ธวัชชัยกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บอุปกรณ์เครื่องมือลงในกล่องเหล็ก
หลังจากที่เขาประกอบชิ้นส่วนของเพลาล้อของรถกระบะคันใหญ่เสร็จ
ธวัชชัยขับเคลื่อนมันออกไปจอดที่ลานกว้างหน้าอู่เพื่อรอเจ้าของมารับมัน
โดยที่เขาแอบสังเกตใครบางคนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ชายชุดดำคนที่น่าสงสัยนี้ธวัชชัยเริ่มสงสัยถึงพฤติกรรมแปลกๆมานานแล้ว
ในทุกวันเวลาใกล้เย็น
ชายชุดสูทสีดำจะแต่งกายชุดเดิมทุกวันมานั่งยังร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนเพียงใด
แต่เครื่องแต่งกายของชายคนนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ธวัชชัยเริ่มเห็นบุคคลผู้นี้มาได้เกือบจะครบเดือนแล้วที่มานั่งเฝ้าคอยเหมือนจะต้องการเฝ้าสังเกตใครสักคน
และคนที่ธวัชชัยคิดว่าชายชุดดำคนนั้นเฝ้ามองก็คือตัวของเขาเอง
เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังถูกเฝ้าจับตามอง
ธวัชชัยก็แอบเฝ้ามองชายชุดดำนั้นด้วยเหมือนกัน
เพียงแต่เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกแอบเฝ้ามองอยู่
และวันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน พอใกล้จะถึงเวลาปิดอู่ซ่อมรถ
ชายชุดดำก็ทำท่าทางจดบันทึกอะไรสักอย่างลงไปในสมุดและลุกเดินออกไป
เมื่อเห็นชายชุดดำเดินพ้นจากสายตาไปแล้ว
ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องเตรียมเก็บของและปิดประตูเหล็กหน้าร้านลง
ธวัชชัยค่อยๆขับรถบนถนนที่การจราจรติดขัดผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่
วันนี้เป็นวันหยุดสิ้นเดือนผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมา
มีทั้งครอบครัวเพื่อนฝูงมากันเป็นกลุ่ม ตอนนี้รถจอดนิ่งสนิทแล้วเพราะติดไฟแดง
ทำให้สายตาของเขาไปตกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งที่เดินจูงมือกันมา 3 คนมีพ่อแม่ลูกเดินหยอกล้อกันดูสนิทสนมกลมเกลียว
ธวัชชัยมองภาพนั้นแล้วทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกลับบรรยากาศแบบนี้ยิ่งนัก
แต่ไม่ว่าธวัชชัยจะพยายามนึกเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถดึงความทรงจำอะไรออกมาได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้
'ปรี๊น...!!'
เสียงแตรดังจากรถคันข้างหลังเพื่อจะส่งสัญญาณให้ธวัชชัยเหยียบคันเร่งไปข้างหน้า เนื่องจากไฟเขียวแล้วแต่เขายังทำสายตาเหม่อลอยเมื่อพยายามคิดถึงความรู้สึกที่ขาดหายไปนั้น ธวัชชัยตัดสินใจเลี้ยวรถยนต์เข้าไปจอดในห้างใหญ่ จากนั้นที่ลานกว้างหน้าห้างมีลานเบียร์ที่ผู้คนยังไม่ค่อยหนาแน่นนัก เขาเดินไปนั่งโต๊ะกลางลานเพื่อเฝ้าสังเกตโต๊ะอื่นๆที่มากันหลายคนแทบจะทุกโต๊ะ ธวัชชัยสั่งเบียร์มาหนึ่งขวดมาตั้งไว้ที่โต๊ะแต่เขาไม่สนใจมันเลย สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือเพื่อนๆหรือคนรู้จักของเขาหายไปไหน ไม่ใช่ว่าเขาจะมานั่งรอใครบางคนแล้วรอให้คนๆนั้นมาถึง แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือเขาไม่มีความทรงจำถึงใครเลยสักคนเดียวที่จะเรียกมานั่งดื่มกินเหมือนโต๊ะข้างๆได้
ธวัชชัยยังใช้สิทธิ์นั่งที่โต๊ะต่อไปเพราะเขาสั่งเบียร์มาแล้วหนึ่งขวดแต่เขาไม่แตะมันเลย เมื่อธวัชชัยไม่สามารถย้อนความทรงจำในอดีตถึงใครได้เลย เขาจึงพยายามคิดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ และในอนาคตเขาคิดถึงสิ่งใด
