วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รอยยิ้มสุดท้าย



โต๊ะอาหารภายในบ้านบรรยากาศแสนอบอุ่น คุณปู่หัวเราะร่ายิ้มรับกับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันที่นั่งข้าง ๆ กลุ่มชายหญิงอายุวัยกลางคนได้แต่นั่งยิ้มแห้ง ๆ โดยไม่ได้สนทนาอะไรตอบโต้ คงมีแต่เด็กเล็กวัยสิบขวบที่นั่งหน้าบึ้งไม่เป็นอันหยิบจับอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

เด็กน้อยอดรนทนกล้ำกลืนฝืนกลั้นบ่อน้ำตาไว้ไม่ไหว เขารีบลุกออกจากโต๊ะและวิ่งออกไปยังประตูหน้าบ้าน และเปิดมันออกไปโดยเร็วก่อนที่ใครจะทันเห็นน้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมานองเต็มสองแก้ม

ทุกคนบนโต๊ะต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น ทั้งหมดหันมามองหน้ากันไปมา ต่างก็ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของคุณปู่กลับเหลือแต่แววตาเศร้าสลดบวกกลับริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าทำให้ผู้ที่มองใบหน้านี้รู้สึกหดหู่ เพื่อนของคุณปู่คนหนึ่งเอื้อมมือมาบีบมือของปู่เป็นเชิงปลอบใจ  คุณปู่หันไปขอบคุณ

“เดี๋ยวฉันขอไปดูหลานหน่อยละกัน”

พูดเสร็จคุณปู่ก็ลุกออกจากโต๊ะและเดินไปยังประตูบ้าน เขาออกมานอกบ้านและออกเดินไปตามทางเท้าโดยไม่ต้องคิด ที่ประจำที่หลานชายมักจะไปหมกตัวอยู่ก็คือแทงค์น้ำพลาสติกขนาดใหญ่ 2000 ลิตรที่ใช้งานไม่ได้แล้ว และมันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กสำหรับเด็กตัวน้อยเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่น

“ขอปู่เข้าไปในนั้นได้ไหม”

เสียงชายชราที่เหมือนกับผู้พูดจะหมดแรงดังทะลุเข้าไปในบ้านสมมุติ เสียงกระซิกดังสะท้อนออกมาแสดงว่ามีใครอยู่ในนั้น เสียงสะอื้นกลับเร็วรัวและดังขึ้นสักพักก่อนที่จะเงียบลงไปเอง คุณปู่ยืนรอไม่เร่งเร้าอะไร

เดือนดาวในคืนท้องฟ้าเปิดเผยให้เห็นแสงสกาวสุกใสสะท้อนมายังสายตาคนบนโลก อากาศที่หนาวเย็นยะเยือกแต่กลับไม่สะท้านความรู้สึกของเด็กน้อยที่รู้สึกโศกเศร้า หลานที่เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบขวบคงจะยังผ่านโลกและเข้าใจมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ความรู้สึกและอารมณ์ที่มาจากจิตใต้สำนึกของคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องการการบ่มเพาะหรือขบคิดใด ๆ จึงไม่แปลกที่เด็กวัยเพียงแค่นี้จะสะท้อนความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจออกมาได้มากมายเพียงนี้

“ผมอยากอยู่คนเดียวครับ” เสียงอู้อี้ของคนที่อยู่ในที่แคบดังออกมา เป็นเสียงเด็กที่พยายามเค้นคำพูดนี้ “ผมเกลียดปู่”

ผู้ฟังแสดงสีหน้าสะเทือนใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่สีหน้านั้นไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธแค้นหรือชิงชังใด ๆ แต่มันแสดงออกถึงความอาทรและเอ็นดูหลานรัก เพราะเหตุผลที่ทำให้คำพูดนั้นหลุดออกมาจากเด็กได้นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ใครจะยอมรับได้โดยง่าย

“พรุ่งนี้ปู่จะไปแล้ว คุณปู่จะทิ้งพวกเราไปแล้ว”

สิ้นเสียงพูดของเด็กน้อย เสียงร้องไห้สะอื้นก็ตามมาไม่ขาดสาย คุณปู่ไม่อาจทนฟังเสียงนี้ได้อีกต่อไปจึงมุดเข้าไปยังบ้านหลังเล็กขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนนี้

“เขยิบให้ปู่หน่อยสิหลานรัก”

เด็กน้อยทำตามที่ชายชราพูด ผู้ที่เข้ามาใหม่ค่อย ๆ นั่งลงและเอนหลังนอน พื้นที่แออัดสำหรับสองคนทำให้หลานรักนอนตะแคงข้างและใช้มือนอนกอดปู่แย้งกับคำพูดที่เพิ่งพูดไป

ชายชราแอบทอดถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพูด “ปู่เหนื่อยแล้ว นี่คงถึงเวลาที่ปู่ต้องพักผ่อนแล้ว”

“ปู่ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้นี่ครับ บ้านเราก็พร้อมทุกอย่างให้ปู่ได้ใช้ชีวิต ผมอยากให้ปู่อยู่ใกล้ ๆ พวกเรา ปู่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นเลย”

ผู้ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ารับฟังคำพูดจากคนรุ่นใหม่พร้อมเสียงสะอื้นที่ปนมาด้วย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนผู้อื่นสัมผัสได้

“หลานก็รู้ว่าปู่เหนื่อยจากอะไร หลายปีมานี้ปู่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่แสนทรมาน หลายครั้งที่ต้องนอนซมบนเตียงเกือบเดือนไม่เห็นแสงเห็นตะวัน แล้วไหนจะความเจ็บปวดที่ปู่ต้องคอยแบกรับมันไว้โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย หลานคงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันโหดร้ายเพียงใด”

“ตอนนี้ปู่ก็หายดีแล้วนี่ครับ ปู่ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”

“ไม่ใช่หรอก ที่ปู่ลุกขึ้นมาเดินได้เพราะหมอฉีดมอร์ฟีนให้ปู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว และไม่รู้ว่าจะใช้วิธีนี้ได้อีกนานเท่าไหร่กัน”

เด็กน้อยไม่ตอบ ทำได้แต่เพียงกระชับอ้อมแขนให้แน่นและนอนฟังโดยไม่พูดอะไร

“เพื่อน ๆ ของปู่ก็ต่างมาให้กำลังใจกัน วันนี้ปู่ก็เห็นพ่อและแม่ของหลานยิ้มแย้ม ปู่ไม่ได้มานั่งหัวเราะบนโต๊ะอาหารนานมากแล้ว”

ชายชราหยุดพูด เพราะเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นการกล่าวโทษหลานรักที่ทำให้บรรยากาศเสียไป ปู่ไม่อยากให้หลานรักคิดแบบนั้น

“ผมขอโทษครับปู่ ผมนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

เด็กตัวน้อยหันมากระชับอ้อมกอดเต็มวงแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะซบหน้าลองไปบนอกของร่างใหญ่ เด็กตัวเล็กเริ่มสัมผัสได้ถึงมือหนาที่ลูบไล้บนหัวของเขาอย่างแผ่วเบา

“ปู่คงจะไม่สบายใจนักหากหลานรักของปู่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่กำลังจะทำลงไป ปู่คิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว”

ชายชรามองลอดปล่องวงกลมของบ้านเล็กที่เคยมีฝาปิดในยามที่มันถูกใช้งาน แต่บัดนี้ช่องนั้นถูกใช้เป็นช่องให้คนที่อยู่ในบ้านเล็กนี้มองขึ้นยังบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ

“ปีนี้ปู่จะครบรอบ 75 ปีแล้วนะ นี่มันก็นานเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่จะอยู่บนโลกใบนี้”

“โลกนี้ยังกว้างใหญ่ มีอะไรอีกมากมายให้ปู่ได้ค้นหา”

“ปู่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว ถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ หรืออายุเท่าหลานมันก็คงจะมีแรงบันดาลใจให้ออกไปดูโลก ศึกษาสิ่งใหม่ ๆ แต่สำหรับปู่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ”

เด็กน้อยไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาต่อลองความคิดของปู่

“ในสมัยที่ปู่ยังเป็นวัยรุ่นและได้เจอกับย่า ในตอนนั้นเป็นเวลาที่ปู่มีความสุขที่สุดจนอยากจะหยุดเวลาไว้ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่และไม่ให้ตาย เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อย่าให้ได้กำเนิดพ่อของหลานออกมา นั่นก็ทำให้ทัศนคติของปู่และย่าก็เริ่มเปลี่ยนไป เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ตัวเราเองแล้ว เรามีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องให้ดูแลฟูมฟัก เมื่อนั้นความสุขของเราก็คือเห็นคนที่เรารักมีความสุข...

“เราจะเริ่มคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลง และหันมาใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นกว่าตัวเอง ปู่คิดว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง สักวันหลานจะเรียนรู้เรื่องนี้”

ผู้อ่อนประสบการณ์กว่าหมดคำถาม แต่สำหรับเขายังคงดึงดันที่จะฉุดรั้งปู่ไม่ให้ไป

“แต่ผมไม่อยากให้ปู่ไปเลยครับ ผมทำใจไม่ได้ครับ” น้ำเสียงของผู้พูดที่เคยสะอึกสะอื้นมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เด็กน้อยเสียงเริ่มนิ่งแล้ว

“ปู่ไม่มีทางเลือกมากนัก การตัดสินใจของปู่น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนโดยเฉพาะกับปู่เอง แม้มันจะฟังดูโหดร้าย”

