วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รอยยิ้มสุดท้าย



โต๊ะอาหารภายในบ้านบรรยากาศแสนอบอุ่น คุณปู่หัวเราะร่ายิ้มรับกับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันที่นั่งข้าง ๆ กลุ่มชายหญิงอายุวัยกลางคนได้แต่นั่งยิ้มแห้ง ๆ โดยไม่ได้สนทนาอะไรตอบโต้ คงมีแต่เด็กเล็กวัยสิบขวบที่นั่งหน้าบึ้งไม่เป็นอันหยิบจับอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

เด็กน้อยอดรนทนกล้ำกลืนฝืนกลั้นบ่อน้ำตาไว้ไม่ไหว เขารีบลุกออกจากโต๊ะและวิ่งออกไปยังประตูหน้าบ้าน และเปิดมันออกไปโดยเร็วก่อนที่ใครจะทันเห็นน้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมานองเต็มสองแก้ม

ทุกคนบนโต๊ะต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น ทั้งหมดหันมามองหน้ากันไปมา ต่างก็ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของคุณปู่กลับเหลือแต่แววตาเศร้าสลดบวกกลับริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าทำให้ผู้ที่มองใบหน้านี้รู้สึกหดหู่ เพื่อนของคุณปู่คนหนึ่งเอื้อมมือมาบีบมือของปู่เป็นเชิงปลอบใจ  คุณปู่หันไปขอบคุณ

“เดี๋ยวฉันขอไปดูหลานหน่อยละกัน”

พูดเสร็จคุณปู่ก็ลุกออกจากโต๊ะและเดินไปยังประตูบ้าน เขาออกมานอกบ้านและออกเดินไปตามทางเท้าโดยไม่ต้องคิด ที่ประจำที่หลานชายมักจะไปหมกตัวอยู่ก็คือแทงค์น้ำพลาสติกขนาดใหญ่ 2000 ลิตรที่ใช้งานไม่ได้แล้ว และมันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กสำหรับเด็กตัวน้อยเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่น

“ขอปู่เข้าไปในนั้นได้ไหม”

เสียงชายชราที่เหมือนกับผู้พูดจะหมดแรงดังทะลุเข้าไปในบ้านสมมุติ เสียงกระซิกดังสะท้อนออกมาแสดงว่ามีใครอยู่ในนั้น เสียงสะอื้นกลับเร็วรัวและดังขึ้นสักพักก่อนที่จะเงียบลงไปเอง คุณปู่ยืนรอไม่เร่งเร้าอะไร

เดือนดาวในคืนท้องฟ้าเปิดเผยให้เห็นแสงสกาวสุกใสสะท้อนมายังสายตาคนบนโลก อากาศที่หนาวเย็นยะเยือกแต่กลับไม่สะท้านความรู้สึกของเด็กน้อยที่รู้สึกโศกเศร้า หลานที่เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบขวบคงจะยังผ่านโลกและเข้าใจมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ความรู้สึกและอารมณ์ที่มาจากจิตใต้สำนึกของคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องการการบ่มเพาะหรือขบคิดใด ๆ จึงไม่แปลกที่เด็กวัยเพียงแค่นี้จะสะท้อนความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจออกมาได้มากมายเพียงนี้

“ผมอยากอยู่คนเดียวครับ” เสียงอู้อี้ของคนที่อยู่ในที่แคบดังออกมา เป็นเสียงเด็กที่พยายามเค้นคำพูดนี้ “ผมเกลียดปู่”

ผู้ฟังแสดงสีหน้าสะเทือนใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่สีหน้านั้นไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธแค้นหรือชิงชังใด ๆ แต่มันแสดงออกถึงความอาทรและเอ็นดูหลานรัก เพราะเหตุผลที่ทำให้คำพูดนั้นหลุดออกมาจากเด็กได้นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ใครจะยอมรับได้โดยง่าย

“พรุ่งนี้ปู่จะไปแล้ว คุณปู่จะทิ้งพวกเราไปแล้ว”

สิ้นเสียงพูดของเด็กน้อย เสียงร้องไห้สะอื้นก็ตามมาไม่ขาดสาย คุณปู่ไม่อาจทนฟังเสียงนี้ได้อีกต่อไปจึงมุดเข้าไปยังบ้านหลังเล็กขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนนี้

“เขยิบให้ปู่หน่อยสิหลานรัก”

เด็กน้อยทำตามที่ชายชราพูด ผู้ที่เข้ามาใหม่ค่อย ๆ นั่งลงและเอนหลังนอน พื้นที่แออัดสำหรับสองคนทำให้หลานรักนอนตะแคงข้างและใช้มือนอนกอดปู่แย้งกับคำพูดที่เพิ่งพูดไป

ชายชราแอบทอดถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพูด “ปู่เหนื่อยแล้ว นี่คงถึงเวลาที่ปู่ต้องพักผ่อนแล้ว”

“ปู่ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้นี่ครับ บ้านเราก็พร้อมทุกอย่างให้ปู่ได้ใช้ชีวิต ผมอยากให้ปู่อยู่ใกล้ ๆ พวกเรา ปู่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นเลย”

ผู้ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ารับฟังคำพูดจากคนรุ่นใหม่พร้อมเสียงสะอื้นที่ปนมาด้วย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนผู้อื่นสัมผัสได้

“หลานก็รู้ว่าปู่เหนื่อยจากอะไร หลายปีมานี้ปู่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่แสนทรมาน หลายครั้งที่ต้องนอนซมบนเตียงเกือบเดือนไม่เห็นแสงเห็นตะวัน แล้วไหนจะความเจ็บปวดที่ปู่ต้องคอยแบกรับมันไว้โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย หลานคงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันโหดร้ายเพียงใด”

“ตอนนี้ปู่ก็หายดีแล้วนี่ครับ ปู่ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”

“ไม่ใช่หรอก ที่ปู่ลุกขึ้นมาเดินได้เพราะหมอฉีดมอร์ฟีนให้ปู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว และไม่รู้ว่าจะใช้วิธีนี้ได้อีกนานเท่าไหร่กัน”

