วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุดแท้ทางเดิน



แกร๊ก!!

เสียงคีมยักษ์ตัดโซ่เหล็กหนาใหญ่ เหล็กชิ้นโตแตกละเอียดอย่างง่ายดาย โดยที่วิชิตไม่ต้องออกแรงมากนัก แผงประตูเหล็กถูกวางเรียงต่อๆกันถูกพันธนาการด้วยสายโซ่คล้องไปมาแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเดินเข้าไป ในตัวอาคารร้างที่ถูกหยุดก่อสร้างกลางคันเพราะพิษเศรษฐกิจ กำแพงผนังเปลือยตะไคร่เริ่มขึ้นแล้ว ชั้น 8 ที่เป็นชั้นบนสุดมีแค่การก่ออิฐขึ้นเป็นโครงเท่านั้น และชั้นบนขึ้นไปอีกก็เป็นดาดฟ้าที่มีขยะก่อสร้างวางทิ้งไว้เต็มไปหมด

เกร๊งงงงง!!

คีมเหล็กยักษ์ถูกปล่อยวางลงพื้นปูนทันทีที่มันหมดประโยชน์อีกต่อไป วิชิตค่อยๆเดินผ่านกรงลวด สายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆกับความน่าสะพรึงกลัวของตัวอาคาร และด้วยยามวิกาลเวลานี้แล้ว เขาแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าในตัวอาคารมีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงแค่แสงเงาจันทร์ในคืนเดือนหงายเท่านั้น ที่ส่องสะท้อนภายนอกตัวอาคารเพื่อให้รู้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน วิชิตไม่ลังเลใดๆที่จะเดินฝ่าความมืดมิดเข้าไปในตัวอาคาร

วิชิตเดินขึ้นบันไดวนยาวจนถึงชั้นบนสุด แค่เพียงจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เดินสะดุดกองเศษอิฐที่วางระเกะระกะแล้ว จนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น แต่วิชิตก็พยายามเดินต่อไปโดยเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะใช้มือสัมผัสราวบันไดขึ้นไป  และในชั้นที่ 3 วิชิตก็เดินเตะเข้ากับแท่งเหล็กจนหน้าแข้งของเขาอาบไปด้วยเลือด แต่วิชิตเองก็ไม่ได้สนใจหรือร้องครวญครางใดๆออกมาเลยสักนิดเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลใดๆที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นดาดฟ้า

ในที่สุดวิชิตก็มองเห็นแสงจันทร์เดือนหงาย ที่ลอดผ่านช่องประตูทางออกสู่ลานบนดาดฟ้า  เขาก้าวผ่านมันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าประตูบานนี้คือประตูสู่ยมโลกสำหรับเขา ใช่แล้ว! วิชิตขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของตึกร้างแห่งนี้ เพื่อที่จะมาฆ่าตัวตายนั่นเอง ชั่วอึดใจเดียวโดยที่วิชิตก็ยังไม่ทันรู้ตัว ขาของเขาทั้งสองข้างก็มายืนอยู่บนขอบตึก แม้ตัวตึกจะสูงเพียงแค่ 8 ชั้น แต่ข้างล่างที่มีกองเศษเหล็กเศษไม้วางทับถมกันเยอะแยะ วิชิตคิดว่าร่างของเขาคงต้องโดนแท่งเหล็กหรือไม้ เสียบตายคาที่แน่นอน คงไม่ต้องนอนทรมานหากเขายังไม่ตาย

วิชิตยืนนิ่งตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เขานึกถึงภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เสนอข่าวนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขึ้นมากระโดดตึกตายที่นี่ตรงนี้ ตำแหน่งที่เขายืนก็น่าจะใกล้เคียงกับตำแหน่งที่นักธุรกิจก่อนหน้านี้ยืน เพราะภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ถ่ายลงไปยังกองศพ ที่ลงไปนอนจมกองเลือดบนกองเศษเหล็กเศษไม้ข้างล่างนี้เอง ไม่แน่ว่าคราบเลือดก่อนหน้านี้อาจจะยังคงอยู่ข้างล่างนี้เอง หากมันไม่ถูกน้ำฝนชะล้างออกไปก่อนแล้ว

