วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชีวิตใหม่


“หลังจากที่จำเลยได้อยู่ในเรือนจำ 48 ปีในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์จลาจลเมื่อ 48 ปีที่แล้ว ฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ยื่นฟ้องและยื่นอุทธรณ์มาแล้วถึงสองครั้งเมื่อศาลจะยกฟ้องจำเลย และเพราะโจทก์ไม่สามารถหาหลักฐานมัดตัวจำเลยและคดีก็ล่วงเลยมานานกว่าโทษของคดีที่จำเลยอาจจะต้องชดใช้ ศาลมีความเห็นว่าควรยกฟ้องและจะไม่รับคำร้องอุทธรณ์ใดๆจากรัฐเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก จำเลยจะได้รับการปล่อยตัวแบบไม่มีเงื่อนไข”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลอ่านคำพิพากษาบนบัลลังก์ เสียงฮือฮาดังลั่นศาลทั้งพวกที่ดีใจกับคำตัดสินและฝ่ายที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน
“สำหรับคำร้องของนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของนักโทษที่เรียกร้องให้มีการชดเชยตามจำนวนวันที่จำเลยติดคุก ศาลลงความเห็นแล้วว่าจำเลยสมควรได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท เงินค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพอีกวันละ 200 บาท และค่าฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจอีก 50,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,058,000 บาท ทางฝ่ายรัฐจะต้องชดใช้เงินจำนวนนี้ให้กับจำเลยทันทีหลังจากศาลสรุปคำพิพากษานี้”
เสียงโห่ร้องดีใจดังมาจากที่นั่งฝ่ายนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน พวกเขาจับไม้จับมือกันแสดงความยินดีที่ต่อสู้ในเรื่องสิทธิ์ของคดีนี้มายาวนานกว่า 30 ปี และวันนี้ก็เป็นเหมือนชัยชนะที่อาจจะเป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ของความยุติธรรม

อาทิตย์ในวัย 78 ปี เดินมาที่ประตูเหล็กหน้าเรือนจำ เขาค่อยๆเดินออกมาเห็นท้องฟ้าจากภายนอกรั้วเป็นครั้งแรกในรอบ 48 ปี ท่าทางที่มะงุมมะงาหราของอาทิตย์สร้างความรำคาญให้กับผู้คุม จนผู้คุมต้องรีบผลักไสให้อาทิตย์รีบเดินไปให้พ้นๆรั้ว
บนท้องถนนสายยาวแสงแดดแรงกล้า รูม่านตาที่ขยายกว้างเพราะเคยชินอยู่แต่กับความมืดในห้องขังมาเกือบตลอดชีวิต แต่เมื่อมาเจอกับแสงแดดสว่างจ้าทำให้สายตาของเขาปรับตัวไม่ทัน กว่าที่สายตาจะปรับสภาพเพื่อให้รับแสงได้นั้น เป็นความทรมานแก่เจ้าของดวงตานั้นไม่น้อย อาทิตย์ก็เดินเรื่อยเปื่อยมาถึงสี่แยกกลางเมือง ที่นั่นเขาหันซ้ายแลขวาไปรอบทิศทาง เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ชายผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากคุกได้แต่หันไปมองสายตาคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา สายตาแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์หลายคู่มองมาที่เขา สภาพของอาทิตย์ที่ใส่เสื้อยืดสีขาวเก่าๆ มีรอยเปื้อน กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินกับรองเท้าแตะเก่าๆสกปรกสภาพไม่ต่างจากเสื้อผ้า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อาทิตย์เกิดความสังเวชตัวเองเท่ากับความงงงันกับสิ่งที่จะดำเนินต่อไป
รถยนต์วิ่งบนถนนด้วยความเร็วเฉียดที่จะชนกับอาทิตย์ เสียงแตรจากรถคันหรูดังตามหลังมาแม้มันจะขับออกไปไกลแล้ว อาทิตย์ไม่รู้ว่าเหล็กสี่เหลี่ยมที่วิ่งผ่านเขาไปนั้นคืออะไรกันแน่ และยังมีเหล็กวิ่งได้อีกหลายคันบนท้องถนนวิ่งไปมาจนอาทิตย์ต้องวิ่งหนีไปที่กว้าง เขาเห็นตึกรามบ้านช่องปูนตั้งสูงตระหง่านฟ้าพลันสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร
หลายชั่วโมงผ่านไปแต่อาทิตย์ก็ยังคงเดิน เขาเดินโดยไร้จุดหมายผ่านสายตาหลายคู่ที่มองเขาอย่างเวทนา เมื่ออาทิตย์เดินผ่านร้านอาหาร เขาไปยืนเกาะตู้กระจกพร้อมทำท่าทางหิว
“ไป ! ออกไปไอ้ขอทาน” เจ้าของร้านตะโกนขับไล่อาทิตย์ นั่นเรียกเสียงหัวเราะจากลูกค้าที่นั่งอยู่เต็มร้าน “รีบไปก่อนที่มึงจะจมตีนตาย เฮ้ย ! ไอ้โจส่งแขกหน่อย” ชายแก่เจ้าของร้านสั่งให้เด็กเสิร์ฟออกไปไล่อาทิตย์ เด็กเสิร์ฟร่างใหญ่หุนหันเดินตรงไปหน้าร้านจนอาทิตย์ตกใจกลัวลนลานรีบเดินออกไป เสียงหัวเราะขบขันดังมาจากเหล่าลูกค้ายิ่งขึ้น เหมือนพวกเขาจะพอใจที่จะกดหัวใครสักคนหนึ่งในสังคมให้จมดิ่งลงไป
ความหิวและหมดหนทางจะเดินต่อไปทำให้อาทิตย์นั่งฟุบลงกับพื้นพร้อมร้องร่ำไห้เสียงสะอื้น หลายคนเดินถนนแต่งตัวดีภูมิฐานต่างรีบเดินหนีไปให้ไกลจากต้นเสียง ไม่มีใครสักคนที่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่ไม่น่าไว้วางใจคนนี้ แต่ทว่าชายคนหนึ่งที่กำลังลากรถเข็นเก็บขยะผ่านถนนเส้นนั้นกลับหยุดรถและเดินมาที่อาทิตย์
“เป็นอะไรเพื่อน นายมาจากที่ไหนล่ะ ท่าทางคงจะหิวนะ” ชายเก็บขยะพูดเสร็จก็หยิบห่อข้าวเหนียวพร้อมหมูปิ้งอีกสามไม้ยื่นให้อาทิตย์
อาทิตย์ยิ้มพร้อมรับห่ออาหารเหล่านั้นมากินด้วยความดีใจ เขายิ้มออกให้ชายผู้มีพระคุณ
“นายมาจากที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ชายเก็บขยะยื่นขวดน้ำพลาสติกสีขุ่นให้อาทิตย์