เด็กน้อยไม่ตอบ ทำได้แต่เพียงกระชับอ้อมแขนให้แน่นและนอนฟังโดยไม่พูดอะไร

“เพื่อน ๆ ของปู่ก็ต่างมาให้กำลังใจกัน วันนี้ปู่ก็เห็นพ่อและแม่ของหลานยิ้มแย้ม ปู่ไม่ได้มานั่งหัวเราะบนโต๊ะอาหารนานมากแล้ว”

ชายชราหยุดพูด เพราะเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นการกล่าวโทษหลานรักที่ทำให้บรรยากาศเสียไป ปู่ไม่อยากให้หลานรักคิดแบบนั้น

“ผมขอโทษครับปู่ ผมนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

เด็กตัวน้อยหันมากระชับอ้อมกอดเต็มวงแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะซบหน้าลองไปบนอกของร่างใหญ่ เด็กตัวเล็กเริ่มสัมผัสได้ถึงมือหนาที่ลูบไล้บนหัวของเขาอย่างแผ่วเบา

“ปู่คงจะไม่สบายใจนักหากหลานรักของปู่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่กำลังจะทำลงไป ปู่คิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว”

ชายชรามองลอดปล่องวงกลมของบ้านเล็กที่เคยมีฝาปิดในยามที่มันถูกใช้งาน แต่บัดนี้ช่องนั้นถูกใช้เป็นช่องให้คนที่อยู่ในบ้านเล็กนี้มองขึ้นยังบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ

“ปีนี้ปู่จะครบรอบ 75 ปีแล้วนะ นี่มันก็นานเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่จะอยู่บนโลกใบนี้”

“โลกนี้ยังกว้างใหญ่ มีอะไรอีกมากมายให้ปู่ได้ค้นหา”

“ปู่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว ถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ หรืออายุเท่าหลานมันก็คงจะมีแรงบันดาลใจให้ออกไปดูโลก ศึกษาสิ่งใหม่ ๆ แต่สำหรับปู่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ”

เด็กน้อยไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาต่อลองความคิดของปู่

“ในสมัยที่ปู่ยังเป็นวัยรุ่นและได้เจอกับย่า ในตอนนั้นเป็นเวลาที่ปู่มีความสุขที่สุดจนอยากจะหยุดเวลาไว้ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่และไม่ให้ตาย เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อย่าให้ได้กำเนิดพ่อของหลานออกมา นั่นก็ทำให้ทัศนคติของปู่และย่าก็เริ่มเปลี่ยนไป เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ตัวเราเองแล้ว เรามีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องให้ดูแลฟูมฟัก เมื่อนั้นความสุขของเราก็คือเห็นคนที่เรารักมีความสุข...

“เราจะเริ่มคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลง และหันมาใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นกว่าตัวเอง ปู่คิดว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง สักวันหลานจะเรียนรู้เรื่องนี้”

ผู้อ่อนประสบการณ์กว่าหมดคำถาม แต่สำหรับเขายังคงดึงดันที่จะฉุดรั้งปู่ไม่ให้ไป

“แต่ผมไม่อยากให้ปู่ไปเลยครับ ผมทำใจไม่ได้ครับ” น้ำเสียงของผู้พูดที่เคยสะอึกสะอื้นมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เด็กน้อยเสียงเริ่มนิ่งแล้ว

“ปู่ไม่มีทางเลือกมากนัก การตัดสินใจของปู่น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนโดยเฉพาะกับปู่เอง แม้มันจะฟังดูโหดร้าย”

“ผมจะคิดถึงปู่ครับ ผมคงต้องยอมรับในการตัดสินใจของปู่ แม้ผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่”

คุณปู่กระชับอ้อมแขนดึงหลานรักเข้ามากอด “แล้วสักวันหลานจะเข้าใจปู่”

ทั้งคู่นอนกอดกันกลมพลางแหงนขึ้นไปมองจุดแสงบนฟ้าที่ต่างเบียดเสียดกันในกรอบวงกลม เวลาผ่านไปไม่นานชายชราสังเกตเห็นหลานนอนหลับตาพริ้มในอ้อมแขนของเขา คุณปู่ได้แต่ยิ้มเป็นเชิงเอ็นดูและปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ

“คุณพ่อครับ”

เสียงของชายหนุ่มวัยกลางคนเดินมา เขายื่นหน้ามาเห็นปู่กับหลานอยู่ด้วยกันในบ้านเล็ก คุณปู่เห็นดังนั้นจึงรีบยกนิ้วชี้มาป้องปากของตัวเองเป็นนัยว่าหลานหลับไปแล้ว คุณพ่อของเด็กน้อยจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา

“เห็นเงียบกันเลยเป็นห่วงครับ อากาศเริ่มจะเย็น ๆ แล้วด้วย คุณพ่อรีบเข้านอนเถอะครับ พรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า” ชายวัยกลางคนพูด

ชายชราพยักหน้า พ่อของเด็กเดินเข้าไปประครองร่างของลูกน้อยขึ้นมาและอุ้มพาดบ่าไว้ ภาพหลานรักที่นอนหลับตาสงบนั้นคงทำให้คุณปู่วางใจที่เด็กน้อยคงจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้น ลูกชายและหลานชายเดินหายเข้าบ้านไปแล้วทิ้งไว้ให้คุณปู่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวนั้นเพียงลำพัง

ภาพวันแรกที่หลานรักลืมตาออกมาดูโลกผุดขึ้นมาในหัวของปู่ เสียงร้องจ้าแสบแก้วหูนั้นนำความปลื้มปิติยินดีมาให้สองปู่ย่าที่ยืนเคียงข้างกัน ความรู้สึกที่สายเลือดของตัวเองได้ถือกำเนิดออกมานี้เป็นภาพแห่งความสุขที่เกินจะบรรยาย คุณปู่ผู้เฝ้าดูหลานรักเติบโตขึ้น และจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเด็กน้อยเริ่มจะทำสิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่นครั้งแรกที่หลานจะพลิกตัวบนที่นอนนุ่ม ๆ เสียงร้องของหลานที่จะพยายามเอี้ยวตัวและขาให้พลิกนอนคว่ำ ท่ามกลางพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่ยืนลุ้นรอบข้าง และเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังลั่นเมื่อหลานน้อยวัยทารกพลิกตัวสำเร็จพร้อมเสียงร้องไห้โยเยลั่นบ้านแข่งกับเสียงดีใจของกองเชียร์

