วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ความทรงจำที่หายไป

ธวัชชัยกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บอุปกรณ์เครื่องมือลงในกล่องเหล็ก หลังจากที่เขาประกอบชิ้นส่วนของเพลาล้อของรถกระบะคันใหญ่เสร็จ ธวัชชัยขับเคลื่อนมันออกไปจอดที่ลานกว้างหน้าอู่เพื่อรอเจ้าของมารับมัน โดยที่เขาแอบสังเกตใครบางคนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ชายชุดดำคนที่น่าสงสัยนี้ธวัชชัยเริ่มสงสัยถึงพฤติกรรมแปลกๆมานานแล้ว ในทุกวันเวลาใกล้เย็น ชายชุดสูทสีดำจะแต่งกายชุดเดิมทุกวันมานั่งยังร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนเพียงใด แต่เครื่องแต่งกายของชายคนนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ธวัชชัยเริ่มเห็นบุคคลผู้นี้มาได้เกือบจะครบเดือนแล้วที่มานั่งเฝ้าคอยเหมือนจะต้องการเฝ้าสังเกตใครสักคน และคนที่ธวัชชัยคิดว่าชายชุดดำคนนั้นเฝ้ามองก็คือตัวของเขาเอง

เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังถูกเฝ้าจับตามอง ธวัชชัยก็แอบเฝ้ามองชายชุดดำนั้นด้วยเหมือนกัน เพียงแต่เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกแอบเฝ้ามองอยู่ และวันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน พอใกล้จะถึงเวลาปิดอู่ซ่อมรถ ชายชุดดำก็ทำท่าทางจดบันทึกอะไรสักอย่างลงไปในสมุดและลุกเดินออกไป เมื่อเห็นชายชุดดำเดินพ้นจากสายตาไปแล้ว ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องเตรียมเก็บของและปิดประตูเหล็กหน้าร้านลง

ธวัชชัยค่อยๆขับรถบนถนนที่การจราจรติดขัดผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ วันนี้เป็นวันหยุดสิ้นเดือนผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมา มีทั้งครอบครัวเพื่อนฝูงมากันเป็นกลุ่ม ตอนนี้รถจอดนิ่งสนิทแล้วเพราะติดไฟแดง ทำให้สายตาของเขาไปตกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งที่เดินจูงมือกันมา 3 คนมีพ่อแม่ลูกเดินหยอกล้อกันดูสนิทสนมกลมเกลียว ธวัชชัยมองภาพนั้นแล้วทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกลับบรรยากาศแบบนี้ยิ่งนัก แต่ไม่ว่าธวัชชัยจะพยายามนึกเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถดึงความทรงจำอะไรออกมาได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้

'ปรี๊น...!!'

เสียงแตรดังจากรถคันข้างหลังเพื่อจะส่งสัญญาณให้ธวัชชัยเหยียบคันเร่งไปข้างหน้า เนื่องจากไฟเขียวแล้วแต่เขายังทำสายตาเหม่อลอยเมื่อพยายามคิดถึงความรู้สึกที่ขาดหายไปนั้น ธวัชชัยตัดสินใจเลี้ยวรถยนต์เข้าไปจอดในห้างใหญ่ จากนั้นที่ลานกว้างหน้าห้างมีลานเบียร์ที่ผู้คนยังไม่ค่อยหนาแน่นนัก เขาเดินไปนั่งโต๊ะกลางลานเพื่อเฝ้าสังเกตโต๊ะอื่นๆที่มากันหลายคนแทบจะทุกโต๊ะ ธวัชชัยสั่งเบียร์มาหนึ่งขวดมาตั้งไว้ที่โต๊ะแต่เขาไม่สนใจมันเลย สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือเพื่อนๆหรือคนรู้จักของเขาหายไปไหน ไม่ใช่ว่าเขาจะมานั่งรอใครบางคนแล้วรอให้คนๆนั้นมาถึง แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือเขาไม่มีความทรงจำถึงใครเลยสักคนเดียวที่จะเรียกมานั่งดื่มกินเหมือนโต๊ะข้างๆได้

ธวัชชัยยังใช้สิทธิ์นั่งที่โต๊ะต่อไปเพราะเขาสั่งเบียร์มาแล้วหนึ่งขวดแต่เขาไม่แตะมันเลย เมื่อธวัชชัยไม่สามารถย้อนความทรงจำในอดีตถึงใครได้เลย เขาจึงพยายามคิดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ และในอนาคตเขาคิดถึงสิ่งใด

