และแล้วในที่สุดผมก็แซงทุกคนได้แล้วบนถนนสายนี้
ถนนที่ว่านี้ไม่ใช่ถนนหลวงหรอก ผมไม่ได้ขับขี่รถราแข่งอะไรกับใคร
ถนนสายที่ผมพูดถึงนี้มันคือแผนที่ในเกมแคนดี้ ครัชที่เล่นผ่านเฟซบุ๊คต่างหากล่ะ
เกมที่มีผู้เล่นทั่วโลกน่าจะหลักพันล้านคนเข้าไปแล้ว
แต่เราเองไม่ได้ไปเล่นแข่งกับคนพันล้านกว่าคนนั้นหรอก เราแข่งกับเฉพาะเพื่อน ๆ
ของเราที่เล่นเกมนี้ต่างหากล่ะ
เมื่อเริ่มแรกผมเห็นเพื่อน ๆ ผมหลายคนในเฟซบุ๊คเล่นเกมนี้
บางคนก็ค่อย ๆ ผ่านด่านไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ผ่านในแต่ละเอพพิโสดไป
แต่พอผ่านไปนานวันเข้าเพื่อน ๆ หลายคนเริ่มหยุดเล่นกัน
ไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านด่านอีกต่อไป หรืออาจจะเป็นว่าด่านหลัง ๆ
ที่ออกมาใหม่จะยากเกินไปจนคนท้อไปเอง พวกเขาบางคนอาจจะไปหาเกมใหม่ ๆ มาเล่นก็ได้
จนกระทั่ง ณ ปัจจุบันนี้ไม่หลงเหลือเพื่อน ๆ
คนไหนขยับเข้ามาใกล้รัศมีสิบเอพพิโสดของผมเลย ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลายเดือนก่อนเธอคนนี้เคยผ่านด่านนำหน้าผมไปสามเอพพิโสด
เมื่อผมเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมมีแรงฮึดที่จะพยายามเอาชนะและไล่แซงเธอให้ได้
มีความลับหนึ่งที่ผมอยากจะบอก
คือที่ผมสามารถตะลุยผ่านด่านมาได้สองพันห้าร้อยกว่าด่านนี้โดยนำคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น
นั่นเป็นเพราะผมใช้วิธีโกงเวลา เพราะในเกมแคนดี้
ครัชนี้จะมีหัวใจให้เราใช้เล่นห้าดวง หากเล่นแพ้ในแต่ละเกมก็จะเสียไปหนึ่งหัวใจ
หากแพ้ห้าเกมหัวใจก็จะหมด เราต้องรอเวลากว่ายี่สิบนาทีเพื่อจะได้หัวใจมาหนึ่งดวง
ผมจึงไปแก้เวลาของสมาร์ทโฟนให้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน เท่านั้นเองหัวใจเราก็จะเต็ม
เราก็สามารถไปแก้เวลากลับมาให้เป็นปัจจุบันได้ ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
จนทำให้สามารถเล่นเกมนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งตอนนั่งรถเมล์ ตอนกำลังกินข้าว
ก่อนเข้านอน หรือจะเป็นตอนแอบเจ้านายเล่นในที่ทำงานก็ตาม
และจากการตรากตรำตะลุยเล่นมาราธอนของผมนั้น
ทำให้มีครั้งหนึ่งผมสามารถเล่นแซงเธอได้สำเร็จ เมื่อนั้นเราสองคนก็ผลัดกันแซงผลัดกันตามอย่างไม่มีใครยอมใครเลย
บางครั้งผมเห็นเธอหยุดเล่นนานหลายวันไม่ขยับไปไหน
แต่พอผมเล่นผ่านด่านจี้เข้าไปใกล้เธอ
ปรากฏว่าเธอเล่นผ่านไปอีกสิบด่านรวดอย่างไม่ยอมให้ผมตามเธอทัน
ผมคิดว่านี่เป็นความสุขอย่างหนึ่งของชายโสดอย่างผมเลยครับ
ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ เขาบ้าง ได้หัวเราะได้ลุ้นตามอยู่หน้าจอโทรศัพท์อยู่คนเดียว
ได้แอบเฝ้าคิดว่าผมและเธอนั้นได้รู้จักสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
ใช่ครับ ผมไม่รู้จักกับเธอ
ไม่เคยคุยไม่เคยได้ยินเสียงพูด ไม่เคยทักแชทกับเธอเลยสักครั้งเดียว
สิ่งเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอนั้นคือรู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร
เพราะดูจากรูปโปรไฟล์ ผมจำไม่ได้ว่าผมรับแอดเธอเป็นเพื่อนจากที่ไหน
อาจจะเป็นกลุ่มอะไรสักอย่างที่ผมชอบเข้าไปอ่านนู่นอ่านนี่ตามประสา
และในตอนนั้นเธอก็กดรับผมเป็นเพื่อนโดยที่เราทั้งสองก็ไม่ได้คุยแนะนำตัวอะไรกัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าอายที่ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธอแทบจะทุกวัน
ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอว่าในแต่ละวันเธอจะทำอะไรบ้างนะ อยากรู้ว่าเจ้าของไทม์ไลน์จะไปเช็คอินที่ไหน
ไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ กับใครบ้าง อยากรู้ว่าเธอคนนั้นมีไลฟ์สไตล์แบบไหนกัน
