วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรือยอร์ชพูดได้


"มูลนิธิสืบ โกศลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ประมูลเรือยอร์ชของท่านสืบไปในราคา 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่เราคาดหวังไว้กว่า 30 ล้าน หากท่านสืบยังอยู่และได้ทราบว่ามูลนิธิของท่านได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ประมูลมูลค่าสูงขนาดนี้ ท่านคงจะดีใจ"
พิธีกรสาวพูดกล่าวบนเวทีในห้องประชุมที่จุคนจำนวนนับพัน ห้องแห่งนี้กำลังแสดงความยินดีกับปองปรีดา เจ้าของเรือยอร์ชราคาแพงคนใหม่ ซึ่งเจ้าของคนเดิมคือสืบ เจ้าของมูลนิธิสืบ โกศล และยังเป็นเจ้าของธุรกิจภัตตาคารจีนหลายสาขาทั่วประเทศ เขายังครองแชมป์รายได้สูงสุดจากการขายอาหารจีนติดต่อกันนานเกือบ 10 ปีแล้ว ถ้าหากว่าสืบไม่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อหลายเดือนก่อน ปีนี้เขาคงจะครองแชมป์เรื่องรายได้ในธุรกิจที่เขาถนัดที่สุดเป็นสมัยที่ 11
"และเจ้าของเรือยอร์ชสุดหรูที่เคยเป็นตัวแทนของท่านสืบ ก็คือคุณปองปรีดา ทายาททางธุรกิจอันดับ 1 ของท่านสืบ ขอเชิญคุณปองปรีดาขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึกค่ะ"
พิธีกรสาวพูดเสร็จ ปองปรีดาก็ลุกจากโซฟาแถวหน้าสุดเดินขึ้นไปบนเวที เขาขึ้นไปยืนบนแท่นพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆห้องประชุม สายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ปองปรีดา สายตาบางคู่แสดงความชื่นชมนับถือ แต่บางคู่ก็ยังแฝงไปด้วยความเคลือบแคลงใจในชายคนนี้ ปองปรีดาพูดผ่านไมโครโฟน
"หากจะพูดถึงความเสียใจที่คุณพ่อมาจากไป คนที่เสียใจที่สุดน่าจะเป็นจันทร์เพ็ญภรรยาของผม ซึ่งเธอก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณพ่อ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นความโศกเศร้าที่มากเกินกว่าผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว สำหรับตัวผมเองนั้นได้รู้จักกับท่านมานานนับ 10 ปี ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เพราะท่าน คุณพ่อให้โอกาสใหม่ๆในชีวิตแก่ผม และยังให้โอกาสในการดูแลลูกสาวของท่านแก่ผมด้วย ผมรู้ดีมาตลอดว่าเรือลำนี้เป็นเรือที่ท่านรักที่สุด ผมจึงยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อประมูลเรือยอร์ชลำนี้มา เพื่อเป็นเครื่องลำลึกถึงท่าน เราสองคนจะคิดถึงท่านสืบ โกศลทุกครั้งที่ได้ล่องเรือลำนี้"
เสียงปรบมือดัง แสงไฟแฟลชจากช่างถ่ายภาพสว่างสลับกันนับไม่ถ้วน ปองปรีดาเดินลงมาจากเวทีทันทีเมื่อพูดจบ เหมือนกับเขาไม่อยากยืนเป็นเป้าสายตานานเกินไปนัก
ปองปรีดากลับไปนั่งที่โซฟาเดิมของเขา  ผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่ของปองปรีดาเป็นเชิงปลอบใจ ผู้ชายเหล่านั้นต่างเป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารใหญ่ที่มีความอาวุโสกว่าปองปรีดาทั้งนั้น ปองปรีดานั่งลงบนโซฟาโดยไม่พูดอะไร

"เป็นยังไงบ้างคะพี่ ที่งานการกุศล" จันทร์เพ็ญ ภรรยาของปองปรีดาพูดเมื่อปองปรีดากลับมาถึงบ้าน
"พี่สามารถประมูลเรือยอร์ชที่เป็นทรัพย์สมบัติในนามของมูลนิธิมาได้แล้ว"
"จริงหรือคะ เรือลำนั้นมีความทรงจำดีๆมากมายของคุณพ่อและน้อง โชคดีจริงๆที่มันได้กลับมาอยู่กับเราอีกครั้ง"
ปองปรีดาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อสามารถทำให้เธอยิ้ม
"สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความทรงจำ เราจะเก็บมันไว้เสมอในใจเรา"
"ไว้เรื่องทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เราสองคนไปออกเรือด้วยกันอีกนะคะ"
"ได้สิจ้ะ รอให้เรื่องคดีความเสร็จสิ้นก่อน ให้คนร้ายที่ฆ่าคุณพ่อเข้าตารางให้ได้ จากนั้นเราจะออกเดินทางไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้ง"
จันทร์เพ็ญโผเข้ากอดปองปรีดาไว้ สีหน้าเธอตอนนี้แม้จะแฝงไปด้วยความเศร้า แต่ก็ยังพอจะมีรอยยิ้มแสดงออกบนใบหน้านี้
"ตำรวจเขาว่ายังไงบ้างคะ"
"ตำรวจยังไม่สรุปสำนวนคดี ในเบื้องต้นตำรวจบอกว่าพี่อาจจะถูกจัดฉากให้เป็นฆาตกร แต่หลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้พี่ไม่เป็นผู้ต้องสงสัย คงจะมีคนใกล้ตัวที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"
จันทร์เพ็ญทำสีหน้าตกใจกลัวเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอถึงกับใจหายว่ามีคนใกล้ตัวของสืบลอบกัดพ่อของเธอ และเธอเองก็อาจจะเป็นรายต่อไป จันทร์เพ็ญถึงกับตัวสั่นจนปองปรีดาสังเกตได้
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่พี่ยังอยู่ ก็จะไม่มีใครมาสามารถทำอะไรน้องได้"
ปองปรีดาพูดพลางรัดโอบจันทร์เพ็ญ ท่าทางของเธอจะคลายความหวาดกลัวลงไป เมื่ออยู่ในอ้อมอกของชายคนที่เธอรัก

ในร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม 5 ดาว เหล่าบันดาหุ้นส่วนคนอื่นๆต่างมาชุมนุมกันโดยที่ไร้เงาของปองปรีดา ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ความสมัครสมานสามัคคีกลับมาอยู่ทางฝั่งของกลุ่มผู้ถือหุ้นอีกครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีความเห็นที่แตกแยกของกลุ่มคนเหล่านี้มีออกมาบ่อยครั้ง
เสี่ยบุญยง ผู้ถือหุ้นของสืบ โกศลกรุ๊ป ที่มีมูลค่าหุ้นรองจากปองปรีดาเพียงคนเดียวเท่านั้นหลังจากที่ปองปรีดาได้รับมรดกจากสืบ เขาเริ่มต้นคำพูดในค่ำคืนนี้
"อย่างที่ทุกท่านทราบ ตอนนี้ลมมันเปลี่ยนทิศไปแล้ว ความไม่แน่นอนได้ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พวกเรา หากพวกเราไม่เกาะกลุ่มกันดีๆไว้ มีโอกาสที่นายปองปรีดาจะเขี่ยเราให้พ้นจากเส้นทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร"
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างส่งเสียงเห็นด้วยกับแนวคิดของเสี่ยบุญยง จากนั้นนริศที่ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องการบริหารก็พูดขึ้นมา
"ใช่แล้วครับ เรื่องนั้นเรายังต้องคุยกันอีกยาว และถ้าหากตำรวจยังไม่สามารถตามหัวตัวคนร้ายได้โดยเร็ว สถานการณ์ที่คลุมเครือนี้ก็ยากที่จะคลี่คลาย"
ทุกคนบนโต๊ะทำท่าทีเห็นด้วยอีกครั้ง เสี่ยอำนาจที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อตลาดหุ้น เขามีหุ้นส่วนในธุรกิจสำคัญๆหลายตัวในตลาด เขาพูด
"ว่าแต่พวกเราที่นั่งอยู่ในนี้ไม่มีใครรู้เห็นกับเรื่องนี้ใช่มั้ย ?"
น้ำเสียงที่ดุดันของอำนาจทำให้ทุกคนต่างผวาเล็กน้อยกับเสียง จนกระทั้งเสี่ยบุญตาต้องรีบพูด
"จะมีใครได้ประโยชน์จากการตายของสืบ สืบตายพวกเราก็ไม่ได้อะไรเลย ผู้ถือหุ้นก็ต่างมีจำนวนหุ้นเท่าเดิม ยกเว้นก็แต่..."
