แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมรู้ร่วมคิด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมรู้ร่วมคิด แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

นักชกตามใบสั่ง





ระฆังยก 3 ดังขึ้น ผมไม่รอช้าเดินออกจากมุมแดงปรี่เข้าไปยังคู่ชก การ์ดของคู่ต่อสู้ที่ยกมือขึ้นมาปิดตั้งแต่ต้นคอถึงกกหู ทำให้ผมเริ่มลังเลที่จะออกอาวุธ ยกก่อนหน้านี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า อาวุธของคู่ต่อสู้พร้อมสวนมาทุกเมื่อ หากผมยังปล่อยให้มีช่องว่าง ผมไม่มีอะไรจะเสีย ในหัวว่างเปล่าไร้กระบวนท่าใดๆ ผมเตะซ้ายเข้าชายโครงคู่ต่อสู้เต็มแรง อาวุธที่ออกตรงๆไร้ยุทธวิธี ทำให้มุมน้ำเงินยกแข้งขวา และลดท่อนแขนมาปกป้องได้อย่างง่ายดาย การ์ดผมเปิด นักชกฝ่ายน้ำเงินไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เขายันขาขวาตั้งหลักกับพื้นได้ พร้อมปล่อยหมัดหลังขวาพุ่งเข้าที่เป้าหมายปลายคางของผม โชคดีที่ผมยังยกมือขวาตั้งการ์ดหลวมๆ แต่ยังพอทันที่จะป้องกันแรงหมัดฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง ความแรงของมันทำให้ผมเซหงายหลังเล็กน้อย เพลงมวยแรกของยก 3 ผมเพลี่ยงพล้ำไปแต่ยังไม่ร้ายพอ ที่จะแจกคะแนนให้ฝ่ายตรงข้าม แค่เสียเชิงนิดหน่อย



ผืนดินแห้งผาก ไร้วี่แววของฟ้าฝน เป็นลางบอกเหตุว่าปีนี้หน้าน้ำ น้ำไม่น่าจะพอทำนาได้ ฝนฟ้าวิปริตผิดธรรมชาติมานานหลายปีแล้ว ในความหมายของคำว่า 'น้ำมา' ในปีหลังๆมานี่ มักจะหมายถึงมวลน้ำขนาดมหาศาล ที่พัดไหลท่วมพื้นนาและบ้านเรือน ก่อนที่ผู้นำท้องถิ่นรวมถึงระดับประเทศ จะป่าวประกาศให้ความช่วยเหลือเยียวยา แต่มันแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย คนได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือพวกผู้นำนั่นเอง ที่สามารถเอาเหตุการณ์นี้ไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเองและพวกพ้องได้



ผมเพิ่มความรัดกุมมากขึ้น เพื่อปิดช่องโหว่การเข้าจู่โจมของฝ่ายน้ำเงิน คู่ต่อสู้ได้ใจจากที่ผมเซหงายหลัง เขาเดินย่างสามขุมเข้ามาพร้อมปิดการ์ดรัดกุม ฝ่ายน้ำเงินปล่อยหมัดหน้าซ้ายชิมลางเข้ามา ผมยกหมัดป้องไว้ คู่ต่อสู้ยังกระหน่ำหมัดหลังขวาเข้ามาหลายหมัด จนผมต้องยกการ์ดสูงขึ้นเพื่อปิดส่วนหน้า คู่ต่อสู้ยังได้ใจยังประชิดตัวใกล้เข้ามา พร้อมใช้ท่อนแขนเหนี่ยวลำตัวผมไว้ ก่อนจะเตรียมกระทุ้งเข่าซ้ายตรงเข้าลำตัวผม ผมยังไวพอที่จะกอดรัดฝ่ายตรงข้าม เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้คู่ต่อสู้แทงเข่าเข้ามาได้ ผมแช่จังหวะที่รัดลำตัวเขาไว้นาน เพื่อพักหายใจเล็กน้อย เขาก็หยุดพักหายใจบ้าง ผมใช้แรงจากไหล่เหวี่ยงคู่ต่อสู้ไปนอนกองกับพื้นเต็มแรง กรรมการเดินเข้ามาเตือนผม คู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว



เมื่ออายุ 11 ขวบ ผมจำเป็นต้องออกจากบ้านนอก เข้าสู่ตัวเมืองเพื่อหาอาชีพรับจ้างทำงาน อย่างน้อยก็ให้เพื่อเลี้ยงดูตัวเองได้บ้าง รถประจำทางมาส่งผมในตัวเมือง พร้อมย่ามเสื้อผ้า 2-3 ชุดที่ผมมีสะพายข้าง ผมเดินจากคิวรถเข้าสู่ตัวเมือง ด้วยความสับสนถึงเป้าหมาย เนื่องจากไม่มีญาติหรือคนรู้จักที่นี่เลยซักคน สิ่งเดียวที่มีในหัวคือคำสอนของพ่อแม่ ที่บอกว่าให้หาร้านอาหารหรือร้านขายของอะไรก็ได้ ให้เดินเข้าไปขอทำงานกับเขา ผมออกเดิน