แต่น่าเสียดายที่เธอคนนี้เป็นคนที่ไม่โพสท์เรื่องส่วนตัวลงในเฟซบุ๊คเลย
ล่าสุดที่เธอโพสท์เรื่องส่วนตัวก็เป็นงานเลี้ยงที่โรงงานแห่งหนึ่ง
แต่นั่นมันก็นานหลายปีมาแล้ว
ผมแปลกใจที่ทำไมผมต้องคิดถึงเธอด้วยนะ ผมมัวแต่เฝ้าคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่
อาจจะงานยุ่งอยู่ก็ได้
หรืออาจจะเลิกเล่มเกมนี้ไปแล้วเพราะรู้สึกท้อกับความยากของเกม
แล้วถ้าหากเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเธอล่ะ จนทำให้เธอไม่มีแก่จิตแก่ใจมาเล่นเกม
ไม่รู้สินะ มันอาจจะเป็นเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมให้กำลังสนใจ
เพราะในชีวิตประจำวันของผมนั้นมันช่างซ้ำซากจำเจน่าเบื่อหน่ายจนชวนจะอาเจียนเสียด้วยซ้ำ
อาชีพของผมคือเป็นยามเฝ้าหน้าหมู่บ้าน
คอยเปิดเหล็กกั้นให้รถที่ผ่านไปมาและยังต้องทำท่าตะเบ๊ะให้ผู้ขับขี่ทุกคนอีกด้วย
พอเลิกงานก็นั่งรถเมล์กลับห้องพักเล็ก ๆ ที่ผมเช่าไว้ไม่ไกลจากที่ทำงาน
ชีวิตหลังเลิกงานของหนุ่มโสดที่ไม่ค่อยจะมีเงินนั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ
บางวันหลังจากง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นและกินมันก็เป็นเวลาว่างที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายของผมไป
จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่ผมไปซื้อสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงมาใช้และได้ดาวน์โหลดเกมนี้มาเล่น
นั่นทำให้ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อของผมนั้นถูกฆ่าตายไปอย่างมากมาย
จนผมไม่เหลือช่วงเวลาเหล่านั้นให้ต้องนั่งทรมานกับมันอีกแล้ว
ความจริงแล้วการเล่มเกมที่แข่งขันเรื่องสถิติกับผู้อื่นมันควรจะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นสิ
ผมคิดว่าอย่างน้อยเธอต้องคิดถึงผมอยู่บ้างแหละ
เพราะเราก็ยังเห็นกันและกันว่าใครเล่นไปถึงด่านไหนแล้ว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแซงก็พยายามแซงคืน ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
ที่เธอยังคงเล่นเกมแคนดี้ ครัชในก่อนหน้านี้โดยที่เธอจะไม่ทันสังเกตเห็นผมเลย
หรือว่าบางทีอาจจะมีเพื่อน ๆ
ในเฟซบุ๊คของเธออีกหลายสิบคนที่กำลังเล่นแข่งกับเธออีกก็เป็นได้
ส่วนตัวผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น ใช่สินะ เพราะเพื่อน ๆ ผมในเฟซบุ๊คมีแค่ประมาณสี่ห้าสิบคน
แต่เพื่อนของเธอมีหลักพันขึ้นไปแล้ว
ถึงแม้ผมจะรู้สึกกระสับกระส่ายหัวใจกับการหายตัวไปของเธอ
แต่ผมก็คงจะทำได้แค่เพียงเล่นเกมนี้ต่อไป
และเข้าไปดูว่าอันดับของเธอขยับบ้างหรือเปล่า แต่มันไม่ขยับเลย ผมยังเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีก
แต่นั่นก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเช่นกัน ผมพยายามข่มใจเล่นเกมโดยไม่นึกถึงเธอ
หลายสิบวันมานี้ผมทำกิจวัตรเหมือนทุก ๆ
วันโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย
คงมีแต่หัวใจที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวลถึงเธอคนนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมคือ
ทำไมไม่ลองทักเธอไปทางกล่องข้อความดูนะ แต่จะเริ่มบทสนทนาว่าอะไรดีล่ะ
หรืออาจจะแค่ส่งสติ๊กเกอร์รูปน่ารัก ๆ ไปก็พอ
แต่นั่นจะทำให้เธอตกใจและบล็อกผมไปหรือเปล่าล่ะ
ผมเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเธออีกครั้ง
และโพสท์ล่าสุดของเธอก็ยังเป็นงานเลี้ยงในโรงงานแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผมจะรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอจะยังทำงานอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เมื่อสังเกตป้ายผ้าที่อยู่ในภาพดี ๆ