หรือในตอนที่หลานรักกำลังฝึกเดิน คุณปู่ก็รับหน้าที่ด้วยความเต็มใจในการจูงหลานเดินรอบบ้านโดยไม่มีการปริปากบ่นสักคำเดียว แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้า ในยามที่หลานน้อยเริ่มจะฝึกพูด ก็มีคุณปู่ที่คอยทำเสียงอ้อแอ้สมมุติเป็นเพื่อนคุยวัยเดียวกันกับหลาน หนังสือภาพเล่มแรกก็ถูกปู่จำลองเสียงสัตว์ร้องให้ดูสมจริงสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กน้อยที่น่าทะนุถนอม

น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจของชายชราเริ่มหยดออกมาทีละน้อย ๆ ไม่นานคุณปู่ก็ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในบ้านที่แสนจะอบอุ่น



ในคืนนั้นหญิงวัยกลางคนตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางสามใบที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เธอตรวจเช็คของใช้ส่วนตัวที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเปิดดูแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้น

เอกสารของสายการบินที่ระบุจำนวนผู้โดยสารเที่ยวขาไปจำนวนสามคน และขากลับแค่สองคน จุดหมายปลายทางคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์



หมายเหตุ แรงบันดาลที่ทำให้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Me before you เรื่องนี้จะพูดถึงการทำการุณยฆาต โดยการไปที่คลินิคในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกฏหมายของประเทศนี้ยอมให้ทำเรื่องนี้ได้ สำหรับคนที่ป่วยหนักและทรมานกับการรักษาจริงๆ และผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะส่งคนป่วยไปได้หรือเปล่า จึงเขียนแบบไม่ระบุว่าเนื้อเรื่องเกิดที่ประเทศไหนละกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรื่องเหล้า ตอนแฟนเด็ก






                เกือบครบชั่วโมงแล้วที่ฉิม เต้และยศนั่งล้อมวงสุราโดยขาดสมาชิกไปหนึ่งคน นั่นก็คือนัยนั่นเองที่หายไป บนโต๊ะวงเหล้าเพียบพร้อมไปด้วยขวดเหล้าที่เหล้าพร่องลงไปนิดหน่อย บรรดามิกซ์เซอร์ทั้งขวดโซดา น้ำดื่มและถังน้ำแข็ง ยังมีจานกับแกล้มอีกสามจาน ทั้งหมูมะนาว เอ็นไก่ทอด ยำปลาดุกฟู ทุกอย่างดูเหมือนจะครบถ้วนสำหรับที่วงเหล้าควรจะมี แต่สิ่งที่ขาดหายไปนั้นคือความสนุกสนานเฮฮาจากการสนทนาในวงน้ำเมา

                เมื่อทั้งสามเพิ่งจะเริ่มนั่งในโต๊ะ พวกเขายังสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกันตามประสาขี้เหล้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า แต่ละคนเริ่มหมดคำถามและเริ่มรู้สึกถึงความไม่คุ้นชินที่จะมีกันแค่สามคนในวงสนทนา แต่ละคนเริ่มเงียบและหันมาดื่ม แต่ดื่มไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหันมาวางแก้วเพราะรู้สึกขาดอรรถรสอะไรไปบางอย่าง เมื่อใครคนหนึ่งหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเช็ค ทำให้คนที่เหลือต่างหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นตามบ้าง

                ความเงียบของวงเหล้าขาประจำในครั้งนี้ทำให้ลุงโฉมเจ้าของร้านผิดสังเกต แต่เขาก็ไม่มีเวลามาไถ่ถามถึงความสงัดนั้นว่ามาจากเหตุใด ลุงโฉมยังคงปล่อยให้สันติภาพในวงเหล้ายังดำเนินต่อไปโดยที่ไม่คิดจะไปแทรกแซงใดๆ เป็นครั้งแรกที่ลุงโฉมได้เห็นสังคมก้มหน้าตามสมัยนิยมจากบุคคลเหล่านี้

                หัวหน้าใหญ่แห่งวงสุราอดรนทนไม่ไหวกับความอึดอัดนี้ จึงเอ่ยประกาศขึ้นกลางวง

                “ใครก็ได้โทรไปตามไอ่นัยหน่อยสิ ตอนนี้มันอยู่ไหนแล้ว”

                ยศและเต้เงยหน้ามามองลูกพี่

                “แล้วทำไมพี่ไม่โทรล่ะ” ยศถาม

                ฉิมทำท่าอ้ำอึ้งนิดหนึ่งก่อนจะตอบ “โทรศัพท์ข้าตังค์หมด ยังไม่ได้เติมเลย”

                “งั้นผมโทรเองพี่” เต้รับคำเสร็จก็กดโทรทันที

                เต้รอสายพักหนึ่ง คู่สนทนาปลายสายก็ตอบกลับมา

                “ฮัลโหล” นัยพูดผ่านสายโทรศัพท์

                “อยู่ไหนแล้ว ลูกพี่ถามหา” เต้พูด

                “อยู่หน้าปากซอยแล้ว นี่จอดรถรับสาย เดี๋ยวจะถึงแล้วพี่ มีอะไรไปคุยกันที่นั่นนะ” นัยพูดเสร็จก็วางสายไป

                “มันว่าอยู่ปากซอยแล้ว อีกซักพักก็จะมาถึงแล้ว” เต้รายงาน

                ฉิมและยศทำสีหน้าโล่งใจ เหมือนความอึดอัดก่อนหน้านี้จะหายไปหมดสิ้นเมื่อรู้ว่าสมาชิกที่ขาดหายไปกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

                “น่าแปลกนะ ปกตินัยมันไม่เคยมาช้าขนาดนี้ ทุกทีก็เลิกงานตรงเวลาทุกคืนวันศุกร์ จะรถติดก็ไม่น่าใช่เพราะมอไซค์ลัดเลาะมาจากที่ทำงานมันก็ไม่น่านานขนาดนี้” ฉิมยังไม่วายที่จะตั้งข้อสงสัย

