แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องลี้ลับ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องลี้ลับ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

กีตาร์ซาตาน


สมชายยืนกลางเวทีที่มีเสียงกลองและเสียงคีย์บอร์ดสร้างจังหวะ มือเบสบนเวทีตบสายพร้อมไล่นิ้วตามทางเดินคอร์ด เครื่องดนตรีสามชิ้นนี้กำลังบิ๊วอารมณ์ผู้ชมนับพันข้างล่างเวทีที่กำลังยืนรอจนเหงือกแห้ง พวกเขาเหล่าคนดูชาวร็อคเกอร์ทั้งหลายต่างกำลังรอฟังเสียงโซโล่กีตาร์เทพจากนิ้วเรียวยาวของสมชาย
เมื่อใกล้จะจบท่อนอินโทร สมชายสูดลมหายใจช้า ๆ เข้าไปเต็มปอด และเมื่อถึงจังหวะที่เขาต้องเล่น สมชายกระแทกลมหายใจออกมาพร้อมสะบัดข้อมือให้ปิ๊กกีตาร์กรีดลงไปบนสายเหล็ก มือขวาจับคอร์ดและเปลี่ยนมันอย่างรวดเร็วไปมา แค่การตีพาวเวอร์คอร์ดจังหวะร็อคด้วยความเร็วไปมารวมถึงเสียงสายกีตาร์ที่สะท้านผ่านเอฟเฟคราคาแพง นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าสาวกขาไฟต่างโห่ร้องครวญครางกันเต็มฮอลล์แสดง
เสียงร้องโหยหวนชวนสยองจากเหล่าคนดูเหมือนกับว่าพวกเขาและเธอเหล่านั้นคือปีศาจที่เพิ่งจะหลุดออกมาจากขุมนรก โดยมีเสียงสั่นสะเทือนจากสายกีตาร์นั้นมาสะเดาะกุญแจสู่นรกอเวจี ท่อนเวิร์สธรรมดาที่ยังไม่กระชากบาดใจเท่าใดนักอาจจะทำให้เหล่าผู้ชมยังสงวนท่าทีไม่ดิ้นแรงจนพื้นฮอลล์ลุกเป็นไฟ
สมชายเพ่งสายตาดุดันลงไปยังข้างล่างเวที ที่ข้างล่างนั้นเขาเห็นเหล่าสาวกต่างปลุกเร้าใจตัวเองด้วยการดื่มเหล้าเมายา บางคนยกขวดเบียร์เทลงปากรวดเดียวหมดขวด ขี้เหล้าผมยาวใส่ชุดหนังขาด ๆ คนหนึ่งขว้างขวดเบียร์ที่กินหมดแล้วขึ้นเวที ขวดแก้วสีเขียวขุ่นลอยล่องตรงไปยังหัวของมือกลอง แต่ด้วยความเร็วราวปีศาจของมือให้จังหวะประจำวง มือกลองร่างใหญ่ฟาดไม้กลองเหล็กลงไปกลางขวดเบียร์อย่างแม่นยำ เศษแก้วแตกละเอียดพรุ่งกระจายเต็มเวที แก้วเศษเล็กเศษน้อยลอยฟุ้งสะท้อนแสงระยิบระยับ เหมือนกับว่านี่คือเอฟเฟคอย่างหนึ่งของโชว์
มือกลองดูเหมือนจะโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขารัวกลองเร็วขึ้นเป็นสองเท่าก่อนจะค่อย ๆ เบาลงเมื่อกำลังจะเข้าท่อนพรีคอรัส
สมชายทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับความไร้รสนิยมจากแฟนดนตรีของตัวเอง เพลงที่มีแต่จังหวะเร้า ๆ และคอร์ดของเพลงที่วนไปวนมาไม่มีจบสิ้น บางทีสมชายใช้แค่เทคนิคง่าย ๆ ของการดีดกีตาร์ก็เหมือนกับเปลี่ยนบรรยากาศของเพลงให้เปลี่ยนไปบ้าง แต่สำหรับเขานั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างสรรค์หรือได้ใช้พรสวรรค์ทางดนตรีอะไรเลย สมชายคิดแบบนี้
แฟนเพลงอสูรกายบางคนพ่นควันฟุ้งลอยเต็มอากาศ สมชายคิดว่านั่นคงไม่ใช่แค่ยาสูบธรรมดา ๆ หรอก บางคนสูบฝิ่นสูบกัญชา หรือบางคนอาจจะเตรียมบุหรี่ที่ยัดผงยาบ้าเอาไว้ในใบยาขึ้นมาดูด ภาพหมู่คนที่ถูกรมไปด้วยควันชวนให้นึกถึงฉากการสังหารหมู่คนนับพันด้วยการรมแก๊สพิษให้ตายในครั้งเดียว การตายเพื่อเกิดใหม่หลายพันชีวิตด้วยยาพิษในอากาศแค่ไม่กี่ถัง เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชวนสยดสยองยิ่งนักสำหรับมือกีตาร์ฮีโร่บนเวทีนี้
เรียวนิ้วยาวเคลื่อนไหวไล่นิ้วไปตามเสกลเพนทาโทนิคด้วยความเร็วเกินกว่าที่หูใครจะทันจับได้ว่าเป็นการดีดกีตาร์ เสียงแผดร้องของสเกลง่ายระดับอนุบาลแต่ความเร็วปานสายฟ้ายิ่งเร้าอารมณ์ของคนดูขึ้นมาหน่อยนึง
เสียงกลองเปลี่ยนจังหวะเพื่อเตรียมเข้าท่อนฮุคสำคัญที่เตรียมจะน็อคเอาท์คนฟังให้สลบใต้เวที สมชายจับจังหวะเล่นลูกสวีปเปอร์กับคอร์ดที่ถูกกำหนดจากมือซ้าย มือขวากวาดปิ๊กกีตาร์ไปมาพร้อมใช้สันมืออุดสายที่ไม่ต้องการออก เสียงกีตาร์ที่ถูกขยายจากแอมปิฟลายเออร์และลำโพงดอกสิบสองนิ้วหลายสิบตัว เสียงพิศดารหว่านล้อมฟิลลิ่งคนฟังให้ฮึกเหิมไปกลับเสียงดนตรี สีหน้านักฟังแทบทุกคนเกือบจะสติแตกไปกับท่อนฮุคสุดโหด
หลายคู่ทนไม่ไหวมีเซ็กส์กันท่ามกลางงานคอนเสิร์ต พวกเขาและเธอเหล่านั้นต่างไม่รู้สึกเขินอายหรือกระดากใจแต่อย่างใด เพราะอารมณ์ทางดนตรีนั้นสูบฉีดให้คนเหล่านั้นขึ้นถึงจุดสุดยอดในความรู้สึก อคติและจริตที่มนุษย์สร้างขึ้นถูกทำลายลงด้วยท่วงทำนองที่แสนวิเศษและมหัศจรรย์ ความฝันและความคาดหวังทุกอย่างของมนุษย์ถูกขัดจังหวะจากเสียงแห่งปัจจุบัน แทบทุกคู่ที่กำลังร่วมรักกันกลางงาน ต่างพร้อมใจกันหน่วงเวลารอท่อนจบของท่อนฮุคเพื่อจะขึ้นถึงสวรรค์พร้อมกันกับท่อนสำคัญของเพลง
เสียงกลองกระทุ้งกระเดื่องคู่รัวจนหัวใจคนฟังแทบหยุดเต้น เสียงจังหวะเร็วรัวรบกวนจังหวะเต้นของหัวใจจนเกือบทำให้ผิดเพี้ยน กระเดื่องเงียบเสียง ทุกอย่างเงียบเหลือแต่เสียงตบสายโซโลเบสหยุดอารมณ์ไว้ชั่วครู่ เสียงคีย์บอร์ดเล่นโน๊ตเพลงที่สลับซับซ้อนก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นคอร์ดอะเพ็กจิโอที่เรียบง่าย
ทุกอย่างเงียบเหลือแต่เสียงตีคอร์ดจากกีตาร์ไฟฟ้าโดยไม่มีเอฟเฟคใด ๆ มาทำให้เสียงธรรมชาติผิดเพี้ยน และไม่นานทุกอย่างก็เงียบงัน

