ร้านทำรองเท้าของคุณหมอดิเรกเป็นร้านทำรองเท้าที่แตกต่างจากร้านทั่วไป
หมอดิเรกเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก
โดยเฉพาะกระดูกตั้งแต่ข้อเท้าลงไปถึงปลายนิ้วโป้ง
หมอดิเรกใช้ความสามารถในการวิเคราะห์รูปทรงกระดูกของเท้าที่ผิดปกติ เปิดร้านรับทำรองเท้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูปเท้า
กระดูกเท้าและข้อผิดปกติ ผู้ที่มีเล็บงอกขึ้นผิดปกติ
การผิดปกติของกล้ามเนื้อและเอ็นทำให้เท้าเปลี่ยนรูป รวมถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อเท้าและการเดินผิดรูปไป ภาวะเท้าแบน
โรงงานทำโรงเท้าองหมอดิเรกจึงได้ชื่อว่าคลินิกรองเท้าสุขภาพ
ร้านของหมอดิเรกเป็นร้านที่มือชื่อเสียงมาก
เพราะการใช้รองเท้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความปกติเป็นเรื่องที่สำคัญ และคนที่จะสามารถวิเคราะห์ออกแบบรองเท้าพิเศษนี้ได้ก็มีน้อย
ทำให้คู่แข่งของหมอดิเรกแทบจะเป็นศูนย์ไปเลย
แก้วตาเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่ร้านของหมอดิเรกได้ไม่นาน
ก่อนหน้านี้เธออยู่โรงงานเย็บผ้ามาก่อน แผนกแพทเทิร์น
ด้วยคำแนะนำของป้าสุนทรีซึ่งเป็นเพื่อนกับน้าสมาน
พนักงานอีกคนที่มีหน้าที่ประกอบรองเท้า แก้วตาเข้ารับงานในตำแหน่งขึ้นแพทเทิร์นรองเท้าหลังจากที่หมอมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นและฟิล์มเอ็กซเรย์เกี่ยวกับเท้า
ส่วนแผนกเย็บและประกอบเป็นตัวรองเท้ามีเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีกสองคนรับผิดชอบ
เธอสามารถเรียนรู้และทำงานนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมมาก่อน
ที่โรงงานขนาดเล็กมีคนงานเพียง
4 คนนี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น ชั้น 2
และ 3 ถูกดัดแปลงเป็นห้องพักของพนักงาน ที่นี่ติดแอร์ทุกชั้นและทุกห้อง
หน้าต่างในแต่ละชั้นถูกปิดตายไม่สามารถเปิดได้
เพราะตึกรอบข้างเป็นร้านอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากภายนอกอาคาร
แก้วตาและพนักงานอยู่กินกันที่นี่ ด้วยเงินเดือนแตะ 2 หมื่นบาท นั่นมากพอสำหรับแก้วตา
ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยสำหรับเธอ
หมอดิเรกเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี
ด้วยงานประจำในโรงพยาบาลและร้านขายรองเท้าพิเศษนี้
ทำให้เขามีรายได้เยอะมากในแต่ละเดือน หมอดิเรกเป็นที่หมายตาของสาวๆรอบตัว
รวมถึงแก้วตาด้วยที่เธอแอบชอบหมอดิเรก และด้วยความที่หมอดิเรกเป็นนายจ้างที่ใจดีกับพนักงานในร้านรองเท้า
ทำให้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
แต่แก้วตาไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจนั้นออกไปให้หมอได้รู้
“คุณหมอดิเรกคะ คือว่าน้าสมานเขาบอกหนูว่าเขาจะลาออกค่ะ”