“ผมจำไม่ได้ แต่รู้สึกว่าจะพลัดหลงออกมาจากบ้าน” อาทิตย์พูดด้วยแววตาที่เลื่อนลอย
“ฉันชื่อบุญ นายชื่ออะไร” คนเก็บขยะถาม
“อาทิตย์”
บุญหันมามองอาทิตย์อีกครั้ง บางทีแล้วบุญอาจจะคิดว่าอาทิตย์นั้นเป็นโรคความจำเสื่อมหลงๆลืมๆ และพลัดหลงออกมาจากบ้าน
“เอาอย่างนี้พ่ออาทิตย์ ไปอยู่บ้านฉันก่อนก็ได้ ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว ถ้าเธอยังไม่มีที่ไปนะ”
อาทิตย์ไม่ตอบอะไร เขายังคงทำสีหน้าเฉื่อยชาและมึนงงไม่ตอบสนองอะไร แต่เมื่อบุญลุกขึ้นยืนและทำท่าจะจากไป อาทิตย์ก็รีบเดินตามบุญไปอย่างคนที่กลัวจะถูกทิ้ง
ภาพของคนเก็บขยะที่ลากรถเข็นไปมา เป็นภาพปกติที่คนในซอยจะเห็นกันจนชินตา แต่วันนี้มีผู้ติดตามชายเก็บขยะมาด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งสภาพของทั้งคู่ไม่ต่างกันมากนัก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็เหมือนจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกัน
“บ้านไม่กว้างนะ ออกจะคับแคบไปหน่อย พอดีฉันต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับสินค้า” บุญอธิบายสภาพบ้านที่ล้วนแต่มีกองขยะที่ถูกคัดแยกไว้เตรียมขาย กลิ่นเหม็นจากกองขยะที่หึ่งโชยไม่ได้สร้างความลำบากใจให้อาทิตย์เท่าไหร่นัก
อาทิตย์ล้มตัวลงนอนข้างๆเสาไม้ทันที นั่นทำให้บุญหัวเราะเล็กๆออกมา
“เอ้า... อยากจะนอนตรงนั้นเหรอ งั้นก็ตามสบายเลยนะ” บุญพูดเสร็จก็ถอยรถประจำตำแหน่งเข้าที่จอดรถ เจ้าของบ้านเข้าไปบ้านไปอาบน้ำนอนตามปกติ

เช้าตรู่ บุญเดินออกมาหน้าบ้าน เขาไม่เห็นอาทิตย์นอนอยู่ที่เดิมแล้ว
“ไปซะแล้ว เฮ้อ... สงสัยจะสติไม่สมประกอบหลงทางออกจากบ้านน่าสงสารจัง แต่ช่างเถอะ เราเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลยจะไปช่วยใครได้อีกล่ะ” บุญผู้ใจดีบ่นรำพันถึงเพื่อนใหม่ที่จากไปแล้ว
ถนนถัดไปไม่ไกลนัก อาทิตย์ยังคงเดินบนถนนในเสื้อผ้าชุดเดิมที่สกปรก บวกกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงนั้นทำให้เขาเหมือนเป็นส่วนเกินจากสังคม ที่นี่ไม่มีใครต้องการคนอย่างอาทิตย์
“ไปๆ ! ไอ้คนบ้า ออกไปจากหน้าบ้านของฉันนะ” หญิงชราที่เพิ่งจะเสร็จจากการบิณฑบาตพระ ตะโกนขับไล่คนจรจัดให้ออกไปจากหน้าบ้านด้วยท่าทางที่รังเกียจเดียดฉันท์ พระสองรูปที่เสร็จกิจก็รีบเดินจากไป อาทิตย์ที่เดินผ่านมาเฉยๆตกใจกับเสียงวี้ดว้ายนั้น เขาหันหน้ามาทางต้นเสียงด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ว้าย ! ช่วยด้วยๆ” หญิงชราร้องตกใจ เธอถือขันรองน้ำจากการกวดน้ำตอนที่พระสวดให้พร สาดน้ำที่อยู่ในนั้นไปที่อาทิตย์ น้ำสาดเข้าไปเต็มใบหน้าของชายโชคร้าย อาทิตย์ตกใจรีบวิ่งหนีทันที
อาทิตย์วิ่งพ้นบ้านของหญิงชราใจร้ายมาไกลแล้ว แต่เขาคงไม่สามารถหลบพ้นสายตาของคนในสังคมหลายคู่ ที่ต่างก็ลงความเห็นว่าชายผู้นี้ก็คือขยะคนหนึ่งนั่นเอง เขาเดินต่อไปเรื่อยๆจนผ่านถังขยะขนาดใหญ่วางเรียงรายกันหลายใบ
ชายคนหนึ่งใส่กางเกงสกปรกเปลือยท่อนบนกำลังคุ้ยเขี่ยถังขยะ เขารู้สึกได้ถึงการมาของอาทิตย์จึงโงหัวขึ้นมาจากถังขยะ

“อ้าว... ถ้าจะหิวนี่... หมูแดงชิ้นโต กลิ่นยังพอใช้ได้อยู่เลยรับไปสิ” ชายคนที่เพิ่งจะโผล่หัวมาจากถังขยะยื่นชิ้นหมูแดงที่เขาค้นเจอจากถังขยะให้กับอาทิตย์ พร้อมรอยยิ้มแสดงความมีน้ำใจ
อาทิตย์รับชิ้นหมูนั้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาบรรจงค่อยๆกัดกินชิ้นเนื้อนั้นด้วยความอร่อย แม้ชิ้นหมูนี้จะอาจจะถูกเมินจากคนทั่วไปในยุคปัจจุบัน แต่กับคนอย่างอาทิตย์ที่ไม่เคยกินอาหารชั้นดีแบบนี้มาตลอด 48 ปีในคุก และก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยมีได้ลิ้มลองอาหารแบบนี้ กับชิ้นหมูแดงที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่บ้าง แต่นั่นก็ถือเป็นลาภปากของอาทิตย์แล้ว
“ขอบใจ” อาทิตย์พูดเรียกรอยยิ้มจากเจ้าถิ่น
“นายมาจากไหนล่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”
“ฉันเหรอ ฉันหลงทางออกมาจากบ้าน กลับบ้านไม่ถูก”
“เหรอ” ชายเจ้าถิ่นหัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นไรๆ นายไปอยู่บ้านฉันได้ มีที่นอนเยอะแยะเลย” ชายเจ้าของเสียงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“แล้วบ้านนายอยู่ไหนล่ะ”
ชายเก็บขยะชี้นิ้วไปที่ใต้สะพานลอย ที่นั่นมีผ้าขาดๆวางปูพร้อมหมอนเก่าๆอีกหนึ่งใบ อาทิตย์มองไปยังทิศทางที่ชายคนนั้นชี้นิ้ว จากนั้นทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างสบายอารมณ์ นั่นเรียกความสนใจจากคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา แต่ชายทั้งสองนั้นต่างไม่สนใจสายตาเหล่านั้นอยู่แล้ว
หลังจากท้องของอาทิตย์เริ่มตึง เขาเดินตามชายเจ้าของที่นอนใต้สะพานลอยไปยังใต้สะพายลอย แสงแดดในบ่ายนี้ไม่แรงมากนักเพราะเมฆจำนวนมากมาบดบัง ลมพัดเย็นสบายทำให้อาทิตย์ล้มตัวลงนอนกับพื้นใต้สะพานลอย