สมชายถอยรถออกจากลานจอดหลังทำงานเสร็จในคืนนี้ เขาตั้งลำบนถนนหลักและค่อย ๆ เปลี่ยนจากเกียร์ต่ำไปยังเกียร์สูงสุดตามความเร็วที่รถทำได้ และเมื่อสมชายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์เพิ่มอีกแล้ว เขาจึงเลื่อนมือซ้ายไปหยิบแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นออกจากซองที่แขวนอยู่บนที่บังแดดเหนือหัว ก่อนจะสอดแผ่นพลาสติกวงกลมเข้าไปยังช่องแคบ ๆ บนแผงคอนโซลรถ ตัวอักษรดิจิตอลบนแผงหน้าปัดแอลอีดีขึ้นตัวอักษรคำว่า ‘TOMMY EMMANUEL’
ลำโพง 6.1 ติดรถดังขึ้นด้วยเสียงกีตาร์ฟิงเกอร์สไตล์ เมโลดี้ที่วิ่งสลับไปมาเป็นท่วงทำนองที่จับใจสมชายยิ่งนัก วลีเพลงที่ตัวโน๊ตไม่เรียงต่อกันเหมือนการไล่สเกลง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยเป็นสิ่งที่สมชายทำไม่ได้ เขาไม่สามารถฟังเพลงเหล่านี้แล้วแกะออกมาเล่นได้เลย นิ้วของเขาเดินทางได้เป็นเส้นตรงอย่างเดียว เขารู้ทุกสเกลบนโลกนี้แต่ไม่สามารถเล่นวลีสั้น ๆ ที่มีเอกลักษณ์อะไรได้เลย
ความสบายเพลิดเพลินจากการฟังเพลงนี้แสดงออกมาบนใบหน้าของนักดนตรีที่มีแฟนคลับมากมาย เมื่อเพลงบรรเลงไปครบอัลบั้มบนแผ่นซีดี สมชายเลือกแผ่นของ Steve Vai ออกมาใส่เครื่องเล่น แต่คราวนี้เขาจงใจเลื่อนแทรคไปยังเพลงที่มีชื่อว่า Tender Surrender สมชายรู้สึกทึ่งกับไดนามิคของเพลงที่มีแข็งสลับอ่อนผ่อนปรนกันไปอย่างลงตัว เมโลดี้ของโน้ตกีตาร์ไพเราะเสนาะหูของเขาทุกครั้งแม้ครั้งนี้สมชายจะฟังมันเป็นครั้งที่พันแล้วก็ตาม
สมชายจะขับรถออกนอกตัวเมืองทุกครั้งหลังเล่นดนตรีเสร็จ เขาจะขับออกนอกเมืองระยะทางรวมร้อยกว่ากิโลเมตรเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานที่แสนจะน่าเบื่อของเขา นักดนตรีร็อคจะเปิดเพลงที่มีเมโลดี้สวย ๆ ฟังเพื่อลดความเครียดจากสิ่งที่เขาพบเจอมาในแต่ละวัน และบนถนนเลี่ยงเมืองออกไปจะเป็นทางตรงยาวที่แทบจะไม่มีรถวิ่งเลย นั่นจึงทำให้สมชายเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ทำความเร็วไปแตะสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
รถยนต์สปอร์ตราคาแพงทะยานรักษาความเร็วที่สองร้อยกิเมตรต่อชั่วโมงนานห้านาทีแล้ว และทันใดนั้น สมชายเห็นจุดดวงไฟเล็ก ๆ บนถนนตรงหน้าเขาห่างออกไปหลายร้อยเมตร เจ้าของรถรู้สึกแปลกใจจึงรีบถอนคันเร่งออก แสงไฟจากจุดเล็ก ๆ เริ่มเห็นเป็นภาพใหญ่ขึ้น สมชายเริ่มเห็นว่ามันเป็นรถบรรทุกที่มีตู้คอนเทนเนอร์ ท้ายรถมีไฟประดับประดาเต็มท้ายรถ เมื่อรถของสมชายเข้าไปจ่อตูดรถบรรทุกใกล้ ๆ รถบรรทุกเบรคกระทันหันทันทีจนเสียงล้อรถเบียดถนน
รถสปอร์ตคันหรูเบี่ยงหัวหลบออกทางขวาเตรียมจะแซง เมื่อสมชายบังคับรถอยู่ตำแหน่งขนาบข้างเขากำลังจะเตรียมเหยียบคันเร่งเต็มแรง แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อเห็นตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกตกแต่งเป็นห้องกระจก ภายในกระจกมีแสงไฟสลัว ๆ แต่ยังพอทำให้เห็นภาพกีตาร์วางเรียงรายเหมือนกับว่านี่คือร้านขายกีตาร์เคลื่อนที่ และทันใดนั้นแสงไฟภายในตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องกระจกก็สว่างไสวจากแสงไฟภายใน
สมชายยกเท้าถอนคันเร่งปล่อยให้รถไหลไปอยู่หน้ารถบรรทุกที่จอดนิ่งสนิทแล้ว เขาพยายามมองทะลุกระจกหน้ารถบรรทุกเข้าไปเพื่อมองหาคนขับ สมชายมองเห็นแต่เพียงเงามืด ๆ ของชายผมยาวจัดทรงไม่ได้รูปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใด ๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้ารถพยายามจะทำท่าทางเรียกความสนใจจากเงาดำ ๆ หลังกระจก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
ชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายโดยเดินไปดูที่ตู้คอนเทนเนอร์ เขาเห็นประตูเปิดออกเหมือนรอให้ใครบางคนเข้าไป นักกีตาร์นิ้วไฟถูกดึงดูดด้วยอะไรบางอย่างจนทำให้เขาต้องปีนข้างรถขึ้นไป
เมื่อสมชายเข้าไปข้างในจึงทำให้สังเกตเห็นต้นกำเนิดแสงสว่างนั้นมาจากตะเกียงโบราญ เปลวไฟเล็ก ๆ ในหลอดแก้วกว่าสิบอันสั่นไหวตามจังหวะการเดินของแขกผู้มาเยือน บนชั้นวางกีตาร์มีกีตาร์ราคาแพงวางอยู่เรียงราย สมชายเห็นกีตาร์บางตัวเป็นลิมิเต็ดอีดิทชั่นที่หายากมาก ๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาใจเต้นอะไรเลยจนกระทั่งได้เห็นกีตาร์ไฟฟ้าสีขาวสะอาดตัวหนึ่งมีปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำมีรอยตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ
ชายผู้มาใหม่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับกีตาร์ตัวนั้นก่อนจะเอานิ้วมือไปลูบสัมผัสตรงปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำ เขาถูมันไปมาและหงายนิ้วขึ้นมาดู สมชายถึงกับขนลุกซู่เมื่อเห็นนิ้วมือของตัวเองชื้นไปด้วยของเหลวสีข้น ๆ  เขาไม่แน่ใจว่ามันคือเลือดสด ๆ หรือเปล่าเพราะแสงไฟสีส้มทำให้ไม่สามารถดูมันได้ว่าเป็นสีอะไรแน่ และทันใดนั้นเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น
“ต้องขออภัยด้วย กีตาร์ตัวนั้นเพิ่งจะทำสี มันยังไม่แห้งดี”
แขกผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือกกับน้ำเสียงแหบพร่านั้น เขาเผลอสะดุดเท้าไปโดนกับชั้นวางกีตาร์ สมชายตกใจรีบหันไปประครองชั้นวางที่มีกีตาร์หลายตัวแขวนอยู่
“ขะ...ขอโทษครับ ขอโทษที่เข้ามา...”
“ขอโทษอะไรกัน ร้านนี้ตั้งใจเปิดไว้รอคุณอยู่แล้ว”
“รอผม” สมชายกลืนน้ำลายลงคอ เขาหยุดคิดว่าคงเป็นการล้อเล่นกระมัง เพราะชายที่ยืนอยูตรงหน้านั้นที่ดูแก่ชราน้ำเสียงไร้ความรู้สึกใด ๆ ได้แต่ผงกศรีษะ 
ชายชราสภาพสกปรกโสโครกแต่งตัวเหมือนหยิบผ้าขี้ริ้วที่ซักแล้วมาห่ม ผมเผ้ายาวสีเทาดูหยุงเหยิงไร้การดูแล ตอนนี้ชายแก่เขยิบเข้ามายืนข้างสมชาย กลิ่นตัวเหม็นเน่าจนแทบจะอาเจียนจนทำให้สมชายต้องกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง
“คุณสนใจกีตาร์ตัวนั้น”
สมชายได้แต่ผงกหน้า
“คุณจะหยิบลงมาดูก็ได้นี่”
“แต่สีของมันยังไม่แห้งดีไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องไปสนใจสีตรงปิ๊กการ์ดหรอก บางทีแล้วมันอาจจะไม่มีวันแห้งเลยก็ได้”
สิ้นเสียงชายชรา สมชายไม่สนใจคำพูดนั้น เขาเอื้อมมือไปจับที่คอกีตาร์ก่อนจะเอามืออีกข้างประครองที่ลำตัว ชายหนุ่มถือกีตาร์ในตำแหน่งพร้อมเล่นก็รู้สึกว่ามันช่างเหมาะพอดีมืออะไรอย่างนี้ เขาทดลองใช้นิ้วสะบัดลงบนสายเหล็กสองสามที
“ผมจะลองฟังเสียงมันหน่อยจะได้ไหม” สมชายหันมาพูดกับชายชรา และเบี่ยงหน้าหนีทันทีเมื่อสบสายคู่นั้นเข้า
“อยู่ข้าง ๆ เท้าคุณนั่นไง” ชราส่ายหน้าไปยังทิศทางที่พูดถึง
สมชายเสียบสายแจ๊คและปรับปุ่มต่าง ๆ ที่ลำโพงจนเรียบร้อย เขาทดลองไล่สเกลดูสองสามรอบก็ทำสีหน้ารู้สึกพอใจระดับหนึ่ง จากนั้นนักกีตาร์ทดลองตีคอร์ดจังหวะร็อคที่ดุดัน เขารู้สึกทึ่งว่ามันคือกีตาร์ที่ดีตัวหนึ่ง สมชายลองเล่นเทคนิคที่เขาถนัดที่สุดโดยการสวีปปิ้ง นั่นทำให้สมชายอยากได้กีตาร์ตัวนี้มาครอบครอง
“ฝีมือของคุณเยี่ยมมาก” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไม่ทราบว่าราคาของกีตาร์ตัวนี้อยู่ที่เท่าไหร่”
ชายชราทำท่าจะเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อได้ยินสมชายพูด “หากคุณจะเพียงแค่ใช้กีตาร์ทำในสิ่งที่คุณเพิ่งเล่นไปนั้น ในร้านนี้มีกีตาร์อีกหลายตัวที่มีเสียงดีเทียบเท่ากับกีตาร์ตัวนี้ มีรูปทรงกีตาร์สวย ๆ ให้คุณเลือกมากมาย คุณไม่จำเป็นต้องใช้กีตาร์ตัวนี้หรอก” คนดูแลร้านพูดเสร็จก็ผายมือให้ดูกีตาร์อีกหลายตัวในชั้นเดียวกัน
“ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูด”
“ทำไมไม่ลองเล่นเพลงของศิลปินที่คุณชื่นชอบล่ะ”
สมชายรู้สึกจุกอกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “ผมไม่เคยเล่นเพลงเหล่านั้นเลย เพลงที่มีเมโลดี้สลับซับซ้อนเป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัด”
“แล้วทำไมคุณไม่ลองเล่นมันดูล่ะ”
เขารู้สึกมือสั่นแข้งขาอ่อนเมื่อคิดถึงเพลงที่เขาชื่นชอบ แต่ทว่าเมื่อสมชายกำลังนึงถึงท่อนฮุคจากเพลงที่เขาเพิ่งจะเปิดฟังมาตอนขับรถ นิ้วเรียวยาวของเขาก็เลื่อนไปเล่นเองตามความรู้สึกของสมชาย
“เป็นไปไม่ได้” สมชายอึ้งกับวลีที่เขาเพิ่งจะเล่นออกไป มันแทบจะไม่แตกต่างจากต้นฉบับ หรือบางทีมันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำก็เป็นได้
“ทำไมคุณไม่เล่นเพลงเทนเดอร์เซอร์เรนเดอร์ของสตีฟไวตั้งแต่ต้นจนจบ” ชายชราพูดขึ้น
“คุณรู้จักเพลงนี้” สมชายพูดถามอย่างประหลาดใจ แต่เขาไม่รอฟังคำตอบก็เริ่มเล่นเพลงที่ว่านั้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อสมชายบรรเลงกีตาร์เสร็จ เขารู้สึกทึ่งมากกับเสียงเพลงนั้น แต่ความทึ่งนั้นคงไม่มากเท่ากับความประหลาดใจ
“ตอนนี้ผมอยากทราบราคาของกีตาร์ตัวนี้แล้ว” สมชายเน้นเสียง
ชายชราค่อย ๆ เดินไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะเก่า ๆ วางอยู่ เขาเปิดลิ้นชักพร้อมหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น “นักกีตาร์ส่วนมากจะมีปัญหาคล้าย ๆ กัน นั่นก็คือเล่นได้แต่แนวเพลงที่ต้องใช้ทำมาหากินทุกวัน ๆ จนไม่มีเวลาที่จะซ้อมแนวเพลงที่ตัวเองชื่นชอบ คุณก็อยู่ในข่ายนั้น... แต่นั่นแหละ คุณมีคุณสมบัติที่เจ้านายผมต้องการ”
“เจ้านาย” สมชายเดินตามมายังมุมห้องพร้อมทำสีหน้าแปลกใจ “หรือว่าหมายถึงเจ้าของร้านนี้”
“ก็อาจจะทำนองนั้น”
“เอาล่ะ... ผมอยากรู้ราคาของมันแล้ว” สมชายพูดน้ำเสียงหนักแน่น
"รายละเอียดอยู่ในสัญญา คุณกรุณาอ่านดูอย่างละเอียด แล้วผมจะคุยกับคุณ"
สมชายรับกระดาษมาอ่านอย่างงุนงง “ในนี้บอกว่าผมเพียงแค่เซ็นลงไป”
“ใช่”
“สัญญามีเพียงข้อเดียวว่าวิญญาณของผมจะถูกขายให้ปีศาจ และปีศาจจะมาเอามันไปเมื่อไหร่ก็ได้”
“ใช่”
ไม่มีท่าทีใด ๆ ปรากฏออกมาจากนักดนตรีนอกจากความไม่ชัดเจนเรื่องสัญญาที่ดูบ้า ๆ นี้
“ถ้าว่ากันตามสัญญา ปีศาจของคุณก็สามารถที่จะมาเอาวิญญาณของผมไปได้เลยทันทีที่ผมเซ็นชื่อลงไปในกระดาษใบนี้”
“เงื่อนไขก็เป็นไปตามนั้น แต่ผมคิดว่าเจ้านายของผมคงไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอก ไม่แน่นะถ้าเจ้านายเขาเกิดชอบคุณขึ้นมา เขาอาจจะมาเอาวิญญาณคุณตอนอายุ 99 ปีก็ได้ หรืออาจะซัก 120 คุณลองคิดดูสิ คุณจะกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่”
สมชายรู้สึกสับสนกับเรื่องลี้ลับนี้ เรื่องการขายวิญญาณให้ปีศาจเป็นตำนานที่เคยได้ยินมาแล้วหลายเรื่อง ก็เหมือนกับเรื่องภูติผีปีศาจทั้งหลายที่คนมักจะพูดต่อ ๆ กันมาโดยที่ไม่มีใครเคยเห็น หรือว่าคนต้นเรื่องอาจจะหูฝ้าตาฟางเห็นภาพหลอนอะไรไปก็ได้ และถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฝีมือกีตาร์ ก็ไม่น่าจะแปลกอะไรที่คน ๆ หนึ่งจะมีฝีมือกีตาร์เก่งกาจอย่างรวดเร็วภายในปีหรือสองปี อาจจะเป็นเรื่องการบรรลุโดยฉับพลันของคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้ สมชายคิดเรื่องนี้ในหัวก่อนจะลงมือทำอะไร พูดอะไรหรือคิดจะเซ็นสัญญาอะไร
เสียงชายแก่ดังขึ้นในขณะที่สมชายนิ่งเงียบไป “เอาอย่างนี้สิ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของคุณ เจ้านายของผมอนุญาตให้คุณเอากีตาร์ตัวนี้กลับไปลองเล่นที่บ้านได้หนึ่งคืน ตอนนี้คุณยังไม่ต้องเซ็นสัญญาอะไรทั้งสิ้น เมื่อถึงรุ่งเช้า ผมจะไปรับกีตาร์กลับคืนมา”
สมชายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนพูด ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวสายตาคู่นั้นแล้ว “จริงหรือ”
“ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวไม่ใช่เหรอ หากคุณเอาไปลองเล่นแล้วคิดว่ามันไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ก็แค่คืนมันมาแล้วคุณก็ใช้ชีวิตอย่างปกติไป แต่ถ้าคุณอยากได้มัน ก็แค่มาเซ็นสัญญาฉบับนี้”
ผู้ที่ถือกีตาร์อยู่ในมือเริ่มแสดงสีหน้าผ่อนคลายลง “เป็นข้อเสนอที่หน้าสนใจ แต่ผมขอถามอีกอย่างสิ ถ้าหากผมเซ็นสัญญา แล้วเจ้านายคุณมาเอาวิญญาณของผมไป วิญญาณของผมจะไปอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้” เสียงตอบที่ฟังดูเย็นชาดังขึ้น
สมชายทำท่าไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง สายตาของเขาหันไปมองปิ๊กการ์ดสีแดงคล้ำที่มันดูข้น ๆ หนืด ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะแห้ง แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียดายถ้าจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านเลยไป “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมจะขอรับกีตาร์ตัวนี้ไปทดลองเล่นหนึ่งคืน ว่าแต่ผมต้องมัดจำอะไรไว้มั้ย”
“คุณคิดถูกแล้ว เรื่องมัดจำนั่นไม่จำเป็นหรอก ขอให้คุณโชคดี”
“เอ่อ... พอจะมีกระเป๋าใส่กีตาร์หรืออะไรห่อมันไว้หน่อยมั้ย” สมชายถาม
“ไม่มี” เสียงตอบห้วน ๆ จากนั้นชายชราเปิดลิ้นชักโต๊ะก่อนจะนำกระดาษสัญญานั้นใส่ลงไป