เสี่ยบุญยงไม่พูดชื่อคนออกมา แต่คนอื่นๆก็รู้ว่าเสี่ยบุญยงพูดถึงใคร
"นั่นน่ะสิ แรงจูงใจมันชัดเจนขนาดนี้ ตำรวจมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่" ใครบางคนพูดออกมา
"มันไม่มีหลักฐาน แม้ปองปรีดาจะเป็นคนพบศพคนแรก แต่ตำรวจก็ไม่พบอาวุธในการฆาตกรรม และยังมีพยานที่ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ลงมือฆ่าสืบ" เสี่ยบุญยงอธิบาย
"สมมุตถ้าไม่ใช่ปองปรีดาก็คงจะเป็นพวกของเสี่ยถัง เสี่ยถังเคยโดนสืบเล่นงานจนเกือบไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้" เสี่ยบุญยงพูด
"มีความเป็นไปได้ สืบเคยเล่นสกปรกกับเสี่ยถังไว้เยอะ เรื่องข่าวลือที่สืบปล่อยทำลายฝ่ายตรงข้าม เกือบทำให้เสี่ยถังต้องเข้าไปอยู่ในคุกได้" ใครอีกคนนึ่งพูด
"แต่ผมว่าเรื่องนี้มันอาจจะไม่ค่อยคุ้มกันเท่าไหร่ เรื่องความแค้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าถึงกับมายิงกันตายนี่มันคงจะเสี่ยงมากเกินไป ได้ไม่คุ้มเสีย" นริศเสนอความคิดเห็น
"น่าจะเป็นอย่างที่นริศว่า เสี่ยถังคงมีแรงจูงใจอยู่บ้างแต่เขาคงไม่ซี้ซั้วฆ่าคนระดับสืบเพื่อเรื่องแค่นี้" อำนาจเสริม
"ผมก็คิดอย่างนั้นครับ คนที่มีแรงจูงใจและมีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดสืบมากที่สุดก็คือปองปรีดา และผมเคยได้ยินข่าวเรื่องการไม่ลงรอยของสืบกับปองปรีดาในเรื่องการทำธุรกิจ" นริศพูด
"หรือว่าคนที่บุกฆ่าสืบบนเรือยอร์ชลำนั้นจะเป็นพวกโจรทั่วไปเพื่อชิงทรัพย์" อำนาจตั้งคำถาม
"เป็นไปไม่ได้ครับ ยามที่เฝ้าในอู่จอดเรือยืนยันว่าไม่มีใครเข้าออกรั้วนั้นในช่วงเวลาภายใน 1 ชั่วโมง ยกเว้นปองปรีดาคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ ตำรวจไม่พบอาวุธปืนที่ยิงสืบ ก็เลยไม่สามารถสรุปได้ว่าปองปรีดาเป็นคนยิง"
ทุกคนบนโต๊ะต่างทำหน้าเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จนใครคนหนึ่งบนโต๊ะตะโกนขึ้นมา
"เอ้า คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ มากินอาหารกันดีกว่า"
ทุกคนบนโต๊ะต่างหันมาสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า

รถเก๋งคันหรูสีดำมันวาวเข้าจอดเทียบหน้าประตูสถานีตำรวจ เมื่อรถจอดสนิทคนขับรถรีบก้าวออกจากรถเดินไปเปิดประตูฝั่งที่ปองปรีดานั่ง ปองปรีดาลงจากรถและเดินเข้าไปในอาคาร จากนั้นเขาถามถึงห้องของสารวัตรก่อนจะเดินตรงไปที่นั่น
"อ้าว คุณปองปรีดา มาตามเวลานัดเลยนะครับ" สารวัตรพูดทักทายกับผู้มาเยือน
"ผมไม่อยากทำให้ท่านสารวัตรเสียเวลากับผมนานครับ เลยต้องรักษาเวลา" ปองปรีดายิ้มทักทาย
"งั้นเชิญนั่งเลยครับ เราจะได้เข้าเรื่องกัน นี่คือสำนวนที่เราเคยซักถามกับคุณปองปรีดามาแล้ว แต่เราอยากจะเน้นถึงความชัดเจนเลยต้องขอเวลาคุณปองปรีดามาให้ปากคำ" สารวัตรหยุดพูด ก่อนจะพูดต่อ
"ในฐานะพยาน"
"ได้ครับ" ปองปรีดาตอบด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
"ในเช้าวันที่ 7 xx 25xx เวลา ตี 5 คุณปองปรีดาโทรเข้ามาแจ้งกับสถานีตำรวจว่าพบศพคุณสืบ บนเรือยอร์ชในห้องนอนใช่มั้ยครับ"
"ใช่ครับ"
"เมื่อตำรวจไปถึงเราพบศพคุณสืบในสภาพถูกยิงจากท้ายทอย มีเลือดนองเต็มพื้นและมีเศษเลือดกระจายติดที่ผนังฝั่งที่คุณสืบยืนหันหลังให้"
"ใช่ครับ ผมยังจำภาพเหล่านั้นได้ดี"
"หลังจากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัวคุณปองปรีดาไว้ เพื่อตรวจสอบร่องรอยหลักฐานที่อยู่บนตัวคุณปองปรีดา"
"ใช่ครับ และผลการตรวจหาร่องรอย ก็ไม่พบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง ไม่มีกลิ่นดินปืนติดบนเสื้อผ้าของผมรวมถึงคราบเลือด และที่ส้นรองเท้าของผมไม่มีเลือดติดอยู่"
