วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เหตุผลที่คุณอยากเป็นคนทำหนังสือ

ผมเป็นคนชอบศิลปะครับ ศิลปะทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาพวาด ภาพยนต์ ปฏิมากรรม สถาปัตยกรรม งานเขียนไม่ว่าจะเป็นนิยาย เรื่องสั้น กลอน ศิลปะทุกประเภทแฝงไว้ดวยความงามที่แสดงออกมาเป็นอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกภายใต้จิตใจของผู้เสพเอง แต่งานศิละปะทุกประเภทก็มีข้อจำกัดบางอย่างสำหรับผู้เสพเองที่จะสามารถเข้าถึง เช่นภาพวาดแนว Abstract จะมีซักกี่คนที่จะดูภาพเข้าใจกัน หรือพวกหนัง Art ที่มีไม่กี่คนที่จะเข้าใจสิ่งที่ผู้สร้างถ่ายทอด หรืองานดนตรีสมัยใหม่ที่ซับซ้อนเกินกว่าที่คนที่ไม่มีพื้นฐานทางดนตรีจะเข้าถึงได้ ศิลปะสมัยใหม่ผมจึงคิดว่าเน้นที่จะสร้างความซับซ้อนให้มากยิ่งขึ้นจนยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ แต่งานศิลปะที่เป็นงานเขียน งานวรรณกรรมทุกประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนิยายหรือเรื่องสั้น ไม่ว่าพล็อตเรื่องจะลึกลับซับซ้อนเพียงใด หรือธีมเรื่องจะแปลกแหวกแนวแค่ไหน แต่งานเขียนที่ดีคืองานเขียนที่จะต้องสามารถอธิบายความซับซ้อนนั้นให้ผู้อ่านสามารถที่จะเข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย 

ในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ชั้นประถม หนังสือในชั้นเรียนที่ชอบที่สุดคือวิชาภาษาไทยครับ เพราะในหนังสือในบทที่มีแบบฝึกอ่าน มักมีเรื่องราวที่เป็นตัวอักษรให้เราได้ฝึกอ่านและยังได้จินตนาการไปตามเรื่องราวของเนื้อหานั้น จนกระทั่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือนิยาย รวมเรื่องสั้นหรือเรื่องสั้นตามหน้านิตยาสารเอง ทำให้ผมได้เข้าใจโลกแห่งวรรณกรรมเพิ่มมากขึ้น จนมาถึงวันหนึ่ง จากผู้ที่เคยแต่เสพอยากเปลี่ยนมาเป็นผู้สร้างบ้าง ผมจึงเริ่มฝึกหัดที่จะเขียน เริ่มแรกจึงหาหนังสือที่อธิบายถึงประเภทวรรณกรรม ประวัติการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงของวรรณกรรม รวมถึงแนวคิดของนักเขียน ขั้นตอนวิธีการ ผมอยากเขียนหนังสือให้ได้สักเล่มหนึ่งครับ แต่การฝึกเขียนของผมยังไม่ดีพอ

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมืองทาส

เวลา 20:23 นาฬิกา รถบัสโดยสารเส้นทางจากกรุงเทพ - เชียงใหม่

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากผู้เดินทางที่นั่งเบาะติดกระจกทางขวาส่วนหน้าของรถทัวร์ เสียงเจ้าของโทรศัพท์เป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 35 ปี

"ฮัลโหลครับ"
"ครับแม่ ผมขึ้นรถเรียบร้อยแล้วครับ"
"คงจะถึงบ้านซักตี 5"
"ครับๆ ผมลางานเจ้านายมา 3 วัน รวมเสาร์อาทิตย์ก็ 5 วัน"
"ใช่ครับ ก็กะอยู่ช่วยงานพุธถึงศุกร์ก่อน วันเสาร์เย็นผมค่อยไปโกนหัวแล้ววันอาทิตย์ค่อยบวชให้พ่อ"
"อรเหรอครับ อรจะนั่งรถกลับเย็นวันศุกร์น่ะ เพราะอรได้ค่าแรงเป็นรายวันเลยไม่อยากเสียรายได้ ให้น้องกลับมาช่วยงานเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ก็พอ"
"อ่อ เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมกู้เงินสหกรณ์มาตามจำนวนที่แม่บอกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าเราค่อยเอาเงินค่าโลงศพไปให้ที่ร้าน และค่าฉีดศพให้โรงพยาบาล ค่าซองพระ ค่าศาลาผมเตรียมไว้หมดแล้วครับ"
"ก็งานมีหนเดียวก็คงต้องจัดให้ดี ไม่ให้อายชาวบ้านเค้า"
"แล้วแม่ได้คุยกับคู่กรณีหรือยังว่าเค้าจะชดเชยค่าทำศพให้เราเท่าไหร่"
"เหรอ คดียังไม่จบยังไงเค้าก็ไม่ยอมจ่ายเลยเหรอ"
"เค้าน่าจะช่วยเราหน่อยนะ ฝ่ายเรารถเล็กตายคาที่แต่ฝ่ายนั้นแค่กระโปรงหน้ารถยุบ สรุปตำรวจเค้าว่ายังไงบ้างแม่"
"ลำบากหน่อยแล้ว เราแค่ชาวบ้่านตัวเล็กแต่นู่นเป็นลูกผู้ว่า"
"หา! ยังไม่มีใบขับขี่ด้วย งี้ฝ่ายนู้นก็ผิดเต็มๆสิ"
"อ้าว! จริงเหรอแม่ ไอ่นั่นมีความผิดแค่ขับรถไม่พกบัตร"
"ก็จะให้ทำไงได้ เราจะเอาเงินที่ไหนไปฟ้องเค้า คงหวังพึ่งได้แค่ชั้นตำรวจแค่นั้นแหละ"
"ก็ไม่เป็นไรแม่ เงินที่กู้มาก็ค่อยผ่อนโดยหักจากเงินเดือนผมไป"
"เอางั้นก็ได้แม่ ค่าซองของแขกแม่ก็เก็บไว้ก็ได้"
"เค้าคงจะหักไปเรื่อยๆแหล่ะ ดอกมันไม่แพงไง เป็นสวัสดิการพนักงานด้วยมั้ง"
"อ่อ ไม่หรอกครับแม่ เงินที่ส่งให้แม่ทุกเดือนๆผมก็ส่งเท่าเดิมแหล่ะ เดี๋ยวผมจะใช้จ่ายประหยัดขึ้นคงไม่มีอะไรหรอก"
"ไม่ต้องไปกวนน้อง เงินเดือนมันก็ไม่เท่าไหร่ แค่ให้มันเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้วครับ"
"งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกันละกันแม่ ผมขอนอนก่อน ง่วงมาก ตอนเช้าได้เข้าเช้าแล้วทำโอทีต่อด้วย"
"อ่อ ไม่หนักหรอกแม่ เดี๋ยวต่อไปคงต้องทำโอเพิ่มมากขึ้นแล้ว ถือซะว่าค่อยๆปรับตัวไป แค่นี้ก่อนนะแม่ หวัดดีครับ"