“คุณอาทิตย์ๆ” อาทิตย์ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาในยามที่เขากำลังฝัน จนทำให้เขาคิดว่ามีคนเรียกชื่อของเขาในฝัน แต่เมื่อเขาพ้นจากความฝันแล้วเสียงนั่นก็ยังคงดังต่อเนื่อง อาทิตย์ลืมตาขึ้น เขาเห็นกลุ่มชายหญิง 3 คนแต่งกายชุดภูมิฐานยืนล้อมเขาอยู่
“โธ่... นึกว่าคุณหายไปไหน เราตามหาคุณอาทิตย์ซะทั่ว” หญิงใส่แว่นคนหนึ่งพูด
“วันนั้นเขาคงจะออกมาจากเรือนจำเร็วไป และเราคงไปรับไม่ทัน ไปกันเถอะคุณอาทิตย์ ต่อไปนี้เราจะดูแลชีวิตของคุณเอง” ชายอีกคนพูด
อาทิตย์เดินตามกลุ่มคนเหล่านั้นไปด้วยความงงงวย เพื่อนใหม่ของอาทิตย์ก็ยืนงงอยู่ตรงนั้นด้วย
ชายคนหนึ่งเปิดประตูรถให้อาทิตย์ อาทิตย์ยืนทำท่างงทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่พอมองเข้าไปในตัวรถเห็นเบาะนั่ง จึงยอมก้มหัวมุดเข้าในอยู่ในตัวรถ จากนั้นคนทั้ง 3 ก็มุดตามเข้าไป
“คุณอาทิตย์ครับ นี่คือเงินสดจำนวน 7 ล้าน 5 หมื่น 8 พันบาท เราจะนำเงินจำนวนนี้โอนเข้าบัญชีของคุณ แต่ทางเราทราบดีว่าคุณอยู่แต่ในคุกถึง 48 ปี จึงทำให้คุณไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกได้ เราจึงให้คนของเราคอยจัดการเรื่องการเรื่องชีวิตของคุณในช่วงแรก และตอนนี้เราเอาเงินสดจำนวนหนึ่งไปซื้อบ้านให้คนอยู่ แน่นอนครับจะมีคอยช่วยดูแลคุณด้วย” หัวหน้ากลุ่มนักเคลื่อนไหวที่คอยผลักดันเรื่องของอาทิตย์มาตลอดหลายปีนี้ นั่งชี้แจงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้อาทิตย์ฟังในห้องสำนักงาน
“ขอบใจนะ แล้วผมจะต้องไปที่ไหนต่อ” อาทิตย์ยังคงทำท่างงกับชีวิต
“ใจเย็นๆคุณอาทิตย์ เดี๋ยววันนี้เราจะเริ่มปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคุณ”
ในวันนั้น มีเจ้าหน้าที่พาอาทิตย์ไปขัดสีฉวีวัน ตัดเผ้าตัดผมและพาไปเลือกชุดสูทจากห้องเสื้อชั้นนำ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เจ้าของห้องเสื้อให้อาทิตย์ดูตัวเองในกระจก
เมื่อภาพสะท้อนอาทิตย์ให้เห็นตัวเองในกระจก หัวสมองเขาถึงกับตกตะลึงและสับสนกับสิ่งที่เขาเห็น ในใจของอาทิตย์เขาสาบานว่าเขาไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน โดยผมที่ถูกจัดทรงเรียบร้อยพร้อมปาดด้วยน้ำมันเรียบแปล้ หนวดเคราที่เคยยาวรุงรังถูกโกนทิ้งจนเห็นแต่เนื้อ เสื้อผ้าชั้นดีที่มีแต่คนมีเงินเท่านั้นที่จะมีโอกาสสวมใส่ รองเท้าหนังสีดำมันวาวทรงอเมริกา อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่อาทิตย์จะคุ้นชินกับชายที่อยู่ในกระจกนี้
“คุณดูดีมากเลยครับคุณอาทิตย์ วันนี้เราลองแต่งตัวให้คุณ ต่อไปเราจะพาคุณไปส่งที่บ้านที่ถูกซื้อด้วยเงินของคุณเอง ที่นั่นจะมีคนรับใช้คอยดูแลคุณตลอดเวลา” หัวหน้าขับรถพาอาทิตย์ไปยังบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง
เมื่อถึงที่หมาย อาทิตย์จำได้แม่นยำว่าบ้านข้างๆนั้นคือบ้านของหญิงใจร้ายที่สาดน้ำใส่เขาเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อรถจอดหน้าบ้าน อาทิตย์ถึงกับขนหัวลุกที่อาจจะเจอหญิงชราใจร้ายคนนั้น แต่เขายังไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้ใครเห็น
“นี่ครับคุณอาทิตย์ นี่คือบ้านหลังใหม่ของคุณ ในนี้มีทุกอย่างเพียงพอที่คุณจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย มีคนรับใช้ตลอด 24 ชั่วโมง” หัวหน้าเดินพาอาทิตย์เข้าไปในบ้าน ในนั้นมีสาวใช้สองคนนั่งรออยู่แล้ว
“และนี่คือห้องนอนของคุณ สะดวกสบายมาก อ้อ... แล้วเรื่องเงินของคุณไม่ต้องห่วง เราจะนำเงินของคุณอาทิตย์ไปลงทุนให้ออกดอกออกผลจนคุณไม่ต้องทำงานไปเลยตลอดชีวิต” หัวหน้ากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
อาทิตย์ยืนอยู่คนเดียวในห้องนอน เขารู้สึกไม่เคยชินกับความหรูหราของสถานที่แบบนี้ อาการเก้ๆกังๆแม้ยามที่เขาอยู่คนเดียวในห้องดูขัดกับเครื่องแต่งกายหรูหราที่เขาสวมและเตียงนอนกว้างใหญ่
คืนนั้นอาทิตย์ออกมานอนกับพื้นนอกระเบียงบ้าน สายลมเย็นๆพัดผ่านทำให้เขาหายใจโล่งสบาย
เฮ้อ... เราอยู่ในห้องขังมา 48 ปี แล้วทำไมยังจะต้องไปนอนในห้องแคบๆอีก ไม่เข้าใจจริงๆคนพวกนี้อาทิตย์นึกบ่นขึ้นมาในใจ

รุ่งเช้า อาทิตย์เดินออกมายังสนามหญ้าหน้าบ้าน เขาออกมาชมท้องฟ้ายามเช้าที่มีหมู่นกกาบินไปมา แสงแดดอ่อนทำให้จิตใจของอาทิตย์เหมือนจะสงบลง แต่ทันใดนั้นอาทิตย์มองออกไปนอกรั้วก็เห็นหญิงชราคนนั้นกำลังยื่นถุงกับข้าวใส่บาตรพระ เธอรับพรจากพระเสร็จก็หันหน้ากลับเข้าบ้าน
“อ้าว... เพื่อนบ้านใหม่ สวัสดีค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่หรือคะ” หญิงชราจำไม่ได้ว่าเคยเจออาทิตย์แล้ว แต่ในครั้งนั้นกับครั้งนี้สภาพของอาทิตย์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ไม่แปลกใจที่หญิงชราจะจำไม่ได้ แต่อาทิตย์จดจำความโหดร้ายของหญิงชราได้ เขารีบวิ่งเข้าบ้านอย่ารวดเร็ว
“เฮ่ๆ จะวิ่งหนีไปไหนล่ะคะเพื่อนบ้านใหม่ ทำความรู้จักกันก่อนสิ”
อาทิตย์วิ่งหนีเข้าบ้านไปนานแล้ว
“แปลกคนจริงๆ สงสัยไปอยู่แต่ในป่ามานานไม่เคยเข้าสังคม”
เขาระแวงไม่กล้าแม้แต่จะออกไปยืนหน้าบ้าน อาทิตย์เริ่มคิดถึงสายตาหลายคู่ที่อยู่ข้างนอกนั่นในวันก่อนๆ มันเริ่มที่จะสร้างความหดหู่ให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ สุดท้ายแล้วอาทิตย์ก็ยอมที่จะขังตัวเองเอาไว้ในบ้าน เขาคงเคยชินกับสถานที่ที่มีกำแพงล้อมรอบมากกว่า
