คุณหมอเจ้าของไข้เดินเข้ามาในห้องพร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด
ห้องพิเศษในโรงพยาบาลที่สุพจน์นอนอยู่บนเตียง ก่อนหน้านี้สุพจน์ทำสีหน้าสบายอารมณ์ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรมากนัก
"คุณสุพจน์ครับ
คุณไม่มีญาติมาเยี่ยมบ้างเลยเหรอ" หมอถาม
"ไม่มีครับ เมียผมตายไปหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายสามคนกับลูกสาวอีกสองก็แยกย้ายหายหน้าหายตาไปหมด
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน" สุพจน์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ความจริงแล้วเรามีบางอย่างที่จะต้องคุยกับญาติของคุณสุพจน์
แต่ถ้าคุณไม่มีญาติ เราก็อาจจะต้องบอกเรื่องนี้กับคุณสุพจน์เองครับ"
สุพจน์ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เขาหันหน้ามาทางหมอพร้อมขยับแว่นสายตาให้กระชับกับใบหน้า
"ไม่ต้องห่วงครับคุณหมอ ผมพอจะรู้ว่าหมอจะบอกอะไร
อีกไม่กี่เดือนผมจะอายุครบรอบ 73 ปี
ซึ่งผมคิดว่านี่ก็ถือว่านานมากแล้วสำหรับชีวิตนี้"
"หมอได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ
ถ้าอย่างนั้นขอพูดตรงๆเลยนะ มะเร็งตับของคุณสุพจน์นั้นอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว
เราไม่สามารถรักษามันได้ ทำได้แต่เพียงยื้อเวลาได้เพียงไม่กี่เดือน"
หมอหยุดพูด เขาเฝ้าดูสังเกตสีหน้าของคนไข้ที่ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลใดๆออกมา
"ผมเตรียมใจไว้แล้วครับคุณหมอ"
"ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
นับจากนี้ไปเราจะให้ยากับคุณสุพจน์
ที่จะทำไม่ให้คุณทรมานและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ต่อจากนี้ไปคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลเพื่อใช้ชีวิตตามปกติได้ครับ"
"ขอบคุณมากครับคุณหมอ"
เป็นครั้งแรกในรอบเกือบเดือนที่สุพจน์จากบ้านหลังใหญ่ที่ไร้คนดูแล
ข้าวของทุกชิ้น โต๊ะเก้าอี้และเครื่องใช้ต่างอยู่ที่เดิมไร้การเคลื่อนไหว
สุพจน์มองไปรอบๆบ้านอีกครั้ง ความหนาวและความเหงาเข้ามาเกาะกินจิตใจของเขา
สุพจน์มีทรัพย์สินมากมายแต่เขากลับไม่มีใครเหลียวแล ลูกๆทั้ง 5 ต่างเดินไปตามทางของพวกเขาเอง
แต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ มีครอบครัวของตัวเองให้ต้องดูแล
หลายวันผ่านไป สุพจน์ใช้ชีวิตไปตามปกติ
ในแต่ละวันหมดเวลาไปกับการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน
การค่อยๆใช้เวลาทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆ
และรื้อค้นหนังสือหลายร้อยเล่มที่เขาสะสมมาตลอดชีวิต
กล่องพลาสติกสีดำที่หลบซ่อนอยู่ในซอกเล็กๆของห้องเก็บของ
สุพจน์มองไปที่มันและพิจารณา
เขาคิดว่ากล่องใบนี้ไม่เคยถูกเปิดมากว่า 50 ปีแล้ว
ข้างในคงมีหนังสือเก่าๆและเอกสารบางอย่างที่เขาคงจะลืมไปหมดแล้ว
สุพจน์เดินไปที่กล่องใบนั้นและหยิบมันออกมาจากมุมเล็กๆของห้อง เขาเปิดฝากล่องออก
ในนั้นมีหนังสือนิยายสมัยเก่าหลายสิบเล่ม หนังสือทุกเล่มยังอยู่ในสภาพดีเพราะอยู่ในกล่องพลาสติกปิดแน่นหนา
สุพจน์ค่อยๆหยิบนิยายแต่ละเล่มออกมา
เมื่อเขามองแค่หน้าปกเขาก็สามารถจดจำเรื่องราวและตัวละครในนั้นได้อย่างแม่นยำ