ผมเห็นโลโก้ของโรงงานเป็นรูปฟันเฟืองซ้อนกันสองอัน เห็นชื่อของโรงงานลาง ๆ
ไม่ชัดเจน เห็นแค่ตัวอักษรสองสามตัวหน้า และในป้ายผ้านั้นทำให้ผมรู้ว่าโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลวกแดง
จังหวัดระยอง
หัวใจของผมพองโตเป็นสองเท่าจากเดิม
แต่สักพักมันก็กลับมาห่อเหี่ยวลงเหมือนเดิม
ขนาดแค่จะทักไปทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊คยังไม่กล้า
แล้วนี่จะไปตามหาถึงโรงงานที่เธอทำงานอยู่
ผมอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาโรคจิตก็เป็นได้ จะทำอย่างไรดีล่ะ
จะไปหาเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวหรือเปล่า
เบาะแสมีแค่โลโก้โรงงานพร้อมตัวอักษรชื่อไม่กี่ตัว สถานที่พอรู้คร่าว ๆ
รูปหน้าของเธอเมื่อหลายปีมาแล้ว อ้อ...
ยังมีชื่อจริงของเธออีกทีใช้เป็นชื่อในเฟซบุ๊ค หากเธอไม่ใช้ชื่อปลอมมาเล่นนะ
ผมพยายามสะกดชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษของเธอด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผม
ผมแกะชื่อ Chutima Khunpraman แต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรดี
ผมยังไม่รีบเดินทางไปตามหาเธอทันทีหรอก
ด้วยเบาะแสอันน้อยนิดคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้หรอก
คงได้แค่คิด
“จะให้ผมแลกเวรกับไอ้เวย์หรือครับหัวหน้า”
ผมพูดเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปคุย
“ใช่ พอดีมันมีธุระต้องกลับต่างจังหวัด
จะขอแลกเวรแกสองเวร ทำไหวมั้ย” หัวหน้าตอบ
ผมกำลังคิดว่าถ้าแลกตามนี้
ผมจะได้หยุดงานต่อเนื่องสองวัน และถ้าผมขอแลกเวรช่วงวันหยุดเพิ่มนั้นด้วยอาจจะได้หยุดถึงสามวัน
ข้อเสนอนี้ก็ดีเหมือนกันผมอาจจะได้หยุดพักผ่อนยาวไปเลย
หรือว่าบางทีผมอาจจะไปตามหาเธอดูดีนะ
เมื่อมาถึงวันหยุดยาวของผมที่ผม
สรุปว่าผมได้หยุดยาวสามวัน ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้เลยว่าจะเอายังไงดี
จะหยุดพักผ่อนหรือจะลองนั่งรถไปปลวกแดงดี ใจหนึ่งก็คิดว่าก็ถือว่าไปเที่ยวล่ะกัน
หากเปลี่ยนใจหรือหาโรงงานของเธอไม่ได้ก็คงจะหาที่เที่ยวแถวนั้นได้
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมก็เก็บกระเป๋าไว้รอเตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า
ตื่นเช้าผมรีบนั่งรถเมล์ไปสถานีขนส่ง
นั่งรถต่อไปจากตรงนี้ก็ประมาณสี่ชั่วโมงเองก็ถึงตัวจังหวัด และต่อรถไปปลวกแดง
เมื่อก้าวเท้าลงรถเหยียบอำเภอปลวกแดง
นั่นทำให้ผมถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้ว
ผมมองไปรอบตัวก็เห็นผู้คนมากมายเดินไปมา รถวิ่งไปมา
และผมก็เหลือบไปเห็นวินมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปช้า ๆ
“ไงไอ่หนุ่ม จะไปไหน” ลุงวินถาม
ผมยังไม่รู้จะถามอะไรดี จึงลองหยั่งเชิงไปก่อน
“ถ้าจะไปแถวที่มีโรงงานเยอะ ๆ ต้องไปแถวไหนครับ”
ลุงวินฉีกยิ้มกว้าง “จะมาหางานทำเหรอ
จะไปโรงงานอะไรล่ะ”
ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิดรูปภาพของเธอขึ้นมา
พยายามซูมไปให้เห็นเฉพาะโลโก้ของโรงงาน แต่ก็ยังติดภาพใบหน้าของเธอไปด้วย
“ผมไม่ได้มาหางานทำหรอกครับ” ผมพูดความจริง
ลุงวินจ้องมองดูภาพในหน้าจอและก็ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง
“มาตามหาแฟนเหรอ”
จากนั้นลุงก็หุบยิ้มเหมือนสะเทือนใจ
ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เผลอพยักหน้าไปเล็กน้อย
“ลุงรู้จักโรงงานแห่งนี้ ไปจากนี่ไม่ไกลหรอก”
หัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น
แต่ความดีใจก็มาพร้อมกับความประหม่าด้วย
