วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

คำนึงสุดท้าย


               
 
                “โต้ง...” เสียงชายสูงอายุร้องทักเมื่อเขาเดินเข้ามาในงานศพของใครคนหนึ่ง “กลับมาเมืองไทยนานแล้วหรือ”

                “สวัสดีครับอาน้อย ผมกลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์กว่าเองครับ” โต้งยกมือไหว้อาน้อยที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยความเคารพ

                “อืม... อย่างน้อยก็ทันได้กลับมาดูใจพ่อเอ็งนะ ก่อนตาย”

                โต้งรู้สึกจุกอกในคำพูดนี้ แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์นั้นไว้แม้ว่าจะไม่มิดก็ตาม

                “เปล่าครับ ผมกลับมาตอนที่พ่อนอนไม่ได้สติแล้ว ทันเห็นพ่อตอนสายยางระโยงระยางเต็มไปหมด”

                “เหรอ... เฮ้อ...” อาน้อยถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

                “อาเพิ่งจะลงเครื่องมาวันนี้หรือครับ”

                “ใช่ บินตรงมาจากหาดใหญ่ไฟลท์เช้านี้เอง”

                “นี่แจ๊คครับ ลูกชายของผม ตอนนี้ 5 ขวบแล้วครับ แจ๊คไหว้ปู่ซะสิ”

                เด็กชายตัวน้อยยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ

                “ว่าไงหลานชาย” อาน้อยใช้มือลูบไปที่หัวของเด็ก “แล้วนี่จะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่า หรือจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก”

                “ผมลาออกมาแล้วครับ เพราะต้องเคลียร์งานเสร็จก่อน เลยกลับมาเมืองไทยช้าครับ”

                “แล้วเมียเอ็งล่ะ”

                “ซาร่าห์จะบินตามมาภายในเดือนนี้ครับ”

                “อ้อ มีเมียฝรั่ง มิน่าหลานตาสีน้ำข้าวเชียว”

                โต้งฝืนหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่เศร้าและหดหู่นี้ เขารู้ตัวดีว่าคำแก้ตัวเรื่องที่ทำให้เขากลับเมืองไทยล่าช้าแม้จะพูดให้ใครฟัง แต่มันก็ยังดูไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ถึงข้ออ้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม

                “แล้วจะอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”

                “ใช่ครับ ผมคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ส่วนเรื่องงานก็คงหาทำแถวนี้ครับ”

                “ดีแล้ว พ่อเขาเป็นห่วงเอ็งมาก สมบัติทุกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายคนเดียวมารับต่อ”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ

                “งั้นเดี๋ยวอาเข้าไปในงานก่อนนะ ไว้คุยกัน”

                “ครับ” โต้งรับคำสั้นๆ อีกครั้ง

                เขามองเข้าไปในศาลางานศพที่ไม่ใหญ่มาก มีแขกเหรื่อไม่เยอะเพราะโต้งยังไม่ทันส่งข่าวให้ใคร เพราะเขาเองก็เริ่มห่างหายจากเพื่อนๆ และคนสนิทของพ่อไปนานหลายปี มีแต่ญาติหลายสิบคนเต็มศาลา งานในครั้งนี้จึงเหมือนกับการรวมญาติครั้งใหญ่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่มีพ่อของโต้ง

                โต้งไม่แน่ใจว่ามีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เขาคิดสะท้อนกลับไปกว่า 15 ปีที่เขาไปเรียนและทำงานเป็นแพทย์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาจะบินกลับไทยเฉลี่ยปีละครั้งนั้น ยกเว้น 5 ปีหลังสุดที่เขามีลูก โต้งไม่มีเวลากลับมาเมืองไทย นั่นคงจะทำให้พ่อของเขารู้สึกเหงาอยู่บ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้อยู่เคียงข้างชายแก่คนหนึ่ง

                อาน้อยเป็นญาติที่โต้งสนิทที่สุด นอกนั้นเป็นญาติที่ค่อนข้างจะเหินห่าง ทำให้โต้งไม่ได้ต้อนรับแขกเหรื่อได้ดี ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าภาพ

 

                ในเช้าหลังจากที่มีการเผาศพเรียบร้อยแล้ว โต้งตื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เขายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เขาจากไปนาน โต้งเข้าไปในห้องเก็บหนังสือของพ่อที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือและกองหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้น หนังสือหลายเล่มเป็นนิตยสารเก่าที่เรียงหมายเลขต่อเนื่องกัน ในตู้หนังสือคงจะเป็นหนังสือที่ไม่ได้หยิบออกมาบ่อยนัก

