วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนแปลกในคืนเปลี่ยว






ผมรีบจับแท๊กซี่ยังไปโรงแรมเดอะฮุคเพื่อไปยังไนท์คลับเล็กๆชั้นใต้ถุนโรงแรม ไนท์คลับมีนักดนตรีเพลงแจ๊ซขับร้องพร้อมเปียโนบรรเลง ฝนตกช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานไปสองชั่วโมงทำให้ท้องถนนในเมืองกรุงติดถนัดคล้ายกับรถทุกคันพร้อมใจกันจอดรถไว้นิ่งๆ แต่ยังพอมีเวลาผมเผื่อไว้แล้ว ผมนัดเจอกับเธอทุกๆวันศุกร์ ส่วนสถานที่แล้วแต่เธอจะกำหนด


ผมยังจำได้ในคืนวันแรกที่เจอเธอโดยบังเอิญที่บาร์แห่งหนึ่ง เธอนั่งเพียงคนเดียวหน้าบาร์ ในคืนนั้นผมแอบนั่งมองเธออยู่นานแสนนานจากโต๊ะข้างหลังก่อนที่จะย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเธอ สายตาของเราเหมือนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน เราทั้งคู่ไม่พูดอะไรแม้แต่จะเอ่ยถามชื่อ เราสองคนดื่มจนเมามาย สุดท้ายของคืนนั้นจบลงที่คอนโดของผม เราร่วมรักกัน


ในตอนเช้าของทุกวันเสาร์ เธอแต่งตัวด้วยชุดเดิมออกไปจากคอนโดก่อนที่ผมจะตื่นพร้อมทิ้งโน๊ตสั้นๆบอกถึงสถานที่นัดหมายในศุกร์ถัดไป ผมและเธอมีอะไรที่เหมือนกันคือ ผมมีภรรยาแล้ว และเธอก็มีสามีแล้ว สาเหตุที่ทำให้เราทั้งสองได้มาเจอกันอาจะเป็นเพราะเราทั้งสองอาจต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆเพื่อเจอคนใหม่ๆ สำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย


แสงไฟสาดส่องใบหน้าอันเรียว คิ้วที่วาดเป็นวงโค้งรับกับดวงตากลมโต จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ผมหยิกยาวเข้ากับรูปหน้า ผิวเธอสองสีเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟทำให้ดูโดดเด่น เธออายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่รักษาหุ่นได้ดีเหมือนนางแบบมืออาชีพ ต่างกับผมที่แม้หน้าตาผมยังคมหล่อเหลาในวัยอายุเข้าเลขสี่ แต่หุ่นที่ไม่เคยได้รับการดูแลมานานมากทำให้หน้าท้องเริ่มย้อย แขนขาหน้าอกไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หากอยู่ในชุดทำงานหรือชุดสูทก็ยังพอปกปิดได้บ้าง ผมจึงเลือกที่จะใส่สูทเวลานัดพบเจอเธอทุกครั้ง


"คืนนี้เราเจอกันครั้งที่ 7 แล้วนะครับ ทุกครั้งที่เจอกันก็แค่คืนวันศุกร์ เป็นไปได้มั้ยที่เราจะนัดเจอกันวันอื่น เวลาอื่น เพื่อไปยังสถานที่อื่นๆบ้าง" ผมพูดนำ้เสียงออดอ้อนเหมือนวัยเด็กที่อ้อนร้องขอของเล่น


"จะดีเหรอคะ การมาเจอกันในสถานที่ลับตาผู้คนแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมากกว่า" หญิงสาวไม่รับข้อเสนอโดย


ง่าย ผมไม่ยอมแพ้


"ผมอยากมีเวลาอยู่กับคุณให้มากกว่านี้ เราควรทำกิจกรรมอื่นร่วมกันบ้างเพื่อให้ทั้งคุณและผมได้รู้จักกันมากกว่านี้" ผมพูดพร้อมจ้องมองดูที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ รอยจางบ่งบอกถึงว่าเธอเคยสวนแหวนที่นิ้วแม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเคยมีแหวนสวมอยู่



"ฉันมีความสุขแล้วค่ะกับสถานที่แบบนี้ เวลาแบบนี้" เธอปฏิเสธผมอย่างนุ่มนวลพร้อมซบหัวมาที่ไหล่ข้างซ้ายของผมบนโซฟาสำหรับนั่งสองคน ผมไม่พูดอะไรต่อได้แต่หันไปจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ ค่ำคืนนั้นเรากับไปต่อที่คอนโดของผม เราดื่มเหล้าและนอนด้วยกันบนเตียง


ผมแต่งงานกับชลดามา 7 ปีแล้ว ว่ากันว่าคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันเกิน 7 ปี มีแนวโน้มอย่างมากที่อยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง หากชลดาไม่จากผมไปเมื่อ 3 ปีก่อน ผมคงไม่ต้องทนเหงาอยู่แบบนี้


"ชลดา คุณไม่อยู่บ้านเหรอตอนนี้ แล้วจะกลับบ้านกี่โมงกัน" ผมโทรหาเธอเมื่อกลับถึงบ้านแต่ไม่เจอใคร


"นี่คุณไม่สังเกตุเหรอว่าชั้นออกจากบ้านหลังนั้นมาเป็นเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งจะโทรมา ตลอดเวลาหนึ่งเดือนมานี่คุณได้กลับบ้านบ้างมั้ย" ชลดาตอบ


"ผมก็กลับบ้านทุกวัน แต่อาจจะดึกไปบ้าง คุณก็รู้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบผมเยอะแค่ไหน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องเตรียมสร้างอนาคตให้ครอบครัวเรา ผมทำทุกอย่างก็เพื่อคุณนะ บางวันผมไม่เห็นคุณก็นึกว่าออกไปเที่ยวหาเพื่อนบ้างหรือออกไปข้างนอก" ผมตัดพ้อที่เธอเหมือนจะจากผมไป


"หายไปวันสองวันยังพอว่า แต่คุณเห็นชั้นหายไปเป็นเดือนเพิ่งจะโทรหา งานคงสำคัญกับคุณมากกว่าชั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไปแต่งกับงานเลยแล้วกัน ตอนนี้ชั้นออกมาอยู่กับพ่อแม่ มีความสุขดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ลาก่อนที่รัก" ชลดากดสายโทรศัพท์ผมทิ้ง



ตลอดเวลา 3 ปีที่ไม่มีชลดา ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรกับชีวิตดีนอกงานทำงาน งานแล้วก็งาน ชีวิตผมเริ่มกลับมาชุ่มชื้นเหมือนสมัยเมื่อยังเป็นวัยรุ่นอีกครั้งเมื่อพบเธอใน 7 สัปดาห์ก่อน


"นี่เป็นนัดครั้งที่ 8 แล้วนะครับ" นัดครั้งนี้สถานที่เปลี่ยนเธคกึ่งผับแห่งหนึ่ง เหมือนเดิมผมสวมชุดสูทมาพบเธอ เรานั่งกันที่โซฟา เสียงดังจากดนตรีทำให้เวลาจะพูดคุยกันแต่ละทีต้องคุยกันข้างหู จึงเป็นทีที่ผมนั่งสวมกอดเธอไว้เพื่อสะดวกเวลาที่จะพูดคุยกันเพียงแค่แนบหน้าไปยังข้างหูของอีกฝ่าย บรรยากาศที่แสงน้อยและเรานั่งอยู่ในมุมที่ไม่มีคนเดินผ่าน จึงไม่เคอะเขินที่ผมจะจูบที่ริมฝีปากเธออย่างดูดดื่มเป็นครั้งคราว ผมเริ่มพูดเมื่อจูบแรกผ่านไป


"ค่ะ ทั้ง 8 ครั้งชั้นมีความสุขทุกครั้งเลยค่ะ คุณล่ะคะ" ด้วยนำ้เสียงอ่อนหวานทำให้ผมหลงเสน่ห์เธอมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอมีความสุข


"แน่นอนครับ ผมมีความสุขอย่างแน่นอน เป็นไปได้มั้ยที่วันพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันตอนกลางวัน ผมอยากไปกินข้าวเช้ากับคุณ อยากพากคุณไปเดินช๊อปปิ้ง กินอาหารกลางวันในร้านสวยๆอาหารดีๆ ไปดูหนัง ดินเนอร์ด้วยร้านอาหารที่เปิดเพลงเบาๆ และผมอยากพาคุณไปนอนดูดาวที่ทะเลใกล้ๆ" ผมพยายามพูดให้ดูน่าสนใจเผื่ออีกฝ่ายจะรับข้อเสนอ


"ฟังดูน่าสนใจค่ะ แล้วชั้นจะให้คำตอบอีกทีนะคะ สำหรับตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ชั้นยังไม่อยากคิดเรื่องของวันพรุ่งนี้" เธอใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดที่ตัวผมแรงขึ้น ใบหน้าซุกไซร้ที่แผ่นอกของผมแนบแน่น ผมชำเลืองมองหน้าเธอที่หลับตาพริ้มเหมือนลูกแมวน้อยที่นอนซุกไซร้หาไออุ่นจากแม่แมว มุมปากเธอมีรอยยิ้มแฝง


เหล้าหมดไปครึ่งขวดแล้ว เวลาเริ่มดึก ฟลอร์เต้นรำคนเริ่มพลุกพล่าน เธอลุกขึ้นโดยพลันฉุดมือผมลุกขึ้นไปยังฟลอร์เต้น ผมยื้อยุดเล็กน้อยเพราะผมเริ่มประหม่าที่จะออกไปเต้นท่ามกลางผู้คน แรงดึงจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัดสินใจปล่อยตัวไปตามแรงฉุด และแรงดึงดูดจากตัวเธอ แต่ไม่ลืมที่จะถอดเสื้อนอกออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตผูกไทด์


คู่หนุ่มสาวยืนโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลงที่เร็วและสนุก ผมเริ่มต้นด้วยการยืนต่อหน้าเธอ จ้องไปที่หน้าเธอ ผมเริ่มเมาแล้วพร้อมที่จะทำอะไรบ้าๆอย่างที่คนวัยอย่างผมน้อยคนนักจะกล้าทำกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ออกมาเต้นรำกลางฟลอร์ดิสโก้เธคผ่านมากี่ปีแล้ว มือเท้าผมแข็งไปหมดโชคดีที่เธอเต้นนำ ผมตาม ด้วยจังหวะดนตรีที่เร้าใจปนผลจากแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไป ผมเต้นสนุกสุดเหวี่ยง ปล่อยกายใจไปตามอารมณ์ สิบกว่าปีที่ผ่านมานี่ผมมัวไปทำอะไรอยู่ บนโลกเรานี้มีอะไรให้ค้นหาให้สนุกอีกมากมาย


เราสองคนกลับมานั่งที่โต๊ะ กับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายอย่างผมพอได้ออกแรงนิดหน่อยก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจที่หัวใจเต้นแรงเพราะได้ออกไปเต้นหรือหัวใจเต้นแรงเพราะอยู่ใกล้ๆเธอกันแน่ เหงื่อของผมเปียกออกมาเต็มตัว เหงื่อเธอมีเล็กน้อย กลิ่นกายของแต่ละคนดึงดูดฝ่ายตรงข้ามให้เข้าหากัน


เธคใกล้ปิดแล้ว เวลาตอนนี้ยังแค่เที่ยงคืน ผมไปดื่มเหล้ากับเธอต่อที่ร้านอาหารเล็กๆใกล้คอนโดของผม เป็นร้านธรรมดาไม่มีเพลงเปิด บรรยากาศในร้านคนคึกคัก ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทั่วไป ผมไม่ได้มาสถานที่แบบนี้นานมากแล้ว


"คุณเคยมาสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอคะ ถ้ารู้ว่าคุณชอบแบบนี้ต่อไปชั้นจะได้นัดคุณมาร้านแบบนี้ดีกว่า" ผู้หญิงที่ผมหลงเสน่ห์เอ่ยถาม