                “เห็นมันบอกก่อนหน้านี้นะว่าวันนี้อาจจะมาเลทหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะมาช้าขนาดนี้” เต้พูด

                “หรือว่ามันติดสาว” ยศเดา

                “ไม่แน่ ๆ” เต้พูด

                ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะถกเถียงกันจนถึงขั้นถึงพริกถึงขิง นัยก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมจูงมือเด็กสาวแสนสวยในชุดท่องราตรีที่สุดแสนวิจิตร ชุดเสื้อผ้าบนเรือนร่างหญิงงามนั้นดีเกินไปกว่าที่จะมานั่งในร้านโทรม ๆ แบบนี้ และภาพความแตกต่างที่สามารถมองเห็นได้ระหว่างการแต่งตัวของชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินเคียงข้างกัน นัยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ้าเวสป้อยส์สีเทาโรงงาน กางเกงยีนขากระบอกทรงโหล และรองเท้าหนังหัวเหล็กสำหรับคนคุมงานก่อสร้าง

                ในขณะที่หญิงสาวหุ่นงามระหงสวมสวมเสื้อลักษณะเหมือนเอาผ้ามาพันรอบตัว รัดไขว้จากไหล่พาดมาถึงเอวบดบังเนินหน้าอกแค่ครึ่ง เผยให้เห็นร่องอกใหญ่ยั่วน้ำลาย ผ้าลูกไม้ห่อหุ้มครึ่งแขนโชว์ความขาวของเนื้อนิ่ม กระโปรงผ้าสีดำยาวไม่ถึงเข่าประดับลูกไม้ชายประโปรงโชว์ให้เห็นเนื้อขาอ่อนวับ ๆ แวม ๆ

                สิ่งเดียวที่ทำให้คู่นี้ไม่กลายเป็นลูกคุณหนูเดินตามคนรับใช้ คือทั้งคู่เดินจูงมือกันเหมือนคู่รัก และด้วยใบหน้าที่คมคายของนัยทำให้คนอื่น ๆ พอจะเชื่อได้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน

ฉิม ยศและเต้เข้าใจได้ในทันทีถึงสาเหตุที่นัยมาสายในคืนนี้ โดยปกตินัยจะเลิกงานตรงเวลาในคืนวันศุกร์ เขาจะกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตรงมายังร้านเลย แต่วันนี้นัยคงนัดแนะหญิงสาวให้มานั่งกินเหล้าด้วยกัน ไหนจะต้องไปรับเธออีก ไหนจะต้องนั่งรอเธอแต่งตัวแต่งหน้าทำผมอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะเสร็จ และเรื่องแบบนี้ทำให้ทั้งสามต่างพร้อมที่จะอภัยให้กับรุ่นน้องได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร

                “นี่พี่ฉิม พี่ยศและพี่เต้”

                นัยแนะนำรุ่นพี่ให้แฟนสาว หญิงสาวในคราบนางฟ้ายกมือไหว้พี่ ๆ

                “สวัสดีค่ะ”

                “นี่น้องแป้งแฟนผมครับพี่ อุบไว้นานแล้ว วันนี้ขอมาเปิดตัว” นัยพูด

                ทั้งสามรับไหว้น้องแป้งพร้อมมองตาค้าง

                นัยเดินไปยกเก้าอี้ไม้ที่ทำจากไม้ต้นมะพร้าวมาจากโต๊ะว่างมาให้แป้งนั่ง แป้งยังไม่นั่ง เธอเปิดกระเป๋าถือยี่ห้อโค้ชและหยิบห่อกระดาษทิชชู่เปียกออกมาหนึ่งแผ่น และใช้มันขัดถูเก้าอี้ของเธอจากคราบฝุ่นจนเก้าอี้ไม้สะอาด เธอยังรีบยกมือห้ามไม่ให้แฟนหนุ่มของเธอนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนที่จะใช้กระดาษทิชชู่เปียกผืนใหม่เช็ดทำความสะอาดเก้าอี้ให้แฟนหนุ่ม

                กว่าทั่งคู่จะได้นั่งก็ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วทั้งสามรอกันจนเหงือกแห้ง

                “นั่นแน่ มีแฟนแล้วเงียบ ไม่บอกให้ใครรู้เลยนะ” ยศเริ่มเปิดประเด็นทันที หลังจากที่ทนนั่งเงียบเหงามากว่าชั่วโมงแล้ว

                ทั้งนัยและแป้งต่างยิ้มเขิน

                “ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ คือผมและน้องแป้งทำงานอยู่ที่เดียวกัน เราก็คุยกันมานานแล้วล่ะ แต่ก็เริ่มจากคุยเป็นเพื่อนกันก่อน ตอนนี้ตกลงปลงใจกันได้แล้ว ก็ว่าจะค่อย ๆ เปิดตัว” นัยยิ้มพร้อมมองไปที่แป้งที่ก็ยิ้มอายแก้มปริ

                “ดีจังเลย เป็นแฟนกันได้เจอหน้ากันทุกวันแบบนี้”

                ยศคิดในใจว่า แม้เขาจะจีบผู้หญิงมาแล้วหลายคน แต่เขาจะไม่มีวันที่จะจีบผู้หญิงในที่ทำงานเด็ดขาดเพราะความเชื่ออะไรบางอย่าง แต่ด้วยความสาวสวยขนาดนี้ หากที่ทำงานของยศมีผู้หญิงอย่างแป้งสักคน เขาคงไม่ปล่อยไว้ให้เสียของอย่างแน่นอน

                “เอ้อ ว่าแต่น้องจะดื่มอะไรครับ” ฉิมรีบถามเมื่อเห็นตรงหน้าของผู้มาใหม่ยังไร้แก้วประจำตำแหน่ง