แก้วตาพูดกับหมอดิเรก เมื่อหมอดิเรกนำแพทเทิร์นรองเท้ามาส่ง
“อ้าว...จริงเหรอ
เสียดายจริงๆ สมานเขาเป็นคนทำงานประณีตมีฝีมือ เขาจะลาออกทำไมล่ะ” หมอพูด
“เห็นน้าเขาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ
“
“เหรอ
น่าสงสารแกเหมือนกัน สมานเขามีหน้าที่ประกอบรองเท้าใช่มั้ย
ถ้าช่วงที่ฉันยังหาคนมาทำแทนไม่ได้ แก้วตารับผิดชอบส่วนนี้ไปก่อนได้มั้ยล่ะ
แล้วฉันจะขึ้นเงินเดือนให้” หมอดิเรกยื่นเงื่อนไขที่ดูเป็นกันเองให้แก้วตา
สำหรับพนักงานทุกคนในร้าน หมอดิเรกมักจะไม่เคยคิดจะเอาเปรียบลูกน้องอยู่แล้ว
“ได้ค่ะหมอ
หนูทำได้” แก้วตาตอบรับข้อเสนอของหมอดิเรก
เวลาผ่านไปหลายเดือน
แก้วตาทำงานด้วยความสุข ด้วยชีวิตที่มั่นคง
และการที่ได้เจอหน้ากับหมอดิเรกบ่อยๆก็ทำให้เธอชอบที่จะทำงานอยู่ที่นี่
แม้จะเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพราะต้องรับผิดชอบการทำงานส่วนของสมานที่ลาออกไปนานแล้ว
แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกท้อใจกับงาน
วันนี้แก้วตารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
หมอดิเรกนัดเธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
แม้เธอจะรู้ว่าหมอดิเรกเพียงแค่จะนัดให้เธอไปรับแพทเทิร์นรองเท้าและรวดเลี้ยงอาหารเธอเป็นการตอบแทน
ที่เธอทำงานดีมาตลอด คืนนั้นเธอเลือกชุดที่สวยที่สุดเพื่ออกไปเจอหน้าคุณหมอ
แก้วตานั่งแท็กซี่ไปยังชานเมือง
เธอบอกให้คนขับจอดที่หน้าสวนอาหารแห่งหนึ่ง
หมอดิเรกบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ที่นี่
จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปที่โรงงาน จึงขอให้เธอมารับเอกสารที่นี่
“อ้าว...มาถึงแล้ว
นั่งก่อนๆ อยากกินอะไรสั่งเลยนะ”
หมอดิเรกที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นทันทีที่เห็นแก้วตาเดินเข้ามา
แก้วตาขยับเก้าอี้นั่ง
เธอมองพร้อมยิ้มไปที่หมอดิเรก โดยที่หมอดิเรกไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อทานข้าวเสร็จ
แก้วตานั่งรถแท็กซี่กลับที่พักพร้อมเอกสาร คืนนั้นเธอนอนฝันหวานถึงหมอดิเรกทั้งคืน
“จริงหรือคะป้าสุนทรี
น้าสมานเสียแล้วเหรอ” แก้วตาตกใจเมื่อป้าสุนทรีโทรมาแจ้งข้าวการตายของสมาน
“จริงสิ
สมานเพิ่งจะเสียเมื่อคืนที่โรงบาล ป้าไปอยู่ดูใจแกเมื่อคืนทั้งคืนเลย”
“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าน้าสมานเป็นอะไรตาย”
แก้วตาถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตกใจ
“เห็นหมอบอกว่าเนื้อเยื่อที่ปอดถูกทำลายนะ”
“เอ... น้าแกเป็นโรคนี้ได้ยังไงนะ”
“หมอบอกว่าสมานสูดดมสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน
นานจนเข้าขั้นเรื้อรังไม่ทันรักษาแล้ว”
“สารเคมี!”