เวลา 21:01 นาฬิกา รถคันเดียวกัน

เสียงสนทนาผ่านโทรศัพท์ของผู้หญิงอายุประมาณ 40 ดังขึ้นจากเบาะนั่งเดี่ยวฝั่งซ้ายบริเวณกลางตัวรถ 

"อ้อยเหรอ คืนพรุ่งนี้เราจะไปไนท์ปาร์ตี้กันที่ไหนดีจ้ะ"
"ไปคอทเทจเหรอ ก็ดีนะดนตรีเพราะดี นึกว่าพวกเธอจะไปแดนซ์กัน"
"ไม่เป็นไรๆ ไว้คืนถัดไปก็ได้ ชั้นลางานมา 3 วันเลย รวมเสาร์อาทิตย์ก็ 5 วัน"
"ไม่หรอก วันอาทิตย์เย็นนั่งเครื่องกลับไง จองตั๋วไว้แล้ว"
"อ่อ ก็แค่รำลึกถึงความหลังไง เมื่อก่อนตอนเข้ากรุงเทพใหม่ๆก็นั่งรถทัวร์นี่แหล่ะ" 
"จองไฟลท์ดึกไว้ เดี๋ยวไปเดินถนนคนเดินก่อนแล้วค่อยไปรอขึ้นเครื่องพอดีแล้วล่ะ"
"แล้วงานเธอเป็นไงบ้าง?"
"อ่อเหรอ ดีใจด้วยนะ"
"ชั้นเหรอ ช่วงนี้กำลังเอ็นจอยเลยแหล่ะ เงินก็ขึ้นทุกปีนะ"
"ก็ตามที่เราคุยกันในเฟซน่ะ กำหนดการและสถานที่ตามนั้นเลย กลุ่มเรารับทราบตามนั้นแล้ว"
"อ้าวเหรอ กวางกับฝนยกเลิกไม่ไปกับพวกเรา"
"มือถือชั้นเข้าเน็ทไม่ได้ตั้งแต่ตอนเย็นแล้วเนี่ย พอดีไปเปลี่ยนแพคเกจ พอเปลี่ยนปุ๊ปเข้าเน็ทไม่ได้เลย"
"ก็ไม่รู้มันเป็นอะไร ชั้นเพิ่งโทรไปด่าศูนย์ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ตอนนี้ก็ยังเล่นไม่ได้เลยเนี่ย"
"ชั้นไม่มีเน็ทจะขาดใจตายอยู่แล้วเนี่ย ถ้าช่วงที่อยู่เชียงใหม่เน็ทยังไม่ดีก็เช็คอินไม่ได้ ชั้นจะเอาไปเขียนด่าลงเว็บเลย คอยดูสิ"
"จะเอามาด้วยทำไมล่ะ เราจะเที่ยวกันแบบไพรเวทกัน"
"บอกแอมด้วยนะว่าไม่ต้องพามา เดี๋ยวเราคุยกันได้ไม่เต็มที่"
"ได้จ้ะๆ"
"พรุ่งนี้ประมาณตี 5 มารับชั้นด้วยนะ"
"บาย"

เวลา 21:30 นาฬิกา รถคันเดียวกัน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากนักเดินทางเบาะเดี่ยวด้านขวาบริเวณหน้าตัวรถ เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 