คราบเหงื่อจางๆเริ่มซึมออกมาจากใบหน้าของธวัชชัย ทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของคลื่นความร้อนใดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับเหงื่อเต็มใบหน้าเพราะว่าเขานึกอะไรไม่ออกเลยถึงคำถามที่เขาตั้งขึ้นมาในใจเมื่อสักครู่นี้ ธวัชชัยรู้แต่เพียงว่าแค่ช่วงชีวิตประจำวันนี้ เขาตื่นนอนก็ออกจากบ้านมายังอู่ที่เขาเองเป็นเจ้าของมัน ความทรงจำในชีวิตของเขามีเพียงเท่านี้เอง
นี่เพิ่งเริ่มจะหัวค่ำไม่นาน ธวัชชัยค่อยๆขับรถไปอย่างเชื่องช้า ในหัวสมองเขาตอนนี้ไม่อยากจะคิดอะไรแม้สักเรื่องเดียว ธวัชชัยคงคิดว่าความทรงจำในอดีตนั้นมีค่ามหาศาลในยามที่เขาไม่มีมัน
ทันใดนั้น! แสงไฟจากหน้ารถคันอื่นสาดเข้ามาจากทางด้านซ้ายของเขา ธวัชชัยพุ่งออกมาจากทางแยกโดยที่ลืมสังเกตรถยนต์ทางซ้ายมือที่พุ่งมาด้วยความเร็ว ระยะห่างไม่ถึง 20 เมตร เสี้ยววินาทีนี้เขามองแสงไฟนั้นด้วยความไม่ตื่นตระหนก เหมือนเขาไม่กลัวอะไรเลยกับความตายที่เข้ามาอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรืออาจจะเป็นเพราะในเมื่อเขาไม่มีอดีตความทรงจำใดๆเหลืออีกต่อไป เขาคงไม่ต้องแคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว
'เอี๊ยด...!!'
รถคันที่พุ่งมาทางซ้ายหักหลบไปทางด้านหลังอย่างฉิวเฉียด ธวัชชัยพยายามตั้งสติและขับรถยนต์ต่อไปจนถึงบ้านพักของเขา เมื่อรถยนต์จอดหน้าบ้าน เขาเดินลงจากลดแล้วมองไปที่เพื่อนบ้านหลายๆหลังที่อยู่ติดกัน แต่นั่นไม่ทำให้ธวัชชัยคุ้นตาเลยสักนิดเดียว เขาแทบอยากจะเดินไปเคาะประตูบ้านข้างๆเพื่อถามว่าตัวเขาเองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และรู้จักกันหรือไม่? แต่จนแล้วจนรอด ธวัชชัยก็ไม่กล้าไปเคาะประตูบ้านของคนแปลกหน้า
ธวัชชัยเปิดประตูบ้านและสวิตซ์ไฟ
เขาพยายามมองหาร่องรอยหลักฐานที่จะสามารถบ่งชี้ได้
ว่าเขาเคยเป็นใครและมีใครบ้างที่เขาเองเคยรู้จัก
ที่ผนังบ้านไม่มีรูปภาพบุคคลใดๆแขวนไว้
เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในบ้านถูกออกแบบสำหรับคนๆเดียว
โต๊ะกินข้าวก็มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ถ้วยจานชามมีพอใช้สำหรับคนๆเดียว
เสื้อผ้าก็มีเฉพาะที่เป็นของธวัชชัยคนเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจลึกๆก็คือ
ภาพของพ่อแม่ลูกและกลุ่มคนที่เขาเห็นหน้าห้างเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้
เมื่อนึกถึงภาพเหล่านั้นยิ่งทำให้ธวัชชัยรู้สึกว่าเขาเคยมีคนพวกนั้นอยู่พร้อมสรรพแต่เขาทำหายไป
ธวัชชัยมีแค่ความทรงจำสั้นๆว่าเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้
มีอู่ซ่อมรถยนต์เป็นของตัวเองและมีลูกน้องที่อู่อีก 2 คน แต่ลูกน้องทั้ง 2 คนก็เป็นคนที่มาสมัครงานกับเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้
นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว ธวัชชัยไม่สามารถคิดถึงใครที่เขาเคยรู้จักได้
ธวัชชัยลืมตาขึ้นมาจากสภาวะจิตที่จมดิ่งลึก เขานึกขึ้นได้ถึงชายในชุดดำที่เขาสังเกตเห็นมาร่วมเดือนกว่าแล้ว คนๆนั้นคงจะเป็นบุคคลเดียวที่จะพาธวัชชัยย้อนกลับไปหาตัวตนของตนเองได้ เมื่อเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง ธวัชชัยจึงเลิกทำเป็นจมทุกข์และกลับไปใช้ชีวิตประจำตามปกติ
