“โต้ง...”
เสียงชายสูงอายุร้องทักเมื่อเขาเดินเข้ามาในงานศพของใครคนหนึ่ง
“กลับมาเมืองไทยนานแล้วหรือ”
“สวัสดีครับอาน้อย
ผมกลับมาอยู่เมืองไทยได้อาทิตย์กว่าเองครับ” โต้งยกมือไหว้อาน้อยที่กำลังเดินเข้ามาในงานด้วยความเคารพ
“อืม...
อย่างน้อยก็ทันได้กลับมาดูใจพ่อเอ็งนะ ก่อนตาย”
โต้งรู้สึกจุกอกในคำพูดนี้
แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์นั้นไว้แม้ว่าจะไม่มิดก็ตาม
“เปล่าครับ
ผมกลับมาตอนที่พ่อนอนไม่ได้สติแล้ว ทันเห็นพ่อตอนสายยางระโยงระยางเต็มไปหมด”
“เหรอ...
เฮ้อ...” อาน้อยถอนหายใจ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“อาเพิ่งจะลงเครื่องมาวันนี้หรือครับ”
“ใช่
บินตรงมาจากหาดใหญ่ไฟลท์เช้านี้เอง”
“นี่แจ๊คครับ
ลูกชายของผม ตอนนี้ 5 ขวบแล้วครับ แจ๊คไหว้ปู่ซะสิ”
เด็กชายตัวน้อยยกมือไหว้ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ
“ว่าไงหลานชาย”
อาน้อยใช้มือลูบไปที่หัวของเด็ก “แล้วนี่จะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่า
หรือจะกลับไปทำงานที่อเมริกาอีก”
“ผมลาออกมาแล้วครับ
เพราะต้องเคลียร์งานเสร็จก่อน เลยกลับมาเมืองไทยช้าครับ”
“แล้วเมียเอ็งล่ะ”
“ซาร่าห์จะบินตามมาภายในเดือนนี้ครับ”
“อ้อ มีเมียฝรั่ง
มิน่าหลานตาสีน้ำข้าวเชียว”
โต้งฝืนหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่เศร้าและหดหู่นี้
เขารู้ตัวดีว่าคำแก้ตัวเรื่องที่ทำให้เขากลับเมืองไทยล่าช้าแม้จะพูดให้ใครฟัง
แต่มันก็ยังดูไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ได้กลับมาดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
ถึงข้ออ้างนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
“แล้วจะอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลยใช่มั้ย”
“ใช่ครับ
ผมคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ส่วนเรื่องงานก็คงหาทำแถวนี้ครับ”
“ดีแล้ว
พ่อเขาเป็นห่วงเอ็งมาก สมบัติทุกอย่างเขาก็อยากให้ลูกชายคนเดียวมารับต่อ”
“ครับ”
โต้งรับคำสั้นๆ
“งั้นเดี๋ยวอาเข้าไปในงานก่อนนะ
ไว้คุยกัน”
“ครับ”
โต้งรับคำสั้นๆ อีกครั้ง
เขามองเข้าไปในศาลางานศพที่ไม่ใหญ่มาก
มีแขกเหรื่อไม่เยอะเพราะโต้งยังไม่ทันส่งข่าวให้ใคร
เพราะเขาเองก็เริ่มห่างหายจากเพื่อนๆ และคนสนิทของพ่อไปนานหลายปี
มีแต่ญาติหลายสิบคนเต็มศาลา งานในครั้งนี้จึงเหมือนกับการรวมญาติครั้งใหญ่อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ไม่มีพ่อของโต้ง
โต้งไม่แน่ใจว่ามีเพื่อนๆ
รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เขาคิดสะท้อนกลับไปกว่า 15 ปีที่เขาไปเรียนและทำงานเป็นแพทย์ที่นิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาจะบินกลับไทยเฉลี่ยปีละครั้งนั้น ยกเว้น 5 ปีหลังสุดที่เขามีลูก