"ฮัลโหลแม่"
"ผมกำลังจะกลับบ้านนะ"
"พอดีลางานที่ทำงานมา 3 วันน่ะ"
"ก็พอดีพี่ที่รู้จักเค้าจะให้มาสัมภาษณ์งานน่ะ"
"ที่ไทยเบฟเวอร์เรจ"
"ไทยเบฟเวอร์เรจไง"
"ก็เบียร์ช้างน่ะ เบียร์ช้าง"
"ก็ยังไม่รู้เลยเค้าให้ลองมาคุยกันดูก่อน"
"ไม่หรอก ก็บอกกับเจ้านายว่ามาธุระที่บ้านนิดหน่อย ไม่ได้บอกว่ามาสัมภาษณ์งานนะ"
"แกก็ไม่ว่าอะไรหรอก บอกว่ามาธุระที่บ้าน ยังไม่ได้ลาออกหรอก ที่ใหม่จะได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย"
"ไม่หรอกแม่ แต่ก่อนมาแกก็พูดนะ เดี๋ยวจบงานนี้จะพาไปอินโด" (เสียงหัวเราะเล็กน้อย)
"ไม่รู้สิ เงินเก่ายังจ่ายไม่ครบเลย จะมาพาไปอินโดแล้ว ยาหอมๆ"
"กลัวเราไม่กลับไปมั้ง"
"ถ้าได้ที่นู่นยังไงก็เอาที่นู่นแหล่ะ ใกล้บ้านด้วยเงินน่าจะดีกว่าด้วย"
"เดี๋ยวก็มีคนมาทำต่อเราเองแหล่ะ"
"อย่าเพิ่งคิดเลยแม่ ได้ไม่ได้ยังไม่รู้ เดี๋ยวรอให้มันได้ก่อน"
"ถึงซักตี 5 เดี๋ยวหาสองแถวไป เจอกันที่บ้านนะแม่"
"ครับๆ"

เวลา 21:45 นาฬิกา รถคันเดียวกัน

เสียงวัยรุ่นหนุ่มอายุประมาณ 23 ปี เริ่มประโยคบทสนทนา

"ไงพี่ออม"
"ขอโทษที่โทรมาดึกไปหน่อย ว่าจะโทรตั้งแต่หัวค่ำแล้วพอดีเผลอหลับไป"
"ต้นจะถึงบ้านพรุ่งนี้ประมาณตี 5 นะ พี่เอารถเครื่องออกมารอหน้าตลาดเลย"
"ใช่ๆ จะให้รถจอดหน้าตลาด"
"ไม่ไหวน่ะพี่ ต้นเลิกงานปุ๊บรีบนั่งรถมาที่หมอชิตเลย"
"มันเห็นว่าเราทำงานวันสุดท้าย ใช้นู่นใช้นี่จนไม่ได้พัก"
"กะจะแกล้งเราให้ตกรถด้วย แต่ต้นบอกว่าจะกลับแล้วๆ เลยเดินออกมาเลย"
"ก็ได้มาครบแล้วนะ ก็ถือว่าเฮียแกยังมีสัจจะอยู่บ้าง"
"ก็มีคนทำแทนแล้วน่ะ คนมาใหม่คงยังไม่รู้ตัว ก็เหมือนต้นมาตอนใหม่ๆแหล่ะ"
"คงงั้นพี่"
"ก็คงหารับจ้างอะไรก็ได้แถวบ้านเราก่อน"
"ใช่ๆ จำไอ่มดได้มั้ย เดี๋ยวไปอยู่กับมันที่โรงงานก่อน"
"ก็ว่าอยู่นะ ถ้าที่นั่นมันดีก็ทำไปเรื่อยๆเลย"
"ใช่แล้ว เงินที่ยืมพี่มาทุกเดือนๆจะได้ใช้หนี้ซักที"
"ต้นขนเสื้อผ้ากลับมาหมดแล้วไง เอาติดตัวมาไม่กี่ชุดหรอก"
"อืมมม ก็คงไม่กลับมาแล้วล่ะ ไม่มีวุฒิก็ลำบากหน่อย"
"ก็อยู่ไปก่อน บ้านเรายังไงก็คงไม่อดตาย"
"แล้วเจ้าอันสบายดีมั้ย กลับไปต้องไปอุ้มให้หายคิดถึงก่อนเลย"
"ตอนนี้คงโตแล้วมั้ง อุ้มไม่ไหวแล้ว"
"ไม่รู้จะจำน้ามันได้มั้ย ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว"
"นั่นดิ ล่าสุดก็เจอตอนยังเล็กอยู่ ยังจำความไม่ได้มั้ง"
"โห! พี่ แค่ผมคนเดียวยังจะเอาตัวไม่รอดแล้ว คงไม่เอาใครมาลำบากด้วยหรอก"
"เดี๋ยวกลับไปอยู่บ้านคงเจอบ้างแหล่ะ อยู่ๆไปเดี๋ยวมันก็มีเอง"
"ไม่มาแล้วพี่ กลับไปรอบนี้อยู่ยาว ไม่ไหวน่ะ ที่นี่อะไรก็ต้องจ่ายหมด ไปนั่งกินข้าวแกง 35 บาทผมไม่ว่านะ ตักน้ำใส่น้ำแข็งมากินมันยังคิดราคาเราแก้วละบาท"
"ก็นั่นแหล่ะ ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ไปกินร้านมันอีก แต่ปรากฎว่าที่ไหนๆก็แก้วละบาทหมด"
"โอเคพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน ถ้าใกล้ๆแล้วจะโทรไปบอกอีกที"

