"มูลนิธิสืบ โกศลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่มีผู้ประมูลเรือยอร์ชของท่านสืบไปในราคา 70 ล้านบาท
ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่เราคาดหวังไว้กว่า 30 ล้าน
หากท่านสืบยังอยู่และได้ทราบว่ามูลนิธิของท่านได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ประมูลมูลค่าสูงขนาดนี้
ท่านคงจะดีใจ"
พิธีกรสาวพูดกล่าวบนเวทีในห้องประชุมที่จุคนจำนวนนับพัน
ห้องแห่งนี้กำลังแสดงความยินดีกับปองปรีดา เจ้าของเรือยอร์ชราคาแพงคนใหม่
ซึ่งเจ้าของคนเดิมคือสืบ เจ้าของมูลนิธิสืบ โกศล และยังเป็นเจ้าของธุรกิจภัตตาคารจีนหลายสาขาทั่วประเทศ
เขายังครองแชมป์รายได้สูงสุดจากการขายอาหารจีนติดต่อกันนานเกือบ 10 ปีแล้ว
ถ้าหากว่าสืบไม่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อหลายเดือนก่อน
ปีนี้เขาคงจะครองแชมป์เรื่องรายได้ในธุรกิจที่เขาถนัดที่สุดเป็นสมัยที่ 11
"และเจ้าของเรือยอร์ชสุดหรูที่เคยเป็นตัวแทนของท่านสืบ
ก็คือคุณปองปรีดา ทายาททางธุรกิจอันดับ 1 ของท่านสืบ
ขอเชิญคุณปองปรีดาขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึกค่ะ"
พิธีกรสาวพูดเสร็จ ปองปรีดาก็ลุกจากโซฟาแถวหน้าสุดเดินขึ้นไปบนเวที
เขาขึ้นไปยืนบนแท่นพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆห้องประชุม
สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ปองปรีดา สายตาบางคู่แสดงความชื่นชมนับถือ
แต่บางคู่ก็ยังแฝงไปด้วยความเคลือบแคลงใจในชายคนนี้ ปองปรีดาพูดผ่านไมโครโฟน
"หากจะพูดถึงความเสียใจที่คุณพ่อมาจากไป
คนที่เสียใจที่สุดน่าจะเป็นจันทร์เพ็ญภรรยาของผม
ซึ่งเธอก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณพ่อ
ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นความโศกเศร้าที่มากเกินกว่าผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว
สำหรับตัวผมเองนั้นได้รู้จักกับท่านมานานนับ 10 ปี
ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เพราะท่าน คุณพ่อให้โอกาสใหม่ๆในชีวิตแก่ผม
และยังให้โอกาสในการดูแลลูกสาวของท่านแก่ผมด้วย
ผมรู้ดีมาตลอดว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่ท่านรักที่สุด
ผมจึงยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อประมูลเรือยอร์ชลำนี้มา
เพื่อเป็นเครื่องลำลึกถึงท่าน เราสองคนจะคิดถึงท่านสืบ
โกศลทุกครั้งที่ได้ล่องเรือลำนี้"
เสียงปรบมือดัง แสงไฟแฟลชจากช่างถ่ายภาพสว่างสลับกันนับไม่ถ้วน
ปองปรีดาเดินลงมาจากเวทีทันทีเมื่อพูดจบ
เหมือนกับเขาไม่อยากยืนเป็นเป้าสายตานานเกินไปนัก
ปองปรีดากลับไปนั่งที่โซฟาเดิมของเขา
ผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่ของปองปรีดาเป็นเชิงปลอบใจ
ผู้ชายเหล่านั้นต่างเป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารใหญ่ที่มีความอาวุโสกว่าปองปรีดาทั้งนั้น
ปองปรีดานั่งลงบนโซฟาโดยไม่พูดอะไร
"เป็นยังไงบ้างคะพี่ ที่งานการกุศล"
จันทร์เพ็ญ ภรรยาของปองปรีดาพูดเมื่อปองปรีดากลับมาถึงบ้าน
"พี่สามารถประมูลเรือยอร์ชที่เป็นทรัพย์สมบัติในนามของมูลนิธิมาได้แล้ว"
"จริงหรือคะ
เรือลำนั้นมีความทรงจำดีๆมากมายของคุณพ่อและน้อง
โชคดีจริงๆที่มันได้กลับมาอยู่กับเราอีกครั้ง"
ปองปรีดาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อสามารถทำให้เธอยิ้ม
"สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความทรงจำ
เราจะเก็บมันไว้เสมอในใจเรา"
"ไว้เรื่องทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
เราสองคนไปออกเรือด้วยกันอีกนะคะ"
"ได้สิจ้ะ รอให้เรื่องคดีความเสร็จสิ้นก่อน
ให้คนร้ายที่ฆ่าคุณพ่อเข้าตารางให้ได้ จากนั้นเราจะออกเดินทางไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้ง"
จันทร์เพ็ญโผเข้ากอดปองปรีดาไว้
สีหน้าเธอตอนนี้แม้จะแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ก็ยังพอจะมีรอยยิ้มแสดงออกบนใบหน้านี้
"ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างคะ"
"ตำรวจยังไม่สรุปสำนวนคดี
ในเบื้องต้นตำรวจบอกว่าพี่อาจจะถูกจัดฉากให้เป็นฆาตกร แต่หลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้พี่ไม่เป็นผู้ต้องสงสัย
คงจะมีคนใกล้ตัวที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"
จันทร์เพ็ญทำสีหน้าตกใจกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้ยิน
เธอถึงกับใจหายว่ามีคนใกล้ตัวของสืบลอบกัดพ่อของเธอ และเธอเองก็อาจจะเป็นรายต่อไป
จันทร์เพ็ญถึงกับตัวสั่นจนปองปรีดาสังเกตได้
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่พี่ยังอยู่
ก็จะไม่มีใครมาสามารถทำอะไรน้องได้"
ปองปรีดาพูดพลางรัดโอบจันทร์เพ็ญ ท่าทางของเธอจะคลายความหวาดกลัวลงไป
เมื่ออยู่ในอ้อมอกของชายคนที่เธอรัก
ในร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม 5 ดาว เหล่าบันดาหุ้นส่วนคนอื่นๆต่างมาชุมนุมกันโดยที่ไร้เงาของปองปรีดา
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ความสมัครสมานสามัคคีกลับมาอยู่ทางฝั่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นอีกครั้ง
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีความเห็นที่แตกแยกของกลุ่มคนเหล่านี้มีออกมาบ่อยครั้ง
เสี่ยบุญยง ผู้ถือหุ้นของสืบ โกศลกรุ๊ป
ที่มีมูลค่าหุ้นรองจากปองปรีดาเพียงคนเดียวเท่านั้นหลังจากที่ปองปรีดาได้รับมรดกจากสืบ
เขาเริ่มต้นคำพูดในค่ำคืนนี้
"อย่างที่ทุกท่านทราบ
ตอนนี้ลมมันเปลี่ยนทิศไปแล้ว ความไม่แน่นอนได้ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พวกเรา
หากพวกเราไม่เกาะกลุ่มกันดีๆไว้ มีโอกาสที่นายปองปรีดาจะเขี่ยเราให้พ้นจากเส้นทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร"
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างส่งเสียงเห็นด้วยกับแนวคิดของเสี่ยบุญยง
จากนั้นนริศที่ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการบริหารก็พูดขึ้นมา
"ใช่แล้วครับ เรื่องนั้นเรายังต้องคุยกันอีกยาว
และถ้าหากตำรวจยังไม่สามารถตามหัวตัวคนร้ายได้โดยเร็ว สถานการณ์ที่คลุมเครือนี้ก็ยากที่จะคลี่คลาย"
ทุกคนบนโต๊ะทำท่าทีเห็นด้วยอีกครั้ง
เสี่ยอำนาจที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น
เขามีหุ้นส่วนในธุรกิจสำคัญๆหลายตัวในตลาด เขาพูด
"ว่าแต่พวกเราที่นั่งอยู่ในนี้ไม่มีใครรู้เห็นกับเรื่องนี้ใช่มั้ย
?"
น้ำเสียงที่ดุดันของอำนาจทำให้ทุกคนต่างผวาเล็กน้อยกับเสียง
จนกระทั้งเสี่ยบุญตาต้องรีบพูด
"จะมีใครได้ประโยชน์จากการตายของสืบ
สืบตายพวกเราก็ไม่ได้อะไรเลย ผู้ถือหุ้นก็ต่างมีจำนวนหุ้นเท่าเดิม ยกเว้นก็แต่..."