"กล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพบริเวณทางขึ้นเรือยืนยันว่าคุณไม่ได้เดินออกมาจากห้องเลย ตั้งแต่คุณโทรหาเราจนเมื่อตำรวจไปถึง"
"ใช่ครับ"
สารวัตรหยุดนิ่งไม่พูดอะไร แม้เขาจะพยายามปั้นสีหน้าให้ปกปิดร่องรอยแห่งความเครียดไว้ แต่ปองปรีดาก็ยังสังเกตได้ถึงความสับสนของสารวัตร
"เอาล่ะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจสรุปได้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนยิง คุณแค่เดินเข้าห้องไปและพบศพคุณสืบ ผมขอความเห็นคุณปองปรีดาหน่อยครับ ในฐานะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณสืบมากที่สุด คุณคิดว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆาตกรรมคุณสืบบ้าง"
ปองปรีดาหยุดคิด เขาแสดงสีหน้าใช้ความลังเลที่จะพูด
"เอ่อ ขอโทษครับคุณสารวัตร ผมไม่สามารถพูดอะไรได้"
"ไม่เป็นไรครับ เราไม่มีอะไรจะสอบถามแล้ว ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ"
ปองปรีดาลุกขึ้นยืนพร้อมลาสารวัตร ก่อนเขาจะเดินออกจากห้องไป ตำรวจนักสืบคนหนึ่งแอบชำเลืองปองปรีดา เมื่อมั่นใจว่าปองปรีดาเดินจากไปไกลแล้ว เขาจึงเดินตรงไปยังห้องของสารวัตร
"ผมไปสืบตามที่สารวัตรบอกแล้ว เราไม่เจอการกระทำใดๆนี่น่าสงสัยของปองปรีดาเลย รวมถึงความสัมพันธ์ของคนที่อยู่รอบตัวของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคดี"
"เหรอจ่า แล้วกล้องวงจรปิดที่เราได้จากที่เกิดเหตุบอกอะไรมั้ย"
"ในเวลานั้นปองปรีดาเดินขึ้นเรือด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพู กางเกงยีนและรองเท้าหนังสีน้ำตาล ไม่มีอะไรที่ปองปรีดาถือขึ้นไปบนเรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะซ่อนปืนไว้ในตัว และตั้งแต่เขาเดินเข้าห้องไป เพียงแค่ผ่านไป 3 นาที เวลานั้นที่ สน. เราก็ได้รับแจ้งจากปองปรีดาว่าพบศพ"
"มีใครได้ยินเสียงปืนช่วงนั้นมั้ย"
"ระยะทางที่ระหว่างเรือกับป้อมยามห่างกันเกือบ 400 เมตร ถ้าเป็นปืนเก็บเสียงยามคงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน"
สารวัตรยิ่งทำหน้าเครียด เวลานี้เขาไม่ต้องแกล้งกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไปแล้ว ทำให้ตำรวจนักสืบมั่นใจว่าสารวัตรจริงจังกับคดีนี้มากเพียงใด
"รายงานผลชันสูตรศพของผู้ตายล่ะ"
"สภาพศพในเวลาที่เข้าเก็บศพยังอยู่ในสภาพอุ่น ไม่น่าจะตายเกิน 1 ชั่วโมง"
"จากกล้องวงจรปิดมีคนเข้าเดินขึ้นไปบนเรือมั้ยภายใน 1 ชั่วโมงนี้"
"ในกล้องไม่พบใครเดินผ่าน แต่ถ้าหากคนร้ายรู้มุมกล้องก็มีความเป็นไปได้ที่จะเดินขึ้นเรือโดยไม่ให้กล้องจับได้"
คำบอกเล่าของตำรวจนักสืบ ยิ่งทำให้สารวัตรถึงกับคิ้วชนกัน
"ต่อจากนี้สารวัตรจะทำยังไงต่อไปครับ"
"คงต้องไปข้อความเห็นจากเสี่ยถัง"

ในสถานบริการออกกำลังกายย่านใจกลางเมือง ผู้คนต่างประจำอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายของตัวเอง เสียงเหล็กกระทบกันจังหวะคล้ายเสียงกลอง สายพานลู่วิ่งดังสร้างความถี่เสียงคล้ายเครื่องดนตรี ในมุมยกน้ำหนักด้วยบาร์เบล เสี่ยถังกำลังยืนอยู่ใต้คานเหล็กที่วางอยู่บนโครงเหล็ก เขากำลังเตรียมทำท่าสควอทโดยมีเทรนเนอร์ตัวใหญ่ช่วยประครองที่ด้านหลัง เสี่ยถังสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างแผ่วเบา เพื่อรวบรวมสมาธิในการแบกน้ำหนักกว่า 120 กิโลกรัม และจังหวะนี้ถึงจุดที่เขาพร้อมในการยืดต้นขาเพื่อดันลูกหลักขึ้น เสี่ยถังเปล่งเสียงดังลั่นเพื่อเรียกพลัง
"เอส.....!!"
