วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สายใยชีวิต



ในที่สุดผมก็ได้มายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง ใจผมรู้สึกละล้าละลังที่เดินเข้าไปหาเธอในบ้าน
ยุพินคือแฟนสาวที่เคยคบหากับผมเมื่อกว่าหกปีก่อน ผมทิ้งเธอไปโดยไม่ได้ล่ำลากัน เมื่อครั้งที่ผมยังวัยรุ่นผมไม่ได้คิดถึงเกี่ยวกับความรับผิดชอบอะไรมากมาย แต่ครั้งนี้มีอะไรบางอย่างทำให้ผมกลับมายืนที่นี่อีกครั้งในรอบหกปี
ออด...!! ผมกดสวิทซ์ไฟที่มีรูประฆังติดอยู่
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากบ้าน นั่นทำให้หัวใจผมเต้นเร็วและรัวจนคิดว่าอยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปทั้งอย่างนั้น
"คมสัน" เธอพูดเมื่อเห็นหน้าผมอย่างชัดเจน แต่สีหน้าของเธอกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ทั้งๆผมควรจะถูกเธอเกลียดเข้าไส้
"เธอมาที่นี่ทำไม"
"ยุพิน ผมดีใจจริงๆที่เจอเธออีก คือว่าผม..."
"เธอมาที่นี่ทำไม" น้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
ผมอยากจะกลับหันหลังและเดินจากไปให้พ้นจากตรงนี้ เพราะคำถามของเธอผมไม่สามารถตอบได้ และจะมีเหตุผลอะไรให้ผมต้องมาเจอหน้ากัน
"ไหนๆเธอก็มาแล้ว เข้าไปข้างในบ้านก่อนก็ได้นะ" ยุพินพูดเสร็จก็เปิดประตูรั้วให้ผม
 ผมเดินผ่านประตูบ้านที่ค่อนข้างเงียบและวังเวงเข้าไป แต่เมื่อพ้นขอบประตูผมเห็นภาพพ่อและแม่ของเธอแขวนอยู่บนผนังและมีกระถางธูปเล็กวางอยู่ใกล้ๆกัน
"พ่อและแม่ของเธอ..." ผมพูดพร้อมจ้องมองไปที่ภาพนั้น
"พ่อฉันเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อนเพราะโดนรถชน และไม่นานแม่ฉันก็เป็นไข้หวัดใหญ่แต่รักษาไม่ทัน" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอีกครั้ง
"เสียใจด้วยนะ"
"ขอบคุณ"
เราทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งกันไปสักพัก ก่อนจะเธอจะถาม
"ว่าแต่อะไรทำให้เธอมาทีนี่ได้" เธอพูดด้วยสายตาที่อาวรณ์แต่พยายามปิดบังแววตานั้นไว้
"อยู่ๆผมก็คิดถึงคุณขึ้นมา เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ดึงให้ผมมาที่นี่" ผมพูดตามความรู้สึกในหัวใจ
"จริงเหรอ"
เธอหลบสายตามผมพร้อมทำท่าครุ่นคิด ผมก็พยายามทบทวนความรู้สึกนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่
"เป็นไปไม่ได้" เธอรำพึงเบาๆแต่ยังดังพอให้ผมได้ยิน
"อะไรเป็นไปไม่ได้" ผมถาม
"เอ่อ... ไม่มีอะไร" เธอบ่ายเบี่ยงอะไรบางอย่าง "ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบใจเธอมาในวันนี้นะ"
"ขอบคุณเช่นกัน" ในใจผมกลับซาบซึ้งมากกว่าที่เธอยอมคุยกับผม เพราะในอดีตนั้นผมทำผิดกับเธอหลายเรื่องจนยากเกินอภัย "แล้วเธออยู่บ้านคนเดียวหรือ"
"อยู่คนเดียว ฉันไม่ได้แต่งงานใหม่"
"แล้วทำอะไรอยู่ล่ะตอนนี้" เธออึกอักไม่พูดไม่อะไร "หมายถึงทำงานอะไรอยู่เหรอ"
"คือฉันไม่ได้ทำงานที่ไหน ก็หารับจ้างทั่วไปแถวบ้านนี่ล่ะ"
"ถ้าเธอมีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็บอกได้นะ อย่างน้อยเราก็เคย..." ผมยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงแก้วแตกดังมาจากหลังบ้าน
เพล้ง...!!