วิชิตเคยสงสัยมานานแล้วว่า สภาวะจิตสุดท้ายของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นเป็นเช่นไร อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่ง ยอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยความทรมาน พวกเขาเหล่านั้นไม่กลัวเจ็บกันหรืออย่างไร แล้วโลกหลังความตายสำหรับคนที่ทำอัตวิบากกรรมกับตัวเอง ในทางความเชื่อนั้นเมื่อตายไปแล้ว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

วิชิตเองก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไรกัน เพราะวิชิตก็ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยตอนนี้ หรือพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน จึงทำให้กล้าที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้วิชิตก็พร้อมแล้วที่จะตาย

แต่ทันใดนั้น! มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกสติของวิชิตกลับขึ้นมาจากภวังค์ กลิ่นควันบุหรี่ วิชิตได้กลิ่นควันบุหรี่ใกล้ๆเขา มีควันจางๆลอยผ่านหน้าเขาด้วย วิชิตหันหน้าไปที่ต้นทางของควัน เขาเห็นคนยืนดูดบุหรี่ข้างๆเขา บนขอบตึกข้างๆที่วิชิตไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทราคาแพงถูกดึงออกหลวมๆ ชายเสื้อที่ดึงออกนอกกางเกง รองเท้าหนังหรู วิชิตคิดว่าหรือนี่จะคือผีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สิ คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่น่าจะอายุเลยเลข 7 ไปแล้ว วิชิตสาวเท้าขวาที่เตรียมก้าวพ้นขอบตึกไปแล้วครึ่งก้าวกลับเข้ามา และพยายามตั้งสติทั้งหมดที่เขามีอยู่

"ลุงมาทำอะไร?" วิชิตถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
"ลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหมดบุหรี่มวนนี้ก่อน" น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่มีแรง พูดเสร็จเจ้าของเสียงก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาทางปาก
"แน่ใจเหรอว่าลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ยังจะมาสูบบุหรี่อย่างสบายใจไม่เหมือนคนอยากตายเลย"

ตอนนี้วิชิตเริ่มหมดความคิดที่จะตายแล้ว เขาอยากไขข้อข้องใจในใจเกี่ยวกับชายชราที่อยู่ตรงหน้า

"คนเรามันก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันนะ ลุงน่ะเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเป็นภาระของลูกหลานอีก"
"แล้วทำไมถึงไม่รักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆล่ะ มะเร็งปอดรักษาได้อยู่แล้วนี่"

แสงจันทร์สาดส่องชายทั้งสอง วิชิตหันหน้ามาสังเกตดูชายแก่ข้างๆเขา ร่างกายที่ผอมโซและสั่นไร้เรี่ยวแรง หายใจลำบาก ดูเหมือนคนป่วยในระยะสุดท้ายแล้ว

"ปอดลุงเหลือข้างเดียวแล้วตอนนี้ เคยฉายรังสีหลายครั้งในช่วงแรกๆ สภาพลุงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ" ลุงพูดจบก็ทำท่าจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น
"ก็ลุงยังไม่เลิกดูดบุหรี่น่ะสิ แล้วจะรักษาหายมั้ยเนี่ย"
"จะให้ลุงเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่คือความสุขเดียวในชีวิต" ชายชราพูดเสร็จก็คีบมวนบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก และอัดควันเข้าปอดอีกรอบ ก่อนจะตามด้วยเสียงไอที่แหบแห้งอย่างรุนแรง
"ลูกเมียของลุงไม่มีเหรอ?"
"เมียลุงตายไปนานแล้ว เธอโดนจี้ชิงทรัพย์ คนร้ายยังเอาเธอไปฆ่าข่มขืนอีก"
"นั่นเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงสูบบุหรี่อย่างหนัก" วิชิตพยายามเดา
"ใช่ มันทำให้ลุงสูบมันหนักขึ้น" สายตาของชายชราทอดยาวไปที่แสงจันทร์
"แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม มาทำอะไรบนนี้"
"ผมก็จะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกัน"
"เธอมีเรื่องทุกข์อะไร? ถึงจะมาหนีปัญหาแบบนี้ ร่างกายเธอยังแข็งแรงดี แต่งตัวก็ดีคงพอมีฐานะ"

วิชิตจ้องไปที่ใบหน้าของชายชรา ก่อนที่จะเปลี่ยนจุดมองไปที่จุดๆเดียวกับที่ชายชรามอง นั่นก็คือแสงจันทร์

