสามารถแทรกตัวหลบเข้าไปเพื่อให้พ้นวิถีกระสุนปืน มือปืน 2-3 คนทะเล่อทะล่าวิ่งตามพิชิตเข้าไปในนั้นแต่กลับถูกยิงตาย พิชิตเข้าไปเก็บปืนได้ 3 กระบอกจากศพที่เขาเพิ่งจะยิงปืนใส่ ณ ตรงจุดนี้พิชิตยังสามารถเก็บชีวิตของมือปืนได้เพราะความแม่นยำในระยะกว่า 100 เมตรของเขา พิชิตเลือกยิงเข้าใส่เป้าหมายโดยที่หูของเขาแว่วๆได้ยินเสียงเครื่องยนต์คำรามใกล้เข้าเรื่อยๆ
ที่แท้รถกระบะคันใหญ่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาพิชิตด้วยความเร็วสูง กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกชน รถก็อยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น พิชิตทำได้เพียงแค่กระโดดตัวลอยให้พ้นจากการกระแทกของกันชนหน้ารถ เขาลดแรงกระแทกจากรถโดยการลอยตัวให้ขนานกับกระจกหน้าของรถยนต์ มุมที่เอียงของกระจกและความเร็วที่พุ่งมาข้างหน้าดีดตัวของพิชิตให้ลอยข้ามกระบะรถยนต์ไป
กลุ่มมือปืนที่นั่งอยู่ท้ายกระบะต่างกรูลงมากระทืบพิชิตที่เพิ่งจะลอยตกลงกระทบพื้น ลูกถีบจากหลายเท้าทำให้พิชิตหมดสติคาเท้าหลายคู่

แรงกระแทกจากสายน้ำกระทบเข้ากับร่างของพิชิต ชายคนหนึ่งตั้งใจสาดน้ำกระแทกพิชิตให้ลืมตา พิชิตทำท่าสำลักน้ำที่เข้าไปในปากและจมูกของเขา พิชิตค่อยๆลืมตาขึ้นมาสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้ามีชายหลายคนยืนห้อมล้อมเข้าอยู่ และอีกคนหนึ่งที่พิชิตคุ้นหน้าเป็นอย่างดีคือสารวัตรคมสัน
“สาวัตร ! นี่แสดงว่าผมปลอดภัยแล้วใช่มั้ย” พิชิตยังคงมีสีหน้าอ่อนเพลีย เขาพยายามจะขยับข้อมือแต่ปรากฏว่ามือของพิชิตทั้งสองข้างถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้ “แล้วทำไมต้องมัดผมด้วยสารวัตร”
สารวัตรคมสันค่อยๆเดินเข้ามาใกล้พิชิต เขาหัวเราะลำคอเล็กน้อย
“จ่าพิชิต เรารู้ดีตั้งแต่จ่ามาเป็นตำรวจใหม่ๆว่าจ่าคือตัวอันตราย เราคอยจับตาจ่าไว้และพยายามใช้อำนาจควบคุมจ่าไม่ให้ออกไปทำงานตามที่จ่าถนัด เราพยายามทำแบบนี้มากว่า 30 ปีจนจ่าเกษียณ เราคิดว่าเราทำสำเร็จแล้ว แต่วันนี้จ่าทำให้เรารู้ว่าเราคิดผิด” สารวัตรคมสันพูด
“เดี๋ยวๆ สารวัตรพูดเรื่องอะไรผมไม่เข้าใจเลย” พิชิตถาม
“ผมรู้ว่าจ่าค้นหาคำตอบมานานแล้วว่าใครคือเจ้าพ่อค้ายาในเมืองของเรา จ่าไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมทุกครั้งเมื่อจ่าพยายามจะสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้มักจะถูกขัดขวางจากผู้บังคับบัญชา”