เสี่ยบุญยงไม่พูดชื่อคนออกมา แต่คนอื่นๆก็รู้ว่าเสี่ยบุญยงพูดถึงใคร
"นั่นน่ะสิ แรงจูงใจมันชัดเจนขนาดนี้
ตำรวจมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่" ใครบางคนพูดออกมา
"มันไม่มีหลักฐาน แม้ปองปรีดาจะเป็นคนพบศพคนแรก
แต่ตำรวจก็ไม่พบอาวุธในการฆาตกรรม และยังมีพยานที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ลงมือฆ่าสืบ"
เสี่ยบุญยงอธิบาย
"สมมุตถ้าไม่ใช่ปองปรีดาก็คงจะเป็นพวกของเสี่ยถัง
เสี่ยถังเคยโดนสืบเล่นงานจนเกือบไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้" เสี่ยบุญยงพูด
"มีความเป็นไปได้
สืบเคยเล่นสกปรกกับเสี่ยถังไว้เยอะ เรื่องข่าวลือที่สืบปล่อยทำลายฝ่ายตรงข้าม
เกือบทำให้เสี่ยถังต้องเข้าไปอยู่ในคุกได้" ใครอีกคนนึ่งพูด
"แต่ผมว่าเรื่องนี้มันอาจจะไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่
เรื่องความแค้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าถึงกับมายิงกันตายนี่มันคงจะเสี่ยงมากเกินไป
ได้ไม่คุ้มเสีย" นริศเสนอความคิดเห็น
"น่าจะเป็นอย่างที่นริศว่า เสี่ยถังคงมีแรงจูงใจอยู่บ้างแต่เขาคงไม่ซี้ซั้วฆ่าคนระดับสืบเพื่อเรื่องแค่นี้"
อำนาจเสริม
"ผมก็คิดอย่างนั้นครับ
คนที่มีแรงจูงใจและมีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดสืบมากที่สุดก็คือปองปรีดา
และผมเคยได้ยินข่าวเรื่องการไม่ลงรอยของสืบกับปองปรีดาในเรื่องการทำธุรกิจ"
นริศพูด
"หรือว่าคนที่บุกฆ่าสืบบนเรือยอร์ชลำนั้นจะเป็นพวกโจรทั่วไปเพื่อชิงทรัพย์"
อำนาจตั้งคำถาม
"เป็นไปไม่ได้ครับ
ยามที่เฝ้าในอู่จอดเรือยืนยันว่าไม่มีใครเข้าออกรั้วนั้นในช่วงเวลาภายใน 1 ชั่วโมง ยกเว้นปองปรีดาคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ ตำรวจไม่พบอาวุธปืนที่ยิงสืบ
ก็เลยไม่สามารถสรุปได้ว่าปองปรีดาเป็นคนยิง"
ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
จนใครคนหนึ่งบนโต๊ะตะโกนขึ้นมา
"เอ้า คิดไปก็ปวดหัวเปล่า
ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ มากินอาหารกันดีกว่า"
ทุกคนบนโต๊ะต่างหันมาสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า
รถเก๋งคันหรูสีดำมันวาวเข้าจอดเทียบหน้าประตูสถานีตำรวจ
เมื่อรถจอดสนิทคนขับรถรีบก้าวออกจากรถเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ปองปรีดานั่ง
ปองปรีดาลงจากรถและเดินเข้าไปในอาคาร
จากนั้นเขาถามถึงห้องของสารวัตรก่อนจะเดินตรงไปที่นั่น
"อ้าว คุณปองปรีดา มาตามเวลานัดเลยนะครับ"
สารวัตรพูดทักทายกับผู้มาเยือน
"ผมไม่อยากทำให้ท่านสารวัตรเสียเวลากับผมนานครับ
เลยต้องรักษาเวลา" ปองปรีดายิ้มทักทาย
"งั้นเชิญนั่งเลยครับ เราจะได้เข้าเรื่องกัน
นี่คือสำนวนที่เราเคยซักถามกับคุณปองปรีดามาแล้ว
แต่เราอยากจะเน้นถึงความชัดเจนเลยต้องขอเวลาคุณปองปรีดามาให้ปากคำ" สารวัตรหยุดพูด
ก่อนจะพูดต่อ
"ในฐานะพยาน"
"ได้ครับ" ปองปรีดาตอบด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
"ในเช้าวันที่ 7 xx 25xx เวลา
ตี 5 คุณปองปรีดาโทรเข้ามาแจ้งกับสถานีตำรวจว่าพบศพคุณสืบ
บนเรือยอร์ชในห้องนอนใช่มั้ยครับ"
"ใช่ครับ"
"เมื่อตำรวจไปถึงเราพบศพคุณสืบในสภาพถูกยิงจากท้ายทอย
มีเลือดนองเต็มพื้นและมีเศษเลือดกระจายติดที่ผนังฝั่งที่คุณสืบยืนหันหลังให้"
"ใช่ครับ ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี"
"หลังจากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวคุณปองปรีดาไว้
เพื่อตรวจสอบร่องรอยหลักฐานที่อยู่บนตัวคุณปองปรีดา"
"ใช่ครับ และผลการตรวจหาร่องรอย ก็ไม่พบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง
ไม่มีกลิ่นดินปืนติดบนเสื้อผ้าของผมรวมถึงคราบเลือด
และที่ส้นรองเท้าของผมไม่มีเลือดติดอยู่"
"กล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพบริเวณทางขึ้นเรือยืนยันว่าคุณไม่ได้เดินออกมาจากห้องเลย
ตั้งแต่คุณโทรหาเราจนเมื่อตำรวจไปถึง"
"ใช่ครับ"
สารวัตรหยุดนิ่งไม่พูดอะไร
แม้เขาจะพยายามปั้นสีหน้าให้ปกปิดร่องรอยแห่งความเครียดไว้
แต่ปองปรีดาก็ยังสังเกตได้ถึงความสับสนของสารวัตร
"เอาล่ะครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจสรุปได้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนยิง
คุณแค่เดินเข้าห้องไปและพบศพคุณสืบ ผมขอความเห็นคุณปองปรีดาหน่อยครับ ในฐานะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณสืบมากที่สุด
คุณคิดว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆาตกรรมคุณสืบบ้าง"
ปองปรีดาหยุดคิด เขาแสดงสีหน้าใช้ความลังเลที่จะพูด
"เอ่อ ขอโทษครับคุณสารวัตร
ผมไม่สามารถพูดอะไรได้"
"ไม่เป็นไรครับ เราไม่มีอะไรจะสอบถามแล้ว
ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ"
ปองปรีดาลุกขึ้นยืนพร้อมลาสารวัตร ก่อนเขาจะเดินออกจากห้องไป
ตำรวจนักสืบคนหนึ่งแอบชำเลืองปองปรีดา เมื่อมั่นใจว่าปองปรีดาเดินจากไปไกลแล้ว
เขาจึงเดินตรงไปยังห้องของสารวัตร
"ผมไปสืบตามที่สารวัตรบอกแล้ว
เราไม่เจอการกระทำใดๆนี่น่าสงสัยของปองปรีดาเลย รวมถึงความสัมพันธ์ของคนที่อยู่รอบตัวของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคดี"
"เหรอจ่า
แล้วกล้องวงจรปิดที่เราได้จากที่เกิดเหตุบอกอะไรมั้ย"
"ในเวลานั้นปองปรีดาเดินขึ้นเรือด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพู
กางเกงยีนและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ไม่มีอะไรที่ปองปรีดาถือขึ้นไปบนเรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะซ่อนปืนไว้ในตัว
และตั้งแต่เขาเดินเข้าห้องไป เพียงแค่ผ่านไป 3 นาที
เวลานั้นที่ สน. เราก็ได้รับแจ้งจากปองปรีดาว่าพบศพ"
"มีใครได้ยินเสียงปืนช่วงนั้นมั้ย"
"ระยะทางที่ระหว่างเรือกับป้อมยามห่างกันเกือบ 400
เมตร ถ้าเป็นปืนเก็บเสียงยามคงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน"
สารวัตรยิ่งทำหน้าเครียด
เวลานี้เขาไม่ต้องแกล้งกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไปแล้ว
ทำให้ตำรวจนักสืบมั่นใจว่าสารวัตรจริงจังกับคดีนี้มากเพียงใด
"รายงานผลชันสูตรศพของผู้ตายล่ะ"
"สภาพศพในเวลาที่เข้าเก็บศพยังอยู่ในสภาพอุ่น
ไม่น่าจะตายเกิน 1 ชั่วโมง"
"จากกล้องวงจรปิดมีคนเข้าเดินขึ้นไปบนเรือมั้ยภายใน
1 ชั่วโมงนี้"
"ในกล้องไม่พบใครเดินผ่าน
แต่ถ้าหากคนร้ายรู้มุมกล้องก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินขึ้นเรือโดยไม่ให้กล้องจับได้"
คำบอกเล่าของตำรวจนักสืบ ยิ่งทำให้สารวัตรถึงกับคิ้วชนกัน
"ต่อจากนี้สารวัตรจะทำยังไงต่อไปครับ"
"คงต้องไปข้อความเห็นจากเสี่ยถัง"
ในสถานบริการออกกำลังกายย่านใจกลางเมือง
ผู้คนต่างประจำอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายของตัวเอง
เสียงเหล็กกระทบกันจังหวะคล้ายเสียงกลอง
สายพานลู่วิ่งดังสร้างความถี่เสียงคล้ายเครื่องดนตรี ในมุมยกน้ำหนักด้วยบาร์เบล
เสี่ยถังกำลังยืนอยู่ใต้คานเหล็กที่วางอยู่บนโครงเหล็ก เขากำลังเตรียมทำท่าสควอทโดยมีเทรนเนอร์ตัวใหญ่ช่วยประครองที่ด้านหลัง
เสี่ยถังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างแผ่วเบา เพื่อรวบรวมสมาธิในการแบกน้ำหนักกว่า 120 กิโลกรัม และจังหวะนี้ถึงจุดที่เขาพร้อมในการยืดต้นขาเพื่อดันลูกหลักขึ้น
เสี่ยถังเปล่งเสียงดังลั่นเพื่อเรียกพลัง
"เอส.....!!"
