วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นายอินกับนายสม



นายอินและนายสมเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นายอินไม่ค่อยจะชอบหน้านายสมเท่าไหร่นัก เพราะนายสมชอบเอารัดเอาเปรียบนายอินตลอดเวลา แต่ทั้งคู่ก็ยังคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน วันหนึ่งในขณะที่นายอินกำลังทำงานในร้านซ่อมรถของตัวเอง นายสมมาหาเขาตอนเย็นเพื่อชวนออกไปหาอะไรกินกัน
“ปิดร้านรึยัง” นายสมพูดเมื่อเขายืนอยู่หน้าร้านซ่อมรถของนายอิน
“ใกล้แล้ว อีกสิบนาที เดี๋ยวเช็ครถให้ลูกค้าก่อน” นายอินตอบ
“วันนี้ไปกินข้าวกันที่เดิมนะ”
นายอินรีบจัดการธุระของตัวเองในร้านให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไปยังร้านอาหารข้างถนน ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคิดเมนู นายสมก็พูดขึ้น
“สั่งเหล้ามากินซักกลมนึงมั้ย”
“ใครจ่าย” นายอินถาม
“ก็หารกันสิ เหมือนทุกครั้ง”
“ไม่เอาล่ะ ข้ากินน้อย กินทีไรก็เสียเปรียบแกทุกทีเลย”
“นี่กินเหล้าสังสรรค์นะเว้ย ไม่ใช่มาทำธุรกิจ จะมาคิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอะไรกัน” นายอินทำเป็นพูดเสียงเข้ม จากนั้นเขาก็ตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แสงโสมกลมนึง โซดาสาม น้ำแข็งหนึ่ง”
นายอินได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนยอมรับชะตาที่ต้องจ่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนกับคิดอะไรได้ขึ้นมา
“กินเหล้าอย่างเดียวมันไม่อร่อย สั่งกับแกล้มด้วยละกัน หารกันนะ” โดยไม่รอฟังคำตอบจากฝั่งตรงข้าม นายอินตะโกนสั่งเด็กเสิร์ฟ “น้อง! แกงส้มชะอมทอด เม็ดมะม่วงฯ ยำไข่เยี่ยวม้า ปลาทับทิมนึ่งบ๊วย”
เมื่อสั่งเสร็จนายอินแอบอมยิ้ม ต่างจากนายสมที่ทำสีหน้าไม่พอใจ
“สั่งมาทำมัยเยอะ ข้ากินไม่หมด” นายสมที่หุ่นผอมแห้งประเมินแล้วว่าเขาคงกินอาหารทั้งหมดนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่แน่ๆ
“งั้นเดี๋ยวข้ากินเอง” คนสั่งอาหารอาสา
บนโต๊ะที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งคู่ลงมือดื่มกินโดยพยายามเลือกดื่มกินในสิ่งที่ตัวเองถนัด เหมือนกับว่าต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบค่าเหล้าค่าอาหารที่จะต้องหารกัน นายสมก็พยายามดื่มเหล้าให้ได้มากกว่านายอิน และนายอินก็พยายามกินอาหารให้ได้มากกว่านายสม เพราะหากว่าต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเสียเปรียบแล้ว เขาคนนั้นคงจะนอนไม่หลับในคืนนี้อย่างแน่นอน

หลังจบจากร้านอาหาร คอทองแดงอย่างนายสมไม่รู้สึกเมาเพราะเหล้าไม่ถึงกลมอย่างแน่นอน ละคนที่หุ่นอ้วนเป็นช้างอย่างนายอินก็ไม่ได้รู้สึกแน่นอึดอัดกับอาหารที่ยัดเข้าไปในปากเลย เขาทั้งสองจึงคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ
“จ่ายค่าอาหารกันเสร็จแล้ว เราไปเดินย่อยอาหารกันหน่อยมั้ย” นายอินพูดชวน
“ก็ดีเหมือนกัน รู้สึกกริ่มๆ ยังไม่อยากเข้าบ้าน ไปหาอะไรดูดีกว่า ไปตลาดนัดหน้าปากซอยมั้ย” นายสมเสนอ
“ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันไปจนถึงตลาดนัดที่พ่อค้าแม่ค้าวางขายของทั่วไป ทั้งสองเดินดูนั่นดูนี่ จนกระทั่งมาเจอกับร้านายของเล่น มีบางสิ่งในร้านนั้นที่ดึงดูดความสนใจจากนายอิน นั่นก็คือโมเดลรถยนต์โฟล์คสวาเก้นตั้งขายอยู่กลางร้าน มีป้ายแปะราคา 600 บาท
“เอ๊ะนั่น!” นายอินชี้ไปที่ของกลางร้านขายของเล่น นายสมหันมาสนใจกับท่าทีนั้น
“อะไร”
“โมเดลโฟล์คสวาเก้นปี 1967 เป็นของแท้จากประเทศเยอรมันที่เลิกผลิตไปนานแล้ว หายากมาก สงสัยคนขายจะไม่รู้เรื่อง มูลค่าของมันจริงๆ น่าจะหลายพัน”
นายอินยิ้มเหมือนรู้สึกโชคดีที่มาเจอของดี เขารีบเดินเข้าไปในร้านพร้อมควักกระเป๋าเงิน แต่พอเขาหยิบเงินออกมานับ ปรากฏว่ามีเงินแค่ 550 บาท นายอินจึงหันไปถามยืมเงินจากนายสมที่เดินตามมา
“มีให้ยืมห้าสิบบาทมั้ย” นายอินพูด
นายสมได้ยินดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาและหยิบธนบัตรออกมา 600 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“ยืมแค่ห้า...”
ยังไม่ทันที่นายอินจะพูดจบ นายสมก็ตรงเข้าไปยังของชิ้นนั้นพร้อมบอกเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อ คนขายรับเงินและยื่นโมเดลชิ้นนั้นให้นายสม
“ข้าจะซื้อไปเป็นของขวัญให้คนรู้จักพอดี” นายสมพูดพร้อมเดินตัวลอยออกไป
นายอินรู้สึกเจ็บแค้นมากแต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ได้แต่ก่นด่าสาปแช่งในใจแล้วก็เดินต่อไป ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายแสตมป์เก่าสะสม
นายสมเป็นคนชอบสะสมแสตมป์อยู่แล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน นายสมเลือกดูแสตมป์ในตู้กระจกโดยมีนายอินยืนดูอยู่ข้างๆ สักพักนายสมชี้แสตมป์ดวงหนึ่งให้เจ้าของร้านดู
“ผมสนใจดวงนี้ครับ”
เจ้าของร้านหยิบซองพลาสติกที่มีแสตมป์อยู่ในนั้นขึ้นมาวางบนตู้ตรงหน้านายสม
“ราคาเท่าไหร่ครับ” นายสมถามเจ้าของร้าน
“ดวงนี้ผมคิดให้พิเศษเลยครับ 500 บาท” เจ้าของร้านตอบ
นายสมหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า แต่ปรากฏว่าเหลือเงินแค่ 350 บาท นายอินเห็นดังนั้นจึงรีบชิงพูด
“ผมก็สนใจเหมือนกันครับ 500 ใช่มั้ย” นายอินยื่นเงินให้เจ้าของร้านทันที
“แกจะซื้อไปทำมัย เป็นนักสะสมเหรอ” นายสมรีบพูดดักคอก่อนที่เจ้าของร้านจะรับเงินจากนายอิน
“ก็ซื้อไปดูเล่นน่ะ”
นายอินตอบหน้าตาเฉย แต่คำตอบนั้นเหมือนจะทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจเท่าไหร่ นายสมเห็นดังนั้นจึงรีบพูด
“เพื่อนผมคนนี้มันบ้า ชอบซื้ออะไรไปเก็บไว้จนรกบ้านไปหมด เชื่อเถอะ ได้แสตมป์ดวงนี้ไป อาทิตย์หน้าไปถามก็หาไม่เจอแล้ว”
นายสมพูดจบก็หัวเราะเยาะเล็กน้อยสร้างความอับอายให้นายอิน จากนั้นนายสมก็แสดงตัวกับคนขายว่าเขาคือนักสะสมตัวจริง และยังเล่าประวัติของแสตมป์ดวงนั้นได้อย่างเหมือนผู้รู้จริง เขายังแสดงความจำนงที่ต้องการแสตมป์ดวงนั้นไปรวมในคอลเลคชั่นสะสมของเขาให้เจ้าของร้านฟัง
เจ้าของร้านรู้สึกประทับใจกับสิ่งที่นายสมพูดจึงยอมลดราคาแสตมป์ดวงนั้นให้เท่ากับเงินในกระเป๋าของนายสม ทั้งคู่เดินออกจากร้านโดยมีสีหน้าของนายสมที่เป็นเหมือนผู้ชนะและนายอินมีสีหน้าของผู้แพ้อีกตามเคย