ไม่นานหัวหน้านักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของนักโทษมาหาอาทิตย์ที่บ้าน
“คุณอาทิตย์ วันนี้เราจะมีงานแถลงข่าวการได้รับอิสรภาพของนักโทษที่ไม่มีความผิดและถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งเหยื่อของกระบวนการเหล่านั้นและหลุดพ้นมันมาได้ เราจะจัดงานเพื่อสัมภาษณ์คุณออกทีวี” หัวหน้าพูดเสร็จก็ขอให้อาทิตย์แต่งตัวออกไปกับเขาทันที


ในเวทีกลางแจ้งขนาดไม่ใหญ่มากนัก ป้ายผ้าแสดงตัวอักษรสื่อถึงการสัมภาษณ์นักโทษที่ถูกขังมานานเกือบครึ่งศตวรรษ เรียกความสนใจจากผู้คนให้เข้ามารับฟัง บนเวทีมีชุดโซฟาง่ายๆหนึ่งชุด มีคนสองคนนั่งอยู่แล้วในนั้น คนหนึ่งคืออาทิตย์ และอีกคนหนึ่งคือดาราพิธีกรชื่อดัง
พิธีกรยิงคำถามแรกไปให้อาทิตย์
“คุณอาทิตย์คุณรู้สึกอย่างไรที่ต้องโทษคุมขังถึง 48 ปีโดยที่ไม่มีความผิด”
“ในตอนที่ผมติดคุกใหม่ๆ ผมรู้ตัวดีเสมอว่าผมไม่ผิด ตอนนั้นผมแค้นมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเงินจ้างทนาย” อาทิตย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ตอนนี้ความแค้นของคุณยังมีอยู่มั้ยครับ”
“ผมลืมมันไปหมดแล้ว”
พิธีกรเตรียมยิงคำถามถัดไป เขาก้มลงไปอ่านสคริป
“คุณคิดว่าสภาพแวดล้อมในเรือนจำเป็นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับโลกภายนอกเรือนจำ”
“มันเป็นเรื่องที่อาจจะอธิบายยากครับ พวกคุณอาจจะลืมไปหมดแล้วว่าสภาพสังคมเมื่อ 48 ปีที่แล้วเป็นยังไง เพราะพวกคุณอาจจะคุ้นชินกับสังคมสมัยใหม่ที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับผมนั้นจำภาพของเมื่อ 48 ปีที่แล้วของโลกภายนอกได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อผมออกมาจากเรือนจำผมกับไม่คุ้นชินกับสังคมที่เปลี่ยนไป วัตถุก็เปลี่ยนไป คนก็เปลี่ยนไป”
พิธีกรทำหน้างงกับคำตอบเล็กน้อย ไม่ต่างจากผู้คนที่เข้ามารับฟัง พวกเขาก็ทำสีหน้าประหลาดใจ พิธีกรทำได้แต่อ่านคำถามถัดไป
“เอ่อ... คุณอาทิตย์ครับ ตอนที่คุณอยู่ในเรือนจำ คุณเคยโหยหาอิสรภาพมั้ยครับ”
“แน่นอนครับ ผมเคยคิดถึงอิสรภาพเมื่ออยู่ในห้องขัง เคยคิดมานานแล้วว่าอยากออกจากห้องขังเพื่อมาทำอะไรตามที่ใจอยากจะทำ แต่พอผมออกจากคุกหลังติดอยู่ในนั้นนานถึง 48 ปี เมื่อผมออกมาทุกวันนี้ยังรู้สึกสับสน บ่อยครั้ง งงๆ ว่าอยู่ที่ไหน หรือควรอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหนต่อหรือจะทำอะไรต่อไป”
พิธีกรทำท่าทีอึกอัก เขาไม่สามารถคิดคำถามสดๆออกมาจากในหัวได้เหมือนที่เคยทำ เขารีบก้มดูคำถามถัดไปในกระดาษ
“และมาถึงคำถามข้อสุดท้ายครับคุณอาทิตย์ คุณคิดว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงครับ”
อาทิตย์นิ่งเงียบ เขาใช้เวลาทบทวนความคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบ
“อายุผมก็เยอะแล้ว อีกไม่กี่ปีก็คงจะตาย ผมอยากจะไปอยู่ที่ที่สงบๆ มีเพื่อนฝูงที่รู้ใจและมีอะไรให้ทำแก้เบื่อ มีอาหารที่คุ้นเคยให้กิน” อาทิตย์หยุดเว้นจังหวะการพูด
“ที่แห่งไหนครับที่คุณอาทิตย์อยากไป”
“ผมอยากกลับอยู่ในคุกเหมือนเดิมครับ ผมไม่เข้าใจว่าจะเอาผมออกมาจากที่ที่แสนสุขสบายแบบนั้นทำไมกัน”

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตะกอนชีวิต


คุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามาในห้องพร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด ห้องพิเศษในโรงพยาบาลที่สุพจน์นอนอยู่บนเตียง ก่อนหน้านี้สุพจน์ทำสีหน้าสบายอารมณ์ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรมากนัก
"คุณสุพจน์ครับ คุณไม่มีญาติมาเยี่ยมบ้างเลยเหรอ" หมอถาม
"ไม่มีครับ เมียผมตายไปหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายสามคนกับลูกสาวอีกสองก็แยกย้ายหายหน้าหายตาไปหมด ผมไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน" สุพจน์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ความจริงแล้วเรามีบางอย่างที่จะต้องคุยกับญาติของคุณสุพจน์ แต่ถ้าคุณไม่มีญาติ เราก็อาจจะต้องบอกเรื่องนี้กับคุณสุพจน์เองครับ"
สุพจน์ลุกขึ้นนั่งบนเตียง เขาหันหน้ามาทางหมอพร้อมขยับแว่นสายตาให้กระชับกับใบหน้า
"ไม่ต้องห่วงครับคุณหมอ ผมพอจะรู้ว่าหมอจะบอกอะไร อีกไม่กี่เดือนผมจะอายุครบรอบ 73 ปี ซึ่งผมคิดว่านี่ก็ถือว่านานมากแล้วสำหรับชีวิตนี้"
"หมอได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ ถ้าอย่างนั้นขอพูดตรงๆเลยนะ มะเร็งตับของคุณสุพจน์นั้นอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถรักษามันได้ ทำได้แต่เพียงยื้อเวลาได้เพียงไม่กี่เดือน" หมอหยุดพูด เขาเฝ้าดูสังเกตสีหน้าของคนไข้ที่ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลใดๆออกมา
"ผมเตรียมใจไว้แล้วครับคุณหมอ"
"ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น นับจากนี้ไปเราจะให้ยากับคุณสุพจน์ ที่จะทำไม่ให้คุณทรมานและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ต่อจากนี้ไปคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลเพื่อใช้ชีวิตตามปกติได้ครับ"
"ขอบคุณมากครับคุณหมอ"

เป็นครั้งแรกในรอบเกือบเดือนที่สุพจน์จากบ้านหลังใหญ่ที่ไร้คนดูแล ข้าวของทุกชิ้น โต๊ะเก้าอี้และเครื่องใช้ต่างอยู่ที่เดิมไร้การเคลื่อนไหว สุพจน์มองไปรอบๆบ้านอีกครั้ง ความหนาวและความเหงาเข้ามาเกาะกินจิตใจของเขา สุพจน์มีทรัพย์สินมากมายแต่เขากลับไม่มีใครเหลียวแล ลูกๆทั้ง 5 ต่างเดินไปตามทางของพวกเขาเอง แต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ มีครอบครัวของตัวเองให้ต้องดูแล
หลายวันผ่านไป สุพจน์ใช้ชีวิตไปตามปกติ ในแต่ละวันหมดเวลาไปกับการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน การค่อยๆใช้เวลาทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ และรื้อค้นหนังสือหลายร้อยเล่มที่เขาสะสมมาตลอดชีวิต กล่องพลาสติกสีดำที่หลบซ่อนอยู่ในซอกเล็กๆของห้องเก็บของ สุพจน์มองไปที่มันและพิจารณา
เขาคิดว่ากล่องใบนี้ไม่เคยถูกเปิดมากว่า 50 ปีแล้ว ข้างในคงมีหนังสือเก่าๆและเอกสารบางอย่างที่เขาคงจะลืมไปหมดแล้ว สุพจน์เดินไปที่กล่องใบนั้นและหยิบมันออกมาจากมุมเล็กๆของห้อง เขาเปิดฝากล่องออก ในนั้นมีหนังสือนิยายสมัยเก่าหลายสิบเล่ม หนังสือทุกเล่มยังอยู่ในสภาพดีเพราะอยู่ในกล่องพลาสติกปิดแน่นหนา สุพจน์ค่อยๆหยิบนิยายแต่ละเล่มออกมา เมื่อเขามองแค่หน้าปกเขาก็สามารถจดจำเรื่องราวและตัวละครในนั้นได้อย่างแม่นยำ สุพจน์เผยรอยยิ้มเมื่อมองไปที่นิยายรักเล่มหนึ่งที่ถูกเขียนมาแล้วกว่า 50 ปี เขานึกถึงความฉลาดและไหวพริบของนางเอกที่มาจากชนบทเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ ไม่เพียงแต่เขาจะจดจำเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ได้ แต่เขายังคิดถึงเจ้าของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างแม่นยำ สุพจน์พยายามนึกถึงใบหน้าหญิงสาวเจ้าของหนังสือเล่มนี้ ความทรงจำเกี่ยวกับนิยายของเขาช่างแม่นยำนัก แม้จะเคยอ่านนิยายเล่มนั้นจบมากว่าหลายทศวรรษ แต่กับใบหน้าหญิงเจ้าของหนังสือเล่มนี้ เขากับไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำออกมาได้ทั้งหมด แต่ทันใดนั้น !!
ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ ภาพถ่ายสีขาวดำใบหนึ่งตกลงกับพื้น สุพจน์หยิบมันขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มของเขา หญิงสาวในภาพนั้นคืออดีตคนรักเก่าของสุพจน์นั่นเอง หนังสือนิยายเล่มนั้นถูกวางลงแต่รูปถ่ายของหญิงสาวยังอยู่ในมือของเขา ในนั้นมีผู้หญิงผมยาวนัยน์ตาสีดำกลมโต ใบหน้ารียาวรับกับริมฝีปากบาง รอยยิ้มของเธอในภาพเผยให้เห็นฟันที่เรียงตัวกันสวยงาม สุพจน์พลิกแผ่นภาพไปด้านหลัง มีข้อความสั้นๆเขียนด้วยรอยน้ำหมึกสีน้ำเงินที่เริ่มจะเลือนลางแต่ยังสามารถอ่านใจความได้
'รัก. วัลภา'

รถยนต์คันเก่าค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านย่านถนนที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องมากมาย สุพจน์ค่อยๆชำเลืองหันซ้ายและขวาเพื่อหาสถานที่ที่เขาคุ้นเคย แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปกว่า 50 ปีแล้วทำให้สุพจน์ไม่สามารถระบุสถานที่ไหนได้เลย เขาขับวนไปเวียนมาหลายรอบจนสายตาไปสะดุดกับต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นวางเรียงกันตามแนวของกำแพง สุพจน์จอดรถที่หน้าบ้านหลังนั้น เขามองเข้าไปในตัวบ้าน ในนั้นปรากฏบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่สูง แม้ตัวบ้านจะได้รับการปรับปรุงเรื่องเสาและคานที่เสริมเหล็ก มีการติดบานกระจกตามประตูและหน้าต่าง แต่รูปทรงตัวบ้านที่ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดี ทำให้สุพจน์จดจำบ้านหลังนี้ได้อย่างแม่นยำ
สุพจน์กดกริ่งหน้าประตูบ้าน ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านและค่อยๆวิ่งออกมาที่รั้วหน้าบ้าน
"สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ" หญิงสาวยกมือไหว้ สุพจน์ยืนนิ่งมองใบหน้าของเธอ พลางคิดว่าหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะเห็นในรูปถ่ายเมื่อไม่นานมานี้เดินออกมาเปิดประตูบ้านให้เขา
"คือผมมาหาคุณวัลภาครับ" สุพจน์รับไหว้ก่อนจะโต้ตอบ
"มาหาคุณย่าเหรอคะ เชิญเข้ามานั่งรอในบ้านก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเรียกคุณย่าให้นะคะ"
สุพจน์คุ้นเคยกับรอยยิ้มนี้เป็นอย่างดี รอยยิ้มของวัลภาที่เขาเคยจ้องมองและเคยใฝ่ฝันหา มาบัดนี้เขากลับได้เห็นมันอีกครั้งผ่านใบหน้าหลานของวัลภา
"ขอบคุณมากครับ"
สุพจน์เดินเข้าไปนั่งในห้องรับแขก เขานั่งลงบนเก้าอี้ยาวในชุดโซฟา เขามองเครื่องเรือนหลายชิ้นที่ล้วนเปลี่ยนเป็นของใหม่แทบทั้งสิ้น ต่างจากนาฬิกาแขวนเรือนไม้โบราญที่เขาจำมันได้แม่นยำนัก และตอนนี้นาฬิกาเรือนนั้นยังคงทำหน้าที่บอกเวลาได้อย่างที่มันเคยเป็น
"เดี๋ยวหนูจะไปบอกคุณย่านะคะว่า... เอ่อ ?"