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เสี่ยถังจะได้ออกแรงจากหลังและต้นขาเต็มที่
ลูกน้องคนสนิทตะโกนส่งเสียงขัดจังหวะ
"เสี่ยๆ ตำรวจมาหาเสี่ยที่ใต้ตึกนี้แล้วครับ"
เสี่ยถังเสียจังหวะทันที บาร์เบลที่ถูกยกออกจากแท่นแล้ว
แต่เสี่ยถังไม่ได้ส่งแรงไปดันต่อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หลังถูกกดทับจากน้ำหนักมหาศาล
โชคดีที่มีเทรนเนอร์ร่างยักษ์คอยช่วยประครองเหล็กไว้
ไม่อย่างนั้นเสี่ยถังอาจจะได้ไปนอนเป็นผักบนเตียง
"ไอ้บ้าเอ๊ย !! มึงมาเรียกอะไรตอนนี้วะ"
เสี่ยถังตะโกนด่าลูกน้องดังลั่นพร้อมใช้ฝ่ามือตบไปที่กะโหลกของลูกน้องหนึ่งที
"ตำรวจมาอีกแล้วเหรอ
แล้วมันมีเรื่องเร่งด่วนอะไรนี่ถึงต้องมาที่นี่วะ"
เสี่ยถังพูดด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนไม่หาย
เขาเดินออกไปด้วยท่าทางที่เจ็บส่วนหลังเล็กน้อย
ที่ใต้ตึก สารวัตรมายืนรออยู่แล้วพร้อมตำรวจนักสืบคนเดิม
เสี่ยถังเดินลงมาด้วยชุดออกกำลังกายที่ชุ่มเหงื่อ
"สารวัตรมาหาผมมีอะไรเหรอครับ" เสี่ยถังพูด
"เราเข้าไปนั่งคุยในล็อบบี้ของฟิตเนสดีกว่า
ผมมีอะไรอยากถามเสี่ยนิดหน่อย"
"เรื่องอะไรสารวัตร
ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกน้องของผมไปไล่กระทืบพวกแผงลอยหน้าภัตตาคารของผม
เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่สารวัตร" เสี่ยถังพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากนัก
"ใจเย็นๆก่อนเสี่ย ผมไม่ได้มาคุยเรื่องนั้น เอาเป็นว่าเราเข้าไปนั่งในห้องแอร์ให้ใจเย็นๆกันก่อนดีกว่า"
สารวัตรพูดเสร็จก็เดินนำไปในห้องกระจก เขาเดินไปนั่งยังชุดโซฟาติดประตูทางออก
"ผมอยากมาคุยเรื่องคดีฆาตกรรมนักธุรกิจที่ชื่อสืบ"
สารวัตรพูด
"ผมไม่รู้เรื่องนะสารวัตร"
"ผมไม่ได้จะมากล่าวหาเสี่ยซักหน่อย
ผมแค่อยากจะมาขอความเห็นของเสี่ยว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆ่า เผื่อมันจะช่วยให้เราสืบสวนได้ง่ายขึ้น"
"จริงเหรอสารวัตร ถึงแม้ผมกับสืบจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน
มีเรื่องบาดหมางกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้ต้องฆ่าแกงกัน
ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางหรอกครับสารวัตร"
"เราเข้าใจๆ
ความบาดหมางของพวกคุณไม่น่าจะรุนแรงพอให้ถึงกับต้องมายิงกัน
เสี่ยถังคิดว่าใครอยากจะให้คุณสืบตายมากที่สุด"
สารวัตรถามด้วยน้ำเสียงทีอ่อนนุ่ม
เสี่ยถังหยุดไปนิ่งไปชั่วครู่
"คนที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆหากคุณสืบตายก็ครือลูกเขยของเขาครับสารวัตร
ถ้าเป็นปองปรีดาก็มีโอกาสมากมายเพราะใกล้ชิดและรู้กิจวัตรของสืบ
แต่ไม่รู้ว่าเมียของปองปรีดาจะมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่
การฆ่าพ่อของตัวเองนี้มันเรื่องใหญ่เลยนะ"
"เสี่ยก็คิดแบบนั้นเหรอ
แต่ว่าปองปรีดามีหลักฐานรองรับความบริสุทธิ์ของเขาได้
ไม่มีช่องโหว่ใดๆที่เราจะเล่นงานเข้าได้เลย"
"อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้วคุณสารวัตร ถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมขึ้นไปซาวน่าต่อนะสารวัตร"
เสี่ยถังเดินเข้าลิฟต์ไป
สารวัตรพร้อมตำรวจอีกหนึ่งนายยังนั่งอยู่ที่เดิม
ไม่นานสารวัตรก็พูดอะไรบางอย่างออกมาออกมา