วันถัดมาธวัชชัยกลับมาทำงานที่อู่ตามปกติ เขาซ่อมรถหลายคันที่มาจอดรออยู่เต็มพื้นที่ในอู่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบถึงเวลาที่ชายชุดดำคนนั้นจะมา ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องปิดร้านเร็วกว่าปกติ โดยที่เขาเปลี่ยนชุดแต่งตัวด้วยชุดหนังทั้งตัวพร้อมใส่หมวกกันน๊อคเพื่ออำพรางใบหน้า ธวัชชัยขี่มอเตอร์ไซค์ไปแอบรอที่มุมถนนข้างร้าน เขาเฝ้าชำเลืองมองดูนาฬิกาตลอดเวลาเพื่อคาดคะเนเวลาการมาถึงของชายชุดดำ
และเวลานั้นก็มาถึง ชายในชุดสูทขับรถเก๋งคันใหญ่มาจอดหน้าร้านอาหารร้านเดิม แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้อู่ของธวัชชัยปิด ชายคนนั้นจึงเหยียบคันเร่งออกไปทันที ได้โอกาสที่รถเก๋งคันนั้นนขับออกไปห่างจากจุดที่ธวัชชัยซ่อนอยู่ เขาจึงค่อยๆขี่รถตามดูห่างๆเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตได้
ระยะทางจากจุดเริ่มต้นเริ่มไกลออกไปมากแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความพยายามของธวัชชัยลดลง และในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านของชายชุดดำ รถเก๋งเข้าจอดในบ้าน ธวัชชัยตามไปติดๆและเข้าประกบทันทีที่มีโอกาส
"สวัสดีครับ คุณคงจำผมได้นะ"
ธวัชชัยเอ่ยถาม
เขาถอดหมวกกันน็อดออกเพื่อเผยใบหน้า
ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหน้าซีดทันทีที่เห็นใบหน้าของธวัชชัย
"คุณคือธวัชชัย"
เสียงตอบราบเรียบที่ถูกกลบเกลื่อนความตกใจแล้ว
ชายที่ยังแต่งตัวด้วยชุดดำทำสีหน้านิ่งเรียบ
"คุณรู้จักชื่อผม คุณรู้จักผม?"
ธวัชชัยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"ก็... ใช่ครับ ผมชื่อพิจาน ผมว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า"
พิจานเชิญธวัชชัยเข้าไปในบ้าน เขาให้ธวัชชัยไปนั่งรอที่ชุดโซฟาเนื้อผ้าบุด้วยฟองน้ำสีน้ำเงินเข้ม ธวัชชัยไปนั่งรอด้วยดี และพิจานเดินหลบเข้าไปหลังบ้าน แต่สักพักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำ 2 ใบ และวางแก้วอีกใบไว้ที่หน้าธวัชชัย
"ก่อนอื่นเลยครับคุณธวัชชัย ทำไมคุณถึงตามมาหาผมที่นี่ได้ และมาเพื่ออะไร"
"ผมคิดว่าคุณคงจะช่วยเหลือผมได้ ผมถึงแอบตามคุณมา"
"คุณมีปัญหาอะไรให้ผมช่วย"
พิจานพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ทำให้ธวัชชัยทำตามโดยดื่มน้ำจากแก้วไปหนึ่งอึกก่อนจะพูด
"คุณว่าแปลกไหมที่คนเราจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตเลย ผมไม่สามารถจดจำใครได้เลย แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมเคยมีคนอยู่เคียงข้าง แต่พวกเขาหายไปไหนกัน"
พิจานหยุดนิ่งไปสักพัก เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่
"อะไรทำให้คุณธวัชชัยคิดแบบนั้น"
"คือเมื่อไม่นานมานี้ผมเริ่มมองผู้คนรอบข้าง เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนที่แต่ละคนมีให้ต่อกัน แต่เมื่อผมมามองดูตัวเองกับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับใครได้เลย และที่ผมมาหาคุณก็เพราะว่าคุณเป็นคนเพียงคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของผม"
พิจานยังคงจ้องมองดูธวัชชัยเหมือนต้องการสังเกตความรู้สึกนึกคิดภายในใจ