                “ส่วนนัยเอ็งเอานี่ไปเลย” ยศชงเหล้าให้รุ่นน้องที่รู้ใจกันมานาน

                “ขอบคุณครับพี่” นัยตอบ

                แป้งยังไม่ตอบอะไร เธอหันซ้ายแลขวาก็ไปเจอขวดเหล้าแสงโสม

                “หนูขอน้ำเปล่าละกันค่ะ” แป้งตอบ

                เต้หยิบแก้วใหม่มาเตรียมใส่น้ำ แป้งตั้งใจมองแก้วใบนั้นในมือของเต้ก็เห็นคราบน้ำจาง ๆ ติดเต็มแก้ว เธอดูก็รู้ว่าแก้วใบนี้ไม่ได้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดขัดถูก่อนที่จะนำมาบริการลูกค้า เต้เกือบเผลอใช้มือหยิบก้อนน้ำแข็งในถังตามความเคยชินที่พวกเขามักจะทำกันบ่อย ๆ แต่เขานึกได้ทันจึงหยิบคีมคีบน้ำแข็งที่วางข้างถังขึ้นมาคีบก้อนน้ำแข็งหย่อนลงแก้ว

                แป้งรับแก้วน้ำดื่มมาวางตรงหน้า แต่เธอไม่คิดจะแตะมันเลย

                นัยมองท่าทีของแฟนสาวที่ดูทำท่าจะอึดอัดจึงรีบพูด

                “น้องแป้งจะดื่มโค้กหรือสไปรท์มั้ยคะ” เสียงนัยที่พยายามดัดเสียงให้ดูนุ่มนวลที่สุด

                ชายทั้งสามที่นั่งอยู่บนต่างรู้สึกขวยเขินกับคำพูดและน้ำเสียงของเพื่อนรุ่นน้อง ฉิมยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบเพื่อแอบซ่อนรอยยิ้มของเขา ยศและเต้ทำตาม

                แป้งคิดถึงเรื่องแก้วน้ำ ทำให้เธอไม่นึกอยากจะหยิบจับอะไรบนโต๊ะเลย

                “ไม่เป็นไรค่ะพี่นัย แป้งยังไม่อยากจะทานอะไร” แป้งพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเรียกความสงสาร เธอยังแกล้งหรี่ตาพร้อมย่นหน้านิดนึงเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากแฟนหนุ่ม

                นัยสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งการออดอ้อนนั้นฉายออกมาใจใบหน้าอ่อนหวานนั้นจาง ๆ ทำให้เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง

                “งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปหาอะไรให้น้องแป้งทานนะคะ มีเซเว่นอยู่ใกล้ ๆ นี่” นัยพูดด้วยแววตาที่ดูอบอุ่นและห่วงใย เขาทำท่าขยับโต๊ะเพื่อลุกจากเก้าอี้

                แป้งรีบพูด “แป้งไปด้วยค่ะ” พูดเสร็จก็ลุกเดินตามนัยออกไป

                ฉิม ยศและเต้มองภาพนั้นด้วยอาการยิ้มชอบใจที่เห็นสองคนนั้นค่อย ๆ ประครองกันเดินออกจากร้าน

                “น่าอิจฉาสองคนนั้นจริง ๆ นะพี่ ดูสิทำตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋” เต้พูดพร้อมรอยยิ้มที่ยังไม่คลาย

                “ใหม่ ๆ กับเมียข้าก็เป็นแบบนี้แหละ” ฉิมพูดยิ้มแหะ ๆ “เวลาข้าจะไปไหนนะ ต้องถามแม่ทูนหัวว่าอยากได้อะไรมั้ย อยากกินอะไรมั้ย เดินไปไหนก็ต้องไม่ห่างกัน หายใจโดยใช้อากาศร่วมกัน เวลาที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานก็เฝ้ารอเวลาให้กลับมาเจอกัน”

                “แล้วตอนนี้ล่ะพี่เป็นไง” เต้รอลุ้น

                “ตอนนี้หรือ” ฉิมร้องหึเบาๆ ในลำคอ “ตรงกันข้ามกับที่ข้าพูดไปเมื่อกี๊ทุกอย่างเลย”

                ยศและเต้ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

                “มันเป็นเรื่องธรรมดาเว้ย เป็นสัจธรรมของชีวิต”

                ทั้งสามหัวเราะร่วมกัน และชนแก้วดื่มเหล้า

                “เฮ้ย... นัยกับแฟนมันมาแล้ว” ยศพูดเมื่อเห็นนัยเดินจูงมือแฟนสาวเข้ามาในร้าน

                แป้งหิวถุงเซเว่นเข้ามาวางบนโต๊ะและหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาเปิดกิน นัยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจ เขายังล้วงเข้าไปในถุงและหยิบห่อขนมออกมา

                “ทานขนมค่ะน้องแป้ง” นัยค่อย ๆ แกะห่อช็อคโกแลตท็อปอโลนและบิออกมาหนึ่งชิ้นยื่นให้แฟนสาว

                แป้งไม่เอื้อมมือไปรับ เธอจงใจแกล้งเผยอปากเล็กน้อยพร้อมแสดงแววตาอ้อนวอน เพื่อร้องขอให้แฟนหนุ่มป้อนช็อคโกแลตรูปทรงสามเหลี่ยมใส่ปากเธอ นัยทำตามแต่โดยดี

                “อร่อยมั้ยคะ” นัยถามและจ้องมองไปที่สาวแสนสวย

                “อร่อยเพราะพี่นัยป้อนให้นี่แหละค่ะ” แป้งตอบเสียงหวาน

                “พี่ดีใจนะคะที่น้องแป้งมีความสุข” นัยพูด

                ฉิม ยศและเต้แอบเหล่ตามองพร้อมก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาคาปากไว้ ฉิมกระแอมเบา ๆ ก่อนพูด

                “น้องแป้งทำงานที่เดียวกับนัยเหรอครับ ทำตำแหน่งอะไรเหรอ” ฉิมพยายามทะลายกำแพงที่ขวางกั้นไว้ระหว่างพวกเขาและทั้งคู่

                “อยู่แผนกบัญชีค่ะ” แป้งหันมาตอบสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้ม

                ทั้งสามเมื่อเห็นแป้งหันมาคุยด้วย ก็ทำสีหน้าสนอกสนใจคู่สนทนา แต่ทว่าเธอก็หันกลับไปกระหนุงกระหนิงกันสองคนเหมือนเดิม

                นัยและแป้งคุยกันเองด้วยน้ำเสียงเบากว่าเดิม เหมือนพวกเขาสองคนต้องการอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาเอง

                ทั้งสามหันหน้ามาคุยกันเองโดยไม่ให้สองคนนั้นได้ยิน

                “ทำยังไงดีพี่” เต้ถามในกลุ่ม

                “ทำอะไรวะ” ฉิมพูด

                “พี่ดูสิ นัยมันมัวคุยแต่กับแฟนมัน ไม่คุยกับเราเลย” ยศพูด

                “อ้าว... ก็ปล่อยมันคุยไปสิ มันอุตส่าห์มากับแฟนมันทั้งที”

                ฉิมพูดปรามความคิดของทั้งสอง แต่ในใจจริง ๆ แล้วของฉิมอยากให้รุ่นน้องมาคุยสนุกสนานเฮฮากับพวกเขามากกว่า เขานึกถึงช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ครบองค์ประชุม

                บรรยากาศบนโต๊ะต่างเงียบขรึมอีกครั้ง มีเพียงเสียงกระเซ้าเย้าแหย่กันเองจากนัยและแป้งเบา ๆ ไม่นานฉิมก็นึกอะไรบางอย่างและพูดมันออกมา

                “เอางี้ ข้านึกออกแล้ว เดี๋ยวเราชนแก้วกับนัยมันซัก 3 รอบ รับรองมันกลับมานั่งคุยกับเราแน่ ๆ” ฉิมกระซิบ

                “เออ... เข้าท่าดีพี่”

                เต้พูดเสร็จก็จัดแจงชงเหล้าของพวกเขาเองสามแก้ว เต้หันไปหยิบแก้วเหล้าของนัยที่เหล้าหมดแล้วมาเตรียมชง

                ฉิมแอบกระซิบกับเต้เบา ๆ “ใส่เหล้าเยอะ ๆ หน่อย สามฝาไปเลย”

                เต้หันมามองหน้าฉิม “เอางั้นเลยหรือพี่” โดยไม่รอคำยืนยันใด ๆ เต้เทเหล้าลงไปในแก้วของนัยสามฝา เขายิ้มร่ากับการกระทำนั้น ทั้งสองต่างแอบยิ้มด้วย

                “เอ้า... ชนแก้วกันพวกเรา” ฉิมพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั้งโต๊ะ

                นัยหันมาส่งยิ้มให้พวกเขา ก่อนจะหันกลับไปทางหวานใจอีก

                “เดี๋ยวพี่ขออนุญาตชนเหล้ากับพี่เขา ๆ หน่อยนะคะน้องแป้ง”

                แป้งยิ้มเจื่อน ๆ เหมือนถูกขัดจังหวะ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร

                ทุกคนในสมาคมชนแก้วและดื่มรวดเดียวหมด นัยดื่มเสร็จก็หันไปคุยหยอกล้อกับแป้งต่อ โดยไม่มีท่าทีจะมาร่วมสนทนากับเหล่าพี่ ๆ เลย

                “เอาไงพี่ ดูท่าทางไม่เห็นจะเป็นเหมือนที่พี่ว่าเลย” เต้พูด

                “ใจเย็น” ฉิมส่งสัญญาณให้ชงเหล้ารอบวงอีกรอบ

                เต้ทำเหมือนเดิมกับแก้วของทุกคน เมื่อชงเหล้าครบทุกแก้วเต้และยศทำท่าจะเตรียมชนแก้วอีก

                “อย่าเพิ่งเร่งเร็วนัก เราทำเป็นนั่งคุยกันไปก่อน ได้จังหวะค่อยชนแก้ว” ฉิมพูด ทุกคนเห็นด้วย

                “เอ้อ... ช่วงนี้ที่โรงงานพี่เป็นไงบ้าง” ยศทำเป็นพูดเสียงดัง

                “ช่วงนี้เหรอ ก็ดีนะ งานเข้ามาน้อยหน่อย ทำงานสบายขึ้น” ฉิมก็ตอบเสียงดังเช่นกัน

                ทั้งหมดชำเลืองไปยังนัยและแป้ง ดูท่าทางทั้งคู่จะไม่หันมาสนใจพวกเขาเลย

                “แล้วเอ็งล่ะยศ งานเป็นไง” ฉิมพูด

                “เฮ้อ...” ยศถอนหายใจดัง “ออฟฟิศกลับมายุ่งอีกแล้ว”

                “จริงเหรอยศ อดทนหน่อยนะ” เต้แกล้งปลอบใจเพื่อน

                ทั้งสามแอบมองไปที่นัย นัยและแป้งยังคงสวีทกันสองคนเหมือนเดิม

                “เอ้า ๆ ชนแก้ว ดื่มเพื่อเป็นกำลังใจให้ยศมันหน่อย ที่ทำงานมันเครียด” ฉิมพูด

                สักพักนัยหยิบแก้วเหล้าสูตรเข้มข้นที่เต้เตรียมไว้ให้แล้วยกขึ้นดื่มที่เดียวหมด จากนั้นก็หันไปออเซาะแป้งต่อ

                “แล้วเอ็งล่ะเต้ ช่วงนี้มีงานเยอะมั้ย”

                ฉิมพูดพร้อมหันไปมองที่นัย ตอนนี้นัยเริ่มจะครึ้ม ๆ แล้ว ฉิมเข้าใจแล้วว่าความหอมหวานของความรักอันหวานชื่นนั้น ช่วยกลบรสขมของเหล้าได้อย่างดี เมื่อกี๊นี้เขาเห็นเต้เทเหล้าลงไปในแก้วของนัยครึ่งแก้วแล้วเทโซดาตามและน้ำแข็งอีกหนึ่งก้อน

                “มีเยอะดิพี่ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด ยิ่งตอนนี้กรุงเทพรถติดด้วย ส่งทั้งคนทั้งเอกสารทั้งวันเครียดไปหมด ดีนะเนี่ยที่ได้มากินเหล้ากับพี่ทุก ๆ สุดสัปดาห์” เต้ตอบ

                “นั่นสิเนอะ ถ้าเราทำงานไปด้วยมองเห็นหน้าคนที่เรารักไปด้วยก็คงจะดี อิจฉาคนมีคู่รักในที่ทำงานซะจริง” ยศพูดเสียงสูงในท้ายประโยค

