วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชนบทในฝัน




มัลลิกายกท่อนแขนและก้มมองดูที่นาฬิกาข้อมือ เธอมายืนรอเพื่อนได้สักพักแล้ว เช้านี้มัลลิกากับเพื่อนอีก 2 คนนัดกันไว้ว่าจะขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พวกเขา 3 คนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก เรียนและเติบโตมาด้วยกันจนจบ และเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองหลวงด้วยกันแต่แยกย้ายกันไปทำงานคนละที่

เข็มยาวบอกว่าเลยเวลานัดที่เพื่อนเธอบอกไว้มา 3 นาทีแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้มัลลิการู้สึกหงุดหงิดอะไรเพราะมันแค่ 3 นาที เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรถยนต์ของเพื่อนเธอมาจอดตรงหน้าแล้ว

"ขึ้นมาเลยยายกา"

สุรเดชคนขับรถตะโกนเรียกมัลลิกาผ่านกระจกเบาะนั่งทางด้านซ้ายที่มีวัลภานั่งอยู่ ไม่รอช้ามัลลิกาหอบกระเป๋าเสื้อผ้าเปิดประตูที่เบาะหลังและก้าวขึ้นไปนั่งในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

"เฮ้อ... แค่คิดว่าจะได้กลับบ้านก็มีความสุขแล้ว ลาก่อนความสับสนวุ่นวาย"

มัลลิกาทำท่าผ่อนคลายจนเพื่อนๆที่นั่งข้างหน้าเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้

"สับสนวุ่นวายน่าเบื่อแค่ไหน เดี๋ยวเราก็ต้องกลับมาอยู่กับมันอีก"

วัลภาพูดจากความรู้สึกจริงๆของเธอ

"มันเป็นยังไงยายกา ช่วงนี้เบื่อชีวิตเหรอ"

สุรเดชพูดในขณะที่เขาเพ่งสมาธิไปที่ท้องถนนหลังจากเหยียบคันเร่งออกมาบนถนนใหญ่แล้ว

"มันพูดยากนะสุรเดช บางทีเราทำงานจนลืมที่จะสำรวจตัวเอง พอมีเวลามาดูใจตัวเองแล้วกลับบอกว่าเราไม่พอใจกับสิ่งนี้สิ่งนั้น"

"หมายความว่ายังไง?"

"เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะสิ ฉันโดนเจ้านายเข้าไปต่อว่าเรื่องความคาดหวังของเขาต่อผลงาน ไหนจะเรื่องเพื่อนร่วมงานที่คอยแต่จะโยนความรับผิดชอบมาให้เราเพียงคนเดียว ในเวลางานฉันก็ได้แต่ทำตามความต้องการของคนเหล่านั้น แต่พอเวลาพักฉันกลับรู้สึกเศร้าและหดหู่ยังไงไม่รู้"

มัลลิกาพูดระบายความในใจออกมา สายตาเธอจ้องออกไปนอกตัวรถอย่างเหม่อลอย มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ทำให้เธอได้ผ่อนคลายเมื่ออยู่กับเพื่อนเก่าๆ

"เอาน่าๆเพื่อน พวกเราก็เป็นเหมือนกันหมดทุกคนแหละ ความกดดันจากที่ทำงาน แต่งานของเธอน่าจะสนุกดีนะ เห็นว่าเดือนที่แล้วที่บริษัทพาไปเที่ยวเกาหลีมานี่ อัพรูปลงเฟซดูท่าทางสนุกสนานกันดีไม่ใช่เหรอ"

วัลภาถาม ในเวลานี้เธอก็อยากที่จะช่วยบรรเทาความเครียดจากเพื่อนรักของเธอด้วยเหมือนกัน

คนเราเวลาถ่ายรูปก็ต้องทำให้ดูยิ้มแย้ม ดูมีความสุขกันทั้งนั้นแหละภา พูดตรงๆนะกับเพื่อนที่ทำงานฉันก้ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอก

ตอนนี้รถยนต์จอดแน่นิ่งบนท้องถนนเพราะการจราจรติดขัดมาก

แล้วนายเป็นยังไงบ้างสุรเดช จะว่าไปพวกเราก็ไม่ค่อยมีเวลามาเจอกันหรือคุยกันเท่าไหร่นะ

สุรเดชปล่อยมือจากพวงมาลัยแล้วเอามือทั้งสองข้างมาประสานกันที่ท้ายทอยเพื่อให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เหมือนเขารู้ว่าต้องรออีกหลาย 10 นาทีกว่ารถจะสามารถเคลื่อนตัวได้

ฉันโชคดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องงาน แต่มันอาจจะเหมือนกับที่เธอพูดไว้เมื่อกี๊นี้ เราอาจจะทำงานหรืออยู่ๆไปโดยที่ลืมสำรวจตัวเอง จนบางทีก็ทำให้เราลืมไปเลยว่าเรานั้นต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตนี้ เมื่อเราได้คิดถึงความต้องการจริงๆของเราเองว่าต้องการอะไร มันก็สายเกินไปที่จะไขว่คว้าสิ่งนั้นมาได้แล้ว"

"เธอพูดแล้วฉันงงมากเลย บอกมาเลยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่"

มัลลิกาพูดถามด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้สุรเดชที่มองหน้าเธอผ่านกระจกมองหลังเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ และวัลภาที่นั่งข้างก็หัวเราะชอบใจ

"พวกเธอจำได้หรือไม่ว่าในสมัยที่เรายังอยู่ที่บ้าน เมื่อมีงานประกวดวาดภาพที่ไหนฉันต้องไปเข้าร่วมประกวดด้วยทุกครั้ง แม้จะเป็นต่างจังหวัดไกลๆก็ส่งผลงานไป ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้างแต่นั่นก็ทำให้ฉันได้มีความสุขดี"

"อ่อ! ใช่แล้ว แต่นั่นมันนานมากแล้วเนอะ ฉันยังจำได้ถึงฝีมือการวาดรูปของนาย รูปที่นายวาดภาพพวกเรา 4 คนฉันยังเก็บไว้อยู่เลยมันน่าประทับใจมาก แล้วตอนนี้นายไม่วาดภาพแล้วหรือ"

มัลลิกาถามอีกครั้ง

"ฉันไม่มีเวลาพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้อีกแล้ว"

คำตอบสั้นๆแต่นั่นทำให้ทั้งมัลลิกาและวัลภาประหลาดใจยิ่งนัก พวกเธอรู้ดีว่าการวาดภาพคือชีวิตจิตใจของสุรเดช แต่อะไรกันที่สามารถทำให้เขาเลิกทำในสิ่งนี้ไปได้

"งานของฉันดึงเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ของฉันไปหมดเลย การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงนี้ต้นทุนมันสูงจริงๆ บางครั้งฉันต้องทำโอที รับงานพิเศษเพื่อจะหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซื้อสิ่งของล่อตาล่อใจ การจะวาดภาพให้ได้สักภาพหนึ่งมันใช้เวลามากกว่าที่เรานั่งหน้าผ้าใบ ต้องใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวจินตนาการและประสบการณ์ เชื่อไหมว่าฉันซื้อหลอดสีและผ้าใบมาเมื่อหลายปีก่อน แต่จนปัจจุบันนี้หลอดสียังไม่ถูกเปิด ผืนผ้าใบยังไม่ถูกแกะจากห่อ"

เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 5 นาที รถที่จอดอยู่ข้างหน้ายังไม่มีท่าทีว่าจะขยับ 

"ตอนนี้แค่ฉันจะจับดินสอเพื่อร่างภาพเขียน ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร"

ประโยคสุดท้ายสุรเดชพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทุกคนในรถต่างเงียบกันไม่พูดจาอะไรกันต่อ เหมือนทุกคนอยากจะหยุดพักสมอง ไม่นานรถเริ่มขยับตัว สุรเดชค่อยๆเหยียบคันเร่งให้รถออกตัวอย่างแผ่วเบา