คราบเหงื่อจางๆเริ่มซึมออกมาจากใบหน้าของธวัชชัย ทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของคลื่นความร้อนใดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับเหงื่อเต็มใบหน้าเพราะว่าเขานึกอะไรไม่ออกเลยถึงคำถามที่เขาตั้งขึ้นมาในใจเมื่อสักครู่นี้ ธวัชชัยรู้แต่เพียงว่าแค่ช่วงชีวิตประจำวันนี้ เขาตื่นนอนก็ออกจากบ้านมายังอู่ที่เขาเองเป็นเจ้าของมัน ความทรงจำในชีวิตของเขามีเพียงเท่านี้เอง

นี่เพิ่งเริ่มจะหัวค่ำไม่นาน ธวัชชัยค่อยๆขับรถไปอย่างเชื่องช้า ในหัวสมองเขาตอนนี้ไม่อยากจะคิดอะไรแม้สักเรื่องเดียว ธวัชชัยคงคิดว่าความทรงจำในอดีตนั้นมีค่ามหาศาลในยามที่เขาไม่มีมัน

ทันใดนั้น! แสงไฟจากหน้ารถคันอื่นสาดเข้ามาจากทางด้านซ้ายของเขา ธวัชชัยพุ่งออกมาจากทางแยกโดยที่ลืมสังเกตรถยนต์ทางซ้ายมือที่พุ่งมาด้วยความเร็ว ระยะห่างไม่ถึง 20 เมตร เสี้ยววินาทีนี้เขามองแสงไฟนั้นด้วยความไม่ตื่นตระหนก เหมือนเขาไม่กลัวอะไรเลยกับความตายที่เข้ามาอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรืออาจจะเป็นเพราะในเมื่อเขาไม่มีอดีตความทรงจำใดๆเหลืออีกต่อไป เขาคงไม่ต้องแคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว

'เอี๊ยด...!!'

รถคันที่พุ่งมาทางซ้ายหักหลบไปทางด้านหลังอย่างฉิวเฉียด ธวัชชัยพยายามตั้งสติและขับรถยนต์ต่อไปจนถึงบ้านพักของเขา เมื่อรถยนต์จอดหน้าบ้าน เขาเดินลงจากลดแล้วมองไปที่เพื่อนบ้านหลายๆหลังที่อยู่ติดกัน แต่นั่นไม่ทำให้ธวัชชัยคุ้นตาเลยสักนิดเดียว เขาแทบอยากจะเดินไปเคาะประตูบ้านข้างๆเพื่อถามว่าตัวเขาเองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และรู้จักกันหรือไม่? แต่จนแล้วจนรอด ธวัชชัยก็ไม่กล้าไปเคาะประตูบ้านของคนแปลกหน้า

ธวัชชัยเปิดประตูบ้านและสวิตซ์ไฟ เขาพยายามมองหาร่องรอยหลักฐานที่จะสามารถบ่งชี้ได้ ว่าเขาเคยเป็นใครและมีใครบ้างที่เขาเองเคยรู้จัก ที่ผนังบ้านไม่มีรูปภาพบุคคลใดๆแขวนไว้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในบ้านถูกออกแบบสำหรับคนๆเดียว โต๊ะกินข้าวก็มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ถ้วยจานชามมีพอใช้สำหรับคนๆเดียว เสื้อผ้าก็มีเฉพาะที่เป็นของธวัชชัยคนเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจลึกๆก็คือ ภาพของพ่อแม่ลูกและกลุ่มคนที่เขาเห็นหน้าห้างเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้ เมื่อนึกถึงภาพเหล่านั้นยิ่งทำให้ธวัชชัยรู้สึกว่าเขาเคยมีคนพวกนั้นอยู่พร้อมสรรพแต่เขาทำหายไป

ธวัชชัยมีแค่ความทรงจำสั้นๆว่าเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ มีอู่ซ่อมรถยนต์เป็นของตัวเองและมีลูกน้องที่อู่อีก 2 คน แต่ลูกน้องทั้ง 2 คนก็เป็นคนที่มาสมัครงานกับเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว ธวัชชัยไม่สามารถคิดถึงใครที่เขาเคยรู้จักได้