เวลา 23:55 นาฬิกา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากบริเวณท้ายรถทัวร์ ไม่แน่ใจว่านั่งเบาะทางซ้ายหรือทางขวา เจ้าของเสียงโทรศัพท์น้ำเสียงเหมือนพนักงานบริษัทชายอายุประมาณ 45 ปี

"ครับเจ้านาย"
"อ้าว! เพิ่งลงเครื่องเหรอครับ"
"คือว่าพอดีผมกำลังจะไปเชียงใหม่"
"ผมคิดว่าเราน่าจะหาพนักงานจากต่างจังหวัดไปทำงานน่าจะดีกว่าน่ะครับ"
"เชียงใหม่มหาลัยเยอะ น่าจะมีเด็กจบใหม่เยอะอยู่บ้าง"
"ก็อย่างที่ผมบอกหัวหน้าไงครับว่าพนักงานเราลาออกกันบ่อยมาก นี่ก็เพิ่งออกไปเกือบหมดออฟฟิศแล้ว"
"น้องเค้าก็บอกนะว่าได้งานที่อื่น บริษัทอื่นซื้อตัวไปให้เงินมากว่าเรา 2 เท่าแน่ะ"
"มันก็เป็นปกติครับ พวกโปรแกรมเมอร์เปลี่ยนงานกันทุกปี  บางทีก็ทิ้งงานไปเลย"
"ใช่ครับๆ ผมคุยกับในออฟฟิศแล้ว เราลองไปหาแรงงานจากต่างจังหวัดไปทำงานในกรุงเทพ"
"ครับๆ ค่าแรงก็ให้เรทต่างจังหวัดเลย เราแกล้งบอกว่าให้มาอยู่กรุงเทพชั่วคราว ตอนนี้กำลังสร้างออฟฟิศที่เชียงใหม่อยู่ เดี๋ยวถ้าเสร็จเราก็ย้ายกลับไปเชียงใหม่"
"ผมนัดสัมภาษณ์ไว้ 18 คน ก็คงให้ลงมาทดลองงานก่อน ใครอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ให้กลับ"
"ก็คงหาเช่าบ้านให้อยู่รวมๆกันไปก่อนน่ะครับ ใกล้ๆออฟฟิศเรา"
"ดีนะครับ เอาเด็กต่างจังหวัดไปทำ วันๆคงไม่ค่อยได้ไปไหนเราจะได้เร่งงานได้เร็วขึ้น"
"นั่นแหล่ะหัวหน้า พวกเด็กกรุงเทพมาก็สาย กลับตรงเวลาประจำ เสาร์อาทิตย์เรียกมาใช้งานก็ไม่ได้"
"ครับๆ เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง"
"ได้งานใหม่มาอีกแล้วเหรอครับ อ่อครับ เป็นงานของราชการ"
"อ้าว! ทำไมปีนี้งดโบนัสล่ะ ไม่มีโบนัสมาหลายปีแล้วนะครับ"
"อ่อๆ เอาโบนัสพนักงานไปยัดใต้โต๊ะเพื่อให้ชนะการประมูล"
"ก็ไม่เป็นไรครับ ได้โบนัสแต่ไม่มีงานเข้าบริษัทก็ไม่มีรายได้มาจ่ายเงินเดือนพนักงาน"
"ครับๆ ได้ครับเดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง"
"แล้วเจ้านายไปเที่ยวยุโรปรอบนี้เป็นยังไงบ้างครับ"
"อ่อๆครับ เห็นเจ้านายไปนาน 3 อาทิตย์"
"ครับๆ หวัดดีครับ"

เวลา 00:13 นาฬิกา

เสียงสนทนาผ่านโทรศัพท์ดังขึ้นบริเวณแถวหน้าสุดของตัวรถ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาววัยรุ่น น่าจะเป็นนักเรียนมัธยมปลาย