"นี่จ่า
ถ้าเราจะคุยกับเมียของนายปองปรีดาโดยไม่ให้นายปองรู้ พอจะมีวิธีมั้ย"
"มีครับ
เธอเป็นสมาชิกคลับโยคะใกล้ๆตึกบริษัทที่ทำงานของเธอ ถ้าเราไปดักรอเจอเธอที่นั่นอาจจะได้คุยกันส่วนตัวกับเธอได้"
"ดีมากจ่า จัดการตามนั้นเลย"
เวลาผ่านไปนานหลายเดือน
คดีฆาตกรรมของนายสืบยังไม่มีวี่แววใดๆที่จะคลี่คลายไปได้
ชุดตำรวจที่ทำคดีนี้คิดว่ามันอาจจะถึงทางตันแล้ว
ในบ้านพักของนายปองปรีดา ใกล้ถึงกำหนดการที่สองสามีภรรยานัดหมายกันไว้ว่าจะนำเรือยอร์ชลำเก่าของสืบ
ออกล่องทะเลจากอ่าวไทยไปถึงช่องแคบมะละกา นี่คือแผนที่ปองปรีดาเตรียมไว้
ที่อู่จอดเรือตำแหน่งเดิมที่เรือลำนี้จอดเทียบท่าอยู่นานหลายเดือน
วันนี้จะเป็นวันแรกที่มันจะได้ออกทะเลอีกครั้งโดยผู้ควบคุมคนใหม่
หลังจากที่ปองปรีดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือลำนี้แล้ว
เขาไปฝึกขับเรือมาจนมั่นใจว่าจะสามารถบังคับมันออกไปในเส้นทางที่ต้องการ
และวันนี้ปองปรีดาขับรถยนต์ส่วนตัวมาพร้อมกับจันทร์เพ็ญ
“พร้อมแล้วนะกับการเดินทาง”
ปองปรีดาหันไปพูดกับจันทร์เพ็ญ เมื่อพวกเขาจอดรถเทียบท่าเรือ
“ค่ะ
น้องรอวันนี้มานานแล้ว” เธอตอบรับ
ปองปรีดาเริ่มทยอยขนของขึ้นบนเรือ
เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องเครื่องของเรือ ห้องที่สืบถูกฆ่าตายในนั้น
ปองปรีดาหันไปที่จันทร์เพ็ญ
เขาคิดว่าคงจะสะเทือนใจจันทร์เพ็ญที่จะต้องเดินเข้าไปในที่ที่พ่อของเธอนอนตาย
ปองปรีดาจึงทำท่าลังเลที่จะเปิดประตูจนจันทร์เพ็ญสังเกตได้
“ไม่เป็นไรค่ะ”
จันทร์เพ็ญเอื้อมมือไปโอบมือของปองปรีดา
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องผ่านตำแหน่งที่สืบเคยนอนจมกองเลือด
แม้จันทร์เพ็ญจะไม่เคยเห็นสภาพศพของพ่อเธอนอนตายในห้องนี้ แต่ความสะเทือนใจที่เธอได้รับรู้มาก็สามารถทำให้เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อปองปรีดาเห็นจันทร์เพ็ญยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น
เขาพูด
“ถ้าการเดินทางครั้งนี้จะสะเทือนจิตใจน้องมากเกินไป
เราเลื่อนกำหนดการออกไปก่อนดีมั้ย” ปองปรีดาพูด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอง
น้องจะต้องผ่านพ้นสิ่งนี้ไปให้ได้” สายตาของจันทร์เพ็ญมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
ในการออกเดินทางครั้งนี้
เหมือนกับว่าการเดินทะเลกับปองปรีดาครั้งนี้จะสามารถชำระความโศกเศร้าของเธอได้
ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง
ทั้งสองอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไร้การรบกวน ปองปรีดากำลังบังคับพวงมาลัยในห้องกระจก
เขามองทะลุออกไปยังลานกว้างหัวเรือที่จันทร์เพ็ญนอนอาบแดดยามเย็นบนเตียงนอน ปองปรีดาละมือจากพวงมาลัย
เขาเดินเข้าไปหาจันทร์เพ็ญ
“ท่าทางน้องยังคงไม่หายเศร้ากับเรื่องของคุณพ่อ”
“ใช่ค่ะ
แม้เวลาจะผ่านไปนานแสนนานแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจก็คือยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อได้
การทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พอจะเข้าใจ
แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือทำไมคนร้ายถึงยังไม่โดนจับ”
“เอาน่าๆ