"ทุกข์กายไม่ทุกข์เท่าทุกข์ใจ" น้ำเสียงแผ่วเบา ออกมาจากปากของวิชิต แต่มันยังดังพอที่ชายชราจะได้ยิน

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างคนป่วย

"แน่ใจแล้วเหรอพ่อหนุ่ม ไหนเธอลองว่ามาสิ ว่าทุกข์ใจของเธอมันหนักหนาสาหัสอะไรกัน"
"ผมเหรอ ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีเธอ"
"คนรักของเธอทิ้งเธอไปหรือ" คนชราหยุดสูบบุหรี่แล้ว เขาหันหน้ามาทางวิชิตเพื่อตั้งใจฟัง
"ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันคงจะตัดใจได้ง่ายกว่า คนรักของผมเธอถูกพ่อแม่บังคับให้ไปแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก แต่ชายคนที่เธอรักนั้นก็คือผมเอง"
"หา! ในสมัยนี้ยังมีเรื่องเช่นนั้นอยู่อีกหรือนี่" ชายชราเปลี่ยนอิริยาบถ จากท่ายืนที่ขอบตึกเปลี่ยนเป็นนั่งลง เพราะความเมื่อยล้า สักพักวิชิตจึงนั่งลงตาม เพราะเขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ชายชราเพิ่งจะถาม

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะคิดอย่างไร แต่ใครไม่เป็นผมก็คงไม่รู้หรอก ว่าความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มันน่าเจ็บช้ำเพียงใด"

ชายชราจ้องมองหน้าวิชิต ที่ตอนนี้ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ

"ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ถ้าใครไม่เป็นเธอก็คงไม่รู้หรอก"

วิชิตใช้ข้อมือปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาทางจมูก เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้น้ำไหลขึ้นไปถึงดวงตา

"โรคภัยของลุงมันคงทรมานมาก จนทำให้ลุงอยากจะหนีมัน หรือลุงอาจจะสู้กับมันไม่ไหวแล้วใช่มั้ย?"

วิชิตเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ไม่เชิง!"

ชายชราตอบทันควัน ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายในสิ่งที่เขาคิด

"ความทรมานลุงชินชากับมันแล้ว และเรื่องที่ว่าจะสู้กับมันไหวหรือไม่ ลุงสู้ไหว ลุงมีเงินเป็นโกดังที่จะจ้างหมอที่ดีที่สุดในโลกมารักษา แต่ประเด็นคือไม่รู้จะสู้กับมันเพื่ออะไร หากสู้ชนะทำให้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไงล่ะ จะให้ลุงทำอะไรต่อ"

วิชิตเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนรอบข้างเขา ทำไมจึงไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรทำให้วิชิตอยากตาย แม้เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาฟังคำอธิบายจากชายชรา แต่วิชิตเองก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

"แล้วลูกหลานของลุงล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน"
"ลูกชายทั้งสองคนก็มีครอบครัวกันแล้ว ลุงก็หมดห่วงไปแล้วล่ะ"
"มีสิ่งอื่นๆมากมายในโลกนี้ให้ทำอีกเยอะแยะ ถ้าลุงมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้เงินรักษาตัวเองให้หาย และใช้เงินที่เหลือเอามาใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย "

สิ้นสุดคำพูดของวิชิต ทั้งคู่ก็นั่งนิ่งคิดอะไรในหัวของตัวเอง ชายชราครุ่นคิดหนัก เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากเบาๆ

"ร่างกายเธอยังหนุ่มยังแน่น ดูๆก็แข็งแรงดี ทำไมไม่หาอะไรทำในสิ่งที่เธอพูด บางอย่างมันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะก็สามารถทำมันได้"

"เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เรายังมีกันและกัน ผมวาดฝันอนาคตไว้หลายอย่าง เริ่มจากผมและเธอจะเรียนจบเป็นสถาปนิก เราจะเปิดออฟฟิศเล็กๆที่มีชื่อผมและเธอรวมกัน เราจะแต่งงานกัน หลังจากนั้นเราจะมีลูกด้วยกันสักสองคน หากการงานไปได้ดีแล้ว เราอาจจะไปเรียนโทกันอีกคนละใบ เราจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้ยามแก่เฒ่า จะเดินทางรอบโลกจะไปยังที่ๆอยากด้วยกันสองคน และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราจะทำด้วยกัน ลุงเชื่อมั้ยว่าผมทำสิ่งเหล่านี้ไปเกือบครึ่งแล้ว"
"แล้วทำไมเธอไม่ทำมันต่อ"