กรรมการยกมือขึ้นทำท่าให้นักมวยเริ่มชกได้ แรงเหวี่ยงเมื่อกี๊ได้ผล คู่ต่อสู้อาจล้มผิดจังหวะทำให้ข้อเท้าอาจพลิก เขาเริ่มไม่เป็นฝ่ายเดินก่อน เป็นทีที่ผมจะก้าวเดินอย่างรัดกุมเข้าไป ระยะประชิดอยู่ในระยะออกหมัด ผมออกหมัดหน้าขวาเข้าเบ้าตาฝ่ายตรงข้ามแต่ติดการ์ด หมัดหลังซ้ายผมเล็งไปที่กกหูฝ่ายตรงข้ามเต็มแรงแต่การ์ดแขนฝ่ายตรงข้ามยกขึ้นมาปิดทัน เขาเซหงายหลังเล็กน้อย ผมสังเกตุเห็นเท้าซ้ายเขาน่าจะข้อพลิก เพราะไม่สามารถใช้ขาซ้ายรับน้ำหนักตัวได้เต็มแรง ต้องใช้ขาขวาก้าวไปประคอง ผมเห็นเป็นโอกาสทองครั้งแรกในเกม ผมใช้ขาขวาถีบเข้าไปเต็มกลางอกฝ่ายน้ำเงิน โดยใช้ขาซ้ายส่งแรงจากพื้นและบิดสะโพกช่วย ทำให้แรงถีบแรงพอจะทำให้ฝ่ายน้ำเงินตัวลอยกระเด็นไปติดเชือกเวทีเด้งออกมาจนกรรมการต้องใช้ตัวเข้าขวางไว้



คืนแรกที่ผมเดินทางเข้ามาในตัวเมือง แสงสีและความพลุกพล่านของคนทำให้ตื่นเต้น ผมไม่ได้เข้ามาในตัวเมืองนานหลายปีแล้ว บ้านนอกที่ผมอยู่เงียบเหงากว่านี้เยอะ แต่ความตื่นเต้นไม่ได้ทำให้ผมลืมความกังวลก่อนหน้านี้ ที่ผมคิดว่าคืนนี้จะไปนอนที่ไหน และจะกินอะไร




ยกนี้น่าจะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 นาที ถ้า 2 นาทีนี้ผมไม่สามารถน็อคเขาได้ ผมคงหมดโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้อย่างแน่นอน อาการเท้าซ้ายข้อพลิกของเขายังคงไม่หาย ความเร็วและฟุตเวิร์กก่อนหน้านี้หายไป ผมเดินหน้าพร้อมออกหมัดตรงซ้ายเข้าการ์ดฝ่ายน้ำเงิน ย้ำหมัดตรงไปเรื่อยๆ จนแน่ใจว่าเขาไม่พร้อมตอบโต้ในเวลานี้ ผมใช้ขาซ้ายเตะตัดขาขวาของฝั่งตรงข้าม เพื่อหวังให้เขาพยายามยกขาขวาป้องกัน และน้ำหนักตัวจะถูกทิ้งไปที่เท้าซ้ายที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ผมเตะย้ำไปเรื่อยโดยไร้การตอบโต้ใดๆ แต่ผมยังไม่กล้าเผด็จศึกในตอนนี้ เพราะยังเห็นแววตาของฝ่ายตรงข้าม ที่ยังดูมีความมาดมั่นไร้วี่แววการสิ้นหวัง หรือเจ็บปวดใดๆ




เมื่อเวลาที่คนหิว พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ผมก็เช่นกัน จะให้ผมทำอะไรตอนนี้เพื้อให้ท้องผมอิ่ม ผมยินดีทำทุกอย่าง




"พี่ครับ ขอข้าวผมกินซักจานได้มั้ยครับ ให้ผมทำงานให้ฟรีๆก็ได้ครับ"



ร้านข้าวหมูแดงคนเริ่มซาแล้ว เพราะเวลาดึกผู้คนเริ่มเข้าบ้านนอน เจ้าของร้านหันมายิ้มเมื่อเห็นเด็กตัวน้อย แต่งตัวมอมแมม สะพายย่ามใบเก่า พลันหันไปมองเศษข้าวในหม้อ และชิ้นหมูแดงอบน้ำผึ้ง เขาหั่นหมูวางบนข้าวอย่างดีและบอกให้ไปนั่งกินในร้าน




"หนูมาจากไหนเหรอ บ้านช่องอยู่ที่ไหน พ่อแม่ล่ะ?"




เจ้าของร้านอาหารรถเข็นเล็กๆ ท่าทางใจดีถามผม




"ผมมาจากนอกเมืองครับ ที่บ้านไม่ได้ทำนามาหลายปีแล้ว ผมตัดสินใจมาหางานทำในเมือง"




ผมพูดจบประโยคแรกก่อนตักข้าวพร้อมชิ้นหมูเข้าปาก ผมไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผมกินต่ออีกหลายคำจนเจ้าของร้านผู้ใจดี หยิบช้อนมาตักน้ำจิ้ม มาราดบนเนื้อหมูแดงในจานผม ผมอร่อยจนลืมความกังวลใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น พลันคิดว่าในเมืองมันมีสิ่งวิเศษเยอะแยะมากมาย ที่ผมเองยังไม่รู้




"แล้วคืนนี้หนูจะไปนอนที่ไหนล่ะ"




"ไม่มีที่นอนครับ ผมกะว่าจะหางานให้ได้ก่อนครับ"




