วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เสียงที่เพราะที่สุดในโลก


ผมเดินเข้าบู๊ทขายหนังสือของสำนักพิมพ์เกี่ยวกับดนตรีในงานสัปดาห์หนังสือที่จัดขึ้นในปีนี้  ผมตั้งใจจะไปหาข้อมูลของศิลปินใหม่ๆ หรือศิลปินที่เล่นเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีสักชิ้น เพื่อหาท่วงทำนองและสำนวนทางดนตรีใหม่ๆรวมถึงท่วงทำนองเสียงประสานที่จะขับกล่อมจิตใจของผม
สำนักพิมพ์มิวสิคกูรู (ชื่อสมมุติ) คือสำนักพิมพ์ที่ผมหาข้อมูลมาทางอินเตอร์เน็ท นิตยสารที่ใช้ชื่อหัวเดียวกันกับชื่อสำนักพิมพ์ฉบับล่าสุดวางเด่นหราอยู่บนชั้นหน้าบู๊ท ผมหยิบขึ้นมาและเปิดออกดู
 ‘ไมเคิล จาคอบ (ชื่อสมมุติ) นักร้องเพลงป๊อบที่ผสมผสานความเป็นบลูเข้าด้วยกัน ถือเป็นงานดนตรีที่ไม่เหมือนใครด้วยคำร้องที่แต่งขึ้นเอง เนื้อเพลงส่วนใหญ่พูดถึงการแบ่งชนชั้นในวัยเด็กที่เขาเจอ เนื่องจากครอบครัวของเขาเป็นคนอเมริกันแอฟริกัน จึงมีเรื่องราวคล้ายๆกับนักร้องเพลงบลูหลายๆคน แต่งานครั้งนี้ผสานความเป็นป๊อบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในอัลบั้มชุดนี้...’
“สวัสดีค่ะผู้เข้าชมงานทุกท่าน วันนี้สำนักพิมพ์เมนี่เลิฟ (ชื่อสมมุติ) จัดโปรโมชั่นซื้อ 3 แถม 1 เพื่อเอาใจคนรักหนังสือโดยเฉพาะ พิเศษ! พบกับนักเขียนตัวจริงเสียงจริงได้ในบู๊ทหนังสือ พร้อมรับของแถมอีกมากมาย ขอเชิญนะคะ ที่บู๊ทหนังสือเมนี่เลิฟ”
ผมสะดุดการอ่านด้วยเสียงประกาศผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ทำให้สมาธิในการอ่านรายละเอียดนักร้องนั้นขาดสะบั้นไป ผมพลิกไปอ่านหน้าถัดๆไป
 ‘สตีฟ แฟรงค์ (ชื่อสมมุติ) เขาสามารถบรรเลงแซกโซโฟนบนเวทีโดยสะกดผู้ชมนับหมื่นให้หยุดหายใจ ด้วยท่อนฮุคอันทรงพลัง แม้จะเป็นการโซโล่เดี่ยวจากเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวก็ตาม กับอัลบั้มงานเพลงที่จะออกวางตลาดในช่วงปลายซัมเมอร์นี้ อาจจะทุบทุกสถิติยอดขายเพลงผ่านอินเตอร์เน็ท ถ้านับเฉพาะงานเพลงบรรเลงที่ไม่ค่อยจะนิยมมากนักในตลาดเพลงออนไลน์…’
 “ตอนนี้ที่บู๊ทหนังสือสำนักพิมพ์นิยายสยาม (ชื่อสมมุติ) พบกับนักเขียนนามปากกาฟ้าลั่น (นามสมมุติ)ได้แล้วค่ะ นักเขียนพร้อมแล้วที่จะแจกลายเซ็นพร้อมพูดคุยกับแฟนหนังสือ ขอเชิญนะคะที่บู๊ทสำนักพิมพ์นิยายสยาม”
สมาธิจากการอ่านผมขาดสะบั้นลงอีกครั้ง ผมพยายามพลิกหน้าถัดๆไปเพื่อหาศิลปินใหม่ๆ แต่เสียงประกาศก็ดังขึ้นและพูดติดต่อกันจากหลายๆบู๊ทจนทำให้ผมไม่สามารถอ่านนิตยสารเล่มนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ผมควักเงินตามราคาหน้าปกนิตยสารเล่มนี้ส่งให้กับพนักงานและเดินออกมาทันที
ผมเดินผ่านโซนหนังสือนิยายเผื่อจะเห็นหนังสือเล่มไหนน่าสนใจ แต่ตลอดทางที่ผมเดินผ่านกลับเต็มไปด้วยเสียงจอแจจากพนักงานขาย เสียงดังจากการสนทนาของผู้เข้าชมงาน แต่นั่นไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับเสียงประกาศผ่านลำโพงดังมาไม่ขาดช่วง
 “นาทีทองค่ะ หนังสือลด 30%...”
 “พบกับหนังสือที่มียอดขายถล่มทะลาย แต่มาในงานนี้ด้วยราคาสุดพิเศษสำหรับผู้เข้าชมงาน...”
 “จัดกิจกรรมแจกหนังสือฟรีค่ะ พบกันที่บู๊ท...”
 “พบนักเขียน...”
 “เล่นเกมส์...”
“ชิงรางวัล...”
ผมเดินออกมาจากศูนย์ประชุมฯทันทีโดยไม่สนใจจะมองหาหนังสือใดๆอีกแล้ว พอคิดถึงงานหนังสือของประเทศไทยแล้ว แม้ผมจะไม่เคยไปงานหนังสือที่ประเทศใดๆมาก่อน แต่ผมคิดว่างานหนังสือในบ้านเราเป็นงานหนังสือที่ดังที่สุดในโลก ดังในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงมีชื่อเสียงโด่งดัง หากแต่หมายถึงเป็นงานที่มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมตลอดทั้งงาน ความจริงแล้วงานหนังสือควรจะเป็นงานที่เงียบสงบ ให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินใจเนื้อหาในหนังสืออย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้พนักงานขายมาตัดสินใจแทนลูกค้าโดยประกาศเสียงผ่านลำโพงดังกึกก้องทั่วหอประชุม
 