สุพจน์เผยรอยยิ้มเมื่อมองไปที่นิยายรักเล่มหนึ่งที่ถูกเขียนมาแล้วกว่า 50 ปี เขานึกถึงความฉลาดและไหวพริบของนางเอกที่มาจากชนบทเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่
ไม่เพียงแต่เขาจะจดจำเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ได้ แต่เขายังคิดถึงเจ้าของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างแม่นยำ
สุพจน์พยายามนึกถึงใบหน้าหญิงสาวเจ้าของหนังสือเล่มนี้
ความทรงจำเกี่ยวกับนิยายของเขาช่างแม่นยำนัก แม้จะเคยอ่านนิยายเล่มนั้นจบมากว่าหลายทศวรรษ
แต่กับใบหน้าหญิงเจ้าของหนังสือเล่มนี้
เขากับไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำออกมาได้ทั้งหมด แต่ทันใดนั้น !!
ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ ภาพถ่ายสีขาวดำใบหนึ่งตกลงกับพื้น
สุพจน์หยิบมันขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มของเขา หญิงสาวในภาพนั้นคืออดีตคนรักเก่าของสุพจน์นั่นเอง
หนังสือนิยายเล่มนั้นถูกวางลงแต่รูปถ่ายของหญิงสาวยังอยู่ในมือของเขา
ในนั้นมีผู้หญิงผมยาวนัยน์ตาสีดำกลมโต ใบหน้ารียาวรับกับริมฝีปากบาง
รอยยิ้มของเธอในภาพเผยให้เห็นฟันที่เรียงตัวกันสวยงาม สุพจน์พลิกแผ่นภาพไปด้านหลัง
มีข้อความสั้นๆเขียนด้วยรอยน้ำหมึกสีน้ำเงินที่เริ่มจะเลือนลางแต่ยังสามารถอ่านใจความได้
'รัก. วัลภา'
รถยนต์คันเก่าค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านย่านถนนที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องมากมาย
สุพจน์ค่อยๆชำเลืองหันซ้ายและขวาเพื่อหาสถานที่ที่เขาคุ้นเคย แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปกว่า
50 ปีแล้วทำให้สุพจน์ไม่สามารถระบุสถานที่ไหนได้เลย
เขาขับวนไปเวียนมาหลายรอบจนสายตาไปสะดุดกับต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นวางเรียงกันตามแนวของกำแพง
สุพจน์จอดรถที่หน้าบ้านหลังนั้น เขามองเข้าไปในตัวบ้าน
ในนั้นปรากฏบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่สูง แม้ตัวบ้านจะได้รับการปรับปรุงเรื่องเสาและคานที่เสริมเหล็ก
มีการติดบานกระจกตามประตูและหน้าต่าง แต่รูปทรงตัวบ้านที่ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดี
ทำให้สุพจน์จดจำบ้านหลังนี้ได้อย่างแม่นยำ
สุพจน์กดกริ่งหน้าประตูบ้าน
ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านและค่อยๆวิ่งออกมาที่รั้วหน้าบ้าน
"สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ" หญิงสาวยกมือไหว้ สุพจน์ยืนนิ่งมองใบหน้าของเธอ
พลางคิดว่าหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะเห็นในรูปถ่ายเมื่อไม่นานมานี้เดินออกมาเปิดประตูบ้านให้เขา
"คือผมมาหาคุณวัลภาครับ"
สุพจน์รับไหว้ก่อนจะโต้ตอบ
"มาหาคุณย่าเหรอคะ เชิญเข้ามานั่งรอในบ้านก่อนค่ะ
เดี๋ยวหนูจะไปเรียกคุณย่าให้นะคะ"
สุพจน์คุ้นเคยกับรอยยิ้มนี้เป็นอย่างดี
รอยยิ้มของวัลภาที่เขาเคยจ้องมองและเคยใฝ่ฝันหา
มาบัดนี้เขากลับได้เห็นมันอีกครั้งผ่านใบหน้าหลานของวัลภา
"ขอบคุณมากครับ"
สุพจน์เดินเข้าไปนั่งในห้องรับแขก เขานั่งลงบนเก้าอี้ยาวในชุดโซฟา
เขามองเครื่องเรือนหลายชิ้นที่ล้วนเปลี่ยนเป็นของใหม่แทบทั้งสิ้น
ต่างจากนาฬิกาแขวนเรือนไม้โบราญที่เขาจำมันได้แม่นยำนัก
และตอนนี้นาฬิกาเรือนนั้นยังคงทำหน้าที่บอกเวลาได้อย่างที่มันเคยเป็น
"เดี๋ยวหนูจะไปบอกคุณย่านะคะว่า... เอ่อ ?"