โต้งไม่มีเวลากลับมาเมืองไทย นั่นคงจะทำให้พ่อของเขารู้สึกเหงาอยู่บ้าง
ที่ลูกชายเพียงคนเดียวไม่ได้อยู่เคียงข้างชายแก่คนหนึ่ง
อาน้อยเป็นญาติที่โต้งสนิทที่สุด
นอกนั้นเป็นญาติที่ค่อนข้างจะเหินห่าง ทำให้โต้งไม่ได้ต้อนรับแขกเหรื่อได้ดี
ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าภาพ
ในเช้าหลังจากที่มีการเผาศพเรียบร้อยแล้ว
โต้งตื่นขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เขายังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เขาจากไปนาน
โต้งเข้าไปในห้องเก็บหนังสือของพ่อที่เต็มไปด้วยตู้หนังสือและกองหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในนั้น
หนังสือหลายเล่มเป็นนิตยสารเก่าที่เรียงหมายเลขต่อเนื่องกัน
ในตู้หนังสือคงจะเป็นหนังสือที่ไม่ได้หยิบออกมาบ่อยนัก
โต้งหันไปมองยังโต๊ะอ่านหนังสือ
บนนั้นมีสมุดเก็บภาพถ่ายหลายเล่มวางอยู่บนนั้น โต้งค่อยๆ หยิบเล่มบนสุดเปิดดู เขาเห็นภาพถ่ายของตัวเองในวัยเด็ก
ในนั้นมีทั้งเขา พ่อและแม่
รวมไปถึงพี่สาวของเขาที่ประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อหลายปีก่อน
หลังจากนั้นแม่ก็ตรอมใจตายตามไป
ความหดหู่และรู้สึกสงสารพ่อเริ่มค่อยๆ
ก่อตัวขึ้นมาในลำคอของโต้ง พ่อของเขาที่ต้องอดทนต่อสู้กับความเหงาว้าเหว่ถึง 10
ปีจากที่เคยอยู่กันพร้อมหน้า
แม้โต้งจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน แต่ตอนนั้นยังมีพี่สาวและแม่
แต่เมื่อความสูญเสียมาเยือน นั่นทำให้พ่อต้องเดียวดายอย่างแท้จริง
โต้งเคยบอกพ่อว่าจะกลับมาหางานทำในประเทศไทยเมื่อเรียนจบ
แต่พ่อของโต้งไม่เห็นด้วยในตอนนั้น
โต้งพาแจ๊คซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากบ้าน
เขาตั้งใจจะพาลูกชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าที่เขาเคยมากินนานแล้ว
หากแต่ว่ามันไม่ปิดไปเสียก่อน
รถมอเตอร์ไซค์จอดหน้าร้านที่คนพลุกพล่าน
นั่นแสดงว่าร้านยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งในร้านพร้อมสั่งเมนู
โต้งมองไปรอบๆ ร้านพร้อมรำลึกความหลังเก่าๆ ที่เขาเคยมากินพร้อมหน้าพร้อมตา
ทุกอย่างในร้านแทบจะเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับกว่า 10 ปีที่แล้ว
มีเพียงแต่เจ้าของร้านและลูกจ้างที่หน้าตาไม่คุ้นเคย
กลิ่นหอมของน้ำซุปจากโต๊ะอื่นโชยมาเข้าจมูก
โต้งรู้ดีว่าร้านนี้คือร้านโปรดของพ่อ พ่อคงจะมาที่นี่บ่อย
ภาพพ่อของเขาที่นั่งคีบเส้นในชามก๋วยเตี๋ยวยังคงติดตาและไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ
ทุกครั้งพ่อจะต้องซดน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่ไม่ผ่านการปรุงใดๆ จนหมดชาม
โต้งแทบจะไม่เชื่อสายตา!