ธวัชชัยลืมตาขึ้นมาจากสภาวะจิตที่จมดิ่งลึก เขานึกขึ้นได้ถึงชายในชุดดำที่เขาสังเกตเห็นมาร่วมเดือนกว่าแล้ว คนๆนั้นคงจะเป็นบุคคลเดียวที่จะพาธวัชชัยย้อนกลับไปหาตัวตนของตนเองได้ เมื่อเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง ธวัชชัยจึงเลิกทำเป็นจมทุกข์และกลับไปใช้ชีวิตประจำตามปกติ

วันถัดมาธวัชชัยกลับมาทำงานที่อู่ตามปกติ เขาซ่อมรถหลายคันที่มาจอดรออยู่เต็มพื้นที่ในอู่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบถึงเวลาที่ชายชุดดำคนนั้นจะมา ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องปิดร้านเร็วกว่าปกติ โดยที่เขาเปลี่ยนชุดแต่งตัวด้วยชุดหนังทั้งตัวพร้อมใส่หมวกกันน๊อคเพื่ออำพรางใบหน้า ธวัชชัยขี่มอเตอร์ไซค์ไปแอบรอที่มุมถนนข้างร้าน เขาเฝ้าชำเลืองมองดูนาฬิกาตลอดเวลาเพื่อคาดคะเนเวลาการมาถึงของชายชุดดำ

และเวลานั้นก็มาถึง ชายในชุดสูทขับรถเก๋งคันใหญ่มาจอดหน้าร้านอาหารร้านเดิม แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้อู่ของธวัชชัยปิด ชายคนนั้นจึงเหยียบคันเร่งออกไปทันที ได้โอกาสที่รถเก๋งคันนั้นนขับออกไปห่างจากจุดที่ธวัชชัยซ่อนอยู่ เขาจึงค่อยๆขี่รถตามดูห่างๆเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตได้

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นเริ่มไกลออกไปมากแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความพยายามของธวัชชัยลดลง และในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านของชายชุดดำ รถเก๋งเข้าจอดในบ้าน ธวัชชัยตามไปติดๆและเข้าประกบทันทีที่มีโอกาส

"สวัสดีครับ คุณคงจำผมได้นะ"

ธวัชชัยเอ่ยถาม เขาถอดหมวกกันน็อดออกเพื่อเผยใบหน้า ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหน้าซีดทันทีที่เห็นใบหน้าของธวัชชัย

"คุณคือธวัชชัย"

เสียงตอบราบเรียบที่ถูกกลบเกลื่อนความตกใจแล้ว ชายที่ยังแต่งตัวด้วยชุดดำทำสีหน้านิ่งเรียบ

"คุณรู้จักชื่อผม คุณรู้จักผม?"

ธวัชชัยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ก็... ใช่ครับ ผมชื่อพิจาน ผมว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า"

พิจานเชิญธวัชชัยเข้าไปในบ้าน เขาให้ธวัชชัยไปนั่งรอที่ชุดโซฟาเนื้อผ้าบุด้วยฟองน้ำสีน้ำเงินเข้ม ธวัชชัยไปนั่งรอด้วยดี และพิจานเดินหลบเข้าไปหลังบ้าน แต่สักพักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำ 2 ใบ และวางแก้วอีกใบไว้ที่หน้าธวัชชัย

"ก่อนอื่นเลยครับคุณธวัชชัย ทำไมคุณถึงตามมาหาผมที่นี่ได้ และมาเพื่ออะไร"

"ผมคิดว่าคุณคงจะช่วยเหลือผมได้ ผมถึงแอบตามคุณมา"

"คุณมีปัญหาอะไรให้ผมช่วย"

พิจานพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ทำให้ธวัชชัยทำตามโดยดื่มน้ำจากแก้วไปหนึ่งอึกก่อนจะพูด

"คุณว่าแปลกไหมที่คนเราจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตเลย ผมไม่สามารถจดจำใครได้เลย แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมเคยมีคนอยู่เคียงข้าง แต่พวกเขาหายไปไหนกัน"

พิจานหยุดนิ่งไปสักพัก เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่

"อะไรทำให้คุณธวัชชัยคิดแบบนั้น"

"คือเมื่อไม่นานมานี้ผมเริ่มมองผู้คนรอบข้าง เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนที่แต่ละคนมีให้ต่อกัน แต่เมื่อผมมามองดูตัวเองกับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับใครได้เลย และที่ผมมาหาคุณก็เพราะว่าคุณเป็นคนเพียงคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของผม"