เวลาเกือบจะตีสองแล้ว สมชายเดินเข้าลิฟท์ของคอนโดโดยถือกีตาร์สีขาวปิ๊กการ์ดสีแดงมาด้วย เขายังงงๆ ว่าเรื่องบ้า ๆ นี้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือมีใครอยากจะมาแกล้งเขา และเมื่อถึงห้องพักทีมีลักษณะเป็นห้องชุด สมชายแวะพักดื่มน้ำก่อนจะหิ้วกีตาร์ตัวนั้นเข้าไปยังห้องเก็บเสียงที่ดัดแปลงมาจากห้องนอน
ความรู้สึกตื่นเต้นทำให้เขาลืมง่วง ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เขาต้องพักผ่อนแล้ว สมชายเสียบสายกีตาร์นั้นเข้ากับลำโพง เขายังจำความรู้สึกถึงตอนที่เล่นเพลงนั้นได้ไม่ลืมเลือน และตอนนี้มือกีตาร์ก็บรรเลงเพลงนั้นอีกอย่างอิ่มเอมใจ
เมื่อเพลงแรกจบ สมชายก็นึกถึงเพลงอีกหลายเพลงจากศิลปินที่เขาชื่นชอบและเล่นมันออกมาอย่างไพเราะน่าพอใจยิ่งนัก เขายังนึกถึงเพลงใหม่ ๆ ที่เคยฟังผ่าน ๆ จากศิลปินที่มีชื่อเสียงและลองเล่นมันดู สมชายตกตะลึงมาเมื่อเล่นมันออกมาอย่างมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ความสุขและความพึงพอใจของสมชายแสดงออกมาทางใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุข เขาเอนหลังนอนลงบนโซฟายาวพร้อมพักสายตา ทันใดนั้นเหมือนเขาคิดอะไรบางอย่างออกมา อารมณ์ความรัก ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว อารมณ์ของความผิดหวัง การถูกพลัดพราก สิ้นหวัง ความเหงา ความเศร้า อารมณ์เดียวดายอ้างว้างโดดเดี่ยว อยู่ ๆ ความรู้สึกเหล่านี้ก็พรุ่งพรวดออกมาจากความทรงจำของเขาในขณะที่สมชายนอนกอดกีตาร์ตัวนั้นอยู่ในอ้อมแขน
สมชายเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา เขาลองอิมโพรไวส์ความรู้สึกที่ถูกขุดขึ้นมาจากหัวใจออกมาเป็นตัวโน๊ต สมชายไม่ลืมที่จะหยิบเครื่องบันทึกเสียงกดบันทึก
จากโน้ตดนตรีเดี่ยวง่าย ๆ ก็เริ่มซับซ้อนขึ้นมาเป็นขั้นคู่เสียง เป็นทรัยแอด เป็นคอร์ด เป็นวลีเพลงที่ฟังแล้วติดหู สมชายแต่งเพลงขึ้นมาสด ๆ พร้อมอัดลงในเครื่องบันทึกเสียงคุณภาพสูง แต่ละเพลงก็บรรยายอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เขาอัดเพลงไปทั้งหมด 29 เพลง
และตอนนี้พลังในตัวของสมชายก็หมดลง เขาฟุบลงนอนบนโซฟายาวโดยวางกีตาร์ไว้ที่พื้น

เสียงเคาะห้องดังขึ้นสามครั้ง สมชายงัวเงียตื่นขึ้นมาจากการนอนไปเพียงแค่ชั่วโมงกว่า ๆ  เขารีบหันไปมองกีตาร์สีขาวตัวนั้นก็พบว่ามันยังนอนอยู่บนพื้น ไม่นานสมชายก็เดินไปเปิดประตูห้อง
“ผมมารับกีตาร์คืน” ชายชราคนเมื่อคืนยืนอยู่หน้าประตู
สมชายพยายามเปิดเปลือกตาที่ยังคงปิดเพราะอาการงัวเงีย เขาเห็นชายชราในชุดเดิมที่ท่าทางโทรม ๆ “คุณเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องสนใจหรอกน่า”
สมชายเดินเข้าไปหยิบกีตาร์ตัวนั้นออกมายื่นให้ชายที่มาเยือน จากนั้นชายคนนั้นก็ยื่นแผ่นกระดาษให้สมชาย
“ถ้าคุณไม่คิดจะเซ็นก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน จะเก็บใส่ลิ้นชักหรือฉีกมันทิ้งก็ได้ แต่ถ้าคุณเซ็นมันเมื่อไหร่ ผมจะนำกีตาร์ตัวนี้มามอบให้คุณเอง”
“แล้วผมจะติดต่อกลับคุณได้อย่างไร”
ชายชรากำลังทำท่าทางจะเดินหันหลังออกไป เหลียวหันมาทางสมชายก่อนจะพูด “ไว้ให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” เมื่อพูดเสร็จเขาก็เดินจากไป
สมชายเดินกลับเข้ามานอนต่อในห้องนอนของเขา กระดาษสัญญาถูกวางไว้หัวเตียง ชายหนุ่มผู้อ่อนเพลียงีบหลับไปได้สิบนาทีกว่า ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำธุระส่วนตัว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จสมชายเดินเข้าไปยังห้องเก็บเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเดินไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้าของเขาเองออกมาจากที่แขวนข้างฝาผนังห้อง จากนั้นก็พยายามเล่นเพลงที่ตัวเองเพิ่งจะบรรเลงไปก่อนหน้านี้ แต่ทว่าเมื่อลองไล่นิ้วไปได้สักพักสมชายก็โยนกีตาร์ลงพื้นพรมก่อนจะยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาขยี้ผมบนหัว
ความกลัวเรื่อง ๆ หนึ่งบังเกิดขึ้นมาในใจของสมชายจนเขาต้องรีบคว้ากีตาร์ขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็เริ่มตีคอร์ดร็อค ทดลองไล่สเกลให้ได้มากที่สุด และยังเล่นลูกสวีปปิ้งที่ตัวเองถนัด ปรากฏว่าสิ่งที่เขาเล่นออกมายังคงดุดันเร้าใจไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เคยเล่นได้ ตอนนี้สมชายก็ยังสบายใจไปเปราะหนึ่ง

งานในค่ำคืนนี้ของสมชายในร็อคผับก็เป็นเหมือนทุก ๆ คืน ดนตรี แสง สีเสียงยังคงปลุกเร้านักท่องราตรีให้สนุกสนานไปกับโลกแห่งเสียงเพลง โดยมีเหล้า ยาและเซ็กส์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ แต่งานก็คืองาน นักกีตาร์ขวัญใจนักเที่ยวยังคงต้องขับกล่อมผู้ฟังให้ไม่มีที่ติ แม้ว่าจิตใจของสมชายจะรู้สึกเบื่อหน่ายและซึมเศร้ามากเพียงใดก็ตาม
ความเบื่อหน่ายไร้จินตนาการของเขานั้นผ่านนานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นความหดหู่จนถึงที่สุด สมชายลาออกจากงานและไม่นานก็มีนักกีตาร์คนใหม่มาแทนเขาอย่างรวดเร็ว เหล้ายาอบายมุขทุกอย่างถูกใช้เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ เขาหันหลังให้สังคม เพื่อนฝูงญาติมิตรไม่เคยคิดอยากจะไปเจอหน้า ไม่ต้องพูดถึงดนตรีที่สมชายไม่คิดแม้แต่จะฟังมัน
เวลาผ่านไปเป็นปี วันหนึ่งหลังจากสมชายกลับเข้าคอนโดพร้อมขวดเหล้าเบียร์สำหรับพอประทังความทุกข์ไปวัน ๆ เขาขึ้นห้องและยัดขวดเบียร์ใส่ตู้เย็น เก็บขวดเหล้าส่วนหนึ่งเข้าตู้ จากนั้นเหล้าหนึ่งขวดที่เหลือจึงถูกเปิดรินใส่แก้ว สมชายเลือกที่จะดื่มเพียว ๆ เพราะต้องการฤทธิ์ของเหล้าที่แรงที่สุด
การไม่มีความคาดหวังใด ๆ ในชีวิตนั้นเป็นทุกข์ และการดื่มเหล้าไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวเองเมาจนหลับ อย่างน้อยนี่ก็คือจุดหมายที่สมชายแอบคาดหวังเอาไว้ในทุก ๆ คืน หลังจากดื่มไปได้ครึ่งขวด เขายกขวดเหล้าเข้าไปในห้องนอนเพราะเตรียมจะไปดื่มต่อที่นั่น สมชายวางขวดเหล้าบนหัวเตียงทับแผ่นกระดาษอะไรสักอย่าง และเมื่อเขาสังเกตดี ๆ ก็เห็นว่ามันเป็นกระดาษสัญญาจากชายชรา
สมชายจำได้ทุกตัวอักษรบนแผ่นกระดาษนั้น ช่วงแรก ๆ หลังจากที่ได้กระดาษแผ่นนี้มา เขาลองตรองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะเซ็นหรือไม่เซ็น เพราะความคลุมเครือในเงื่อนไขที่ว่าวิญญาณของเขาจะไปไหนนั้นยังไม่ชัดเจน ความกังวลว่าเจ้าของสัญญานี้จะมาทวงหนี้จากเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และภาพสยดสยองจากคราบสีแดงคล้ำที่อยู่ตรงปิ๊กการ์ดกีตาร์นั้นมันช่างหลอกหลอนให้สมชายคิดไปต่าง ๆ นานา
กระดาษแผ่นนั้นถูกหยิบขึ้นมา บัดนี้มันมีรอยน้ำเป็นวง ๆ จากก้นขวดเหล้าที่มีคราบของเหลวติด ในวงนั้นเน้นข้อความว่าเมื่อบรรลุข้อตกลงกับสัญญาฉบับนี้แล้ว กรรมสิทธิ์ในดวงวิญญาณของผู้ลงลายมือชื่อจะตกเป็นของผู้ให้ยืมกีตาร์
สมชายยกขวดเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนจะหยิบปากกาที่อยู่ข้าง ๆ นั้นเซ็นลายมือชื่อลงไปในช่องกรอกข้อความ เมื่อเซ็นชื่อเสร็จเขาล้มตัวลงนอนหงายลืมตามองเพดานอยู่บนเตียง เวลาผ่านไปสักพักจึงทดลองสำรวจล่างกายของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย สมชายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นห้องก่อนจะค่อย ๆ ม่อยหลับไป