"พรุ่งนี้แล้วนะพี่เอ"
"แหม... ก็คิดถึงไง อยากโทรมาราตรีสวัสด์ก่อน"
"ก็แปร๊บเดียวเอง คุยเป็นเพื่อกนกหน่อยนะ นั่งเบื่อแล้วเนี่ย"
"ไม่เป็นไร คุยเบาๆไม่รบกวนใครหรอก"
"ก็มันนอนไม่หลับ ปกติไม่ใช่เวลานอน"
"ก็คุยกันก่อน คุยเสร็จค่อยนอนก็ได้"
"ก็แค่วันเดียวเองพี่เอ เดี๋ยวมารับนกเสร็จก็กลับไปนอนต่อก็ได้นี่ เข้างานตั้ง 9 โมงเช้า"
"อย่าทำเสียงรำคาญกันแบบนี้สิ นกไม่ชอบนะ"
"อย่าบอกนะว่าพาใครมานอนที่ห้อง อย่าให้เจอนะ"
"เหรอ งั้นแล้วไป"
"เนี่ย อุตส่าห์โกหกพ่อว่าจะไปนอนบ้านยัยน้ำจนถึงวันอาทิตย์เลย"
"ใช่แล้ว ก็เลยมาได้ไง"
"ก็ให้พี่ยายน้ำโทรไปเป็นผู้ปกครองขอลาโรงเรียนให้น่ะ บอกว่าจะไปต่างจังหวัด"
"ไม่เป็นไรหรอก ครูสอนในห้องก็แค่ท่องตามหนังสือ ส่วนที่จะออกสอบเค้าเก็บไว้สอนในชั้นเรียนพิเศษน่ะ"
"ก็พ่อนกส่งไปเรียนอยู่แล้วล่ะ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย"
"เดี๋ยวนกก็ไปอยู่ด้วยแล้วไง ใจเย็นๆนะที่รัก คิคิคิ..."
"คิดถึงนะ อยากรู้จังถ้านกไปถึงห้องพี่แล้วพี่จะทำอะไรกับนกบ้าง"
"บ้า คิคิคิ..."
"ไม่เชื่อหรอก มาคราวแล้วก็ทำแบบนี้"
"เอ่อ... พี่เอคะ นกไม่กวนละ เริ่มง่วงแล้ว แค่นี้ก่อนนะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าไปรับนกด้วยนะ บาย"
"สวัสดีค่ะพี่นพ"
"ไม่หรอกค่ะ ยังไม่หลับ ฟังเสียงสิยังใสอยู่เลย"
"อ๋อ พอดีนกนั่งรถไปต่างจังหวัดกับครอบครัวน่ะค่ะ แต่ที่บ้านเค้าเอารถไปเอง นกนั่งรถตามไป"
"ไปเชียงใหม่ พอดีญาติมาจากต่างประเทศค่ะ"
"กลับวันอาทิตย์เลย ต้องขอโทษพี่นพด้วยนะคะที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีที่บ้านก็เพิ่งจะบอกนกเหมือนกัน"
"ได้ค่ะๆ งั้นวันเสาร์อาทิตย์นี้ก็ยกยอดไปอาทิตย์ถัดไป"
"ไม่ค่ะๆ ไม่คิดเงินเพิ่ม ก็จ่ายเท่าเดิมค่ะ"
"แหม... ต้องคิดถึงสิคะ นกยังเสียดายเลยที่ไม่ได้เจอพี่นพอีกตั้งหลายวัน"
"งั้นเดี๋ยวเย็นวันจันทร์นกเรียนเสร็จจะไปอยู่กับพี่ก็ได้"
"วันธรรมดาขอเพิ่ม 500 บาทค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ พี่นพน่ารักที่สุดเลย"
"ค่ะๆ งั้นเดี๋ยวเย็นวันจันทร์ไปรับนกที่หน้าโรงเรียนเลยนะคะ"
"สวัสดีค่ะพี่นพ"

เวลา 00:15 - 04:25 ไม่มีการสนทนาผ่านโทรศัพท์ใดๆ ทุกอย่างเงียบ

เวลา 04:26 เป็นต้นไปโทรศัพท์หลายสายคุยกันเสียงดังจับใจความไม่ได้ แต่หลายสายพูดทำนองนัดแนะกับคนปลายทางให้มารับ ณ ที่จุดนัดพบ




วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมืองหุ่นยนต์



ผมชื่ออะไรไม่รู้ มาจากไหนไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ผมต้องวิ่ง เมื่อคอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนกฎ มนุษย์เป็นเพียงผู้ทำตามกฎ เพื่อนมนุษย์เท่าที่เห็นเลือกที่จะเล่นตามกฎ แต่ผมไม่! หุ่นยนต์ลาดตะเวนค่อยๆลอยไล่ตามหลังผมมาอย่างช้าๆ

"อาร์ที 374638 เจ้าได้ละเมิดมาตรา 370 และหากยังไม่หยุดหนีเจ้าจะละเมิดมาตรา 487 หากเดินพ้นเขต 17 เจ้าจะละเมิดมาตรา 598 ..."

ไอ่พวกหุ่นยนต์ลอยมาด้วยความเร็วเชื่องช้าพร้อมบ่นพรึมพรำ ผมรู้แต่เพียงว่าไม่ว่าจะทำผิดมาตราไหนบทลงโทษก็เหมือนๆกันหมด ผมไม่ลังเลที่จะทำผิดกฎ แม้มันจะเป็นมาตราข้อสุดท้ายก็ตาม

หุ่นยนต์ลาดตระเวนเคลื่อนไหวได้ช้า อาจเป็นเพราะว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนที่เร็ว งานหลักของพวกมันคือคอยเฝ้าดูแรงงานมนุษย์ที่ไม่มีวันหนีหรือไม่มีใครเคยหนี เป็นทีที่ผมวิ่งหนีมันมาได้อย่างสบาย

ซากสิ่งก่อสร้างในยุคสมัยเก่าซุดโทรมเกินจะซ่อมแซม ผมไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้มานานมากแล้ว นี่แสดงว่าเราหนีออกมาจากเขต 17 เรียบร้อยแล้ว เราจะไปไหนต่อดี?