"บอกว่าสุพจน์มาหาครับ ผมชื่อสุพจน์"
สาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆรับคำพร้อมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เธอหายไปสักพักก่อนจะเดินกลับ
"คุณย่าขอเวลาประมาณ 20 นาทีนะคะ คุณตานั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ"

สุพจน์นั่งรอที่ชุดโซฟา ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกประหม่าที่จะมาเจอหน้าคนรักเก่า คนที่ไม่เคยเจอหน้ามากว่า 50 ปี แล้ว เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆที่ลงเอยไม่ค่อยดีระหว่างเธอกับเขานั้น ทำให้ไม่รู้ว่าสุพจน์จะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอหน้ากับวัลภา
"คุณตาคะ คุณย่าเชิญพบที่ห้องทานอาหารข้างหลังบ้านค่ะ" สาวน้อยหน้าใสกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอผายมือไปทางหลังบ้านนำทางให้สุพจน์ตรงไปห้องที่มีโต๊ะสำหรับกินข้าว
สุพจน์เดินเข้าไปในห้อง เขาเห็นหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้วัลภาแต่งหน้าให้ดูเรียบร้อย ทาริมฝีปากสีสดใส ผมที่รวบตึงพร้อมมัดเรียบร้อย ชุดเสื้อผ้าสวยงามที่เธอใส่ วัลภาบรรจงแต่งตัวดีเป็นพิเศษ เมื่อแขกคนพิเศษมาเยี่ยมเธอ
"สวัสดีวัลภา เป็นยังไงบ้าง" สุพจน์พยายามเริ่มคุย สีหน้าของเขายังคงเกร็ง
"มาที่นี่ทำไม !! หายหน้าไปตั้งนาน ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว" วัลภาพูดกระแทกเสียงดังทำให้สุพจน์ตกใจ สุพจน์ทำหน้าตาเหรอหรา เขาหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา มันคือหนังสือนิยายเล่มนั้น
วัลภารับหนังสือมาจากมือสุพจน์ เธอจ้องดูหน้าปกก่อนจะหันสายตาดุมาที่สุพจน์
"ยังมีหน้าเอามาคืนอีกเหรอ ฉันนึกว่าเธอลืมไปแล้ว" แววตาของวัลภายังสร้างความตรึงเครียด สีหน้าสุพจน์ดูหดหู่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาฝ่ายตรงข้าม ท่าทางนั้นสร้างความตลกขบขันให้วัลภา จนวัลภาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
รอยยิ้มและแววตาที่ผ่อนคลายของวัลภา ทำให้สีหน้าของสุพจน์เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
"ถ้าเป็นเมื่อ 50 ปีที่แล้วฉันก็คงจะพูดแบบนี้และอาจจะตบหน้าเธอแรงๆสักที" วัลภายังคงหัวเราะ
"เธอไม่โกรธฉันเหรอ ที่ฉันเอ่อ... หายไป" สุพจน์ทำท่าโล่งใจ
"โกรธสิ โกรธมากด้วย ฉันแค้นเธอมากพอกับที่ฉันเคยรักเธอ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ นี่ก็ผ่านมาตั้งนาน แต่ละคนก็คงมีลูกมีหลานกันไปแล้ว กาลเวลาช่วยทำให้ฉันลืมเลือนมันไปหมดแล้วล่ะ"
"เธอพูดจริงหรือ ฉันได้ยินแบบนั้นก็ดีใจ ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันต้องขอโทษที่ไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยพูดไว้กับเธอได้นะ"
"มันก็น่าแค้นนะ ถูกคนที่เรารักผิดคำพูด ในตอนนั้นเรายังเด็กกันทั้งคู่ ผ่านมานานแล้วฉันก็เข้าใจ คนทุกคนก็มีความจำเป็นที่แตกต่างกันไป"
"ใช่ ครั้งนั้นมีความจำเป็นบางอย่าง ที่ทำให้เราทั้งสองคนไม่ได้แต่งงานกัน ในตอนนั้นฉันรู้ดีว่าฉันหายหน้าไปจากเธอโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย เพราะขี้ขลาดเกินไปที่จะมาบอกเธอตรงๆว่าฉันไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้"
"ฉันเข้าใจๆ สุพจน์ ตอนนั้นเป็นฉันเองต่างหากล่ะที่ไม่ยอมไปเจอหน้ากับเธอด้วย เราทั้งคู่ต่างก็มีทิฐินะในตอนนั้น แต่ฉันก็ดีใจนะที่ในชาตินี้ยังมีโอกาสได้พบกับเธอ"
ทั้งคู่ต่างจ้องหน้าซึ่งกันและกันเหมือนครั้งที่ยังเคยเป็นคู่รักกัน ความบาดหมางในอดีตของสุพจน์ได้รับการคลี่คลายแล้ว
“ว่าแต่ทำไมถึงเพิ่งจะมาหาฉันล่ะ ความจริงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่ เธอรู้มั้ยว่าทำไมฉันยังพยายามรักษาบ้านหลังนี้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากนัก”
“ทำไมหรือ”
“เพราะฉันกลัวว่าถ้าเธอผ่านมาแถวนี้จะจำบ้านของฉันไม่ได้น่ะสิ ดูรอบๆบ้านฉันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วนะ ตึกรามบ้านช่องเปลี่ยนแปลงไปหมด”
“จริงพูดจริงเหรอวัลภา แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่าไว้นะ ฉันจำบ้านทรงไทยหลังเดิมได้ ถึงได้จอดรถหน้าบ้านของเธอ”
“นี่เธอตั้งใจมาหาฉันหรือแค่ขับรถผ่านมาล่ะจ้ะ”
“ฉันตั้งใจจะมาหาเธอ ความจริงแล้วที่ฉันมาก็มีหลายเรื่องอยากจะบอกนะ อยากจะมาขอโทษในหลายๆเรื่อง”
“เธอไม่ต้องขอโทษแล้ว ระหว่างเราไม่มีอะไรให้โกรธเคืองกันอีกแล้ว ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะมาบอกเหรอ” วัลภาถามด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เพราะเธอเห็นน้ำเสียงของสุพจน์ที่ดูจะเบาและแผ่วลง
“คือว่าฉันเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย หมอบอกว่าหมดโอกาสที่จะรักษาแล้ว คงจะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ฉันมาหาเธอเพื่ออยากจะบอกเรื่องนี้ให้กับคนที่เรา... เอ่อ..” สุพจน์หยุดชะงักคำพูดไปชั่วครู่ “คนที่เราแคร์น่ะ”
วัลภาได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้เธอหน้าแดง แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากสุพจน์ทำให้เธอไม่มีเวลาอายมากนัก
“เรื่องจริงหรือนี่ ฉันเสียใจด้วยนะสุพจน์ เธอย่าเสียใจมากนะขอให้ทำใจให้สบายๆ” วัลภาทำสีหน้าเป็นทุกข์ร้อนแทนสุพจน์ นั่นทำให้สุพจน์เห็นถึงความห่วงหาอาทรจากวัลภา