พิชิตทำสีหน้างุนงง เข้าพยายามเรียบเรียงในสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยินมา และทันใดนั้นพิชิตก็เข้าใจในทุกๆเรื่อง
“หมายความว่าสารวัตรเองเหรอที่เป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่” พิชิตพูดเสร็จสารวัตรคมสันก็หัวเราะเสยงดัง
“เข้าใจถูกต้องแล้วจ่า เอ้า ! ทุกคนออกไปจากห้องนี้ก่อน” คนอื่นๆต่างเดินออกจากห้องไปเหลือไว้แต่พิชิตและสารวัตรคมสัน
“เอาล่ะจ่าพิชิต จ่ามีอะไรอยากจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตายมั้ย”
พิชิตหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะพูด
“หลอกผมได้เนียนมากสารวัตร เอาล่ะ ในเมื่อสารวัตรอยากให้ผมพูดอะไรครั้งสุดท้ายก่อนตาย ผมขอถามสารวัตรหน่อยเถอะว่าใน สน. เรามีตำรวจดีจริงๆสักกี่คนกัน”
สารวัตรคมสันหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ตำรวจที่เข้ามาใหม่ถ้าไม่ยอมทำตามระบบ ไม่นานก็จะถูกย้ายหรือโดนยัดเยียดความผิดทางวินัยให้ลาออกจากราชการไปเลย ดูตัวอย่างเด็กใหม่ทีเพิ่งจะเข้ามานี่สิ ชื่ออะไรนะ รู้สึกว่าจะชื่ออภิชาตและอุดมอะไรนี่แหละ ตอนนี้คนทั้งสองก็เริ่มจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ สน. เราทำแล้ว นั่นก็คืออำนวยความสะดวกกับพวกค้ายา”
พิชิตไม่แปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาทำสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยิน
“แต่สำหรับจ่านั้นทานทนและมักจะระมัดระวังตัวมากจนไม่มีชองโหว่ให้เราทำอะไรได้เลย ทางเดียวของเราก็คือรอให้จ่าเกษียณออกไปใช้ชีวิตเงียบๆในบั้นปลายชีวิต แต่ดูเหมือนกับจ่าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ ยังรนหาเรื่องมาที่นี่อีก ดังนั้นเราจึงต้องใช้วิธีนี้แทน”
สารวัตรคมสันตะโกนเรียนลูกน้องให้ไปตามใครคนหนึ่งเข้ามาในห้อง ไม่นานจ่ายักษ์เดินเข้าในห้องพร้อมทำสีหน้าเย้ยหยันพิชิตให้สารวัตรคมสันเห็น
“นี่จ่ายักษ์ ฝากจัดการด้วยนะ ถ้าเสร็จเรื่องแล้วจ่าช่วยขนศพไปทิ้งไว้ที่หลังกำแพงโรงงาน จะมีคนมาจัดการกับศพต่อเอง” สารวัตรคมสันพูดเสร็จก็เตรียมตัวเดินออกจากห้องไป จ่ายักษ์ตั้งท่าเล็งปืนมาที่พิชิตทันที
เมื่อจ่ายักษ์เห็นว่าสารวัตรคมสันเดินออกจากห้องไปแล้ว เขาเหนี่ยวไกปืนทันที
เปรี้ยง !!