ผมเดินลงบันไดลงไปในสถานีรถไฟใต้ดิน ในสถานีนี้ให้ความรู้สึกเย็นสบายและหลีกหนีความวุ่นวายจอแจลงมาได้บ้าง แม้ผู้โดยสารในช่วงนี้จะเยอะเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ทำเสียงดังมากนัก ทุกคนต่างใจจดใจจ่อต่อการรอรถไฟเที่ยวถัดไป
ระหว่างที่ผมยืนรอรถไฟผมหยิบนิตยสารเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีกรอบ ความเงียบสงบในครั้งนี้ทำให้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับศิลปินได้หลายคน เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจซื้อเพลงผ่านอินเตอร์เน็ทของผมได้
ไม่นานรถไฟก็จอดเทียบชานชาลา ผมเก็บหนังสือลงในกระเป๋า กะว่าจะไปเปิดอ่านอีกทีบนรถไฟฟ้า เมื่อขึ้นมายืนบนรถผมหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดอ่านต่อจากหน้าที่อ่านค้างไว้
แต่ทว่า! เสียงโฆษณาในรถไฟฟ้าที่ฉายออกมาทางจอทีวีจอเล็กและเสียงดังผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้รอบตัวรถ ทำลายสมาธิในการอ่านของผมอีกครั้ง ด้วยเสียงที่ดังเกินค่ามาตรฐาน แม้ผู้ที่ไม่ตั้งใจฟังก็ยังสัมผัสได้ยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมเก็บนิตยสารลงในกระเป๋าอีกครั้งและพยายามปิดหูปิดตาไม่รับฟังเสียงใดๆ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมลพิษทางเสียงนั้นก็ยังเล็ดลอดเข้ามาในหูผมได้ตลอดเส้นทาง
ผมอดทนแค่ช่วงสถานีเดียว เพราะผมจะลงรถที่สถานีสวนลุมฯนี้แล้ว ผมคงจะเดินเข้าไปหามุมสงบๆในสวนลุมพินีเพื่อนั่งอ่านนิตยสารเล่มนี้ให้จบเล่มเสียที
ผมเจอร่มไม้ที่คงจะเงียบสงบจากเสียงจอแจจากผู้คน เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายๆที่ยังไม่ค่อยมีคนมาออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ผมเปิดหน้านิตยสารที่ยังอ่านค้างไว้และตั้งหน้าตั้งตาอ่าน
ทันใดนั้นเสียงเพลงบรรเลงสำหรับรำมวยจีนที่แสนจะปวดแก้วหูก็ดังขึ้น ผมยังคิดว่าเวลานี้จะมีใครมารำมวยจีนกันนะ ปกติเขาจะรำกันช่วงเช้าๆนี่
ผมมองไปที่ต้นเสียงก็เห็นอาม่าเพียงแค่สองคนยืนสอนท่าทางมวยจีนกันอยู่ แม้ตรงนั้นจะมีเพียงแค่สองคน แกก็เปิดเครื่องเสียงดังเหมือนมีคนอยู่บริเวณนั้นนับร้อย
ผมย้ายที่ออกจากจุดนั้นให้ไกลพอจะไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญนั้น ผมไปนั่งบริเวณใกล้ๆกับรั้วฝั่งถนนพระราม 4 เสียงเครื่องยนต์รถวิ่งพร้อมเสียงบีบแตรก็สร้างความรำคาญให้ผมไม่แพ้กัน บวกกับกลิ่นควันรถจางๆที่ลอยเข้ามาทำให้ผมตัดสินใจย้ายที่นั่งอีกครั้ง
คราวนี้ผมย้ายไปตรงกลางสวนอีกฟากหนึ่งที่มั่นใจว่าจะสงบ แต่ทันใดที่หย่อนก้นลงกับพื้น เสียงร้องคาราโอเกะกลางสวนก็ดังขึ้นจนนกกาแถวนั้นบินหนี บางทีแล้วคนร้องเพลงอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าคนอื่นชอบฟังเสียงร้องของตัวเองก็เป็นได้
ผมตัดสินใจไม่ย้ายที่นั่งไปทางไหนอีกในสวน แต่ตัดสินใจเดินออกจากสวนทันที ผมเดินออกทางประตูฝั่งถนนสีลมเพื่อตั้งใจจะเดินเท้าไปให้ถึงเกือบถึงแยกนนทรีย์เพื่อจะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดของผม
 