"บอกว่าสุพจน์มาหาครับ ผมชื่อสุพจน์"
สาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆรับคำพร้อมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
เธอหายไปสักพักก่อนจะเดินกลับ
"คุณย่าขอเวลาประมาณ 20 นาทีนะคะ
คุณตานั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ"
สุพจน์นั่งรอที่ชุดโซฟา
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกประหม่าที่จะมาเจอหน้าคนรักเก่า คนที่ไม่เคยเจอหน้ามากว่า 50 ปี แล้ว เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆที่ลงเอยไม่ค่อยดีระหว่างเธอกับเขานั้น
ทำให้ไม่รู้ว่าสุพจน์จะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอหน้ากับวัลภา
"คุณตาคะ
คุณย่าเชิญพบที่ห้องทานอาหารข้างหลังบ้านค่ะ" สาวน้อยหน้าใสกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอผายมือไปทางหลังบ้านนำทางให้สุพจน์ตรงไปห้องที่มีโต๊ะสำหรับกินข้าว
สุพจน์เดินเข้าไปในห้อง
เขาเห็นหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ตอนนี้วัลภาแต่งหน้าให้ดูเรียบร้อย ทาริมฝีปากสีสดใส ผมที่รวบตึงพร้อมมัดเรียบร้อย
ชุดเสื้อผ้าสวยงามที่เธอใส่ วัลภาบรรจงแต่งตัวดีเป็นพิเศษ
เมื่อแขกคนพิเศษมาเยี่ยมเธอ
"สวัสดีวัลภา เป็นยังไงบ้าง"
สุพจน์พยายามเริ่มคุย สีหน้าของเขายังคงเกร็ง
"มาที่นี่ทำไม !! หายหน้าไปตั้งนาน
ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว" วัลภาพูดกระแทกเสียงดังทำให้สุพจน์ตกใจ
สุพจน์ทำหน้าตาเหรอหรา เขาหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา
มันคือหนังสือนิยายเล่มนั้น
วัลภารับหนังสือมาจากมือสุพจน์
เธอจ้องดูหน้าปกก่อนจะหันสายตาดุมาที่สุพจน์
"ยังมีหน้าเอามาคืนอีกเหรอ
ฉันนึกว่าเธอลืมไปแล้ว" แววตาของวัลภายังสร้างความตรึงเครียด
สีหน้าสุพจน์ดูหดหู่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาฝ่ายตรงข้าม
ท่าทางนั้นสร้างความตลกขบขันให้วัลภา จนวัลภาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
รอยยิ้มและแววตาที่ผ่อนคลายของวัลภา
ทำให้สีหน้าของสุพจน์เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
"ถ้าเป็นเมื่อ 50 ปีที่แล้วฉันก็คงจะพูดแบบนี้และอาจจะตบหน้าเธอแรงๆสักที"
วัลภายังคงหัวเราะ
"เธอไม่โกรธฉันเหรอ ที่ฉันเอ่อ... หายไป"
สุพจน์ทำท่าโล่งใจ
"โกรธสิ โกรธมากด้วย ฉันแค้นเธอมากพอกับที่ฉันเคยรักเธอ