ผมบอกไปด้วยความบริสุทธิ์ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าได้งานแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปหาที่พัก




"งั้นหนูอยู่กับพี่ก็ได้นะ ช่วยกันทำร้านแต่บ้านพี่เล็กหน่อยนะ"




พี่เจ้าของร้านพูดจบ ผมหันไปดูบ้านเดี่ยวสร้างด้วยปูนหนึ่งชั้น ขนาดไม่ใหญ่มาก




"บ้านที่ผมนอนมีเพียงแค่หลังคา และมีแคร่ไม้ไผ่เป็นเตียงนอน ไม่มีผนังกันลมกันแดด ฝนตกก็ต้องหลบเข้ากลางบ้าน"




เจ้าของบ้านทำหน้านิ่ง




"ผมนอนเฝ้าร้านข้างนอกได้ครับ"




ผิดคาด! อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซ้าย ทำให้ฝ่ายน้ำเงินระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เวลาเหลือประมาณ 1 นาทีกว่า แต่ชั้นเชิงที่เหนือกว่าของฝั่งตรงข้าม ยังช่วยประครองตัวเขาเองให้รอดพ้นวิกฤติไปได้ เอาวะ! ถึงเผด็จศึกไม่ได้แต่ขอเก็บคะแนนจากเวลาที่เหลือก็พอ ผมเดินพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว หากเป็นเวลาปกตินี่ถือเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามยังไม่พร้อม ผมจึงไม่รีรอกระหน่ำหมัดหนึ่งสองไปเรื่อยๆ การ์ดมุมน้ำเงินเริ่มตก หมัดทะลุเข้าโดนหน้าและกกหู ผมแทงเข่าขวาตรงเข้ากลางท้อง ฝ่ายตรงข้ามยังคงเก็บอาการได้ดี แววตายังคงไร้ความหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก ผมเริ่มกลัวแววตาคู่นั้นแล้ว ผมจิ้มหมัดซ้ายไปที่กลางท้องเขาลดการ์ดมาป้องกันได้ทัน แต่ไม่ทันที่จะยกการ์ดขึ้นไปกันแรงเหวี่ยงแข้งขวาของผมที่ฟาดเข้ากลางก้านคอซ้าย ผมหวังว่าอย่างน้อยที่สุดขอให้แววตาคู่นั้น แสดงท่าทีของความท้อแท้ออกมาบ้าง ก็ยังดี




แม้ที่นี่จะเป็นร้านเล็ก ก่อนหน้านี้มีเจ้าของร้านทำงานแค่คนเดียว แต่ด้วยรสชาติที่อร่อยของหมูแดง ลูกค้าที่นี่จึงค่อนข้างเยอะ ผมคิดถึงเวลาที่พี่เจ้าของร้านทำงานคนเดียว คงจะยุ่งวุ่นวาย แค่ทำงานวันแรกผมก็สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของพี่เจ้าของร้านได้อย่างมากมาย เมื่อร้านเลิก ผมช่วยเก็บล้างจานชามเรียบร้อย พี่เจ้าของร้านหยิบเงินให้ผม 150 บาท ผมน้ำตาซึมพลันคิดถึงพ่อและแม่ขึ้นมาทันที




"1..2..3..4..5..6..7..8"




กรรมการเช็คความพร้อมของฝ่ายน้ำเงินเมื่อนับถึง 8 ก่อนจะส่งให้แพทย์สนามตรวจเช็คร่างกายอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ คู่ต่อสู้ของผมเดินเข้ามาด้วยแววตาดุดันไร้ความกลัวใดๆเหมือนเช่นเคย แต่ท่าทางคราวนี้เขาดูพร้อมที่จะออกอาวุธได้ทุกเมื่อ




"เกร๊งๆๆๆ"




ระฆังดังหมดยกที่ 3 ผมเดินเข้ามุมแดง




ผมทำงานที่ร้านข้าวหมูแดงได้เพียง 16 วัน เจ้าของร้านพูดกับผมว่า เขาต้องหยุดร้านขายข้าวหมูแดงแล้ว เนื่องจากราคาเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้น จนไม่มีกำไร เขาจะเดินทางไปทำงานในโรงงานกับเพื่อน ที่อยู่ในโรงงานก่อนหน้านี้ ผมต้องเดินออกมาจากที่ทำงานที่แรกของผม ด้วยมีเงินติดตัวประมาณ 2 พันกว่าบาท ผมคิดว่าจะเอาเงินกลับบ้านไปให้พ่อแม่เก็บไว้ เพราะคิดว่าเงินจำนวนนี้ มันมากเกินไปกว่าที่ผมจะเก็บติดตัว




ระฆังยกที่ 4 ดังขึ้น ผมเดินออกมาจากมุมด้วยความมั่นใจ ด้วยคำแนะนำของพี่เลี้ยงที่ติวผมตอนให้น้ำระหว่างพักยก กรรมการทำท่าทางให้เริ่มชกได้ ผมตรวจเช็คอาการบาดเจ็บฝ่ายตรงข้ามด้วยการเตะตัดขาขวาฝ่ายน้ำเงิน ฝ่ายน้ำเงินตอบกลับมาด้วยขาขวาที่ยกการ์ดขึ้นมาป้องกันก่อนจะใช้ขาข้่างนั้นเตะฟาดมาที่กลางลำตัวผม แรงปานกลางผมยกการ์ดป้องกันได้ เป็นคำตอบของเขาที่ต้องการบอกว่า




'กูหายแล้วโว้ย!'