พิจานยังคงจ้องมองดูธวัชชัยเหมือนต้องการสังเกตความรู้สึกนึกคิดภายในใจ

"ผมคิดว่าคุณคงสูญเสียความทรงจำในอดีตไป อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณทำให้สมองอาจได้รับความกระทบกระเทือน คุณไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เลยหรือครับ"

"ใช่ครับ สิ่งที่ผมรู้สึกว่าวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีแค่บ้าน และอู่ซ่อมรถ แต่เอ๊ะ? ทำไม่คุณต้องคอยเฝ้าติดตามผมมาเกือบจะครบเดือนแล้ว"

พิจานนิ่งอีกครั้ง เข้าใช้มือคลายปมเนคไทที่ปกเสื้อของเขาให้คลายความรัดตึง และยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเบาๆอีกครั้ง

"ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงไม่สามารถปิดบังอะไรคุณได้อีกต่อไปแล้ว ความจริงคุณธวัชชัยคือผู้ป่วยของผม คุณได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้หัวสมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่งผลให้ความทรงจำให้สมองถูกตัดขาดจากสามัญสำนึกได้"

ธวัชชัยยังคงสับสนกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของพิจาน แต่เขาก็ค่อยๆเรียบเรียงสิ่งเหล่านั้นในความคิดของเขาจนพอจะเริ่มเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินมา

"แต่คุณธวัชชัยไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ นอกจากความทรงจำของคุณที่หายไปแล้ว ร่างกายคุณไม่ได้รับความเสียหายเลยแต่อย่างใด และความทรงจำของคุณก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนปกติได้"

"มันจะกลับมาอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ"

ธวัชชัยถามอย่างร้อนรน

"ก็มีความเป็นไปได้ครับ แต่ผมไม่สามารถฟันธงได้"

ธวัชชัยยังคงทำสีหน้ากังวลอยู่ภายในใจของเขา

"ในระหว่างนี้ก็รอเพียงแค่เวลาที่จะช่วยรักษาคุณให้หายเป็นปกติเอง"

"จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมมีเรื่องจะขอให้คุณช่วยผมสักเรื่องจะได้หรือไม่ครับ"

"คุณต้องการให้ผมช่วยอะไร"

"ผมอยากรู้ว่าผมเคยเป็นใคร ครอบครัวผมอยู่ไหน ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขาเคยอยู่เคียงข้างผม"

"คุณอยากจะรู้อดีตไปทำไมกัน คุณคิดว่าหากรู้อดีตแล้วจะทำให้คุณมีความสุขหรืออย่างไรกัน"

ธวัชชัยยังคงทำสีหน้าสับสนกับสิ่งที่พูด แต่ในดวงตาลึกแล้วเขาก็ยังมุ่งมั่นกับความปราถนาของตัวเขาเอง

"ผมไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกว่าการดำรงชีวิตโดยขาดรากเหง้า ไม่มีซึ่งความสัมพันธ์กับผู้คน ไม่มีครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนฝูงเลย มันช่างดูเหงาโดดเดี่ยวและโหดร้ายมากเกินไป"

"เอาล่ะคุณธวัชชัย คุณไม่กลัวว่าอดีีตจะกลับมาทำร้ายคุณหรือ"

ธวัชชัยหยุดคิดชั่วครู่

"อดีตที่โหดร้ายเพียงใด มันก็ยังทิ่มแทงจิตใจของเราได้น้อยกว่าที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ผมคิดแบบนี้"

"ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เราเก็บแฟ้มประวัติโดยละเอียดของคุณไว้ก่อนที่คุณจะเข้ารับการรักษาจากเรา ผมจะนำแฟ้มนั้นมาให้คุณ"

"ขอบคุณครับ"

เมื่อธวัชชัยพูดจบ เขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆโผล่เข้ามาในระบบประสาทของเขา ความรู้สึกนี้คืออาการเหมือนจะวูบหลับทันที แต่ธวัชชัยยังคงฝืนความรู้สึกนั้นไว้ได้ เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ หรือว่าน้ำที่ดื่มเข้าไปเมื่อกี๊นี้จะมียานอนหลับ ตอนนี้เหมือนกับตาของธวัชชัยหรือจะหรี่ลงเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคนๆนี้แล้ว

"คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ ผมอาจจะค้นหาแฟ้มให้ได้ในตอนนี้"

พิจานลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดิน ธวัชชัยได้โอกาสเขาหยิบแก้วน้ำเทใส่ปาก แต่เมื่อพิจานเดินลับหลังไปไกลแล้วธวัชชัยจึงบ้วนน้ำที่แกล้งทำเป็นดื่มใส่ลงในแก้วเหมือนเดิม เขาตัดสินใจเทน้ำที่อยู่ในแก้วลงบนโซฟาจนหมด ฟองน้ำดูดซึมกักเก็บน้ำได้ดีนัก จากนั้นธวัชชัยแกล้งทำเป็นหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาโดยใช้อาการง่วงนอนก่อนหน้านี้ที่ดื่มน้ำผสมยานอนหลับไปหนึ่งอึกเล็กๆช่วย ทำให้ไม่ดูผิดสังเกต

เวลาผ่านไปไม่นาน พิจานเดินกลับมาพร้อมกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

"คนไข้หลับไปแล้ว เข้ามารับตัวไปห้องแลปได้"

ธวัชชัยได้ยินคำว่าห้องแลปไม่ใช่โรงพยาบาลถึงกับแปลกใจว่าเขาเป็นคนไข้หรืออะไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่โวยวายอะไรตอนนี้

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง กลุ่มเจ้าหน้าที่ในชุดสีขาวพากันเดินเข้าในบ้าน และค่อยๆพะยุงธวัชชัยลงเปล

"เดี๋ยวถึงห้องแล๊ปให้มัดไว้กับเตียงเลยนะ ยาจะหมดฤทธ์ภาย 2 ชั่วโมง แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการต่อเอง"

"ได้ครับดอกเตอร์"

หนึ่งในกลุ่มคนที่มาหามธวัชชัยตอบรับ ก่อนทั้งหมดจะช่วยกันหามธวัชชัยไปขึ้นรถตู้ที่มีเตียงพร้อมอุปกรณ์พร้อมสรรพและขับออกไปอย่างเงียบๆ

รถตู้จอดหน้าตึกใหญ่ เจ้าหน้าที่ 2 คนนำตัวธวัชชัยใส่เปลนอนและพาเดินเข้าไปในตัวตึก ธวัชชัยยังแกล้งทำเป็นหลับสนิทจนกระทั่งเมื่อเขาถูกพาเข้ามาในห้องๆหนึ่ง

"ดอกเตอร์สั่งให้วางคนไข้ไว้ที่เตียง และสั่งมัดไว้ให้แน่นหนา เดี๋ยวนายจัดการต่อให้เรียบร้อยนะ"

"ได้ครับหัวหน้า"

คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าสั่งงานให้ลูกน้องนำชุดสำหรับรัดตัวคนไข้ไม่ให้ขยับเขยื้อนมาใส่ให้ธวัชชัย จากนั้นเขาก็เดินออกไปทันทีโดยปล่อยให้ลูกน้องจัดการทำตามคำสั่งของพิจาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์และธวัชชัยมั่นใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่อีกคนเดินออกจากห้องไปไกลแล้ว ธวัชชัยค่อยลืมตาขึ้นก่อนจะลุกออกจากเตียง จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ทันสังเกตจึงโดนธวัชชัยชกเข้าที่ท้ายทอยเต็มแรงจนเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับนอนสลบไม่รู้ตัว ธวัชชัยไม่รอช้า เขาใช้ชุดที่เจ้าหน้าที่คนนั้นเตรียมจะนำมาใส่ให้ธวัชชัย กลับนำมาใส่ให้เจ้าหน้าที่แทนและนำตัวไปมัดติดบนเตียงอีกที

ธวัชชัยนั่งรออยู่ข้างเตียง เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นค่อยๆฟื้นจากอาการสลบ พอดูท่าทางว่าจะคุยรู้เรื่องได้ ธวัชชัยจึงลุกขึ้นไปที่เตียง

"หมอคนนั้นทำอะไรกับฉันกันแน่ เขาเป็นหมอจริงๆหรือ"

เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยังคงมีอาการตกใจและหวาดกลัว

"อย่าๆ อย่าทำอะไรผมเลย ผมมีหน้าที่แค่เข็นผู้ป่วยแค่นั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

"ฉันโดนอุบัติเหตุทำให้สูญเสียความทรงจำจริงหรือ ทำไมหมอต้องแอบวางยานอนหลับในแก้วน้ำด้วย"

"ผมไม่รู้จริงๆครับ ผมมีหน้าที่แค่ขนย้ายคนไข้เท่านั้นเอง"

ธวัชชัยดูรอบๆห้อง

"ที่นี่มันไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่"