เฝ้าคิดกังวลว่าถ้าไปถึงโรงงานแล้วจะทำอย่างไรต่อนะ
แต่มาถึงตรงนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดีล่ะ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ ผมยังคงทำหน้าหงอย ๆ
อยู่
“ลุงคิด 30 บาทละกัน ลุงเห็นแบบเอ็งมาเยอะแล้ว”
ลุงพูดเสร็จก็สตาร์ทรถพาผมออกไปจากสถานที่แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานลุงวินก็มาจอดรถหน้าโรงงาน
ผมจ่ายเงินและพูดขอบคุณลุง จากนั้นผมมองไปยังประตูทางเข้าที่มีตู้ยาม
ผมไม่รู้จะผ่านเข้าไปในรั้วโรงงานได้อย่างไร
“มาติดต่ออะไรครับ” ยามชะโงกหน้าออกมาจากป้อมถามผมที่ทำท่าทางลับ
ๆ ล่อ ๆ
“พอดีมาสมัครงานครับ นัดสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลไว้”
ผมตอบพลางชมตัวเองอยู่ในใจว่าไหวพริบดีนะเนี่ย
“ผมขอแลกบัตรด้วยครับ”
ยามในป้อมพูดเสร็จก็ก้มหยิบบัตรจากซองเอกสารขึ้นมา ผมหยิบบัตรประชาชนแลกกับเขาไป เมื่อได้บัตรมาแนบติดหน้าอกผมก็ทำท่าจะเดินจากไป
“แผนกฝ่ายบุคคลอยู่ชั้นสองตึกเอครับ”
ยามประจำป้อมพูด ผมหันมาขอบคุณเขาก่อนที่จะเดินต่อ
ผมเดินเข้าไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำมาโดยไม่ได้คิดอะไร
ไม่ได้คิดว่าจะมาสมัครงานหรือสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น
เพราะผมไม่ได้เตรียมการมาก่อนล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้
ที่หน้าห้องฝ่ายบุคคลมีบอร์ดขนาดใหญ่พร้อมป้ายรูปพนักงานตามระดับชั้นแปะอยู่
ผมคิดว่านี่คือด่านแรกที่จะตามหาเธอได้ หากว่าเธอจะมีรายชื่ออยู่ในนั้น
‘ชุติมา ขุ่นประมาณ’
ผมไล่ดูภาพของพนักงานจากทุกระดับ และก็มาสะดุดกับใบหน้าของบุคคลในชื่อนี้
มันเป็นเหมือนกับความสำเร็จในการค้นหาที่ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเจอ
ผมไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวแม้แต่นิดเดียวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้
คนที่เห็นอยู่ในเกมที่แค่เล่นแข่งกันไปวัน ๆ ไม่เคยคุยไม่เคยทักทายกันเลยสักครั้ง
แต่วันนี้เธอคนนั้นกับอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว
เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล
ซึ่งถ้าหากผมอยากจะเจอเธอจริง ๆ ผมคงต้องมาสัมภาษณ์งานกับเธอ
แต่ว่ามันจะเป็นไปได้เหรอกับคนที่ไม่เคยผ่านงานอะไรมาก่อน
ผมจะมาสมัครงานอะไรที่นี่ได้ล่ะนอกจากตำแหน่งยาม
แต่คิดไปคิดมา จุดประสงค์ที่ผมมาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการที่จะรู้แค่ว่าเธอสุขสบายดีอยู่หรือเปล่าแค่นั้นไม่ใช่เหรอ
ให้ได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรไป การที่เธอยังมีรูปแปะที่หน้าบอร์ดนี้ก็คงจะทำให้แน่ใจได้แล้วว่าเธอยังสุขสบายดี
ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมแอบกังวลใจก่อนหน้านี้ มันก็ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้วสินะ
ผมควรจะกลับได้แล้ว
ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
อีกเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีก็จะพักเที่ยงแล้วนี้
อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคนที่อยู่ในห้องนี้ก็คงจะกรูกันออกมา
ไม่แน่นะว่าบางทีเธออาจจะเดินผ่านผมไปก็ได้ ภาพใบหน้าที่เคยเห็นแต่ในรูปและจินตนาการกำลังจะกลายเป็นภาพคนจริง
ๆ ออกมาให้ผมเห็น
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วจนยากที่จะข่มใจให้เย็นลงได้
ยากเกินกว่าที่จะบังคับจิตใจให้เดินหันหลังกลับออกไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามา
ใจหนึ่งก็อยากจะยืนรอคนที่ผมอยากเห็น แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าผมจะทำหน้าอย่างไรดี