แต่จะให้ทำยังไงล่ะ นี่ก็ผ่านมาตั้งนาน แต่ละคนก็คงมีลูกมีหลานกันไปแล้ว
กาลเวลาช่วยทำให้ฉันลืมเลือนมันไปหมดแล้วล่ะ"
"เธอพูดจริงหรือ ฉันได้ยินแบบนั้นก็ดีใจ
ถึงอย่างไรก็แล้วแต่
ฉันต้องขอโทษที่ไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยพูดไว้กับเธอได้นะ"
"มันก็น่าแค้นนะ ถูกคนที่เรารักผิดคำพูด
ในตอนนั้นเรายังเด็กกันทั้งคู่ ผ่านมานานแล้วฉันก็เข้าใจ
คนทุกคนก็มีความจำเป็นที่แตกต่างกันไป"
"ใช่ ครั้งนั้นมีความจำเป็นบางอย่าง
ที่ทำให้เราทั้งสองคนไม่ได้แต่งงานกัน
ในตอนนั้นฉันรู้ดีว่าฉันหายหน้าไปจากเธอโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย
เพราะขี้ขลาดเกินไปที่จะมาบอกเธอตรงๆว่าฉันไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้"
"ฉันเข้าใจๆ สุพจน์
ตอนนั้นเป็นฉันเองต่างหากล่ะที่ไม่ยอมไปเจอหน้ากับเธอด้วย เราทั้งคู่ต่างก็มีทิฐินะในตอนนั้น
แต่ฉันก็ดีใจนะที่ในชาตินี้ยังมีโอกาสได้พบกับเธอ"
ทั้งคู่ต่างจ้องหน้าซึ่งกันและกันเหมือนครั้งที่ยังเคยเป็นคู่รักกัน
ความบาดหมางในอดีตของสุพจน์ได้รับการคลี่คลายแล้ว
“ว่าแต่ทำไมถึงเพิ่งจะมาหาฉันล่ะ
ความจริงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่ เธอรู้มั้ยว่าทำไมฉันยังพยายามรักษาบ้านหลังนี้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากนัก”
“ทำไมหรือ”
“เพราะฉันกลัวว่าถ้าเธอผ่านมาแถวนี้จะจำบ้านของฉันไม่ได้น่ะสิ
ดูรอบๆบ้านฉันเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วนะ ตึกรามบ้านช่องเปลี่ยนแปลงไปหมด”
“จริงพูดจริงเหรอวัลภา
แต่ก็จริงอย่างที่เธอว่าไว้นะ ฉันจำบ้านทรงไทยหลังเดิมได้
ถึงได้จอดรถหน้าบ้านของเธอ”
“นี่เธอตั้งใจมาหาฉันหรือแค่ขับรถผ่านมาล่ะจ้ะ”
“ฉันตั้งใจจะมาหาเธอ
ความจริงแล้วที่ฉันมาก็มีหลายเรื่องอยากจะบอกนะ อยากจะมาขอโทษในหลายๆเรื่อง”
“เธอไม่ต้องขอโทษแล้ว
ระหว่างเราไม่มีอะไรให้โกรธเคืองกันอีกแล้ว ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะมาบอกเหรอ”
วัลภาถามด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เพราะเธอเห็นน้ำเสียงของสุพจน์ที่ดูจะเบาและแผ่วลง
“คือว่าฉันเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
หมอบอกว่าหมดโอกาสที่จะรักษาแล้ว คงจะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน
ฉันมาหาเธอเพื่ออยากจะบอกเรื่องนี้ให้กับคนที่เรา... เอ่อ..”