เรื่องอยุติธรรมแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้บนโลกนี้ คนเราก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ได้สลับกันไปเป็นเรื่องธรรมดา
พี่ดีใจที่น้องคิดถึงเรื่องการปล่อยวางได้
แต่พี่คิดว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจ”
“ค่ะ
น้องจะพยายาม”
ช่วงเวลาที่ยาวนานของจันทร์เพ็ญค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า
การเดินทางล่องเรือเพื่อฆ่าเวลาสำหรับเธอในตอนนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด
แต่จันทร์เพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางในครั้งนี้
เพราะเธอได้คุยกับใครคนหนึ่งไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้
และยามที่ท้องฟ้าปราศจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มาถึง
จันทร์เพ็ญนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนโดยมีปองปรีดาอยู่ข้างๆ
ปองปรีดายังไม่หลับเขาแสดงสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างออกมา
เขาชำเลืองไปสังเกตจันทร์เพ็ญว่าหลับสนิทหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิท
ปองปรีดาค่อยๆขยับตัวออกจากเตียง เขาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเตียง
ค่อยๆปลดรูปภาพแผนที่ทะเลไทยออกจากผนังและวางมันลงกับพื้น
กระดาษวอลเปเปอร์มีร่องรอยของรอยต่อ ปองปรีใช้ซอกเล็บค่อยๆเลาะกระดาษวอลเปเปอร์ออกมา
หลังม่านกระดาษนั้น
!! ปรากฏบานพับช่องลับที่ถูกซ่อนปิดไว้ ปองปรีดาหมุนลูกบิดตามรหัสลับเปิดตู้ที่เขารู้อยู่เพียงคนเดียว
เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันส่งเสียงแผ่วเบาตามมือของปองปรีดา
เมื่อบานเหล็กถูกเปิดออก
ในนั้นมีห่อผ้าสีดำขนาดไม่ใหญ่นัก ปองปรีดานำสิ่งนั้นออกมาและค่อยๆบรรจงปิดฝาตู้
รีดกระดาษวอลเปเปอร์ให้ติดผนังเหมือนเดิมและสุดท้ายนำกรอบภาพมาห้อยแขวนตามตำแหน่งเดิม
ปองปรีดาหยิบถุงผ้าและเดินออกจากห้องไปโดยทหันไปมองจันทร์เพ็ญที่อยู่ในอิริยาบถเดิม
เขาเดินออกไปยังขอบเรือและตั้งท่าเหวี่ยงแขนโยนถุงดำให้ลอยออกไปจากเรือ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเหยียดแขนไปข้างหลังจนสุด ทันใดนั้น !!
‘เปรี้ยง !!’
เสียงปืนดังก้องฟ้า
ปองปรีดาตกใจสุดขีดจนเขาปล่อยถุงผ้าลงกับพื้น และเมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงของปืน
นั่นทำให้เขาถึงกับขวัญผวาอย่างสุดขีด
“จันทร์เพ็ญ
ออกมาทำอะไร !!” ปองปรีดาพูด
“เดินถอยหลังออกไปให้ห่างจากถุงผ้า”
น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเจ้าของกระบอกปืน
“เดี๋ยวๆ
วางปืนลงก่อนนะ ค่อยๆพูดกันก็ได้”
ปองปรีดาริมฝีปากสั่นไหวเมื่อเห็นสีหน้าเครียดแค้นชิงชังของจันทร์เพ็ญ
สีหน้าเธอเหมือนจะคุมสติไม่อยู่
และอาจจะไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่อยู่บนไกปืนไม่ให้ลั่นไกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
นั่นอาจจะทำให้เธอยิงปืนใส่สามีของได้โดยไม่ต้องลังเล
“บอกให้เดินถอยออกไปไง
เดินไปให้ไกลๆจากถุงผ้านั่น ยังอีก !!” จันทร์เพ็ญทำเสียงตะวาด
ปองปรีดาไม่ยอมทำตามโดยง่าย
เขาคงห่วงว่าจันทร์เพ็ญจะล่วงรู้ความลับที่อยู่ในถุงผ้านี้มากกว่า
ปองปรีดาขัดขืนคำสั่ง เขาก้มตัวลงไปหยิบถุงผ้าและเตรียมจะเหวี่ยงทิ้งออไปนอกเรือ
‘เปรี้ยง !!’
“โอ๊ย
!!”