ฝ่ายน้ำเงินที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ พลังที่เก็บไว้จากยกแล้วที่ยังไม่ได้ใช้ ถูกระเบิดออกมาในยกนี้ เขาเดินเข้ามาอย่างเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน ด้วยเชิงมวยที่เหนือกว่า ปิดจังหวะที่ผมจะสวนอาวุธเข้าไปได้ หมัดหนึ่งของคู่ต่อสู้พุ่งตรงเข้ามาปะทะขอบเบ้าตาซ้ายของผม ผมเซแต่ต้องรีบเก็บอาการ คู่ต่อสู้ไม่ไว้ใจ ไม่เดินเกมต่อทำให้ผมตั้งหลักได้




หมัดหน้าขวาที่พยายามจิ้มชิงจังหวะจากผม ผมป้องกันไว้ได้ทุกหมัด แต่ไม่แน่ใจว่าอาวุธชิ้นต่อไปที่จะถูกปล่อยมาเป็นอะไรกันแน่ ขาทั้งสองข้างของผมเตรียมตั้งรับไว้ ไม่กล้าก้าวไปเตรียมพร้อมตอบโต้ใดๆ หมัดฮุคฝ่ายน้ำเงินเสยเข้าไปคางผมสมบูรณ์แบบทุกจังหวะ...




"6..7.."




นั่นคือเสียงที่ผมได้ยิน ก่อนได้สติ ผมแพ้ไม่ได้ แม้มวยคู่ของผม ตัวผมเองจะถูกตั้งราคาให้เป็นรองถึง 1:3 แต่ว่าความหวังอันน้อยนิดนี้ จะทำให้ผมสามารถปลดแอกตัวเองและครอบครัวออกจากภาระหนี้สินทั้งหมดได้ จะว่าไปแล้วมันก็คือก้าวแรกในเส้นทางการชกมวยของผมเอง แม้ก่อนหน้านี้ผลการแข่งขันผมจะไม่เคยแพ้ใครเลยบนสังเวียนผืนผ้าใบ แต่นั่นมันเป็นเพียงคู่ต่อสู้ที่ไร้ฝีมือ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ คู่ชกคือ 'สมชาย ศิษย์ ส. สมหมาย' นักมวยที่ไม่เคยแพ้ใครมาติดต่อกัน 15 ยกแล้ว เป็นการชนะน๊อค 15 ครั้งรวด




เมื่อถึงเลข 7 สติทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนกรรมการต่างตกใจ และผู้ชมข้างสนามต่างโห่ร้องด้วยความนับถือ สิ่งแรกที่ผมหันไปมองเมื่อฟื้นขึ้นมาจากความฝันคือแววตาตาคู่นั้น มันยังฉายแววเปร่งประกายความมาดมั่นและดุดัน เหมือนในยกแรกที่ผมเคยเห็นมันมาแล้ว




เวลาน่าจะเหลือ 1 นาทีกว่า ผมเองต้องเอาตัวรอดตัวรอดจากยกนี้ไปให้ได้ก่อน




โชคชะตาพลิกผัน การเดินทางเข้าเมืองครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้ว ผมไม่เจอพี่เจ้าของร้านไหนๆใจดีอีก ทุกครั้งที่ผมไปขอข้าวร้านไหนกิน ถ้าไม่โดนด่าว่าขอทานก็โดนตราหน้าว่าโจร แต่ผมไม่ใช่ทั้งสองอย่าง บางที่ๆไปของานทำก็ถูกบ่นว่ายังเด็กไปบ้าง คนงานเยอะแล้วบ้าง จนผมต้องใช้ชีวิตข้างถนนอยู่หลายวัน เงินที่พกติดตัวมาน้อยนิดก็แทบจะไม่พอซื้อของกินแล้ว จนกระทั่งผมได้มาพบเพื่อนคนแรกของผมนับตั้งแต่เข้าเมืองมา




'ไอ่เปี๊ยก' เปี๊ยกเป็นเด็กเร่ร่อนมานานแล้ว อายุไล่ๆกัน เปี๊ยกเป็นเด็กต่างจังหวัดที่หนีมาพร้อมเพื่อนรุ่นพี่ เปี๊ยกเล่าให้ฟังว่ามันโดนหลอกให้ร่วมทางมาด้วยเพราะเปี๊ยกมีเงิน พอมาถึงในเมืองมันก็โดนฉกเงินไปหมด พร้อมถูกลอยแพไว้คนเดียวส่วนเพื่อนมันหลบหายไป แต่ไอ่เปี๊ยกมันสามารถเอาตัวรอดในเมืองได้ เพราะมันเร่รับจ้างชาวบ้านไปทั่ว จนเป็นที่รู้จักและไว้ใจได้




ผมติดตามไอ่เปี๊ยกไปทำงานรับจ้าง เงินที่ได้ก็พอกินไปวันๆ เปี๊ยกมันบอกว่าซักวันหนึ่ง มันจะเป็นเจ้าของกิจการร้านค้่าอะไรสักอย่างให้ได้ ผมเชื่อที่มันพูดเพราะเห็นมันรู้ทุกเรื่อง ทำได้ทุกอย่างที่เจ้าของร้านทำได้




อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเราสองคนไปรับจ้างถางหญ้าที่บ้านหลังหนึ่ง เราได้เงินค่าจ้างคนละ 100 บาท ทุกคนพอใจ ไอ่เปี๊ยกพาผมไปเดินเล่นค่ายมวยแห่งหนึ่ง ผมตามไปดูโดยที่ไม่รู้ว่าค่ายมวยเขาทำอะไรกัน




เหมือนชะตานำพาให้ผมเดินมาเจอในสิ่งที่ตัวเองเป็น ผมเห็นคนที่รู้จักไอ่เปี๊ยกเตะกระสอบทราย ผมเข้าไปขอให้ช่วยสอนเตะ ท่าเตะของผมมีแววจึงถูกเจ้าของค่ายมวยชักชวนให้มาซ้อมในค่าย ผมอยู่ที่นั่นทำให้มีชีวิตสบายขึ้น ไม่ต้องออกหาเร่รับจ้างอดมื้อกินมื้อ





ช่วงเวลาที่เหลืออีกแค่ไม่ถึง 1 นาที ผมกะขอให้แค่ประครองตัวเองรอดพ้นยกนี้ไปให้ได้ก่อน พลันนึกขึ้นได้ถึงคำแนะนำของพี่เลี้ยง นักมวยฝ่ายน้ำเงินยังเดินปรี่เข้ามาหาผม โดยคิดว่าผมจะถอยตั้งรับ แต่ผมยันเข่าไปกันนักมวยฝ่ายตรงข้ามไว้ ไม่ให้ประชิดตัวเข้ามา ได้ผล! นักมวยฝั่งตรงข้ามไม่สามารถเข้ามาประชิดตัว เพื่ออกอาวุธใส่ผมได้ แม้ฝ่ายน้ำเงินจะเงื้อหมัดแต่ก็โดนผมยันเข่าเข้าหน้าท้องให้กระเด็นออกไป พี่เลี้ยงยังบอกว่าให้เดินตีเข่าเข้าเล่นงานฝั่งตรงข้ามได้เลย เพราะคู่ชกมีจุดอ่อนตรงกลางลำตัว




ผมใช้เท้าขวาถีบเข้ากลางอกคู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้เซหงายหลังไปติดเชือก ด้วยความแรงทำให้เขาเด้งตัวออกมาจากเชือกโดยไม่ทันได้ตั้งการ์ด ผมกระโดดเข่าลอยเข้ากลางอกฝั่งตรงข้าม นักมวยฝั่งน้ำเงินไม่ล้มแต่ตัวงอเป็นกุ้ง



"เกร๊งๆๆๆ" ระฆังหมดยกที่ 4 ผมพอใจที่ยังรอดมาได้




นักมวยที่น้ำหนักใกล้เคียงกับผมในค่าย ผมสามารถเข้าคู่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ จนได้รับการฝึกฝนจนสามารถเป็นตัวแทนค่ายมวยออกชิงชัย




ผมสามารถทำเงินจากการเดินสายชกมวย ผมส่งเงินให้พ่อและแม่ทุกเดือนได้ และบ่อยครั้งผมพาไอ่เปี๊ยกไปเลี้ยงข้าว ชื่อเสียงเงินทองไม่ทำให้ผมหลงระเริง ผมยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะทุกครั้ง ฝึกซ้อมอย่างมีวินัย จนเหลือเงินเก็บมากพอที่จะช่วยไอ้เปี๊ยกสามารถเปิดร้านขายของชำได้ ตามฝันที่มันอยากมี




ระฆังยกที่ 5 ดังขึ้น ผมและเขาต่างไม่บุ่มบ่าม ไม่มีฝ่ายไหนอยากเพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่าย ยกนี้จึงเป็นยกแห่งการหยั่งเชิงกัน ฝ่ายน้ำเงินเว้นระยะเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้พ้นระยะเข่าลอยของผม เราทั้งสองต่างจ้องสายตาเข้าหากัน เมื่อผมมองเข้าไปสายตาของสมชายเป็นเหมือนเงาที่สะท้อนตัวผมเอง ผมเห็นตัวเองในเงาตาคู่นั้น ความลำบากในวัยเด็กทำให้ผมมีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งใดๆ ไม่ต่างกันกับสมชาย นักมวยส่วนใหญ่มักเดินเข้าสู่สังเวียนมวยเพราะความแร้นแค้น ผมไม่เคยเห็นนักมวยอาชีพคนไหนที่มีฐานะดีตั้งแต่เกิด แค่คนที่พอมีพอกินก็เลือกที่จะไปเล่นกีฬาชนิดอื่น




สมชายหยั่งเชิงด้วยการปล่อยหมัดหนึ่งสองเข้าที่การ์ดของผมอย่างตั้งใจ เหมือนเป็นการท้าทายให้ผมโจมตีบ้าง ผมไม่สนใจ ยังคงดูเชิงรอจังหวะจากฝ่ายตรงข้าม