ผมหันไปมองต้นเสียง
"เสียงอะไร" ผมถาม
"ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเป็นแมวก็ได้ ข้างบ้านเลี้ยงแมว มันชอบเข้ามาจับหนูในบ้านนี้"
ผมไม่คิดอะไร อาจจะเป็นอย่างที่เธอพูด
“อย่างน้อยเราก็...” เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ “อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจ ถ้าหากมีเรื่องอะไรฉันจะติดต่อไปนะ”
เธอพูดเชิงเหมือนจะตัดบท ผมคิดอย่างนั้น
“แล้วผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่นะ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
ผมลุกขึ้นยืนเตรียมหันหลังกลับ แต่ !
ครื่ด...!!
เสียงเลื่อนของโต๊ะหรือเก้าอี้ดังมาจากหลังบ้าน น่าจะเป็นทิศทางเดียวกับเสียงแก้วแตก
“นั่นไม่ใช่แมวแล้ว หรือว่าจะเป็นขโมย” ผมไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ รีบเดินตรงไปยังต้นเสียงนั่น
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าเข้าไปในนั้น” เธอพูด แต่ผมไม่สนใจ
ภาพที่ผมเห็นในห้องครัว นั่นคือแก้วน้ำที่แตกกระจายอยู่บนพื้นและรอยหยดเลือดจางๆรอบข้าง ถัดไปผมเห็นเด็กผู้ชายอายุไม่โตมากนักนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ดูเหมือนเด็กน้อยไม่แสดงอาการร้องไห้หรือแยแสกับบาดแผลที่เท้าของเขา
และดูจากใบหน้าของเด็ก ทำให้รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีอาการดาวน์ซินโดรม
เมื่อยุพินเห็นบาดแผลที่เท้าของเด็ก เธอรีบกุลีกุจอเข้ามาเช็ดบาดแผลและใช้ผ้าพันแผลทันที
“คุณดูแลเด็กคนนี้เหรอ”
“ใช่” เธอตอบไม่เต็มเสียง “ฉันรับจ้างดูแลเด็กคนนี้”
“คุณรับจ้างเลี้ยงเด็กคนนี้นี่เอง ถึงมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้”
“ใช่ ญาติของฉันให้ฉันดูแลเด็กคนนี้พร้อมค่าตอบแทน”
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องไปที่แววตาของเด็ก ความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ลำคอของผม แววตาของเด็กจ้องมองมาที่ผมเช่นกัน
นี่มันอะไรกันนะ เมื่อผมมองเข้าไปในแววตาบริสุทธิ์ ผมกลับมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น ความรู้สึกนี้เองหรือที่ชักนำให้ผมมาที่นี่ แล้วเหตุผลล่ะ ?
“เขาช่วยเหลือตัวเองได้ไหม ได้พาไปโรงเรียนหรือเปล่า ตอนนี้เด็กอายุเท่าไหร่แล้ว” ผมถามเพราะมีความสนใจในตัวเด็ก
“ญาติของฉันกำลังจะส่งเงินมาเพื่อพาเด็กเข้าโรงเรียน เขาก็ช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่งแต่ก็ยังต้องมีคนช่วยดูแล” เธอเงียบไปชั่วครู่ “ตอนนี้เขาก็ 5 ขวบกว่าแล้ว”
ผมได้แต่เฝ้าดูรอยยิ้มที่สดใสไร้ความคลางแคลงใจใดๆ

เมื่อผมขับรถออกมาจากบ้านเธอ รอยยิ้มและแววตาคู่นั้นยังไม่จางหายไปจากความคิดของผม ผมย้อนคิดถึงยุพินที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกของญาติเธอที่เป็นเด็กพิเศษ มันคงจะเหนื่อยแสนสาหัสเมื่อทำหน้าที่ผู้ปกครองเพียงคนเดียว ไร้ผู้ช่วย
เวลาผ่านไปหลายวัน แต่ผมก็ยังไม่สามารถสลัดความคิดเป็นห่วงเป็นใยทั้งยุพินและเด็กคนนั้นออกไปได้ ความรู้สึกแปลกนี้รบกวนจิตใจของผมอย่างมาก แต่มันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้ผมเลยแม้แต่น้อย มีแต่ผมเองที่เฝ้าจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดนั้นอย่างจริงจัง แม้กระทั่งตอนที่นั่งกินข้าวอยู่กับภรรยาของผม