สุพจน์หยุดชะงักคำพูดไปชั่วครู่ “คนที่เราแคร์น่ะ”
วัลภาได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้เธอหน้าแดง
แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากสุพจน์ทำให้เธอไม่มีเวลาอายมากนัก
“เรื่องจริงหรือนี่
ฉันเสียใจด้วยนะสุพจน์ เธอย่าเสียใจมากนะขอให้ทำใจให้สบายๆ” วัลภาทำสีหน้าเป็นทุกข์ร้อนแทนสุพจน์
นั่นทำให้สุพจน์เห็นถึงความห่วงหาอาทรจากวัลภา
“ใจเย็นๆวัลภา
ฉันไม่ได้เป็นทุกข์ร้อนอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ถ้าฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนอายุซัก 40 หรือ 50 ฉันอาจจะร้องไห้เสียใจ แต่ตอนนี้ฉันจะ 73
แล้วนะ มันก็เยอะพอแล้วสำหรับชีวิตนี้
วัลภาเอื้อมมือไปโอบมือของสุพจน์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
เธอบีบมือเขาเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ น้ำตาของวัลภาไหลอาบสองแก้ม
“อะไรกันวัลภา
เธอจะร้องไห้ทำไมกัน”
“ฉันซาบซึ้งใจที่เธอสามารถปลงได้กลับชีวิตนี้แล้วน่ะสิ
เธอเข้มแข็งมากนะ ฉันคิดว่าถ้าเป็นฉันฉันคงนั่งอมทุกข์ทั้งวันแล้ว”
“ไม่หรอก
มันเป็นการปรับตัวปรับจิตใจให้ยอมรับกลับสภาวะที่เราเป็นอยู่น่ะ เพราะความตายมันมายืนรออยู่ตรงหน้าไง
ฉันเลยต้องญาติดีกับความตายซะหน่อย
เพื่อที่จะได้ไม่เป็นทุกข์มากนักในตอนที่ยังไม่ตาย
ฉันคิดว่าหากเป็นเธอเธอก็อาจจะคิดแบบนี้”
“ใช่แล้ว
เธอพูดถูกนะสุพจน์ ว่าแต่ช่วงเวลาต่อจากนี้ไปเธอจะทำอะไรล่ะ”
วัลภาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สุพจน์กลับมีสีหน้าที่นิ่งและเรียบเฉยกว่า
“ฉันก็จะออกเดินทางไปพบกับคนที่เคยมีเรื่องค้างคาใจหรือเคยบาดหมางมาก่อน
เท่าที่จะนึกออกน่ะ บางทีแล้วสิ่งนี้อาจจะทำให้ฉันนอนตายตาหลับก็เป็นได้”
สุพจน์และวัลภานั่งคุยถึงเรื่องราวในอดีตกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนที่รู้จักกันมาต่อเนื่องยาวนาน
เขาและเธอใช้เวลาไปหลายชั่วโมงนั่งอยู่ในมุมเล็กๆของบ้านหลังนั้น
เมื่อถึงเวลาที่สุพจน์เห็นสมควร เขาบอกลากับวัลภา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว
ฉันคงต้องกลับไปพักผ่อนก่อนนะ แม้หมอจะให้ยามาเยอะแต่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย”
“ดูแลตัวเองดีๆนะสุพจน์
ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในช่วงเวลาใกล้ๆนี้เธอจะมาเที่ยวหาฉันอีก
และคอยส่งข่าวมาให้ฉันบ้างนะ”
ทั้งคู่ล่ำล่ากันก่อนที่สุพจน์จะขับรถออกมาจากบ้านทรงไทยหลังนั้น
ระหว่างที่เขาขับรถกลับบ้าน
เขาเฝ้าคิดถึงชายคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไรเขาก็อยากที่จะไปพบให้ได้
สุพจน์กลับมาถึงบ้านในเวลาที่ฟ้ามืดเห็นแสงจันทร์ส่องสว่าง
เขาเปิดไฟในบ้านสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือความเงียบและวังเวงเกินไป
เงียบเกินไปที่สุพจน์จะอยู่นิ่งๆพักผ่อนได้ หลังจากที่เขาอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว
สุพจน์เดินเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง ครั้งนี้เขาตรงไปยังตู้ไม้สูงใหญ่
เขาเปิดบานกระจกออกและหยิบซองหนังสีดำออกมา ในนั้นมีปืนสั้นลูกโม่สีดำขลับ เขาเปิดลูกโม่ออกมาดูในนั้นมีเพียงช่องเดียวที่ไม่มีลูกกระสุน