ในร้านอาหารเล็ก ๆ  บนเวทีมีวงดนตรีสามชิ้นบรรเลงเพลงอยู่บนนั้น มือกลองหน้าตาสะอาดกำลังเคาะจังหวะช้า ๆ ส่งอินโทรให้กับเบส สมชายรอให้เสียงเบสเบาลงก่อนเขาจะเริ่มเกาสายกีตาร์ เมื่อเบสคุมโทนของเพลงได้หมด มือกีตาร์จึงเริ่มโซโล่ทันที เสียงกีตาร์หวานแหววจนทำหู้ฟังหลายคนทำสายตาหยาดเยิ้มกับเสียงเพลง บัดนี้สมชายและลูกวงของเขาสามารถคุมผู้ชมได้หมดทั้งร้านแล้ว
หลังจากสมชายได้รับกีตาร์สีขาวจากชายชราลึกลับคนนั้น และเมื่อเขาได้บรรเลงเพลงที่บรรยายถึงความทุกข์ ความหดหู่ซึมเศร้าที่สะสมยาวนานมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ๆ นั่นถึงกับทำให้นักกีตาร์ผู้ห่างหายจากเครื่องดนตรีไปนานถึงกับหลั่งน้ำตา สมชายนั่งบรรเลงเพลงในห้องเก็บเสียงอย่างเพลิดเพลินจนทำให้เขาลืมเลือนเงื่อนไขของสัญญาฉบับนั้นไป
สมชายสังเกตว่ามีแฟนเพลงของเขาหลายคนที่ติดตามไปฟังเขาเล่นเพลงในหลาย ๆ ที่ แฟนเพลงบางคนมอบของขวัญและคอยทักทายนักดนตรีอย่างสมชายบ่อยครั้ง เคยมีแฟนเพลงบางคนบอกว่าเพลงของเขานั้นเป็นสไตล์ที่หาฟังยากมาก และยังถามว่าทำไมไม่บันทึกเสียงวางขายในท้องตลาด สมชายก็ได้แต่ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
แต่ว่ามีแฟนเพลงคนหนี่งที่สะดุดตาของสมชายเป็นอย่างมาก แฟนเพลงคนนี้จะใส่สูทชุดดำในทุกที่ที่สมชายเจอ ทุกที่จริง ๆ ที่สมชายเดินทางไปเล่นจะต้องมีแฟนเพลงคนนี้ ชายใส่สูทสีดำมีสิวผิวออกคล้ำแม้จะอยู่ในแสงไฟ สีหน้าแววตาและรอยยิ้มที่แตกต่างจากผู้ฟังทั่วไป ในหลายเดือนมานี้เป็นช่วงเวลาที่สมชายมีความสุขเป็นอย่างยิ่งเพราะได้ขับกล่อมผู้ฟังจากเพลงที่เขาเล่น และสมองของนักดนตรีผู้นี้ยังสามารถผลิตผลงานเพลงเพราะ ๆ ไม่ว่าจะเพลงอมตะของใคร เพียงแค่สมชายได้ฟังสองสามรอบก็สามารถเล่นตามได้อย่างน่าอัศจรรย์
ถ้าหากไม่มีแฟนเพลงท่าทางแปลก ๆ คนนั้นโผล่มากวนใจ สมชายก็คงจะไม่คิดมากจนบางครั้งก็แทบจะสติแตกไม่ได้ ความระแวงแคลงใจเกี่ยวกับคำมั่นสัญญานั้นเริ่มตามมาหลอกหลอนเขาแล้ว เขานึกถึงสิ่งที่ชายชราลึกลับคนนั้นบอกเขาทำนองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมมีราคาเสมอ ราคาที่สมชายจะต้องจ่ายด้วยอะไรสักอย่าง แต่เขารู้ว่าเขาต้องตาย
ช่วงหลัง ๆ สองสามเดือนมานี้สมชายได้พบเจอแฟนเพลงในชุดสูทสีดำบ่อยขึ้น ความกลัวและความกังวลของเขาเริ่มแสดงออกมาบนสีหน้าเมื่อขึ้นเวที บางครั้งก็ถึงกับทำให้เพลงล่มกลางคันก็มี วันหนึ่งในขณะที่สมชายกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนเวที เขาเห็นชายในชุดดำยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผย และที่น่าตกใจที่สุดคือบนโต๊ะตัวที่แขกชุดดำนั่งมีแผ่นกระดาษสัญญาใบนั้นวางอยู่ จากคิวเพลงที่ต้องเล่นเพลงหวาน ๆ ในแขกฟัง ความรู้สึกและจิตใต้สำนึกของสมชายกลั่นออกมาจนทำให้บทเพลงที่เขากำลังเล่นอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นเพลงที่น่าสะพรึงกลัวทันที แขกคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องนี้ต่างชอบอกชอบใจกันจนโห่ร้องด้วยความสนุกสนาน

หลังจากเสร็จงานคืนนี้ เป็นครั้งแรกที่แขกในชุดดำเดินมาหาเขา สมชายพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติแต่ไม่สำเร็จ เมื่อเพื่อน ๆ ร่วมวงต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เสียงจากแขกผู้มาเยือนก็ดังขึ้น
“ข้ามาทวงสัญญา” ชายชุดดำพูดเสร็จก็กางเอกสารสัญญาออกมาให้สมชายเห็น
อาการหน้าซีดเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นเม็ด ๆ ของสมชายปรากฏขึ้นมาทันที ชายหนุ่มนักดนตรีตกใจสุดขีดเผลอทำกีตาร์ตกพื้นเสียงดังลั่น เขาเข่าอ่อนหงายหลังนั่งลงไปกับพื้น
ชายชุดดำเดินยิ้มฟันขาวเข้ามาหยิบกีตาร์ขึ้นมา เขารูดซิปกระเป๋ากีตาร์ออกและโยนมันทิ้งลงพื้น กีตาร์สีขาวตอนนี้กำลังมีเลือดสีแดงไหลออกมาจากบริเวณปิ๊กการ์ด บัดนี้สมชายมั่นใจแล้วว่าของเหลวข้น ๆ ตรงนั้นก็คือเลือดคนอย่างแน่นอน เลือดสีแดงฉานไหลออกมาเหมือนสายน้ำลงพื้นเจิ่งนองจนมาถึงชายที่กำลังนั่งอยู่
อาการชาที่ขาของสมชายเริ่มปรากฏขึ้นเพราะความเย็นยะเยือกของน้ำสีแดงนั่น รอยยิ้มของชายผิวคล้ำในชุดดำกำลังแสดงความสะใจออกมาอย่างน่าสะพรึง สมชายทำอะไรไม่ถูกแต่ยังพอรวบรวมสติได้ส่วนหนึ่งจึงใช้มือล้วงเข้าไปในประเป๋ากางเกงเพื่อหยิบบัตรพลาสติกออกมา
“เดี๋ยวก่อน” สมชายพูดขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่ยังพอเหลือ
“ทำไม เจ้าคิดจะเบี้ยวสัญญาเหรอ”
“เปล่า ผมไม่คิดจะเบี้ยวสัญญาหรอก” สมชายพูด
ผู้มาทวงวิญญาณหัวเราะออกมาเป็นเชิงเย้ยหยัน “เดี๋ยวก่อนพ่อนักกีตาร์ นี่เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาทุกอย่างแล้ว อย่ามาต่อรองอะไรทั้งนั้น”
“เดี๋ยวให้ผมพูดก่อน ผมรู้ว่าท่านต้องการอะไร บางทีสิ่งที่ผมพูดอาจจะทำให้ท่านพอใจ”
เจ้าของฟันขาวแสดงรอยยิ้มออกมาเหมือนนึกสนุกอะไรบางอย่าง จากนั้นของเหลวสีแดงบนพื้นก็ไหลย้อนกลับคืนเข้าสู่ที่ที่มันไหลออกมาจนหยดสุดท้าย
“ลองว่ามา อย่าทำให้ข้าเสียเวลาล่ะ”
สมชายค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูด “ผมรู้ว่าวิญญาณของผมคงจะต้องไปอยู่ในกีตาร์ตัวนี้ ผมจะต้องกลายเป็นกีตาร์เพื่อให้คนต่อไปมานำไปเล่นสร้างเสียงเพลง แต่ก่อนนั้นผมอยากจะบรรเลงเพลงสุดท้ายของผม เมื่อเรารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายก็เหมือนกับเป็นคนที่ตายไปแล้ว เพลงที่คนตายไปแล้วแต่งขึ้นและบรรเลงมันออกมาคงจะฟังดูหดหู่จนอาจจะทำให้คนฟังอยากจะฆ่าตัวตาย”
ซาตานในคราบผู้ดีเริ่มมีใจลังเล ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครสามารถต่อลองกับซาตานได้เลย แต่สิ่งที่สมชายพูดว่าอาจจะทำให้คนฆ่าตัวตายได้นั้นเป็นสิ่งที่ซาตานชอบ ยิ่งบางทีหากการตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ นั่นยิ่งจะทำให้ซาตานสามารถสร้างประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกครั้ง
สมชายอ่านความคิดของซาตานออกจากแววตาคู่นั้น เขายิ่งสำทับต่อ “ท่านอาจจะได้ดวงวิญญาณกลับบ้านอีกหลายพัน เพราะพรุ่งนี้ผมจะเล่นในฮอลล์ใหญ่”
เสียงหัวเราะของซาตานดังขึ้นอย่างสะใจ “ข้าไม่ต้องการวิญญาณชั้นต่ำเหล่านั้น วิญญาณของคนฆ่าตัวตายนั้นสกปรกโสมมเกินกว่าที่จะเอาไปทำอะไรได้ แต่ไม่เป็นไร ข้าอยากเห็นการฆ่าตัวตายหมู่ และข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะทำให้พวกนั้นอยากตายได้หรือไม่”
สมชายได้ยินดังนั้นเขาเพ่งมองไปที่ซาตานพร้อมเผลอขมวดคิ้ว “หมายความว่าผมมีเวลาอีกหนึ่งวัน”
“ตามนั้น จงใช้วันสุดท้ายของชีวิตให้คุ้มค่า และจงสร้างความบันเทิงให้กับข้าอย่างถึงที่สุด”
ซาตานพูดเสร็จก็เดินจากไปเหลือไว้แต่กีตาร์สีขาวที่ดูเหมือนจะส่งยิ้มสยอง ๆ ให้สมชาย

นักกีตาร์ชะตาชีวิตกำลังจะขาดกลับมานั่งคิดนอนคิดที่โซฟาในห้อง ณ บัดนี้แล้วความตายและการอดได้เล่นกีตาร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นก็คือวิญญาณของเขาอาจจะต้องไปอยู่ในกีตาร์ตัวนั้นอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ บางทีแล้ววิญญาณที่อยู่ในกีตาร์อาจจะทุกข์ทรมานเมื่อกีตาร์ถูกดีดก็เป็นได้ ใช่สิ น่าที่หลักของซาตานก็คือการทรมานคนเล่น สมชายจินตนาการความคิดเหล่านั้นแล้วยิ่งทำให้เขาเครียดมากยิ่งขึ้น
ภาพของกีตาร์สีขาวนี้มันช่างหลอกหลอนเขาให้หวาดกลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น สมคิดชายข่มตาและตื่นขึ้นมาเพื่อจะยอมรับความตายในคืนถัดไป
และในค่ำคืนถัดมาการแสดงก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง แต่ท่าทางความทุกข์นั้นหายไปหมดสิ้นแล้วจากใบหน้าของสมชาย การแสดงเริ่มขึ้นและแฟนเพลงคนเดิมในชุดสูทสีดำก็ยังคงปรากฏตัวเหมือนเดิม รอยยิ้มฟันขาวดูพอใจกับโชว์นี้ เสียงเพลงแห่งความเศร้าความสิ้นหวังหดหู่ถูกขับกล่อมออกมาซึ่งขัดกับสีหน้าของสมชายยิ่งนัก
ซาตานรู้สึกว่าใบหน้าของผู้ที่กำลังจะตายกลับดูสดชื่นกว่าที่ควรจะเป็น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคืนนี้คงจะเป็นโชว์ที่ถูกใจเขายิ่งนัก ความวางใจว่าโชว์คงจะเป็นเหมือนที่ตัวเองคาดไว้ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ทว่าในระหว่างที่สมชายกำลังบรรเลงเพลงท่อนฮุดจบลง เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบขวดขวดเหล้าสแตนเลสแบบพกพาออกมา ไม่รอช้าเขาดื่มของเหลวทั้งหมดที่อยู่ในนั้นจนหมด และหลังจากนั้นสมชายฟุบลงกับพื้นทันที
เสียงตกใจดังขึ้น ทั้งบนเวทีและข้างล่างต่างอลหม่านจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น เหล่าผู้ชมต่างตกใจลุกขึ้นชะเง้อชะแง้มองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่ซาตานยังเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นโกรธแค้นแทบไม่ทัน เขาฉีกแผ่นกระดาษสัญญาทิ้งและเดินออกไปอย่างเจ็บแค้น


ในห้องของสมชายเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมาเก็บและพิสูจน์หลักฐาน ของใช้และทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บและขนย้ายออกไปจากห้องแล้ว ในห้องเก็บเสียงที่เป็นห้องซ้อมดนตรีของสมชายมีกีตาร์ราคาแพงหลายตัวถูกเก็บใส่กล่องรอการเคลื่อนย้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งขอร้องให้นักดนตรีที่เคยสนิทสนมกับสมชายและถูกขอมาให้ปากคำ ช่วยเปิดเสียงจากเครื่องบันทึกเสียงที่อยู่ในห้อง เสียงกีตาร์ที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น


วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตสุดท้าย




วันนี้บังเอิญที่ผมมีธุระที่จะต้องไปทำกับเพื่อนที่ชื่อเฟรม แต่พอผมไปรับเฟรมปรากฏว่ามันบอกให้ผมไปส่งมันที่งานเผาศพคนรู้จักของมันเอง ผมก็ทำตามที่เพื่อนผมขอเพราะมันบอกว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ และป่าช้าที่จะไปก็เป็นทางผ่านที่เราสองคนจะไปทำธุระกันอยู่แล้ว เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่มีไอ้เฟรมซ้อนท้ายไปถึงหน้าป่าช้า ลำบากมากที่จะลัดเลาะอีแก่ของผมเข้าไปในงานพิธี เพราะว่ารถราหลายคันจอดกันเบียดเสียดทั้งรถ 4 ล้อและ 2 ล้อ แต่ด้วยความชำนาญในการควบ 'อีแก่' ของผม ผมจึงนำมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในงานให้ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกตัวออกมาได้ง่ายเมื่อถึงเวลา

เมื่อเราไปถึงเป็นช่วงจังหวะที่โลงศพถูกลากเข้ามาที่กลางลานกว้างพอดี ในงานผมสังเกตเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตานับหลายร้อยชีวิตในงาน และหลายร้อยชีวิตก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน มีทั้งในชุดสีกากี บ้างเป็นชาวบ้านในชุดดำทั้งหนุ่มแก่ ยังมีกลุ่มที่เหมือนจะเป็นนักปั่นจักรยานหลายสิบคนมาร่วมงานด้วย ถัดไปอีกก็เป็นกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงอีกหลายสิบคนเช่นกันในชุดเสื้อยืดสีดำรูปหัวกะโหลก บางคนใส่ชุดหนังสีดำโพกหัวด้วยผ้าหลากสี และยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นชมรมอะไรกัน ไม่เหมือนกับกลุ่มจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์หรูที่จอดยานพาหนะนั้นไว้ใกล้ๆกลุ่มของพวกเขา  ผมสงสัยว่านี่มันงานบ้าอะไรกันจึงถามไอ้เฟรมเพื่อนของผม

"เฟรม คนพวกนี้เป็นใครกัน เขามาทำอะไรที่นี่"

"อ๋อ คนพวกนี้เหรอ เป็นคนในชมรมที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าอยู่น่ะ พอมันตายก็เลยมีคนในชมรมมาร่วมงาน แต่บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามันอยู่หลายชมรม ทั้งจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตกปลา หมากรุกและมันทำงานเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่างที่เทศบาลด้วยน่ะ พอมันตายก็เลยมีคนมาร่วมงานเยอะมาก"

ไอ้เฟรมบรรยายรายละเอียดให้ผมรู้ ผมเฝ้ามองดูผู้คนที่อยู่ในงานพลางคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของไอ้เฟรม ว่าเขาเป็นคนที่กว้างขวางจริงๆ มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด ช่างน่านับถือจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป พอได้รู้ว่ามีคนมากมายที่มาร่วมงานในพิธีของลูกตนเอง ก็คงทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจได้ว่าลูกของตนเป็นที่รักของคนจำนวนมาก

แต่นั่นยังไม่หมด พอถึงช่วงที่จะมีการถวายผ้าบังสกุล มีผู้ใหญ่หลายสิบคนที่ถูกเรียกชื่อ แต่ละคนคือคนใหญ่คนโตทั้งผู้ใหญ่บ้านจนไปถึงผู้ว่าฯ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมงานเผาศพวันนี้ถึงมีคนสำคัญๆมาร่วมงาน คนตายต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือคุณงามความดีหรืออย่างไรกัน แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่ถามมันกับไอ้เฟรม

ในระหว่างที่ยังมีการเรียกชื่อผู้ถวายผ้าบังสกุลอยู่ ผมเริ่มครุ่นคิดหนักถึงประเด็นที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน การที่เราได้รู้จักคนเยอะๆและมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด นั่นคือน่าที่ของมนุษย์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากไม่มีสังคมก็คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นได้แค่สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นที่ไม่ชอบเข้าสังคม ผมไม่มีชมรม ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่เอาไว้สำหรับออกไปเฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีเพื่อนที่สนใจในกิจกรรมที่คล้ายๆกัน เพื่อนที่ทำงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน พ่อแม่พี่น้องของผมก็ไม่มีแล้ว มีก็แค่ญาติห่างๆรวมถึงไอ้เฟรมเพียงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน เพราะเฟรมกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงเข้ากันได้อย่างสนิทใจในทุกเรื่อง

เวลาในการเรียกชื่อผู้ที่จะถวายผ้าบังสกุลยังอีกนาน เพราะผู้ใหญ่อีกหลายคนยังไม่ถูกเรียกออกไป ทำให้ผมยังพอมีเวลาอีกนานที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ก็เหมาะสำหรับการนั่งพิจารณาความคิดของตัวเอง ผมเริ่มกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี ให้ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์ในอุดมคติตามที่ผมเพิ่งจะคิดไว้ ผมเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนโดยเริ่มจากตัวผมเองและไอ้เฟรม อะไรกันนะที่ทำให้เรารู้จักกันและไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่กับคนรอบๆข้างนั้นผมไม่รู้จะเริ่มยังไง

เมื่อไฟถูกจุดที่เมรุเผาศพ ผมเห็นคนหลายคนร้องไห้โศรกเศร้า เมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน คนอีกหลายคนก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกับมันเป็นอุปทานหมู่อย่างไรก็อย่างนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีแม่ของผู้ตายและอาจจะมีภรรยาของผู้ตายด้วยที่ช่วยกันร้องไห้

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมเริ่มมองตัวเองและคิดต่อไปว่า หากเป็นงานศพของผมเองนั้นจะมีใครบ้างที่มาร่วมงานของผมบ้าง ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแค่ยายของผมและไอ้เฟรม การที่เราตายไปโดยที่ไม่เป็นที่จดจำของผู้คนมันช่างดูหดหู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงมัน ไม่นานไอ้เฟรมก็ชวนให้ผมเดินออกจากงานเพื่อไปทำธุระต่อ หลังจากที่มันเดินไปล่ำลากับเจ้าภาพของงาน

ความจริงแล้วธุระของเราสองคนก็ไม่ใช่สลักสำคัญอะไรมาก แค่วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงชวนไอ้เฟรมไปเล่มเกมส์ที่ร้านคอมถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งระยะทางก็ไกลโขอยู่เหมือนกัน ต้องวิ่งผ่านถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถสิบล้อวิ่งผ่าน และถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านอีก ผมจึงไม่ค่อยจะชอบขี่รถบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เพราะวันนี้มันเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อของผม ผมจึงเลือกที่จะขี่ไปในถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาความสำราญกับเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง

"ไปกันได้แล้ว ช้าเดี๋ยวที่นั่งเต็มอดเล่นกัน"

ไอ้เฟรมเริ่มกระสันที่จะอยากเล่นเกมแล้ว จึงบอกให้ผมรีบบึ่งรถไปโดยเร็ว แต่วันนี้โชคร้ายหน่อยสำหรับผมกับไอ้เฟรม เมื่อเราขี่ไปได้เกือบครึ่งทางของถนนที่วิบากและเต็มไปด้วยรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็ว ในขณะที่ผมขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าแต่แรงดีของผมดัวยความเร็ว ผมไม่ทันหลบหลุมขนาดใหญ่ได้ ล้อหน้าตกลงไปในหลุมในจังหวะที่ผมพยายามจะหักเลี้ยวหลบ ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งผมและไอ้เฟรมลื่นไถลไปกับพื้นที่ถนนคอนกรีตที่เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย ชั่วอึดใจเดียวสามัญสำนึกของผมก็ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน โดยที่ผมมองเห็นร่างของผมและไอ้เฟรมนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป และสภาพร่างของผมและไอ้เฟรมที่ผมมองเห็น สภาพมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซากรถมอเตอร์ไซค์

"นี่เราคงตายแล้วใช่มั้ย? ดูสภาพแล้วเราสองคนไม่น่ารอดนะ"

ผมได้ยินเสียงไอ้เฟรมยืนข้างๆ

"อืม... คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่แกไม่ตกใจเลยเหรอ ดูท่าทางแกยังชิวๆอยู่เลย"

ผมหันหน้าไปทางไอ้เฟรม ก่อนจะถามมันด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

"ก็ไม่นะ ไม่รู้สึกตกใจอะไรเลย ก็แปลกดีนะในตอนที่เรายังไม่ตาย เราต่างหวาดกลัวความตายและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตาย แต่เมื่อเราตายแล้วจริงๆกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย"

ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่ไอ้เฟรมพูดออกมา เมื่อเราตายก็เหมือนกับแค่เราเปลี่ยนสถานะไปแค่นั้นเอง ผมยังคิดไม่ออกว่าความตายมันน่ากลัวและน่ากังวลตรงไหน ตอนนี้เราสองคนที่อยู่ในรูปของอะไรก็ไม่รู้กำลังนั่งมองดูร่างของตัวเองที่นอนจมกองเลือดอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นศพของเราสองคน

"แล้วเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้?"

ผมถามไอ้เฟรมเพราะผมไม่มีความเห็น

"ข้าก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปที่ไหนกันต่อ แต่ตอนนี้ยังพอมีเวลาข้าขอกลับไปดูหน้าลูกเมียอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีใครมารับเราไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่า"

"เหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยละกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ไหน"

เมื่อเราสองคนตกลงกันได้ แค่เรานึกถึงหน้าคนที่เราต้องการจะเห็น จิตของผมและไอ้เฟรมก็ไปโผล่ที่คนๆนั้นทันที แต่ปรากฏว่าสถานที่ที่เราโผล่ไปนั้นคือบ่อน

"โธ่! นังแก้ว มันมาเล่นไพ่อีกแล้ว เมื่อวานข้าเพิ่งจะว่าให้มัน คราวแล้วก็เสียหมดตัว ถ้าต่อไปมันยังไม่เลิกเล่นการพนัน และไม่มีข้าด้วยมันจะอยู่ยังไง ไอ้บอลก็ยังเรียนไม่จบ"

"เอาน่าๆใจเย็นก่อน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง แก้วมันก็คงมาหาอะไรทำแก้เบื่อบ้างล่ะ อย่าไปโทษมันเลย ทีแกยังจะหนีไปเล่มเกมกับข้าเลย"

ท่าทางของไอ้เฟรมเหมือนจะเป็นห่วงครอบครัวของมันมากกว่าตัวมันเอง เมื่อเราสองคนคิดถึงบอล ลูกชายของไอ้เฟรม ทันใดนั้นจิตเราสองคนก็ไปโผล่ที่บ้านของไอ้เฟรมทันที

เสียงดนตรีบรรเลงจากกีตาร์คลาสสิคของบอลที่บรรจงดีดออกมาอย่างไพเราะ เขานั่งเล่นมันในห้องเล็กๆแต่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงที่เขาแกะออกมาจากหนังสือ สีหน้าของบอลตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขและความมุ่งมั่นที่จะเล่นเพลงในให้จบจนถึงโน๊ตตัวสุดท้าย

"ข้าไม่ห่วงลูกข้าคนนี้เลย การเรียนก็ดีเล่นดนตรีก็เก่ง ต่อไปมันต้องสามารถเลี้ยงดูแม่มันได้แน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็หมดห่วงอะไรอีกแล้ว"

ผมเห็นไอ้เฟรมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เราสองคนนั่งฟังโน๊ตตัวสุดท้ายจากเสียงของสายกีตาร์ที่ถูกดีด จากนั้นจิตของเราทั้งสองคนก็ล่องลอยออกมาไปตามความคิดห่วงหาอาทรของแต่ละคน ผมส่งไอ้เฟรมไปหาพ่อและแม่ของมัน และจากนั้นมันก็ไปหาเพื่อนๆ หาผู้ใหญ่หลายคนที่มันเคารพนับถือ จนเมื่อมันเสร็จธุระของมันแล้ว ไอ้เฟรมมันก็ถามผมบ้าง

"ตอนนี้ข้าหมดห่วงกังวลหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่าพร้อมแล้วที่เราจะไปสู่ภพภูมิที่เราควรจะไป ตอนนี้แกอยากไปหาใครบ้างล่ะ"

"ข้าคงขอไปดูหน้ายายของข้าเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ จากนั้นก็คงจะหมดห่วงและไปตามทางของใครของมัน"

ผมมองไปที่ยายของผมและก้มลงกราบที่เท้าเพื่อเป็นการบอกลา ยายของผมเป็นคนที่ดี แกมักจะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีเสมอ ท่านเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมมั่นใจว่ายายของผมจะทำใจได้ในไม่ช้าหากท่านรู้ว่าผมตายแล้ว เมื่อผมหมดห่วงอะไรทุกอย่าง ท่าทางของไอ้เฟรมก็ไม่มีอะไรยึดติดบนโลกใบนี้อีกแล้ว

"ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางไปสู่สุขคติ เราหมดหน้าที่แล้วบนโลกใบนี้"

