แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรักความปรารถนา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรักความปรารถนา แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Candy Crush Saga เกมเชื่อมใจ


และแล้วในที่สุดผมก็แซงทุกคนได้แล้วบนถนนสายนี้ ถนนที่ว่านี้ไม่ใช่ถนนหลวงหรอก ผมไม่ได้ขับขี่รถราแข่งอะไรกับใคร ถนนสายที่ผมพูดถึงนี้มันคือแผนที่ในเกมแคนดี้ ครัชที่เล่นผ่านเฟซบุ๊คต่างหากล่ะ เกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกน่าจะหลักพันล้านคนเข้าไปแล้ว แต่เราเองไม่ได้ไปเล่นแข่งกับคนพันล้านกว่าคนนั้นหรอก เราแข่งกับเฉพาะเพื่อน ๆ ของเราที่เล่นเกมนี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเริ่มแรกผมเห็นเพื่อน ๆ ผมหลายคนในเฟซบุ๊คเล่นเกมนี้ บางคนก็ค่อย ๆ ผ่านด่านไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ผ่านในแต่ละเอพพิโสดไป แต่พอผ่านไปนานวันเข้าเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มหยุดเล่นกัน ไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านด่านอีกต่อไป หรืออาจจะเป็นว่าด่านหลัง ๆ ที่ออกมาใหม่จะยากเกินไปจนคนท้อไปเอง พวกเขาบางคนอาจจะไปหาเกมใหม่ ๆ มาเล่นก็ได้ จนกระทั่ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเพื่อน ๆ คนไหนขยับเข้ามาใกล้รัศมีสิบเอพพิโสดของผมเลย ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลายเดือนก่อนเธอคนนี้เคยผ่านด่านนำหน้าผมไปสามเอพพิโสด เมื่อผมเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมมีแรงฮึดที่จะพยายามเอาชนะและไล่แซงเธอให้ได้

มีความลับหนึ่งที่ผมอยากจะบอก คือที่ผมสามารถตะลุยผ่านด่านมาได้สองพันห้าร้อยกว่าด่านนี้โดยนำคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น นั่นเป็นเพราะผมใช้วิธีโกงเวลา เพราะในเกมแคนดี้ ครัชนี้จะมีหัวใจให้เราใช้เล่นห้าดวง หากเล่นแพ้ในแต่ละเกมก็จะเสียไปหนึ่งหัวใจ หากแพ้ห้าเกมหัวใจก็จะหมด เราต้องรอเวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อจะได้หัวใจมาหนึ่งดวง ผมจึงไปแก้เวลาของสมาร์ทโฟนให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เท่านั้นเองหัวใจเราก็จะเต็ม เราก็สามารถไปแก้เวลากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งตอนนั่งรถเมล์ ตอนกำลังกินข้าว ก่อนเข้านอน หรือจะเป็นตอนแอบเจ้านายเล่นในที่ทำงานก็ตาม
และจากการตรากตรำตะลุยเล่นมาราธอนของผมนั้น ทำให้มีครั้งหนึ่งผมสามารถเล่นแซงเธอได้สำเร็จ เมื่อนั้นเราสองคนก็ผลัดกันแซงผลัดกันตามอย่างไม่มีใครยอมใครเลย บางครั้งผมเห็นเธอหยุดเล่นนานหลายวันไม่ขยับไปไหน แต่พอผมเล่นผ่านด่านจี้เข้าไปใกล้เธอ ปรากฏว่าเธอเล่นผ่านไปอีกสิบด่านรวดอย่างไม่ยอมให้ผมตามเธอทัน ผมคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชายโสดอย่างผมเลยครับ ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ เขาบ้าง ได้หัวเราะได้ลุ้นตามอยู่หน้าจอโทรศัพท์อยู่คนเดียว ได้แอบเฝ้าคิดว่าผมและเธอนั้นได้รู้จักสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
ใช่ครับ ผมไม่รู้จักกับเธอ ไม่เคยคุยไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยทักแชทกับเธอเลยสักครั้งเดียว สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอนั้นคือรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะดูจากรูปโปรไฟล์ ผมจำไม่ได้ว่าผมรับแอดเธอเป็นเพื่อนจากที่ไหน อาจจะเป็นกลุ่มอะไรสักอย่างที่ผมชอบเข้าไปอ่านนู่นอ่านนี่ตามประสา และในตอนนั้นเธอก็กดรับผมเป็นเพื่อนโดยที่เราทั้งสองก็ไม่ได้คุยแนะนำตัวอะไรกัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธอแทบจะทุกวัน ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอว่าในแต่ละวันเธอจะทำอะไรบ้างนะ อยากรู้ว่าเจ้าของไทม์ไลน์จะไปเช็คอินที่ไหน ไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ กับใครบ้าง อยากรู้ว่าเธอคนนั้นมีไลฟ์สไตล์แบบไหนกัน แต่น่าเสียดายที่เธอคนนี้เป็นคนที่ไม่โพสท์เรื่องส่วนตัวลงในเฟซบุ๊คเลย ล่าสุดที่เธอโพสท์เรื่องส่วนตัวก็เป็นงานเลี้ยงที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานหลายปีมาแล้ว

ผมแปลกใจที่ทำไมผมต้องคิดถึงเธอด้วยนะ ผมมัวแต่เฝ้าคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ อาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้ หรืออาจจะเลิกเล่มเกมนี้ไปแล้วเพราะรู้สึกท้อกับความยากของเกม แล้วถ้าหากเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเธอล่ะ จนทำให้เธอไม่มีแก่จิตแก่ใจมาเล่นเกม ไม่รู้สินะ มันอาจจะเป็นเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมให้กำลังสนใจ เพราะในชีวิตประจำวันของผมนั้นมันช่างซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่ายจนชวนจะอาเจียนเสียด้วยซ้ำ
อาชีพของผมคือเป็นยามเฝ้าหน้าหมู่บ้าน คอยเปิดเหล็กกั้นให้รถที่ผ่านไปมาและยังต้องทำท่าตะเบ๊ะให้ผู้ขับขี่ทุกคนอีกด้วย พอเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับห้องพักเล็ก ๆ ที่ผมเช่าไว้ไม่ไกลจากที่ทำงาน ชีวิตหลังเลิกงานของหนุ่มโสดที่ไม่ค่อยจะมีเงินนั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ บางวันหลังจากง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นและกินมันก็เป็นเวลาว่างที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายของผมไป จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ผมไปซื้อสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงมาใช้และได้ดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่น นั่นทำให้ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อของผมนั้นถูกฆ่าตายไปอย่างมากมาย จนผมไม่เหลือช่วงเวลาเหล่านั้นให้ต้องนั่งทรมานกับมันอีกแล้ว
ความจริงแล้วการเล่มเกมที่แข่งขันเรื่องสถิติกับผู้อื่นมันควรจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นสิ ผมคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องคิดถึงผมอยู่บ้างแหละ เพราะเราก็ยังเห็นกันและกันว่าใครเล่นไปถึงด่านไหนแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายแซงก็พยายามแซงคืน ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ ที่เธอยังคงเล่นเกมแคนดี้ ครัชในก่อนหน้านี้โดยที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย หรือว่าบางทีอาจจะมีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊คของเธออีกหลายสิบคนที่กำลังเล่นแข่งกับเธออีกก็เป็นได้ ส่วนตัวผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ใช่สินะ เพราะเพื่อน ๆ ผมในเฟซบุ๊คมีแค่ประมาณสี่ห้าสิบคน แต่เพื่อนของเธอมีหลักพันขึ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกกระสับกระส่ายหัวใจกับการหายตัวไปของเธอ แต่ผมก็คงจะทำได้แค่เพียงเล่นเกมนี้ต่อไป และเข้าไปดูว่าอันดับของเธอขยับบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่ขยับเลย ผมยังเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีก แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเช่นกัน ผมพยายามข่มใจเล่นเกมโดยไม่นึกถึงเธอ