"ผมไม่ได้มาเที่ยวที่แบบนี้นานแล้วครับ เมื่อได้กลับผมรู้สึกว่าที่นี่กับร้านแพงๆมันไม่ได้มีอะไรที่ต่างกันเลย จะต่างก็ต่างกันที่ราคา ไม่ว่าจะนั่งร้านแบบไหนความสุขที่ได้นั่งดื่มกินมันขึ้นอยู่กับว่าเรานั่งกับใครมากกว่าครับ ถ้าผมได้นั่งกินข้าวกับคุณทุกคืน ต่อให้เป็นนั่งกินที่บ้านผมก็ว่ามีความหมายกว่าสถานที่แพงๆเป็นไหนๆ" ผมบรรยายความรู้สึกที่ออกมาจากใจ


"แหม! ทำเป็นพูดดีไป" หญิงสาวเขินอาย


"คำขอวันพรุ่งนี้ว่ายังไงครับ ผมรอคำตอบอยู่" ผมถาม


"มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่ะ " เธอตอบ


"ครับ" ผมรับคำ พร้อมยกแก้วเหล้า เหล้าไทยราคาถูกผมยกดื่มอย่างลื่นคอ คืนนี้จบลงที่เดิม แต่เช้าวันใหม่ผมตื่นมาพร้อมเธอ ผมตื่่นเร็วกว่าปกติในวันหยุด พาเธอไปกินอาหารเช้าในตลาดโต้รุ่งใกล้ที่พัก


"ปกติคุณมากินอาหารแบบนี้บ่อยมั้ยคะ" เธอถาม


"ไม่ครับ ผมไม่เคยมายังตลาดที่นี่ตอนเช้าเลย ไม่รู้จริงๆว่ามีของขายในสถานที่แบบนี้ด้วย ปกติผมตื่นเช้าก็ตรงไปทำงานเลย ถ้าเป็นวันหยุดผมจะนอนจนถึงบ่ายๆและตื่นไปห้าง" ผมตอบตามความจริง


"แต่ต่อไปผมคงตื่นเช้าขึ้นเพื่อมาหาอะไรกินที่ตลาด" ผมตอบอีกครั้ง


"ดีค่ะ เป็นเรื่องที่ดี" เธอตอบ


เมื่อกินเข้าเสร็จเราเดิน


"สร้อยพร้อมจี้เส้นนี้เหมาะกับคุณ ผมซื้อให้คุณแทนคำขอบคุณของผมที่คุณยอมออกมาเดินเที่ยวห้างกับผมในครั้งนี้" ผมหยิบสร้อยในตู้โชว์ของร้านก่อนจะปลดตะขอและสวมไว้ที่คอของเธอ


"ขอบคุณมากค่ะ คุณช่างตาแหลมจริงๆ เลือกสร้อยที่สวยที่สุดในร้านออกมาได้" เธอตอบ


"เดี๋ยวเราขึ้นไปเลือกดูโปรแกรมหนังกันเถอะ อาทิตย์นี้มีหนังเข้าโรงใหม่ๆหลายเรื่องเหมือนกันนะ" ผมชวนเธอ


"กว่าจะถึงเวลาที่หนังฉายยังอีกนาน เราไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนดีกว่าครับ" ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่ว และตอนนี้เที่ยงตรงพอดีผมเลยชวนเธอไปทานข้าว


"หนังสนุกมากเลยค่ะ เสียดายที่ตอนท้ายทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" หลังดูหนังจบเราทั้งคู่คุยถึงภาพยนตร์ที่เราเพิ่งดูกันมา


"ผมว่าเค้าผูกเรื่องได้ดีนะ สร้างได้สมจริงดี ทุกอย่างบนโลกนี้มันไม่ได้สวยหรูเหมือนที่เราอยากจะให้เป็น" ผมพยายามพูดให้ดูเท่ๆเข้าไว้