น้ำเสียงธวัชชัยเรื่มจะดุดันขึ้นเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้ายิ่งกลัว

"เราเป็นสถาบันเกี่ยวกับสมองครับผมรู้แค่นี้เอง ไม่รู้ถึงข้อมูลของคุณว่าเป็นใครและรักษาอาการอะไร คุณต้องถามเรื่องนี้กับดอกเตอร์เอง"

"ห้องทำงานของหมอคนนั้นอยู่ที่ไหน"

ธวัชชัยคิดว่าคงไม่สามารถหาคำตอบกับเจ้าหน้าที่คนนี้ได้แล้ว

"อยู่ชั้น 2 ครับ ขึ้นบันไดแล้วไปทางซ้ายอีก 2 ห้อง หน้าห้องจะมีชื่อดอกเตอร์พิจานติดอยู่ แต่ขึ้นบันไดจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่"

"ไม่เป็นไร"

ธวัชชัยเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดของพนักงาน โดยเอาชุดมาจากชายที่โดนมัดอยู่ เขาเดินออกไปเพื่อจะหาทางไปยังห้องทำงานของหมอพิจานให้ได้ ในระหว่างทางเขาต้องคอยเดินหลบเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเพราะกลัวโดนจับได้ เขาเดินหลบเข้าไปในห้องๆหนึ่งและเห็นสิ่งที่หน้าตกใจยิ่ง คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงหัวถูกพันด้วยผ้า สายตาคู่นั้นดูเหม่อลอยและอาการชักเล็กน้อยที่ใบหน้า ทันใดนั้น! มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูห้องเข้ามาและรีบกรูเข้ามาหมายจับตัวธวัชชัย แต่เนื่องจากธวัชชัยมีความเร็วและพละกำลังที่เหนือกว่า จึงทำให้สลัดหนีออกมาจากห้องได้ก่อน และวิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

บ้านของหมอพิจาน เขาไม่ทันสังเกตเห็นคราบน้ำที่อยู่บนโซฟาแต่บังเอิญเขานั่งลงไปทับมันทำให้รู้ว่ามันเปียก เขาก้มลงไปดูใต้โซฟาเห็นหยดน้ำไหลซึมออกมาจึงทำให้รู้ว่าน้ำที่หกบนโซฟานั้นมีปริมาณมาก พิจานคิดได้ทันทีว่าธวัชชัยไม่ได้กินยานอนหลับที่เขาแอบผสมให้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเข้ารีบคว้ากุญแจรถและขับมันออกไปจากบ้านทันที

ธวัชชัยหนีเข้ามาในห้องน้ำ เขามองหน้าตัวเองในกระจกและถึงกับตกใจ แม้จะรู้ว่านี่คือใบหน้าของตนเองแต่เขาก็ไม่คุ้นเคยเลยสักนิดเดียว ธวัชชัยคิดได้ว่าเขาโดนอุบัติเหตุมาตามคำบอกเล่าของหมอพิจานจึงหาร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเขา แต่เขาก็ไม่เจออะไร และที่หัวของเขาก็ไม่มีร่องรอยการผ่าตัดใดๆ ตอนนี้เขาสับสนไปหมดแล้วว่าคำพูดของหมอพิจานจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเขา

ธวัชชัยไม่ปล่อยให้ความสงสัยอยู่กับเขานาน ทางเดียวที่เขาจะรู้ความจริงได้คือต้องไปหาแฟ้มข้อมูลในห้องทำงานของหมอพิจาน เขารีบออกจากห้องน้ำและวิ่งขึ้นบันไดทันที แต่ธวัชชัยก็เจอเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่ยืนดักรอเขาแล้ว นั่นจึงทำให้เกิดเหตุชุลมุนไปทั่วทั้งตึก เวลาผ่านเนิ่นนาน สุดท้ายธวัชชัยก็สามารถวิ่งหนีกลุ่มเจ้าหน้าที่มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของหมอพิจานได้ เขารีบเข้าไปในห้องและล็อคกลอนจากข้างในทันที ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็พยายามพังประตูเข้าไปในห้องให้ได้ ธวัชชัยรีบลากโซฟาที่อยู่ข้างประตูมากีดขวางไว้ แต่นั่นไม่พอที่จะป้องกันการทะลายประตูเข้ามาได้ของเหล่าเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จำนวนหลายในพยายามเข้ามารุมจับธวัชชัย