หลายสิบวันมานี้ผมทำกิจวัตรเหมือนทุก ๆ วันโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย คงมีแต่หัวใจที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวลถึงเธอคนนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ ทำไมไม่ลองทักเธอไปทางกล่องข้อความดูนะ แต่จะเริ่มบทสนทนาว่าอะไรดีล่ะ หรืออาจจะแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปน่ารัก ๆ ไปก็พอ แต่นั่นจะทำให้เธอตกใจและบล็อกผมไปหรือเปล่าล่ะ ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีกครั้ง และโพสท์ล่าสุดของเธอก็ยังเป็นงานเลี้ยงในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอจะยังทำงานอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เมื่อสังเกตป้ายผ้าที่อยู่ในภาพดี ๆ ผมเห็นโลโก้ของโรงงานเป็นรูปฟันเฟืองซ้อนกันสองอัน เห็นชื่อของโรงงานลาง ๆ ไม่ชัดเจน เห็นแค่ตัวอักษรสองสามตัวหน้า และในป้ายผ้านั้นทำให้ผมรู้ว่าโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลวกแดง จังหวัดระยอง
หัวใจของผมพองโตเป็นสองเท่าจากเดิม แต่สักพักมันก็กลับมาห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม ขนาดแค่จะทักไปทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คยังไม่กล้า แล้วนี่จะไปตามหาถึงโรงงานที่เธอทำงานอยู่  ผมอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาโรคจิตก็เป็นได้ จะทำอย่างไรดีล่ะ จะไปหาเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวหรือเปล่า เบาะแสมีแค่โลโก้โรงงานพร้อมตัวอักษรชื่อไม่กี่ตัว สถานที่พอรู้คร่าว ๆ รูปหน้าของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว อ้อ... ยังมีชื่อจริงของเธออีกทีใช้เป็นชื่อในเฟซบุ๊ค หากเธอไม่ใช้ชื่อปลอมมาเล่นนะ ผมพยายามสะกดชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษของเธอด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผม ผมแกะชื่อ Chutima Khunpraman แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรดี
ผมยังไม่รีบเดินทางไปตามหาเธอทันทีหรอก ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก คงได้แค่คิด
“จะให้ผมแลกเวรกับไอ้เวย์หรือครับหัวหน้า” ผมพูดเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปคุย
“ใช่ พอดีมันมีธุระต้องกลับต่างจังหวัด จะขอแลกเวรแกสองเวร ทำไหวมั้ย” หัวหน้าตอบ
ผมกำลังคิดว่าถ้าแลกตามนี้ ผมจะได้หยุดงานต่อเนื่องสองวัน และถ้าผมขอแลกเวรช่วงวันหยุดเพิ่มนั้นด้วยอาจจะได้หยุดถึงสามวัน ข้อเสนอนี้ก็ดีเหมือนกันผมอาจจะได้หยุดพักผ่อนยาวไปเลย หรือว่าบางทีผมอาจจะไปตามหาเธอดูดีนะ

เมื่อมาถึงวันหยุดยาวของผมที่ผม สรุปว่าผมได้หยุดยาวสามวัน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้เลยว่าจะเอายังไงดี จะหยุดพักผ่อนหรือจะลองนั่งรถไปปลวกแดงดี ใจหนึ่งก็คิดว่าก็ถือว่าไปเที่ยวล่ะกัน หากเปลี่ยนใจหรือหาโรงงานของเธอไม่ได้ก็คงจะหาที่เที่ยวแถวนั้นได้ เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็เก็บกระเป๋าไว้รอเตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า
ตื่นเช้าผมรีบนั่งรถเมล์ไปสถานีขนส่ง นั่งรถต่อไปจากตรงนี้ก็ประมาณสี่ชั่วโมงเองก็ถึงตัวจังหวัด และต่อรถไปปลวกแดง
เมื่อก้าวเท้าลงรถเหยียบอำเภอปลวกแดง นั่นทำให้ผมถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว ผมมองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา รถวิ่งไปมา และผมก็เหลือบไปเห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ
“ไงไอ่หนุ่ม จะไปไหน” ลุงวินถาม
ผมยังไม่รู้จะถามอะไรดี จึงลองหยั่งเชิงไปก่อน “ถ้าจะไปแถวที่มีโรงงานเยอะ ๆ ต้องไปแถวไหนครับ”
ลุงวินฉีกยิ้มกว้าง “จะมาหางานทำเหรอ จะไปโรงงานอะไรล่ะ”
ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิดรูปภาพของเธอขึ้นมา พยายามซูมไปให้เห็นเฉพาะโลโก้ของโรงงาน แต่ก็ยังติดภาพใบหน้าของเธอไปด้วย
“ผมไม่ได้มาหางานทำหรอกครับ” ผมพูดความจริง
ลุงวินจ้องมองดูภาพในหน้าจอและก็ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง “มาตามหาแฟนเหรอ”
จากนั้นลุงก็หุบยิ้มเหมือนสะเทือนใจ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เผลอพยักหน้าไปเล็กน้อย
“ลุงรู้จักโรงงานแห่งนี้ ไปจากนี่ไม่ไกลหรอก”
หัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ความดีใจก็มาพร้อมกับความประหม่าด้วย เฝ้าคิดกังวลว่าถ้าไปถึงโรงงานแล้วจะทำอย่างไรต่อนะ แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ ผมยังคงทำหน้าหงอย ๆ อยู่
“ลุงคิด 30 บาทละกัน ลุงเห็นแบบเอ็งมาเยอะแล้ว” ลุงพูดเสร็จก็สตาร์ทรถพาผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานลุงวินก็มาจอดรถหน้าโรงงาน ผมจ่ายเงินและพูดขอบคุณลุง จากนั้นผมมองไปยังประตูทางเข้าที่มีตู้ยาม ผมไม่รู้จะผ่านเข้าไปในรั้วโรงงานได้อย่างไร
“มาติดต่ออะไรครับ” ยามชะโงกหน้าออกมาจากป้อมถามผมที่ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ
“พอดีมาสมัครงานครับ นัดสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลไว้” ผมตอบพลางชมตัวเองอยู่ในใจว่าไหวพริบดีนะเนี่ย
“ผมขอแลกบัตรด้วยครับ” ยามในป้อมพูดเสร็จก็ก้มหยิบบัตรจากซองเอกสารขึ้นมา ผมหยิบบัตรประชาชนแลกกับเขาไป เมื่อได้บัตรมาแนบติดหน้าอกผมก็ทำท่าจะเดินจากไป
“แผนกฝ่ายบุคคลอยู่ชั้นสองตึกเอครับ” ยามประจำป้อมพูด ผมหันมาขอบคุณเขาก่อนที่จะเดินต่อ
ผมเดินเข้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาโดยไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครงานหรือสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่หน้าห้องฝ่ายบุคคลมีบอร์ดขนาดใหญ่พร้อมป้ายรูปพนักงานตามระดับชั้นแปะอยู่ ผมคิดว่านี่คือด่านแรกที่จะตามหาเธอได้ หากว่าเธอจะมีรายชื่ออยู่ในนั้น
ชุติมา ขุ่นประมาณ ผมไล่ดูภาพของพนักงานจากทุกระดับ และก็มาสะดุดกับใบหน้าของบุคคลในชื่อนี้ มันเป็นเหมือนกับความสำเร็จในการค้นหาที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเจอ ผมไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ คนที่เห็นอยู่ในเกมที่แค่เล่นแข่งกันไปวัน ๆ ไม่เคยคุยไม่เคยทักทายกันเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอคนนั้นกับอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว
เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล ซึ่งถ้าหากผมอยากจะเจอเธอจริง ๆ ผมคงต้องมาสัมภาษณ์งานกับเธอ แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกับคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อน ผมจะมาสมัครงานอะไรที่นี่ได้ล่ะนอกจากตำแหน่งยาม
แต่คิดไปคิดมา จุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการที่จะรู้แค่ว่าเธอสุขสบายดีอยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ใช่เหรอ ให้ได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรไป การที่เธอยังมีรูปแปะที่หน้าบอร์ดนี้ก็คงจะทำให้แน่ใจได้แล้วว่าเธอยังสุขสบายดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมแอบกังวลใจก่อนหน้านี้ มันก็ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วสินะ ผมควรจะกลับได้แล้ว

ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ อีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีก็จะพักเที่ยงแล้วนี้ อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คงจะกรูกันออกมา ไม่แน่นะว่าบางทีเธออาจจะเดินผ่านผมไปก็ได้ ภาพใบหน้าที่เคยเห็นแต่ในรูปและจินตนาการกำลังจะกลายเป็นภาพคนจริง ๆ ออกมาให้ผมเห็น
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนยากที่จะข่มใจให้เย็นลงได้ ยากเกินกว่าที่จะบังคับจิตใจให้เดินหันหลังกลับออกไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ใจหนึ่งก็อยากจะยืนรอคนที่ผมอยากเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าผมจะทำหน้าอย่างไรดี จะค่อย ๆ แอบมองดีไหมนะ หรืออาจจะทำเป็นแกล้งชะเง้อมองหาใครสักคน และแอบลอบมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นมองคนอื่นต่อไป
ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมตัวทัน บานประตูห้องเปิดออก พนักงานสาวหลายสิบคนทยอยกันเดินออกมา ผมยังคงเป็นทำทีมองที่บอร์ดหน้าห้อง แต่ก็พยายามสลับหันไปมองคนที่กำลังเดินตรงออกมาจากประตู จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อหลาย ๆ คนเดินผ่านไปโดยที่ยังไม่พบเป้าหมาย
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนผมอยากจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเสียงปิดประตูดังทำให้ผมใจหาย คงจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินออกไปจากสถานที่ตรงนี้แล้ว ผมบ่ายหน้าออกไปโดยไม่พยายามหันไปมองทางต้นเสียงนั้น แต่ทว่าเสียง ๆ หนึ่งกับหยุดความคิดทั้งหมดของผมไว้
“มาสัมภาษณ์งานหรือคะ”
เสียงใสแว่วดังมา ผมหันไปมองหน้าเธอ
“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมมาสัมภาษณ์งาน”
สิ้นเสียงพูด ผมรู้สึกตำหนิตัวเองว่าทำไมจะต้องไปย้อนถามเธอนะ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน แล้ววันนี้ช่วงบ่ายเราเปิดนัดสัมภาษณ์งานค่ะ แต่ เอ... ดูหน้าคุณคุ้น ๆ จังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ”
หญิงสาวคนที่ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มายืนพูดคุยกัน แต่ตอนนี้เธอยืนต่อหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และคำพูดที่บอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจจะเห็นรูปโปรไฟล์ของผมและจำมันได้ นั่นหมายความว่าเธอและผมนั้นแข่งกันเล่นเกมจริง ๆ ผมไม่ได้นั่งคิดไปเองคนเดียว
มาถึงตรงนี้ผมคิดแล้วล่ะว่า ความรู้สึกในตอนนี้มันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เคยขึ้นในรอบหลายปีมานี้ ผมคงจะเดินออกจากตรงนี้แล้วนั่งรถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้วล่ะ ความฟุ้งซ่านและพะว้าพะวงก่อนหน้านี้มันได้หายไปหมดสิ้นแล้วนี่
“ผมคงจะหน้าโหลมั้ง ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานหรอกครับ พอดีแค่มาหาดูประกาศตามโรงงาน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มเธอยังไม่จาง แต่ผมต้องละสายตาจากเธอแล้ว ไม่รอช้าผมเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากตึก

ร้านอาหารยามค่ำคืนในบรรยากาศสดชื่น ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักหรอก คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้ ผมพยายามนั่งฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นเพลงเบา ๆ อยู่บนเวที หูของผมได้ยินเสียงนั้นแต่ทว่าสมองไม่สามารถแปลความหมายของเพลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั่งในโต๊ะคนเดียว มีอาหารสำหรับคน ๆ เดียว เครื่องดื่มสำหรับคน ๆ เดียว และบทสนทนาสำหรับคน ๆ เดียว นั่นก็คือความเงียบนั่นเอง สาเหตุที่ไม่รู้ว่าวงดนตรีนั้นร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นเพราะใจของผมมัวแต่คิดถึงเธอคนนั้น
น่าแปลกทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าการที่ได้มาเจอเธอ ได้ยินเสียงพูดของเธอนั้นควรจะทำให้ผมโล่งใจ เพราะความคาดหวังในการมาที่นี่ก็มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ แต่นี่ผมกลับว้าวุ่นใจมากขึ้นเป็นเพราะเหตุใดกัน หรืออาจเป็นเพราะว่ารอยยิ้มและ อัธยาศัยที่เธอมอบให้มันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน แม้ช่วงเวลานั้นมันจะแค่สั้น ๆ ก็ตาม
ในหัวของผมคงมีแต่ใบหน้าของเธอหรอกหรือ แม้แต่ลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านผมยังมองเห็นเป็นหน้าของเธอเลย ให้ตายสิครับ!
แต่ เอ๊ะ... นั่นมันเธอจริง ๆ นี่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้เธอมองเห็น แต่ไม่สำเร็จ เธอปลีกตัวจากเพื่อน ๆ ที่เดินมาด้วยกันและเดินมาทางผมแล้ว
“อ้าว... คุณนี่เอง”
“อ่ะ... ครับ สวัสดีครับ” ผมเลี่ยงตอบไม่ได้
“มาคนเดียวหรือคะ” เธอถามพร้อมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผม แต่เรื่องนี้ผมยินดีอยู่แล้ว และความจริงผมเขินอายเกินกว่าที่จะเชิญเธอนั่ง
ผมก้มหน้าลงมองบนโต๊ะที่มีอาหารสำหรับคนเดียวก่อนจะพูด “ผมมาคนเดียวครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเคยเห็นรูปหน้าคุณในเอกสารสมัครงาน แต่ว่ามันไม่ใช่ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณจากที่ไหน” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มใส
หัวใจผมเต้นแรงยิ่งขึ้นจนต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำมาจิบ แต่นั่นคงจะทำให้ผมยิ่งดูประหม่ายิ่งขึ้นจนเธอสังเกตได้โดยง่าย
“คุณเคยเห็นผมที่ไหนเหรอครับ” พูดเสร็จผมก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
“เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คยังไงคะ และคุณก็เล่นเกมแคนดี้แซงหน้าฉันไปไกลแล้วด้วย”
ผมแทบจะสำลักน้ำเพราะสิ่งที่เธอพูด ยังไม่วายมีน้ำกระฉอกออกมาทางจมูกนิดหน่อย ผมรีบหยิบผ้าเช็ดปากที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ทำทียกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก แต่ความจริงต้องการเช็ดน้ำที่ออกมาจากรูจมูกต่างหากเล่า ผมอยากจะถามใจจะขาดว่าทำไมเธอถึงหยุดเล่นไป แต่ก็กลัวเธอจะคิดว่าผมอุตส่าห์ถ่อมาเพื่อถามเรื่องนี้กับเธอ
“พอดีฉันเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง เลยมีงานให้เคลียร์แทบจะทุกวันเลยค่ะ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังต้องมานั่งดูเอกสาร ช่วงพักก็หลับอยู่บ้านคนเดียว”
ผมหูผึ่งกับคำว่า อยู่บ้านคนเดียวเธอยังไม่มีแฟน ยังไม่มีครอบครัว แต่ว่าผมจะคิดเรื่องนี้ไปทำไมกัน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
“คงจะอีกสักเดือนหรือสองเดือนงานถึงจะเริ่มคลายตัวลงหน่อย ถึงเวลานั้นเราคงจะได้มาเล่นเกมแข่งกันอีกแน่ ๆ ค่ะ”
ความรู้สึกปราบปลื้มใจที่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด นั่นแสดงว่าเธอยังให้ความสนใจในการแข่งเล่นเกมกับผมอยู่
“คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกฉันกะว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว แต่เห็นว่ายังมีคนค่อย ๆ ไล่ตามฉันมา ฉันเลยมีแรงฮึดสู้เล่นต่อไป”
ผมนั่งคิดอะไรในหัวคนเดียว คิดแปลกใจว่าทำไมความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกถึงบังเกิดขึ้นใจจิตใจของผม  หรือเพราะว่าผมกับเธอนั้นไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน รสนิยมและฐานะทางสังคมมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เลย
“มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ ที่เราสองคนได้มาเจอกันโดยบังเอิญ ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คได้อย่างไร เราไม่เคยคุยกันเลย แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมนั่งฟังเงียบ ๆ และเริ่มเคลิ้มจนเกือบจะทำสายตาซาบซึ้งออกไป เป็นเพื่อนกันเหรอ ผมแอบขำกับคำพูดนี้ในใจคนเดียว เคยมีนักอะไรสักอย่างเคยพูดไว้ว่า ชายกับหญิงไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอน และผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ผมเคยแอบปลื้มและเคยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้หรอก ผมจะมีเรื่องอะไรไปคุยกับเธอล่ะหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน จริงสินะ ผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ
“ว่าแต่คุณ...”  เธอพูดขึ้นมา
ผมพอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทขึ้นก่อน “พอดีผมมีธุระครับ ต้องรีบขอตัวไปก่อน” เธอนิ่งไปเมื่อผมพูดขึ้น
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาและยื่นแบงก์ร้อยสองใบให้โดยคำนวณว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ผมกินคงไม่เกินจำนวนเงินที่ให้ไป ผมสำทับกับพนักงานว่า “น้องไม่ต้องทอนนะ พอดีพี่รีบ”
ในหัวสมองของผมตอนนี้มึนชาไปหมดแล้วเหมือนคนเมายาไม่ได้สติ ความรู้สึกดีใจกับเศร้าใจมันประดังเข้ามาพร้อม ๆ กันโดยที่ไม่สามารถแยกออกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะโดยคิดว่าจะบอกลาเธออย่างไรดี และทันใดนั้นเหมือนผีเปิดปากผม ผมได้พูดคำ ๆ นั้นออกไปว่า
“ผมกะว่าจะเลิกเล่นเกมนั้นแล้วครับ”
พูดเสร็จผมก็กลับหลังหันเดินออกมา เมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็นึกอยากจะหยิบขวดเบียร์โต๊ะข้าง ๆ ตีหัวตัวเองให้สลบไป หรือบางทีอยากจะให้ตัวเองเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย จะได้ทำให้เรื่องน่าอึดอัดนี้มันหายออกไปจากใจเสียที
ความอายและความชาถูกกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตาเล็ก ๆ ผมพยายามกลั้นมันไว้แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน ผมได้แต่เบี่ยงหน้ามาเพื่อแอบมองเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่าเดิม ถนนหน้าร้านรถราวิ่งขับผ่านไปมาด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงไปนอนให้รถทับตาย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะต้องมาพาผมไปส่งโรงพยาบาล เดี๋ยวเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่

ในห้องพักแคบ ๆ ด้วยราคาต่อคืนไม่แพงมากนัก แต่ยังดีที่ยังมีเตียงนุ่ม ๆ ให้ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทีวีเครื่องเล็กถูกเปิดเพื่อให้พอมีเสียงดังสลัดความเงียบงันลงไปบ้าง แต่ว่าในจิตใจผมก็ยังคงไม่รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น ในสมองตอนนี้ได้แต่เฝ้าคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
แต่ผมก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วล่ะที่ผมไม่สานสัมพันธ์ต่อ เพราะมันคงจะมีแต่เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา และรวมถึงเรื่องที่ผมนั้นคงไม่คู่ควรกับเธอ

เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาทำงานที่เดิม ทุก ๆ อย่างเหมือนเดิมหมดยกเว้นผมไม่สามารถเล่นเกมแคนดี้ ครัชได้อีกต่อไป เพราะผมได้หลุดปากพูดคำพูดนั้นออกไปแล้วว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ มันเหมือนกับเป็นคำพูดที่ค้ำคอผมอยู่ว่าต้องทำตามคำ ๆ นั้น
ในทุกเช้าผมก็ไปทำงานเหมือนเดิม ในระหว่างชั่วโมงการทำงานความน่าเบื่อก็ยังคงรุมเร้าผมอยู่ทุกวัน เพราะการทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไร นั่นจึงทำให้ภาพใบหน้าของเธอปรากฏอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ความสำนึกและรู้สึกผิดที่ผมทำเป็นเย็นชาและไม่ใส่ใจเธอ ซึ่งนั่นมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายใจจิตใจของผม
ความปรารถนาดูเหมือนจะมากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ตัวเธอ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะหลาย ๆ เหตุผล กลัวการถูกปฏิเสธหรือ ก็คงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมคงต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหยุดเรื่องนี้ไว้
ผ่านไปอีกหลายคืนวันจนผมเริ่มจะทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว คืนหนึ่งหลังจากผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จและตรียมตัวจะนอน ผมทำเหมือนกับทุกคืนคือเปิดเฟซบุ๊คดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ร้อยวันพันปีไม่เคยมีในส่งข้อความมาหาผม แต่วันนี้มีเครื่องหมายเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา เป็นเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะจิ้มลงไปเพื่ออ่านข้อความนั้น แต่พลันคิดได้ว่าหากยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้ จะยิ่งถอนตัวยาก หากแม้เพียงแค่เข้าไปอ่านข้อความ นั่นจะทำให้เธอรู้ได้ว่าผมได้อ่านข้อความแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบกลับข้อความอย่างแน่นอน ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้สัญลักษณ์นั้นแสดงคำเตือนต่อไป