เขามองเห็นโต๊ะๆ
หนึ่งที่ถัดจากเขาไปและอยู่ริมรั้ว ชายแก่ที่นั่งคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากคนนั้นคือพ่อของโต้ง
เขาค่อนข้างจะมั่นใจว่าชายคนนั้นคือพ่อของเขาอย่างแน่นอน โต้งคงจะลุกเดินไปหาพ่อของเขาแล้ว
หากเขาลืมไปว่าเพิ่งจะเผาร่างพ่อเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
ภาพชายแก่ที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดคนเดียวทุกวันๆ
คงจะเป็นภาพธรรมดาที่คงจะชาชินไปแล้วสำหรับคนที่ต้องทนอยู่กับความเหงา
แต่สำหรับโต้งที่มีทั้งลูกและเมีย
มันช่างสะเทือนอารมณ์ของเขาไปถึงก้นบึ้งส่วนลึกของจิตใจ
ความเศร้าสะเทือนใจกำลังจะกลั่นตัวออกมาเป็นหยดสายน้ำใสๆ ในอีกชั่วอึดใจเดียว
หากไม่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะการสร้างอารมณ์นั้นก่อน
“นั่นโต้งใช่มั้ย”
โต้งหันไปทางต้นเสียง
เขาจำได้ทันทีว่านี่คือเจ้าของร้านที่เคยทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเมื่อครั้งล่าสุดที่เขามา
“สวัสดีครับป้าละมัย”
โต้งยกมือไหว้ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “ไหว้ยายสิลูก”
“เป็นยังไงบ้าง
ป้าเพิ่งได้ข่าวเรื่องพ่อของเธอ เสียใจด้วยนะ”
โต้งยิ้มรับคำ
เขาหันไปมองที่โต๊ะริมรั้วอีกครั้ง เขาไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว
เห็นแต่ชายแก่ที่เขาไม่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขานั่งอยู่
“แล้วนี่จะยังไงต่อไปล่ะ
จะกลับมาอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปเป็นหมอที่อเมริกา”
“ผมจะกลับมาหางานทำที่นี่ครับ
เอ่อ... ป้ารู้ว่าผมทำงานอะไร...”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ
พ่อของเธอมาที่นี่บ่อย ชอบมาคุยเรื่องลูกชายให้คนโน้นคนนี้ฟัง
แกดูจะภูมิใจในตัวโต้งมากเลยนะ”
“พ่อของผมคงจะเหงา
เขาคงมาหาเพื่อนคุย”
ละมัยได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่
ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็มาหาเพื่อนเก่านั่งคุยกันตามประสานั่นแหละ
ป้าขอตัวเข้าไปในครัวก่อนนะ แล้วโอกาสหน้าแวะมากินบ่อยๆ ล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
โต้งพูด
หลังจากป้าละมัยเดินพ้นไป
โต้งหันไปมองยังโต๊ะริมรั้วอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่เห็นพ่อของเขาแล้ว เห็นแต่ชายแก่กำลังใช้ช้อนกวาดน้ำก๋วยเตี๋ยวคำสุดท้ายใส่ปาก
ในคืนนั้น โต้งแต่งตัวด้วยชุดนอนหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกาย
เมื่อหันไปที่เตียงก็เห็นแจ๊คกำลังเปิดสมุดเก็บรูปภาพหลายเล่ม