ในมุมๆ หนึ่งของตลาด มีชายคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน เขานั่งบนเก้าอี้เหล็กและมีโต๊ะเหล็กตรงหน้าเขาอีกหนึ่งตัว บนโต๊ะมีลูกแก้วขนาดเท่าผลส้มโอวางอยู่บนถาด ไม่มีป้ายบอกว่าเขาทำอะไร ทำให้ไม่มีใครในตลาดนี้สนใจเขาเลยสักคน ยกเว้นนายอินและนายสมที่เดินผ่านมาพอดี
“นั่นเขาทำอะไรน่ะ เป็นหมอดูหรือเปล่านะ” นายอินพูดขึ้นมา
“ลองเข้าไปถามกันเถอะ” นายสมพูดเสร็จก็เดินตรงเข้าไปที่ชายกับลูกแก้ว “ดูดวงหรือเปล่าครับ”
ชายในชุดภูมิฐานหลังลูกแก้วยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้โชคดี ข้าจะให้พรวิเศษกับเจ้าทั้งสองคน”
สิ้นเสียงคำพูดของชายลึกลับคนนั้น นายอินและนายสมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น แต่ภาพใบหน้าของผู้ยื่นข้อเสนอยังคงยิ้ม จากนั้นไม่นาน มีเงินก้อนโตปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ทั้งคู่เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นอ้าปากค้าง
“เอาเงินไปสิ คนละกอง” ชายที่นั่งอยู่พูด
ทั้งสองทำท่าจะเอื้อมมือไปหยิบเงิน แต่ก็มีเสียงทักขึ้นมา
“แต่เดี๋ยวก่อน ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะหยิบเงินก้อนนี้ไป และก็คงจะใช้หมดในเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือพวกเจ้าจะขอพรวิเศษอะไรก็ได้จากข้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สบายไปตลอดชีวิต”
ทั้งสองหันหน้ามามองหน้ากัน สายตาประสานกันของทั้งคู่เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด ทั้งสองจึงพูดออกมาพร้อมกัน “งั้นเลือกขอพรวิเศษดีกว่า”
“พวกเจ้าทั้งสองฉลาดมาก พรที่ข้าจะให้นั้นจะมาจากคำขอของพวกเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น และอีกคนก็จะได้รับพรที่เหมือนกัน”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากันอีกครั้ง แต่เงื่อนไขนี้คงไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกลำบากอะไร จึงพูดออกมาพร้อมกัน “ครับ”
“แต่ยังไม่หมด” เจ้าของพรวิเศษทำเสียงเข้มจนทำให้นายอินและนายสมแปลกใจ “คนที่ไม่ได้ขอพรวิเศษจะได้รับพรเป็นสองเท่าของคนที่ขอพรวิเศษ พวกเจ้าไปตกลงกันมาว่าใครจะเป็นคนขอพร”
นายอินและนายสมได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับเงื่อนไขนี้ พวกเขาทั้งสองออกมาคุยกัน นายอินรู้ดีอยู่ว่าตัวเขาเองอยากได้พรมากกว่านายสมเป็นสองเท่า เขาไม่อยากให้นายสมได้พรมากกว่าเขา หากเขาขอเงินหนึ่งพันล้าน นายสมก็จะได้เงินสองพันล้าน นายอินรู้สึกว่าหลายครั้งที่ถูกนายสมเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ เขาเป็นลูกไล่ลูกชนนายสมมาตลอดหลายปีมาแล้ว หากครั้งนี้นายสมสุขสบายกว่าเขาเป็นสองเท่า นั่นก็คงจะทำให้นายอินรู้สึกเจ็บแค้นไปตลอดชีวิต
เช่นเดียวกันกับนายอิน นายสมก็อยากได้พรเป็นสองเท่าของนายอิน บ่อยครั้งที่นายสมมักจะสร้างสถานการณ์ที่ถือไพ่ให้เหนือกว่านายอิน และครั้งนี้เขาก็พยายามพูดจาหว่านล้อมให้นายอินเป็นคนขอพรวิเศษ นายอินจึงต้องเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะของชายผู้ที่ว่าจะให้พร

เวลาผ่านไปไม่นาน นายอินเดินออกมายังจุดที่นายสมยืนอยู่ห่าง สีหน้าของผู้ได้รับพรยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ
“ว่ายังไงบ้างพ่อเศรษฐีใหม่ ขอพรอะไรไปเหรอ” นายสมยืนรออยู่แล้วด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เสียงหัวเราะอย่างสะใจเล็ดลอดออกมาจากปากของนายอินแม้เจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้
“ข้าขอให้ตัวเองตาบอดหนึ่งข้าง”
มาถึงตรงนี้นายอินไม่สามารถกักเก็บเสียงหัวเราะอย่างสะใจไว้ได้อีกแล้ว


ผู้ชาย 3 บาป


บาปสวาทของคนเจ้าชู้
ผมพยายามซ่อนสายตาตัวเองไม่ให้แช่ไปที่หญิงสาวผมยาวใส่แว่นกรอบหนานานเกินไปจนอาจจะทำให้เธอรู้ตัว สาวสวยคนนั้นเป็นพนักงานใหม่ที่มานั่งถัดจากโต๊ะทำงานของผมไปสามโต๊ะ ใบหน้าขาวสะอาดบวกกับดวงตาคู่นั้นทำให้ใจของผมกระชุ่มกระชวยตลอดวัน ความน่าเบื่อหน่ายในงานบัญชีที่ซ้ำซากจำเจทุกวี่ทุกวันไม่เป็นอุปสรรคให้ผมไม่อยากเดินเข้าออฟฟิศ เมื่อคิดว่าจะได้มาเจอเธอ
สายสุนีย์เป็นชื่อของเธอและผมจะจดจำมันไว้ไม่ลืมเลือน เธอเพิ่งเรียนจบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับเท่าไหร่ไม่รู้จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ผมไม่คิดจะเชิดชูความสามารถอะไรของเธอหรอก งานในออฟฟิศแบบนี้ใคร ๆ ก็สามารถทำได้หากฝึกงานมากพอ แต่ผมแอบปลื้มความสวยจากใบหน้าของเธอรวมถึงทรวดทรงที่ดูโอเวอร์ไซส์ทั้งบน กลางและล่างของเธอต่างหากล่ะ ผมแอบสังเกตบรรดาผู้ชายในออฟฟิศนี้ทั้งหนุ่มแก่ต่างก็แอบมองเธอทั้งสิ้น ทำไมผมจะไม่รู้ความคิดของคนเหล่านั้น ผู้ชายที่ไหนก็มักจะคิดคล้าย ๆ กันแหละ
แต่ผมคิดว่าผมได้เปรียบพวกเสือแก่และสมันน้อยตัวผู้ที่หวังจะมางาบแม่เนื้อทรายขาวอวบของผมไปได้ เพราะผมนั้นเป็นถึงผู้จัดการแผนกบัญชี และพนักงานใหม่คนนี้ก็เป็นเด็กฝึกงานในแผนกของผมเอง ผมคงจะสามารถทำความสนิทสนมและจะได้อยู่ใกล้ชิดเธอมากกว่าใคร ๆ ในที่นี้ บางทีผมอาจจะหยั่งเชิงโดยใช้คำพูดแทะโลมเธอดูว่าเธอจะเล่นด้วยหรือไม่ และอาจจะแกล้งทำเป็นแตะเนื้อต้องตัวเธอดูสักหน่อย แค่คิดถึงเนื้อนิ่ม ๆ ดูเต็มไม้เต็มมือของเธอแล้วก็ทำให้เลือดผมสูบฉีดทั่วเรือนร่าง
ผมจะพยายามโปรโมทเธอให้ดูว่ามีแววในการทำงาน จะทำให้เธอดูโดดเด่นกว่าเด็กฝึกงานอีกสองคนที่คนหนึ่งเป็นหนุ่มเด็กเนิร์ดอ้วนเตี้ย ผมหยิกหยอยหน้าสิวใส่แว่นตาทรงหยดน้ำไม่เข้ากับใบหน้า อีกคนหนึ่งเป็นตุ๊ดท่าทางเรียบร้อยดูมีความสามารถมาก แต่ผมคงจะไม่ทุ่มเทสอนงานให้คนเก่งหรอก ผมจะดันสายสุนีย์ให้หนักเลยต่างหากล่ะ ผมจะทุ่มเทสอนงานให้เธออย่างหนัก ไม่แน่นะผมอาจจะสอนงานให้เธอนอกเวลาด้วยก็ได้ ผมไม่เกี่ยงหรอก
แต่ตอนนี้ผมยังออกลายมากไม่ได้เดี๋ยวงูตื่น ผมต้องทำตัวให้เธอไว้ใจเสียก่อน หากมองเธอมากไปจะทำให้เธอรู้ตัวและเธออาจจะสร้างกำแพงอะไรสักอย่างมากั้นกลางระหว่างเราสอง หากมันเป็นแบบนั้นจริง แผนการที่ผมคิดจะแอ้มเธอนั้นคงไม่สำเร็จได้โดยง่าย