“ช่วงนี้คุณเป็นอะไรคะ เห็นเหม่อลอยบ่อยๆ” สุนีย์ภรรยาของผมถามด้วยความห่วงใย
“ช่วงนี้งานคงจะหนักไปหน่อย ผมไม่เป็นอะไรหรอก คงต้องพักผ่อนเยอะๆหน่อยน่ะช่วงนี้” ผมไม่สารถอธิบายความรู้สึกในจิตใจของผมให้เธอฟังได้ เพราะความคิดที่อยู่ในหัวของผมเองนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
“ค่ะ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะ เจ้าตัวน้อยของผมก็โตขึ้นทุกวันๆ” เธอพูดพร้อมหันไปมองเด็กทารกอายุไม่กี่เดือนที่นอนอยู่ในเปล
ผมหันไปมองลูกน้อยที่นอนหลับสบาย ทำให้ผมคิดถึงเด็กพิเศษคนนั้นทันที สายสัมพันธ์แบบนี้หรือที่ชักนำพาให้ผมกลับไปหายุพินที่บ้าน
ในคืนนั้นผมเฝ้านอนคิดถึงคำพูดของยุพินที่พูดถึงเด็ก ตอนนี้อายุ 5 ขวบกว่าแล้ว  5 ปีก็เกือบเท่ากับเวลาที่ผมจากเธอมา จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เด็กคนนั้น แท้จริงแล้วคือลูกของผม

ผมนอนบนเตียงแต่นอนไม่หลับ หันไปข้างๆก็เห็นสุนีย์นอนหลับไปแล้วโดยมีเจ้าตัวเล็กนอนตรงกลางระหว่างเราสองคน ผมเฝ้าคิดว่าหากนั่นเป็นลูกของผมจริงๆผมจะรับตรงนั้นได้หรือไม่ ผมควรจะแกล้งทำเป็นไม่สนในและลืมเรื่องนี้ไปจะเป็นไปได้ไหม
แต่คงจะยากที่จะลืม เพราะสายเลือดยังไงก็ไม่สามารถทำใจให้ลืมได้ หากเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่ผมคิด แสดงว่าเธอก็แบกรับความรับผิดชอบนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เช้าวันถัดมาผมลางานเพื่อไปสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญาแห่งหนึ่งเท่าที่ผมจะหาข้อมูลได้ในเช้าวันนั้น
เมื่อไปถึงผมเห็นเด็กหลายคนที่สภาพแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไป พวกเขามีหลายระดับตั้งแต่เด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนไปถึงเด็กบางคนที่ดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปมากนัก
“สวัสดีครับ ใช่คุณที่โทรมานัดไว้ไหมครับ”
“ใช่ครับ คุณคงเป็น ผอ. ของที่นี่”
“ใช่ครับ” ผอ. ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนอื่นเลยผมขอมอบเงินบริจาคก่อนครับ ผมตั้งใจจะมาทำบุญ”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะเขียนเป็นใบอนุโมทนนาบัตรให้ครับ”
“ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากหรอกครับ” ผมตอบ
“ไม่ได้ครับ ผมต้องทำตามระเบียบขององค์กร ไว้หลังจากที่ผมพาคุณไปแนะนำสถานที่เสร็จ ผมจะให้เจ้าหน้าที่นำใบอนุโมทนาบัตรมาให้”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณคมสันทางนี้ครับ”
ผอ. พูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังห้องที่มีเตียงวางเรียงราย
“เริ่มจากห้องนี้ก่อนครับ ห้องนี้เป็นเด็กที่มีความพิการทางสมองค่อนข้างรุนแรง พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยดูแลกิจวัตรประจำวันให้ตลอด 24 ชั่วโมง”
ผมเห็นเด็กหลายคนนั่งนอนยิ้มหัวเราะกัน เจ้าหน้าที่หลายคนต่างเฝ้าคอยดูแล
“เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่พ่อแม่อาจจะมีปัญหาไม่สามารถดูแลได้ หากผมไม่รับเข้ามาดูแลพวกเขาก็อาจจะเป็นปัญหากับสังคม ทั้งๆที่พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์”
เด็กหลายคนหันมาส่งยิ้มให้ผม นั่นทำให้หัวใจผมพองโตและยิ้มตอบ
“เด็กพวกนี้บางคนอาจจะมีความพิการทางด้านร่างกาย ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือตัวเอง หากต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้ผมต้องมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน”
“ฟื้นฟู” ผมงงกับคำคำนี้
“เชิญมาดูทางนี้ครับ”
ผอ. เดินนำทางไปฝั่งหนึ่งของอาดาร
“ถ้าจะให้พูดง่ายๆนี่ก็คือการทำกายภาพบำบัดให้กับเด็กที่มีปัญหาทางด้านร่างกาย ขั้นตอนนี้สำคัญมาก”
ผมเห็นเด็กหลายคนใช้เครื่องมือทางการแพทย์โดยมีผู้ช่วยตามประกบอย่างใกล้ชิด
“น่าประทับใจมากครับ ผมเห็นภาพนี้แล้วแสดงให้เห็นว่าสังคมผมไม่ทอดทิ้งคนเหล่านี้”
“ใช่ครับ ผมทำตามกำลังที่ผมจะสามารถทำได้”
“ผอ. ช่วยอธิบายของคนที่มีอาการดาวน์ซินโดรมให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ครับ คำอธิบายสั้นๆก็คือคนพวกนี้จะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าคนปกติทั่วไปแค่นั้นเองครับ ทั้งทางด้านสติปัญญา อารมณ์และการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านสังคม”
“แสดงว่าหากถึงจุดๆหนึ่งแล้วพวกเขาจะเป็นเหมือนคนปกติเลยใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ หากเราดูแลพวกเขาดีๆ เขาก็จะพัฒนาได้เหมือนคนปกติทั่วไปเลยครับ ผมจะพาคุณไปดูห้องเรียนของเรา”
ผอ. เดินน้ำผมห้องถัดไปไม่ไกลนัก
“นี่คือห้องที่ผมจำลองเป็นบ้านและห้องนอนของเขา เราพยายามสอนกิจวัตรประจำวันให้เขาและให้เขาเรียนรู้จดจำไปใช้เมื่อถึงเวลากลับบ้าน”
“พ่อแม่เด็กจะส่งลูกของเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตที่นี่หรือครับ”
“ไม่เสมอไปหรอกครับ เด็กแทบทุกคนที่มาที่นี่คือเด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถอบรมเลี้ยงดูเด็กได้ แต่ถ้าบ้านไหนที่มีคนคอยดูแลและช่วยสอนกิจกรรมเหล่านั้นให้เด็ก เด็กก็จะพัฒนาได้ดีกว่าที่นี่หลายเท่าตัวนัก เพราะเด็กเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตจริงกับครอบครัว”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“และอีกสิ่งที่สำคัญคือ หากเด็กที่มีอาการดาวน์ซินโดรมได้ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป เช่นพ่อแม่พาไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่นๆ หากมีพี่น้องช่วยดูแลด้วย พวกเขาก็แทบจะสามารถดูแลตัวเองต่อไปในอนาคตได้เลยครับ ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่นี่ ผมเคยเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กดาวน์”
“จริงหรือครับ” ผมถาม
“คุณคมสันเชื่อไหมว่า พ่อแม่บางคนมารู้ตอนหลังคลอดว่าเด็กเป็นดาวน์ซินโดรม พวกเขาจะช็อกไปช่วงหนึ่ง พ่อแม่บางคู่ท้อแท้และสิ้นหวังมากจนไม่อยากจะเลี้ยงดูลูกอีกต่อไป แต่เมื่อพ่อแม่ทุกคนเริ่มทำใจยอมรับสภาพได้ พวกเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ มีการพูดคุยระหว่างพ่อแม่ที่ลูกเป็นดาวน์ด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนมีการศึกษาการพัฒนาการ สุดท้ายพ่อแม่ล้วนมีความสุขที่ได้เลี้ยงเด็กเหล่านี้”