จันทร์เพ็ญยิงปืนอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เธอยิงเข้าเต็มท้องของปองปรีดา ปองปรีดาทรุดลงไปกับพื้น
“ทำไมๆ
ทำไมต้องยิงกันด้วย คุยกันดีๆไม่ได้หรือไง” เขาใช้เรี่ยวแรงทียังพอมีเปล่งเสียงพูด
จันทร์เพ็ญน้ำตาไหลนองทั่วใบหน้า
ใจหนึ่งก็นึกสงสารสามีที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็แค้นมากที่เรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นอย่างที่มีคนเคยบอกกับเธอมา
“ถอยออกไปจากถุงผ้านั่น
เร็วๆ” จันทร์เพ็ญพูด
ปองปรีดายอมถอยออกมาแต่โดยดี
วินาทีนี้เขาคงไม่ห่วงอะไรมากกว่าปลายปืนในมือของจันทร์เพ็ญ
เขาถอยออกไปห่างจากถุงผ้า จากนั้นจันทร์เพ็ญเข้าไปหยิบถุงผ้าสีดำขั้นมาและเปิดมันออก
สิ่งที่เธอเห็นถึงกับทำให้เธอถึงกลับระเบิดเสียงร่ำไห้อีกครั้ง
“คุณพ่อ
!”
อาการของปองปรีดาเริ่มไม่ได้การ
หน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอไปเอาปืนมาจากไหน”
ปองปรีดาถามด้วยน้ำเสียงไร้เรียวแรง
“ตำรวจให้ฉันมา
พวกเขาเดาถูกว่าแกจะต้องมาทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ และหลักฐานชิ้นนี้ก็อยู่นี่แล้ว”
เธอเทสิ่งของที่อยู่ในถุงผ้าออกมา
ในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่เปื้อนคราบเลือด กางเกงยีนที่มีรอยคราบเลือดเช่นเดียวกัน
รองเท้าหนังสีน้ำตาลทีพื้นรองเท้ามีคราบเลือดติดอยู่
และปืนสั้นพร้อมกระบอกเก็บเสียง
“ตำรวจบอกว่าในเรือยอร์ชจะมีเมสเสจที่บ่งบอกว่าใครคือฆาตกร
เพียงแต่พวกเขาหามันไม่พบ” จันทร์พูดด้วยน้ำตา
“เธอไปคุยกับตำรวจมาเหรอ
นี่ไม่เชื่อใจกันหรือยังไง” ปองปรีดาตัดพ้อ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อตำรวจ ยังคิดว่าตำรวจจะหาเรื่องใส่ร้ายแก
แต่ฉันเองก็จำเป็นต้องพิสูจน์ และตำรวจก็พูดถูก”
ปองปรีดาเริ่มจะคุมสติของตัวเองได้แล้ว
เขาเริ่มเขาใจเกมมากขึ้น ความสะเพร่าของเพียงเล็กน้อยตอนนี้ จะทำให้สิ่งที่เขาคิดและวางแผนมานานจะต้องพังพินาศลงไป
“แล้วเธอจะกล้ายิงสามีเธอได้ลงคอเชียวเหรอ
ถ้ากล้ายิงก็เอาเลย แต่ใครล่ะจะขับเรือพาเธอขึ้นฝั่ง” ปองปรีดาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
เหมือนเขาจะคิดว่าเขาเองที่ถือไพ่เหนือกว่า
เป็นทีที่จันทร์เพ็ญจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยันออกมาบ้าง
เสียงหัวเราะของเธอยังทำให้ปองปรีดาถึงกลับสติแตก
“ตำรวจให้ปืนฉันมาและบอกว่าให้ยิงได้เมื่อจำเป็น
จะยิงแกให้ตายก็ได้ถ้าจำเป็น และถึงแม้ตอนนี้จะไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่า
แต่ฉันก็อยากจะฆ่าแกเพื่อแก้แค้นให้พ่อของฉัน
ตำรวจยังให้โทรศัพท์ดาวเทียมกับฉันมาด้วยเพื่อใช้โทรเรียกในกรณีฉุกเฉิน
พวกเขาจะเอา ฮ. บินตรงมาที่นี่”
จันทร์เพ็ญเล็งปลายปืนไปที่หัวของปองปรีดา
สีหน้าของเธอดูมั่นใจว่าจะต้องยิงแน่ๆ ปองปรีดาสติแตกทันที เขาลนลานถอยหลังหมายจะไปให้พื้นวิถีกระสุนที่จะยิงออกมาได้
ด้วยความลนลานจนเกิดเหตุและไม่ทันได้ระวัง
เขาสะดุดเข้ากับขอบเรือทำให้เขาล้มกลิ้งตกน้ำทะเลไป
จันทร์เพ็ญเห็นภาพนั้นทำให้เธอตกใจรีบวิ่งมาดูที่ขอบเรือ ภาพสามีของเธอลอยหายไปอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของเรือที่วิ่งไปข้างหน้า
ใจหนึ่งจันทร์เพ็ญก็สงสารด้วยความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี
ใจหนึ่งก็โล่งใจที่เธอไม่ต้องเหนี่ยวไกปืนออกมาเพื่อฆ่าสามีด้วยตัวเอง