ผมเดินตรงเข้าไปหาสมชายโดยพยายามยกเข่าขึ้นยันไว้ สมชายนักมวยฝ่ายน้ำเงินยังคงแขยงกับเข่าของผม ทำให้เขาถึงกับออกอาวุธไม่เป็น ไม่รอช้าผมเหนี่ยวกอดคอสมชาย คลุกวงในหมายฟันศอกเข้าปลายคิ้วซ้ายฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายตรงข้ามพยายามสอดหมัดเข้ามาแทรกไว้ ไม่เปิดโอกาสให้ผมเข้าทำได้ง่าย ผมพยายามเหนี่ยวแรงขึ้นแต่ฝั่งตรงข้ามพยายามสะบัดให้หลุด ผมพยายามใช้ลูกไม้เดิม ใช้แรงเหวี่ยงคู่ต่อสู้ให้ล้มลงไป แต่คราวนี้ไม่ง่าย ฝ่ายตรงข้ามเว้นระยะห่างไว้จนผมไม่สามารถส่งแรงจากไหล่ได้ สมชายพยายามยกเข่าซ้ายขึ้นยัน เพื่อให้ผมออกอาวุธไม่ได้ ด้านล่างยังนัวเนียจนผมลืมปัดป้องด้านบน ศอกซ้ายสะบัดเข้าเต็มปลายคิ้วขวาผม แรงจากศอกของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เราทั้งสองสลัดหลุดออกมาจากวงใน สมชายได้ใจจากการฟันศอกเข้าเป้า ยังตามเข้ามาใช้ขาซ้ายกระหน่ำแข้งเข้ามาที่ชายโครงผมอย่างเต็มแรง ผมเก็บอาการจุกไว้โดยเร็วก่อนจะยกขาขึ้นป้องลำตัว แต่หมัดฮุดซ้ายยิงเข้ากระทบปลายคาง ทำให้ผมตัวลอยไปติดเชือกก่อนจะล้มไปนอนกับพื้นอีกครั้ง



"1..2..3..4..5..6..7.."




เมื่อผมมีอายุได้ 18 ปี ผมกลับไปหาพ่อและแม่ยังบ้านเกิดของผม ผ่านมาเกือบ 6 ปีที่ผมส่งเงินให้ทางบ้านเพื่อไปลงทุนทำนา ปีหลังๆที่ผมจากมานั้นฝนฟ้าเป็นใจ ทำนาได้ทุกปีมีเงินค่าเหนื่อยบ้าง เมื่อกลับบ้านสิ่งที่ผมเห็นคือบ้านปูนหลังใหญ่ 2 ชั้น สร้างไปเกือบเสร็จแล้ว ผมถามพ่อว่ามันมาได้อย่างไร




"ข้าไปกู้เงินจากธนาคารมาสร้างบ้าน เอาที่นาและตัวบ้านไปจำนอง"




พ่อผมบอกที่มาของเงิน ผมเข้าใจดีว่าใครๆก็อยากมีบ้านสักหลังในชีวิต แต่ที่ไม่เห็นด้วยคือขนาดที่มันใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าพวกเรา 3 พ่อแม่ลูกจะอยู่ครบทุกตารางนิ้ว




"ไหนๆก็สร้างแล้ว ทำทีเดียวไปเลย ถ้ามาต่อเติมทีหลังมันจะหมดเยอะ ผู้รับเหมาเค้าว่างั้น"




ยังไม่ทันจะเริ่มส่งงวดแรกของเงินที่กู้มาทำบ้าน พ่อก็ค้างชำระค่างวดมาแล้ว 7 งวด เหตุเพราะเงินก้อนที่อยู่ในธนาคาร ถูกถอนออกมาซื้อของตกแต่งบ้านตามคำแนะนำของผู้รับเหมา จึงไม่เหลือเงินสำรองใช้ เหมือนฟ้าแกล้ง ปีนั้นทำนาไม่ได้ตามเป้า เงินที่ผมส่งให้ประจำก็ไม่พอจ่าย ความหวังเดียวในครั้งนี้ของผมคือ ใช้เงินเก็บที่พอเหลือติดตัวเป็นเงินก้อน ไปวางเดิมพันที่ข้างตัวเอง หากผมชนะผมจะได้เงินจำนวนที่มากพอจะไปจ่ายค่างวดธนาคารที่ค้างไว้ได้ครบ 7 งวด ผมไม่ยอมที่จะให้เลข 7 เปลี่ยนไปเป็นเลข 8 ได้



ผมลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อกรรมการนับถึง 7 ผมใช้เวลา 2-3 วินาทีเดินเข้ามุมเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา ก่อนจะเดินเข้าไปกลางเวที แววตานักชกฝ่่ายน้ำเงินเพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เมื่อส่งผมลงไปนอนได้




ผมตั้งสมาธิก่อนที่จะค่อยๆก้าวเข้าไปในการต่อสู้อีกครั้ง หมัดซ้ายขวาของคู่ต่อสู้ยังกระหน่ำมาไม่ขาดสาย ผมใช้หมัดปัดป้องได้ครบ คู่ต่อสู้เตะซ้ายสูงหมายปิดเกม แต่ผมก็ยังป้องกันมันได้ ตอนนี้ในหัวไร้กระบวนยุทธใดๆ แค่ให้เวลารีบหมดยกก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่




"เกร๊งๆๆๆ" ระฆังหมดยกที่ 5 ร่างกายผมอยากจะยอมแพ้ แต่จิตใจที่ถูกสภาวะภายนอกกดดันให้ยังแข็งใจ