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เสี่ยถังจะได้ออกแรงจากหลังและต้นขาเต็มที่ ลูกน้องคนสนิทตะโกนส่งเสียงขัดจังหวะ
"เสี่ยๆ ตำรวจมาหาเสี่ยที่ใต้ตึกนี้แล้วครับ"
เสี่ยถังเสียจังหวะทันที บาร์เบลที่ถูกยกออกจากแท่นแล้ว แต่เสี่ยถังไม่ได้ส่งแรงไปดันต่อ ทำให้กล้ามเนื้อที่หลังถูกกดทับจากน้ำหนักมหาศาล โชคดีที่มีเทรนเนอร์ร่างยักษ์คอยช่วยประครองเหล็กไว้ ไม่อย่างนั้นเสี่ยถังอาจจะได้ไปนอนเป็นผักบนเตียง
"ไอ้บ้าเอ๊ย !! มึงมาเรียกอะไรตอนนี้วะ" เสี่ยถังตะโกนด่าลูกน้องดังลั่นพร้อมใช้ฝ่ามือตบไปที่กะโหลกของลูกน้องหนึ่งที
"ตำรวจมาอีกแล้วเหรอ แล้วมันมีเรื่องเร่งด่วนอะไรนี่ถึงต้องมาที่นี่วะ" เสี่ยถังพูดด้วยอารมณ์ที่ยังฉุนไม่หาย เขาเดินออกไปด้วยท่าทางที่เจ็บส่วนหลังเล็กน้อย
ที่ใต้ตึก สารวัตรมายืนรออยู่แล้วพร้อมตำรวจนักสืบคนเดิม เสี่ยถังเดินลงมาด้วยชุดออกกำลังกายที่ชุ่มเหงื่อ
"สารวัตรมาหาผมมีอะไรเหรอครับ" เสี่ยถังพูด
"เราเข้าไปนั่งคุยในล็อบบี้ของฟิตเนสดีกว่า ผมมีอะไรอยากถามเสี่ยนิดหน่อย"
"เรื่องอะไรสารวัตร ถ้าเป็นเรื่องที่ลูกน้องของผมไปไล่กระทืบพวกแผงลอยหน้าภัตตาคารของผม เรื่องนี้มันจบไปแล้วนี่สารวัตร" เสี่ยถังพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากนัก
"ใจเย็นๆก่อนเสี่ย ผมไม่ได้มาคุยเรื่องนั้น เอาเป็นว่าเราเข้าไปนั่งในห้องแอร์ให้ใจเย็นๆกันก่อนดีกว่า" สารวัตรพูดเสร็จก็เดินนำไปในห้องกระจก เขาเดินไปนั่งยังชุดโซฟาติดประตูทางออก
"ผมอยากมาคุยเรื่องคดีฆาตกรรมนักธุรกิจที่ชื่อสืบ" สารวัตรพูด
"ผมไม่รู้เรื่องนะสารวัตร"
"ผมไม่ได้จะมากล่าวหาเสี่ยซักหน่อย ผมแค่อยากจะมาขอความเห็นของเสี่ยว่าใครน่าจะมีแรงจูงใจในการฆ่า เผื่อมันจะช่วยให้เราสืบสวนได้ง่ายขึ้น"
"จริงเหรอสารวัตร ถึงแม้ผมกับสืบจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน มีเรื่องบาดหมางกันบ้างเป็นธรรมดา แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้ต้องฆ่าแกงกัน ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางหรอกครับสารวัตร"
"เราเข้าใจๆ ความบาดหมางของพวกคุณไม่น่าจะรุนแรงพอให้ถึงกับต้องมายิงกัน เสี่ยถังคิดว่าใครอยากจะให้คุณสืบตายมากที่สุด" สารวัตรถามด้วยน้ำเสียงทีอ่อนนุ่ม
เสี่ยถังหยุดไปนิ่งไปชั่วครู่
"คนที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆหากคุณสืบตายก็ครือลูกเขยของเขาครับสารวัตร ถ้าเป็นปองปรีดาก็มีโอกาสมากมายเพราะใกล้ชิดและรู้กิจวัตรของสืบ แต่ไม่รู้ว่าเมียของปองปรีดาจะมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ การฆ่าพ่อของตัวเองนี้มันเรื่องใหญ่เลยนะ"
"เสี่ยก็คิดแบบนั้นเหรอ แต่ว่าปองปรีดามีหลักฐานรองรับความบริสุทธิ์ของเขาได้ ไม่มีช่องโหว่ใดๆที่เราจะเล่นงานเข้าได้เลย"
"อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้วคุณสารวัตร ถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวผมขึ้นไปซาวน่าต่อนะสารวัตร"
เสี่ยถังเดินเข้าลิฟต์ไป สารวัตรพร้อมตำรวจอีกหนึ่งนายยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่นานสารวัตรก็พูดอะไรบางอย่างออกมาออกมา
"นี่จ่า ถ้าเราจะคุยกับเมียของนายปองปรีดาโดยไม่ให้นายปองรู้ พอจะมีวิธีมั้ย"