วิชิตหันหน้ามาทางชายชรา

"โดยไม่มีเธอนี่นะ ผมอยากทำฝันร่วมกับเธอ ถ้าไม่มีเธอแล้วผมก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น มันเหมือนกับว่า เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมก้าวต่อไป หรือบางทีอาจจะเป็นทำให้ผมมีชีวิตต่อไปเลยก็ได้ แต่พอไม่มีเธอผมก็เหมือนกับหมดแรง หมดกำลังใจ"

ความเงียบสงัดระหว่างทั้งสองเริ่มเข้ามาเกาะกุมบรรยากาศอีกครั้ง จนกระทั่งชายชราพูดอะไรบางอย่างออกมา

"เธอทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?"
"ผมไม่รู้ว่าจะทำมันเพื่ออะไร หากทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แล้วยังไงต่อ ก็ผมไม่มีเธอแล้ว"
"พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้คนในสังคมต่างก็จะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเธอ เธอไม่แคร์กับสิ่งเหล่านั้นเหรอ?"
"ไม่เลย ความคาดหวังจากคนเหล่านั้นมันเป็นแค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาหวังถึงผลประโยชน์ที่จะสะท้อนไปถึงตัวเขาก็แค่นั้นเอง แต่ที่ผมต้องการสร้างฝันร่วมกับเธอ เพราะผมแค่อยากจะทำมัน และสนุกไปกับมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย"

ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาคิดในใจว่ารู้สึกแปลกดี ที่มาเจอคนอย่างวิชิต ในวันที่เขากำลังจะมากระโดดตึกตาย ชายชราควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และตอกมวนบุหรี่ออกมาอย่างชำนาญ บุหรี่อีกมวนถูกจุดและถูกสูดควันเข้าไปเต็มปอดชายชราอีกครั้ง พร้อมกับพ่นมันออกมา

"ถ้าลุงไม่รังเกียจ ผมขอลองดูดมันบ้างได้ไหม ขอดูดตัวเดียวกับลุงนี่แหละ"

ชายชรายิ้มทั้งๆที่ยังพ่นควันออกจากปาก เขาส่งบุหรี่มวนเดียวกันนี้ให้วิชิต 

วิชิตทำท่าเก้ๆกังๆก่อนรับมวนบุหรี่ไว้ในมือ เขาค่อยๆใช้ปากอมไปที่ก้นกรองบุหรี่ ก่อนจะตัดสินใจออกแรงสูดควันบุหรี่เต็มแรง

"แคร่กๆๆๆ"

วิชิตสำลักควันบุหรี่ เสียงหัวเราะจากชายชราดังลั่น แต่หัวเราะได้ไม่นานเพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก วิชิตเริ่มหายจากอาการสำลักควันแล้ว เขายื่นบุหรี่มวนนั้นคืนไปให้ชายชรา

"บุหรี่นี่มันดียังไงน่ะลุง ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงดูดมัน มันช่วยอะไรเราได้บ้างนอกจากจะทำให้เราเป็นโรคร้าย ช่วงหลังๆมานี่เห็นแต่คนพูดถึงมันแต่ในแง่ร้าย ลุงลองบอกข้อดีของมันให้ผมฟังหน่อยสิ"

ก่อนชายชราจะพูดถึงข้อดีของบุหรี่ เขาสูดลมจากปากผ่านมัน ก่อนจะพ่นควันสีเทาลอยคลุ้งขึ้นบนท้องฟ้า

"เธอรู้จักมอร์ฟีนมั้ย?"

"รู้ครับ มันคือยาเสพติดประเภทหลอนประสาท"

"มอร์ฟีนถูกใช้ในทางการแพทย์ เวลาที่มีผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรือขั้นตอนการรักษา มอร์ฟีนจะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจทรมานจนตายหรือท้อแท้หมดกำลังใจในการรักษาต่อไป"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบุหรี่ล่ะ?"