รถวิ่งบนถนนใหญ่นอกเมือง ทั้งมิลลิกาและวัลภาต่างเผลอหลับไปปล่อยให้สุรเดชใช้สมาธิในการขับรถอยู่คนเดียว แต่ทั้งคู่ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของวัลภา

วัลภาตื่นขึ้นมารับสายโทรศัพท์แบบงัวเงีย เธอฟังเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างเงียบโดยที่ไม่พูดอะไรโต้ตอบกลับไป ไม่นานสายน้ำไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ มัลลิกาเลือกที่จะข่มเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ให้ดังเข้าไปในโทรศัพท์ จนกระทั่งเมื่อเธอวางสวยโทรศัพท์ไปเธอปล่อยโฮออกมาเต็มที่จนทั้งสุรเดชและมัลลิกาต่างตกใจ และเมื่อวัลภาเริ่มที่จะสงบจากอาการโศรกเศร้าแล้วสุรเดชที่นั่งข้างจึงไตร่ถามเรื่องราว

"เกิดอะไรขึ้นหรือภา"

"ก็แฟนของฉันน่ะสิ โทรมาบอกเลิก"

สุรเดชและมัลลิกาเมื่อได้ฟังแค่นั้นถึงกับทำท่าตกใจ

"สมัยนี้มันง่ายกันขนาดนี้เลยเหรอ โทรมาแปร๊บเดียวก็บอกเลิกกันได้ ไม่กี่วันมานี่เห็นเธอสองคนยังไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันนี่"

มัลลิกาถาม

"ก็เพราะไปเที่ยวด้วยกันวันนั้นแหละ เลยไปเจอผู้หญิงคนใหม่เข้า สงสัยว่าคงจะแลกเบอร์และโทรติดต่อกันมาสักพักแล้วล่ะ"

"อะไรกัน ทำไม่คนสมัยนี้เป็นแบบนี้กันไปแล้วหรือนี่ คนเมืองกรุงนี่ไม่มีความจริงใจให้แก่กันเลย"

มัลลิกาพูดบ่นตามประสา

"ไม่หรอกมั้งยายกา บางทีแล้วคนกรุงเขาอาจจะต้องการแบบนี้จริงๆก็ได้ เราอาจจะผิดเองที่มีความต้องการไม่เหมือนกับคนที่อยู่ที่นี่เอง"

สุรเดชออกความเห็น

"แล้วเธอไปเจอกับแฟนเธอมาได้อย่างไรกันล่ะ"

"ฉันเจอกับแฟนก็สถานที่แบบนี่แหละ อาจจะถูกอย่างที่เธอว่านะสุรเดช บางที่พวกเขาอาจจะต้องการแบบนั้นจริงๆ"

"ลืมๆเรื่องพวกนั้นไปเถอะน่า อย่างน้อยเธอก็ยังมีพวกเรานะ"

มัลลิกาให้กำลังใจเพื่อนเธอ

"เดี๋ยวพอเราไปถึงบ้านเราไปหาต่อก่อนเลยนะ ไม่เจอกับมันนานแล้วรู้สึกคิดถึงมัน"

มัลลิกาทัก

"ได้สิ อยากไปเจอมันเมือนกัน จะว่าไปแล้วต่อก็ดูน่าอิจฉาดีนะ ไม่ต้องมาใช้ชีวิตที่วุ่นวายในเมือง ไม่ต้องเจอรถติด ไม่ต้องสูดควันพิษ ไม่ต้องทำงานที่โดนกดดัน ไม่ต้องเจอกับคนที่ไม่จริงใจ"

สุรเดชพูดเหมือนกับประชดชีวิตตัวเอง

"นั่นสินะ เราทำงานอยู่ที่กรุงเทพมานาน เหมือนกันเรายังไม่ได้เริ่มต้นชีวิตอะไรเลย ดูเพื่อนเราสิ มีลูกมีเมีย มีบ้านเป็นของตัวเองหมดแล้ว"

วัลภาพูดบ้าง

"ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปอยู่ที่บ้านกันบ้างดีไหม"