"ผมคิดว่าคุณคงสูญเสียความทรงจำในอดีตไป อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณทำให้สมองอาจได้รับความกระทบกระเทือน คุณไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เลยหรือครับ"
"ใช่ครับ สิ่งที่ผมรู้สึกว่าวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีแค่บ้าน และอู่ซ่อมรถ แต่เอ๊ะ? ทำไม่คุณต้องคอยเฝ้าติดตามผมมาเกือบจะครบเดือนแล้ว"
พิจานนิ่งอีกครั้ง เข้าใช้มือคลายปมเนคไทที่ปกเสื้อของเขาให้คลายความรัดตึง และยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเบาๆอีกครั้ง
"ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงไม่สามารถปิดบังอะไรคุณได้อีกต่อไปแล้ว ความจริงคุณธวัชชัยคือผู้ป่วยของผม คุณได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้หัวสมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่งผลให้ความทรงจำให้สมองถูกตัดขาดจากสามัญสำนึกได้"
ธวัชชัยยังคงสับสนกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของพิจาน แต่เขาก็ค่อยๆเรียบเรียงสิ่งเหล่านั้นในความคิดของเขาจนพอจะเริ่มเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินมา
"แต่คุณธวัชชัยไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ นอกจากความทรงจำของคุณที่หายไปแล้ว ร่างกายคุณไม่ได้รับความเสียหายเลยแต่อย่างใด และความทรงจำของคุณก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนปกติได้"
"มันจะกลับมาอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ"
ธวัชชัยถามอย่างร้อนรน
"ก็มีความเป็นไปได้ครับ แต่ผมไม่สามารถฟันธงได้"
ธวัชชัยยังคงทำสีหน้ากังวลอยู่ภายในใจของเขา
"ในระหว่างนี้ก็รอเพียงแค่เวลาที่จะช่วยรักษาคุณให้หายเป็นปกติเอง"
"จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมมีเรื่องจะขอให้คุณช่วยผมสักเรื่องจะได้หรือไม่ครับ"
"คุณต้องการให้ผมช่วยอะไร"
"ผมอยากรู้ว่าผมเคยเป็นใคร ครอบครัวผมอยู่ไหน ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขาเคยอยู่เคียงข้างผม"
"คุณอยากจะรู้อดีตไปทำไมกัน คุณคิดว่าหากรู้อดีตแล้วจะทำให้คุณมีความสุขหรืออย่างไรกัน"
ธวัชชัยยังคงทำสีหน้าสับสนกับสิ่งที่พูด แต่ในดวงตาลึกแล้วเขาก็ยังมุ่งมั่นกับความปราถนาของตัวเขาเอง
"ผมไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกว่าการดำรงชีวิตโดยขาดรากเหง้า ไม่มีซึ่งความสัมพันธ์กับผู้คน ไม่มีครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนฝูงเลย มันช่างดูเหงาโดดเดี่ยวและโหดร้ายมากเกินไป"
"เอาล่ะคุณธวัชชัย คุณไม่กลัวว่าอดีีตจะกลับมาทำร้ายคุณหรือ"
ธวัชชัยหยุดคิดชั่วครู่
"อดีตที่โหดร้ายเพียงใด มันก็ยังทิ่มแทงจิตใจของเราได้น้อยกว่าที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ผมคิดแบบนี้"
"ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เราเก็บแฟ้มประวัติโดยละเอียดของคุณไว้ก่อนที่คุณจะเข้ารับการรักษาจากเรา ผมจะนำแฟ้มนั้นมาให้คุณ"
"ขอบคุณครับ"
เมื่อธวัชชัยพูดจบ เขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆโผล่เข้ามาในระบบประสาทของเขา ความรู้สึกนี้คืออาการเหมือนจะวูบหลับทันที แต่ธวัชชัยยังคงฝืนความรู้สึกนั้นไว้ได้ เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ หรือว่าน้ำที่ดื่มเข้าไปเมื่อกี๊นี้จะมียานอนหลับ ตอนนี้เหมือนกับตาของธวัชชัยหรือจะหรี่ลงเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคนๆนี้แล้ว
"คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ ผมอาจจะค้นหาแฟ้มให้ได้ในตอนนี้"
พิจานลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดิน ธวัชชัยได้โอกาสเขาหยิบแก้วน้ำเทใส่ปาก แต่เมื่อพิจานเดินลับหลังไปไกลแล้วธวัชชัยจึงบ้วนน้ำที่แกล้งทำเป็นดื่มใส่ลงในแก้วเหมือนเดิม เขาตัดสินใจเทน้ำที่อยู่ในแก้วลงบนโซฟาจนหมด ฟองน้ำดูดซึมกักเก็บน้ำได้ดีนัก จากนั้นธวัชชัยแกล้งทำเป็นหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาโดยใช้อาการง่วงนอนก่อนหน้านี้ที่ดื่มน้ำผสมยานอนหลับไปหนึ่งอึกเล็กๆช่วย ทำให้ไม่ดูผิดสังเกต
เวลาผ่านไปไม่นาน พิจานเดินกลับมาพร้อมกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน
"คนไข้หลับไปแล้ว เข้ามารับตัวไปห้องแลปได้"
ธวัชชัยได้ยินคำว่าห้องแลปไม่ใช่โรงพยาบาลถึงกับแปลกใจว่าเขาเป็นคนไข้หรืออะไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่โวยวายอะไรตอนนี้
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง กลุ่มเจ้าหน้าที่ในชุดสีขาวพากันเดินเข้าในบ้าน และค่อยๆพะยุงธวัชชัยลงเปล
"เดี๋ยวถึงห้องแล๊ปให้มัดไว้กับเตียงเลยนะ ยาจะหมดฤทธ์ภาย 2 ชั่วโมง แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการต่อเอง"
"ได้ครับดอกเตอร์"
หนึ่งในกลุ่มคนที่มาหามธวัชชัยตอบรับ ก่อนทั้งหมดจะช่วยกันหามธวัชชัยไปขึ้นรถตู้ที่มีเตียงพร้อมอุปกรณ์พร้อมสรรพและขับออกไปอย่างเงียบๆ
รถตู้จอดหน้าตึกใหญ่
เจ้าหน้าที่ 2 คนนำตัวธวัชชัยใส่เปลนอนและพาเดินเข้าไปในตัวตึก
ธวัชชัยยังแกล้งทำเป็นหลับสนิทจนกระทั่งเมื่อเขาถูกพาเข้ามาในห้องๆหนึ่ง
"ดอกเตอร์สั่งให้วางคนไข้ไว้ที่เตียง และสั่งมัดไว้ให้แน่นหนา เดี๋ยวนายจัดการต่อให้เรียบร้อยนะ"
"ได้ครับหัวหน้า"
คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าสั่งงานให้ลูกน้องนำชุดสำหรับรัดตัวคนไข้ไม่ให้ขยับเขยื้อนมาใส่ให้ธวัชชัย
จากนั้นเขาก็เดินออกไปทันทีโดยปล่อยให้ลูกน้องจัดการทำตามคำสั่งของพิจาน
ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์และธวัชชัยมั่นใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่อีกคนเดินออกจากห้องไปไกลแล้ว
ธวัชชัยค่อยลืมตาขึ้นก่อนจะลุกออกจากเตียง
จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ทันสังเกตจึงโดนธวัชชัยชกเข้าที่ท้ายทอยเต็มแรงจนเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับนอนสลบไม่รู้ตัว
ธวัชชัยไม่รอช้า เขาใช้ชุดที่เจ้าหน้าที่คนนั้นเตรียมจะนำมาใส่ให้ธวัชชัย
กลับนำมาใส่ให้เจ้าหน้าที่แทนและนำตัวไปมัดติดบนเตียงอีกที
ธวัชชัยนั่งรออยู่ข้างเตียง
เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นค่อยๆฟื้นจากอาการสลบ
พอดูท่าทางว่าจะคุยรู้เรื่องได้ ธวัชชัยจึงลุกขึ้นไปที่เตียง
"หมอคนนั้นทำอะไรกับฉันกันแน่ เขาเป็นหมอจริงๆหรือ"
เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา
ยังคงมีอาการตกใจและหวาดกลัว
"อย่าๆ อย่าทำอะไรผมเลย ผมมีหน้าที่แค่เข็นผู้ป่วยแค่นั้น
ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"
"ฉันโดนอุบัติเหตุทำให้สูญเสียความทรงจำจริงหรือ
ทำไมหมอต้องแอบวางยานอนหลับในแก้วน้ำด้วย"
"ผมไม่รู้จริงๆครับ ผมมีหน้าที่แค่ขนย้ายคนไข้เท่านั้นเอง"