“พ่อครับ
ผมคิดถึงคุณปู่”
โต้งยิ้ม
เขาไม่คิดว่าเวลาเพียงสั้นๆ
แค่เพียงอาทิตย์เดียวที่ลูกชายของเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับปู่
จะสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันได้เพียงนี้
แม้พ่อของเขาจะไม่ได้สติเหมือนคนทั่วไป
“ปู่ของลูกก็คงจะคิดถึงลูกเช่นกัน
รู้มั้ยว่าปู่บ่นอยากเห็นลูกมานานแล้ว แต่ว่าพ่อไม่ได้พาลูกมาเจอปู่ก่อนหน้านี้
พ่อขอโทษนะลูก” โต้งลูบหัวของลูกชายเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเด็กน้อย
“พ่อร้องไห้ทำไมครับ”
แจ๊คตกใจที่เห็นน้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่อ
โต้งปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“พ่อสงสารลูกที่ไม่มีโอกาสได้เจอปู่น่ะสิ
พ่อผิดเองที่ไม่พาลูกกลับมาที่เมืองไทยก่อนหน้านี้”
เด็กน้อยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์เขยื้อนตัวเขามาใกล้พ่อของเขาพร้อมโอบกอดร่างใหญ่โอบไม่มิดไว้แน่น
“ผมได้เจอกับปู่แล้วครับ ผมได้นอนกอดปู่ ได้คุยกับปู่ ได้ร้องเพลงให้ปู่ฟัง”
“ลูกไม่เสียใจหรือที่ไม่ได้มาเจอปู่ก่อนหน้านี้”
“ไม่ครับ
สำหรับแจ๊คแล้วมีโอกาสแค่นี้ก็เพียงพอ”
โต้งยิ้มรับกับคำพูดที่ออกมาจากปากน้อยๆ
เขาโอบกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอก
“ในตอนที่แม่ของลูกคลอดลูกออกมา พ่อส่งข่าวและรูปภาพของลูกมาให้ปู่ดู
รู้มั้ยว่าปู่ดีใจแค่ไหน คิดดูสิ
คนอีกซีกโลกนึงตื่นเต้นดีใจที่คนอีกซีกโลกนึงถือกำเนิดออกมา
ในตอนนั้นพ่อก็เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อว่าคืออย่างไร มันทำให้พ่อคิดถึงปู่มากขึ้น
แต่เพราะหน้าที่การงานและภาระหลายอย่างทำให้พ่อบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมปู่ทุกครั้งหลังจากที่มีลูก
ลูกรู้มั้ยว่าลูกเป็นดวงใจของพ่อ เหมือนกับที่พ่อก็เป็นดวงใจของปู่เช่นกัน”
โต้งพูดจบก็ก้มลงดูลูกชายที่นอนซุกตัวในอ้อมอกของเขา
ปรากฏว่าแจ๊คนอนหลับตาสนิทไปแล้ว โต้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ
วางเจ้าตัวน้อยลงบนที่นอน พร้อมห่มผ้าให้กับดวงใจดวงเล็กๆ ของเขา
โต้งลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน
เขาเดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือที่มีโต๊ะประจำตำแหน่งของพ่อ โต้งนั่งลงบนนั้น
ลิ้นชักใต้โต๊ะถูกเปิดออก
ในนั้นรกไปด้วยเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือหวัดๆ เขียนไว้ โต้งหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น
‘พ่อคิดถึงโต้ง
พ่อเหงา พ่อไม่เหลือใครแล้ว....’