แก้วตาฉุกคิดว่าสารเคมีที่ไหนที่น้าสมานจะสูดดมเป็นเวลานาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้
“หนูเสียใจด้วยค่ะป้า” แก้วตาเอ่ยอำลาป้าสุนทรีด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
แก้วตานอนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่น้าสมานสูดดมเป็นเวลานาน
เธอคิดได้ว่าหรืออาจจะเป็นกาวสำหรับทำรองเท้าที่ระเหยออกมาจากชั้นล่าง
และด้วยลักษณะของตึกที่ถูกปิดทึบไว้ตลอด
ทำให้สารระเหยจากกาวยังวนเวียนอยู่แต่ในตึกไม่ออกไปไหน
เธอต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง
เพราะหากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ขอให้หมอดิเรกจัดการกับปัญหานี้
แก้วตาได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับพนักงานที่ลาออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาทำงานแทน
ในตอนนั้นสมานบอกว่าพนักงานคนนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกัน
บางทีเธออาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สวัสดีค่ะ นั่นคุณลลิตาใช่มั้ยคะ”
แก้วตาพูดผ่านสายโทรศัพท์
“ใช่ค่ะ นั่นใครคะ”
แก้วตาแนะนำตัวเอง
เธอบอกข่าวเกี่ยวกับสมานให้ลลิตาฟัง จากนั้นถามถึงสุขภาพของลลิตา
ลลิตาได้ยินดังนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้แก้วตาฟัง
“ใช่แล้วล่ะ
ที่โรงงานทำรองเท้าของหมอดิเรกมีพนักงานเข้าๆออกๆเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว
และส่วนใหญ่ที่ออกเพราะเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพนี่แหละ" ลลิตาพูด
“ใช่จริงๆด้วย
แล้วทำไมไม่เคยมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหมอดิเรกล่ะคะ”
“มีสิ
พี่เคยพูดเรื่องนี้กับหมอดิเรกก่อนที่พี่จะลาออกจากที่นั่นแล้วนะ
แต่ดูเหมือนหมอแกจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
“จริงหรือคะ น่าแปลกจัง ทั้งๆที่หมอดิเรกก็ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของลูกน้องอย่างดี
แต่ทำไมไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
สิ้นเสียงพูดของแก้วตา
ลลิตาหัวเราะในลำคอเบาๆแต่แก้วตายังได้ยิน
“หมอเขาคงอยากให้พนักงานทุกคนตายอยู่แล้วมั้ง
สมานไม่ใช่รายแรก และก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย” ลลิตาวางหูโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ
คำพูดของเธอทำให้แก้วตาถึงกับเสียวสันหลังวาบ
หลายวันมานี้เธอทำงานตามปกติในโรงงานตึกแถวหลังนี้
แต่ในใจเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสารเคมีจากกระป๋องกาวที่คละคลุ้งจางๆ
ได้
แก้วตาชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแม้จะอยู่ในห้องพักที่เธอนอน
เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าสุขภาพของเธอแข็งแรง
เพราะเธอคิดว่าการเต้นแอโรบิคที่เธอทำประจำทุกๆเย็น
จะช่วยทำให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายเหล่านี้ขอร้องให้หมอดิเรกปรับปรุงตัวอาคาร
หรือไม่ก็ซื้อเครื่องระบายอากาศขนาดใหญ่มาติดตั้งทั้งตึก
แต่เธอก็กลัวว่าจะถูกหมอดิเรกปฏิเสธคำขอนั้น
เพราะหากหมอดิเรกจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว
กลับปล่อยให้พนักงานเป็นโรคร้ายถึงกลับตาย
แม้ความคลางแคลงใจที่แก้วตามีต่อหมอจะยังคงมีอยู่