ไอ้เฟรมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น ผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ ไม่นานไอ้เฟรมก็ค่อยๆจางหายไป แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งทึ่เป็นวิญญาณกำลังยืนงงอยู่กลางถนน ผมเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันทีทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปตามไอ้เฟรมได้ ผมเข้าไปคุยกับวิญญาณร่างนั้น

"ลุงจะไปไหนเหรอครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้"

ร่างนั้นหันหน้ามาที่ผม ก่อนจะถาม

"ลุงจะกลับบ้าน ลุงจากลูกกับเมียนานมากแล้ว พวกเขารอลุงอยู่"

ผมคิดว่าลุงเองคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว

"ตอนนี้ลุงตายแล้วครับ ลุงคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว"

ผมบอกลุงไปตามตรง

"ยังหรอกลุงยังไม่ตาย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย พวกเขากำลังรอลุงอยู่ที่บ้าน"

ลุงคนนั้นพูดเสร็จก็เดินหายจากไป โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ลุงแกรู้ตัว หรือบางทีเขาอาจจะต้องเห็นศพของตัวเองเหมือนกับที่ผมเห็นศพของตัวเอง ผมเดินตามลุงไปสักพักก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ด้วยความสงสัยผมเดินเข้าไปถาม

"ป้ายืนรออะไรอยู่ตรงนี้หรือครับ ทำไมไม่เดินทางไปภพภูมิต่อไป"

"ป้ายังเป็นห่วงลูกหลานของป้า ป้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะดูแลธุรกิจที่ป้าสร้างมันมาทั้งชีวิตได้หรือเปล่า ป้าอยากอยู่ดูพวกเขาสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาดูแลตัวเองได้"

"แล้วมันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ในการเฝ้าดูลูกหลาน"

ป้าคนนั้นหันมาและทำสีหน้าไม่แน่ใจ

"ป้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ป้าไปตอนนี้ยังไม่ได้ เพราะป้ายังเป็นห่วงพวกเขาอยู่"

ผมเดินจากมาโดยที่เหลียวหลังไปมองที่ป้าแก ตอนนี้ผมคิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้จิตเรายึดติดกับบุคคลได้เพียงนี้ ไม่ไกลจากป้าแกผมเห็นวิญญาณชายหนุ่มเดินวนเวียนไปมาหน้าบ้านหลังหนึ่ง

"พี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่ไปสู่สุขคติ"

วิญญาณร่างนั้นชี้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่

"เห็นนั่นไหม บ้านหลังใหญ่ รถยนต์หลายคัน ในบ้านมีทรัพย์สินมูลค่ามากมาย เมียของผมเพิ่งจะวางยาผมตายเพื่อหวังเงินประกันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ผมสะสมมาตลอดชีวิต มันน่าแค้นใจเหลือเกิน ผมคงไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้หรอก ต้องรอดูความวิบัติของเมียคนนี้เสียก่อน"

ผมทำได้แค่เฝ้าดูและเดินจากไป คงไม่สามารถพูดอะไรให้พี่คนนั้นเปลี่ยนใจได้หรอก อารมณ์ที่เครียดแค้นชิงชังนี้คงจะเกิดจากความแค้นที่เขาได้เจอมา ไม่แน่เหมือนกันถ้าเป็นผมเองก็อาจจะเครียดแค้นเหมือนเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ผมเริ่มคิดแลัวว่าความสับสนวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บางทีมันก็อาจจะยุ่งเหยิงพัลวันกันจนเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ไปไหนได้เลย ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้ก่อนที่ผมจะหมดโอกาสที่จะไปแก้ไขมัน

ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังที่ที่ควรไป ผมค่อยหลับตาลงและพยายามทำให้จิตใจว่างที่สุดก่อนที่วิญญาณของผมจะเสื่อมสลายไป ชีวิตบนโลกที่สับสนวุ่นวายของผมคงจะจบแล้ว แต่ความคิดสงสัยเล็กๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมสงสัยว่าญาติของไอ้เฟรมที่ผมเพิ่งจะไปงานเผาศพนั้น ดวงวิญญาณของเขาจะไปล่ำลาคนรู้จักที่มากมายของเขาหมดหรือยัง แต่ช่างเถอะ! ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะไปคิดเรื่องนั้น

อา... ความสงบสุขหลังความตายมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสบายจัง...


วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุดแท้ทางเดิน



แกร๊ก!!

เสียงคีมยักษ์ตัดโซ่เหล็กหนาใหญ่ เหล็กชิ้นโตแตกละเอียดอย่างง่ายดาย โดยที่วิชิตไม่ต้องออกแรงมากนัก แผงประตูเหล็กถูกวางเรียงต่อๆกันถูกพันธนาการด้วยสายโซ่คล้องไปมาแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเดินเข้าไป ในตัวอาคารร้างที่ถูกหยุดก่อสร้างกลางคันเพราะพิษเศรษฐกิจ กำแพงผนังเปลือยตะไคร่เริ่มขึ้นแล้ว ชั้น 8 ที่เป็นชั้นบนสุดมีแค่การก่ออิฐขึ้นเป็นโครงเท่านั้น และชั้นบนขึ้นไปอีกก็เป็นดาดฟ้าที่มีขยะก่อสร้างวางทิ้งไว้เต็มไปหมด

เกร๊งงงงง!!

คีมเหล็กยักษ์ถูกปล่อยวางลงพื้นปูนทันทีที่มันหมดประโยชน์อีกต่อไป วิชิตค่อยๆเดินผ่านกรงลวด สายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆกับความน่าสะพรึงกลัวของตัวอาคาร และด้วยยามวิกาลเวลานี้แล้ว เขาแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าในตัวอาคารมีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงแค่แสงเงาจันทร์ในคืนเดือนหงายเท่านั้น ที่ส่องสะท้อนภายนอกตัวอาคารเพื่อให้รู้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน วิชิตไม่ลังเลใดๆที่จะเดินฝ่าความมืดมิดเข้าไปในตัวอาคาร

วิชิตเดินขึ้นบันไดวนยาวจนถึงชั้นบนสุด แค่เพียงจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เดินสะดุดกองเศษอิฐที่วางระเกะระกะแล้ว จนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น แต่วิชิตก็พยายามเดินต่อไปโดยเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะใช้มือสัมผัสราวบันไดขึ้นไป  และในชั้นที่ 3 วิชิตก็เดินเตะเข้ากับแท่งเหล็กจนหน้าแข้งของเขาอาบไปด้วยเลือด แต่วิชิตเองก็ไม่ได้สนใจหรือร้องครวญครางใดๆออกมาเลยสักนิดเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลใดๆที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นดาดฟ้า

ในที่สุดวิชิตก็มองเห็นแสงจันทร์เดือนหงาย ที่ลอดผ่านช่องประตูทางออกสู่ลานบนดาดฟ้า  เขาก้าวผ่านมันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าประตูบานนี้คือประตูสู่ยมโลกสำหรับเขา ใช่แล้ว! วิชิตขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของตึกร้างแห่งนี้ เพื่อที่จะมาฆ่าตัวตายนั่นเอง ชั่วอึดใจเดียวโดยที่วิชิตก็ยังไม่ทันรู้ตัว ขาของเขาทั้งสองข้างก็มายืนอยู่บนขอบตึก แม้ตัวตึกจะสูงเพียงแค่ 8 ชั้น แต่ข้างล่างที่มีกองเศษเหล็กเศษไม้วางทับถมกันเยอะแยะ วิชิตคิดว่าร่างของเขาคงต้องโดนแท่งเหล็กหรือไม้ เสียบตายคาที่แน่นอน คงไม่ต้องนอนทรมานหากเขายังไม่ตาย

วิชิตยืนนิ่งตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เขานึกถึงภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เสนอข่าวนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขึ้นมากระโดดตึกตายที่นี่ตรงนี้ ตำแหน่งที่เขายืนก็น่าจะใกล้เคียงกับตำแหน่งที่นักธุรกิจก่อนหน้านี้ยืน เพราะภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ถ่ายลงไปยังกองศพ ที่ลงไปนอนจมกองเลือดบนกองเศษเหล็กเศษไม้ข้างล่างนี้เอง ไม่แน่ว่าคราบเลือดก่อนหน้านี้อาจจะยังคงอยู่ข้างล่างนี้เอง หากมันไม่ถูกน้ำฝนชะล้างออกไปก่อนแล้ว

วิชิตเคยสงสัยมานานแล้วว่า สภาวะจิตสุดท้ายของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นเป็นเช่นไร อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่ง ยอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยความทรมาน พวกเขาเหล่านั้นไม่กลัวเจ็บกันหรืออย่างไร แล้วโลกหลังความตายสำหรับคนที่ทำอัตวิบากกรรมกับตัวเอง ในทางความเชื่อนั้นเมื่อตายไปแล้ว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

วิชิตเองก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไรกัน เพราะวิชิตก็ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยตอนนี้ หรือพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน จึงทำให้กล้าที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้วิชิตก็พร้อมแล้วที่จะตาย

แต่ทันใดนั้น! มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกสติของวิชิตกลับขึ้นมาจากภวังค์ กลิ่นควันบุหรี่ วิชิตได้กลิ่นควันบุหรี่ใกล้ๆเขา มีควันจางๆลอยผ่านหน้าเขาด้วย วิชิตหันหน้าไปที่ต้นทางของควัน เขาเห็นคนยืนดูดบุหรี่ข้างๆเขา บนขอบตึกข้างๆที่วิชิตไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทราคาแพงถูกดึงออกหลวมๆ ชายเสื้อที่ดึงออกนอกกางเกง รองเท้าหนังหรู วิชิตคิดว่าหรือนี่จะคือผีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สิ คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่น่าจะอายุเลยเลข 7 ไปแล้ว วิชิตสาวเท้าขวาที่เตรียมก้าวพ้นขอบตึกไปแล้วครึ่งก้าวกลับเข้ามา และพยายามตั้งสติทั้งหมดที่เขามีอยู่

"ลุงมาทำอะไร?" วิชิตถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
"ลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหมดบุหรี่มวนนี้ก่อน" น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่มีแรง พูดเสร็จเจ้าของเสียงก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาทางปาก
"แน่ใจเหรอว่าลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ยังจะมาสูบบุหรี่อย่างสบายใจไม่เหมือนคนอยากตายเลย"

ตอนนี้วิชิตเริ่มหมดความคิดที่จะตายแล้ว เขาอยากไขข้อข้องใจในใจเกี่ยวกับชายชราที่อยู่ตรงหน้า

"คนเรามันก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันนะ ลุงน่ะเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเป็นภาระของลูกหลานอีก"
"แล้วทำไมถึงไม่รักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆล่ะ มะเร็งปอดรักษาได้อยู่แล้วนี่"

แสงจันทร์สาดส่องชายทั้งสอง วิชิตหันหน้ามาสังเกตดูชายแก่ข้างๆเขา ร่างกายที่ผอมโซและสั่นไร้เรี่ยวแรง หายใจลำบาก ดูเหมือนคนป่วยในระยะสุดท้ายแล้ว

"ปอดลุงเหลือข้างเดียวแล้วตอนนี้ เคยฉายรังสีหลายครั้งในช่วงแรกๆ สภาพลุงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ" ลุงพูดจบก็ทำท่าจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น
"ก็ลุงยังไม่เลิกดูดบุหรี่น่ะสิ แล้วจะรักษาหายมั้ยเนี่ย"
"จะให้ลุงเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่คือความสุขเดียวในชีวิต" ชายชราพูดเสร็จก็คีบมวนบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก และอัดควันเข้าปอดอีกรอบ ก่อนจะตามด้วยเสียงไอที่แหบแห้งอย่างรุนแรง
"ลูกเมียของลุงไม่มีเหรอ?"
"เมียลุงตายไปนานแล้ว เธอโดนจี้ชิงทรัพย์ คนร้ายยังเอาเธอไปฆ่าข่มขืนอีก"
"นั่นเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงสูบบุหรี่อย่างหนัก" วิชิตพยายามเดา
"ใช่ มันทำให้ลุงสูบมันหนักขึ้น" สายตาของชายชราทอดยาวไปที่แสงจันทร์
"แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม มาทำอะไรบนนี้"
"ผมก็จะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกัน"
"เธอมีเรื่องทุกข์อะไร? ถึงจะมาหนีปัญหาแบบนี้ ร่างกายเธอยังแข็งแรงดี แต่งตัวก็ดีคงพอมีฐานะ"

วิชิตจ้องไปที่ใบหน้าของชายชรา ก่อนที่จะเปลี่ยนจุดมองไปที่จุดๆเดียวกับที่ชายชรามอง นั่นก็คือแสงจันทร์

"ทุกข์กายไม่ทุกข์เท่าทุกข์ใจ" น้ำเสียงแผ่วเบา ออกมาจากปากของวิชิต แต่มันยังดังพอที่ชายชราจะได้ยิน

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างคนป่วย

"แน่ใจแล้วเหรอพ่อหนุ่ม ไหนเธอลองว่ามาสิ ว่าทุกข์ใจของเธอมันหนักหนาสาหัสอะไรกัน"
"ผมเหรอ ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีเธอ"
"คนรักของเธอทิ้งเธอไปหรือ" คนชราหยุดสูบบุหรี่แล้ว เขาหันหน้ามาทางวิชิตเพื่อตั้งใจฟัง
"ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันคงจะตัดใจได้ง่ายกว่า คนรักของผมเธอถูกพ่อแม่บังคับให้ไปแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก แต่ชายคนที่เธอรักนั้นก็คือผมเอง"
"หา! ในสมัยนี้ยังมีเรื่องเช่นนั้นอยู่อีกหรือนี่" ชายชราเปลี่ยนอิริยาบถ จากท่ายืนที่ขอบตึกเปลี่ยนเป็นนั่งลง เพราะความเมื่อยล้า สักพักวิชิตจึงนั่งลงตาม เพราะเขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ชายชราเพิ่งจะถาม

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะคิดอย่างไร แต่ใครไม่เป็นผมก็คงไม่รู้หรอก ว่าความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มันน่าเจ็บช้ำเพียงใด"

ชายชราจ้องมองหน้าวิชิต ที่ตอนนี้ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ

"ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ถ้าใครไม่เป็นเธอก็คงไม่รู้หรอก"

วิชิตใช้ข้อมือปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาทางจมูก เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้น้ำไหลขึ้นไปถึงดวงตา

"โรคภัยของลุงมันคงทรมานมาก จนทำให้ลุงอยากจะหนีมัน หรือลุงอาจจะสู้กับมันไม่ไหวแล้วใช่มั้ย?"

วิชิตเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ไม่เชิง!"

ชายชราตอบทันควัน ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายในสิ่งที่เขาคิด

"ความทรมานลุงชินชากับมันแล้ว และเรื่องที่ว่าจะสู้กับมันไหวหรือไม่ ลุงสู้ไหว ลุงมีเงินเป็นโกดังที่จะจ้างหมอที่ดีที่สุดในโลกมารักษา แต่ประเด็นคือไม่รู้จะสู้กับมันเพื่ออะไร หากสู้ชนะทำให้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไงล่ะ จะให้ลุงทำอะไรต่อ"

วิชิตเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนรอบข้างเขา ทำไมจึงไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรทำให้วิชิตอยากตาย แม้เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาฟังคำอธิบายจากชายชรา แต่วิชิตเองก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

"แล้วลูกหลานของลุงล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน"
"ลูกชายทั้งสองคนก็มีครอบครัวกันแล้ว ลุงก็หมดห่วงไปแล้วล่ะ"
"มีสิ่งอื่นๆมากมายในโลกนี้ให้ทำอีกเยอะแยะ ถ้าลุงมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้เงินรักษาตัวเองให้หาย และใช้เงินที่เหลือเอามาใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย "

สิ้นสุดคำพูดของวิชิต ทั้งคู่ก็นั่งนิ่งคิดอะไรในหัวของตัวเอง ชายชราครุ่นคิดหนัก เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากเบาๆ

"ร่างกายเธอยังหนุ่มยังแน่น ดูๆก็แข็งแรงดี ทำไมไม่หาอะไรทำในสิ่งที่เธอพูด บางอย่างมันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะก็สามารถทำมันได้"

"เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เรายังมีกันและกัน ผมวาดฝันอนาคตไว้หลายอย่าง เริ่มจากผมและเธอจะเรียนจบเป็นสถาปนิก เราจะเปิดออฟฟิศเล็กๆที่มีชื่อผมและเธอรวมกัน เราจะแต่งงานกัน หลังจากนั้นเราจะมีลูกด้วยกันสักสองคน หากการงานไปได้ดีแล้ว เราอาจจะไปเรียนโทกันอีกคนละใบ เราจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้ยามแก่เฒ่า จะเดินทางรอบโลกจะไปยังที่ๆอยากด้วยกันสองคน และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราจะทำด้วยกัน ลุงเชื่อมั้ยว่าผมทำสิ่งเหล่านี้ไปเกือบครึ่งแล้ว"
"แล้วทำไมเธอไม่ทำมันต่อ"

วิชิตหันหน้ามาทางชายชรา

"โดยไม่มีเธอนี่นะ ผมอยากทำฝันร่วมกับเธอ ถ้าไม่มีเธอแล้วผมก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น มันเหมือนกับว่า เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมก้าวต่อไป หรือบางทีอาจจะเป็นทำให้ผมมีชีวิตต่อไปเลยก็ได้ แต่พอไม่มีเธอผมก็เหมือนกับหมดแรง หมดกำลังใจ"

ความเงียบสงัดระหว่างทั้งสองเริ่มเข้ามาเกาะกุมบรรยากาศอีกครั้ง จนกระทั่งชายชราพูดอะไรบางอย่างออกมา

"เธอทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?"
"ผมไม่รู้ว่าจะทำมันเพื่ออะไร หากทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แล้วยังไงต่อ ก็ผมไม่มีเธอแล้ว"
"พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้คนในสังคมต่างก็จะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเธอ เธอไม่แคร์กับสิ่งเหล่านั้นเหรอ?"
"ไม่เลย ความคาดหวังจากคนเหล่านั้นมันเป็นแค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาหวังถึงผลประโยชน์ที่จะสะท้อนไปถึงตัวเขาก็แค่นั้นเอง แต่ที่ผมต้องการสร้างฝันร่วมกับเธอ เพราะผมแค่อยากจะทำมัน และสนุกไปกับมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย"

ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาคิดในใจว่ารู้สึกแปลกดี ที่มาเจอคนอย่างวิชิต ในวันที่เขากำลังจะมากระโดดตึกตาย ชายชราควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และตอกมวนบุหรี่ออกมาอย่างชำนาญ บุหรี่อีกมวนถูกจุดและถูกสูดควันเข้าไปเต็มปอดชายชราอีกครั้ง พร้อมกับพ่นมันออกมา

"ถ้าลุงไม่รังเกียจ ผมขอลองดูดมันบ้างได้ไหม ขอดูดตัวเดียวกับลุงนี่แหละ"

ชายชรายิ้มทั้งๆที่ยังพ่นควันออกจากปาก เขาส่งบุหรี่มวนเดียวกันนี้ให้วิชิต 

วิชิตทำท่าเก้ๆกังๆก่อนรับมวนบุหรี่ไว้ในมือ เขาค่อยๆใช้ปากอมไปที่ก้นกรองบุหรี่ ก่อนจะตัดสินใจออกแรงสูดควันบุหรี่เต็มแรง

"แคร่กๆๆๆ"

วิชิตสำลักควันบุหรี่ เสียงหัวเราะจากชายชราดังลั่น แต่หัวเราะได้ไม่นานเพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก วิชิตเริ่มหายจากอาการสำลักควันแล้ว เขายื่นบุหรี่มวนนั้นคืนไปให้ชายชรา

"บุหรี่นี่มันดียังไงน่ะลุง ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงดูดมัน มันช่วยอะไรเราได้บ้างนอกจากจะทำให้เราเป็นโรคร้าย ช่วงหลังๆมานี่เห็นแต่คนพูดถึงมันแต่ในแง่ร้าย ลุงลองบอกข้อดีของมันให้ผมฟังหน่อยสิ"

ก่อนชายชราจะพูดถึงข้อดีของบุหรี่ เขาสูดลมจากปากผ่านมัน ก่อนจะพ่นควันสีเทาลอยคลุ้งขึ้นบนท้องฟ้า

"เธอรู้จักมอร์ฟีนมั้ย?"

"รู้ครับ มันคือยาเสพติดประเภทหลอนประสาท"

"มอร์ฟีนถูกใช้ในทางการแพทย์ เวลาที่มีผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรือขั้นตอนการรักษา มอร์ฟีนจะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจทรมานจนตายหรือท้อแท้หมดกำลังใจในการรักษาต่อไป"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบุหรี่ล่ะ?"

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต ก่อนจะดูดบุหรี่อีกครั้งและดีดมวนบุหรี่มวนนั้น ลงไปยังพื้นล่างของตึก

"คนเราที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ไม่ได้นอนป่วยในโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ท้อแท้หรือเศร้าหมองเหมือนคนป่วยในโรงพยาบาลเสมอไปสักหน่อย ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  สถานะภาพเป็นอย่างไร ต่างก็ต้องมีความเครียด กดดัน ทุกข์ใจ ท้อแท้เศร้าหมองเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความทุกข์"
"แล้วยังไง?"
"วิธีที่มนุษย์จะพ้นจากทุกข์ตรงนั้นได้ก็คือลืมความคิดเหล่านั้นไปซะ แต่ความทรงจำของมนุษย์นั้นไม่เหมือนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่แค่กดลบมันก็หายไปหมดสิ้น ยิ่งความทรงจำไหนที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะลืมมัน"
"เราก็เลยใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้เราลืมความทุกข์เหล่านั้น"
"ใช่แล้ว แม้มันจะทำให้ลืมได้แค่ชั่วคราวก็ยังดี อย่างน้อยเวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง"
"ถ้าอย่างนั้นที่คนเราสูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา ก็เพื่อที่จะทำให้สมองชาจนไม่ไปตอบสนองกับความทุกข์เหล่านั้นใช่ไหม"
"ก็น่าจะใช่นะ แล้วเธอล่ะ เคยใช้ของพวกนี้ในการบำบัดความทุกข์ในใจมั้ย?"

วิชิตหยุดนิ่งไปชั่วหนึ่ง แล้วก็ตอบออกมา

"ผมไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าไม่เสพยา ผมมีแต่เธอเท่านั้นที่ทำให้ผมลืมความทุกข์ได้ทุกอย่าง เธอคอยให้กำลังใจผมเสมอในยามที่ผมท้อ ผมอาจจะมีเธอเป็นศาสดาก็ได้"
"แต่ศาสดาของเธอตายไปแล้ว เธอจึงไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีชีวิตต่อไป"
"ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับลุงที่ไม่สามารถใช้บุหรี่เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ได้อีกต่อไป"
"ก็คงจะเป็นเช่นนั้น"

ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด เมื่อมวลหมู่เมฆพากันบดบังแสงพระจันทร์ หากทั้งคู่ไม่ขึ้นมาเจอกันบนนี้ คงจะมีใครสักคนที่กระโดดตึกลงไปนอนตายข้างล่างแล้ว

"ยังอยากจะตายอยู่มั้ย?"

ชายชราถาม

"ก็ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความคิดผมนี่"
"เอาอย่างนี้ละกัน คงจะไม่ดีแน่ถ้าคนที่กระโดดทีหลัง จะเห็นศพที่ลงไปนอนกองข้างล่าง เดี๋ยวจะปอดแหกไปเสียก่อน บนดาดฟ้านี้มันก็กว้างอยู่ เธอไปอยู่มุมตึกฝั่งนู้นละกัน หลังกำแพงและเศษอิฐนั่น กำแพงจะทำให้เรามองไม่เห็นกัน ต่างคนจะไม่รู้ว่าอีกคนกระโดดตึกลงไปหรือเปล่า เพราะมันห่างไกลกันมาก และถ้าเธอเกิดล้มเลิกความตั้งใจที่จะกระโดด เธอก็แค่เดินลัดลงบันไดโดยไม่ต้องมองเห็นจุดที่ลุงยืน ว่าลุงยังอยู่หรือไปแล้ว"

วิชิตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผงกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

หลังจากนั้นก็สิ้นสุดการสนทนาใดๆจากทั้งคู่ วิชิตเดินอ้อมกำแพงไปอยู่อีกด้านของดาดฟ้า เขาไม่หันหลังหรือพะวงอะไรกับชายชราที่วิชิตเพิ่งจะเดินจากมาเลย ในที่สุด วิชิตก็มายืนอยู่ขอบตึกอีกด้าน แค่เพียงเขาทิ้งตัวลงไป ร่างๆนี้ก็จะลงไปเสียบกับเหล็กเส้นหนา ที่โผล่ขึ้นมาจากฐานคอนกรีต

.........