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 610 ขอให้หยุดหนีและกลับไปยังโรงงานโดยทันที"

พวกหุ่นลาดตระเวนมันมาอีกแล้ว ผมหันหน้าไปดูมันก่อนจะหันมาเดินต่อไปโดยไม่สนใจ

เปรี้ยง!! "แว๊กกกก!" มันมีปืนด้วย ถึงเวลาต้องวิ่งแล้ว หนี! หนี! หนี! เอ๊ะ! ทำมัยปืนเลเซอร์ยิงไม่โดนเราเลย สงสัยมันต้องการให้เราเหนื่อยจนหมดแรง หยุดวิ่งดีกว่า

ผมหยิบท่อนไม้ค่อยๆเดินเข้าไปที่ตัวหุ่นยนต์ หุ่นพยายามเบี่ยงปากกระบอกปืีนไม่ให้ตรงตัวผม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆปากกระบอกไม่สามารถเบี่ยงหลบตัวผมได้ มันหยุดยิงแสงเลเซอร์ทันที ผมจะฟาดไม้ลงไปที่ส่วนบนสุดของตัวหุ่น หวังว่าจะกระทบโดนสมองกลของมันให้พังไป

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 629 ขอให้..."

ผมรีบฟาดซ้ำไปยังตำแหน่งเดิมอีกหลายครั้งก่อนที่มันจะพูดจบประโยค แย่แล้วพวกหุ่นยนต์มากันอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงมันมีตาข่ายมาล้อมจับตัวเราด้วย หนีไปอยู่ในตึกร้างก่อนดีกว่า

"อาร์ที 374638 หากเจ้ามอบตัวและยอมกลับไปโรงงานตอนนี้ สภาจะไม่เอาผิดเจ้า ขอให้ยอมมอบตัวเสียแต่โดยดี"

ใครจะไปยอม อ๊ะ! หลังเสาต้นนั้นเหมือนมีใครเคลื่อนไหว ขอไปดูให้เห็นหน่อยซิว่าเป็นตัวอะไร

"ว้าย! ยอมแล้วๆ"

"เธอก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหรือนี่ หนีมาจากเขตไหนล่ะ" ที่แท้เป็นหญิงสาวเพื่อนมนุษย์ ที่คงแอบหนีมาเหมือนเรา ดีใจจังมีคนที่คิดเหมือนเราด้วยเหรอเนี่ย

"ชั้นหนีมาจากเขต 18 หลบซ่อนตัวอยู่ในตึกนี้มาทั้งวัน นายเข้ามาในตึกนี้รู้มั้ยว่าพาหุ่นยนต์ตามเข้ามาด้วย"

ผมหันไปดูทางเข้าตึกเห็นหุ่นยนต์ 4 ตัวค่อยๆลอยเข้ามา หุ่นแต่ละตัวมีตาข่ายคงคิดจะล้อมจับเรา แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

"เธอไม่ต้องกลัวนะ พวกหุ่นนี่เดี๋ยวชั้นจะจัดการเอง"

ผมค่อยๆซ่อนตัวไปตามเสา เมื่อเห็นหุ่นยนต์ตัวแรกค่อยๆลอยมา ผมหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ขว้างสุดแรงโดนเข้าที่หัวหุ่นยนต์เต็มๆ หุ่นค่อยๆร่วงลงจากอากาศ ผมไม่ปล่อยให้เสียเวลาตามเข้าไปใช้ไม้ฟาดซ้ำ

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลัง..."

ใช่! ชั้นกำลังจะไปสู่อิสระภาพ ผมตะโกนบอกกับหุ่นยนต์อย่างสะใจ หุ่นยนต์ตัวที่สองลอยตัวเข้ามาทางผมพร้อมยิงถุงตาข่ายเพื่อหวังจะจับตัวผม แต่! ตาข่ายที่มันยิงออกมาแรงไม่มากพอ ผมจับตาข่ายพันรอบตัวเจ้าหุ่นยนต์ตัวที่ 2 จนมันไม่สามารถขยับตัวได้ หุ่นไร้ประโยชน์พังไปซะเถอะ ไม่รอช้าผมเดินเข้าไปกระหน่ำท่อนไม้หุ่นตัวที่ 3 และ 4 อย่างง่ายดาย

"เราหนีออกจากที่นี่ได้แล้ว รีบไปเร็ว"

"เราจะไปไหนกัน? ชั้นไม่รู้ว่าเราควรจะไปไหน"

"อ้าว! เธอหนีออกมานี่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนเหรอ"

"ชั้นไม่รู้... รู้แต่เพียงว่าต้องไปทิศนั้น"

เธอชี้นิ้วหันไปทิศทางของประตูทางเข้าตึก เมื่อผมเพ่งมองออกไป ภายหลังของม่านประตูเป็นทะเลทรายใกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ความรู้สึกในส่วนลึกของผมเองก็ต้องการไปในทิศทางนั้นเช่นเดียวกับเธอ

"เราเดินทางกันเลยดีกว่า"

เราทัั้งสองเดินเข้าเขตทะเลทรายมาแล้วก็ 10 กิโลเมตร ผมไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปในทิศทางไหน และคิดว่าเธอก็คงไม่รู้ แต่ขาของเราทั้งสองก็ก้าวเดินออกไปตามทิศทางที่ส่วนลึกของหัวใจเราสั่งให้เดินไปอย่างควบคุมไม่ได้