แต่ด้วยการปฏิบัติของหมอที่ดีต่อแก้วตา ทำให้แก้วตาใจอ่อน
ไม่สามารถโกรธหรือเกลียดหมอได้ เธอยังคงยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ
บางครั้งความสุขเหล่านี้ทำให้เธอลืมเรื่องสารเคมีที่ลอยคลุ้งในตัวอาคารไปหมดสิ้น
และแล้วก็ถึงวันของแก้วตา
เธอเริ่มรู้สึกไอบ่อยขึ้น หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย
แม้จะไม่มากแต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นโรคร้ายเหมือนสมานและลลิตา
เธอพยายามเก็บอาการและไม่บอกให้ใครรู้
เพราะเธอกลัวว่าเธอจะไม่ได้ทำงานรองเท้าที่เธอรัก
และอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหมอดิเรกอีกหากไม่ได้ทำงานที่นี่
แก้วตาตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
เธอหวังว่าจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการที่เธอเป็นอยู่นี้
ผลตรวจปรากฏว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
เมื่อรู้ความจริงข้อนี้เธอไม่เสียใจ เพราะเธอรักคุณหมอดิเรก
คลินิกให้ยาแก้วตามากิน ทำให้อาการของเธอดีขึ้น
เพราะความรักที่เธอมีให้กับหมอ ทำให้เธอยอมอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
หมอดิเรกก็ทำตัวปกติกับพนักงานทุกคนเหมือนไม่มีเร่องเกี่ยวกับสารเคมีในอาคารเกิดขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง
หมอดิเรกยื่นบัตรเชิญงานแต่งงานให้แก้วตา เธอเปิดดูบัตรเชิญและรู้สึกสะเทือนใจที่ชื่อในบัตรเชิญนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ
ลับหลังเธอแอบร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ แก้วตาหลงเข้าข้างตัวเองมานานแล้วว่าหมอดิเรกมีใจให้กับเธอ
แต่วันนี้กับสิ่งที่หมอดิเรกทำ นั่นยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่า
เธอคิดไปเองมาตลอด
จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
จากความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
แก้วตาตัดสินใจหนีออกมาจากตึกนั้นในคืนวันนั้นทันทีที่ได้รับข่าวสะเทือนใจ
เธอหนีออกมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่วนหนึ่ง และบัตรเชิญงานแต่งนั้น
ไม่มีใครสามารถติดต่อแก้วตาได้อีกเลยแม้แต่หมอดิเรก
หรือบางทีหมอดิเรกก็อาจจะไม่คิดจะติดต่อตามหาเธออีกแล้ว แก้วตาคิดแบบนั้นในหัว
เธอหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ เธอไม่บอกเรื่องโรคร้ายนี้ให้ใครรู้
เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์
จากสัปดาห์เป็นเดือน แต่เวลาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งอาการของปอดที่ถูกทำร้ายเริ่มกำเริบยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นเกลียดชังเพิ่มเป็นทวีคูน
เธอหยิบบัตรเชิญงานแต่งของหมอดิเรกขึ้นมาดูพร้อมสายน้ำตาที่หยดลงบนบัตรเชิญใบนั้น
งานแต่งงานของหมอดิเรกถูกจัดในโรงแรมสุดหรู
หมอดิเรกในชุดทักซิโด้เข้ารูปยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดในงาน
เจ้าสาวของเขาในชุดเจ้าสาวราคาแพงระยับยืนเคียงข้างคอยต้อนรับแขกระดับเศรษฐีที่เข้ามาร่วมงาน
แขกนับร้อยทยอยเข้ามาในงาน
หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแขกคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในงานโดยแต่งชุดพนักงานของทางโรงแรม
ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีบัตรเชิญเข้างานที่เปื้อนคราบรอยน้ำตาโผล่ออกมา
แต่เธอคิดว่าคงไม่ต้องใช้
ถึงจังหวะที่คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวแนะนำตัวบนเวที
“ขอบคุณสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ
ที่มาร่วมงานเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้
ผมและเนตรเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราศึกษาดูใจจนแน่ใจว่าเราคู่กัน”
ดิเรกกล่าวบนเวทีสั้นๆ นั่นเรียกเสียงปรบมือกังวานทั่วทั้งห้องจัดงาน
แขกเหรื่อทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่
เจ้าบ่าวที่ทั้งร่ำรวยและเก่ง รวมถึงเจ้าสาวที่สวยและมาจากตระกูลผู้ดี
นั่นทำให้คู่สมรสคู่นี้ต่างได้รับการยอมรับและยกย่องจากผู้มาร่วมงาน
คงจะมีแต่แขกที่ปลอมตัวเข้ามาในชุดพนักงานของโรงแรมเพียงคนเดียว
ที่เครียดแค้นและชิงชังเจ้าบ่าวของงาน
และก็มาถึงช่วงที่โรงแรมจัดชุดอาหารโต๊ะจีนไปเสิร์ฟในแต่ละโต๊ะ
อาหารในงานคืนนี้คือตือฮวนจากภัตตาคารชื่อดัง และขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร
แขกลึกลับในชุดพนักงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสิร์ฟอาหารในครั้งนี้ด้วย
ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับตือฮวนสุดอร่อย
น้ำซุปสุดเข้มข้น บนเวทีมีการบรรเลงเปียโนเพลงรัก
และภาพจากโปรเจคเตอร์กำลังแสดงภาพพรีเว้ดดิ้งของคู่บ่าวสาว นั่นเกือบทำให้บ่อน้ำตาของแขกลึกลับคนนั้นต้องแตกออกมา
โชคดีที่เธอกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ได้
ไม่อย่างนั้นแผนการที่เธอเตรียมมาอย่างดีทุกอย่างในคืนนี้คงต้องพังพินาศ
เมื่อเสียงโน้ตเปียโนตัวสุดท้ายจบลง
ภาพสไลด์เฟรมสุดท้ายปรากฏ คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง
และจังหวะนี้ที่แขกลึกลับคนนั้นรีบวิ่งชิงขึ้นไปบนเวทีแซงหน้าคู่บ่าวสาว
แขกลึกลับเมื่อยืนอยู่หน้าไมโครโฟน
เธอพูดประกาศใส่ไมค์ทันที
“เอาล่ะ สำหรับความสำราญในคืนนี้จบลงแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ” เสียงของพูดของเธอทำให้แขกเหรื่อเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง
จากนั้นเสียงฮือฮาโห่ร้องก็ดังไปทั่วห้องเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปัง!
เสียงปืนดังลั่นห้อง
คราวนี้ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงโดยมิได้นัดหมาย
หมอดิเรกมองมาที่แขกลึกลับคนนั้นก่อนจะพูด
“แก้วตา นั่นแก้วตาใช่มั้ย”
แก้วตาที่ปลอมตัวมาในคราบพนักงานโรงแรม เธอหันมามองที่หมอดิเรก
แต่คราวนี้เธอกลั้นสายน้ำที่ไหลเอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่ไหวแล้ว
“ใช่ค่ะ นี่แก้วตาเอง”
แม้ความเกลียดและชิงชังต่อหมอดิเรกที่แก้วตามีต่อเขา
แต่เธอยังส่งสายตาที่ห่วงหาอาทรใส่เขาพร้อมสายน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด
จากดวงตาทั้งสอง
“มาเข้าเรื่องกันเลย แขกทุกท่านคะ
ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันคืออดีตพนักงานที่เคยทำงานในโรงงานทำรองเท้าเล็กๆของหมอดิเรก
ฉันรู้ความจริงมาว่าหมอดิเรกละเลยที่จะใส่ใจปัญหาเรื่องสุขภาพของพนักงาน
ทำให้พนักงานหลายคนเจ็บป่วยเป็นโรคเยื่อปอดถูกทำลาย
เพราะโรงงานของหมอเต็มไปด้วยสารเคมีจากกาวสำหรับทำรองเท้า...