ผมกลับบ้านไปรอบนั้น แม้ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจะหรูหราน่ามองเพียงใด แต่ความหนักใจจากหนี้สินที่ผมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ความ 'มี' ในครั้งนี้มันกลับมาแทะกินกำลังใจจากผมไปเกือบหมดสิ้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังพอทำให้สบายใจขึ้นมาได้บ้างคือ ผมสามารถตอบสนองความต้องการของพ่อและแม่ได้บ้าง




"เดือนนี้เดือนสุดท้ายแล้วนะ ธนาคารมาเตือนแล้ว"




เสียงส่งท้ายดังลอยมา เมื่อผมก้าวท้าวเดินออกจากบ้าน




หลังจากพี่เลี้ยงให้คำแนะนำผมแล้ว ให้น้ำพร้อมนวดกล้ามเนื้อเสร็จ ใกล้ถึงเวลาเริ่มยกที่ 6 พี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่เดินลงจากเวที ทันใดนั้นไอ่เปี๊ยกเดินสวนขึ้นมากระซิบข้างหูผม ข้อความที่มันบอก สร้างกำลังใจให้ผมเดินออกไปกลางสังเวียนผ้าใบ



ระฆังยกที่ 6 ดังขึ้น แต่เสียงระฆังยกนี้ดังกังวาลเข้าภายใต้จิตใจในส่วนลึกของผม




เมื่อสิ้นสุดท่าทางให้เริ่มชกของกรรมการ นักมวยฝ่ายซ้ายเดินปรี่เข้ามาชิงจังหวะด้วยหมัดซ้ายตามเคย แต่ความแรงของหมัดทำให้ผมเซถอยเล็กน้อยแม้จะรับด้วยการ์ด สมชายไม่ปล่อยให้เวลาเสียไป เขายังกระหน่ำทั้งแข้งและหมัดเข้าใส่ผม ผมได้แต่ตั้งการ์ดรัดกุมไว้ ผมถอยออกมานิดนึงก่อนค่อยคลืบเท้าก้าวเข้าไป




ผมสวนหมัดขวาทะลวงระหว่างการ์ดเข้าไปปะทะเต็มหน้า นักมวยฝ่ายน้ำเงินหน้าหงาย ผมไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่า หมัดซ้ายตรงเข้าลำตัวเต็มแรง ก่อนจะตามด้วยหมัดฮุคซ้ายขวาเข้าเต็มคางทั้งสองข้าง อาวุธที่ปล่อยออกมาเข้าเป้าทุกเม็ด แต่สีหน้าฝ่ายตรงข้ามไม่แสดงความรู้สึกเจ็บปวดอะไรออกมา แม้แต่แววตาก็ไม่เว้น แต่กลับสวนคืนมาด้วยหมัดขวาตรงเข้าเต็มเบ้าตาซ้ายของผมอย่างเต็มแรง




ตาซ้ายผมเห็นภาพบีบแคบลงมา เนื่องจากเปลือกตาเริ่มปิดแล้ว การ์ดทั้งสองข้างผม ยกขึ้นมากุมข้างศรีษะอย่างรัดกุม เท้าทั้งสองข้างผม ค่อยๆสืบเท้าถอยออกห่างจากคู่ต่อสู้ ที่ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามา ผมพยายามยิงหมัดตรงใส่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อลดความเร็วในการก้าวเข้ามา แต่ไม่เป็นผล สมชายยังคงก้าวรุกเข้ามาและพยายามอัดหมัดฮุดซ้ายเข้าที่แก้มขวาของผมอีก




สายตาผมลอยตามแรงหมัดที่ปะทะเข้าโหนกแก้มขวา ผมหน้ามืดไปชั่วขณะจากแรงหมัด พอเรียกสติกับคืนมาได้ผมกลับมายืนตั้งหลักอีกครั้ง แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นเท้าซ้ายของสมชายลอยเข้ามาบริเวณก้านคอ นั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นในขณะที่ยังมีสติ




พี่เลี้ยงค่อยๆประคองตัวผมให้คอตั้งตรงขึ้น สติผมฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง เสียงเรียกชื่อผมซ้ำดังเข้ามาในโสตประสาทของผม รอบข้างบนสังเวียน สมชายเดินเข้ามาดูอาการของผม ก่อนผมสบสายตาเป็นเชิงขอบคุณ แม้ตาจะเห็นภาพภายนอก แต่สิ่งที่ลอยมาในหัวของผมตอนนี้คือ บ้าน ที่นา พ่อและแม่ของผม




ผมนอนพักผ่อนในบ้านหลังใหญ่ ส่วนพ่อและแม่กำลังเตรียมไถผืนนาด้วยรถไถคันใหม่ ผมกำลังรอให้ถึงเวลาที่ผมนัดหมายกับใครคนหนึ่งไว้ ในที่สุดคนที่ผมกำลังรอก็นำรถกระบะคันใหญ่มาจอดไว้หน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มค่อยๆดับลง คนที่ผมรอคอยปิดประตูรถเสียงดัง เป็นสัญญาณให้ผมเดินลงจะเรือนไปหาเขา



"สวัสดีครับพี่สมชาย"