"ผมขออนุญาติพาคุณไปทะเลนะครับ เราจะไปดินเนอร์กันที่ริมชายหาด และเราจะนอนดูดาวด้วยกัน" ผมชวนเธอไปทะเลใกล้ๆ ผมขับรถออกจากเมืองตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมง กว่าจะไปถึงทะเลก็หัวค่ำพอดี


โชคดีที่วันนี้การจราจรค่อนข้างจะคล่องตัว ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วไม่มากนัก ระหว่างทางเราพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและวางแผนการของคืนนี้ไว้แล้ว


เราตะเวนหาที่พักที่มีบรรยากาศตามที่เราต้องการ ในที่สุดก็เจอบังกะโลที่พัก ค่าห้องที่นี่ไม่แพง ที่นี่แลดูเป็นธรรมชาติมาก ผมและเธอตกลงว่าจะพักค้างคืนกันที่นี่


หลังจากเก็บของ และอาบน้ำเสร็จ ผมแต่งตัวเพื่อจะออกไปหาร้านอาหาร แต่วันนี้ผมเลือกที่จะใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เธอเช่นกันที่แต่งตัวสบายๆโดยสวมชุดเดรสยาวสีส้มลูกกวาด รวบผมด้วยผ้าคาดผมสีเดียวกันกับชุด สวมกำไรลูกปัดสลับสี และสร้อยพร้อมจี้ที่ผมซื้อให้เธอ


เราสั่งอาหารทะเล เครื่องดื่มวันนี้ผมเลือกเป็นไวน์ขาว พอสั่งอาหารและเครื่องดื่มเสร็จ ผมมองไปที่บนเวที นักดนตรีร้องพร้อมเกากีตาร์เพลง Have I Told You Lately เมื่อจะเริ่มตั้งใจฟัง บทเพลงก็มาถึงเนื้อร้องท่อน


You fill my life with laughter


And somehow you make it better


Ease my troubles that's what you do


There's a love that's divine ......


ผมกุมมือเธอแน่นและตั้งใจฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์


"พรุ่งนี้เป็นอาทิตย์ คุณคิดว่าเราควรจะพักผ่อนต่อที่นี่อีกวันดีมั้ย พรุ่งนี้เราจะได้เล่นน้ำกัน หรืออาจจะหาเช่าสกูตเตอร์มาขี่ ตอนเย็นถ้ายังไม่อยากกลับก็นอนต่อที่นี่อีกหนึ่งคืน คุณคิดว่ายังไงครับ" ผมถามเพราะอยากต่อเวลาอยู่กับเธอให้มากขึ้น


"วันจันทร์คุณไม่ต้องรีบไปทำงานเหรอคะ ถ้าไม่ไปทำงานบริษัทไม่ว่าอะไรคุณเหรอ" เธอถาม


"ผมไม่แคร์ ผมคิดว่ากำลังจะลาออกจากบริษัทบ้าๆนั่นอยู่พอดี" ผมตอบตามความเป็นจริง


"ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรกับที่ทำงานหรือเปล่า" เธอถาม


"ผมคิดว่าอยากให้เวลากับตัวเองและคนรอบข้างให้มากกว่านี้ครับ งานของผมถึงแม้จะได้เงินเยอะ เงินเดือนที่ได้ก็คุ้มค่ากับแรงงานที่เราทำบางทีก็เกินคุ้มซะอีก แต่ผมอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่านี้ อยากลองไปทำอะไรใหม่ๆ เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ อยากอยู่กับคนที่ผมรักตลอดเวลา" ผมอธิบายแรงปรารถนาให้เธอฟัง


"โรแมนติกจัง" รอยยิ้มของเธอทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่มอง


เราทานอาหารเสร็จ ไวน์หมดไปหนึ่งขวด จากนั้นเรากลับไปยังบังกะโลที่พักของเรา สาเหตุที่เราเลือกพักที่นี่เพราะบังกะโลอยู่ติดชายหาด และยังมีเตียงนอนด้านนอกของห้องให้เราสามารถนอนฟังเสียงคลื่นที่ชายหาดพร้อมมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าได้ด้วย


เรานอนกันคนละเตียงแต่ผมก็เอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ นอนโดยไม่พูดอะไรตาจ้องมองที่ดวงดาวบนฟ้า หูรับฟังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง ใจเราล่องลอยเหมือนกับทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน


"คุณครับผมมีเรื่องนึงที่อยากจะบอก" ผมทำลายความเงียบด้วยการชงคำถาม


"เชิญค่ะ" เธอรับฟัง


"หากคุณไม่รังเกียจ กรุณาแต่งงานกับผมได้มั้ยครับ" ผมพูดขณะที่ตายังจ้องบนท้องฟ้า สักพักผมหันหน้าไปมองหน้าเธอก่อนจะพูดอีกครั้งว่า


"ไม่สิ ช่วยแต่งงานกับผมอีกรอบได้มั้ยครับ ชลดา" ผมถามอย่างเปิดเผย


"ตกลงค่ะคุณเมธาวี" เธอตอบ


------------------------------------------------------


วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นิพพานที่ต่างกัน





ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง กระแสสังคมสมัยใหม่พัดไหลเชี่ยวทะลายกำแพงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน หนังละคร เพลงสมัยนิยมหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การควบคุม เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมีการแสดงที่เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเข้ามาเสริมในงานวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี



"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น



"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้

_________________

หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก



โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน



"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"



หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง

เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที



"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"



"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"



"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"



เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ



"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"



ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ



"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"



"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"



หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า



"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."



เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ



"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"



เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว



"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง



"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"



ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง



"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"



เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม



"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"



ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า



"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"



แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน



______________________





เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้



อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว



บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน



เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า



ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน



"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"



เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย



"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"



อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก



"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"



เจ้าอาวาสเอ่ยถาม



"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้นหนทางแห่งนิพพานเลย สู้ออกมาเป็นฆราวาสยังพอจะหลบหลีกหนีหาหนทางสงบได้ง่ายกว่า"







อดีตเจ้าอาวาสอธิบาย



"สิ่งที่โยมพูดก็มีเหตุผล ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็เป็นได้แค่เพียงยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ พอเริ่มไม่สบายนิดหน่อยก็หายาพวกนี้มากินเม็ดสองเม็ดเพื่อให้อาการบรรเทาลง เจ็บป่วยอีกก็กินยาอีกโดยไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอย่างแท้จริง เหมือนกับที่ไม่ยอมฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้อาตมาเองก็คงไม่คาดหวังที่จะให้คนทุกคนที่มาวัดนั้นได้ซึมซับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงหรอก คงจะมีแค่บางส่วนที่สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้บ้าง ส่วนที่เหลืออาตมาก็คิดว่าคงเป็นได้แค่ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็พอแล้ว"



เจ้าอาวาสเสริม



"มันก็คงเหมือนกับแนวคิดบัวสี่เหล่า เราคงไม่สามารเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลวงพ่อจำตอนที่องค์ชายมีคนรักเป็นหญิงสาวชาวป่าได้หรือไม่ครับท่าน"



อดีตเจ้าอาวาสถามเจ้าอาวาส



"อืมมม! องค์ชายและหญิงสาวชาวป่าคงจะเป็นคู่ที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน จึงทำให้ทั้งสองเป็นคู่แท้ซึ่งกันและกัน แม้แต่ยศถาบันดาศักดิ์ที่ต่างกันก็ไม่สามารกีดขวางความรักของทั้งคู่ได้ เอ๊ะ! ถามแบบนี้หรือว่าโยมกำลังคิดจะแต่งงาน"



เจ้าอาวาสถามกลับ



"ใช่แล้วหลวงพ่อ แต่ผมอายุปูนนี้แล้วคงจะไม่จัดงานพิธีอะไรให้วุ่นวายหรอกครับท่าน"



"อืมมม! อาตมาเข้าใจแล้ว คนแต่ละคนก็มีวิถีที่ต่างกัน แม้จุดมุ่งหมายจะเหมือนกัน นิพพานที่ต่างกัน"





อดีตเจาอาวาสกราบลาเจ้าอาวาสก่อนที่จะเดินออกจากโบสถ์ไป