"มีครับ เธอเป็นสมาชิกคลับโยคะใกล้ๆตึกบริษัทที่ทำงานของเธอ ถ้าเราไปดักรอเจอเธอที่นั่นอาจจะได้คุยกันส่วนตัวกับเธอได้"
"ดีมากจ่า จัดการตามนั้นเลย"

เวลาผ่านไปนานหลายเดือน คดีฆาตกรรมของนายสืบยังไม่มีวี่แววใดๆที่จะคลี่คลายไปได้ ชุดตำรวจที่ทำคดีนี้คิดว่ามันอาจจะถึงทางตันแล้ว
ในบ้านพักของนายปองปรีดา ใกล้ถึงกำหนดการที่สองสามีภรรยานัดหมายกันไว้ว่าจะนำเรือยอร์ชลำเก่าของสืบ ออกล่องทะเลจากอ่าวไทยไปถึงช่องแคบมะละกา นี่คือแผนที่ปองปรีดาเตรียมไว้
ที่อู่จอดเรือตำแหน่งเดิมที่เรือลำนี้จอดเทียบท่าอยู่นานหลายเดือน วันนี้จะเป็นวันแรกที่มันจะได้ออกทะเลอีกครั้งโดยผู้ควบคุมคนใหม่ หลังจากที่ปองปรีดาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือลำนี้แล้ว เขาไปฝึกขับเรือมาจนมั่นใจว่าจะสามารถบังคับมันออกไปในเส้นทางที่ต้องการ และวันนี้ปองปรีดาขับรถยนต์ส่วนตัวมาพร้อมกับจันทร์เพ็ญ
“พร้อมแล้วนะกับการเดินทาง” ปองปรีดาหันไปพูดกับจันทร์เพ็ญ เมื่อพวกเขาจอดรถเทียบท่าเรือ
“ค่ะ น้องรอวันนี้มานานแล้ว” เธอตอบรับ
ปองปรีดาเริ่มทยอยขนของขึ้นบนเรือ เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไปยังห้องเครื่องของเรือ ห้องที่สืบถูกฆ่าตายในนั้น ปองปรีดาหันไปที่จันทร์เพ็ญ เขาคิดว่าคงจะสะเทือนใจจันทร์เพ็ญที่จะต้องเดินเข้าไปในที่ที่พ่อของเธอนอนตาย ปองปรีดาจึงทำท่าลังเลที่จะเปิดประตูจนจันทร์เพ็ญสังเกตได้
“ไม่เป็นไรค่ะ” จันทร์เพ็ญเอื้อมมือไปโอบมือของปองปรีดา
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องผ่านตำแหน่งที่สืบเคยนอนจมกองเลือด แม้จันทร์เพ็ญจะไม่เคยเห็นสภาพศพของพ่อเธอนอนตายในห้องนี้ แต่ความสะเทือนใจที่เธอได้รับรู้มาก็สามารถทำให้เธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เมื่อปองปรีดาเห็นจันทร์เพ็ญยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาพูด
“ถ้าการเดินทางครั้งนี้จะสะเทือนจิตใจน้องมากเกินไป เราเลื่อนกำหนดการออกไปก่อนดีมั้ย” ปองปรีดาพูด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอง น้องจะต้องผ่านพ้นสิ่งนี้ไปให้ได้” สายตาของจันทร์เพ็ญมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการออกเดินทางครั้งนี้ เหมือนกับว่าการเดินทะเลกับปองปรีดาครั้งนี้จะสามารถชำระความโศกเศร้าของเธอได้

ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจะมองเห็นฝั่ง ทั้งสองอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไร้การรบกวน ปองปรีดากำลังบังคับพวงมาลัยในห้องกระจก เขามองทะลุออกไปยังลานกว้างหัวเรือที่จันทร์เพ็ญนอนอาบแดดยามเย็นบนเตียงนอน ปองปรีดาละมือจากพวงมาลัย เขาเดินเข้าไปหาจันทร์เพ็ญ
“ท่าทางน้องยังคงไม่หายเศร้ากับเรื่องของคุณพ่อ”
“ใช่ค่ะ แม้เวลาจะผ่านไปนานแสนนานแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ยังค้างคาใจก็คือยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพ่อได้ การทำใจให้ปล่อยวางกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็พอจะเข้าใจ แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือทำไมคนร้ายถึงยังไม่โดนจับ”