แต่! เสียงๆหนึ่งดังมาจากโต๊ะทำงานของหมอพิจาน

"พอได้แล้ว! ปล่อยตัวเขาแล้วออกไปจากห้องทุกคน"

เจ้าหน้าทุกคนทำตามคำสั่งของหมอพิจานทันที ตอนนี้เหลือธวัชชัยและหมอพิจานเท่านั้นที่อยู่ในห้อง

"ผมรู้ว่าสิ่งที่หมอพูดกับผมก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก ผมไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่"

"ใจเย็นๆก่อนคุณธวัชชัย คุณเป็นคนไข้ของผมจริงๆ เราเป็นสถาบันที่ค้นคว้าวิจัยการทำงานของสมอง และเป็นเรื่องจริงที่คุณไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ แต่มีคนสั่งให้ลบความทรงจำในอดีตของคุณให้เลือนหายไป"

สีหน้าของธวัชชัยแสดงความตกใจออกมาอย่างสุดขีด

"ใครกันที่สั่งให้ลบความทรงจำของผม ผมคงจะไปล่วงรู้ความลับสำคัญของใครบางคนเข้า เขาจึงต้องการลบความจำของผม มันต้องเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คุณหมอจะต้องทำให้ผมฟื้นความทรงจำให้ได้นะ"

"ไม่ต้องห่วงคุณธวัชชัย ผมเพียงแค่ทำให้สมองของคุณมีเลือดคั่งนิดหน่อย แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง"

"จริงหรือครับคุณหมอ แต่ตอนนี้บอกผมได้ไหมว่าใครเป็นสั่งให้ลบความทรงจำของผม"

หมอพิจานเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารในตู้ และนำมันมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา

"ตอนนี้ผมเข้าใจดีแล้วครับคุณธวัชชัย ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณตอนนี้คือความทรงจำในอดีต ความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และเคยทำอะไรมาก่อนทำให้คุณไม่เคยคิดถึงปัจจุบันและอนาคต คุณอยากรู้จริงๆหรือว่าใครเป็นคนสั่งให้ลบความทรงจำของคุณ"

"ใครกันครับ"

หมอพิจานหยุดนิ่งไปชั่วครู่

"คนที่สั่งให้ลบความทรงจำของคุณก็คือตัวคุณเอง"

ธวัชชัยเริ่มชินชากับความประหลาดใจใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว

"ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน มีคนบ้าที่ไหนอยากจะลบความทรงจำของตัวเอง"

"ก็คนบ้าแบบคุณนี่ไง คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนคนในครอบครัวของคุณ"

"นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้วคุณหมอ ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน"

ธวัชชัยเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งจากความจริงที่เขาเพิ่งจะได้ฟังมา

"เอาล่ะครับคุณธวัชชัย ทุกอย่างอยู่ในแฟ้มเล่มนี้แล้ว ถ้าคุณเปิดมันออกมาจะรู้ถึงสาเหตุที่คุณอยากจะลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ในตอนที่คุณมาหาเรานั้นคุณมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง คุณพยายามฆ่าตัวตายแล้วแต่ไม่สำเร็จ ผมคิดว่าวิธีการรักษาคุณคือการลบเลือนความทรงจำที่สะเทือนใจของคุณออกไป แต่วันนี้ผมคิดว่าวิธีการนี้กลับจะทำร้ายผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น"

ธวัชชัยยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังสิ่งที่หมอพิจานพูดต่อไป

"ผมจะให้แฟ้มนี้กับคุณไว้ คุณเท่านั้นที่จะตัดสินใจเองว่าจะเปิดมันออกดูหรือจะเผามัน แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าการรับรู้เหตุการณ์นั้นทันทีอาจจะส่งผลร้ายถ้าคุณเปิดอ่านมัน หรือถ้าคุณเลือกจะเผาแฟ้มนี้ทิ้งโดยไม่อ่านมัน ความทรงจำของคุณเองจะค่อยๆฟื้นกลับคืนมาเมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจจะค่อยๆชินชากับมันเองก็ได้"

....