พิชิตปิดตาด้วยความหวาดเสียว สักพักเขาลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจที่ยังมีชีวิตอยู่ แท้จริงแล้วจ่ายักษ์แกล้งยิงปืนให้พลาดเป้าหมาย จ่ายักษ์เดินเข้ามากระซิบข้างหูพิชิต
“ไม่ต้องห่วงครับจ่า ผมเป็นสายสืบมาจากส่วนกลาง ผมจะพาจ่าออกไปจากที่นี่เอง” พิชิตหันหน้ามามองจ่ายักษ์
“เรื่องจริงหรือนี่”
“ใช่แล้วจ่า ทางการได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับสารวัตรคมสันมานานแล้ว และครั้งนี้คือการล่อซื้อยาครั้งใหญ่ ตอนนี้จ่าต้องช่วยทำเป็นแกล้งตาย ผมจะได้ขนศพจ่าออกไปจากที่นี่ได้”
“ตามนั้นครับจ่า เอ่อ...” พิชิตพูด
“ความจริงแล้วผมเป็นร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมาสืบคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว ผมสามารถรวบรวมหลักฐานการทุจริตจากตำรวจทุกนายใน สน. ได้หมดแล้วยกเว้นจ่า เพราะจ่าเป็นตำรวจมือสะอาด”
พิชิตทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนกับเรื่องเหล่านี้ ต่อจากไปนี้ไปเขาคงหมดหน้าที่และคงต้องออกไปใช้ชีวิตอย่างที่สารวัตรคมสันบอกเสียที
“จ่าผมขอโทษด้วยนะที่หลายครั้งทำท่าทางเสียมารยาทหลายครั้งกับจ่า มีตำรวจหลายคนใน สน. ไม่ชอบหน้าจ่า ทำต้องพยายามทำให้เนียนกับคนในนั้นไว้”
“ไม่ต้องต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ผมชินชากับเรื่องนี้มานานมากแล้ว”
“ไปเถอะ เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน ผมรู้ว่าหลังจากนี้จะมีการกวาดล้างพ่อค้ายาเสพติดครั้งใหญ่ ความจริงผมมีสายที่แฝงตัวอยู่ในวงการนี้สองคน”
“ไม่ต้องห่วงจ่า เราจะกันสายของจ่าไว้เป็นพยาน หากพวกเขามีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเป็นสายของจ่าจริงๆ เราต้องการพยานพอดี”
“ขอบคุณมาก แล้วผมจะติดต่อไปหลังจากนี้”
พิชิตพูดเสร็จ เขากับร้อยตำรวจเอกก็ออกจากห้องนั้น โดยที่พิชิตแกล้งทำเป็นตายโดยมีร้อยตำรวจเอกแบกร่างไป

ในเวลาต่อมามีข่าวใหญ่สะเทือนวงการตำรวจไทย เมื่อสารวัตรคมสันโดนจับข้อหานำเข้าและจำหน่ายยาเสพติด มีการกวาดล้างตำรวจเลวเกือบทั้ง สน. รวมถึงพ่อค้ายาจากทั่วทุกสารทิศ แน่นอนว่าเปี๊ยกและอุดมโชคก็โดนจับด้วย แต่ทั้งสองคนมีหลักฐานที่ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าเป็นสายให้ตำรวจ โดยเปี๊ยกมีไฟล์รูปถ่ายจากโกดังเก็บยานั้น และอุดมโชคมีบันทึก SMS ที่ส่งให้พิชิตในครั้งนั้น
แม้หลักฐานจากทั้งคู่จะเกิดขึ้นเมื่อพิชิตไม่ได้เป็นตำรวจ แต่พิชิตก็ให้การต่อศาลว่าเขา เปี๊ยกและอุดมโชคทำงานด้วยกันมานานแล้ว เมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบ ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตัวเอง เวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากจบเรื่องวุ่นวาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆนี้คงเป็นเรื่องราวน่าตื่นเต้นที่ไม่ได้เกิดกับพิชิตมานานหลายปีแล้ว