โต้งไม่อาจจะทนทานอ่านต่อได้
เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจสงสารพ่อของเขาจับใจ
“ร้องไห้ทำไม่โต้ง”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาผ่านหูของโต้ง
เสียงนั้นทำให้เขานึกถึงครั้งหนึ่ง
ที่พ่อของเขาเข้ามาปลอบใจยามที่โต้งมีน้ำตาในอดีต
แต่ทว่าเมื่อเขาคิดได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ
นั่นเป็นเสียงที่เขารับรู้ได้ด้วยหูของเขาอย่างแน่นอน
“พ่อ” โต้งพูด
พ่อของโต้งเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง
โต้งเห็นและแน่ใจว่านั่นคือพ่อตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน
“พ่อมาได้ยังไง”
เสียงพูดปนตกใจดังมากจากลูกชาย
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือลูกร้องไห้ทำไมกัน”
“ก็ผมสงสารที่พ่อทนอยู่อย่างเหงาๆ
มาหลายปี ผมเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้”
“อย่าพูดแบบนั้น”
พ่อของโต้งเอ่ยคำๆ นั้นด้วนน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ความเหงาเป็นแค่อารมณ์
เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จางหาย”
“แต่ผมบ่ายเบี่ยงที่จะกลับมาเยี่ยมพ่อ
หลังจากที่ผมมีแจ๊ค นั่นคงจะทำให้พ่อเสียใจ”
“ไม่หรอกลูก
อย่าคิดแบบนั้นเลย คนทุกคนมีหนทางเดินที่ต่างกัน ลูกก็มีความจำเป็นของลูก ส่วนเรื่องหลานของพ่อ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่พ่อได้เจอกับหลาน แม้พ่อจะไม่ได้สติ
แต่พ่อก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่มีลูกและลูกของลูกอยู่ใกล้ๆ
เจ้าแจ๊คที่มานอนข้างพ่อๆ ก็รับรู้ มาร้องเพลงมาพูดคุยพ่อก็รับรู้ได้
แค่ไม่สามารถตอบรับกลับไปได้แค่นั้นเอง”
“จริงหรือครับ”
โต้งถามด้วยน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง
“พ่อหมดอายุขัยไปแล้ว
ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ที่จะต้องให้มาคอยกังวล
ทุกข์และสุขที่เคยเป็นเรื่องในอดีตมันไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วสำหรับพ่อ
ตอนนี้พ่อไปสู่นิพพานที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกห่วงใยใดๆ ให้ต้องคำนึงอีกต่อไปแล้ว
มันจบแล้ว”
โต้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน
เขามองรอบตัวยังเห็นแจ๊คที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา โต้งคงฝันไป
แม้โต้งจะคิดว่านั่นเป็นความฝัน
แต่ทุกถ้อยคำที่ได้ยินจากในฝันนั้นเขาจดจำมันได้เป็นอย่างดี โต้งคิดว่านั่นคงเป็นแค่จิตใต้สำนึกของตัวเขาเอง
ที่ยอมให้อภัยความสำนึกผิดที่เขาพยายามคิด
และต่อไปคงถึงเวลาที่เขาจะให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง
ในคืนนั้นโต้งนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ความสำนึกผิดใดๆ
บางทีเขาอาจจะให้อภัยตัวเองแล้ว เหมือนกับเรื่องจิตใต้สำนึกที่โต้งเคยเรียนมาว่า
คนเราพอนอนฝันถึงเรื่องใด แสดงว่าเรื่องนั้นคือเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของคนๆ
นั้น และต่อไปโต้งคงจะไม่นอนฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
บนท้องฟ้ามีมวลหมู่เมฆหลายก้อนเรียงรายไม่ห่างกัน
ร่างพ่อของโต้งโปร่งใสกำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไป
“ไปไหนมาหรือท่าน”
ผู้เฒ่าบนก้อนเมฆก้อนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จิตไม่สงบ
ยังเป็นห่วงลูกชาย ผมก็เลยกลับไปปรากฏตัวให้ลูกชายเห็น
และยังไปเข้าฝันลูกชายเพื่อทำให้เขารู้สึกสบายใจอีกด้วย”
“แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”
“คิดว่าคงได้ ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว
คงถึงเวลาที่จะเดินทางไปสู่ภพภูมิใหม่ได้ซักที” พ่อของโต้งพูด
“อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ
ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเอาบ้าง นี่ก็ตายมาหลายปีแล้ว
แต่ลูกกับเมียยังมาแย่งธุรกิจที่เราสร้างไว้ เราเป็นห่วงจริงๆ
ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง คงต้องลงไปเตือนสติกันบ้างแล้ว”
“โอ้...
เห็นข่าวเรื่องการแย่งสมบัติในโลกมนุษย์เยอะจริงๆ ว่าแต่เมียท่านชื่ออะไรล่ะ
แล้วธุรกิจของท่านคืออะไร”
“เมียเราเหรอ
ชื่อประนี ทำธุรกิจโขลกน้ำพริกขาย”