ครบหนึ่งเดือนพอดีหลังจากที่ผมบุกไปหาเธอที่โรงงาน ผมยังจำคำพูดของเธอได้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วเธอจะหายงานยุ่งและจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเลิกคิดถึงเธอไปแล้วแต่ว่าใจของผมดันไปสั่งให้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเกมเพื่อดูว่าเธอผ่านด่านเพิ่มขึ้นมาหรือยัง
เธอนำหน้าผมไปอีกแล้วหนึ่งเอพพิโสด มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเล่นผ่านด่านเกือบร้อยกว่าด่านโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาร่วมเดือนถึงจะเล่นได้ขนาดนี้ หากมันเป็นแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าเธอพยายามเจียดเวลาทำงานเพื่อมาเล่นเกมนี่หรือ หรือว่าเธอตั้งใจว่าอยากให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้อีกหลังจากที่ผมบอกเธอไปว่าจะเลิกเล่น นี่เธอแคร์ผมอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกปลื้มปริ่มนี้มันมาอีกแล้ว นอกจากพ่อแม่ของผม ก็ไม่เคยมีใครแคร์หรือใส่ใจความรู้สึกของผมเลย แต่มาครั้งนี้เธอคนที่ถูกผมเย็นชาใส่และไม่ใยดีกับเธอ ก็ยังคงใส่ใจกับความรู้สึกของผมอีก
ผมนึกถึงคำพูดของเธอในคืนที่เราเจอกันที่ร้านอาหาร นั่นแสดงว่าผมและเธอนั้นใจตรงกันเพียงใด เธอคิดเหมือนที่ผมคิด และยังกล้าพูดถึงสิ่งที่ใจคิด เพียงแต่ผมไม่กล้า
เมื่อคิดทบทวนหลาย ๆ เรื่อง ผมคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรกันที่จะทำให้ผมไม่เล่นเกมแข่งกับเธอ ทำไมผมจะสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไม่ได้ล่ะ ผมตัดสินใจเปิดข้อความที่เธอส่งมา
เรามาแข่งกันอีกนะคะ ฉันจะไล่ตามคุณให้ทัน
ผมยิ้มดีใจอย่างสุดขีดเมื่ออ่านข้อความนั้น และยังนึกตำหนิตัวเองว่าทำไมทั้งโง่และทั้งบ้าแบบนี้ ความฟุ้งซ่านที่ผมคิดไปเองมันคงบ้าบอเกินไป
มิตรภาพที่เธอมีให้นั้นผมจะทำลายมันไปได้อย่างไรกัน ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบและเผลอยิ้มทุกครั้ง ผมแค่กดส่งสติ๊กเกอร์รูปหน้ายิ้มกลับไปให้เธอทางกล่องข้อความ เพราะยังไม่รู้ว่าจะทักตอบกลับไปว่าอย่างไรดี เอาไว้ค่อยให้เวลาและเกมคอยเชื่อมใจของเราทั้งคู่ก็แล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ตอนนี้ผมหน้าแดงไปหมดแล้ว 
ไม่รอช้า คืนนี้ผมกะจะเล่นเกมแคนดี้ ครัชให้ชุ่มฉ่ำปอดทั้งคืนเลย หากพรุ่งนี้งัวเงียไปทำงานก็ค่อยไปแอบหลับในเวลางานก็แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รอยยิ้มสุดท้าย



โต๊ะอาหารภายในบ้านบรรยากาศแสนอบอุ่น คุณปู่หัวเราะร่ายิ้มรับกับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันที่นั่งข้าง ๆ กลุ่มชายหญิงอายุวัยกลางคนได้แต่นั่งยิ้มแห้ง ๆ โดยไม่ได้สนทนาอะไรตอบโต้ คงมีแต่เด็กเล็กวัยสิบขวบที่นั่งหน้าบึ้งไม่เป็นอันหยิบจับอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

เด็กน้อยอดรนทนกล้ำกลืนฝืนกลั้นบ่อน้ำตาไว้ไม่ไหว เขารีบลุกออกจากโต๊ะและวิ่งออกไปยังประตูหน้าบ้าน และเปิดมันออกไปโดยเร็วก่อนที่ใครจะทันเห็นน้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมานองเต็มสองแก้ม

ทุกคนบนโต๊ะต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น ทั้งหมดหันมามองหน้ากันไปมา ต่างก็ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าที่มีแต่รอยยิ้มของคุณปู่กลับเหลือแต่แววตาเศร้าสลดบวกกลับริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าทำให้ผู้ที่มองใบหน้านี้รู้สึกหดหู่ เพื่อนของคุณปู่คนหนึ่งเอื้อมมือมาบีบมือของปู่เป็นเชิงปลอบใจ  คุณปู่หันไปขอบคุณ

“เดี๋ยวฉันขอไปดูหลานหน่อยละกัน”

พูดเสร็จคุณปู่ก็ลุกออกจากโต๊ะและเดินไปยังประตูบ้าน เขาออกมานอกบ้านและออกเดินไปตามทางเท้าโดยไม่ต้องคิด ที่ประจำที่หลานชายมักจะไปหมกตัวอยู่ก็คือแทงค์น้ำพลาสติกขนาดใหญ่ 2000 ลิตรที่ใช้งานไม่ได้แล้ว และมันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กสำหรับเด็กตัวน้อยเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่น

“ขอปู่เข้าไปในนั้นได้ไหม”

เสียงชายชราที่เหมือนกับผู้พูดจะหมดแรงดังทะลุเข้าไปในบ้านสมมุติ เสียงกระซิกดังสะท้อนออกมาแสดงว่ามีใครอยู่ในนั้น เสียงสะอื้นกลับเร็วรัวและดังขึ้นสักพักก่อนที่จะเงียบลงไปเอง คุณปู่ยืนรอไม่เร่งเร้าอะไร

เดือนดาวในคืนท้องฟ้าเปิดเผยให้เห็นแสงสกาวสุกใสสะท้อนมายังสายตาคนบนโลก อากาศที่หนาวเย็นยะเยือกแต่กลับไม่สะท้านความรู้สึกของเด็กน้อยที่รู้สึกโศกเศร้า หลานที่เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบขวบคงจะยังผ่านโลกและเข้าใจมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ความรู้สึกและอารมณ์ที่มาจากจิตใต้สำนึกของคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องการการบ่มเพาะหรือขบคิดใด ๆ จึงไม่แปลกที่เด็กวัยเพียงแค่นี้จะสะท้อนความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจออกมาได้มากมายเพียงนี้