ธวัชชัยดูรอบๆห้อง
"ที่นี่มันไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่"
น้ำเสียงธวัชชัยเรื่มจะดุดันขึ้นเรื่อยๆ
นั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้ายิ่งกลัว
"เราเป็นสถาบันเกี่ยวกับสมองครับผมรู้แค่นี้เอง
ไม่รู้ถึงข้อมูลของคุณว่าเป็นใครและรักษาอาการอะไร คุณต้องถามเรื่องนี้กับดอกเตอร์เอง"
"ห้องทำงานของหมอคนนั้นอยู่ที่ไหน"
ธวัชชัยคิดว่าคงไม่สามารถหาคำตอบกับเจ้าหน้าที่คนนี้ได้แล้ว
"อยู่ชั้น 2 ครับ ขึ้นบันไดแล้วไปทางซ้ายอีก 2
ห้อง หน้าห้องจะมีชื่อดอกเตอร์พิจานติดอยู่
แต่ขึ้นบันไดจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่"
"ไม่เป็นไร"
ธวัชชัยเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดของพนักงาน
โดยเอาชุดมาจากชายที่โดนมัดอยู่
เขาเดินออกไปเพื่อจะหาทางไปยังห้องทำงานของหมอพิจานให้ได้
ในระหว่างทางเขาต้องคอยเดินหลบเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเพราะกลัวโดนจับได้
เขาเดินหลบเข้าไปในห้องๆหนึ่งและเห็นสิ่งที่หน้าตกใจยิ่ง คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงหัวถูกพันด้วยผ้า
สายตาคู่นั้นดูเหม่อลอยและอาการชักเล็กน้อยที่ใบหน้า ทันใดนั้น!
มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูห้องเข้ามาและรีบกรูเข้ามาหมายจับตัวธวัชชัย
แต่เนื่องจากธวัชชัยมีความเร็วและพละกำลังที่เหนือกว่า จึงทำให้สลัดหนีออกมาจากห้องได้ก่อน
และวิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
บ้านของหมอพิจาน
เขาไม่ทันสังเกตเห็นคราบน้ำที่อยู่บนโซฟาแต่บังเอิญเขานั่งลงไปทับมันทำให้รู้ว่ามันเปียก
เขาก้มลงไปดูใต้โซฟาเห็นหยดน้ำไหลซึมออกมาจึงทำให้รู้ว่าน้ำที่หกบนโซฟานั้นมีปริมาณมาก
พิจานคิดได้ทันทีว่าธวัชชัยไม่ได้กินยานอนหลับที่เขาแอบผสมให้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเข้ารีบคว้ากุญแจรถและขับมันออกไปจากบ้านทันที
ธวัชชัยหนีเข้ามาในห้องน้ำ
เขามองหน้าตัวเองในกระจกและถึงกับตกใจ
แม้จะรู้ว่านี่คือใบหน้าของตนเองแต่เขาก็ไม่คุ้นเคยเลยสักนิดเดียว
ธวัชชัยคิดได้ว่าเขาโดนอุบัติเหตุมาตามคำบอกเล่าของหมอพิจานจึงหาร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเขา
แต่เขาก็ไม่เจออะไร และที่หัวของเขาก็ไม่มีร่องรอยการผ่าตัดใดๆ
ตอนนี้เขาสับสนไปหมดแล้วว่าคำพูดของหมอพิจานจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเขา
ธวัชชัยไม่ปล่อยให้ความสงสัยอยู่กับเขานาน
ทางเดียวที่เขาจะรู้ความจริงได้คือต้องไปหาแฟ้มข้อมูลในห้องทำงานของหมอพิจาน
เขารีบออกจากห้องน้ำและวิ่งขึ้นบันไดทันที
แต่ธวัชชัยก็เจอเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่ยืนดักรอเขาแล้ว
นั่นจึงทำให้เกิดเหตุชุลมุนไปทั่วทั้งตึก เวลาผ่านเนิ่นนาน
สุดท้ายธวัชชัยก็สามารถวิ่งหนีกลุ่มเจ้าหน้าที่มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของหมอพิจานได้
เขารีบเข้าไปในห้องและล็อคกลอนจากข้างในทันที
ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็พยายามพังประตูเข้าไปในห้องให้ได้
ธวัชชัยรีบลากโซฟาที่อยู่ข้างประตูมากีดขวางไว้
แต่นั่นไม่พอที่จะป้องกันการทะลายประตูเข้ามาได้ของเหล่าเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่จำนวนหลายในพยายามเข้ามารุมจับธวัชชัย
แต่!