จะค่อย ๆ แอบมองดีไหมนะ หรืออาจจะทำเป็นแกล้งชะเง้อมองหาใครสักคน
และแอบลอบมองหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะทำทีเป็นมองคนอื่นต่อไป
ยังไม่ทันที่ผมจะเตรียมตัวทัน
บานประตูห้องเปิดออก พนักงานสาวหลายสิบคนทยอยกันเดินออกมา
ผมยังคงเป็นทำทีมองที่บอร์ดหน้าห้อง แต่ก็พยายามสลับหันไปมองคนที่กำลังเดินตรงออกมาจากประตู
จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้นเมื่อหลาย ๆ คนเดินผ่านไปโดยที่ยังไม่พบเป้าหมาย
เวลาผ่านไปหลายนาทีจนผมอยากจะหันหลังกลับ
ทันใดนั้นเสียงปิดประตูดังทำให้ผมใจหาย
คงจะถึงเวลาที่ผมต้องเดินออกไปจากสถานที่ตรงนี้แล้ว ผมบ่ายหน้าออกไปโดยไม่พยายามหันไปมองทางต้นเสียงนั้น
แต่ทว่าเสียง ๆ หนึ่งกับหยุดความคิดทั้งหมดของผมไว้
“มาสัมภาษณ์งานหรือคะ”
เสียงใสแว่วดังมา ผมหันไปมองหน้าเธอ
“รู้ได้อย่างไรครับว่าผมมาสัมภาษณ์งาน”
สิ้นเสียงพูด
ผมรู้สึกตำหนิตัวเองว่าทำไมจะต้องไปย้อนถามเธอนะ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน
แล้ววันนี้ช่วงบ่ายเราเปิดนัดสัมภาษณ์งานค่ะ แต่ เอ... ดูหน้าคุณคุ้น ๆ จังเลย
เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ”
หญิงสาวคนที่ผมไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มายืนพูดคุยกัน
แต่ตอนนี้เธอยืนต่อหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร และคำพูดที่บอกว่าคุ้น ๆ
หน้าผมมาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธออาจจะเห็นรูปโปรไฟล์ของผมและจำมันได้
นั่นหมายความว่าเธอและผมนั้นแข่งกันเล่นเกมจริง ๆ ผมไม่ได้นั่งคิดไปเองคนเดียว
มาถึงตรงนี้ผมคิดแล้วล่ะว่า
ความรู้สึกในตอนนี้มันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เคยขึ้นในรอบหลายปีมานี้
ผมคงจะเดินออกจากตรงนี้แล้วนั่งรถกลับบ้านอย่างสบายใจได้แล้วล่ะ
ความฟุ้งซ่านและพะว้าพะวงก่อนหน้านี้มันได้หายไปหมดสิ้นแล้วนี่
“ผมคงจะหน้าโหลมั้ง ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานหรอกครับ
พอดีแค่มาหาดูประกาศตามโรงงาน ผมขอตัวก่อนนะครับ”
รอยยิ้มเธอยังไม่จาง แต่ผมต้องละสายตาจากเธอแล้ว
ไม่รอช้าผมเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากตึก
ร้านอาหารยามค่ำคืนในบรรยากาศสดชื่น
ที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนักหรอก
คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแห่งนี้
ผมพยายามนั่งฟังเพลงจากวงดนตรีที่เล่นเพลงเบา ๆ อยู่บนเวที หูของผมได้ยินเสียงนั้นแต่ทว่าสมองไม่สามารถแปลความหมายของเพลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ผมนั่งในโต๊ะคนเดียว มีอาหารสำหรับคน ๆ เดียว
เครื่องดื่มสำหรับคน ๆ เดียว และบทสนทนาสำหรับคน ๆ เดียว
นั่นก็คือความเงียบนั่นเอง
สาเหตุที่ไม่รู้ว่าวงดนตรีนั้นร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องอะไร เป็นเพราะใจของผมมัวแต่คิดถึงเธอคนนั้น
น่าแปลกทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าการที่ได้มาเจอเธอ
ได้ยินเสียงพูดของเธอนั้นควรจะทำให้ผมโล่งใจ
เพราะความคาดหวังในการมาที่นี่ก็มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ
แต่นี่ผมกลับว้าวุ่นใจมากขึ้นเป็นเพราะเหตุใดกัน หรืออาจเป็นเพราะว่ารอยยิ้มและ
อัธยาศัยที่เธอมอบให้มันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน แม้ช่วงเวลานั้นมันจะแค่สั้น ๆ
ก็ตาม
ในหัวของผมคงมีแต่ใบหน้าของเธอหรอกหรือ
แม้แต่ลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้านผมยังมองเห็นเป็นหน้าของเธอเลย ให้ตายสิครับ!