ในบ้านของธวัชชัย เขานั่งมองดูแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่าทางของธวัชชัยยังคงลังเลที่จะเปิดมัน เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากของหมอพิจาน ใจหนึ่งเขาคิดว่าหากเขาเลือกที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไว้มันก็เหมือนกับว่าเขาเลือกที่จะหลอกตัวเอง แต่ถ้าเปิดแฟ้มก็เหมือนกับเขายอมที่จะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง แต่ตัวธวัชชัยเองก็กลัวว่าเขาเองจะยอมรับมันไม่ได้

ธวัชชัยเปิดแฟ้มออกดู บันทึกของหมอพิจานเขียนไว้ว่า

'ผู้ป่วยมีอาการของโรคซึมเศร้าอันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ไฟใหม้บ้าน ส่งผลให้พ่อแม่ของเขา ภรรยาและลูกชายอีกสองคนทั้งหมดถูกไฟครอกตาย'

เมื่อความทรงจำถูกกระตุ้น อารมณ์ความโศรกเศร้าหวนกลับคืนมาเร็วยิ่งกว่าความทรงจำทั้งหมด ธวัชชัยร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเหตุการณ์เหล่านี้มันเพิ่งจะเกิดกับเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง ความโหดร้ายแบบนี้เองที่ทำให้เขาอยากจะลบเลือนออกไปจากความทรงจำ ในคืนที่อากาศหนาวเย็นมืดมิดเช่นนี้ มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับจิตใจของเขาที่ดำดิ่งลึกลงไปเหมือนใต้ทะเลลึกนับหมื่นๆเมตร

จิตใจคนเรานี่แปลกยิ่งน้ก แม้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นยังไม่คืนมา แต่ความคาดหวัง ณ ปัจจุบันที่จะตามหาครอบครัวและลูกเมีย และเมื่อรู้ความจริงว่าพวกเขานั้นได้ตายไปหมดแล้ว ธวัชชัยก็หมดกำลังใจที่ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มไหมกับการแบกรับอดีตที่โหดร้าย หรือมันอาจจะดีเสียกว่าถ้าหากลืมเลือนความสะเทือนใจนั้นไป ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่อดีต

มันหนักหนาเกินไปที่จิตใจของธวัชชัยจะรับไหว เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยใช้ถุงพลาสติกครอบหัวและใช้เชือกมัดขอบถุงรัดแน่นกับคอ ในจังหวะที่เขายังมีลมหายใจเขาลงไปนั่งกับกับเก้าอี้และเอามือไพล่หลังไว้ ในมือข้างหนึ่งของเขาถือเคเบิ้ลไทร์ขนาดเส้นใหญ่พอที่จะรัดข้อมือของเขาให้แน่นติดดัน ธวัชชัยคล้องสายเคเบิ้ลไทร์รัดข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน

เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งนาที ธวัชชัยเริ่มมีอาการดิ้นทุรนทุราย ในตอนนี้มันสายไปแล้วที่เขาจะเปลี่ยนใจเพราะไม่สามารถเอื้อมมือมาฉีกถุงพลาสติกที่คลุมหัวของเขาได้ มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการไว้ด้วยสายพลาสติกที่มีความเหนียวแน่นหนา ไม่มีทางที่ธวัชชัยจะใช้แรงจากแขนดึงให้เส้นนั้นขาดได้ หากเขาปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้อีก 2 นาทีก็จะทำให้เขาหมดสติไป และถ้าผ่านเลยไปอีก 2 นาทีก็จะทำให้สมองของธวัชชัยหยุดการทำงาน

อีกเพียงไม่กี่วินาทีก็จะสมความปรารถนาของธวัชชัยแล้ว สติของเขาเริ่มจะดับลงๆเหมือนแสงไฟจากกระบอกไฟฉายที่ถูกปิดสวิตซ์ แต่ก่อนที่แสงไฟเล็กๆของธวัชชัยจะดับวูบลง มีมือๆหนึ่งมาฉีกถุงพลาสติกออกจากใบหน้าของธวัชชัย เจ้าของมือนั้นคือหมอพิจานนั่นเอง จากนั้นเจ้าหน้าที่อีก 2 คนนำหน้ากากช่วยหายใจมาครอบที่หน้าของธวัชชัย หมอพิจานตรวจวัดชีพจรก่อนจะช่วยกันแบกร่างของธวัชชัยออกไป

....

ธวัชชัยในชุดผู้ป่วยสีขาว กำลังนั่งมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย เขานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่มีสภาพไม่ต่างจากเขามากนัก คนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงกัน แต่ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีแม้เสียงพูดจาใดๆเล็ดลอดออกมา ตอนนี้มีเพียงแต่เวลาเท่านั้นที่จะรักษาบาดแผลในใจของธวัชชัยให้หายเป็นปกติได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น