                “อ้าว... พี่พูดถึงผมเหรอ” นัยหันมามองหน้ายศ เขาเริ่มมีอาการเมา ๆ บ้างแล้ว

                “เปล่า” ยศพูดเสียงสูง “พวกข้าคุยกันสามคม”

                “อ้อ... งั้นแล้วไป” นัยพูดเสร็จก็หันไปคุยกับคนรักต่อ

                ทั้งสามหันมามองหน้ากัน ก่อนยศจะพูด

                “กับแกล้มเหลือเยอะ ช่วยกันกินหน่อยเร็ว”

                ทั้งสามจิ้มกินกับแกล้มสองสามคำ ก่อนฉิมจะพูด

                “เอ้า นัย ช่วยกันกินกับแกล้มหน่อย สั่งมาเยอะไม่มีคนช่วยกิน”

                “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมมีของผมเองแล้ว”

                นัยพูดเสร็จก็อ้าปากรับเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากมือแป้งเข้าปาก ทั้งคู่หัวเราะคิกคักกัน

                “ดูมัน ๆ น่าหมั่นไส้นัก” ยศบ่น

                “เอาน่า ๆ เมื่อความรักเข้าตา ใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”  ฉิมพูด

                “จัดหนัก ๆ ให้มันอีกซักแก้ว” ยศพูด

                “จัดไป” เต้เก็บแก้วเหล้ามาจากทุกคนและชงเหล้า โดยเน้นปริมาณเหล้าเป็นพิเศษในแก้วของนัย

                “เอ้า ดื่ม ๆ ทุกคนชนแก้ว เหล้าจะหมดแล้ว เดี๋ยวสั่งขวดใหม่ นัยดื่มเว้ย” ฉิมพูดเสียงดัง

                นัยหันมา “ทำไมเหล้าวันนี้หมดขวดเร็วจังพี่” เขาพูดด้วยท่าทีที่เริ่มเมาแล้ว

                “ก็พวกข้ามานั่งก่อนเป็นชั่วโมง กว่าเอ็งจะมาเหล้าก็เหลือน้อยแล้ว รีบ ๆ ตามให้ทันเร็ว ๆ”  ฉิมโกหก แต่ก็พยายามทำให้ดูจริงจัง

                จากนั้นทุกคนก็ดื่ม ฉิมมองไปนัย เขาคิดว่าตอนนี้รุ่นน้องของเขาเครื่องเริ่มติดแล้ว

                “ลุงโฉม ขอเหล้าอีกกลม” ฉิมสั่งเหล้า สักพักเหล้าก็มา

                “เป็นไงบ้างนัย ที่ทำงานเป็นไงบ้าง” ฉิมยิงคำถามใส่นัยทันที

                “ช่วงนี้งานยุ่งพี่ แต่ก็ดี งานเยอะโบนัสเยอะ” นัยตอบ

                “ดีแล้ว ต่อไปก็คงได้เลื่อนขั้นนะ เออ... แล้วที่ว่าบริษัทจะให้หยุดพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศอะไรนั่นน่ะ เอ็งได้ใช้วันหยุดหรือยัง” ยศถามเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกันมาเมื่อนานมาแล้ว

                “โหพี่ บริษัทจะให้หยุดตอนที่เริ่มโปรเจคใหม่ ถ้าผมหยุดก็จะมีคนมาเสียบงานแทน ไม่เอาหรอก” นัยตอบ

                “เหรอ เออ ๆ ดีละ ที่ทำงานการแข่งขันมันสูง ข้าก็เหมือนกันก็ต้องหมั่นสร้างผลงาน” ยศพูด

                “ข้าอยากจะต่อเติมบ้านหน่อย อยากจะกั้นห้องเพิ่มอีกซักห้อง ไอ้ตัวเล็กมันก็เริ่มจะโตแล้ว เดือนหน้าเอ็งมาทำให้ข้าหน่อยสินัย” ฉิมพูด

                “ได้สิพี่ เดี๋ยวจะทำให้อย่างดีเลย” นัยเริ่มจะลิ้นพันกัน

                “ขอบใจมาก ๆ เอ้า ดื่มให้กับความมีน้ำใจของนัยหน่อย” ฉิมพูด ทั้งโต๊ะชนแก้ว

                ฉิม ยศและเต้ดื่มพร้อมใช้หางตามองไปที่แป้งที่ตอนนี้เธอเริ่มจะทำหน้าบึ้ง คงเป็นเพราะแฟนหนุ่มหันไปคุยแต่กับหมู่วงเหล้า ทำให้เธอต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว

                “เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นนัดกันบ้านข้านะ พรุ่งนี้แมนยูเตะ อย่าลืม” ฉิมนัดแนะทุกคน

                “เตะกับใครนะพี่” นัยถาม

                “หงส์ แดงเดือด ๆ” ยศตอบแทน

                “จริงด้วย ผมลืมสนิทเลย โอเคพี่ พรุ่งนี้ทุ่มนึงเจอกันบ้านพี่” นัยพูด

               

                จากนั้นฉิม ยศและเต้ต่างดึงความสนใจของนัยมาอยู่ที่พวกเขา เรื่องสนทนาเฮฮาถูกพูดคุย เสียงหัวเราะสนุกสนานดังมาจากทั้งสี่ มีเพียงคนเดียวคือแป้งที่นั่งหงอยเหงาจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ฉิมแอบสังเกตมองบ้างก็เห็นแป้งนั่งกดโทรศัพท์เล่นพร้อมทำสีหน้าเซ็งอารมณ์

                ภาพที่คุ้นตากลับมาอีกครั้ง ภาพของชายหนุ่มสี่คนที่กินดื่มพูดคุยกันอย่างมีความสุขในมุม ๆ หนึ่งของร้านเหล้า ๆ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแป้งลุกขึ้นยืนพร้อมทำสีหน้าจริงจัง

                “พี่นัย แป้งไปเที่ยวกับเพื่อนนะคะ เพื่อนจอดรถรอที่หน้าร้านแล้ว” แป้งพูดเสร็จก็ยกมือไหว้ฉิม ยศและเต้อย่างลวก ๆ ก่อนจะวิ่งออกจากร้านไปทันที