ผมยกมือไหว้ ก่อนสมชายจะเดินมาแตะไหล่ผม



"นี่ ตามสัญญา"



สมชายยื่นซองกระดาษสีน้ำตาล ข้างในบรรจุเงินปึกหนาจำนวน 3 แสนบาท



"วันนั้นถ้าน้องไม่ล้มมวยให้พี่ พี่เริ่มไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน ยังไงก็ขอบใจมากนะ"



"ก็ช่วยๆกันน่ะพี่ ลำพังเงินจากทางค่ายก็ไม่พอค่าใช้จ่าย เลยต้องหาเงินทางอื่นบ้าง"



"เอาน่าๆ เมื่อก่อนพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าล้มมวยแล้วมันทำเงินดีขนาดนี้ใครๆเค้าก็ทำกัน"



"ผมก็มีความฝันว่าสักวันจะเป็นผู้ชนะ ในการชกกับนักมวยที่มีชื่อเสียงบ้าง"



ผมพูดถึงความฝันของนักมวยหลายๆคน รวมถึงน่าจะเป็นฝันของสมชายด้วย




"นักมวยฮีโร่มันตายไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้มันเป็นธุรกิจมวย ระบบผลประโยชน์ มันทำให้นักมวยที่มีอุดมการณ์มันตายไปหมด หากอยากจะอยู่ในวงการนี้ได้นานๆเราต้องต่อยตามใบสั่งให้เป็น หากทำได้ตามนั้นก็จะมีคนดันเราให้ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้"




สมชายพูดอธิบายถึงความเป็นไป ผมนึกถึงสถิติชนะน็อค 16 ครั้งของเขาที่ขึ้นหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ตัวเลข 16 นี้ต้องจ่ายเงินไปแล้วจำนวนเท่าไหร่ สมชายขึ้นรถกระบะคันใหญ่ก่อนสตาร์ทรถและขับมันออกไป




ผมยังนึกถึงคำพูดของไอ่เปี๊ยกที่มากระซิบข้างหูผม ในตอนก่อนจะเริ่มชกในยกที่ 6 เมื่อวันนั้นว่า



วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นิพพานที่ต่างกัน





ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง กระแสสังคมสมัยใหม่พัดไหลเชี่ยวทะลายกำแพงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน หนังละคร เพลงสมัยนิยมหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การควบคุม เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมีการแสดงที่เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเข้ามาเสริมในงานวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี



"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น



"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้

_________________

หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก



โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน



"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"



หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง

เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที



"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"



"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"



"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"



เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ



"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"



ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ



"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"



"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"



หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า



"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."



เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ



"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"



เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว



"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง



"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"



ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง



"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"



เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม



"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"



ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า



"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"



แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน



______________________





เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้



อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว



บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน



เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า



ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน



"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"



เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย



"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"



อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก



"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"



เจ้าอาวาสเอ่ยถาม



"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้นหนทางแห่งนิพพานเลย สู้ออกมาเป็นฆราวาสยังพอจะหลบหลีกหนีหาหนทางสงบได้ง่ายกว่า"







อดีตเจ้าอาวาสอธิบาย



"สิ่งที่โยมพูดก็มีเหตุผล ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็เป็นได้แค่เพียงยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ พอเริ่มไม่สบายนิดหน่อยก็หายาพวกนี้มากินเม็ดสองเม็ดเพื่อให้อาการบรรเทาลง เจ็บป่วยอีกก็กินยาอีกโดยไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอย่างแท้จริง เหมือนกับที่ไม่ยอมฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้อาตมาเองก็คงไม่คาดหวังที่จะให้คนทุกคนที่มาวัดนั้นได้ซึมซับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงหรอก คงจะมีแค่บางส่วนที่สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้บ้าง ส่วนที่เหลืออาตมาก็คิดว่าคงเป็นได้แค่ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็พอแล้ว"



เจ้าอาวาสเสริม



"มันก็คงเหมือนกับแนวคิดบัวสี่เหล่า เราคงไม่สามารเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลวงพ่อจำตอนที่องค์ชายมีคนรักเป็นหญิงสาวชาวป่าได้หรือไม่ครับท่าน"



อดีตเจ้าอาวาสถามเจ้าอาวาส



"อืมมม! องค์ชายและหญิงสาวชาวป่าคงจะเป็นคู่ที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน จึงทำให้ทั้งสองเป็นคู่แท้ซึ่งกันและกัน แม้แต่ยศถาบันดาศักดิ์ที่ต่างกันก็ไม่สามารกีดขวางความรักของทั้งคู่ได้ เอ๊ะ! ถามแบบนี้หรือว่าโยมกำลังคิดจะแต่งงาน"



เจ้าอาวาสถามกลับ



"ใช่แล้วหลวงพ่อ แต่ผมอายุปูนนี้แล้วคงจะไม่จัดงานพิธีอะไรให้วุ่นวายหรอกครับท่าน"



"อืมมม! อาตมาเข้าใจแล้ว คนแต่ละคนก็มีวิถีที่ต่างกัน แม้จุดมุ่งหมายจะเหมือนกัน นิพพานที่ต่างกัน"





อดีตเจาอาวาสกราบลาเจ้าอาวาสก่อนที่จะเดินออกจากโบสถ์ไป

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...