โต๊ะอาหารภายในบ้านบรรยากาศแสนอบอุ่น
คุณปู่หัวเราะร่ายิ้มรับกับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันที่นั่งข้าง ๆ
กลุ่มชายหญิงอายุวัยกลางคนได้แต่นั่งยิ้มแห้ง ๆ โดยไม่ได้สนทนาอะไรตอบโต้
คงมีแต่เด็กเล็กวัยสิบขวบที่นั่งหน้าบึ้งไม่เป็นอันหยิบจับอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เด็กน้อยอดรนทนกล้ำกลืนฝืนกลั้นบ่อน้ำตาไว้ไม่ไหว
เขารีบลุกออกจากโต๊ะและวิ่งออกไปยังประตูหน้าบ้าน
และเปิดมันออกไปโดยเร็วก่อนที่ใครจะทันเห็นน้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมานองเต็มสองแก้ม
ทุกคนบนโต๊ะต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น
ทั้งหมดหันมามองหน้ากันไปมา ต่างก็ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่
สีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของคุณปู่กลับเหลือแต่แววตาเศร้าสลดบวกกลับริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าทำให้ผู้ที่มองใบหน้านี้รู้สึกหดหู่
เพื่อนของคุณปู่คนหนึ่งเอื้อมมือมาบีบมือของปู่เป็นเชิงปลอบใจ คุณปู่หันไปขอบคุณ
“เดี๋ยวฉันขอไปดูหลานหน่อยละกัน”
พูดเสร็จคุณปู่ก็ลุกออกจากโต๊ะและเดินไปยังประตูบ้าน
เขาออกมานอกบ้านและออกเดินไปตามทางเท้าโดยไม่ต้องคิด
ที่ประจำที่หลานชายมักจะไปหมกตัวอยู่ก็คือแทงค์น้ำพลาสติกขนาดใหญ่ 2000 ลิตรที่ใช้งานไม่ได้แล้ว
และมันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กสำหรับเด็กตัวน้อยเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่น
“ขอปู่เข้าไปในนั้นได้ไหม”
เสียงชายชราที่เหมือนกับผู้พูดจะหมดแรงดังทะลุเข้าไปในบ้านสมมุติ
เสียงกระซิกดังสะท้อนออกมาแสดงว่ามีใครอยู่ในนั้น
เสียงสะอื้นกลับเร็วรัวและดังขึ้นสักพักก่อนที่จะเงียบลงไปเอง
คุณปู่ยืนรอไม่เร่งเร้าอะไร
เดือนดาวในคืนท้องฟ้าเปิดเผยให้เห็นแสงสกาวสุกใสสะท้อนมายังสายตาคนบนโลก
อากาศที่หนาวเย็นยะเยือกแต่กลับไม่สะท้านความรู้สึกของเด็กน้อยที่รู้สึกโศกเศร้า
หลานที่เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบขวบคงจะยังผ่านโลกและเข้าใจมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่ความรู้สึกและอารมณ์ที่มาจากจิตใต้สำนึกของคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ไม่ต้องการการบ่มเพาะหรือขบคิดใด ๆ
จึงไม่แปลกที่เด็กวัยเพียงแค่นี้จะสะท้อนความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจออกมาได้มากมายเพียงนี้
“ผมอยากอยู่คนเดียวครับ”
เสียงอู้อี้ของคนที่อยู่ในที่แคบดังออกมา เป็นเสียงเด็กที่พยายามเค้นคำพูดนี้
“ผมเกลียดปู่”
ผู้ฟังแสดงสีหน้าสะเทือนใจกลับคำพูดที่ได้ยิน
แต่สีหน้านั้นไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธแค้นหรือชิงชังใด ๆ
แต่มันแสดงออกถึงความอาทรและเอ็นดูหลานรัก
เพราะเหตุผลที่ทำให้คำพูดนั้นหลุดออกมาจากเด็กได้นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ใครจะยอมรับได้โดยง่าย
“พรุ่งนี้ปู่จะไปแล้ว คุณปู่จะทิ้งพวกเราไปแล้ว”
สิ้นเสียงพูดของเด็กน้อย
เสียงร้องไห้สะอื้นก็ตามมาไม่ขาดสาย
คุณปู่ไม่อาจทนฟังเสียงนี้ได้อีกต่อไปจึงมุดเข้าไปยังบ้านหลังเล็กขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนนี้
“เขยิบให้ปู่หน่อยสิหลานรัก”
เด็กน้อยทำตามที่ชายชราพูด ผู้ที่เข้ามาใหม่ค่อย
ๆ นั่งลงและเอนหลังนอน
พื้นที่แออัดสำหรับสองคนทำให้หลานรักนอนตะแคงข้างและใช้มือนอนกอดปู่แย้งกับคำพูดที่เพิ่งพูดไป
ชายชราแอบทอดถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพูด
“ปู่เหนื่อยแล้ว นี่คงถึงเวลาที่ปู่ต้องพักผ่อนแล้ว”
“ปู่ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้นี่ครับ
บ้านเราก็พร้อมทุกอย่างให้ปู่ได้ใช้ชีวิต ผมอยากให้ปู่อยู่ใกล้ ๆ พวกเรา
ปู่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นเลย”
ผู้ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ารับฟังคำพูดจากคนรุ่นใหม่พร้อมเสียงสะอื้นที่ปนมาด้วย
เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนผู้อื่นสัมผัสได้
“หลานก็รู้ว่าปู่เหนื่อยจากอะไร หลายปีมานี้ปู่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่แสนทรมาน
หลายครั้งที่ต้องนอนซมบนเตียงเกือบเดือนไม่เห็นแสงเห็นตะวัน
แล้วไหนจะความเจ็บปวดที่ปู่ต้องคอยแบกรับมันไว้โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย
หลานคงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันโหดร้ายเพียงใด”
“ตอนนี้ปู่ก็หายดีแล้วนี่ครับ
ปู่ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก
ที่ปู่ลุกขึ้นมาเดินได้เพราะหมอฉีดมอร์ฟีนให้ปู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว
และไม่รู้ว่าจะใช้วิธีนี้ได้อีกนานเท่าไหร่กัน”
เด็กน้อยไม่ตอบ
ทำได้แต่เพียงกระชับอ้อมแขนให้แน่นและนอนฟังโดยไม่พูดอะไร
“เพื่อน ๆ ของปู่ก็ต่างมาให้กำลังใจกัน วันนี้ปู่ก็เห็นพ่อและแม่ของหลานยิ้มแย้ม
ปู่ไม่ได้มานั่งหัวเราะบนโต๊ะอาหารนานมากแล้ว”
ชายชราหยุดพูด เพราะเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นการกล่าวโทษหลานรักที่ทำให้บรรยากาศเสียไป
ปู่ไม่อยากให้หลานรักคิดแบบนั้น
“ผมขอโทษครับปู่ ผมนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
เด็กตัวน้อยหันมากระชับอ้อมกอดเต็มวงแขนทั้งสองข้าง
ก่อนจะซบหน้าลองไปบนอกของร่างใหญ่
เด็กตัวเล็กเริ่มสัมผัสได้ถึงมือหนาที่ลูบไล้บนหัวของเขาอย่างแผ่วเบา
“ปู่คงจะไม่สบายใจนักหากหลานรักของปู่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่กำลังจะทำลงไป
ปู่คิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว”
ชายชรามองลอดปล่องวงกลมของบ้านเล็กที่เคยมีฝาปิดในยามที่มันถูกใช้งาน
แต่บัดนี้ช่องนั้นถูกใช้เป็นช่องให้คนที่อยู่ในบ้านเล็กนี้มองขึ้นยังบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ
“ปีนี้ปู่จะครบรอบ 75 ปีแล้วนะ
นี่มันก็นานเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่จะอยู่บนโลกใบนี้”
“โลกนี้ยังกว้างใหญ่ มีอะไรอีกมากมายให้ปู่ได้ค้นหา”
“ปู่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว
ถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ หรืออายุเท่าหลานมันก็คงจะมีแรงบันดาลใจให้ออกไปดูโลก
ศึกษาสิ่งใหม่ ๆ แต่สำหรับปู่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ”
เด็กน้อยไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาต่อลองความคิดของปู่
“ในสมัยที่ปู่ยังเป็นวัยรุ่นและได้เจอกับย่า
ในตอนนั้นเป็นเวลาที่ปู่มีความสุขที่สุดจนอยากจะหยุดเวลาไว้ไม่ให้เจ็บ
ไม่ให้แก่และไม่ให้ตาย เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
เมื่อย่าให้ได้กำเนิดพ่อของหลานออกมา
นั่นก็ทำให้ทัศนคติของปู่และย่าก็เริ่มเปลี่ยนไป
เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ตัวเราเองแล้ว
เรามีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องให้ดูแลฟูมฟัก
เมื่อนั้นความสุขของเราก็คือเห็นคนที่เรารักมีความสุข...