ด้านหนึ่งของมุมตึก ร่างๆหนึ่งลอยถลาลงมากระแทกลงบนกองเศษอิฐเศษปูน รวมถึงแท่งเหล็กอีกหลายแท่งเสียบทะลุร่าง เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำ บ้างก็สาดกระเซ็นไปติดกำแพงตึก ความสยดสยองของร่างไร้วิญญาณนี้ คงจะสมใจเจ้าของร่างแล้ว
________




จบแบบที่ 1

เสียงลากเท้าที่ขยับเดินได้ไม่เต็มที่นัก เพราะบาดแผลที่ขาก่อนหน้านี้เริ่มทำให้ขามีอาการชา แต่วิชิตก็ยังสามารถพาตัวเองเดินลงบันไดจากชั้นดาดฟ้าลงมาได้ เขานึกถึงคำพูดของชายชราที่บอกว่าศาสดาของวิชิตนั้น ได้ตายไปแล้ว แต่วิชิตคิดได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงจากตึกว่า 'ก็เธอยังไม่ได้ตายนี่' เมื่อนั้นวิชิตจึงเกิดแรงฮึกเหิมที่จะทำสิ่งๆหนึ่งให้สำเร็จให้ได้

วิชิตรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พ่อของหญิงที่เขารักนั้น ไม่ยอมยกลูกสาวให้ เพราะว่าผู้ชายที่พ่อของเธออยากให้แต่งงานด้วยนั้น มีธุรกิจที่ใหญ่โต มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมที่ดี วิชิตจึงคิดว่าทางเดียวที่เขาจะเอาชนะใจว่าที่พ่อตาได้ คือทำให้ตัวเองมีทุกอย่างที่มากกว่าชายคนนั้น วิชิตจึงเดินทางไปหาพ่อของเธอที่บ้าน เขาเข้าไปขอร้องว่าขอเวลาให้เขา 1 ปี เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงเงินทองให้มีมากกว่าชายคนนั้น ถ้าวิชิตทำได้ เขาขอให้พ่อยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ วิชิตสัญญาว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวใดๆกับเธออีกต่อไป 

พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น พรางคิดว่าวิชิตคงทำไม่สำเร็จ ก็ดีเหมือนกันที่วิชิตจะได้เลิกมาตอแยกับลูกสาวของตน จึงรับปากไปตามนั้น และให้เลื่อนงานแต่งงานของลูกสาวกับผู้ชายคนนั้นไว้ก่อน

ในระหว่างเวลาที่ก่อนจะครบกำหนดตามสัญญา วิชิตเปิดบริษัทที่เขาเคยวางแผนไว้ พยายามเร่งสร้างธุรกิจอย่างมั่นคง และชาญฉลาด ใช้คอนเนคชั่นที่เคยมีหางานเข้าบริษัท แต่ด้วยความที่วิชิตเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างสุจริต จึงทำให้ผลกำไรในบริษัทมีไม่มากนัก ดังนั้นเรื่องเงินทองของเขาจึงไม่สามารถชนะชายคนนั้นได้เลย เมื่อครบกำหนดหนึ่งปี และระยะเวลาแค่ 1 ปี มันสั้นไปที่วิชิตจะสร้างชื่อเสียงในสังคมให้คนยอมรับได้ เมื่อเทียบกับชายคนนั้นที่สร้างชื่อเสียงในสังคมมาตลอดหลายสิบปี วิชิตรู้ว่าตัวเองไม่สามารถชนะเดิมพันนั้นได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเขาจึงไปหาพ่อของเธอ เพื่อขอยอมแพ้และจะทำตามสัญญา

ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พ่อของเธอเฝ้าติดตามดูวิชิตทุกฝีก้าว เขาเห็นถึงความตั้งใจของวิชิต และความซื่อสัตย์สุจริตตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจ จึงเกิดความประทับใจและสุดท้ายก็ยอมยกลูกสาวให้กับวิชิต

สุดท้ายวิชิตก็ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เขาและเธอเดินตามฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้ ตอนนี้วิชิตมีทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ วิชิตนึกย้อนกลับไปถึงคืนวันนั้น วันที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายและได้เจอกับชายชราคนนัน วิขิตนึกย้อนไปว่าหากวันนั้นเขาตัดสินใจกระโดดตึกตาย เขาคงไม่มีโอกาสที่จะมีวันนี้ และไม่มีโอกาสที่จะทำให้เธอมีความสุขด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นับจากวันนั้น วิชิตไม่รู้เลยว่าชายชราคนนั้นได้กระโดดตึกหรือไม่ ในใจของเขาก็ภาวนาขอให้ชายชราเปลี่ยนใจในคืนวันนั้น เพราะมาถึงตอนนี้วิชิตได้ตระหนักดีแล้วว่า การที่ได้มีโอกาสมีชีวิต มันคือสิ่งมีค่าและวิเศษที่สุด ไม่ว่าระหว่างนั้นจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือสุขสบายเพียงใด ความสวยงามในการดำรงอยู่ของเรา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเรามองมันในแง่ที่ดี

______________

จบแบบที่ 2

เสียงฝีก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด ชายชราก็สามารถเดินลงถึงชั้นล่างได้ เขาไม่แม้แต่จะหวนคิดถึงว่าวิชิตจะกระโดดตึกหรือไม่ ชายชราได้แต่คิดว่าวันนี้เขารอดตายมาได้นั้น เพราะได้มาเจอกับวิชิต ความจริงแล้วชายชรารู้ดีถึงสัจธรรมของความทุกข์ดี ว่ามันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเดี๋ยวก็ดับไป แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้ก็คือวิธีที่จะลืมมัน ตลอดชีวิตเขาได้แต่ใช้บุหรี่ช่วยเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง ชายชราตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ที่เขาจะกระโดดตึกลงมา ว่าเขาจะค้นหาวิธีใหม่ๆในการลืมความทุกข์ โดยไม่ใช้บุหรี่หรือยาเสพติดใดๆ

ชายชราตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง ช่วงหนึ่งของการรักษาเขาต้องเข้าคอร์สบำบัดผู้ติดยา ชายชราได้พบปะผู้คนมากมายและได้พูดคุยและถกถึงปัญหาของแต่ละคน มีคนจำนวนมากได้ประโยชน์จากการพูดคุยกับชายชรา และชายชราก็ได้กำลังใจและแง่คิดในการดำเนินชีวิตจากคนจำนวนมาก

เวลาผ่านไป 20 ปี นับจากในคืนวันนั้น ชายชรารักษาร่างกายเป็นอย่างดี ผลลัพธ์จากกิจกรรมที่เขาพยายามทำเพื่อให้ลืมความทุกข์ เช่นการทำสมาธิ วิ่งออกกำลัง รำมวยจีน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อ่านหนังสือ แต่งเรื่องสั้น ฟังเพลง ฯลฯ ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาดีเยี่ยม และมาถึงวันนี้ชายชราก็มีอายุ 90 กว่าปีแล้ว เขาคิดว่านี่คงจะถึงเวลาแล้วที่จะหมดวาระบนโลกใบนี้

ในบ้านใหญ่กลางสวนกว้าง ชายชรานั่งบนเก้าอี้โยก เบื้องหน้าของเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกายที่ค่อยลดหายไป มันเหมือนกับว่าสิ่งต่างๆจะหวนคืนสู่จุดกำเนิดอีกครั้ง ความเงียบสงบเข้ามาอยู่ในใจของชายชรา เขารู้สึกดีใจที่ได้ใช้ชีวิตจนครบวาระที่ตัวเองต้องอยู่ นี่คงเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนตายตามธรรมชาติ มันคงเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่วิเศษที่สุด ชายชราหวนคิดกลับไปถึงคืนนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คืนที่เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย เขาคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีมาก ที่รอดพ้นความตายในคืนนั้นมาได้

เพราะหากเขาตายในวันนั้น จิตสุดท้ายของชีวิตจะเป็นความหดหู่ สิ้นหวัง แต่เมื่อชายชราไม่ตาย จิตสุดท้ายในตอนนี้คือความสงบ สมบูรณ์ หากชีวิตหลังความตายมีจริง  จิตสุดท้ายนี้คงจะเป็นตัวบ่งบอกถึงภพภูมิที่ชายชราจะไปอยู่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด ณ ตอนนี้

ชายชราสิ้นลมแล้ว เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลง ตอนนี้คนในบ้านคงยังไม่รู้ แต่สักพักคงมีคนมาเห็นร่างที่ไร้วิญญาณนี้

______________

จบแบบที่ 3

ชายชรายืนอยู่บนดาดฟ้าตึก ร่างเขาค่อยเปลี่ยนใบหน้าเป็นชายหนุ่ม แท้จริงแล้วใบหน้านี้คือหน้าของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาค่อยๆจางลงคล้ายๆพลังที่กำลังจะเสื่อมสลาย วิญญาณดวงนี้ก้มลงสำรวจร่างตัวเอง ทันใดนั้นเงาร่างๆหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น

"ท่านยมทูติ ไหนว่าถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนใจชายคนนั้น ให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ วิญญาณผมจะถูกกักขังไว้ในตึกนี้ แต่นี่วิญญาณผมกำลังจะได้รับการปลดปล่อย"
"ผลลัพธ์นั้นไม่สำคัญ เท่ากับที่เจ้าตอนนี้ได้รู้คุณค่าของการมีชีวิต บทสนทนาของเจ้ากับชายคนนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจ้าสำนึกผิดต่อการทำอัตวิบากกรรม"
"แล้วผมจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ในขุมนรกต่ออีกกี่ปีกี่ชาติกัน"

เสียงหัวเราะจากร่างยมทูตดังลั่น

"เจ้าเอาเรื่องนรกสวรรค์มาจากไหน ดูหนังมากไปหรือเปล่า มนุษย์นี่ตลกดีชอบกุเรื่องมาหลอกกันเอง มันไม่มีหรอกทั้งนรกสวรรค์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"อ้าว! ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ แล้วท่าน?"
"ถูกต้องแล้ว ข้าก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ทำให้ข้ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ ก็คือจิตของเจ้า เป็นเรื่องปกติของจิตมนุษย์เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว เขาจะเคว้งคว้างล่องลอย ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร จึงมักจะสร้างตัวละครสมมุติขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับตัวเอง เช่นเจ้านี่ไง"
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน?"

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองจางๆ แสดงว่าพระอาทิตย์ใกล้ไต่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว การเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ในมุมๆหนึ่งในโรงพยาบาล เด็กทารกตัวน้อยเพิ่งจะโผล่ออกมาดูโลกด้วยเสียงร้องแสบแก้วหู รังนกรังหนึ่งในสวนสาธารณะมีไข่นกเล็กๆอยู่ 3 ฟอง ไข่ฟองหนึ่งมีแรงกระทุ้งออกมาจากภายใน ลูกนกตัวน้อยพยายามจะจิกเปลือกไข่ให้แตกออกมาเอง และในอีกมุมโลกที่ตรงกันข้ามนี้ แสงอาทิตย์ก็กำลังจะลาจากไปเช่นกัน

"เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาก็จะเกิดดวงจิตขึ้นมาด้วย จิตคือพลังงานชนิดหนึ่ง เมื่ออยู่ๆไปจิตก็แข็งขึ้น หมายถึงเป็นพลังงานที่แข็งกล้าขึ้น และเมื่อร่างกายของมนุษย์เสื่อมสภาพลงจนดวงจิตที่เป็นพลังงานไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จิตนั้นยังคงอยู่ ตามธรรมชาติของพลังงานนั้น จะสลายไปเองโดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แต่ถ้าเป็นจิตของคนที่ก่อนออกจากร่างนั้น ยังมีความผูกพันหรือความกังวลกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ดวงจิตจะไม่ยอมเสื่อมสลายหายไปไหน ยังคงวนเวียนกับเรื่องนั้นๆอยู่ จิตจะเหมือนกับถูกเติมเชื้อเพลิงเข้าไปเรื่อยๆ และมีโอกาสที่จะกลายเป็นพลังงานมหาศาล"

"เหมือนจิตของผมที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ เพราะยังกังวลถึงความผิดพลาดที่เคยก่อ จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยในครั้งนี้"
"ใช่"

ดวงจิตดวงนี้ใกล้เสื่อมสลายแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจซึ่งทำจิตนี้ไม่สามารถเสื่อมสลายไปได้อย่างสมบูรณ์

"ถ้าหากท่านไม่มีตัวตนจริง แล้วท่านตอบคำถามที่ผมไม่รู้ได้อย่างไรกัน?"
"ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ทุกดวงจิตจะรู้ และรู้ดีด้วย แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์นานๆก็มักจะลืมไปว่าต้นกำเนิดของดวงจิตมาจากไหน และจะไปไหนต่อ ตัวเจ้าเองก็รู้ดีแต่แกล้งลืมมันไป การที่ข้าตอบคำถามเจ้าได้ ความจริงก็คือเจ้าเริ่มจะฟื้นความจำเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้แล้ว"


แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้พลังงานที่ก่อเป็นดวงจิตนี้เริ่มจางลงๆ จนกระทั่งลับหายไป แต่ยังมีดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่จะยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ และไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ที่จิตของวิชิตนั้นจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้


นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...