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต ก่อนจะดูดบุหรี่อีกครั้งและดีดมวนบุหรี่มวนนั้น ลงไปยังพื้นล่างของตึก

"คนเราที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ไม่ได้นอนป่วยในโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ท้อแท้หรือเศร้าหมองเหมือนคนป่วยในโรงพยาบาลเสมอไปสักหน่อย ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  สถานะภาพเป็นอย่างไร ต่างก็ต้องมีความเครียด กดดัน ทุกข์ใจ ท้อแท้เศร้าหมองเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความทุกข์"
"แล้วยังไง?"
"วิธีที่มนุษย์จะพ้นจากทุกข์ตรงนั้นได้ก็คือลืมความคิดเหล่านั้นไปซะ แต่ความทรงจำของมนุษย์นั้นไม่เหมือนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่แค่กดลบมันก็หายไปหมดสิ้น ยิ่งความทรงจำไหนที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะลืมมัน"
"เราก็เลยใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้เราลืมความทุกข์เหล่านั้น"
"ใช่แล้ว แม้มันจะทำให้ลืมได้แค่ชั่วคราวก็ยังดี อย่างน้อยเวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง"
"ถ้าอย่างนั้นที่คนเราสูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา ก็เพื่อที่จะทำให้สมองชาจนไม่ไปตอบสนองกับความทุกข์เหล่านั้นใช่ไหม"
"ก็น่าจะใช่นะ แล้วเธอล่ะ เคยใช้ของพวกนี้ในการบำบัดความทุกข์ในใจมั้ย?"

วิชิตหยุดนิ่งไปชั่วหนึ่ง แล้วก็ตอบออกมา

"ผมไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าไม่เสพยา ผมมีแต่เธอเท่านั้นที่ทำให้ผมลืมความทุกข์ได้ทุกอย่าง เธอคอยให้กำลังใจผมเสมอในยามที่ผมท้อ ผมอาจจะมีเธอเป็นศาสดาก็ได้"
"แต่ศาสดาของเธอตายไปแล้ว เธอจึงไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีชีวิตต่อไป"
"ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับลุงที่ไม่สามารถใช้บุหรี่เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ได้อีกต่อไป"
"ก็คงจะเป็นเช่นนั้น"

ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด เมื่อมวลหมู่เมฆพากันบดบังแสงพระจันทร์ หากทั้งคู่ไม่ขึ้นมาเจอกันบนนี้ คงจะมีใครสักคนที่กระโดดตึกลงไปนอนตายข้างล่างแล้ว

"ยังอยากจะตายอยู่มั้ย?"

ชายชราถาม

"ก็ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความคิดผมนี่"
"เอาอย่างนี้ละกัน คงจะไม่ดีแน่ถ้าคนที่กระโดดทีหลัง จะเห็นศพที่ลงไปนอนกองข้างล่าง เดี๋ยวจะปอดแหกไปเสียก่อน บนดาดฟ้านี้มันก็กว้างอยู่ เธอไปอยู่มุมตึกฝั่งนู้นละกัน หลังกำแพงและเศษอิฐนั่น กำแพงจะทำให้เรามองไม่เห็นกัน ต่างคนจะไม่รู้ว่าอีกคนกระโดดตึกลงไปหรือเปล่า เพราะมันห่างไกลกันมาก และถ้าเธอเกิดล้มเลิกความตั้งใจที่จะกระโดด เธอก็แค่เดินลัดลงบันไดโดยไม่ต้องมองเห็นจุดที่ลุงยืน ว่าลุงยังอยู่หรือไปแล้ว"

วิชิตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผงกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

หลังจากนั้นก็สิ้นสุดการสนทนาใดๆจากทั้งคู่ วิชิตเดินอ้อมกำแพงไปอยู่อีกด้านของดาดฟ้า เขาไม่หันหลังหรือพะวงอะไรกับชายชราที่วิชิตเพิ่งจะเดินจากมาเลย ในที่สุด วิชิตก็มายืนอยู่ขอบตึกอีกด้าน แค่เพียงเขาทิ้งตัวลงไป ร่างๆนี้ก็จะลงไปเสียบกับเหล็กเส้นหนา ที่โผล่ขึ้นมาจากฐานคอนกรีต

.........