เสียงๆหนึ่งดังมาจากโต๊ะทำงานของหมอพิจาน
"พอได้แล้ว! ปล่อยตัวเขาแล้วออกไปจากห้องทุกคน"
เจ้าหน้าทุกคนทำตามคำสั่งของหมอพิจานทันที
ตอนนี้เหลือธวัชชัยและหมอพิจานเท่านั้นที่อยู่ในห้อง
"ผมรู้ว่าสิ่งที่หมอพูดกับผมก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก
ผมไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่"
"ใจเย็นๆก่อนคุณธวัชชัย คุณเป็นคนไข้ของผมจริงๆ
เราเป็นสถาบันที่ค้นคว้าวิจัยการทำงานของสมอง
และเป็นเรื่องจริงที่คุณไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ
แต่มีคนสั่งให้ลบความทรงจำในอดีตของคุณให้เลือนหายไป"
สีหน้าของธวัชชัยแสดงความตกใจออกมาอย่างสุดขีด
"ใครกันที่สั่งให้ลบความทรงจำของผม
ผมคงจะไปล่วงรู้ความลับสำคัญของใครบางคนเข้า เขาจึงต้องการลบความจำของผม
มันต้องเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คุณหมอจะต้องทำให้ผมฟื้นความทรงจำให้ได้นะ"
"ไม่ต้องห่วงคุณธวัชชัย ผมเพียงแค่ทำให้สมองของคุณมีเลือดคั่งนิดหน่อย
แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง"
"จริงหรือครับคุณหมอ
แต่ตอนนี้บอกผมได้ไหมว่าใครเป็นสั่งให้ลบความทรงจำของผม"
หมอพิจานเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารในตู้
และนำมันมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
"ตอนนี้ผมเข้าใจดีแล้วครับคุณธวัชชัย
ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณตอนนี้คือความทรงจำในอดีต
ความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
และเคยทำอะไรมาก่อนทำให้คุณไม่เคยคิดถึงปัจจุบันและอนาคต คุณอยากรู้จริงๆหรือว่าใครเป็นคนสั่งให้ลบความทรงจำของคุณ"
"ใครกันครับ"
หมอพิจานหยุดนิ่งไปชั่วครู่
"คนที่สั่งให้ลบความทรงจำของคุณก็คือตัวคุณเอง"
ธวัชชัยเริ่มชินชากับความประหลาดใจใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว
"ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน มีคนบ้าที่ไหนอยากจะลบความทรงจำของตัวเอง"
"ก็คนบ้าแบบคุณนี่ไง
คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง
คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนคนในครอบครัวของคุณ"
"นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้วคุณหมอ ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน"
ธวัชชัยเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งจากความจริงที่เขาเพิ่งจะได้ฟังมา
"เอาล่ะครับคุณธวัชชัย ทุกอย่างอยู่ในแฟ้มเล่มนี้แล้ว
ถ้าคุณเปิดมันออกมาจะรู้ถึงสาเหตุที่คุณอยากจะลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ
ในตอนที่คุณมาหาเรานั้นคุณมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง
คุณพยายามฆ่าตัวตายแล้วแต่ไม่สำเร็จ
ผมคิดว่าวิธีการรักษาคุณคือการลบเลือนความทรงจำที่สะเทือนใจของคุณออกไป
แต่วันนี้ผมคิดว่าวิธีการนี้กลับจะทำร้ายผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น"
ธวัชชัยยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังสิ่งที่หมอพิจานพูดต่อไป
"ผมจะให้แฟ้มนี้กับคุณไว้
คุณเท่านั้นที่จะตัดสินใจเองว่าจะเปิดมันออกดูหรือจะเผามัน
แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าการรับรู้เหตุการณ์นั้นทันทีอาจจะส่งผลร้ายถ้าคุณเปิดอ่านมัน
หรือถ้าคุณเลือกจะเผาแฟ้มนี้ทิ้งโดยไม่อ่านมัน
ความทรงจำของคุณเองจะค่อยๆฟื้นกลับคืนมาเมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจจะค่อยๆชินชากับมันเองก็ได้"
....