“หมอดิเรกทราบถึงปัญหานี้ดีแต่ละเลยที่จะแก้ไข เขาจงใจที่จะให้พนักงานตายเพราะไม่ต้องการให้สูตรทำรองเท้านี้เผยแพร่ไปอยู่ที่ไหน
และฉันเองก็กำลังจะตายเพราะโรคร้ายนี้ในอีกไม่ถึงเดือน”
“ไม่จริงๆ เธอเข้าใจอะไรผิดไปหมดแล้วนะแก้วตา”
หมอดิเรกพยายามจะแก้ตัว เพราะเขาเห็นปืนในมือของแก้วตา
“หมอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันไม่ประโยชน์ที่จะมาสำนึกอะไรในตอนนี้”
เธอตวาดเสียงออกไปผ่านไมโครโฟน นั่นทำให้ทั้งห้องเงียบเสียงยิ่งกว่าเดิม
“หมอมันคนเห็นแก่ตัว”
แก้วตากระแทกเสียงผ่านไมโครโฟนอีกครั้ง
หมอดิเรกค่อยๆเดินเข้ามาใกล้แก้วตา
และหยุดยืนเมื่อห่างจากแก้วตาไม่ถึง 5 เมตร ส่วนเจ้าสาวในค่ำคืนนี้วิ่งหนีลงจากเวทีไปนานแล้ว
หมอดิเรกหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เขาทำเหมือนกับว่าถือไพ่เหนือกว่าบนเวทีนี้
หมอดิเรกรู้มานานแล้วว่าแก้วตามีใจให้เขา และหลงรักเขา
เขามั่นใจว่าจะกล่อมเธอสำเร็จให้ยอมทำตามความต้องการของเขา
“เธอมีหลักฐานอะไรมากว่าวหาฉันในข้อนี้
ตลอดเวลาฉันดูแลพนักงานอย่างดี
เงินเดือนที่ให้ก็มากโขอยู่เมื่อเทียบกับโรงงานอื่นๆ ไม่เอาน่า...
เราอย่าให้เรื่องแค่นี้มาทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากเลย”
หมอดิเรกเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลง เขาพยายามทำให้แน่ใจว่าแก้วตากำลังจ้องมองมาที่เขา
เจ้าหน้าทีรักษาความปลอดภัยในชุดสูทสีดำเข้มค่อยๆแอบลอบเดินเข้ามาข้างหลังแก้วตา
อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาจะสามารถตะครุบตัวเธอไว้ได้
“เราค่อยๆพูดกันดีกว่านะ
ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบ...” หมอดิเรกยังไม่ทันพูดจบ
ปัง!
แก้วตากลับหันหลังพร้อมกระบอกปืนเล็งไปที่เจ้าหน้าที่คนนั้นทันที
กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ของเจ้าหน้าที่คนนั้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน
คนอื่นไม่เกี่ยว ฉันไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาตาย กรุณาถอยไปซะ”
แก้วตาตะคอกเสียงไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไป
เจ้าหน้าที่ที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น พยายามใช้ขาทั้งสองข้างถีบตัวเองออกไปจากกลางเวที
แก้วตาหันปลายกระบอกปืนมาที่หมอดิเรก
หมอดิเรกทำท่าทางตกใจ ความเก่งกล้าของฝีปากเขาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น
“เธอจะเอายังไง”
“ไม่ต้องกลัวหรอกหมอ
ที่ฉันมาคืนนี้ไม่ได้จะมาทำให้ใครตาย ฉันแค่อยากจะออกมาบอกความจริงแค่นั้น”
แก้วตาพูดเสร็จ เธอก็หยิบถุงพลาสติกใสออกมาจากกระเป๋ากางเกง
ในถุงเป็นก้อนเนื้อสีแดงเข้มจนเกือบจะดำสนิท
“นี่คือปอดของพนักงานคนหนึ่งที่เคยทำงานในโรงงานของหมอ
เธอตายไปนานแล้ว ในถุงนี้มีปอดเพียงแค่ครึ่งเดียว”
แก้วตาชูถุงบรรจุเนื้อปอดให้ทุกคนในงานดู จากนั้นเธอโยนชิ้นเนื้อนิ่มๆในถุงพลาสติกไปที่หมอดิเรก