ด้านหนึ่งของมุมตึก ร่างๆหนึ่งลอยถลาลงมากระแทกลงบนกองเศษอิฐเศษปูน รวมถึงแท่งเหล็กอีกหลายแท่งเสียบทะลุร่าง เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำ บ้างก็สาดกระเซ็นไปติดกำแพงตึก ความสยดสยองของร่างไร้วิญญาณนี้ คงจะสมใจเจ้าของร่างแล้ว
________




จบแบบที่ 1

เสียงลากเท้าที่ขยับเดินได้ไม่เต็มที่นัก เพราะบาดแผลที่ขาก่อนหน้านี้เริ่มทำให้ขามีอาการชา แต่วิชิตก็ยังสามารถพาตัวเองเดินลงบันไดจากชั้นดาดฟ้าลงมาได้ เขานึกถึงคำพูดของชายชราที่บอกว่าศาสดาของวิชิตนั้น ได้ตายไปแล้ว แต่วิชิตคิดได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงจากตึกว่า 'ก็เธอยังไม่ได้ตายนี่' เมื่อนั้นวิชิตจึงเกิดแรงฮึกเหิมที่จะทำสิ่งๆหนึ่งให้สำเร็จให้ได้

วิชิตรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พ่อของหญิงที่เขารักนั้น ไม่ยอมยกลูกสาวให้ เพราะว่าผู้ชายที่พ่อของเธออยากให้แต่งงานด้วยนั้น มีธุรกิจที่ใหญ่โต มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมที่ดี วิชิตจึงคิดว่าทางเดียวที่เขาจะเอาชนะใจว่าที่พ่อตาได้ คือทำให้ตัวเองมีทุกอย่างที่มากกว่าชายคนนั้น วิชิตจึงเดินทางไปหาพ่อของเธอที่บ้าน เขาเข้าไปขอร้องว่าขอเวลาให้เขา 1 ปี เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงเงินทองให้มีมากกว่าชายคนนั้น ถ้าวิชิตทำได้ เขาขอให้พ่อยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ วิชิตสัญญาว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวใดๆกับเธออีกต่อไป 

พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น พรางคิดว่าวิชิตคงทำไม่สำเร็จ ก็ดีเหมือนกันที่วิชิตจะได้เลิกมาตอแยกับลูกสาวของตน จึงรับปากไปตามนั้น และให้เลื่อนงานแต่งงานของลูกสาวกับผู้ชายคนนั้นไว้ก่อน

ในระหว่างเวลาที่ก่อนจะครบกำหนดตามสัญญา วิชิตเปิดบริษัทที่เขาเคยวางแผนไว้ พยายามเร่งสร้างธุรกิจอย่างมั่นคง และชาญฉลาด ใช้คอนเนคชั่นที่เคยมีหางานเข้าบริษัท แต่ด้วยความที่วิชิตเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างสุจริต จึงทำให้ผลกำไรในบริษัทมีไม่มากนัก ดังนั้นเรื่องเงินทองของเขาจึงไม่สามารถชนะชายคนนั้นได้เลย เมื่อครบกำหนดหนึ่งปี และระยะเวลาแค่ 1 ปี มันสั้นไปที่วิชิตจะสร้างชื่อเสียงในสังคมให้คนยอมรับได้ เมื่อเทียบกับชายคนนั้นที่สร้างชื่อเสียงในสังคมมาตลอดหลายสิบปี วิชิตรู้ว่าตัวเองไม่สามารถชนะเดิมพันนั้นได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเขาจึงไปหาพ่อของเธอ เพื่อขอยอมแพ้และจะทำตามสัญญา

ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พ่อของเธอเฝ้าติดตามดูวิชิตทุกฝีก้าว เขาเห็นถึงความตั้งใจของวิชิต และความซื่อสัตย์สุจริตตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจ จึงเกิดความประทับใจและสุดท้ายก็ยอมยกลูกสาวให้กับวิชิต

สุดท้ายวิชิตก็ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เขาและเธอเดินตามฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้ ตอนนี้วิชิตมีทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ วิชิตนึกย้อนกลับไปถึงคืนวันนั้น วันที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายและได้เจอกับชายชราคนนัน วิขิตนึกย้อนไปว่าหากวันนั้นเขาตัดสินใจกระโดดตึกตาย เขาคงไม่มีโอกาสที่จะมีวันนี้ และไม่มีโอกาสที่จะทำให้เธอมีความสุขด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นับจากวันนั้น วิชิตไม่รู้เลยว่าชายชราคนนั้นได้กระโดดตึกหรือไม่ ในใจของเขาก็ภาวนาขอให้ชายชราเปลี่ยนใจในคืนวันนั้น เพราะมาถึงตอนนี้วิชิตได้ตระหนักดีแล้วว่า การที่ได้มีโอกาสมีชีวิต มันคือสิ่งมีค่าและวิเศษที่สุด ไม่ว่าระหว่างนั้นจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือสุขสบายเพียงใด ความสวยงามในการดำรงอยู่ของเรา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเรามองมันในแง่ที่ดี