“เอาน่าๆ เรื่องอยุติธรรมแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้บนโลกนี้ คนเราก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ได้สลับกันไปเป็นเรื่องธรรมดา พี่ดีใจที่น้องคิดถึงเรื่องการปล่อยวางได้ แต่พี่คิดว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเป็นเครื่องช่วยเยียวยาจิตใจ”
“ค่ะ น้องจะพยายาม”
ช่วงเวลาที่ยาวนานของจันทร์เพ็ญค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินทางล่องเรือเพื่อฆ่าเวลาสำหรับเธอในตอนนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด แต่จันทร์เพ็ญก็จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางในครั้งนี้ เพราะเธอได้คุยกับใครคนหนึ่งไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้

และยามที่ท้องฟ้าปราศจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มาถึง จันทร์เพ็ญนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอนโดยมีปองปรีดาอยู่ข้างๆ ปองปรีดายังไม่หลับเขาแสดงสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างออกมา เขาชำเลืองไปสังเกตจันทร์เพ็ญว่าหลับสนิทหรือเปล่า เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิท ปองปรีดาค่อยๆขยับตัวออกจากเตียง เขาเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเตียง ค่อยๆปลดรูปภาพแผนที่ทะเลไทยออกจากผนังและวางมันลงกับพื้น กระดาษวอลเปเปอร์มีร่องรอยของรอยต่อ ปองปรีใช้ซอกเล็บค่อยๆเลาะกระดาษวอลเปเปอร์ออกมา
หลังม่านกระดาษนั้น !! ปรากฏบานพับช่องลับที่ถูกซ่อนปิดไว้ ปองปรีดาหมุนลูกบิดตามรหัสลับเปิดตู้ที่เขารู้อยู่เพียงคนเดียว เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันส่งเสียงแผ่วเบาตามมือของปองปรีดา
เมื่อบานเหล็กถูกเปิดออก ในนั้นมีห่อผ้าสีดำขนาดไม่ใหญ่นัก ปองปรีดานำสิ่งนั้นออกมาและค่อยๆบรรจงปิดฝาตู้ รีดกระดาษวอลเปเปอร์ให้ติดผนังเหมือนเดิมและสุดท้ายนำกรอบภาพมาห้อยแขวนตามตำแหน่งเดิม
ปองปรีดาหยิบถุงผ้าและเดินออกจากห้องไปโดยทหันไปมองจันทร์เพ็ญที่อยู่ในอิริยาบถเดิม เขาเดินออกไปยังขอบเรือและตั้งท่าเหวี่ยงแขนโยนถุงดำให้ลอยออกไปจากเรือ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเหยียดแขนไปข้างหลังจนสุด ทันใดนั้น !!
เปรี้ยง !!’
เสียงปืนดังก้องฟ้า ปองปรีดาตกใจสุดขีดจนเขาปล่อยถุงผ้าลงกับพื้น และเมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงของปืน นั่นทำให้เขาถึงกับขวัญผวาอย่างสุดขีด
“จันทร์เพ็ญ ออกมาทำอะไร !!” ปองปรีดาพูด

“เดินถอยหลังออกไปให้ห่างจากถุงผ้า” น้ำเสียงจริงจังดังมาจากเจ้าของกระบอกปืน
“เดี๋ยวๆ วางปืนลงก่อนนะ ค่อยๆพูดกันก็ได้”
ปองปรีดาริมฝีปากสั่นไหวเมื่อเห็นสีหน้าเครียดแค้นชิงชังของจันทร์เพ็ญ สีหน้าเธอเหมือนจะคุมสติไม่อยู่ และอาจจะไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่อยู่บนไกปืนไม่ให้ลั่นไกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นอาจจะทำให้เธอยิงปืนใส่สามีของได้โดยไม่ต้องลังเล
“บอกให้เดินถอยออกไปไง เดินไปให้ไกลๆจากถุงผ้านั่น ยังอีก !!” จันทร์เพ็ญทำเสียงตะวาด
ปองปรีดาไม่ยอมทำตามโดยง่าย เขาคงห่วงว่าจันทร์เพ็ญจะล่วงรู้ความลับที่อยู่ในถุงผ้านี้มากกว่า ปองปรีดาขัดขืนคำสั่ง เขาก้มตัวลงไปหยิบถุงผ้าและเตรียมจะเหวี่ยงทิ้งออไปนอกเรือ
เปรี้ยง !!’
“โอ๊ย !!