“แล้วอยากรู้ไหมว่าปอดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน” ไม่มีเสียงตอบรับคำถามของแก้วตา
ทุกคนต้องตกตะลึงปนสยดสยองถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับของที่อยู่ในถุงใส
“นู่น! มันอยู่ในนู้น
หม้อตือฮวนบนโต๊ะพ่อแม่ของหมอมีส่วนผสมของปอดนี้ด้วย แต่กลิ่นเน่าเหม็นของมันคงถูกกลบด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศสูตรเข้มข้นนั้นหมดแล้ว
เป็นยังไงคะคุณพ่อคุณแม่ ปอดของอดีตพนักงานในโรงงานของลูกชาย อร่อยมั้ย” แก้วตาพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาดังลั่น
แขกบนโต๊ะที่นั่งรวมกับโต๊ะพ่อแม่เจ้าบ่าวรวมทั้งพ่อแม่เจ้าบ่าวต่างสำรอกอาหารมื้อนั้นออกมาพร้อมเพรียงกัน
โต๊ะรอบข้างบางคนเมื่อเห็นชิ้นเนื้อแปลกๆในหม้อตือฮวนบนโต๊ะนั้น
ก็ต่างเบือนหน้าหนีและทำหน้าผะอืดผะอมเช่นกัน
เสียงหัวเราะของแก้วตาดังขึ้นอีกครั้งเหมือนคนเสียสติ
ใช่! เธอเสียสติไปแล้ว ไม่มีใครบนเวทีกล้าที่จะไปแย่งปืนจากคนเสียสติอย่างเธอ
จากนั้นไม่นานเสียงปืนกระบอกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
เลือดและเศษมันสมองสาดกระจายเต็มพื้นเวที
แก้วตารักษาสัญญาที่จะไม่ทำให้ใครในงานตาย
นอกจากตัวเธอ เธอจบชีวิตตัวเองด้วยการระเบิดสมองท่ามกลางคนนับร้อย
ก่อนที่จะถึงกำหนดวันแต่งงานหลายอาทิตย์
แก้วตาเริ่มที่จะยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เธอเจอมา
ความทุกข์ทรมานที่กัดกินจิตใจเธอมาตลอดหลายสัปดาห์เริ่มจะเจือจาง เธอบังเอิญไปเจอเศษกระดาษที่อยู่ในเสื้อตัวหนึ่ง
ในกระดาษเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เธอจดมาจากพนักงานในโรงงานอีกคน
เบอร์โทรนั้นเป็นของลลิตา
แก้วตาเดินทางมาหาลลิตาที่บ้าน
เมื่อทั้งคู่นัดหมายกัน แก้วตายื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานแต่งให้กับลลิตาดู
เธอบอกว่าสาเหตุนี้แหละที่ทำให้เธอหนีออกมาจากที่นั่น
เมื่อลลิตาเห็นเธอถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
แก้วตามารู้ทีหลังว่าลลิตาก็เคยแอบหลงรักหมอดิเรกเช่นเดียวกัน ลลิตาบอกว่าเธอเคยคิดว่าจะได้แต่งงานกับหมอดิเรก
แต่สุดท้ายก็รู้ว่าหมอดิเรกแอบหลอกใช้เธอให้ทำงานอย่างจงรักภักดีในโรงงานแห่งนี้
“ยิ่งรักก็ยิ่งแค้นนัก” ลลิตาพร่ำบ่นออกมาสั้นๆ
“แค้นแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้”
แก้วตาพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“มีหลายครั้งที่หมอให้ความหวังกับพี่ว่าเราจะได้แต่งงานกัน
แต่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นเรื่องโกหก” ลลิตาพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย “พี่พร้อมที่จะมอบทั้งใจและกลายให้กับหมอมาตลอด
แต่หมอพยายามบ่ายเบี่ยงบอกเพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา ไม่อยากทำผิดประเพณี