“ผมจะคิดถึงปู่ครับ ผมคงต้องยอมรับในการตัดสินใจของปู่ แม้ผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่”

คุณปู่กระชับอ้อมแขนดึงหลานรักเข้ามากอด “แล้วสักวันหลานจะเข้าใจปู่”

ทั้งคู่นอนกอดกันกลมพลางแหงนขึ้นไปมองจุดแสงบนฟ้าที่ต่างเบียดเสียดกันในกรอบวงกลม เวลาผ่านไปไม่นานชายชราสังเกตเห็นหลานนอนหลับตาพริ้มในอ้อมแขนของเขา คุณปู่ได้แต่ยิ้มเป็นเชิงเอ็นดูและปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ

“คุณพ่อครับ”

เสียงของชายหนุ่มวัยกลางคนเดินมา เขายื่นหน้ามาเห็นปู่กับหลานอยู่ด้วยกันในบ้านเล็ก คุณปู่เห็นดังนั้นจึงรีบยกนิ้วชี้มาป้องปากของตัวเองเป็นนัยว่าหลานหลับไปแล้ว คุณพ่อของเด็กน้อยจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา

“เห็นเงียบกันเลยเป็นห่วงครับ อากาศเริ่มจะเย็น ๆ แล้วด้วย คุณพ่อรีบเข้านอนเถอะครับ พรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า” ชายวัยกลางคนพูด

ชายชราพยักหน้า พ่อของเด็กเดินเข้าไปประครองร่างของลูกน้อยขึ้นมาและอุ้มพาดบ่าไว้ ภาพหลานรักที่นอนหลับตาสงบนั้นคงทำให้คุณปู่วางใจที่เด็กน้อยคงจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้น ลูกชายและหลานชายเดินหายเข้าบ้านไปแล้วทิ้งไว้ให้คุณปู่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวนั้นเพียงลำพัง

ภาพวันแรกที่หลานรักลืมตาออกมาดูโลกผุดขึ้นมาในหัวของปู่ เสียงร้องจ้าแสบแก้วหูนั้นนำความปลื้มปิติยินดีมาให้สองปู่ย่าที่ยืนเคียงข้างกัน ความรู้สึกที่สายเลือดของตัวเองได้ถือกำเนิดออกมานี้เป็นภาพแห่งความสุขที่เกินจะบรรยาย คุณปู่ผู้เฝ้าดูหลานรักเติบโตขึ้น และจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเด็กน้อยเริ่มจะทำสิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่นครั้งแรกที่หลานจะพลิกตัวบนที่นอนนุ่ม ๆ เสียงร้องของหลานที่จะพยายามเอี้ยวตัวและขาให้พลิกนอนคว่ำ ท่ามกลางพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่ยืนลุ้นรอบข้าง และเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังลั่นเมื่อหลานน้อยวัยทารกพลิกตัวสำเร็จพร้อมเสียงร้องไห้โยเยลั่นบ้านแข่งกับเสียงดีใจของกองเชียร์

หรือในตอนที่หลานรักกำลังฝึกเดิน คุณปู่ก็รับหน้าที่ด้วยความเต็มใจในการจูงหลานเดินรอบบ้านโดยไม่มีการปริปากบ่นสักคำเดียว แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้า ในยามที่หลานน้อยเริ่มจะฝึกพูด ก็มีคุณปู่ที่คอยทำเสียงอ้อแอ้สมมุติเป็นเพื่อนคุยวัยเดียวกันกับหลาน หนังสือภาพเล่มแรกก็ถูกปู่จำลองเสียงสัตว์ร้องให้ดูสมจริงสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กน้อยที่น่าทะนุถนอม

น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจของชายชราเริ่มหยดออกมาทีละน้อย ๆ ไม่นานคุณปู่ก็ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในบ้านที่แสนจะอบอุ่น



ในคืนนั้นหญิงวัยกลางคนตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางสามใบที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เธอตรวจเช็คของใช้ส่วนตัวที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเปิดดูแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้น

เอกสารของสายการบินที่ระบุจำนวนผู้โดยสารเที่ยวขาไปจำนวนสามคน และขากลับแค่สองคน จุดหมายปลายทางคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์



หมายเหตุ แรงบันดาลที่ทำให้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Me before you เรื่องนี้จะพูดถึงการทำการุณยฆาต โดยการไปที่คลินิคในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกฏหมายของประเทศนี้ยอมให้ทำเรื่องนี้ได้ สำหรับคนที่ป่วยหนักและทรมานกับการรักษาจริงๆ และผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะส่งคนป่วยไปได้หรือเปล่า จึงเขียนแบบไม่ระบุว่าเนื้อเรื่องเกิดที่ประเทศไหนละกันครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น