“ผมอยากอยู่คนเดียวครับ” เสียงอู้อี้ของคนที่อยู่ในที่แคบดังออกมา เป็นเสียงเด็กที่พยายามเค้นคำพูดนี้ “ผมเกลียดปู่”

ผู้ฟังแสดงสีหน้าสะเทือนใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่สีหน้านั้นไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธแค้นหรือชิงชังใด ๆ แต่มันแสดงออกถึงความอาทรและเอ็นดูหลานรัก เพราะเหตุผลที่ทำให้คำพูดนั้นหลุดออกมาจากเด็กได้นั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ใครจะยอมรับได้โดยง่าย

“พรุ่งนี้ปู่จะไปแล้ว คุณปู่จะทิ้งพวกเราไปแล้ว”

สิ้นเสียงพูดของเด็กน้อย เสียงร้องไห้สะอื้นก็ตามมาไม่ขาดสาย คุณปู่ไม่อาจทนฟังเสียงนี้ได้อีกต่อไปจึงมุดเข้าไปยังบ้านหลังเล็กขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนนี้

“เขยิบให้ปู่หน่อยสิหลานรัก”

เด็กน้อยทำตามที่ชายชราพูด ผู้ที่เข้ามาใหม่ค่อย ๆ นั่งลงและเอนหลังนอน พื้นที่แออัดสำหรับสองคนทำให้หลานรักนอนตะแคงข้างและใช้มือนอนกอดปู่แย้งกับคำพูดที่เพิ่งพูดไป

ชายชราแอบทอดถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพูด “ปู่เหนื่อยแล้ว นี่คงถึงเวลาที่ปู่ต้องพักผ่อนแล้ว”

“ปู่ก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านก็ได้นี่ครับ บ้านเราก็พร้อมทุกอย่างให้ปู่ได้ใช้ชีวิต ผมอยากให้ปู่อยู่ใกล้ ๆ พวกเรา ปู่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นเลย”

ผู้ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ารับฟังคำพูดจากคนรุ่นใหม่พร้อมเสียงสะอื้นที่ปนมาด้วย เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งจนผู้อื่นสัมผัสได้

“หลานก็รู้ว่าปู่เหนื่อยจากอะไร หลายปีมานี้ปู่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่แสนทรมาน หลายครั้งที่ต้องนอนซมบนเตียงเกือบเดือนไม่เห็นแสงเห็นตะวัน แล้วไหนจะความเจ็บปวดที่ปู่ต้องคอยแบกรับมันไว้โดยที่ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย หลานคงจะจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันโหดร้ายเพียงใด”

“ตอนนี้ปู่ก็หายดีแล้วนี่ครับ ปู่ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว”

“ไม่ใช่หรอก ที่ปู่ลุกขึ้นมาเดินได้เพราะหมอฉีดมอร์ฟีนให้ปู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว และไม่รู้ว่าจะใช้วิธีนี้ได้อีกนานเท่าไหร่กัน”

เด็กน้อยไม่ตอบ ทำได้แต่เพียงกระชับอ้อมแขนให้แน่นและนอนฟังโดยไม่พูดอะไร

“เพื่อน ๆ ของปู่ก็ต่างมาให้กำลังใจกัน วันนี้ปู่ก็เห็นพ่อและแม่ของหลานยิ้มแย้ม ปู่ไม่ได้มานั่งหัวเราะบนโต๊ะอาหารนานมากแล้ว”

ชายชราหยุดพูด เพราะเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นการกล่าวโทษหลานรักที่ทำให้บรรยากาศเสียไป ปู่ไม่อยากให้หลานรักคิดแบบนั้น

“ผมขอโทษครับปู่ ผมนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

เด็กตัวน้อยหันมากระชับอ้อมกอดเต็มวงแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะซบหน้าลองไปบนอกของร่างใหญ่ เด็กตัวเล็กเริ่มสัมผัสได้ถึงมือหนาที่ลูบไล้บนหัวของเขาอย่างแผ่วเบา

“ปู่คงจะไม่สบายใจนักหากหลานรักของปู่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่กำลังจะทำลงไป ปู่คิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว”

ชายชรามองลอดปล่องวงกลมของบ้านเล็กที่เคยมีฝาปิดในยามที่มันถูกใช้งาน แต่บัดนี้ช่องนั้นถูกใช้เป็นช่องให้คนที่อยู่ในบ้านเล็กนี้มองขึ้นยังบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ

“ปีนี้ปู่จะครบรอบ 75 ปีแล้วนะ นี่มันก็นานเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่จะอยู่บนโลกใบนี้”

“โลกนี้ยังกว้างใหญ่ มีอะไรอีกมากมายให้ปู่ได้ค้นหา”

“ปู่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว ถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ หรืออายุเท่าหลานมันก็คงจะมีแรงบันดาลใจให้ออกไปดูโลก ศึกษาสิ่งใหม่ ๆ แต่สำหรับปู่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ”

เด็กน้อยไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาต่อลองความคิดของปู่

“ในสมัยที่ปู่ยังเป็นวัยรุ่นและได้เจอกับย่า ในตอนนั้นเป็นเวลาที่ปู่มีความสุขที่สุดจนอยากจะหยุดเวลาไว้ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่และไม่ให้ตาย เราทั้งคู่ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อย่าให้ได้กำเนิดพ่อของหลานออกมา นั่นก็ทำให้ทัศนคติของปู่และย่าก็เริ่มเปลี่ยนไป เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ตัวเราเองแล้ว เรามีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องให้ดูแลฟูมฟัก เมื่อนั้นความสุขของเราก็คือเห็นคนที่เรารักมีความสุข...

“เราจะเริ่มคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลง และหันมาใส่ใจผู้อื่นมากขึ้นกว่าตัวเอง ปู่คิดว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง สักวันหลานจะเรียนรู้เรื่องนี้”

ผู้อ่อนประสบการณ์กว่าหมดคำถาม แต่สำหรับเขายังคงดึงดันที่จะฉุดรั้งปู่ไม่ให้ไป

“แต่ผมไม่อยากให้ปู่ไปเลยครับ ผมทำใจไม่ได้ครับ” น้ำเสียงของผู้พูดที่เคยสะอึกสะอื้นมาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เด็กน้อยเสียงเริ่มนิ่งแล้ว

“ปู่ไม่มีทางเลือกมากนัก การตัดสินใจของปู่น่าจะเป็นผลดีกับทุกคนโดยเฉพาะกับปู่เอง แม้มันจะฟังดูโหดร้าย”

“ผมจะคิดถึงปู่ครับ ผมคงต้องยอมรับในการตัดสินใจของปู่ แม้ผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่”

คุณปู่กระชับอ้อมแขนดึงหลานรักเข้ามากอด “แล้วสักวันหลานจะเข้าใจปู่”

ทั้งคู่นอนกอดกันกลมพลางแหงนขึ้นไปมองจุดแสงบนฟ้าที่ต่างเบียดเสียดกันในกรอบวงกลม เวลาผ่านไปไม่นานชายชราสังเกตเห็นหลานนอนหลับตาพริ้มในอ้อมแขนของเขา คุณปู่ได้แต่ยิ้มเป็นเชิงเอ็นดูและปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปเรื่อย ๆ

“คุณพ่อครับ”