แต่ เอ๊ะ... นั่นมันเธอจริง ๆ นี่ ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้เธอมองเห็น
แต่ไม่สำเร็จ เธอปลีกตัวจากเพื่อน ๆ ที่เดินมาด้วยกันและเดินมาทางผมแล้ว
“อ้าว... คุณนี่เอง”
“อ่ะ... ครับ สวัสดีครับ” ผมเลี่ยงตอบไม่ได้
“มาคนเดียวหรือคะ”
เธอถามพร้อมถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผม แต่เรื่องนี้ผมยินดีอยู่แล้ว และความจริงผมเขินอายเกินกว่าที่จะเชิญเธอนั่ง
ผมก้มหน้าลงมองบนโต๊ะที่มีอาหารสำหรับคนเดียวก่อนจะพูด
“ผมมาคนเดียวครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเคยเห็นรูปหน้าคุณในเอกสารสมัครงาน
แต่ว่ามันไม่ใช่ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้แล้วว่าคุ้นหน้าคุณจากที่ไหน”
เธอพูดพร้อมรอยยิ้มใส
หัวใจผมเต้นแรงยิ่งขึ้นจนต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการยกแก้วน้ำมาจิบ
แต่นั่นคงจะทำให้ผมยิ่งดูประหม่ายิ่งขึ้นจนเธอสังเกตได้โดยง่าย
“คุณเคยเห็นผมที่ไหนเหรอครับ”
พูดเสร็จผมก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกเพื่อทำให้ใจเย็นลง
“เราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คยังไงคะ
และคุณก็เล่นเกมแคนดี้แซงหน้าฉันไปไกลแล้วด้วย”
ผมแทบจะสำลักน้ำเพราะสิ่งที่เธอพูด ยังไม่วายมีน้ำกระฉอกออกมาทางจมูกนิดหน่อย
ผมรีบหยิบผ้าเช็ดปากที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ทำทียกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก
แต่ความจริงต้องการเช็ดน้ำที่ออกมาจากรูจมูกต่างหากเล่า ผมอยากจะถามใจจะขาดว่าทำไมเธอถึงหยุดเล่นไป
แต่ก็กลัวเธอจะคิดว่าผมอุตส่าห์ถ่อมาเพื่อถามเรื่องนี้กับเธอ
“พอดีฉันเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง
เลยมีงานให้เคลียร์แทบจะทุกวันเลยค่ะ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังต้องมานั่งดูเอกสาร
ช่วงพักก็หลับอยู่บ้านคนเดียว”
ผมหูผึ่งกับคำว่า ‘อยู่บ้านคนเดียว’
เธอยังไม่มีแฟน
ยังไม่มีครอบครัว แต่ว่าผมจะคิดเรื่องนี้ไปทำไมกัน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
“คงจะอีกสักเดือนหรือสองเดือนงานถึงจะเริ่มคลายตัวลงหน่อย
ถึงเวลานั้นเราคงจะได้มาเล่นเกมแข่งกันอีกแน่ ๆ ค่ะ”
ความรู้สึกปราบปลื้มใจที่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด
นั่นแสดงว่าเธอยังให้ความสนใจในการแข่งเล่นเกมกับผมอยู่
“คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกฉันกะว่าจะเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้ว
แต่เห็นว่ายังมีคนค่อย ๆ ไล่ตามฉันมา ฉันเลยมีแรงฮึดสู้เล่นต่อไป”
ผมนั่งคิดอะไรในหัวคนเดียว คิดแปลกใจว่าทำไมความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกถึงบังเกิดขึ้นใจจิตใจของผม หรือเพราะว่าผมกับเธอนั้นไม่คู่ควรกันเลยแม้แต่นิดเดียว
ด้วยรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน รสนิยมและฐานะทางสังคมมันช่างไปด้วยกันไม่ได้เลย
“มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ
ที่เราสองคนได้มาเจอกันโดยบังเอิญ
ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คได้อย่างไร เราไม่เคยคุยกันเลย
แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ผมนั่งฟังเงียบ ๆ
และเริ่มเคลิ้มจนเกือบจะทำสายตาซาบซึ้งออกไป เป็นเพื่อนกันเหรอ
ผมแอบขำกับคำพูดนี้ในใจคนเดียว เคยมีนักอะไรสักอย่างเคยพูดไว้ว่า ชายกับหญิงไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้อย่างแน่นอน
และผมก็คิดว่าคงไม่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ผมเคยแอบปลื้มและเคยเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาได้หรอก
ผมจะมีเรื่องอะไรไปคุยกับเธอล่ะหากว่าเราเป็นเพื่อนกัน จริงสินะ
ผมเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ
“ว่าแต่คุณ...”