“ใจเย็นๆวัลภา ฉันไม่ได้เป็นทุกข์ร้อนอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถ้าฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนอายุซัก 40 หรือ 50 ฉันอาจจะร้องไห้เสียใจ แต่ตอนนี้ฉันจะ 73 แล้วนะ  มันก็เยอะพอแล้วสำหรับชีวิตนี้
วัลภาเอื้อมมือไปโอบมือของสุพจน์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอบีบมือเขาเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ น้ำตาของวัลภาไหลอาบสองแก้ม
“อะไรกันวัลภา เธอจะร้องไห้ทำไมกัน”
“ฉันซาบซึ้งใจที่เธอสามารถปลงได้กลับชีวิตนี้แล้วน่ะสิ เธอเข้มแข็งมากนะ ฉันคิดว่าถ้าเป็นฉันฉันคงนั่งอมทุกข์ทั้งวันแล้ว”
“ไม่หรอก มันเป็นการปรับตัวปรับจิตใจให้ยอมรับกลับสภาวะที่เราเป็นอยู่น่ะ เพราะความตายมันมายืนรออยู่ตรงหน้าไง ฉันเลยต้องญาติดีกับความตายซะหน่อย เพื่อที่จะได้ไม่เป็นทุกข์มากนักในตอนที่ยังไม่ตาย ฉันคิดว่าหากเป็นเธอเธอก็อาจจะคิดแบบนี้”
“ใช่แล้ว เธอพูดถูกนะสุพจน์ ว่าแต่ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปเธอจะทำอะไรล่ะ” วัลภาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สุพจน์กลับมีสีหน้าที่นิ่งและเรียบเฉยกว่า
“ฉันก็จะออกเดินทางไปพบกับคนที่เคยมีเรื่องค้างคาใจหรือเคยบาดหมางมาก่อน เท่าที่จะนึกออกน่ะ บางทีแล้วสิ่งนี้อาจจะทำให้ฉันนอนตายตาหลับก็เป็นได้”
สุพจน์และวัลภานั่งคุยถึงเรื่องราวในอดีตกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนที่รู้จักกันมาต่อเนื่องยาวนาน เขาและเธอใช้เวลาไปหลายชั่วโมงนั่งอยู่ในมุมเล็กๆของบ้านหลังนั้น เมื่อถึงเวลาที่สุพจน์เห็นสมควร เขาบอกลากับวัลภา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ฉันคงต้องกลับไปพักผ่อนก่อนนะ แม้หมอจะให้ยามาเยอะแต่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย”
“ดูแลตัวเองดีๆนะสุพจน์ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในช่วงเวลาใกล้ๆนี้เธอจะมาเที่ยวหาฉันอีก และคอยส่งข่าวมาให้ฉันบ้างนะ”
ทั้งคู่ล่ำล่ากันก่อนที่สุพจน์จะขับรถออกมาจากบ้านทรงไทยหลังนั้น ระหว่างที่เขาขับรถกลับบ้าน เขาเฝ้าคิดถึงชายคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไรเขาก็อยากที่จะไปพบให้ได้

สุพจน์กลับมาถึงบ้านในเวลาที่ฟ้ามืดเห็นแสงจันทร์ส่องสว่าง เขาเปิดไฟในบ้านสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือความเงียบและวังเวงเกินไป เงียบเกินไปที่สุพจน์จะอยู่นิ่งๆพักผ่อนได้ หลังจากที่เขาอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว สุพจน์เดินเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง ครั้งนี้เขาตรงไปยังตู้ไม้สูงใหญ่ เขาเปิดบานกระจกออกและหยิบซองหนังสีดำออกมา ในนั้นมีปืนสั้นลูกโม่สีดำขลับ เขาเปิดลูกโม่ออกมาดูในนั้นมีเพียงช่องเดียวที่ไม่มีลูกกระสุน ช่องอื่นๆกระสุนเต็มหมด สุพจน์เก็บปืนไว้ในซองหนังเหมือนเดิม
เช้าตรู่สุพจน์ออกจากบ้านในรถคันเก่าคันเดิม เขาขับรถล่องไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจำ เขาไม่ได้มาที่นี่เกือบ 40 ปีแล้ว เรื่องราวคราวนั้นระหว่างเขากับคนที่เขาจะไปหาเป็นเรื่องความบาดหมางที่แทบจะเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว
รถยนต์เข้าจอดหน้าบ้านริมน้ำหลังไม่ใหญ่นักแต่ร่มรื่นสงบ เขาเดินลงจากรถแต่ยังไม่พบใคร สุพจน์เดินไปที่ประตูและเคาะเรียก
“ใคร !” เสียงตะโกนดังลั่นจากในบ้าน ถ้าทางไม่รับแขกของเจ้าบ้านไม่ทำให้สุพจน์หวาดหวั่นแต่ประการใด
“ผมสุพจน์เองครับพี่จรัล” สุพจน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม เขาก้าวถอยหลังเดินออกมาให้พ้นรัศมีของประตูบ้าน ไม่นานเสียงดังกุกกักเหมือนคนกำลังค่อยเดินมาที่ประตูจากด้านใน เสียงเดินไม่ได้จังหวะ เหมือนเจ้าของเสียงเท้าเดินกระเผก
ผัวะ !’ เสียงประตูถูกถีบเสียงดัง เมื่อประตูบ้านเปิดออกสุพจน์เห็นชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา กำลังค่อยๆวางเท้าจากที่เพิ่งจะยกขึ้นถีบประตู จรัลผมเผ้ายาวรุงรังไร้การดูแล
“แกมาทำไมวะ” จรัลยืนจ้องตาใส่สุพจน์เขม็ง จนสุพจน์พยายามหลบสายตา
“ผมอยากมาเคลียร์ปัญหาระหว่างเราสองคนคิดว่าคงจะไม่สายเกินไปนะครับ”
จรัลยืนงงกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อยบนหน้าของเขา ไม่นานจรัลระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น นั่นเรียกความคลายกังวลจากสุพจน์ได้บ้าง
“เสียใจด้วยนะสุพจน์แกมาสายไป แต่โชคดีที่ข้าหายโกรธแกนานแล้ว มาเข้ามา เข้ามาในบ้านก่อน”
จรัลกวักมือเรียกสุพจน์ให้เดินเข้าไปในบ้าน สุพจน์เดินนำไปโดยที่จรัลเดินตามด้วยท่าทางการเดินที่กระเผลกๆ ทั้งคู่นั่งลงบนชุดรับแขก
            “ทำไมแกถึงยังกล้ามาที่นี่อีกวะ ไม่กลัวข้าเอาปืนยิงแกเหรอ” จรัลถาม สุพจน์อมยิ้มก่อนจะตอบ
            “พี่จะยิงผมได้อย่างไรในเมื่อปืนของพี่อยู่กับผม” สุพจน์หยิบซองหนังสีดำออกมาจากกระเป๋า เขาวางมันลงบนโต๊ะ
จรัลหยิบซองหนังสีดำและล้วงหยิบเอาด้ามสีดำในซองออกมา เขาเปิดดูลูกโม่ ในนั้นเขาเห็นกระสุนหายไปหนึ่งนัด จรัลหัวเราะในลำคอทันที
“นี่ ! กระสุนหนึ่งนัดที่หายไปมันอยู่ตรงนี้” จรัลพูดเสร็จก็ถลกกางเกงขาซ้ายให้เลยขึ้นหัวเข่า มีรอยแผลเป็นลักษณ์รอยนูนวงกลมไม่ใหญ่นักเหนือเข่า