ช่องอื่นๆกระสุนเต็มหมด สุพจน์เก็บปืนไว้ในซองหนังเหมือนเดิม
เช้าตรู่สุพจน์ออกจากบ้านในรถคันเก่าคันเดิม
เขาขับรถล่องไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจำ เขาไม่ได้มาที่นี่เกือบ 40
ปีแล้ว เรื่องราวคราวนั้นระหว่างเขากับคนที่เขาจะไปหาเป็นเรื่องความบาดหมางที่แทบจะเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว
รถยนต์เข้าจอดหน้าบ้านริมน้ำหลังไม่ใหญ่นักแต่ร่มรื่นสงบ
เขาเดินลงจากรถแต่ยังไม่พบใคร สุพจน์เดินไปที่ประตูและเคาะเรียก
“ใคร
!” เสียงตะโกนดังลั่นจากในบ้าน
ถ้าทางไม่รับแขกของเจ้าบ้านไม่ทำให้สุพจน์หวาดหวั่นแต่ประการใด
“ผมสุพจน์เองครับพี่จรัล”
สุพจน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
เขาก้าวถอยหลังเดินออกมาให้พ้นรัศมีของประตูบ้าน ไม่นานเสียงดังกุกกักเหมือนคนกำลังค่อยเดินมาที่ประตูจากด้านใน
เสียงเดินไม่ได้จังหวะ เหมือนเจ้าของเสียงเท้าเดินกระเผก
‘ผัวะ !’ เสียงประตูถูกถีบเสียงดัง
เมื่อประตูบ้านเปิดออกสุพจน์เห็นชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา กำลังค่อยๆวางเท้าจากที่เพิ่งจะยกขึ้นถีบประตู
จรัลผมเผ้ายาวรุงรังไร้การดูแล
“แกมาทำไมวะ”
จรัลยืนจ้องตาใส่สุพจน์เขม็ง จนสุพจน์พยายามหลบสายตา
“ผมอยากมาเคลียร์ปัญหาระหว่างเราสองคนคิดว่าคงจะไม่สายเกินไปนะครับ”
จรัลยืนงงกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน
รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อยบนหน้าของเขา ไม่นานจรัลระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
นั่นเรียกความคลายกังวลจากสุพจน์ได้บ้าง
“เสียใจด้วยนะสุพจน์แกมาสายไป
แต่โชคดีที่ข้าหายโกรธแกนานแล้ว มาเข้ามา เข้ามาในบ้านก่อน”
จรัลกวักมือเรียกสุพจน์ให้เดินเข้าไปในบ้าน
สุพจน์เดินนำไปโดยที่จรัลเดินตามด้วยท่าทางการเดินที่กระเผลกๆ
ทั้งคู่นั่งลงบนชุดรับแขก
“ทำไมแกถึงยังกล้ามาที่นี่อีกวะ
ไม่กลัวข้าเอาปืนยิงแกเหรอ” จรัลถาม สุพจน์อมยิ้มก่อนจะตอบ
“พี่จะยิงผมได้อย่างไรในเมื่อปืนของพี่อยู่กับผม”
สุพจน์หยิบซองหนังสีดำออกมาจากกระเป๋า เขาวางมันลงบนโต๊ะ
จรัลหยิบซองหนังสีดำและล้วงหยิบเอาด้ามสีดำในซองออกมา
เขาเปิดดูลูกโม่ ในนั้นเขาเห็นกระสุนหายไปหนึ่งนัด จรัลหัวเราะในลำคอทันที
“นี่
! กระสุนหนึ่งนัดที่หายไปมันอยู่ตรงนี้” จรัลพูดเสร็จก็ถลกกางเกงขาซ้ายให้เลยขึ้นหัวเข่า
มีรอยแผลเป็นลักษณ์รอยนูนวงกลมไม่ใหญ่นักเหนือเข่า
“มันฝังอยู่ในนี้มา
43 ปีแล้ว”
“ผมขอโทษสำหรับเหตุการณ์ในวันนั้นครับ
ในตอนนั้นเราอยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นใจร้อนเกินไป” สุพจน์โค้งหัวให้จรัล
“เอาน่าๆ
เหตุการณ์วันนั้นเราก็รู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่แกฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายผิด
แต่เรื่องราวในวันนั้นให้มันจบลงแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าแกไม่ชิงปืนของฉันไปและเอาปืนมายิงเข่าฉัน
ตอนนั้นแกคงโดนยิงตายและฉันก็ติดคุกหัวโตไปแล้ว”
“ถ้าพี่คิดแบบนั้นผมก็สบายใจ”
สุพจน์ทำท่าโล่งใจ
“เอ้อ...