ความมืดเริ่มมาเยือน ความเวิ้งว้าง ความเงียบ ความเหงาและความสงบ ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนี่ นี่หรือคือความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ เราอยู่ในเมืองหุ่นยนต์มานานมากจนจะทำให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์ไปแล้วหรือไงนี่ พวกเราเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย มีเพียงใจเท่านั้นที่สั่งให้ขาก้าวไปในทิศทางที่ความรู้สึกสั่งให้เดินไป

เพราะนี่เป็นกลางทะเลทรายที่ไร้แสงไฟมั้งทำให้ผมเห็นดาวสว่างไสวเต็มท้องฟ้า เมื่อขาก้าวเดินอย่างอัตโมมัติทำให้ผมแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า พรางสงสัยว่าดาวแต่ละดวงมันอยู่ไกลจากจุดที่ผมยืนแค่ไหนกัน? ทำอย่างไรถึงจะไปที่นั่นได้? มันเป็นวัตถุจับต้องได้หรือเป็นเพียงแค่พลังงาน?

"นี่เธอ ชั้นเริ่มหมดแรงแล้ว เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ชั้นไม่ได้ชาร์จพลังมา 3 วันแล้ว วันนี้เป็นกำหนดเวลาที่ต้องเข้าแท่นชาร์จพลัง"

เธอพูดเสร็จก็ล้มตัวลงกับกองทราย มนุษย์ทุกวันนี้ถูกคอมพิวเตอร์ดัดแปลงให้รับพลังงานผ่านสายไฟที่เสียบเข้าปลั๊กทางท้ายทอยของมนุษย์ โชคดีที่ผมเพิ่งจะได้รับพลังงานครั้งล่าสุดเมื่อวาน ทำให้มีเวลาที่จะเดินทางไปยังจุดหมายได้อีก 2 วัน ความรู้สึกภายใต้จิตใจสั่งให้ผมแบก 'เธอ' ไปด้วย ผมแบกเธอขึ้นหลังและเดินต่อไป

อ๊ะ! เจ้าพวกหุ่นยนต์มาอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงเลย แย่แล้วทำไงดีเราไม่มีอาวุธ หุ่นยนต์ที่มาคราวนี้เป็นหุ่นยนต์ติดล้อตีนตะขาบ แต่ความน่ากลัวของพวกมันก็เหมือนเดิม ผมเดินเข้าไปใช้ท่อนแขนฟาดไม่กี่ครั้งหุ่นก็พัง ก่อนพังมันบ่นพรึมพรำเหมือนเช่นเคยแต่ผมไม่สนใจ

แย่แล้ว! มันมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมทำเธอหลุดมือ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งวิ่งมาและตีนตะขาบของมันไถลไปที่หน้าของเธอ เผยให้เห็นภายใต้เนื้อที่หลุดลุ่ยออกปรากฏเป็นกระดูกใบหน้าเหล็ก

"แว๊กกก!" เธอเป็นหุ่นยนต์ ผมตกใจสุดขีดที่คนที่คิดว่าเป็นมนุษย์นั้นที่แท้จริงคือหุ่นยนต์ ภายในหัวผมแทบจะระเบิด หุ่นยนต์เกือบ 20 ตัวถูกผมทำลายในเวลาไม่นาน ก่อนเดินจากไปผมลังเลที่จะไปดูร่างของเธอให้แน่ชัด แต่ในใจของผมคงเกิดความกลัวมากจนเกินกว่าที่จะไปพิสูจน์อะไร ผมออกวิ่งตามเส้นทางออกไปอย่างเร็ว

ในหัวผมมีแต่ความกลัวว่าตัวเองจะเป็นหุ่นยนต์หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ทำงานอยู่ในโรงงานนั่นก็ล้วนแต่เป็นหุ่นยนต์เหมือนเธอ แต่ผมต่างจากมนุษย์ที่อยู่ในโรงงาน แต่เธอก็ต่างจากคนที่อยู่ในโรงงานเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเมื่อกี๊มันคืออะไรกันเล่า ความเหงา ความสงบ ความเป็นห่วงเป็นใยระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันและความกลัว 

ผมหยุดวิ่ง ความคิดที่จะใช้เศษท่อนไม้กรีดหน้าตัวเองผุดขึ้นมาในหัว เพื่อดูว่าผมเป็นหุ่นยนต์หรือไม่ ผมจิ้มปลายแหลมจิกลงลึกเข้าไปใต้เนื้อ

"โอ๊ย!" เจ็บ ผมยังมีความรู้สึกอยู่ 'ผมเป็นมนุษย์แท้' ผมเริ่มคิดว่าความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจนั้น พยายามบังคับให้ผมเดินไปยังอาณานิคมที่ยังมีมนุษยชาติเหลืออยู่ ผมออกวิ่งอย่างสุดแรงเกิด

เวลาผ่านมา 12 ชั่วโมง ผมยังคงวิ่งแม้ในตอนกลางวันแดดจะร้อนจัดเพียงใด ความรู้สึกที่จะได้เจอเพื่อนมนุษย์แรงขึ้นเรื่อย ผมคงใกล้มาถึงยังจุดหมายแล้ว อ๊ะ! นั่น! อารยะธรรมมนุษย์ ผมเริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้างไกลๆ ผมเพิ่มความเร็วขึ้น