“มันฝังอยู่ในนี้มา 43 ปีแล้ว”
“ผมขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในวันนั้นครับ ในตอนนั้นเราอยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นใจร้อนเกินไป” สุพจน์โค้งหัวให้จรัล
“เอาน่าๆ เหตุการณ์วันนั้นเราก็รู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่แกฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายผิด แต่เรื่องราวในวันนั้นให้มันจบลงแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าแกไม่ชิงปืนของฉันไปและเอาปืนมายิงเข่าฉัน ตอนนั้นแกคงโดนยิงตายและฉันก็ติดคุกหัวโตไปแล้ว”
“ถ้าพี่คิดแบบนั้นผมก็สบายใจ” สุพจน์ทำท่าโล่งใจ
“เอ้อ... แล้วแม่มาลีเธอเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ย”
“เธอตายไปได้หลายปีแล้วครับ ผมเสียใจมาก แต่ก็ต้องยอมรับสภาพ”
“หา เธอตายแล้วเหรอ ทำไมไม่ส่งข่าวบอกฉันเลยวะ”
“ผมกลัวว่าพี่จะยังโกรธอยู่”
“โธ่ ! ไอ้บ้าเอ๊ย เรื่องราวผ่านมาเป็นสิบๆปีแล้วจะให้อาฆาตอะไรกันนักหนาวะ”
“ก็ไม่รู้นี่ ว่าแต่พี่อยู่บ้านนี้คนเดียวหรือครับ”
“ใช่ ฉันคบใครก็คบได้ไม่นานก็เลิก บางทีแล้วฉันอาจจะคิดถึงแม่มาลีมากเกินไปนะ เมื่อตัดไม่ขาดก็เป็นทุกข์แบบนี้แหละ”
“ผมขอโทษที่แย่งมาลีมาจากพี่”
“แกพูดอะไรแบบนั้น ความจริงแล้วเธออาจจะรักแกจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่จนแก่เฒ่าแบบนี้ได้หรอก ฉันเองต่างหากล่ะที่เกือบจะบังคับขืนใจแม่มาลี มันคงจะเป็นตราบาปมากกว่าถ้าทำให้คนที่ตัวเองรักเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต” สุพจน์ไม่พูดอะไรตอบ เข้าหลบสายตาผู้พูด
“ว่าแต่ทำไมแกเพิ่งจะมาในวันนี้วะ”
“คือผมเป็นมะเร็งในตับระยะสุดท้าย หมอบอกว่าจะอยู่ต่อได้อีกไม่กี่เดือน ผมคิดว่าก่อนจะตายจึงอยากจะมาสะสางเรื่องทีค้างคาใจให้หมดสิ้นก่อนตาย”
“แกพูดจริงหรือนี่ อืม... แต่ก็อย่างว่าเนอะ เราก็ไม่ใช่จะอายุกันน้อยๆแล้ว จะอยู่หรือตายก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก”
            ทั้งคู่นั่งเงียบไปพูดอะไรกันช่วงหนึ่ง ก่อนจรัลจะพูดขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน
“งั้นวันนี้แกมากินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยมั้ย ฉันมีเหล้าชั้นดีที่เก็บเหลือไว้ ถ้านับอายุของมันตอนนี้คงรวมกันเกือบจะ 60 ปีแล้ว” จรัลเดินไปหยิบขวดเหล้าออกมาจากตู้โชว์ สุพจน์เห็นสีของน้ำในขวดที่เหลืองใส รสชาติของมันคงจะนุ่มละจนยากที่จะปฏิเสธ
“แต่ผมเพิ่งจะเป็นมะเร็งตับในระยะสุดท้ายนะพี่” สุพจน์พูดปราม แต่แววตาของเขายังจดจ้องไปที่ขวดน้ำสีทองใส
“แกพูดอย่างกับว่าถ้าแกไม่กินเหล้า แกจะมีชีวิตต่อไปได้อีกสิบๆปี” จรัลพยายามโน้มน้าว
“ก็ได้ครับพี่ ผมขอพอกินให้รู้รส”
จรัลบิดฝาเกลียวขวดเหล้าเปิดออก แค่กลิ่นจากของเหลวที่ระเหยออกมาทำให้สุพจน์ถึงกับชุ่มชื่นกับรสชาติที่เขาคุ้นเคย
“หมอสั่งผมเลิกกินเหล้ามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ตรวจพบว่าผมเป็นมะเร็งในระยะแรกๆ”
“นั่นไงเห็นไหม เพราะแกถูกสั่งห้ามจากสิ่งที่แกรัก ทำให้แกเครียดจนมะเร็งลุกลาม”
สุพจน์คิดว่าจรัลอาจพูดถูก เขาเคยใช้เหล้าเป็นเครื่องมือทำให้จิตใจของเขาสงบลงหลายครั้งเมื่อความสับสนวุ่นวายรบเร้าจิตใจ แต่เมื่อเขาไม่สามารถแตะมันได้อีก นั่นจึงทำให้เขาต้องเก็บอมความทุกข์ไว้นานขึ้น
จิบแรกในรอบหลายปีที่เหล้าสัมผัสเข้าปากของสุพจน์ ความรู้สึกของเขาเหมือนกับล่องลอยไปบนท้องฟ้า สุพจน์ลืมเลือนความทุกข์จากหลายๆปีที่สะสมมาในหัวสมองของเขา รอยยิ้มและวาวตาที่ผ่อนคลายของสุพจน์ทำให้จรัลรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีนั้น
“แด่ความทุกข์ที่ทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งขึ้น” สุพจน์พูดก่อนเทน้ำสีเหลืองจางๆใส่ปาก
ทั้งคู่นั่งดื่มเหล้าขวดนั้นเนิ่นนานจนตะวันลับขอบฟ้า สภาพของสุพจน์เมามายเกินกว่าที่จะขับรถกลับบ้านไหว จรัลยกข้าวต้มร้อนๆในครัวออกมาและตักแบ่งใส่ชาม
“เป็นอย่างไรบ้าง ดื่มข้าวต้มร้อนแล้วนอนพัก พรุ่งนี้แกค่อยขับรถกลับก็ได้” จรัลพูด
เช้ารุ่งขึ้นสุพจน์กลับบ้านด้วยสีหน้าที่เบิกบาน หลายเรื่องที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของเขาได้รับการชำระล้างไปได้เยอะแล้ว อีกหนึ่งอาทิตย์เขาจะต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย สุพจน์ไม่ห่วงหรือกังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว

ในห้องทำงานหมอเจ้าของไข้ของสุพจน์ สุพจน์นั่งฝั่งตรงข้ามกับหมอที่กำลังเปิดเอกสารออกจากแฟ้ม
            “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นครับคุณสุพจน์ เชื้อมะเร็งที่อยู่ในตัวคุณเริ่มจะหายไปเกือบจะหมดแล้ว ในทางการแพทย์การที่เชื้อมะเร็งหายไปขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ แต่ทุกสิ่งทุกย่างในโลกนี้ล้วนย่อมเป็นไปได้เสมอ ผมยินดีกับคุณสุพจน์ด้วยนะครับ”
สุพจน์เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยจิตใจที่กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง เหมือนกับตะกอนหัวใจของเขาถูกชำระล้างออกไปจดหมดสิ้นแล้ว เขาวางแผนว่าจะไปบอกข่าวดีนี้กับวัลภาให้เธอได้ฟัง

หลังจากนั้นเขาวางแผนว่าจะไปเที่ยวหา จรัล พร้อมกับเหล้าชั้นดีอีกหนึ่งขวดที่เขาเจอมันในห้องเก็บของเมื่อไม่นานมานี้