เสียงของชายหนุ่มวัยกลางคนเดินมา เขายื่นหน้ามาเห็นปู่กับหลานอยู่ด้วยกันในบ้านเล็ก คุณปู่เห็นดังนั้นจึงรีบยกนิ้วชี้มาป้องปากของตัวเองเป็นนัยว่าหลานหลับไปแล้ว คุณพ่อของเด็กน้อยจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา

“เห็นเงียบกันเลยเป็นห่วงครับ อากาศเริ่มจะเย็น ๆ แล้วด้วย คุณพ่อรีบเข้านอนเถอะครับ พรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องแต่เช้า” ชายวัยกลางคนพูด

ชายชราพยักหน้า พ่อของเด็กเดินเข้าไปประครองร่างของลูกน้อยขึ้นมาและอุ้มพาดบ่าไว้ ภาพหลานรักที่นอนหลับตาสงบนั้นคงทำให้คุณปู่วางใจที่เด็กน้อยคงจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้น ลูกชายและหลานชายเดินหายเข้าบ้านไปแล้วทิ้งไว้ให้คุณปู่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวนั้นเพียงลำพัง

ภาพวันแรกที่หลานรักลืมตาออกมาดูโลกผุดขึ้นมาในหัวของปู่ เสียงร้องจ้าแสบแก้วหูนั้นนำความปลื้มปิติยินดีมาให้สองปู่ย่าที่ยืนเคียงข้างกัน ความรู้สึกที่สายเลือดของตัวเองได้ถือกำเนิดออกมานี้เป็นภาพแห่งความสุขที่เกินจะบรรยาย คุณปู่ผู้เฝ้าดูหลานรักเติบโตขึ้น และจะตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเด็กน้อยเริ่มจะทำสิ่งใหม่ ๆ ได้ เช่นครั้งแรกที่หลานจะพลิกตัวบนที่นอนนุ่ม ๆ เสียงร้องของหลานที่จะพยายามเอี้ยวตัวและขาให้พลิกนอนคว่ำ ท่ามกลางพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่ยืนลุ้นรอบข้าง และเสียงโห่ร้องดีใจก็ดังลั่นเมื่อหลานน้อยวัยทารกพลิกตัวสำเร็จพร้อมเสียงร้องไห้โยเยลั่นบ้านแข่งกับเสียงดีใจของกองเชียร์

หรือในตอนที่หลานรักกำลังฝึกเดิน คุณปู่ก็รับหน้าที่ด้วยความเต็มใจในการจูงหลานเดินรอบบ้านโดยไม่มีการปริปากบ่นสักคำเดียว แม้ตัวเองจะเหนื่อยล้า ในยามที่หลานน้อยเริ่มจะฝึกพูด ก็มีคุณปู่ที่คอยทำเสียงอ้อแอ้สมมุติเป็นเพื่อนคุยวัยเดียวกันกับหลาน หนังสือภาพเล่มแรกก็ถูกปู่จำลองเสียงสัตว์ร้องให้ดูสมจริงสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กน้อยที่น่าทะนุถนอม

น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจของชายชราเริ่มหยดออกมาทีละน้อย ๆ ไม่นานคุณปู่ก็ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปในบ้านที่แสนจะอบอุ่น



ในคืนนั้นหญิงวัยกลางคนตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางสามใบที่ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เธอตรวจเช็คของใช้ส่วนตัวที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเปิดดูแผ่นกระดาษที่อยู่ในนั้น

เอกสารของสายการบินที่ระบุจำนวนผู้โดยสารเที่ยวขาไปจำนวนสามคน และขากลับแค่สองคน จุดหมายปลายทางคือประเทศสวิตเซอร์แลนด์



หมายเหตุ แรงบันดาลที่ทำให้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Me before you เรื่องนี้จะพูดถึงการทำการุณยฆาต โดยการไปที่คลินิคในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกฏหมายของประเทศนี้ยอมให้ทำเรื่องนี้ได้ สำหรับคนที่ป่วยหนักและทรมานกับการรักษาจริงๆ และผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะส่งคนป่วยไปได้หรือเปล่า จึงเขียนแบบไม่ระบุว่าเนื้อเรื่องเกิดที่ประเทศไหนละกันครับ

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปรารถนาสุดท้าย





ผมเห็นเธออีกครั้ง! เราแยกทางกันมาเกือบจะ 13 ปี ความทรงจำเก่าๆฉุดรั้งไว้ไม่ให้เข้าไปเจอเธออีก แม้ภายในก้นบึ้งของห้วงความคิดจะเป็นแรงดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหาเธอ

เราเริ่มคบกันเมื่อเธอเดินเข้ามา เธอปรารถนาผม ผมแค่สนองตอบ ครั้งนั้นผมอยู่กับเธอด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่มีใคร แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรักผม

ครั้งหนึ่งเราเดินผ่านร้านดอกไม้ เธอรบเร้าให้ผมซื้อดอกทิวลิปสีม่วงให้เธอ ผมบอกให้เธอไปซื้อเอง เธอไม่ซื้อ ผมไม่เข้าใจ

ครั้งที่ผมถูกนักเลงต่างถิ่นทำร้าย เธอออกมาปกป้องผม กราบเท้าขอร้องพวกนักเลงไม่ให้ทำร้ายผมอีก เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อผม บาดแผลและกระดูกที่หัก เธอพาไปหาหมอและช่วยรักษา ผมไม่เคยพูดขอบคุณเธอ

ในตอนที่ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมคิดว่าหมดอนาคต ไร้คนเหลียวแล เธอให้คำปรึกษาผมโดยไม่ปริปากบ่น หาสมัครงานกับคนรู้จักให้ผมจนผมได้งานทำ

จนผมถูกไล่ออกจากงาน เธอไม่เคยด่าว่าผมว่าเหลวไหล ยังคงให้กำลังใจและหาสมัครงานให้

ผมได้เงินเดือนไม่เคยแบ่งให้เธอซักครั้ง ผมใช้เงินเหล่านั้นหมดไปกับการเที่ยว กินเหล้า นอนกับผู้หญิงอื่น เธอไม่ปริปากบ่นซักคำ แถมบางครั้งผมยังเอาเงินจากเธอไปทำสิ่งเหล่านั้น เธอให้ด้วยความเต็มใจ

ผมติดยา เธอพาผมไปรักษาโดยไม่รังเกียจ ไม่อายพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง ไม่อายเพื่อน บางครั้งทะเลาะกับคนเหล่านั้นเพื่อผม

ผมค้ายาเสพติด เงินที่ได้หมดไปกับการเที่ยว ซื้อของแพงๆ ให้เงินกับผู้หญิงอื่น แต่ไม่เคยแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้เธอซักตัว เธอไม่รู้ว่าผมค้ายา

ผมโดนตำรวจจับข้อหาค้ายาเสพติด โทษจำคุก 15 ปี เธอไปเยี่ยมผมตลอด 3 ปี และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมมีและเคยมี ผมเป็นเด็กกำพร้า

ผ่านไป 3 ปี ความเงียบและความเหงาทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต นึกถึงเธอ ผมนอนร้องให้ทุกคืน อยากจะฆ่าตัวตาย ผมปฏิเสธการเยี่ยมของเธอตั้งแต่บัดนั้น