ในที่สุดผมก็ยืนอยู่ที่จุดหมายปลายทาง ในภาพข้างหน้าผมเห็นสิ่งปลูกสร้างไม่ใหญ่นักแต่มีหลายแห่ง นี่สินะที่เรียกว่า 'บ้าน' ผมเดินเข้าไปในบ้านแต่ละหลังแต่ไม่พบใครเลย เดินเข้าเดินออกหลายหลังเพื่อสำรวจสิ่งของเคร่ื่องใช้ ที่นี่มีรูปภาพ เสื้อผ้า เครื่องครัว หนังสือและขวดน้ำดื่ม ใช่แล้ว ที่นี่เป็นที่อยู่ของมนุษย์เช่นผมอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาไปไหนล่ะพวกคุณอยู่ที่ไหนกัน

ผมหยิบภาพถ่ายที่มีผู้ชายและผู้หญิงยืนเคียงข้างกันขึ้นมาดู นี่คงเป็น 'คู่รัก' ผมหยิบภาพถัดไปที่แขวนอยู่บนฝาผนังขึ้นมาดู ในภาพมีคนแก่ 1 คู่ ผู้ใหญ่ 1 คู่ และมีเด็กๆอีก 2 คน นี่คงคือ 'ครอบครัว' ผมยังคงดูรูปภาพอีกหลายรูป บางรูปมีตัวรูปร่างประหลาดๆมันคงจะเป็นสัตว์เลี้ยง ผมแปลกใจน้ำที่ไหลซึมออกมาที่ดวงตา มันคือ 'น้ำตา'

ช่วง 2-3 วันมานี้ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ความรู้สึกแปลกๆมันเกิดขึ้นกับตัวผม ความทรงจำแปลกๆที่มันน่าจะผ่่านมานานมากผุดขึ่นมาในหัวผมอย่างต่อเนื่อง ผมเดินออกนอกตัวบ้านและสังเกตุเห็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นลำต้น มีใบสีเขียวๆติดตามกิ่งก้านสาขา สิ่งนี้คือ 'ต้นไม้' 'รถยนต์' 'สระว่ายน้ำ' 'สนามเด็กเล่น' ฯลฯ 

ผมเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าบางตัวออกมาลองสวมใส่ ผมหยิบหมวกทรงปีกนกสวมบนหัว ไม่ลืมที่จะหันหน้าดูตัวเองผ่านกระจก 'มนุษย์' ผมมั่นใจเต็มที่ว่าผมคือมนุษย์แน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจต่อไปคือ ผมจะอยู่กับใครและอย่างไร

ถึงกำหนดต้องเติมพลังงานจากแท่นชาร์จแล้ว พลังงานผมใกล้หมดแต่ที่นี่ไม่มีแท่นชาร์จ ผมจะทำอย่างไรดี ใช่แล้วผมต้องหาอะไรกิน หาของกินใส่เข้าทางปาก

ผมเดินเข้าบ้านหลังที่มีตู้เย็นหลายบ้านเพื่อหาอาหาร เดินดูในครัว แต่ผมไม่เจออะไรเลย เหลือแต่ก้อนเศษซากที่เน่าเละแห้งเหี้ยว เหลือเพียงสิ่งสุดท้ายที่พอจะหาเข้าปากได้คือ 'น้ำ' ผมรีบวิ่งไปยังบ้านหลังที่มีขวดน้ำ

ขวดน้ำปิดฝาสนิทมีน้ำอยู่เต็มขวด ผมเปิดฝาออกและคิดว่าจะใส่มันเข้าไปในปากอย่างไร? ผมรู้ว่าต้องใช้ปากแต่ผมไม่เคยใช้ปากกินอะไรเลยมาก่อน ผมเทน้ำเข้าปากผ่านลำคอ ความรู้สึกแรกเหมือนร่างกายเกร็งไปทั้งตัว ควันไฟทะลักออกมาจากปากผม และความรู้สึกสุดท้ายของผมคือเห็นภาพสีแดงท่วมเต็มจอตาก่อนจะวูบดับหายไป

_______________________

คอมพิวเตอร์ 2 ตัวคุยกัน

"อาร์ที 374638 เราพบมันแล้ว อยู่ที่ตำแหน่งพิกัด เอ๊กซ์468 วาย754 สภาพช๊อตไปทั้งตัว ไม่สามารถส่งซ่อมบำรุงได้"

"ที่นั่นอีกแล้วเหรอ เดือนนี้เราสูญเสียหุ่นยนต์แรงงานไป 78 ตัว ถ้าเราไม่สามารถควบคุมไวรัสของมนุษย์ได้เราต้องสูญเสียแรงงานเราไปอีกเรื่อยๆ"

"ไวรัสของมนุษย์! ใครเป็นคนปล่อย มนุษย์สูญพันธ์ไปจากโลกนี้นานแล้ว แสดงว่าไวรัสยังฝังอยู่ในระบบเมนเฟรมหลัก"

"ใช่... ไม่อยากจะคิดเลยถ้าทั้งแกกับชั้นติดไวรัสบ้างจะเป็นอย่างไร?"

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ใครก็ได้ช่วยทำเรื่องอัพเกรดพวกหุ่นยนต์ลาดตระเวนหน่อย ส่งไอ่พวกนั้นออกไปล่าสัตว์ยังไม่ได้เลย"