บังกะโลไม้หลังไม่ใหญ่นักริมหาดทราย น้ำทะเลใสสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นระยิบระยับ หาดทรายขาวรับกับสีน้ำทะเลฟ้าใส ลมทะเลพัดไหวไม่แรงมากนักพอทำให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเข้าหาฝั่ง ท้องฟ้าในตอนนี้มีเพียงแต่แสงอาทิตย์อ่อนที่ทำให้พอจะเห็นมวลหมู่นกทะเลที่กำลังบินกันเป็นฝูงเพื่อกลับเข้ารัง ในบ้านหลังนั้นเห็นชายหนึ่งคนกำลังนั่งนิ่งอยู่ริมระเบียง เขาทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับอีกฝั่งหนึ่งของทะเลที่ยาวไกลออกไปแค่ไหนก็ไม่รู้
พิชิตยกขวดเหล้าพร้อมเขย่าเล็กน้อย ทำให้รู้ว่าขวดใสๆใบนั้นว่างเปล่า พิชิตวางขวดนั้นลงกับโต๊ะอย่างแผ่วเบา เขาเหลือบไปมองปืนคู่ใจกระบอกนั้นที่วางอยู่ข้างๆขวด พลันหยิบมันขึ้นมาและถอดลูกโม่ ในนั้นไม่มีกระสุนแม้เพียงสักช่อง พิชิตมองดูปืนสักพักก่อนวางมันลงกับโต๊ะที่เดิม
พิชิตนอนหงายหลังกับเตียงผ้าใบ บรรยากาศที่เงียบสงบและสายลมพัด รวมถึงกลิ่นอายจากทะเลอ่อนๆนั้นควรจะทำให้ชายคนนี้จิตใจสงบลง แต่ดูเหมือนพิชิตจะไม่พอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่นี้ เขาดูลุกลี้ลุกลนขัดกับธรรมชาติรอบข้างยิ่งนัก
ทันใดนั้นพิชิตได้ยินเสียงทิ้งน้ำหนักลงบนพื้นไม้หน้าบ้านที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงนัก เสียงนั่นเหมือนเสียงฝีเท้าของใครบางคน พิชิตพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัดว่าใช่เสียงคนหรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่พิชิตจะแน่ใจว่าใช่คนหรือเปล่า ประตูระหว่างบ้านมายังระเบียงข้างหลังเปิดพรวดออกมา
“ว่าไงเฮีย รอเหล้าจะลงแดงแล้วเหรอ เอ้านี่ บรั่นดียี่ห้อโปรดของเฮีย” เปี๊ยกทำสีหน้าทะเล้น เมื่อเขารู้ว่ามาช้ากว่าที่นัดไว้เกือบชั่วโมง
“ทำไมมาช้าจังวะ คอแห้งหมดแล้วเนี่ย ทำไมมาช้าจัง” พิชิตพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียว แต่สีหน้าของเขายังคงยิ้มแย้ม
“ก็ผมไปรับอุดมโชคมาน่ะสิ ขับรถนำมันเข้ามา ไหนจะไปแวะซื้อกับแกล้มที่ตลาดอีก”
“แล้วเจ้านั่นอยู่ไหน”
“นู่นไงมานู่นแล้ว”
สินเสียงพูดของเปี๊ยก อุดมโชคเดินเข้ามายังระเบียงพร้อมของกินมากมาย คืนนี้เขาได้รับคำเชิญจากพิชิตให้มากินเหล้าด้วยกันที่บ้านเช่าหลังใหม่ของพิชิต มากินเหล้าสังสรรค์เฮฮาในฐานะมิตรภาพระหว่างอดีตตำรวจ อดีตพ่อค้ายา และอดีตคนขนยา
ในคืนนั้นแสงไฟจากตะเกียงช่วยกันส่องแสงในวงเหล้าที่เพียบพร้อมไปด้วยเหล้าชั้นดี อาหารแสนอร่อย และยังรวมไปถึงเสียงหัวเราะสนุกสนานจากชายทั้ง 3 อีกด้วย

ในที่สุดพิชิตก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายตามคำแนะของโสเภณีอดีตคู่ขาของเขา เขายังลืมเธอไปแล้วด้วย คงจะมีแต่มิตรภาพจากเปี๊ยกและอุดมโชคที่หล่อเลี้ยงให้เขามีชีวิตต่อไป รวมถึงการอยู่กับธรรมชาติที่เงียบสงบ