แม้ผมจะทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกในบริษัทที่ดูมั่นคง รายได้ต่อเดือนก็ปริ่ม ๆ แสน แต่ผมก็พยายามทำตัวให้เหมือนกับคนทั่วไปที่เงินเดือนหมื่นสองหมื่น นั่นคือผมจะเดินทางมาทำงานและกลับบ้านด้วยรถเมล์ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่ารถเมล์ช่วงก่อนเข้างานและหลังเลิกงานจะอัดแน่นไปด้วยคน และตึกสูงสามสิบชั้นที่ผมทำงานอยู่ก็มีแต่สาว ๆ ออฟฟิศกันทั้งนั้น ดังนั้นในรถเมล์หนึ่งคัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีสาว ๆ สวย ๆ สักสี่ห้าคนบนรถเมล์อย่างแน่นอน
ในตอนเช้าเมื่อผมเดินขึ้นบันไดรถมา สายตาเหยี่ยวของผมมองไปปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผมควรจะไปยืนตรงไหน แน่นอนว่าผมต้องทำเนียนไปยืนตรงข้างหญิงสาวสวย หรือบางวันโชคดีหน่อยอาจจะมีเด็กนักเรียนหน้าตาน่ารักยืนอยู่บนรถก็ได้ เมื่อผมไปยืนข้าง ๆ เธอ และเมื่อผู้โดยสารเริ่มเยอะขึ้น ผมก็จะได้เขยิบเข้าไปใกล้ชิดเธอด้วย ในจังหวะที่รถออกตัว บางทีข้อศอกของผมอาจจะไปสะกิดโดนเนื้อที่บนตัวเธอก็เป็นได้ หรือเมื่อรถเมล์เบรกแรง ๆ ต้นขาของผมก็อาจจะโน้มไปโดนส่วนสะโพกของพวกเธอ
ในตอนเช้ากลิ่นตัวของเหล่าสาว ๆ มักจะสดชื่นจากครีมอาบน้ำผสมน้ำหอม กลิ่นนี้แหละที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าในยามเช้าได้ดีกว่ากาแฟเอสเปรสโซ่รสชาติเข้มข้นเป็นไหน ๆ ผมโปรดปราณรสสัมผัสนี้มากจนคิดว่าต้องตักตวงความหอมนี้ไว้ให้มากที่สุด เหมือนกับมันเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดไป ส่วนกลิ่นของผู้หญิงในตอนเย็นนั้นก็ให้สัมผัสของรสชาติที่ต่างกันออกไป มันเป็นกลิ่นของเหงื่อไคลที่ดึงดูดความสนใจของผมได้ดียิ่งนัก ความรัญจวนใจยามสูดกลิ่นแสนวิเศษนี้คงจะเหมือนกับสารฟีโรโมนของแมลงที่สร้างมาเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม หรือว่าพวกเธอเหล่านั้นอยากจะดึงดูดผมกันแน่นะ

เป็นธรรมดาของพนักงานออฟฟิศที่มักจะออกเที่ยวในคืนวันสุดท้ายของสัปดาห์ ผมมักจะรวมตัวกับเพื่อนอีกสองคนไปนั่งร้านหรู ๆ ดื่มอะไรเบา ๆ แกล้งทำเป็นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนด้วยประโยคคำถามสั้น ๆ และประโยคคำตอบที่สั้นกว่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ความจริงแล้วจุดประสงค์ของพวกเราก็คือมานั่งมองสาว ๆ ที่เข้ามานั่งในร้านต่างหากล่ะ
หญิงสาวหลายคนไม่ซ้ำหน้าในแต่ละอาทิตย์ต่างวนเวียนกันมาเพื่อเป็นอาหารตาชั้นเลิศให้พวกผม หลายครั้งพวกเราต่างผลัดกันโชว์ฝีมือ หากวันไหนฟลุ๊ค ๆ ก็อาจจะได้หญิงสาวติดไม่ติดมือไปก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะผมมักจะตกลงกับพวกเธอเหล่านั้นแล้วว่าความสัมพันธ์นี้เป็นแค่ชั่วคราว ผมจะไม่ยอมให้สาว ๆ ประเภทนี้มาสร้างภาระผูกพันให้กับผมหรอก นั่นก็เพราะว่าผมต้องกลับบ้านในทุก ๆ คืนเพื่อไปดูแลภรรยาสาวแสนสวยของผมยังไงล่ะ
ละอองดาวคือภรรยาที่อายุอ่อนกว่าผมไปเกือบสิบปี เนื้อตัวเธอยังหลงเหลือความสาวไว้ให้ผมได้ลิ้มลองไปอีกนาน เราช่วยกันผ่อนคอนโดราคากลาง ๆ เพื่อไว้เป็นที่อยู่อาศัย เธอทำงานฟรีแลนซ์พวกออกแบบตกแต่งอะไรสักอย่างนี่แหละ
อย่างที่บอกว่าผมต้องกลับมาหาเธอทุกคืน และยังมอบรสสวาทให้เธออย่างเต็มอิ่มทุกครั้งก่อนนอนโดยไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว นั่นอาจเป็นเพราะผมต้องการปลดปล่อยอารมณ์จากภาพสาว ๆ ที่ผมเห็นในทุกวัน กลิ่นตัวของพวกเธอเหล่านั้นช่างเย้ายวนให้ผมค่อย ๆ สะสมความกำหนัดที่อยากจะแสดงออกในเรื่องนี้ รวมถึงเมื่อผมได้แอบไปสัมผัสเนื้อตัวพวกหญิงสาวที่พบเจอ มันเหมือนกับระเบิดภูเขาไฟที่เริ่มประทุขึ้น ๆ จนผมต้องระเบิดมันออกมาทุกวัน ๆ

วิถีชีวิตแบบนี้ผมพยายามทำให้มันดำเนินต่อไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้มันกระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยไม่จำเป็น ผมไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจผมมานานหลายวันแล้วก็คือ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเดินออกไปข้างหลังระเบียงห้อง พอมองไประเบียงของห้องข้าง ๆ ผมเห็นกางเกงในผู้หญิงสีชมพูมีลายน่ารัก ๆ พาดไว้กับเหล็กกั้นตรงระเบียง และในเวลานั้นมันดึกแล้ว ผมจึงแอบใช้ด้ามไม้ถูกพื้นแอบสอยมันมาสำรวจดู ผมใช้มือขยี้กางเกงในผืนนั้นและจับมันยัดจมูกผมพร้อมสูดดมมันเต็มลมหายใจ
อารมณ์ความเสียวซ่านมันโผล่มาอีกแล้ว ทุกอณูสัมผัสในร่างกายของผมถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นสาวจาง ๆ ที่ยังคงหลงเหลือแม้จะถูกซักล้างด้วยผงซักฟอก ผมคงจะบ้าตายแน่ ๆ ถ้าหากไม่ได้ไปทำความรู้จักกับสาวข้างห้องที่ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่เซ้นส์เรื่องการดมกลิ่นของผมที่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้ผมพอเดาอายุของเธอและรูปร่างหน้าตาของเธอได้ไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน

บาปสวาทของชายสำนึกผิด
เป็นเรื่องที่แปลกดีที่จะมีใครมานั่งดื่มกินในร้านเหล้าคนเดียวในบรรยากาศที่ครึกครื้นสนุกสนาน ผมมานั่งที่นี่ก็เพราะเธอ แต่ว่าผมไม่ได้มานั่งรอเธอหรอก ผมแค่มารำลึกถึงความหลังที่เคยมาที่นี่กับเธอ
สายสุนีย์เป็นหญิงสาวที่ดีกับผมมาก ๆ เราคบกันตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมปลาย เพราะเธอผมจึงเลิกเป็นเด็กเกเรหันมาตั้งใจเรียนหนังสือจนจบได้ และที่สอบเข้ามหาลัยได้ก็เป็นเพราะการคะยั้นคะยอให้ผมอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะเดียวกับที่เธอเรียน และก็เป็นเธออีกที่ทำให้ผมเรียนจบด้วยคะแนนค่อนข้างจะดี ผมยอมรับได้อย่างไม่อายปากเลยว่าถ้าไม่มีเธอ ผมก็คงไม่ได้มายืนตรงจุดนี้ อย่างดีที่สุดผมก็เป็นได้แค่เด็กเข็นผักในตลาด หรืออาจจะเป็นได้แค่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตลาด
ความดีของเธอนั้นมากมายเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจะมีให้กันได้ ในยามที่ผมป่วยก็เป็นเธอนี่แหละที่คอยดูแลหาหยูกหายาป้อนข้าวป้อนน้ำ ความดีที่เธอมีให้ผมนั้นมันมีค่ามากกว่าคำว่าคู่ชีวิตเสียอีก หากผมได้แต่งงานกับเธอ สายสุนีย์ก็จะเป็นภรรยาที่แสนวิเศษคนหนึ่งที่ชายหลายคนต่างไขว่คว้าหา แต่ทว่าผมและเธอก็ไม่ใช่คู่ชีวิตกัน หากว่ามีการจับคู่มาแล้วจากพรหมลิขิตนะ
เมื่อผมเรียนจบออกมาก็เริ่มหางานทำ ในตอนนั้นเรายังคบกันอยู่อย่างเปิดเผย เธอได้งานที่ดีทำเพราะคะแนนเกียรตินิยมของเธอจากมหาลัยที่มือชื่อเสียง แม้จะอยู่ในขั้นทดลองงานในแผนกบัญชี แต่เธอก็ได้ค่าตอบแทนสูงมากเพราะบริษัทที่เธอทำงานนั้นใหญ่โต ผมเริ่มรู้สึกละอายที่จะขอความช่วยเหลือจากเธออีก ผมจะกล้ามองหน้าใครได้เล่าว่าเกาะผู้หญิงกินเพราะผมยังตกงาน ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนสำหรับสองคนมันคงดูลำบากเมื่อเงินนั้นมาจากเธอคนเดียว และสิ่งนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจตีตัวออกห่างจากเธอ
ผมไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมองเธอเศร้าโศกเสียใจ สายน้ำตาใส ๆ ของเธอคงจะทิ่มแทงจิตใจของผมให้ดำดิ่งลงไปความกับเลวทรามในครั้งนี้ ผมเก็บข้าวของออกจากห้องพักเล็ก ๆ ที่เธอเป็นผู้เช่าในขณะที่เจ้าของห้องออกไปทำงาน ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ทันทีเหมือนกับตัดทิ้งอดีตที่ผมอยากหลบหนี ผมอยากจะหลบหนีอดีตที่ดูน่าอดสูนี้ไปสู่โลกใบใหม่ของผมที่ดูมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีกว่าเดิม
ละอองดาวคือหญิงสาวคนใหม่ที่อายุแก่กว่าผมไปกว่าสิบปี แต่เพราะเธอยังดูสาวสวยและเก่ง ทำให้ผมพร้อมที่จะยอมรับใช้เธอโดยการแลกกับค่าตอบแทนที่ดูสมน้ำสมเนื้อนี้
เธอทำงานด้านการออกแบบและจัดงานอีเวนท์ ซึ่งผมเข้ามาช่วยงานเธอในฐานะเลขาหนุ่มไฟแรงดูกระฉับกระเฉง แม้ในช่วงปีแรก ๆ ผมจะยังไม่เป็นงาน แต่ด้วยการคลุกคลีกับแวดวงธุรกิจบวกกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของผม จึงทำให้หลาย ๆ คนต่างไว้ใจให้ผมทำงานชิ้นสำคัญ โดยเฉพาะละอองดาวที่โปรโมทผมอย่างออกนอกหน้านอกตาจนผมเลื่อนขึ้นมาเป็นมือขวาของเธอในที่สุด
ทั้งรถยนต์ป้ายแดงเธอก็เป็นคนผ่อน อพาร์ทเมนท์ที่ดูกว้างขวางและเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเธอเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้ ผมสามารถมีเงินไปกินร้านอาหารหรู ๆ ได้ไม่อายใคร ผมสามารถพาครอบครัวเดินทางไปเที่ยวได้เหมือนครอบครัวอื่น ๆ ผมมีเงินส่งให้พ่อแม่ได้คงจะทำให้ผมดูเป็นลูกกตัญญูบ้าง
ผมไม่ขัดเขินหรอกที่จะบอกว่าในบางครั้งที่ผมติดตามละอองดาวไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะต้องตอบแทนเธอด้วยการเป็นคู่นอนให้เธอ นั่นไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรหรอก ก็อย่างที่บอกว่าผมต้องตอบแทนเธอบ้างแค่นั้นเอง

แต่ความเคยชินในการใช้ชีวิตที่เป็นแบบคนชั้นกลางทั่วไปสำหรับผมมันคงดูน่าเบื่อแล้วล่ะ ชีวิตที่ไร้สีสันแม้จะสุขสบายแต่ก็ดูจืดชืด ผมอยู่ในแวดวงธุรกิจนานพอที่จะทำให้รู้จักผู้คนมากมายหลากหลายชนชั้น ดลฤดีคือเศรษฐีนีตัวจริง เธอเป็นหม้าย แม้เธอจะแก่กว่าผมถึงสามสิบปี แต่ในยุคสมัยนี้ที่เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคต่อการคบหา และยิ่งผมฝันถึงการใช้ชีวิตแบบหรูหราเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป การได้นั่งเรือยอร์ชลำใหญ่ออกทะเลในฐานะเจ้านายที่มีคนนับสิบมาคอยบริการ อาหารดี ๆ ราคาแพง ๆ ในภัตตาคารชั้นหนึ่งคงจะมีน้อยคนที่จะมีโอกาสได้สัมผัส ชีวิตในฝันที่ใคร ๆ หลายคนคงได้แค่ฝัน แต่ผมนั้นมีโอกาสที่จะได้สัมผัสมันแล้ว
ผมไม่รู้สึกเสียดายรถกระป๋องที่ขับไปทางไหนก็จะเจอแต่พวกเดียวกันหรอก ห้องอพาร์ทเมนท์มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่มีทุกอย่างอยู่ในนั้น ผมไม่แม้แต่จะเขียนใบลาออกจากบริษัทของละอองดาว

บาปสวาทของชายบนหอคอย
บางทีผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อบนโลกนี้ไปเพื่ออะไร ผมไม่มีความท้าทายอะไรใหม่ ๆ เลยในชีวิต หลังจากที่ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มาแล้วอย่างมากมาย ธุรกิจโรงแรมที่มีสาขาเกือบจะทุกจังหวัดก็ให้ผลตอบแทนมากมายจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร พอร์ทหุ้นนี่แค่เทขายให้หมดก็สามารถซื้อกิจการขนาดกลางได้อย่างสบาย ๆ หนึ่งแห่ง ไม่นับรวมพวกธุรกิจขายปลีกยานยนต์ที่ผมผูกขาดตลาดในจังหวัดใหญ่ ๆ ไว้หมดแล้ว
ในทุก ๆ เช้าผมตื่นมาเปิดดูราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีใจตื่นเต้นอะไร ผมแค่เปิดดูมันเพราะเป็นความเคยชินที่ทำแบบนี้ทุกเช้ามากว่า 40 ปีแล้ว และถึงแม้พวกหุ้นเหล่านี้จะดิ่งลงเหวแค่ไหน ผมก็คงไม่สะทกสะท้านอะไรกับมัน ผมยังเบื่อหน่ายธุรกิจโรงแรมที่มีแต่สร้างผลกำไรด้วยตัวเลขเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยอดขายรถก็ยังขายได้เรื่อย ๆ แม้ว่าผมจะโก่งราคาขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตาม ความท้าทายในชีวิตของผมมันผมมันหมดลงไปแล้ว และผมยังเบื่อเมียของผมอีกด้วย
เมียของผมเป็นหมัน เราจึงไม่มีทายาททางธุรกิจ ผมไม่มีญาติอะไรที่ไหนที่จะมารับช่วงต่อทางธุรกิจได้เลย  มีแต่ญาติทางเมีย ดังนั้นเมื่อผมเสนอจะยกธุรกิจทั้งหมดให้เมีย รวมถึงพอร์ททั้งหมดให้เธอครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เมียของผมจึงรีบรับข้อเสนอหย่าโดยไม่มีการง้องอนอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ผมหย่ากับเธอโดยไม่มีกรรมสิทธิ์อะไรเป็นของผมเลย มีแต่ทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ติดตัวมารวม ๆ ก็เกือบร้อยล้านได้
ความท้าทายใหม่ของผมในตอนนี้คือ ผมอยากจะไปทำธุรกิจเล็ก ๆ ตามจังหวัดที่ติดเขตชายแดนประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 30 จังหวัด ผมอาจจะลงทุนที่ละ 3 ถึง 5 ล้านบาทแล้วแต่สถานที่ ผมจะใช้ประสบการณ์ที่ผมมีในการทำโฮมสเตย์ขนาดกลาง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะไหลทะลักเขามาตามแนวชายแดน
กลยุทธ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของผมคือ ในทุกที่ที่ผมไปลงทุน ผมจะหาผู้หญิงสาวมาทำเมียเพื่อคอยดูแลธุรกิจใหม่ที่ผมสร้างขึ้น เผื่อบางทีพวกเธอเหล่านั้นอาจจะสร้างทายาทของผมขึ้นมาและสืบทอดธุรกิจเล็ก ๆ นั้นก็เป็นได้
การมีเมียพร้อมกันทีเดียวถึง 30 คน และต้องคอยบริหารเวลาให้เท่าเทียมกันเป็นความท้าทายใหม่ของผมที่น่าตื่นเต้น ผมคิดว่าดลฤดีเมียเก่าของผมคงจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเราต่างก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไปแล้ว หากเธอจะมีผู้ชายคนใหม่อีกกี่คนก็เป็นเรื่องของเธอเอง