                โต้งหันไปมองยังโต๊ะอ่านหนังสือ บนนั้นมีสมุดเก็บภาพถ่ายหลายเล่มวางอยู่บนนั้น โต้งค่อยๆ หยิบเล่มบนสุดเปิดดู เขาเห็นภาพถ่ายของตัวเองในวัยเด็ก ในนั้นมีทั้งเขา พ่อและแม่ รวมไปถึงพี่สาวของเขาที่ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นแม่ก็ตรอมใจตายตามไป

                ความหดหู่และรู้สึกสงสารพ่อเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในลำคอของโต้ง พ่อของเขาที่ต้องอดทนต่อสู้กับความเหงาว้าเหว่ถึง 10 ปีจากที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า แม้โต้งจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังมีพี่สาวและแม่ แต่เมื่อความสูญเสียมาเยือน นั่นทำให้พ่อต้องเดียวดายอย่างแท้จริง

                โต้งเคยบอกพ่อว่าจะกลับมาหางานทำในประเทศไทยเมื่อเรียนจบ แต่พ่อของโต้งไม่เห็นด้วยในตอนนั้น

               

                โต้งพาแจ๊คซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้าน เขาตั้งใจจะพาลูกชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าที่เขาเคยมากินนานแล้ว หากแต่ว่ามันไม่ปิดไปเสียก่อน

                รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าร้านที่คนพลุกพล่าน นั่นแสดงว่าร้านยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมสั่งเมนู โต้งมองไปรอบๆ ร้านพร้อมรำลึกความหลังเก่าๆ ที่เขาเคยมากินพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างในร้านแทบจะเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับกว่า 10 ปีที่แล้ว มีเพียงแต่เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หน้าตาไม่คุ้นเคย

                กลิ่นหอมของน้ำซุปจากโต๊ะอื่นโชยมาเข้าจมูก โต้งรู้ดีว่าร้านนี้คือร้านโปรดของพ่อ พ่อคงจะมาที่นี่บ่อย ภาพพ่อของเขาที่นั่งคีบเส้นในชามก๋วยเตี๋ยวยังคงติดตาและไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ ทุกครั้งพ่อจะต้องซดน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่ไม่ผ่านการปรุงใดๆ จนหมดชาม

                โต้งแทบจะไม่เชื่อสายตา! เขามองเห็นโต๊ะๆ หนึ่งที่ถัดจากเขาไปและอยู่ริมรั้ว ชายแก่ที่นั่งคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากคนนั้นคือพ่อของโต้ง เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าชายคนนั้นคือพ่อของเขาอย่างแน่นอน โต้งคงจะลุกเดินไปหาพ่อของเขาแล้ว หากเขาลืมไปว่าเพิ่งจะเผาร่างพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

                ภาพชายแก่ที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดคนเดียวทุกวันๆ คงจะเป็นภาพธรรมดาที่คงจะชาชินไปแล้วสำหรับคนที่ต้องทนอยู่กับความเหงา แต่สำหรับโต้งที่มีทั้งลูกและเมีย มันช่างสะเทือนอารมณ์ของเขาไปถึงก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ ความเศร้าสะเทือนใจกำลังจะกลั่นตัวออกมาเป็นหยดสายน้ำใสๆ ในอีกชั่วอึดใจเดียว หากไม่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างอารมณ์นั้นก่อน

                “นั่นโต้งใช่มั้ย”

                โต้งหันไปทางต้นเสียง เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเจ้าของร้านที่เคยทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามา

                “สวัสดีครับป้าละมัย” โต้งยกมือไหว้ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “ไหว้ยายสิลูก”

                “เป็นยังไงบ้าง ป้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องพ่อของเธอ เสียใจด้วยนะ”

                โต้งยิ้มรับคำ เขาหันไปมองที่โต๊ะริมรั้วอีกครั้ง เขาไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่ที่เขาไม่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขานั่งอยู่

                “แล้วนี่จะยังไงต่อไปล่ะ จะกลับมาอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปเป็นหมอที่อเมริกา”

                “ผมจะกลับมาหางานทำที่นี่ครับ เอ่อ... ป้ารู้ว่าผมทำงานอะไร...”