ตลอดทางที่ผมเดินผ่านถนนสีลมทุกๆช่วงตึก ยามที่คอยโบกรถให้คนเข้าออกจะเป่านกหวีดเต็มแรงเพื่อให้สัญญาณกับผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารพอจะได้ยินเสียง แต่กับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนนที่ได้รับเสียงนกหวีดเต็มๆ บวกกับเสียงแตรรถจากผู้ขับรถยนต์ แม้เสียงแตรจะไม่สร้างความรำคาญให้คนในห้องโดยสาร แต่คนที่อยู่นอกตัวรถกลับรำคาญเป็นอย่างมาก
เสียงนกหวีดดังที่ 120 เดซิเบล ในขณะที่เสียงแตรรถดังที่ 110 เดซิเบล ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนาน ๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย
ผมสงสัยว่าคนที่ทำงานอยู่กับเสียงดังขนาดนี้นานๆหูอาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้วก็เป็นได้ และทุกๆ 10 ก้าวผมก็จะเจอยามเป่านกหวีดในชั่วโมงเร่งด่วนอย่างในเวลานี้ และคงจะไม่แปลกอะไรที่ผมจะยกให้ถนนสีลมแห่งนี้เป็นถนนเส้นที่ดังมากแห่งหนึ่งในโลกนี้
 
หลังจากผมแวะทานก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดและต่อรถไฟฟ้ามาอีกหนึ่งสถานีมาลงยังสถานีสุรศักดิ์เพื่อเดินเข้าหอพักของผม ที่อยู่ติดกับสุสานแต้จิ๋ว ผมต้องเดินเข้าตรอกซอกซอยอีกประมาณเกือบกิโลฯ ในซอยนี้เป็นทั้งชุมชนมุสลิมที่มีมัสยิด และสมาคมของคนจีนที่อยู่ร่วมกันได้
ที่นี่จึงค่อนข้างเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ผมค้นพบ เมื่อถึงหอพักผมหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านจนทะลุปรุโปร่งทั้งเล่ม ทำให้ผมมั่นใจว่าจะเลือกซื้อเพลงของศิลปินคนไหนมาฟังในคืนนี้
ค่ำคืนนี้ผมปิดไฟและเปิดหน้าต่างหลังห้องเพื่อรับลมเย็นๆให้พัดเข้ามาในห้องของผม ผมเปิดเพลงบรรเลงชุดใหม่ที่ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ท ผมเปิดลำโพงเบาๆให้พอได้ยินเสียงทุกๆตัวโน๊ตที่ขับกล่อมผ่านสายกีตาร์จากศิลปิน ความเพลิดเพลินนี้เกิดจากเมโลดี้ที่เรียงร้อยถ้อยคำได้อย่างลงตัว ช่วงจังหวะทำนองที่หนักเบาสลับกันแต่ลงตัวทำให้เพิ่มอรรถรสในการฟังได้ดียิ่งนัก
เสียงประสานจากเครื่องดนตรีอิเล็คทรอนิกส์กลมกลืนกับเสียงสั่นจากสายเหล็กของกีตาร์ ผมเข้าใจแล้วว่าเสียงที่ไพเราะเพียงใดนั้นมันจะต้องประกอบไปด้วยความสงบ ความเงียบสงบจะเป็นตัวขับความไพเราะออกมาจากคลื่นเสียงที่ประกอบกันเป็นท่วงทำนอง
หรือบางทีผมยังคิดว่า แค่เสียงแห่งความเงียบสงบนั้น ก็เป็นเสียงที่เพราะที่สุดในโลกแล้วก็เป็นได้ ผมค่อยๆงีบหลับไปเมื่อฟังเพลงครบทุกเพลงในอัลบั้มชุดนี้ ความเงียบสงบกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วในคืนนี้
 
ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!

ผมตกใจตื่นในช่วงสายๆของวันหยุด ด้วยเสียงจุดประทัดดังเป็นชุด ผมพลันมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นลูกหลานบรรพบุรุษต่างมาทำพิธีต่อหน้าหลุมศพในสุสานแต้จิ๋วที่ติดหลังห้องผมพอดี ผมอยากจะทวงคืนเช้านี้ที่แสนจะเงียบสงบจากใครสักคน แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ เพราะยังเห็นลูกหลานอีกหลายกลุ่มที่เตรียมตัวจะจุดประทัดดังอีกนับสิบครอบครัว
ใจหนึ่งผมก็ยินดีกับความมีน้ำใจของลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันสร้างเสียงดังเพื่อต้องการให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วของพวกเขารับรู้ว่าลูกหลานมาเยี่ยม
แต่ผมว่าแค่กระซิบบอกพวกท่านเบาๆพวกท่านก็รับรู้และดีใจแล้วกระมังครับ ไม่ต้องส่งเสียงป่าวประกาศให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมารับรู้ด้วยก็ได้