เธอพูดขึ้นมา
ผมพอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงรีบตัดบทขึ้นก่อน
“พอดีผมมีธุระครับ ต้องรีบขอตัวไปก่อน” เธอนิ่งไปเมื่อผมพูดขึ้น
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาและยื่นแบงก์ร้อยสองใบให้โดยคำนวณว่าอาหารและเครื่องดื่มที่ผมกินคงไม่เกินจำนวนเงินที่ให้ไป
ผมสำทับกับพนักงานว่า “น้องไม่ต้องทอนนะ พอดีพี่รีบ”
ในหัวสมองของผมตอนนี้มึนชาไปหมดแล้วเหมือนคนเมายาไม่ได้สติ
ความรู้สึกดีใจกับเศร้าใจมันประดังเข้ามาพร้อม ๆ
กันโดยที่ไม่สามารถแยกออกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
ผมลุกขึ้นยืนจากโต๊ะโดยคิดว่าจะบอกลาเธออย่างไรดี และทันใดนั้นเหมือนผีเปิดปากผม
ผมได้พูดคำ ๆ นั้นออกไปว่า
“ผมกะว่าจะเลิกเล่นเกมนั้นแล้วครับ”
พูดเสร็จผมก็กลับหลังหันเดินออกมา
เมื่อเดินไปได้สองสามก้าวก็นึกอยากจะหยิบขวดเบียร์โต๊ะข้าง ๆ ตีหัวตัวเองให้สลบไป
หรือบางทีอยากจะให้ตัวเองเป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้นเลย จะได้ทำให้เรื่องน่าอึดอัดนี้มันหายออกไปจากใจเสียที
ความอายและความชาถูกกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตาเล็ก ๆ
ผมพยายามกลั้นมันไว้แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาตอนไหน
ผมได้แต่เบี่ยงหน้ามาเพื่อแอบมองเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมและท่าเดิม ถนนหน้าร้านรถราวิ่งขับผ่านไปมาด้วยความเร็ว
ชั่วอึดใจหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงไปนอนให้รถทับตาย
แต่ก็กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วเธอจะต้องมาพาผมไปส่งโรงพยาบาล
เดี๋ยวเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่
ในห้องพักแคบ ๆ ด้วยราคาต่อคืนไม่แพงมากนัก
แต่ยังดีที่ยังมีเตียงนุ่ม ๆ ให้ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
ทีวีเครื่องเล็กถูกเปิดเพื่อให้พอมีเสียงดังสลัดความเงียบงันลงไปบ้าง
แต่ว่าในจิตใจผมก็ยังคงไม่รับรู้กับสิ่งเร้าภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น
ในสมองตอนนี้ได้แต่เฝ้าคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่
แต่ผมก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วล่ะที่ผมไม่สานสัมพันธ์ต่อ
เพราะมันคงจะมีแต่เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ตามมา
และรวมถึงเรื่องที่ผมนั้นคงไม่คู่ควรกับเธอ
เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมกลับมาทำงานที่เดิม ทุก ๆ
อย่างเหมือนเดิมหมดยกเว้นผมไม่สามารถเล่นเกมแคนดี้ ครัชได้อีกต่อไป
เพราะผมได้หลุดปากพูดคำพูดนั้นออกไปแล้วว่าจะเลิกเล่นเกมนี้
มันเหมือนกับเป็นคำพูดที่ค้ำคอผมอยู่ว่าต้องทำตามคำ ๆ นั้น
ในทุกเช้าผมก็ไปทำงานเหมือนเดิม
ในระหว่างชั่วโมงการทำงานความน่าเบื่อก็ยังคงรุมเร้าผมอยู่ทุกวัน
เพราะการทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไร
นั่นจึงทำให้ภาพใบหน้าของเธอปรากฏอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา
ความสำนึกและรู้สึกผิดที่ผมทำเป็นเย็นชาและไม่ใส่ใจเธอ
ซึ่งนั่นมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกภายใจจิตใจของผม
ความปรารถนาดูเหมือนจะมากขึ้น ๆ
ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ตัวเธอ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะหลาย ๆ เหตุผล กลัวการถูกปฏิเสธหรือ
ก็คงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมคงต้องทำทุกวิถีเพื่อจะหยุดเรื่องนี้ไว้