“เราจะเริ่มคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลง
และหันมาใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นกว่าตัวเอง ปู่คิดว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง สักวันหลานจะเรียนรู้เรื่องนี้”
ผู้อ่อนประสบการณ์กว่าหมดคำถาม
แต่สำหรับเขายังคงดึงดันที่จะฉุดรั้งปู่ไม่ให้ไป
“แต่ผมไม่อยากให้ปู่ไปเลยครับ ผมทำใจไม่ได้ครับ”
น้ำเสียงของผู้พูดที่เคยสะอึกสะอื้นมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เด็กน้อยเสียงเริ่มนิ่งแล้ว
“ปู่ไม่มีทางเลือกมากนัก
การตัดสินใจของปู่น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนโดยเฉพาะกับปู่เอง แม้มันจะฟังดูโหดร้าย”
“ผมจะคิดถึงปู่ครับ
ผมคงต้องยอมรับในการตัดสินใจของปู่ แม้ผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่”
คุณปู่กระชับอ้อมแขนดึงหลานรักเข้ามากอด
“แล้วสักวันหลานจะเข้าใจปู่”
ทั้งคู่นอนกอดกันกลมพลางแหงนขึ้นไปมองจุดแสงบนฟ้าที่ต่างเบียดเสียดกันในกรอบวงกลม
เวลาผ่านไปไม่นานชายชราสังเกตเห็นหลานนอนหลับตาพริ้มในอ้อมแขนของเขา
คุณปู่ได้แต่ยิ้มเป็นเชิงเอ็นดูและปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ
“คุณพ่อครับ”
เสียงของชายหนุ่มวัยกลางคนเดินมา
เขายื่นหน้ามาเห็นปู่กับหลานอยู่ด้วยกันในบ้านเล็ก
คุณปู่เห็นดังนั้นจึงรีบยกนิ้วชี้มาป้องปากของตัวเองเป็นนัยว่าหลานหลับไปแล้ว
คุณพ่อของเด็กน้อยจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“เห็นเงียบกันเลยเป็นห่วงครับ อากาศเริ่มจะเย็น ๆ
แล้วด้วย คุณพ่อรีบเข้านอนเถอะครับ พรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า”
ชายวัยกลางคนพูด
ชายชราพยักหน้า
พ่อของเด็กเดินเข้าไปประครองร่างของลูกน้อยขึ้นมาและอุ้มพาดบ่าไว้
ภาพหลานรักที่นอนหลับตาสงบนั้นคงทำให้คุณปู่วางใจที่เด็กน้อยคงจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้น
ลูกชายและหลานชายเดินหายเข้าบ้านไปแล้วทิ้งไว้ให้คุณปู่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวนั้นเพียงลำพัง
ภาพวันแรกที่หลานรักลืมตาออกมาดูโลกผุดขึ้นมาในหัวของปู่
เสียงร้องจ้าแสบแก้วหูนั้นนำความปลื้มปิติยินดีมาให้สองปู่ย่าที่ยืนเคียงข้างกัน
ความรู้สึกที่สายเลือดของตัวเองได้ถือกำเนิดออกมานี้เป็นภาพแห่งความสุขที่เกินจะบรรยาย
คุณปู่ผู้เฝ้าดูหลานรักเติบโตขึ้น และจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเด็กน้อยเริ่มจะทำสิ่งใหม่
ๆ ได้ เช่นครั้งแรกที่หลานจะพลิกตัวบนที่นอนนุ่ม ๆ
เสียงร้องของหลานที่จะพยายามเอี้ยวตัวและขาให้พลิกนอนคว่ำ ท่ามกลางพ่อแม่
ปู่ย่าตายายที่ยืนลุ้นรอบข้าง
และเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังลั่นเมื่อหลานน้อยวัยทารกพลิกตัวสำเร็จพร้อมเสียงร้องไห้โยเยลั่นบ้านแข่งกับเสียงดีใจของกองเชียร์
หรือในตอนที่หลานรักกำลังฝึกเดิน
คุณปู่ก็รับหน้าที่ด้วยความเต็มใจในการจูงหลานเดินรอบบ้านโดยไม่มีการปริปากบ่นสักคำเดียว
แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้า ในยามที่หลานน้อยเริ่มจะฝึกพูด
ก็มีคุณปู่ที่คอยทำเสียงอ้อแอ้สมมุติเป็นเพื่อนคุยวัยเดียวกันกับหลาน
หนังสือภาพเล่มแรกก็ถูกปู่จำลองเสียงสัตว์ร้องให้ดูสมจริงสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กน้อยที่น่าทะนุถนอม
น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจของชายชราเริ่มหยดออกมาทีละน้อย
ๆ ไม่นานคุณปู่ก็ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในบ้านที่แสนจะอบอุ่น
ในคืนนั้นหญิงวัยกลางคนตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางสามใบที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอตรวจเช็คของใช้ส่วนตัวที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเปิดดูแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้น
เอกสารของสายการบินที่ระบุจำนวนผู้โดยสารเที่ยวขาไปจำนวนสามคน
และขากลับแค่สองคน จุดหมายปลายทางคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หมายเหตุ แรงบันดาลที่ทำให้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง
Me before you เรื่องนี้จะพูดถึงการทำการุณยฆาต
โดยการไปที่คลินิคในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ซึ่งกฏหมายของประเทศนี้ยอมให้ทำเรื่องนี้ได้
สำหรับคนที่ป่วยหนักและทรมานกับการรักษาจริงๆ
และผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะส่งคนป่วยไปได้หรือเปล่า
จึงเขียนแบบไม่ระบุว่าเนื้อเรื่องเกิดที่ประเทศไหนละกันครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น