เธอยังเขียนจดหมายมาหาผมอีกหลายฉบับ ผมตัดสินใจไม่เปิดอ่าน

แค่ 5 ปีผมออกจากคุกแล้วเพราะทำตัวดีและมีการอภัยโทษหลายครั้ง ผมเดินออกมาจากคุกพร้อมเสื้อผ้าและกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน

ผมเริ่มงานกับเถ้าแก่ที่รู้จักกันในคุก ท่านรักและไว้ใจผม ผมตั้งใจทำงานเก็บหอมรอมริบจนสามารถไปตั้งโรงงานของตัวเองได้

กิจการรุ่งเรือง ผมมีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถคันโตหลายคัน ผู้คนนับถือผมเพราะมีเงินเยอะ ผมซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ยกเว้นกินเหล้ากับเที่ยวผู้หญิง

ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต การทำงาน การเดินทาง ท่องเที่ยว การบริจาคเงินเพื่อการกุศล ให้ความรู้และให้โอกาสผู้คน

จนมาวันหนึ่งผมพบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านในลังไม้ใบเก่า ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัว

ผมจ้างนักสืบออกหาตัวเธอ บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมแอบเฝ้ามองเธอ หัวใจผมพองโต บาปที่เกาะกินในจิตใจผมเริ่มมีความหวังที่จะชำระล้างแล้ว

ผมกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เฝ้าคิดถึงวันที่เราทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ผมจะแต่งงานกับเธอ จะให้เธอทำงานกับผมเพราะกลัวเธอเหงาถ้าอยู่บ้านคนเดียว

ผมจะพาเธอไปเที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ไปทุกที่ที่ผมเคยไปเที่ยวเมื่อครั้งที่ผมอยู่คนเดียว คราวนี้ผมจะได้เที่ยวอย่างไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ผมอยากจะมีลูกซักสองคนกับเธอ และจะให้เธอออกจากงานมาเลี้ยงลูก ผมจะให้พ่อแม่ของเธอมาอยู่ที่บ้านของผม เพื่อเธอจะได้ไม่เหงาและพวกท่านจะได้อยู่กับหลานๆ

ผมจะรักลูกๆทุกคน สอนพวกเขาให้เข้มแข็ง ให้พวกเขาเลือกที่จะเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน

ผมจะพาเธอไปเรียนต่อในมหาลัยอีกครั้ง ให้ได้ใบปริญญา เมื่อครั้งมีโอกาสเธอทิ้งมันเพื่อผม

ผมอยากขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆข้ามทวีปสักครั้งในชีวิต โดยมีเธอนั่งซ้อนไปด้วย

ในบั้นปลายชีวิตเราอยู่บ้านชานเมืองที่เงียบสงบ เวลานั้นแค่เราจ้องตากันก็คงมีความสุขพอแล้ว

เราจะสัญญาต่อกันว่าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจากไปก่อน อีกฝ่ายหนึ่งจะอยู่อย่างเข้มแข็งและไม่ร้องไห้

_________________

ผมหยิบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าตอนนั้นเธอยังคิดอย่างไรกับผมบ้าง ใจหนึ่งก็กลัวจะมีคำพูดบางประโยคในกองจดหมายที่เขียนว่า 'ไม่รักผมแล้ว' ผมเก็บกองจดหมายใส่ลังไว้ที่เดิม

ทุกความคิดทุกความรู้สึก กลั่นกรองออกมาเป็นแรงปราถนาในการที่จะให้ผมไปพบเธอในวันนี้ ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและร้อนใจ แต่เมื่อขับรถมาใกล้จะถึงบ้านเธอผมเริ่มรู้สึกกลัว

ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร จะพูดประโยคแรกเมื่อเจอกันว่าอย่างไร และหลังจากพูดคุยกันเสร็จจะทำอะไรต่อไป ความจริงผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซักซ้อมคำพูดและแววตามาหลายร้อยรอบ แต่ตอนนี้ผมลืมมันไปหมดสิ้น

ผมจอดรถไว้ถัดจากบ้านเธอไป 2 หลังเพื่อให้มีเวลาตั้งตัว ผมเปิดประตูรถและก้าวออกมาโดยไม่ลืมที่จะค่อยๆอุ้มช่อดอกทิวลิปสีม่วงที่ราคาแพงที่สุดในร้านลงมาด้วย

เมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเธอทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกลัวเกินกว่าที่จะกดกริ่งหน้าประตู

ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หลบอยู่หลังเสา และแอบชำเรืองลอดผ่านรั้วเหล็กเข้าไปในตัวบ้านโดยหวังว่าเธอจะออกมาเจอตัวผมเอง

ผมเห็นเด็กน้อยชายหญิงสองคนวิ่งเล่นกันบนสนามหญ้าในตัวบ้าน

ทั้งสองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผู้ชายคนน้องกลิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มก่อนคนพี่จะทิ้งตัวลงนอน เสียงหัวเราะทั้งคู่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์

"อ้าวๆ แก้วไปแกล้งน้องอีกแล้ว ไปนอนทับน้องเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

นั่นเสียงเธอ! ผมไม่ได้ยินเสียงเธอมานานเท่าไหร่แล้วนี่ เสียงที่ผมได้ยินเมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้ง เพราะผมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เคยมีใครพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเท่านี้แล้ว

ผมเห็นเด็กชายคนเล็กรีบลุกและวิ่งไปกอดเธอ เด็กน้อยแกล้งไปซบที่ขาเธอเหมือนจะไปฟ้องว่าโดนพี่สาวแกล้งจริงๆ

"กรมั่วแล้วแม่ น้องเป็นคนลงไปนอนกลิ้งเองต่างหาก หนูเปล่าซะหน่อย"

"เอาล่ะๆ ทั้งคู่รีบไปล้างมือเร็ว แม่เพิ่งอบคุ้กกี้เสร็จ นี่ไงกำลังอุ่นๆเชียว มีน้ำใบเตยของชอบของแก้วด้วยนะ"

"เย้"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้าบ้านไปเพื่อไปล้างมือ ผมคิดว่าถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปผมคงไม่กล้าเดินเข้าไปพบเธออีกแน่นอน อย่างน้อยก็คำบอกลา

ขาทั้งสองข้างไม่ขยับ 

ผมค่อยๆเดินจากมา

ตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน ผมพยายามถามหาเหตุผลจากตัวเองถึงความกลัวที่ปรากฎ

ไร้คำตอบใดๆ

ผมคิดทบทวนทุกเรื่องราวในหัวจนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า 'แค่ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจกัน นั่นก็คือความรักแล้ว' ใช่่แล้ว ผมคงกลัวที่จะทำร้ายจิตใจเธออีกครั้ง จิตใต้สำนึกจึงสั่งไม่ให้ผมไปเจอเธอ

ผมจอดรถข้างทาง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พิมพ์ข้อความว่า

'ขอโทษทุกอย่างที่ทศทำร้ายจิตใจแอมมาตลอด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเพราะแอม จึงทำให้ทศรู้จักกับความรัก อโหสิกรรมให้ทศด้วยนะ'

ป้อนเบอร์โทรศัทพ์ของเธอที่ได้จากนักสืบ

ผมตั้งใจจะกดปุ่ม 'ส่งข้อความ' เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จ แต่เมื่อกำลังจะกดน้ำหนักนิ้วชี้ไปที่ปุ่ม นิ้วมันไปกดปุ่ม 'ยกเลิกส่งข้อความ' โดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา



นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...