ผ่านไปอีกหลายคืนวันจนผมเริ่มจะทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้ว
คืนหนึ่งหลังจากผมกินข้าวอาบน้ำเสร็จและตรียมตัวจะนอน
ผมทำเหมือนกับทุกคืนคือเปิดเฟซบุ๊คดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย
ร้อยวันพันปีไม่เคยมีในส่งข้อความมาหาผม แต่วันนี้มีเครื่องหมายเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา
เป็นเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะจิ้มลงไปเพื่ออ่านข้อความนั้น แต่พลันคิดได้ว่าหากยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้
จะยิ่งถอนตัวยาก หากแม้เพียงแค่เข้าไปอ่านข้อความ
นั่นจะทำให้เธอรู้ได้ว่าผมได้อ่านข้อความแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ตอบกลับข้อความอย่างแน่นอน
ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้สัญลักษณ์นั้นแสดงคำเตือนต่อไป
ครบหนึ่งเดือนพอดีหลังจากที่ผมบุกไปหาเธอที่โรงงาน
ผมยังจำคำพูดของเธอได้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วเธอจะหายงานยุ่งและจะกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง
ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเลิกคิดถึงเธอไปแล้วแต่ว่าใจของผมดันไปสั่งให้มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเกมเพื่อดูว่าเธอผ่านด่านเพิ่มขึ้นมาหรือยัง
เธอนำหน้าผมไปอีกแล้วหนึ่งเอพพิโสด
มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเล่นผ่านด่านเกือบร้อยกว่าด่านโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วันนี้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยเธอต้องใช้เวลาร่วมเดือนถึงจะเล่นได้ขนาดนี้
หากมันเป็นแบบนั้นนั่นก็หมายความว่าเธอพยายามเจียดเวลาทำงานเพื่อมาเล่นเกมนี่หรือ
หรือว่าเธอตั้งใจว่าอยากให้ผมกลับมาเล่นเกมนี้อีกหลังจากที่ผมบอกเธอไปว่าจะเลิกเล่น
นี่เธอแคร์ผมอย่างนั้นหรือ
ความรู้สึกปลื้มปริ่มนี้มันมาอีกแล้ว นอกจากพ่อแม่ของผม
ก็ไม่เคยมีใครแคร์หรือใส่ใจความรู้สึกของผมเลย แต่มาครั้งนี้เธอคนที่ถูกผมเย็นชาใส่และไม่ใยดีกับเธอ
ก็ยังคงใส่ใจกับความรู้สึกของผมอีก
ผมนึกถึงคำพูดของเธอในคืนที่เราเจอกันที่ร้านอาหาร
นั่นแสดงว่าผมและเธอนั้นใจตรงกันเพียงใด เธอคิดเหมือนที่ผมคิด
และยังกล้าพูดถึงสิ่งที่ใจคิด เพียงแต่ผมไม่กล้า
เมื่อคิดทบทวนหลาย ๆ เรื่อง
ผมคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรกันที่จะทำให้ผมไม่เล่นเกมแข่งกับเธอ
ทำไมผมจะสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไม่ได้ล่ะ ผมตัดสินใจเปิดข้อความที่เธอส่งมา
‘เรามาแข่งกันอีกนะคะ ฉันจะไล่ตามคุณให้ทัน’
ผมยิ้มดีใจอย่างสุดขีดเมื่ออ่านข้อความนั้น
และยังนึกตำหนิตัวเองว่าทำไมทั้งโง่และทั้งบ้าแบบนี้
ความฟุ้งซ่านที่ผมคิดไปเองมันคงบ้าบอเกินไป
มิตรภาพที่เธอมีให้นั้นผมจะทำลายมันไปได้อย่างไรกัน
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำ ๆ หลายรอบและเผลอยิ้มทุกครั้ง
ผมแค่กดส่งสติ๊กเกอร์รูปหน้ายิ้มกลับไปให้เธอทางกล่องข้อความ
เพราะยังไม่รู้ว่าจะทักตอบกลับไปว่าอย่างไรดี
เอาไว้ค่อยให้เวลาและเกมคอยเชื่อมใจของเราทั้งคู่ก็แล้วกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน
ตอนนี้ผมหน้าแดงไปหมดแล้ว
ไม่รอช้า คืนนี้ผมกะจะเล่นเกมแคนดี้
ครัชให้ชุ่มฉ่ำปอดทั้งคืนเลย
หากพรุ่งนี้งัวเงียไปทำงานก็ค่อยไปแอบหลับในเวลางานก็แล้วกัน