จันทร์เพ็ญยิงปืนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอยิงเข้าเต็มท้องของปองปรีดา ปองปรีดาทรุดลงไปกับพื้น
“ทำไมๆ ทำไมต้องยิงกันด้วย คุยกันดีๆไม่ได้หรือไง” เขาใช้เรี่ยวแรงทียังพอมีเปล่งเสียงพูด
จันทร์เพ็ญน้ำตาไหลนองทั่วใบหน้า ใจหนึ่งก็นึกสงสารสามีที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็แค้นมากที่เรื่องทั้งหมดอาจจะเป็นอย่างที่มีคนเคยบอกกับเธอมา
“ถอยออกไปจากถุงผ้านั่น เร็วๆ” จันทร์เพ็ญพูด
ปองปรีดายอมถอยออกมาแต่โดยดี วินาทีนี้เขาคงไม่ห่วงอะไรมากกว่าปลายปืนในมือของจันทร์เพ็ญ เขาถอยออกไปห่างจากถุงผ้า จากนั้นจันทร์เพ็ญเข้าไปหยิบถุงผ้าสีดำขั้นมาและเปิดมันออก สิ่งที่เธอเห็นถึงกับทำให้เธอถึงกลับระเบิดเสียงร่ำไห้อีกครั้ง
“คุณพ่อ !
อาการของปองปรีดาเริ่มไม่ได้การ หน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เธอไปเอาปืนมาจากไหน” ปองปรีดาถามด้วยน้ำเสียงไร้เรียวแรง
“ตำรวจให้ฉันมา พวกเขาเดาถูกว่าแกจะต้องมาทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ และหลักฐานชิ้นนี้ก็อยู่นี่แล้ว”
เธอเทสิ่งของที่อยู่ในถุงผ้าออกมา ในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีชมพูที่เปื้อนคราบเลือด กางเกงยีนที่มีรอยคราบเลือดเช่นเดียวกัน รองเท้าหนังสีน้ำตาลทีพื้นรองเท้ามีคราบเลือดติดอยู่ และปืนสั้นพร้อมกระบอกเก็บเสียง
“ตำรวจบอกว่าในเรือยอร์ชจะมีเมสเสจที่บ่งบอกว่าใครคือฆาตกร เพียงแต่พวกเขาหามันไม่พบ” จันทร์พูดด้วยน้ำตา
“เธอไปคุยกับตำรวจมาเหรอ นี่ไม่เชื่อใจกันหรือยังไง” ปองปรีดาตัดพ้อ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อตำรวจ  ยังคิดว่าตำรวจจะหาเรื่องใส่ร้ายแก แต่ฉันเองก็จำเป็นต้องพิสูจน์ และตำรวจก็พูดถูก”
ปองปรีดาเริ่มจะคุมสติของตัวเองได้แล้ว เขาเริ่มเขาใจเกมมากขึ้น ความสะเพร่าของเพียงเล็กน้อยตอนนี้ จะทำให้สิ่งที่เขาคิดและวางแผนมานานจะต้องพังพินาศลงไป
“แล้วเธอจะกล้ายิงสามีเธอได้ลงคอเชียวเหรอ ถ้ากล้ายิงก็เอาเลย แต่ใครล่ะจะขับเรือพาเธอขึ้นฝั่ง” ปองปรีดาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เหมือนเขาจะคิดว่าเขาเองที่ถือไพ่เหนือกว่า
เป็นทีที่จันทร์เพ็ญจะระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเย้ยหยันออกมาบ้าง เสียงหัวเราะของเธอยังทำให้ปองปรีดาถึงกลับสติแตก
“ตำรวจให้ปืนฉันมาและบอกว่าให้ยิงได้เมื่อจำเป็น จะยิงแกให้ตายก็ได้ถ้าจำเป็น และถึงแม้ตอนนี้จะไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่า แต่ฉันก็อยากจะฆ่าแกเพื่อแก้แค้นให้พ่อของฉัน ตำรวจยังให้โทรศัพท์ดาวเทียมกับฉันมาด้วยเพื่อใช้โทรเรียกในกรณีฉุกเฉิน พวกเขาจะเอา ฮ. บินตรงมาที่นี่”
จันทร์เพ็ญเล็งปลายปืนไปที่หัวของปองปรีดา สีหน้าของเธอดูมั่นใจว่าจะต้องยิงแน่ๆ ปองปรีดาสติแตกทันที เขาลนลานถอยหลังหมายจะไปให้พื้นวิถีกระสุนที่จะยิงออกมาได้

ด้วยความลนลานจนเกิดเหตุและไม่ทันได้ระวัง เขาสะดุดเข้ากับขอบเรือทำให้เขาล้มกลิ้งตกน้ำทะเลไป จันทร์เพ็ญเห็นภาพนั้นทำให้เธอตกใจรีบวิ่งมาดูที่ขอบเรือ ภาพสามีของเธอลอยหายไปอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของเรือที่วิ่งไปข้างหน้า ใจหนึ่งจันทร์เพ็ญก็สงสารด้วยความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ใจหนึ่งก็โล่งใจที่เธอไม่ต้องเหนี่ยวไกปืนออกมาเพื่อฆ่าสามีด้วยตัวเอง