ในบ้านของธวัชชัย
เขานั่งมองดูแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่าทางของธวัชชัยยังคงลังเลที่จะเปิดมัน
เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากของหมอพิจาน
ใจหนึ่งเขาคิดว่าหากเขาเลือกที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไว้มันก็เหมือนกับว่าเขาเลือกที่จะหลอกตัวเอง
แต่ถ้าเปิดแฟ้มก็เหมือนกับเขายอมที่จะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง
แต่ตัวธวัชชัยเองก็กลัวว่าเขาเองจะยอมรับมันไม่ได้
ธวัชชัยเปิดแฟ้มออกดู
บันทึกของหมอพิจานเขียนไว้ว่า
'ผู้ป่วยมีอาการของโรคซึมเศร้าอันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ไฟใหม้บ้าน
ส่งผลให้พ่อแม่ของเขา ภรรยาและลูกชายอีกสองคนทั้งหมดถูกไฟครอกตาย'
เมื่อความทรงจำถูกกระตุ้น
อารมณ์ความโศรกเศร้าหวนกลับคืนมาเร็วยิ่งกว่าความทรงจำทั้งหมด
ธวัชชัยร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเหตุการณ์เหล่านี้มันเพิ่งจะเกิดกับเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง
ความโหดร้ายแบบนี้เองที่ทำให้เขาอยากจะลบเลือนออกไปจากความทรงจำ
ในคืนที่อากาศหนาวเย็นมืดมิดเช่นนี้
มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับจิตใจของเขาที่ดำดิ่งลึกลงไปเหมือนใต้ทะเลลึกนับหมื่นๆเมตร
จิตใจคนเรานี่แปลกยิ่งน้ก แม้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นยังไม่คืนมา แต่ความคาดหวัง ณ ปัจจุบันที่จะตามหาครอบครัวและลูกเมีย และเมื่อรู้ความจริงว่าพวกเขานั้นได้ตายไปหมดแล้ว ธวัชชัยก็หมดกำลังใจที่ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มไหมกับการแบกรับอดีตที่โหดร้าย หรือมันอาจจะดีเสียกว่าถ้าหากลืมเลือนความสะเทือนใจนั้นไป ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่อดีต
มันหนักหนาเกินไปที่จิตใจของธวัชชัยจะรับไหว เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยใช้ถุงพลาสติกครอบหัวและใช้เชือกมัดขอบถุงรัดแน่นกับคอ ในจังหวะที่เขายังมีลมหายใจเขาลงไปนั่งกับกับเก้าอี้และเอามือไพล่หลังไว้ ในมือข้างหนึ่งของเขาถือเคเบิ้ลไทร์ขนาดเส้นใหญ่พอที่จะรัดข้อมือของเขาให้แน่นติดดัน ธวัชชัยคล้องสายเคเบิ้ลไทร์รัดข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน
เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งนาที ธวัชชัยเริ่มมีอาการดิ้นทุรนทุราย ในตอนนี้มันสายไปแล้วที่เขาจะเปลี่ยนใจเพราะไม่สามารถเอื้อมมือมาฉีกถุงพลาสติกที่คลุมหัวของเขาได้ มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการไว้ด้วยสายพลาสติกที่มีความเหนียวแน่นหนา ไม่มีทางที่ธวัชชัยจะใช้แรงจากแขนดึงให้เส้นนั้นขาดได้ หากเขาปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้อีก 2 นาทีก็จะทำให้เขาหมดสติไป และถ้าผ่านเลยไปอีก 2 นาทีก็จะทำให้สมองของธวัชชัยหยุดการทำงาน
อีกเพียงไม่กี่วินาทีก็จะสมความปรารถนาของธวัชชัยแล้ว สติของเขาเริ่มจะดับลงๆเหมือนแสงไฟจากกระบอกไฟฉายที่ถูกปิดสวิตซ์ แต่ก่อนที่แสงไฟเล็กๆของธวัชชัยจะดับวูบลง มีมือๆหนึ่งมาฉีกถุงพลาสติกออกจากใบหน้าของธวัชชัย เจ้าของมือนั้นคือหมอพิจานนั่นเอง จากนั้นเจ้าหน้าที่อีก 2 คนนำหน้ากากช่วยหายใจมาครอบที่หน้าของธวัชชัย หมอพิจานตรวจวัดชีพจรก่อนจะช่วยกันแบกร่างของธวัชชัยออกไป
....
ธวัชชัยในชุดผู้ป่วยสีขาว กำลังนั่งมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย เขานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่มีสภาพไม่ต่างจากเขามากนัก คนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงกัน แต่ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีแม้เสียงพูดจาใดๆเล็ดลอดออกมา ตอนนี้มีเพียงแต่เวลาเท่านั้นที่จะรักษาบาดแผลในใจของธวัชชัยให้หายเป็นปกติได้