______________

จบแบบที่ 2

เสียงฝีก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด ชายชราก็สามารถเดินลงถึงชั้นล่างได้ เขาไม่แม้แต่จะหวนคิดถึงว่าวิชิตจะกระโดดตึกหรือไม่ ชายชราได้แต่คิดว่าวันนี้เขารอดตายมาได้นั้น เพราะได้มาเจอกับวิชิต ความจริงแล้วชายชรารู้ดีถึงสัจธรรมของความทุกข์ดี ว่ามันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเดี๋ยวก็ดับไป แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้ก็คือวิธีที่จะลืมมัน ตลอดชีวิตเขาได้แต่ใช้บุหรี่ช่วยเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง ชายชราตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ที่เขาจะกระโดดตึกลงมา ว่าเขาจะค้นหาวิธีใหม่ๆในการลืมความทุกข์ โดยไม่ใช้บุหรี่หรือยาเสพติดใดๆ

ชายชราตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง ช่วงหนึ่งของการรักษาเขาต้องเข้าคอร์สบำบัดผู้ติดยา ชายชราได้พบปะผู้คนมากมายและได้พูดคุยและถกถึงปัญหาของแต่ละคน มีคนจำนวนมากได้ประโยชน์จากการพูดคุยกับชายชรา และชายชราก็ได้กำลังใจและแง่คิดในการดำเนินชีวิตจากคนจำนวนมาก

เวลาผ่านไป 20 ปี นับจากในคืนวันนั้น ชายชรารักษาร่างกายเป็นอย่างดี ผลลัพธ์จากกิจกรรมที่เขาพยายามทำเพื่อให้ลืมความทุกข์ เช่นการทำสมาธิ วิ่งออกกำลัง รำมวยจีน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อ่านหนังสือ แต่งเรื่องสั้น ฟังเพลง ฯลฯ ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาดีเยี่ยม และมาถึงวันนี้ชายชราก็มีอายุ 90 กว่าปีแล้ว เขาคิดว่านี่คงจะถึงเวลาแล้วที่จะหมดวาระบนโลกใบนี้

ในบ้านใหญ่กลางสวนกว้าง ชายชรานั่งบนเก้าอี้โยก เบื้องหน้าของเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกายที่ค่อยลดหายไป มันเหมือนกับว่าสิ่งต่างๆจะหวนคืนสู่จุดกำเนิดอีกครั้ง ความเงียบสงบเข้ามาอยู่ในใจของชายชรา เขารู้สึกดีใจที่ได้ใช้ชีวิตจนครบวาระที่ตัวเองต้องอยู่ นี่คงเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนตายตามธรรมชาติ มันคงเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่วิเศษที่สุด ชายชราหวนคิดกลับไปถึงคืนนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คืนที่เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย เขาคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีมาก ที่รอดพ้นความตายในคืนนั้นมาได้

เพราะหากเขาตายในวันนั้น จิตสุดท้ายของชีวิตจะเป็นความหดหู่ สิ้นหวัง แต่เมื่อชายชราไม่ตาย จิตสุดท้ายในตอนนี้คือความสงบ สมบูรณ์ หากชีวิตหลังความตายมีจริง  จิตสุดท้ายนี้คงจะเป็นตัวบ่งบอกถึงภพภูมิที่ชายชราจะไปอยู่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด ณ ตอนนี้

ชายชราสิ้นลมแล้ว เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลง ตอนนี้คนในบ้านคงยังไม่รู้ แต่สักพักคงมีคนมาเห็นร่างที่ไร้วิญญาณนี้

______________

จบแบบที่ 3

ชายชรายืนอยู่บนดาดฟ้าตึก ร่างเขาค่อยเปลี่ยนใบหน้าเป็นชายหนุ่ม แท้จริงแล้วใบหน้านี้คือหน้าของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาค่อยๆจางลงคล้ายๆพลังที่กำลังจะเสื่อมสลาย วิญญาณดวงนี้ก้มลงสำรวจร่างตัวเอง ทันใดนั้นเงาร่างๆหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น