ผ่านมาหลายวันหลังจากที่ผมไปหาข้อมูลในสถานสงเคราะห์ฯและได้พูดคุยกับ ผอ. ผมกลับมานั่งคิดนอนคิดถึงยุพา เธอคงจะท้อแท้และหมดหวังเพียงใดในยามรู้ว่าลูกของเธอมีอาการดาวน์ซินโดรม กำลังใจและความเข็มแข็งเธอไปหามาจากไหนนะในเวลานั้น ผู้เป็นแม่ที่ต้องคอยดูแลลูกน้อยเพียงคนเดียวโดยปราศจากเงาของพ่อ
ช่วงเวลาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของผม และเมื่อรวมถึงความรู้สึกที่ผมมองแววตาคู่นั้น ผมสัมผัสได้ถึงสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกติดผมไว้ด้วยกัน แววตาที่เหมือนกับจะอ้อนวอนขอร้องฉายออกมา ความรู้สึกที่อยากจะดูแลอยากจะรับผิดชอบของผมเมื่อเห็นแววตาคู่นั้น
ขั้นแรกผมต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกของผมจริงๆหรือเปล่า ถ้าหากใช่เล่า ผมคงจะช่วยดูแลและส่งเสียเด็กคนนั้นให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ผมตัดสินใจไปหาเธอทันทีที่คิดเรื่องนี้
“สวัสดียุพิน ขอเข้าไปได้ไหม”
“เข้ามาสิ” เธอต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม
ผมเดินไปหยิบของในรถ มีทั้งขนมและของเล่นสำหรับเสริมพัฒนาการที่ ผอ. แนะนำผมมา
“ผมซื้อของมาฝากเด็กน่ะ” ผมยื่นของให้เธอ และเธอรับไป “มีทั้งขนมและของเล่น”
“ขอบคุณมากคมสัน” เธอเริ่มเผยรอยยิ้มให้ผมเห็นบ้างแล้ว
ผมแกะของเล่นและนำไปยื่นให้เด็ก
“เขาชื่ออะไร”
“เขาชื่อเพชร” เธอพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ผมสองคนเล่นของเล่นชิ้นนั้นไปด้วยกัน ไม่เพียงแต่ยุพินที่จะแสดงรอยยิ้มออกมา เพชรก็ยิ้มเริงร่าสนุกสนานไปด้วยเช่นกัน บางครั้งสิ่งที่เพชรแสดงออกมาผมก็มองว่าเขาก็เป็นเด็กปกติคนหนึ่ง โดยเฉพาะรอยยิ้มและความสนุกสนาน
“วันนี้ผมอยากจะพาเพชรไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ผมน่าจะพาเขาออกไปวิ่งเล่นบ้างนะ”
“ที่สวนเหรอ ที่นั่นคนเยอะจะตาย” ดูเหมือนเธอจะกังวลกับอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไรหรอก เพชรควรจะได้ไปวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่นๆบ้าง” ผมนึกถึงคำแนะนำของ ผอ.

ผมขับรถพาทั้งยุพินและเพชรออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปยังสวนที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
“ดูสิ เพชรคงดีใจที่ได้ออกมาดูนั่นดูนี่บ้าง” ผมพูดพร้อมเหลียวไปมองยังเบาะหลัง เพชรกำลังจดจ้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
“ฉันไม่ค่อยได้พาเขาออกมาข้างนอก”
เมื่อถึงสวน คนหลายคนต่างมาพักผ่อน เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ผมเดินนำทั้งคู่ไปยังสนามหญ้าที่มีเด็กวิ่งเล่น และเพชรก็วิ่งตรงไปยังกลุ่มที่มีเด็กอายุไล่เลี่ยกันกับเขาเล่นอยู่
“ดูสิ เขาคงอยากมีเพื่อน”
“ดีจังเลย ก่อนหน้านี้ฉันกลัวว่าจะมีแต่คนรังเกียจเด็กแบบเพชร”
“ไม่หรอก ตอนนี้ทัศนคติของสังคมเริ่มยอมรับกับความแตกต่างมากขึ้น สังคมพร้อมจะให้โอกาสคนเหล่านี้เสมอ”
เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่มองเห็นกลุ่มเด็กก่อนหน้านี้ต่างยินดีวิ่งเล่นกับเพชร โดยไม่มีท่าทีรังเกียจหรือแปลกแยกแต่อย่างใด โดยเฉพาะยุพินที่เธอยิ้มและภูมิใจกับสิ่งที่เห็น
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ผมถาม
ยุพินนิ่งชะงักไปช่วงหนึ่ง  เธอสลัดสายตาจากกลุ่มเด็กหันมามองหน้าผม
“ได้สิ คุณอยากถามอะไร”
“เพชรใช่ลูกของผมหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่คาใจผมออกไปแล้ว
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
เป็นคราวของผมบ้างที่จะนิ่งเงียบ ผมพยายามทบทวนความคิดในหัวอีกครั้ง
“ข้อแรกคือช่วงเวลาอายุของเด็กกับช่วงเวลาที่เราทั้งคู่เคยคบหากัน ก็มีความเป็นไปได้ที่เพชรจะเป็นลูกของผม และอีกสิ่งหนึ่ง...” ผมพยายามรวบรวมคำพูด “แววตาของเขาฟ้องว่าเขาคือลูกของผมด้วย”
เธอทำท่าตกตะลึงกับคำถาม แต่ลึกๆก็ยังเห็นว่าแฝงไว้ด้วยความโล่งใจ
“คุณแน่ใจหรือ”
“ใช่ ทุกครั้งที่ผมสบตาที่หรือสัมผัสกับเพชร เลือดอุ่นในกายของผมมันสูบฉีดเหมือนกับตอนที่ผมอุ้มลูกน้อยของผมเอง”
“ลูกน้อย ?”
“ใช่ ผมกับภรรยาเพิ่งจะมีลูกด้วยกัน ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี”
“ฉันขอถามหน่อย ถ้าหากเพชรใช่ลูกของคุณจริงๆ คุณจะรับได้เหรอกับการที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษแบบนี้”
“ผมรับได้ ผมพร้อมที่จะมาช่วยเหลือดูแลเขา” ผมตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“คุณจะเอาเวลาที่ไหนมดูแลเพชรได้ล่ะ ในเมื่อคุณต้องดูแลภรรยาและลูกน้อย”
คำถามนี้ทำให้ผมนิ่ง ผมยังหาคำตอบไม่ได้
“แต่เอาล่ะ อย่างแรกเลยฉันขอบอกว่าฉันดีใจและประทับใจมากกับความมีน้ำใจของคุณ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า ความจริงแล้วเพชรคือลูกของฉันเอง ไม่ใช่เด็กที่รับจ้างดูแลอย่างที่เคยบอกไป” เธอหยุดพูดพร้อมกลืนน้ำลาย “และคุณก็เป็นพ่อของเพชรจริงๆ”
ความรู้สึกหลังจากได้ยินคำตอบนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีใจหรือเสียใจ แต่เป็นความรู้สึกของหัวใจที่พองโต
“แต่ว่าคุณไม่ต้องมาช่วยเลี้ยงดูหรือรับผิดชอบอะไรหรอก ฉันอยู่ของฉันได้”

ผมขับรถกลับบ้านหลังจากที่ไปส่งยุพินและเพชรที่บ้าน ผมไม่ตอบคำถามและไม่รบเร้าอะไรในเรื่องที่จะขอเป็นผู้อุปการะเด็ก ในหัวของผมตอนนี้ยังคิดว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินใจอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทั้งสุนีย์และลูกของผมยังเล็กและต้องการเวลาจากผมเช่นเดียวกัน ผมจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีนะ
“งานที่บริษัทยังไม่หายยุ่งหรือคะ” สุนีย์ถามบนโต๊ะอาหาร
ผมได้แต่มองหน้าเธอพร้อมรอยยิ้มที่แสดงความอ่อนแอของจิตใจออกมา ที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีว่าสุนีย์เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีวุฒิภาวะเกินตัว บางครั้งที่ยังมีมากกว่าผมเสียอีก ผมจึงไม่ลังเลที่จะเล่าเรื่องยุพินและเพชรให้เธอฟัง รวมทั้งคำขอที่ผมจะไปมีส่วนรับผิดชอบเด็กคนนั้นอีกด้วย
หลังจากผมเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง สีหน้าของเธอไม่แสดงความตระหนกใดๆออกมา ผมทึ่งในความมีน้ำใจตรงนั้นของเธอ
“เรื่องนี้นี่เองที่ทำให้คุณดูเศร้าหมอง” เธอยังตอบผมด้วยน้ำเสียงอาทร
“คุณไม่โกรธผมหรือ”
“ฉันจะไปโกรธคุณได้อย่างไร เรื่องมันเกิดนานมาแล้ว และสิ่งที่คุณทำก็คือการแสดงความรับผิดชอบ ฉันภูมิใจที่คุณไม่ทอดทิ้งเลือดเนื้อของคุณ”
“ถ้าผมจะแบ่งเวลาไปดูแลเด็กคนนั้นคุณจะว่าอะไรไหม” ผมคาดหวังให้เธอยอมรับ
“ได้สิคะ คุณจัดสรรเวลาให้เหมาะสมและไปดูแลเด็กตามที่คุณต้องการเถอะ ฉันสนับสนุนคุณในเรื่องนี้”
สุนีย์ยินยอมให้ผมเจียดเวลาหลังเลิกงานบางวันและวันอาทิตย์ให้ผมไปดูแลเพชรได้ ผมไปบ้านของยุพินตามวันเวลาไม่เคยขาดหรือไปสายเลยแม้แต่วันเดียว
บางวันผมเข้าไปเล่นเข้าไปกอดกับเพชรเหมือนอยากจะชดเชยเวลาที่ผ่านมา ในวันหยุดผมพาเขาออกไปเที่ยวหลายที่ พาไปพบพ่อแม่เด็กที่เด็กเป็นดาวน์ซินโดรมเหมือนกัน พาไปออกกำลังกายไปกายภาพบำบัด พาไปนั่งทานอาหารที่ร้านอาหาร ผมทำกิจกรรมเหล่านี้ตลอด 3 เดือนโดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

วันในหนึ่งขณะที่ผมยืนดูเพชรวิ่งเล่นกับเด็กๆในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ผมสังเกตเห็นยุพินมองผมที่มีสภาพเหนื่อยอ่อนเพราะต้องทำทั้งงานประจำ กลับไปดูแลครอบครัวและต้องมาหายุพินและเพชร วันหยุดวันอาทิตย์ยังต้องมาพาเพชรออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งวันอีกด้วย
“เหนื่อยไหมที่ทำแบบนี้” ยุพินถาม ผมค่อยๆหันไปมองหน้าเธอ
“เหนื่อยแต่มีความสุข ผมดีใจที่ได้ทำแบบนี้”
เธอหลบสายตาผมไปอีกครั้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณมากที่คุณทุ่มเทเวลามากมายให้กับเด็ก ต่อไปนี้เราคงจะไม่ต้องรบกวนเวลาคุณอีกต่อไปแล้ว นานๆทีจะมาเยี่ยมเพชรบ้างก็ได้นะ แต่ไม่ต้องมาเป็นประจำเหมือนอย่างเคย” เธอพูดไม่เต็มเสียงนัก “มีอีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกคุณ เพชรไม่ใช่ลูกของคุณ ฉันแกล้งบอกคุณไปอย่างนั้นเอง ไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลยสักนิด” น้ำตาใสๆเริ่มรินออกมาจากดวงตาของเธอ
ความจริงที่ได้ยินจากปากของเธอนั้นไม่ได้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกใดๆ ผมไม่สนใจหรอกว่าเพชรจะเป็นลูกของผมหรือไม่ ผมแค่หวังว่าจะได้ลบล้างความผิดที่เคยหักหาญน้ำใจของยุพินบ้าง
“มาบอกอะไรกันตอนนี้ ผมรักเพชรไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะใช่สายเลือดของผมหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” ผมตอบสั้น
ยุพินร้องไห้ทันทีเมื่อผมพูดจบ เธอเข้ามากอดและซบหน้าลงกับอกของผมพร้อมยังร้องไห้ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด


ผมมองไปที่เพชรที่กำลังวิ่งเล่นเริงร่า ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขาเป็นลูกของผมอย่างแน่นอน เพราะสายใยบางๆที่ชักนำพาให้ผมไปหายุพินวันนั้น มันคงเป็นสายใยแห่งชีวิตที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้ระหว่างพ่อกับลูก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น