แล้วแม่มาลีเธอเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ย”
“เธอตายไปได้หลายปีแล้วครับ
ผมเสียใจมาก แต่ก็ต้องยอมรับสภาพ”
“หา
เธอตายแล้วเหรอ ทำไมไม่ส่งข่าวบอกฉันเลยวะ”
“ผมกลัวว่าพี่จะยังโกรธอยู่”
“โธ่
! ไอ้บ้าเอ๊ย เรื่องราวผ่านมาเป็นสิบๆปีแล้วจะให้อาฆาตอะไรกันนักหนาวะ”
“ก็ไม่รู้นี่
ว่าแต่พี่อยู่บ้านนี้คนเดียวหรือครับ”
“ใช่
ฉันคบใครก็คบได้ไม่นานก็เลิก บางทีแล้วฉันอาจจะคิดถึงแม่มาลีมากเกินไปนะ
เมื่อตัดไม่ขาดก็เป็นทุกข์แบบนี้แหละ”
“ผมขอโทษที่แย่งมาลีมาจากพี่”
“แกพูดอะไรแบบนั้น
ความจริงแล้วเธออาจจะรักแกจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่จนแก่เฒ่าแบบนี้ได้หรอก
ฉันเองต่างหากล่ะที่เกือบจะบังคับขืนใจแม่มาลี
มันคงจะเป็นตราบาปมากกว่าถ้าทำให้คนที่ตัวเองรักเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต”
สุพจน์ไม่พูดอะไรตอบ เข้าหลบสายตาผู้พูด
“ว่าแต่ทำไมแกเพิ่งจะมาในวันนี้วะ”
“คือผมเป็นมะเร็งในตับระยะสุดท้าย
หมอบอกว่าจะอยู่ต่อได้อีกไม่กี่เดือน ผมคิดว่าก่อนจะตายจึงอยากจะมาสะสางเรื่องทีค้างคาใจให้หมดสิ้นก่อนตาย”
“แกพูดจริงหรือนี่
อืม... แต่ก็อย่างว่าเนอะ เราก็ไม่ใช่จะอายุกันน้อยๆแล้ว จะอยู่หรือตายก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก”
ทั้งคู่นั่งเงียบไปพูดอะไรกันช่วงหนึ่ง
ก่อนจรัลจะพูดขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน
“งั้นวันนี้แกมากินเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยมั้ย
ฉันมีเหล้าชั้นดีที่เก็บเหลือไว้ ถ้านับอายุของมันตอนนี้คงรวมกันเกือบจะ 60 ปีแล้ว” จรัลเดินไปหยิบขวดเหล้าออกมาจากตู้โชว์
สุพจน์เห็นสีของน้ำในขวดที่เหลืองใส รสชาติของมันคงจะนุ่มละจนยากที่จะปฏิเสธ
“แต่ผมเพิ่งจะเป็นมะเร็งตับในระยะสุดท้ายนะพี่”
สุพจน์พูดปราม แต่แววตาของเขายังจดจ้องไปที่ขวดน้ำสีทองใส
“แกพูดอย่างกับว่าถ้าแกไม่กินเหล้า
แกจะมีชีวิตต่อไปได้อีกสิบๆปี” จรัลพยายามโน้มน้าว
“ก็ได้ครับพี่
ผมขอพอกินให้รู้รส”
จรัลบิดฝาเกลียวขวดเหล้าเปิดออก
แค่กลิ่นจากของเหลวที่ระเหยออกมาทำให้สุพจน์ถึงกับชุ่มชื่นกับรสชาติที่เขาคุ้นเคย
“หมอสั่งผมเลิกกินเหล้ามาหลายปีแล้ว
ตั้งแต่ตรวจพบว่าผมเป็นมะเร็งในระยะแรกๆ”
“นั่นไงเห็นไหม
เพราะแกถูกสั่งห้ามจากสิ่งที่แกรัก ทำให้แกเครียดจนมะเร็งลุกลาม”