"ท่านยมทูติ ไหนว่าถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนใจชายคนนั้น ให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ วิญญาณผมจะถูกกักขังไว้ในตึกนี้ แต่นี่วิญญาณผมกำลังจะได้รับการปลดปล่อย"
"ผลลัพธ์นั้นไม่สำคัญ เท่ากับที่เจ้าตอนนี้ได้รู้คุณค่าของการมีชีวิต บทสนทนาของเจ้ากับชายคนนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจ้าสำนึกผิดต่อการทำอัตวิบากกรรม"
"แล้วผมจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ในขุมนรกต่ออีกกี่ปีกี่ชาติกัน"

เสียงหัวเราะจากร่างยมทูตดังลั่น

"เจ้าเอาเรื่องนรกสวรรค์มาจากไหน ดูหนังมากไปหรือเปล่า มนุษย์นี่ตลกดีชอบกุเรื่องมาหลอกกันเอง มันไม่มีหรอกทั้งนรกสวรรค์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"อ้าว! ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ แล้วท่าน?"
"ถูกต้องแล้ว ข้าก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ทำให้ข้ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ ก็คือจิตของเจ้า เป็นเรื่องปกติของจิตมนุษย์เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว เขาจะเคว้งคว้างล่องลอย ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร จึงมักจะสร้างตัวละครสมมุติขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับตัวเอง เช่นเจ้านี่ไง"
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน?"

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองจางๆ แสดงว่าพระอาทิตย์ใกล้ไต่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว การเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ในมุมๆหนึ่งในโรงพยาบาล เด็กทารกตัวน้อยเพิ่งจะโผล่ออกมาดูโลกด้วยเสียงร้องแสบแก้วหู รังนกรังหนึ่งในสวนสาธารณะมีไข่นกเล็กๆอยู่ 3 ฟอง ไข่ฟองหนึ่งมีแรงกระทุ้งออกมาจากภายใน ลูกนกตัวน้อยพยายามจะจิกเปลือกไข่ให้แตกออกมาเอง และในอีกมุมโลกที่ตรงกันข้ามนี้ แสงอาทิตย์ก็กำลังจะลาจากไปเช่นกัน

"เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาก็จะเกิดดวงจิตขึ้นมาด้วย จิตคือพลังงานชนิดหนึ่ง เมื่ออยู่ๆไปจิตก็แข็งขึ้น หมายถึงเป็นพลังงานที่แข็งกล้าขึ้น และเมื่อร่างกายของมนุษย์เสื่อมสภาพลงจนดวงจิตที่เป็นพลังงานไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จิตนั้นยังคงอยู่ ตามธรรมชาติของพลังงานนั้น จะสลายไปเองโดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แต่ถ้าเป็นจิตของคนที่ก่อนออกจากร่างนั้น ยังมีความผูกพันหรือความกังวลกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ดวงจิตจะไม่ยอมเสื่อมสลายหายไปไหน ยังคงวนเวียนกับเรื่องนั้นๆอยู่ จิตจะเหมือนกับถูกเติมเชื้อเพลิงเข้าไปเรื่อยๆ และมีโอกาสที่จะกลายเป็นพลังงานมหาศาล"

"เหมือนจิตของผมที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ เพราะยังกังวลถึงความผิดพลาดที่เคยก่อ จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยในครั้งนี้"
"ใช่"

ดวงจิตดวงนี้ใกล้เสื่อมสลายแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจซึ่งทำจิตนี้ไม่สามารถเสื่อมสลายไปได้อย่างสมบูรณ์

"ถ้าหากท่านไม่มีตัวตนจริง แล้วท่านตอบคำถามที่ผมไม่รู้ได้อย่างไรกัน?"
"ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ทุกดวงจิตจะรู้ และรู้ดีด้วย แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์นานๆก็มักจะลืมไปว่าต้นกำเนิดของดวงจิตมาจากไหน และจะไปไหนต่อ ตัวเจ้าเองก็รู้ดีแต่แกล้งลืมมันไป การที่ข้าตอบคำถามเจ้าได้ ความจริงก็คือเจ้าเริ่มจะฟื้นความจำเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้แล้ว"


แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้พลังงานที่ก่อเป็นดวงจิตนี้เริ่มจางลงๆ จนกระทั่งลับหายไป แต่ยังมีดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่จะยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ และไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ที่จิตของวิชิตนั้นจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น