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Candy Crush Saga เกมเชื่อมใจ


และแล้วในที่สุดผมก็แซงทุกคนได้แล้วบนถนนสายนี้ ถนนที่ว่านี้ไม่ใช่ถนนหลวงหรอก ผมไม่ได้ขับขี่รถราแข่งอะไรกับใคร ถนนสายที่ผมพูดถึงนี้มันคือแผนที่ในเกมแคนดี้ ครัชที่เล่นผ่านเฟซบุ๊คต่างหากล่ะ เกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกน่าจะหลักพันล้านคนเข้าไปแล้ว แต่เราเองไม่ได้ไปเล่นแข่งกับคนพันล้านกว่าคนนั้นหรอก เราแข่งกับเฉพาะเพื่อน ๆ ของเราที่เล่นเกมนี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเริ่มแรกผมเห็นเพื่อน ๆ ผมหลายคนในเฟซบุ๊คเล่นเกมนี้ บางคนก็ค่อย ๆ ผ่านด่านไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ผ่านในแต่ละเอพพิโสดไป แต่พอผ่านไปนานวันเข้าเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มหยุดเล่นกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านด่านอีกต่อไป หรืออาจจะเป็นว่าด่านหลัง ๆ ที่ออกมาใหม่จะยากเกินไปจนคนท้อไปเอง พวกเขาบางคนอาจจะไปหาเกมใหม่ ๆ มาเล่นก็ได้ จนกระทั่ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเพื่อน ๆ คนไหนขยับเข้ามาใกล้รัศมีสิบเอพพิโสดของผมเลย ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลายเดือนก่อนเธอคนนี้เคยผ่านด่านนำหน้าผมไปสามเอพพิโสด เมื่อผมเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมมีแรงฮึดที่จะพยายามเอาชนะและไล่แซงเธอให้ได้

มีความลับหนึ่งที่ผมอยากจะบอก คือที่ผมสามารถตะลุยผ่านด่านมาได้สองพันห้าร้อยกว่าด่านนี้โดยนำคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น นั่นเป็นเพราะผมใช้วิธีโกงเวลา เพราะในเกมแคนดี้ ครัชนี้จะมีหัวใจให้เราใช้เล่นห้าดวง หากเล่นแพ้ในแต่ละเกมก็จะเสียไปหนึ่งหัวใจ หากแพ้ห้าเกมหัวใจก็จะหมด เราต้องรอเวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อจะได้หัวใจมาหนึ่งดวง ผมจึงไปแก้เวลาของสมาร์ทโฟนให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เท่านั้นเองหัวใจเราก็จะเต็ม เราก็สามารถไปแก้เวลากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งตอนนั่งรถเมล์ ตอนกำลังกินข้าว ก่อนเข้านอน หรือจะเป็นตอนแอบเจ้านายเล่นในที่ทำงานก็ตาม
และจากการตรากตรำตะลุยเล่นมาราธอนของผมนั้น ทำให้มีครั้งหนึ่งผมสามารถเล่นแซงเธอได้สำเร็จ เมื่อนั้นเราสองคนก็ผลัดกันแซงผลัดกันตามอย่างไม่มีใครยอมใครเลย บางครั้งผมเห็นเธอหยุดเล่นนานหลายวันไม่ขยับไปไหน แต่พอผมเล่นผ่านด่านจี้เข้าไปใกล้เธอ ปรากฏว่าเธอเล่นผ่านไปอีกสิบด่านรวดอย่างไม่ยอมให้ผมตามเธอทัน ผมคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชายโสดอย่างผมเลยครับ ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ เขาบ้าง ได้หัวเราะได้ลุ้นตามอยู่หน้าจอโทรศัพท์อยู่คนเดียว ได้แอบเฝ้าคิดว่าผมและเธอนั้นได้รู้จักสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
ใช่ครับ ผมไม่รู้จักกับเธอ ไม่เคยคุยไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยทักแชทกับเธอเลยสักครั้งเดียว สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอนั้นคือรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะดูจากรูปโปรไฟล์ ผมจำไม่ได้ว่าผมรับแอดเธอเป็นเพื่อนจากที่ไหน อาจจะเป็นกลุ่มอะไรสักอย่างที่ผมชอบเข้าไปอ่านนู่นอ่านนี่ตามประสา และในตอนนั้นเธอก็กดรับผมเป็นเพื่อนโดยที่เราทั้งสองก็ไม่ได้คุยแนะนำตัวอะไรกัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธอแทบจะทุกวัน ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอว่าในแต่ละวันเธอจะทำอะไรบ้างนะ อยากรู้ว่าเจ้าของไทม์ไลน์จะไปเช็คอินที่ไหน ไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ กับใครบ้าง อยากรู้ว่าเธอคนนั้นมีไลฟ์สไตล์แบบไหนกัน แต่น่าเสียดายที่เธอคนนี้เป็นคนที่ไม่โพสท์เรื่องส่วนตัวลงในเฟซบุ๊คเลย ล่าสุดที่เธอโพสท์เรื่องส่วนตัวก็เป็นงานเลี้ยงที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานหลายปีมาแล้ว

ผมแปลกใจที่ทำไมผมต้องคิดถึงเธอด้วยนะ ผมมัวแต่เฝ้าคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ อาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้ หรืออาจจะเลิกเล่มเกมนี้ไปแล้วเพราะรู้สึกท้อกับความยากของเกม แล้วถ้าหากเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเธอล่ะ จนทำให้เธอไม่มีแก่จิตแก่ใจมาเล่นเกม ไม่รู้สินะ มันอาจจะเป็นเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมให้กำลังสนใจ เพราะในชีวิตประจำวันของผมนั้นมันช่างซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่ายจนชวนจะอาเจียนเสียด้วยซ้ำ
อาชีพของผมคือเป็นยามเฝ้าหน้าหมู่บ้าน คอยเปิดเหล็กกั้นให้รถที่ผ่านไปมาและยังต้องทำท่าตะเบ๊ะให้ผู้ขับขี่ทุกคนอีกด้วย พอเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับห้องพักเล็ก ๆ ที่ผมเช่าไว้ไม่ไกลจากที่ทำงาน ชีวิตหลังเลิกงานของหนุ่มโสดที่ไม่ค่อยจะมีเงินนั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ บางวันหลังจากง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นและกินมันก็เป็นเวลาว่างที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายของผมไป จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ผมไปซื้อสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงมาใช้และได้ดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่น นั่นทำให้ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อของผมนั้นถูกฆ่าตายไปอย่างมากมาย จนผมไม่เหลือช่วงเวลาเหล่านั้นให้ต้องนั่งทรมานกับมันอีกแล้ว
ความจริงแล้วการเล่มเกมที่แข่งขันเรื่องสถิติกับผู้อื่นมันควรจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นสิ ผมคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องคิดถึงผมอยู่บ้างแหละ เพราะเราก็ยังเห็นกันและกันว่าใครเล่นไปถึงด่านไหนแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแซงก็พยายามแซงคืน ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่เธอยังคงเล่นเกมแคนดี้ ครัชในก่อนหน้านี้โดยที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย หรือว่าบางทีอาจจะมีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊คของเธออีกหลายสิบคนที่กำลังเล่นแข่งกับเธออีกก็เป็นได้ ส่วนตัวผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ใช่สินะ เพราะเพื่อน ๆ ผมในเฟซบุ๊คมีแค่ประมาณสี่ห้าสิบคน แต่เพื่อนของเธอมีหลักพันขึ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกกระสับกระส่ายหัวใจกับการหายตัวไปของเธอ แต่ผมก็คงจะทำได้แค่เพียงเล่นเกมนี้ต่อไป และเข้าไปดูว่าอันดับของเธอขยับบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่ขยับเลย ผมยังเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีก แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเช่นกัน ผมพยายามข่มใจเล่นเกมโดยไม่นึกถึงเธอ