ไอ่เราก็นึกว่าหมออยากจะแต่งงานกับพี่” เสียงร่ำไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งคู่ต่างเงียบงันบทสนทนาไปชั่วครู่
แต่เสียงร่ำไห้ของลลิตายังคงอยู่ จากนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เธออยากจะแก้แค้นหมอมั้ย”
แก้วตาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
สภาพจิตใจของเธอก็ไม่ต่างจากลลิตามากนั้น ทั้งรักทั้งแค้น แต่เธอยังไม่แค้นมากพอที่จะแก้แค้นหมอ
“อย่าจองเวรกันเลยดีกว่านะ
เรายอมรับโชคชะตาและค่อยๆอยู่ไปแบบนี้ดีกว่า”
ลลิตาหัวเราะดังลั่น “เธอมันบ้าไปแล้ว
บูชาความรักทั้งๆที่มันไม่เคยมีอยู่จริง
เธอคงรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอน้อยไปเพราะเธอไหวตัวทันออกมาก่อน”
ลลิตาเดินหายเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็เดินกลับออกมาพร้อมลังกระดาษขนาดไม่ใหญ่นัก
ลลิตาเทซองกระดาษจดหมายนับสิบฉบับลงตรงหน้าแก้วตา
“นี่คือจดหมายที่เราสองคนใช้โต้ตอบกัน
ถ้าเธอได้อ่านเธอจะรู้ว่าความหวังทั้งชีวิต
ถ้ามันถูกทำลายโดยคนที่เรารักมันจะเป็นยังไง”
แก้วตาเปิดอ่านจดหมายหลายฉบับ เธอถึงกับน้ำตาร่วงหล่นลงบนกระดาษหลายแผ่นที่เธอหยิบขึ้นมาอ่าน
“แล้วพี่จะแก้แค้นหมอยังไง”
แก้วตาถามคำถามนี้เมื่ออ่านจดหมายครบทุกฉบับ
ลลิตายิ้มเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ออกมาจากแก้วตา
“ไหนๆฉันก็จะตายอยู่แล้ว
ฉันอยากให้พวกนั้นได้รับรู้ว่าความน่าสยดสยองว่ามันเป็นยังไง”
ลลิตาเล่าแผนการทุกอย่างให้แก้วตาฟังทั้งหมด
เมื่อได้ยินแผนการทั้งหมดของลลิตาแล้ว
แก้วตาถึงกับผะอืดผะอมและไม่อยากทำ เมื่อเธอรู้ว่าขึ้นตอนแรกของแผนการคือ
เธอต้องฆ่าลลิตาให้ตาย แล้วผ่าศพเอาปอดที่เน่าเฟะของลลิตาออกมา แก้วตาปฏิเสธทันที
ลลิตาหัวเราะเบาๆ
“พี่เข้าใจว่าการฆ่าคนมันยากลำบาก แต่ไม่เป็นไร พี่จะข้ามขั้นตอนนั้นไป
แต่เธอต้องทำตามแผนทั้งหมดที่พี่เล่าให้ฟังนะ” ลลิตเดินหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
ไม่นานเธอก็เดินกลับออกมาพร้อมมีดทำครัวเล่มยาว
“พี่จะทำอะไร” แก้วตาตกใจเมื่อเห็นมีดในมือลลิตา
โดยที่ไม่รอฟังเสียงทัดทานใดๆ ลลิตาใช้มีดด้ามนั้นคว้านเข้าไปในท้องของเธอ
เธอใช้เรี่ยวแรงที่ยังเหลือกรีดมีดขึ้นมาจนถึงหน้าอก
ลลิตาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายพูดคำบางคำออกมา
“ที่เหลือฝากต่อด้วยนะ ลาก่อน”
ลลิตาฟุบลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมกองเลือดที่ไหลนอง
เลือดส่วนหนึ่งไหลไปเปรอะกับกระดาษโปสเตอร์แผ่นหนึ่ง โปสเตอร์แผ่นนั้นคือแผนผังร่างกายที่แสดงตำแหน่งอวัยวะภายในของมนุษย์
ลลิตาตั้งใจใช้ปากกาเมจิคสีแดงวงรอบตำแหน่งของปอดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อแก้วตาหายตกใจและหยุดส่งเสียงกรีดร้อง
เธอตรงเข้าไปยังร่างของลลิตาและหยิบมีดเล่มนั้นออกมาจากมือของเธอ จากนั้นเธอหยิบแผ่นกระดาษโปสเตอร์ขึ้นมาและเทียบตำแหน่งอวัยวะชิ้นนั้นระหว่างในกระดาษกับร่างไร้ชีวิตที่นอนอยู่ใกล้ๆนี้