                “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ พ่อของเธอมาที่นี่บ่อย ชอบมาคุยเรื่องลูกชายให้คนโน้นคนนี้ฟัง แกดูจะภูมิใจในตัวโต้งมากเลยนะ”

                “พ่อของผมคงจะเหงา เขาคงมาหาเพื่อนคุย”

                ละมัยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็มาหาเพื่อนเก่านั่งคุยกันตามประสานั่นแหละ ป้าขอตัวเข้าไปในครัวก่อนนะ แล้วโอกาสหน้าแวะมากินบ่อยๆ ล่ะ”

                “ขอบคุณครับ” โต้งพูด

                หลังจากป้าละมัยเดินพ้นไป โต้งหันไปมองยังโต๊ะริมรั้วอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่กำลังใช้ช้อนกวาดน้ำก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายใส่ปาก

 

                ในคืนนั้น โต้งแต่งตัวด้วยชุดนอนหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกาย เมื่อหันไปที่เตียงก็เห็นแจ๊คกำลังเปิดสมุดเก็บรูปภาพหลายเล่ม

                “พ่อครับ ผมคิดถึงคุณปู่”

                โต้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ แค่เพียงอาทิตย์เดียวที่ลูกชายของเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปู่ จะสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันได้เพียงนี้ แม้พ่อของเขาจะไม่ได้สติเหมือนคนทั่วไป

                “ปู่ของลูกก็คงจะคิดถึงลูกเช่นกัน รู้มั้ยว่าปู่บ่นอยากเห็นลูกมานานแล้ว แต่ว่าพ่อไม่ได้พาลูกมาเจอปู่ก่อนหน้านี้ พ่อขอโทษนะลูก” โต้งลูบหัวของลูกชายเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเด็กน้อย

                “พ่อร้องไห้ทำไมครับ” แจ๊คตกใจที่เห็นน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่อ

                โต้งปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว “พ่อสงสารลูกที่ไม่มีโอกาสได้เจอปู่น่ะสิ พ่อผิดเองที่ไม่พาลูกกลับมาที่เมืองไทยก่อนหน้านี้”

                เด็กน้อยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เขยื้อนตัวเขามาใกล้พ่อของเขาพร้อมโอบกอดร่างใหญ่โอบไม่มิดไว้แน่น “ผมได้เจอกับปู่แล้วครับ ผมได้นอนกอดปู่ ได้คุยกับปู่ ได้ร้องเพลงให้ปู่ฟัง”

                “ลูกไม่เสียใจหรือที่ไม่ได้มาเจอปู่ก่อนหน้านี้”

                “ไม่ครับ สำหรับแจ๊คแล้วมีโอกาสแค่นี้ก็เพียงพอ”

                โต้งยิ้มรับกับคำพูดที่ออกมาจากปากน้อยๆ เขาโอบกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก

                “ในตอนที่แม่ของลูกคลอดลูกออกมา  พ่อส่งข่าวและรูปภาพของลูกมาให้ปู่ดู รู้มั้ยว่าปู่ดีใจแค่ไหน คิดดูสิ คนอีกซีกโลกนึงตื่นเต้นดีใจที่คนอีกซีกโลกนึงถือกำเนิดออกมา ในตอนนั้นพ่อก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อว่าคืออย่างไร มันทำให้พ่อคิดถึงปู่มากขึ้น แต่เพราะหน้าที่การงานและภาระหลายอย่างทำให้พ่อบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมปู่ทุกครั้งหลังจากที่มีลูก ลูกรู้มั้ยว่าลูกเป็นดวงใจของพ่อ เหมือนกับที่พ่อก็เป็นดวงใจของปู่เช่นกัน”

                โต้งพูดจบก็ก้มลงดูลูกชายที่นอนซุกตัวในอ้อมอกของเขา ปรากฏว่าแจ๊คนอนหลับตาสนิทไปแล้ว โต้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ วางเจ้าตัวน้อยลงบนที่นอน พร้อมห่มผ้าให้กับดวงใจดวงเล็กๆ ของเขา

               

                โต้งลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เขาเดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือที่มีโต๊ะประจำตำแหน่งของพ่อ โต้งนั่งลงบนนั้น

                ลิ้นชักใต้โต๊ะถูกเปิดออก ในนั้นรกไปด้วยเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ โต้งหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น

                พ่อคิดถึงโต้ง พ่อเหงา พ่อไม่เหลือใครแล้ว....