หลายสิบวันมานี้ผมทำกิจวัตรเหมือนทุก ๆ วันโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย คงมีแต่หัวใจที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวลถึงเธอคนนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ทำไมไม่ลองทักเธอไปทางกล่องข้อความดูนะ แต่จะเริ่มบทสนทนาว่าอะไรดีล่ะ หรืออาจจะแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปน่ารัก ๆ ไปก็พอ แต่นั่นจะทำให้เธอตกใจและบล็อกผมไปหรือเปล่าล่ะ ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีกครั้ง และโพสท์ล่าสุดของเธอก็ยังเป็นงานเลี้ยงในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอจะยังทำงานอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เมื่อสังเกตป้ายผ้าที่อยู่ในภาพดี ๆ ผมเห็นโลโก้ของโรงงานเป็นรูปฟันเฟืองซ้อนกันสองอัน เห็นชื่อของโรงงานลาง ๆ ไม่ชัดเจน เห็นแค่ตัวอักษรสองสามตัวหน้า และในป้ายผ้านั้นทำให้ผมรู้ว่าโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลวกแดง จังหวัดระยอง
หัวใจของผมพองโตเป็นสองเท่าจากเดิม แต่สักพักมันก็กลับมาห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม ขนาดแค่จะทักไปทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คยังไม่กล้า แล้วนี่จะไปตามหาถึงโรงงานที่เธอทำงานอยู่  ผมอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาโรคจิตก็เป็นได้ จะทำอย่างไรดีล่ะ จะไปหาเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวหรือเปล่า เบาะแสมีแค่โลโก้โรงงานพร้อมตัวอักษรชื่อไม่กี่ตัว สถานที่พอรู้คร่าว ๆ รูปหน้าของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว อ้อ... ยังมีชื่อจริงของเธออีกทีใช้เป็นชื่อในเฟซบุ๊ค หากเธอไม่ใช้ชื่อปลอมมาเล่นนะ ผมพยายามสะกดชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษของเธอด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผม ผมแกะชื่อ Chutima Khunpraman แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรดี
ผมยังไม่รีบเดินทางไปตามหาเธอทันทีหรอก ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก คงได้แค่คิด
“จะให้ผมแลกเวรกับไอ้เวย์หรือครับหัวหน้า” ผมพูดเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปคุย
“ใช่ พอดีมันมีธุระต้องกลับต่างจังหวัด จะขอแลกเวรแกสองเวร ทำไหวมั้ย” หัวหน้าตอบ
ผมกำลังคิดว่าถ้าแลกตามนี้ ผมจะได้หยุดงานต่อเนื่องสองวัน และถ้าผมขอแลกเวรช่วงวันหยุดเพิ่มนั้นด้วยอาจจะได้หยุดถึงสามวัน ข้อเสนอนี้ก็ดีเหมือนกันผมอาจจะได้หยุดพักผ่อนยาวไปเลย หรือว่าบางทีผมอาจจะไปตามหาเธอดูดีนะ

เมื่อมาถึงวันหยุดยาวของผมที่ผม สรุปว่าผมได้หยุดยาวสามวัน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้เลยว่าจะเอายังไงดี จะหยุดพักผ่อนหรือจะลองนั่งรถไปปลวกแดงดี ใจหนึ่งก็คิดว่าก็ถือว่าไปเที่ยวล่ะกัน หากเปลี่ยนใจหรือหาโรงงานของเธอไม่ได้ก็คงจะหาที่เที่ยวแถวนั้นได้ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็เก็บกระเป๋าไว้รอเตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า
ตื่นเช้าผมรีบนั่งรถเมล์ไปสถานีขนส่ง นั่งรถต่อไปจากตรงนี้ก็ประมาณสี่ชั่วโมงเองก็ถึงตัวจังหวัด และต่อรถไปปลวกแดง
เมื่อก้าวเท้าลงรถเหยียบอำเภอปลวกแดง นั่นทำให้ผมถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว ผมมองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา รถวิ่งไปมา และผมก็เหลือบไปเห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ
“ไงไอ่หนุ่ม จะไปไหน” ลุงวินถาม
ผมยังไม่รู้จะถามอะไรดี จึงลองหยั่งเชิงไปก่อน “ถ้าจะไปแถวที่มีโรงงานเยอะ ๆ ต้องไปแถวไหนครับ”
ลุงวินฉีกยิ้มกว้าง “จะมาหางานทำเหรอ จะไปโรงงานอะไรล่ะ”
ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิดรูปภาพของเธอขึ้นมา พยายามซูมไปให้เห็นเฉพาะโลโก้ของโรงงาน แต่ก็ยังติดภาพใบหน้าของเธอไปด้วย
“ผมไม่ได้มาหางานทำหรอกครับ” ผมพูดความจริง
ลุงวินจ้องมองดูภาพในหน้าจอและก็ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง “มาตามหาแฟนเหรอ”
จากนั้นลุงก็หุบยิ้มเหมือนสะเทือนใจ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เผลอพยักหน้าไปเล็กน้อย
“ลุงรู้จักโรงงานแห่งนี้ ไปจากนี่ไม่ไกลหรอก”
หัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ความดีใจก็มาพร้อมกับความประหม่าด้วย เฝ้าคิดกังวลว่าถ้าไปถึงโรงงานแล้วจะทำอย่างไรต่อนะ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ ผมยังคงทำหน้าหงอย ๆ อยู่
“ลุงคิด 30 บาทละกัน ลุงเห็นแบบเอ็งมาเยอะแล้ว” ลุงพูดเสร็จก็สตาร์ทรถพาผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานลุงวินก็มาจอดรถหน้าโรงงาน ผมจ่ายเงินและพูดขอบคุณลุง จากนั้นผมมองไปยังประตูทางเข้าที่มีตู้ยาม ผมไม่รู้จะผ่านเข้าไปในรั้วโรงงานได้อย่างไร
“มาติดต่ออะไรครับ” ยามชะโงกหน้าออกมาจากป้อมถามผมที่ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“พอดีมาสมัครงานครับ นัดสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลไว้” ผมตอบพลางชมตัวเองอยู่ในใจว่าไหวพริบดีนะเนี่ย
“ผมขอแลกบัตรด้วยครับ” ยามในป้อมพูดเสร็จก็ก้มหยิบบัตรจากซองเอกสารขึ้นมา ผมหยิบบัตรประชาชนแลกกับเขาไป เมื่อได้บัตรมาแนบติดหน้าอกผมก็ทำท่าจะเดินจากไป
“แผนกฝ่ายบุคคลอยู่ชั้นสองตึกเอครับ” ยามประจำป้อมพูด ผมหันมาขอบคุณเขาก่อนที่จะเดินต่อ
ผมเดินเข้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาโดยไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครงานหรือสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่หน้าห้องฝ่ายบุคคลมีบอร์ดขนาดใหญ่พร้อมป้ายรูปพนักงานตามระดับชั้นแปะอยู่ ผมคิดว่านี่คือด่านแรกที่จะตามหาเธอได้ หากว่าเธอจะมีรายชื่ออยู่ในนั้น
ชุติมา ขุ่นประมาณ ผมไล่ดูภาพของพนักงานจากทุกระดับ และก็มาสะดุดกับใบหน้าของบุคคลในชื่อนี้ มันเป็นเหมือนกับความสำเร็จในการค้นหาที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเจอ ผมไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ คนที่เห็นอยู่ในเกมที่แค่เล่นแข่งกันไปวัน ๆ ไม่เคยคุยไม่เคยทักทายกันเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอคนนั้นกับอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว
เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล ซึ่งถ้าหากผมอยากจะเจอเธอจริง ๆ ผมคงต้องมาสัมภาษณ์งานกับเธอ แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกับคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อน ผมจะมาสมัครงานอะไรที่นี่ได้ล่ะนอกจากตำแหน่งยาม
แต่คิดไปคิดมา จุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการที่จะรู้แค่ว่าเธอสุขสบายดีอยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ใช่เหรอ ให้ได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรไป การที่เธอยังมีรูปแปะที่หน้าบอร์ดนี้ก็คงจะทำให้แน่ใจได้แล้วว่าเธอยังสุขสบายดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมแอบกังวลใจก่อนหน้านี้ มันก็ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วสินะ ผมควรจะกลับได้แล้ว

ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีก็จะพักเที่ยงแล้วนี้ อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คงจะกรูกันออกมา ไม่แน่นะว่าบางทีเธออาจจะเดินผ่านผมไปก็ได้ ภาพใบหน้าที่เคยเห็นแต่ในรูปและจินตนาการกำลังจะกลายเป็นภาพคนจริง ๆ ออกมาให้ผมเห็น
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนยากที่จะข่มใจให้เย็นลงได้ ยากเกินกว่าที่จะบังคับจิตใจให้เดินหันหลังกลับออกไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ใจหนึ่งก็อยากจะยืนรอคนที่ผมอยากเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าผมจะทำหน้าอย่างไรดี จะค่อย ๆ แอบมองดีไหมนะ หรืออาจจะทำเป็นแกล้งชะเง้อมองหาใครสักคน และแอบลอบมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นมองคนอื่นต่อไป
ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมตัวทัน บานประตูห้องเปิดออก พนักงานสาวหลายสิบคนทยอยกันเดินออกมา ผมยังคงเป็นทำทีมองที่บอร์ดหน้าห้อง แต่ก็พยายามสลับหันไปมองคนที่กำลังเดินตรงออกมาจากประตู จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อหลาย ๆ คนเดินผ่านไปโดยที่ยังไม่พบเป้าหมาย
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนผมอยากจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเสียงปิดประตูดังทำให้ผมใจหาย คงจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินออกไปจากสถานที่ตรงนี้แล้ว ผมบ่ายหน้าออกไปโดยไม่พยายามหันไปมองทางต้นเสียงนั้น แต่ทว่าเสียง ๆ หนึ่งกับหยุดความคิดทั้งหมดของผมไว้
“มาสัมภาษณ์งานหรือคะ”
เสียงใสแว่วดังมา ผมหันไปมองหน้าเธอ
“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมมาสัมภาษณ์งาน”
สิ้นเสียงพูด ผมรู้สึกตำหนิตัวเองว่าทำไมจะต้องไปย้อนถามเธอนะ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน แล้ววันนี้ช่วงบ่ายเราเปิดนัดสัมภาษณ์งานค่ะ แต่ เอ... ดูหน้าคุณคุ้น ๆ จังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ”
หญิงสาวคนที่ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มายืนพูดคุยกัน แต่ตอนนี้เธอยืนต่อหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และคำพูดที่บอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจจะเห็นรูปโปรไฟล์ของผมและจำมันได้ นั่นหมายความว่าเธอและผมนั้นแข่งกันเล่นเกมจริง ๆ ผมไม่ได้นั่งคิดไปเองคนเดียว
มาถึงตรงนี้ผมคิดแล้วล่ะว่า ความรู้สึกในตอนนี้มันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เคยขึ้นในรอบหลายปีมานี้ ผมคงจะเดินออกจากตรงนี้แล้วนั่งรถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้วล่ะ ความฟุ้งซ่านและพะว้าพะวงก่อนหน้านี้มันได้หายไปหมดสิ้นแล้วนี่
“ผมคงจะหน้าโหลมั้ง ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานหรอกครับ พอดีแค่มาหาดูประกาศตามโรงงาน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มเธอยังไม่จาง แต่ผมต้องละสายตาจากเธอแล้ว ไม่รอช้าผมเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากตึก

ร้านอาหารยามค่ำคืนในบรรยากาศสดชื่น ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักหรอก คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้ ผมพยายามนั่งฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นเพลงเบา ๆ อยู่บนเวที หูของผมได้ยินเสียงนั้นแต่ทว่าสมองไม่สามารถแปลความหมายของเพลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั่งในโต๊ะคนเดียว มีอาหารสำหรับคน ๆ เดียว เครื่องดื่มสำหรับคน ๆ เดียว และบทสนทนาสำหรับคน ๆ เดียว นั่นก็คือความเงียบนั่นเอง สาเหตุที่ไม่รู้ว่าวงดนตรีนั้นร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นเพราะใจของผมมัวแต่คิดถึงเธอคนนั้น
น่าแปลกทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าการที่ได้มาเจอเธอ ได้ยินเสียงพูดของเธอนั้นควรจะทำให้ผมโล่งใจ เพราะความคาดหวังในการมาที่นี่ก็มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ แต่นี่ผมกลับว้าวุ่นใจมากขึ้นเป็นเพราะเหตุใดกัน หรืออาจเป็นเพราะว่ารอยยิ้มและ อัธยาศัยที่เธอมอบให้มันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน แม้ช่วงเวลานั้นมันจะแค่สั้น ๆ ก็ตาม
ในหัวของผมคงมีแต่ใบหน้าของเธอหรอกหรือ แม้แต่ลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านผมยังมองเห็นเป็นหน้าของเธอเลย ให้ตายสิครับ!
แต่ เอ๊ะ... นั่นมันเธอจริง ๆ นี่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้เธอมองเห็น แต่ไม่สำเร็จ เธอปลีกตัวจากเพื่อน ๆ ที่เดินมาด้วยกันและเดินมาทางผมแล้ว
“อ้าว... คุณนี่เอง”
“อ่ะ... ครับ สวัสดีครับ” ผมเลี่ยงตอบไม่ได้
“มาคนเดียวหรือคะ” เธอถามพร้อมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผม แต่เรื่องนี้ผมยินดีอยู่แล้ว และความจริงผมเขินอายเกินกว่าที่จะเชิญเธอนั่ง
ผมก้มหน้าลงมองบนโต๊ะที่มีอาหารสำหรับคนเดียวก่อนจะพูด “ผมมาคนเดียวครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเคยเห็นรูปหน้าคุณในเอกสารสมัครงาน แต่ว่ามันไม่ใช่ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณจากที่ไหน” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มใส
หัวใจผมเต้นแรงยิ่งขึ้นจนต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำมาจิบ แต่นั่นคงจะทำให้ผมยิ่งดูประหม่ายิ่งขึ้นจนเธอสังเกตได้โดยง่าย
“คุณเคยเห็นผมที่ไหนเหรอครับ” พูดเสร็จผมก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
“เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คยังไงคะ และคุณก็เล่นเกมแคนดี้แซงหน้าฉันไปไกลแล้วด้วย”
ผมแทบจะสำลักน้ำเพราะสิ่งที่เธอพูด ยังไม่วายมีน้ำกระฉอกออกมาทางจมูกนิดหน่อย ผมรีบหยิบผ้าเช็ดปากที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ทำทียกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก แต่ความจริงต้องการเช็ดน้ำที่ออกมาจากรูจมูกต่างหากเล่า ผมอยากจะถามใจจะขาดว่าทำไมเธอถึงหยุดเล่นไป แต่ก็กลัวเธอจะคิดว่าผมอุตส่าห์ถ่อมาเพื่อถามเรื่องนี้กับเธอ
“พอดีฉันเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง เลยมีงานให้เคลียร์แทบจะทุกวันเลยค่ะ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังต้องมานั่งดูเอกสาร ช่วงพักก็หลับอยู่บ้านคนเดียว”
ผมหูผึ่งกับคำว่า อยู่บ้านคนเดียวเธอยังไม่มีแฟน ยังไม่มีครอบครัว แต่ว่าผมจะคิดเรื่องนี้ไปทำไมกัน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
“คงจะอีกสักเดือนหรือสองเดือนงานถึงจะเริ่มคลายตัวลงหน่อย ถึงเวลานั้นเราคงจะได้มาเล่นเกมแข่งกันอีกแน่ ๆ ค่ะ”
ความรู้สึกปราบปลื้มใจที่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด นั่นแสดงว่าเธอยังให้ความสนใจในการแข่งเล่นเกมกับผมอยู่
“คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกฉันกะว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่เห็นว่ายังมีคนค่อย ๆ ไล่ตามฉันมา ฉันเลยมีแรงฮึดสู้เล่นต่อไป”
ผมนั่งคิดอะไรในหัวคนเดียว คิดแปลกใจว่าทำไมความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกถึงบังเกิดขึ้นใจจิตใจของผม  หรือเพราะว่าผมกับเธอนั้นไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน รสนิยมและฐานะทางสังคมมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เลย
“มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ ที่เราสองคนได้มาเจอกันโดยบังเอิญ ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คได้อย่างไร เราไม่เคยคุยกันเลย แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมนั่งฟังเงียบ ๆ และเริ่มเคลิ้มจนเกือบจะทำสายตาซาบซึ้งออกไป เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมแอบขำกับคำพูดนี้ในใจคนเดียว เคยมีนักอะไรสักอย่างเคยพูดไว้ว่า ชายกับหญิงไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอน และผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ผมเคยแอบปลื้มและเคยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้หรอก ผมจะมีเรื่องอะไรไปคุยกับเธอล่ะหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน จริงสินะ ผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ
“ว่าแต่คุณ...”  เธอพูดขึ้นมา
ผมพอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทขึ้นก่อน “พอดีผมมีธุระครับ ต้องรีบขอตัวไปก่อน” เธอนิ่งไปเมื่อผมพูดขึ้น
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาและยื่นแบงก์ร้อยสองใบให้โดยคำนวณว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ผมกินคงไม่เกินจำนวนเงินที่ให้ไป ผมสำทับกับพนักงานว่า “น้องไม่ต้องทอนนะ พอดีพี่รีบ”
ในหัวสมองของผมตอนนี้มึนชาไปหมดแล้วเหมือนคนเมายาไม่ได้สติ ความรู้สึกดีใจกับเศร้าใจมันประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันโดยที่ไม่สามารถแยกออกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะโดยคิดว่าจะบอกลาเธออย่างไรดี และทันใดนั้นเหมือนผีเปิดปากผม ผมได้พูดคำ ๆ นั้นออกไปว่า
“ผมกะว่าจะเลิกเล่นเกมนั้นแล้วครับ”
พูดเสร็จผมก็กลับหลังหันเดินออกมา เมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็นึกอยากจะหยิบขวดเบียร์โต๊ะข้าง ๆ ตีหัวตัวเองให้สลบไป หรือบางทีอยากจะให้ตัวเองเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย จะได้ทำให้เรื่องน่าอึดอัดนี้มันหายออกไปจากใจเสียที
ความอายและความชาถูกกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตาเล็ก ๆ ผมพยายามกลั้นมันไว้แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน ผมได้แต่เบี่ยงหน้ามาเพื่อแอบมองเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่าเดิม ถนนหน้าร้านรถราวิ่งขับผ่านไปมาด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงไปนอนให้รถทับตาย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะต้องมาพาผมไปส่งโรงพยาบาล เดี๋ยวเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่