                เป็นนัยที่ตกใจลุกขึ้นวิ่งตามแป้งออกไป ที่เหลือบนโต๊ะได้แต่นั่งนิ่งมองเหตุการณ์นั้นอย่างตกตะลึงไม่แพ้กัน

                “ซวยแล้วไงเรา ไปสร้างความร้าวฉานให้คู่นั้น” ฉิมพูด

                “เราทำกันเกินไปมั้ยพี่” เต้พูด

                “นั่นสิ ทำยังไงดีเนี่ย” ฉิมพูด

                “เราคงต้องไปขอโทษนัยมัน” ยศพูด

                “ใช่เลย แล้วเราจะพูดกับมันยังไงดี” ฉิมพูด

                ทั้งสามนั่งรอลุ้นให้นัยเดินกลับเข้ามาในร้านเพื่อที่จะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็รอนานหลายนาทีกว่าจะเห็นนัยเดินกลับเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดแทบจะร้องไห้ออกมา

                และเมื่อนัยกลับมานั่งที่โต๊ะ น้ำใส ๆ ก็ไหลรินออกมาอาบแก้มของเขา ทำให้ทั้งสามที่นั่งรอจะพูดต่างพูดอะไรไม่ออก

                “เกิดอะไรขึ้นวะ” ฉิมถามเสียงเรียบ ๆ

                นัยพยายามกั้นเสียงสะอึกสะอื้นเพื่อจะตอบ “น้องแป้งหนีไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว น้องเขาบอกว่าผมน่าเบื่อที่สุด ไม่อยากเห็นหน้า ผมรู้สึกใจสลายเลยครับ”

                นัยขอตัวไปล้างหน้าในห้องนำเพื่อเช็ดคราบน้ำตาจากใบหน้าของเขา เมื่อเหลือกันแค่สามคนในโต๊ะ ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่าเกิดอะไรขึ้น

                “แล้วจะยังไงดีล่ะพี่ทีนี้” เต้พูด

                “เฮ้อ...” ฉิมถอนหายใจ “น้องเขาคงยังเด็ก คงต้องการความรักความเอาใจใส่จากแฟนมากหน่อย คนกำลังรักกันใหม่ ๆ พอมาโดนหมางเมินจากแฟนก็คงจะช็อค เป็นเราเองเสียอีกที่ทำตัวงี่เง่า”

                “ผมรู้สึกไม่ดีเลยพี่” ยศพูด “ถ้าสองคนนั่นจะต้องมาเลิกกันเพราะสิ่งที่เราทำ ผมคงจะรู้สึกผิด”

                “ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”

                เต้พูดเสร็จนัยก็เดินกลับมาที่โต๊ะด้วยใบหน้าที่ไม่ได้ดีกว่าเดิมเท่าไหร่

                “เป็นไงบ้างวะ” ฉิมพูด

                “ไม่เป็นไรแล้วครับพี่ ผมขอโทษนะครับที่น้องเขาเสียมารยาทแบบนั้น” นัยพูด

                ทั้งสามหันมามองหน้ากัน เหมือนจะเกี่ยงกันพูด

                “ข้าขอโทษที่ทำให้เอ็งดูแลน้องแป้งได้ไม่เต็มที่” ฉิมสารภาพ

                “ไม่ใช่ความผิดพวกพี่หรอกครับ ความจริงแล้วแป้งเป็นคนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อย ผมก็รู้ดีในเรื่องนี้ แต่ข้อดีของน้องเขาก็มีมากกว่า จนทำให้ผมมองข้ามข้อเสียข้อนี้ของน้องไป ความจริงแล้วผมไม่น่าจะชวนน้องแป้งมาที่นี่เลย เธอค่อนข้างจะติดหรูเพราะทางบ้านมีฐานะ” นัยพูด

                “แล้วน้องเขาไม่ว่าอะไรเหรอที่เอ็งทำตัวติดดินขนาดนี้ ขี่มอไซค์ไปทำงาน มานั่งกินเหล้าในร้านโทรม ๆ” เต้ถาม

                “ไม่หรอกพี่ ถึงน้องแป้งจะไฮโซแค่ไหน แต่เธอก็ยอมรับในตัวผมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรหรือจะทำอะไร” นัยตอบ

                “รักแท้” ฉิมเผลออุทานคำ ๆ นี้ออกมาจากปาก ยศและเต้ก็ทำท่าเห็นด้วย

                “คน ๆ นี้ต้องรักษากันดี ๆ นะ ส่วนเรื่องเอาแต่ใจเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น อ้อ น้องแป้งอายุเท่าไหร่ล่ะ” ฉิมถาม

                20 ครับ” นัยตอบ

                “นั่นไง ห่างกับแกเยอะ มีแฟนเด็กก็เหมือนกับมีลูกสาวที่โตแล้ว ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ” ฉิมให้คำแนะนำแบบติดตลก

                นัยหัวเราะเล็กน้อยกับคำพูดของฉิม “ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวผมขอส่งข้อความไปง้อน้องเค้าหน่อยนะ”

                นัยหยิบโทรศัพท์ขึ้น แต่เสียงเตือนมีข้อความเข้าดังก่อนที่เขาจะกดปุ่มเปิดเครื่อง นัยกดอ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ สักพักใบหน้าเขาก็มีน้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง

                ทั้งสามต่างตกใจและเดาไม่ออกว่านัยร้องไห้เพราะอะไร แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ของนัย ก็ทำให้ฉิม ยศและเต้เริ่มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

                “น้องแป้งส่งข้อความมาครับ น้องเขาขอโทษพวกพี่ที่เสียมารยาท” นัยยิ้มดีใจ

                “ดีแล้ว เอ็งรีบส่งข้อความไปง้อน้องเค้าเลย ฝากบอกว่าพวกพี่ขอโทษด้วยนะ” ฉิมพูด

                “โอเคพี่” นัยกดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี๊น้องเขาบอกว่าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมานั่งกินเหล้ากับเราด้วย”

                ฉิม ยศและเต้หันมามองหน้ากันไปมา แต่ไม่มีใครพูดอะไร