                โต้งไม่อาจจะทนทานอ่านต่อได้ เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสงสารพ่อของเขาจับใจ

                “ร้องไห้ทำไม่โต้ง” เสียงที่คุ้นเคยดังมาผ่านหูของโต้ง

                เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่ง ที่พ่อของเขาเข้ามาปลอบใจยามที่โต้งมีน้ำตาในอดีต  แต่ทว่าเมื่อเขาคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ นั่นเป็นเสียงที่เขารับรู้ได้ด้วยหูของเขาอย่างแน่นอน

                “พ่อ” โต้งพูด

                พ่อของโต้งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง โต้งเห็นและแน่ใจว่านั่นคือพ่อตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน

                “พ่อมาได้ยังไง” เสียงพูดปนตกใจดังมากจากลูกชาย

                “เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือลูกร้องไห้ทำไมกัน”

                “ก็ผมสงสารที่พ่อทนอยู่อย่างเหงาๆ มาหลายปี ผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้”

                “อย่าพูดแบบนั้น” พ่อของโต้งเอ่ยคำๆ นั้นด้วนน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ความเหงาเป็นแค่อารมณ์ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จางหาย”

                “แต่ผมบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ หลังจากที่ผมมีแจ๊ค นั่นคงจะทำให้พ่อเสียใจ”

                “ไม่หรอกลูก อย่าคิดแบบนั้นเลย คนทุกคนมีหนทางเดินที่ต่างกัน ลูกก็มีความจำเป็นของลูก ส่วนเรื่องหลานของพ่อ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่พ่อได้เจอกับหลาน แม้พ่อจะไม่ได้สติ แต่พ่อก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีลูกและลูกของลูกอยู่ใกล้ๆ เจ้าแจ๊คที่มานอนข้างพ่อๆ ก็รับรู้ มาร้องเพลงมาพูดคุยพ่อก็รับรู้ได้ แค่ไม่สามารถตอบรับกลับไปได้แค่นั้นเอง”

                “จริงหรือครับ” โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง

                “พ่อหมดอายุขัยไปแล้ว ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ที่จะต้องให้มาคอยกังวล ทุกข์และสุขที่เคยเป็นเรื่องในอดีตมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับพ่อ ตอนนี้พ่อไปสู่นิพพานที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกห่วงใยใดๆ ให้ต้องคำนึงอีกต่อไปแล้ว มันจบแล้ว”

                โต้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขามองรอบตัวยังเห็นแจ๊คที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา โต้งคงฝันไป แม้โต้งจะคิดว่านั่นเป็นความฝัน แต่ทุกถ้อยคำที่ได้ยินจากในฝันนั้นเขาจดจำมันได้เป็นอย่างดี โต้งคิดว่านั่นคงเป็นแค่จิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง ที่ยอมให้อภัยความสำนึกผิดที่เขาพยายามคิด และต่อไปคงถึงเวลาที่เขาจะให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง

                ในคืนนั้นโต้งนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ความสำนึกผิดใดๆ บางทีเขาอาจจะให้อภัยตัวเองแล้ว เหมือนกับเรื่องจิตใต้สำนึกที่โต้งเคยเรียนมาว่า คนเราพอนอนฝันถึงเรื่องใด แสดงว่าเรื่องนั้นคือเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของคนๆ นั้น และต่อไปโต้งคงจะไม่นอนฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

 

                บนท้องฟ้ามีมวลหมู่เมฆหลายก้อนเรียงรายไม่ห่างกัน ร่างพ่อของโต้งโปร่งใสกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไป

                “ไปไหนมาหรือท่าน” ผู้เฒ่าบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                “จิตไม่สงบ ยังเป็นห่วงลูกชาย ผมก็เลยกลับไปปรากฏตัวให้ลูกชายเห็น และยังไปเข้าฝันลูกชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจอีกด้วย”

                “แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”

                “คิดว่าคงได้ ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว คงถึงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ได้ซักที” พ่อของโต้งพูด

                “อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเอาบ้าง นี่ก็ตายมาหลายปีแล้ว แต่ลูกกับเมียยังมาแย่งธุรกิจที่เราสร้างไว้ เราเป็นห่วงจริงๆ ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง คงต้องลงไปเตือนสติกันบ้างแล้ว”

                “โอ้... เห็นข่าวเรื่องการแย่งสมบัติในโลกมนุษย์เยอะจริงๆ ว่าแต่เมียท่านชื่ออะไรล่ะ แล้วธุรกิจของท่านคืออะไร”

                “เมียเราเหรอ ชื่อประนี ทำธุรกิจโขลกน้ำพริกขาย”