ในห้องพักแคบ ๆ ด้วยราคาต่อคืนไม่แพงมากนัก แต่ยังดีที่ยังมีเตียงนุ่ม ๆ ให้ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทีวีเครื่องเล็กถูกเปิดเพื่อให้พอมีเสียงดังสลัดความเงียบงันลงไปบ้าง แต่ว่าในจิตใจผมก็ยังคงไม่รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น ในสมองตอนนี้ได้แต่เฝ้าคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
แต่ผมก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วล่ะที่ผมไม่สานสัมพันธ์ต่อ เพราะมันคงจะมีแต่เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา และรวมถึงเรื่องที่ผมนั้นคงไม่คู่ควรกับเธอ

เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาทำงานที่เดิม ทุก ๆ อย่างเหมือนเดิมหมดยกเว้นผมไม่สามารถเล่นเกมแคนดี้ ครัชได้อีกต่อไป เพราะผมได้หลุดปากพูดคำพูดนั้นออกไปแล้วว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ มันเหมือนกับเป็นคำพูดที่ค้ำคอผมอยู่ว่าต้องทำตามคำ ๆ นั้น
ในทุกเช้าผมก็ไปทำงานเหมือนเดิม ในระหว่างชั่วโมงการทำงานความน่าเบื่อก็ยังคงรุมเร้าผมอยู่ทุกวัน เพราะการทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไร นั่นจึงทำให้ภาพใบหน้าของเธอปรากฏอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ความสำนึกและรู้สึกผิดที่ผมทำเป็นเย็นชาและไม่ใส่ใจเธอ ซึ่งนั่นมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายใจจิตใจของผม
ความปรารถนาดูเหมือนจะมากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ตัวเธอ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะหลาย ๆ เหตุผล กลัวการถูกปฏิเสธหรือ ก็คงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมคงต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหยุดเรื่องนี้ไว้
ผ่านไปอีกหลายคืนวันจนผมเริ่มจะทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว คืนหนึ่งหลังจากผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จและตรียมตัวจะนอน ผมทำเหมือนกับทุกคืนคือเปิดเฟซบุ๊คดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ร้อยวันพันปีไม่เคยมีในส่งข้อความมาหาผม แต่วันนี้มีเครื่องหมายเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา เป็นเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะจิ้มลงไปเพื่ออ่านข้อความนั้น แต่พลันคิดได้ว่าหากยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้ จะยิ่งถอนตัวยาก หากแม้เพียงแค่เข้าไปอ่านข้อความ นั่นจะทำให้เธอรู้ได้ว่าผมได้อ่านข้อความแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบกลับข้อความอย่างแน่นอน ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้สัญลักษณ์นั้นแสดงคำเตือนต่อไป

ครบหนึ่งเดือนพอดีหลังจากที่ผมบุกไปหาเธอที่โรงงาน ผมยังจำคำพูดของเธอได้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วเธอจะหายงานยุ่งและจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเลิกคิดถึงเธอไปแล้วแต่ว่าใจของผมดันไปสั่งให้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเกมเพื่อดูว่าเธอผ่านด่านเพิ่มขึ้นมาหรือยัง
เธอนำหน้าผมไปอีกแล้วหนึ่งเอพพิโสด มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเล่นผ่านด่านเกือบร้อยกว่าด่านโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาร่วมเดือนถึงจะเล่นได้ขนาดนี้ หากมันเป็นแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าเธอพยายามเจียดเวลาทำงานเพื่อมาเล่นเกมนี่หรือ หรือว่าเธอตั้งใจว่าอยากให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้อีกหลังจากที่ผมบอกเธอไปว่าจะเลิกเล่น นี่เธอแคร์ผมอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกปลื้มปริ่มนี้มันมาอีกแล้ว นอกจากพ่อแม่ของผม ก็ไม่เคยมีใครแคร์หรือใส่ใจความรู้สึกของผมเลย แต่มาครั้งนี้เธอคนที่ถูกผมเย็นชาใส่และไม่ใยดีกับเธอ ก็ยังคงใส่ใจกับความรู้สึกของผมอีก
ผมนึกถึงคำพูดของเธอในคืนที่เราเจอกันที่ร้านอาหาร นั่นแสดงว่าผมและเธอนั้นใจตรงกันเพียงใด เธอคิดเหมือนที่ผมคิด และยังกล้าพูดถึงสิ่งที่ใจคิด เพียงแต่ผมไม่กล้า
เมื่อคิดทบทวนหลาย ๆ เรื่อง ผมคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรกันที่จะทำให้ผมไม่เล่นเกมแข่งกับเธอ ทำไมผมจะสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไม่ได้ล่ะ ผมตัดสินใจเปิดข้อความที่เธอส่งมา
เรามาแข่งกันอีกนะคะ ฉันจะไล่ตามคุณให้ทัน
ผมยิ้มดีใจอย่างสุดขีดเมื่ออ่านข้อความนั้น และยังนึกตำหนิตัวเองว่าทำไมทั้งโง่และทั้งบ้าแบบนี้ ความฟุ้งซ่านที่ผมคิดไปเองมันคงบ้าบอเกินไป
มิตรภาพที่เธอมีให้นั้นผมจะทำลายมันไปได้อย่างไรกัน ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบและเผลอยิ้มทุกครั้ง ผมแค่กดส่งสติ๊กเกอร์รูปหน้ายิ้มกลับไปให้เธอทางกล่องข้อความ เพราะยังไม่รู้ว่าจะทักตอบกลับไปว่าอย่างไรดี เอาไว้ค่อยให้เวลาและเกมคอยเชื่อมใจของเราทั้งคู่ก็แล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ตอนนี้ผมหน้าแดงไปหมดแล้ว 
ไม่รอช้า คืนนี้ผมกะจะเล่นเกมแคนดี้ ครัชให้ชุ่มฉ่ำปอดทั้งคืนเลย หากพรุ่งนี้งัวเงียไปทำงานก็ค่อยไปแอบหลับในเวลางานก็แล้วกัน