สุพจน์คิดว่าจรัลอาจพูดถูก
เขาเคยใช้เหล้าเป็นเครื่องมือทำให้จิตใจของเขาสงบลงหลายครั้งเมื่อความสับสนวุ่นวายรบเร้าจิตใจ
แต่เมื่อเขาไม่สามารถแตะมันได้อีก นั่นจึงทำให้เขาต้องเก็บอมความทุกข์ไว้นานขึ้น
จิบแรกในรอบหลายปีที่เหล้าสัมผัสเข้าปากของสุพจน์
ความรู้สึกของเขาเหมือนกับล่องลอยไปบนท้องฟ้า
สุพจน์ลืมเลือนความทุกข์จากหลายๆปีที่สะสมมาในหัวสมองของเขา
รอยยิ้มและวาวตาที่ผ่อนคลายของสุพจน์ทำให้จรัลรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีนั้น
“แด่ความทุกข์ที่ทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งขึ้น”
สุพจน์พูดก่อนเทน้ำสีเหลืองจางๆใส่ปาก
ทั้งคู่นั่งดื่มเหล้าขวดนั้นเนิ่นนานจนตะวันลับขอบฟ้า
สภาพของสุพจน์เมามายเกินกว่าที่จะขับรถกลับบ้านไหว จรัลยกข้าวต้มร้อนๆในครัวออกมาและตักแบ่งใส่ชาม
“เป็นอย่างไรบ้าง
ดื่มข้าวต้มร้อนแล้วนอนพัก พรุ่งนี้แกค่อยขับรถกลับก็ได้” จรัลพูด
เช้ารุ่งขึ้นสุพจน์กลับบ้านด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
หลายเรื่องที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของเขาได้รับการชำระล้างไปได้เยอะแล้ว
อีกหนึ่งอาทิตย์เขาจะต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย
สุพจน์ไม่ห่วงหรือกังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว
ในห้องทำงานหมอเจ้าของไข้ของสุพจน์
สุพจน์นั่งฝั่งตรงข้ามกับหมอที่กำลังเปิดเอกสารออกจากแฟ้ม
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นครับคุณสุพจน์
เชื้อมะเร็งที่อยู่ในตัวคุณเริ่มจะหายไปเกือบจะหมดแล้ว
ในทางการแพทย์การที่เชื้อมะเร็งหายไปขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ แต่ทุกสิ่งทุกย่างในโลกนี้ล้วนย่อมเป็นไปได้เสมอ
ผมยินดีกับคุณสุพจน์ด้วยนะครับ”
สุพจน์เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยจิตใจที่กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง
เหมือนกับตะกอนหัวใจของเขาถูกชำระล้างออกไปจดหมดสิ้นแล้ว เขาวางแผนว่าจะไปบอกข่าวดีนี้กับวัลภาให้เธอได้ฟัง
หลังจากนั้นเขาวางแผนว่าจะไปเที่ยวหา
จรัล พร้อมกับเหล้าชั้นดีอีกหนึ่งขวดที่เขาเจอมันในห้องเก็บของเมื่อไม่นานมานี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น