"ไม่ได้หรอกยายกา เราไม้เคยสร้างฐานอะไรที่นั่นเลย เราไม่เคยทำสวนทำไร่ ไม่มีธุรกิจอะไรที่บ้าน ถ้าเรากลับไปก็ไม่มีงานทำอยู่ดี อย่างมากสุดก็ต้องเก็บเงินจากการทำงานสักก้อนแล้วค่อยกลับไปลงทุนทำอะไรที่บ้าน"

สุรเดชเสนอความเห็น

"นั้นสินะเธอพูดถูก อยากย้อนเวลากลับไปได้จังเลย หากนายสามารถย้อนเวลากลับไปได้และเลือกที่จะอยู่ที่บ้าน ตอนนี้นายอาจจะยังคงได้วาดรูปอยู่"

สุรเดชทำท่าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา

รถยนต์เคลื่อนวิ่งผ่านถนนดินแดงที่อยู่ระหว่างทุ่งนากว้างใหญ่และเขียนขจี พวกเขาใกล้จะกลับถึงบ้านแล้ว สุรเดชมองทอดออกไปยังสวนและไร่นารอบข้าง ตอนนี้จิตใจของเขารู้สึกสงบอย่างยิ่งเมื่อใกล้ถึงบ้าน

...

มัลลิกาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าในห้องนอนเก่าของเธอ เธอทำธุระส่วนตัวเล็กน้อยก่อนรีบเดินออกจากบ้านเพราะได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น

"เร็วๆเลยยายกา เราจะไปเซอร์ไพส์ต่อที่บ้าน"

รถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านไม้เรือนใหญ่ ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ในบ้านและมีคลองเล็กๆข้างรั้วบ้านยิ่งสร้างความสวยงามให้สภาพแวดล้อมรอบตัวบ้าน

"เฮ่! สุรเดช มัลลิกา วัลภา มาได้อย่างไรเนี่ย ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน"

"อยากมาเซอร์ไพส์นายน่ะ"

"มาเลยๆ เข้าบ้านมาก่อน กำลังจะกินข้าวพอดี"

ทั้ง 3 เดินเข้าในตัวบ้าน เห็นลูกตัวเล็กๆและเมียของต่อ จากนั้นต่อพาเพื่อนทั้ง 3 ไปนั่งที่โต๊ะใต้ต้นไม้ข้างคลอง และเมียของต่อยกกับข้าวและเครื่องดื่มมาวางให้ที่โต๊ะ

"ไม่ต้องลำบากก็ได้เพื่อน พวกเราแวะมาพูดคุยกันตามประสาเพื่อนเก่า"

จากนั้นทั้ง 4 ก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน รวมถึงเมื่อทั้งหมดดื่มเบียร์ไปกันคนละแก้วสองแก้วก็ทำให้คุยกันได้สนุกคอขึ้น จนกระทั่งมัลลิกาเริ่มไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของต่อ

"เฮ่อ... ฉันเป็นอย่างไรบ้างน่ะเหรอในตอนนี้ ก็ดี! สุขสบายดีไม่เดือดร้อนอะไร ก็พอมีเงินใช้บ้างตามประสาชาวไร่ชาวนา แต่มันติดอย่างเดียวน่ะสิ"

ต่อยังพูดไม่จบ เขาหยุดพักยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว

"แต่ชีวิตมันน่าเบื่อนี่สิ"

ทั้ง 3 หันมามองหน้ากันก่อนจะทำหน้าสงสัย เพราะพวกเขาเคยคิดว่าต่อน่าจะมีชีวิตที่มีความสุข

"มัลลิกาฉันเห็นเธอโพสท์รูปไปเที่ยวต่างประเทศลงเฟซบุ๊ค ชีวิตคงจะมีความสุขมาก ได้พบปะพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตา แต่ดูฉันสิ วันๆไปแต่ทุ่งนา เจอหน้าแต่วัวควาย น่าเบื่อจะตายไป"

ต่อรินเบียร์ใส่แก้วของตัวเองและยกขึ้นดื่มพรวดเดียวก่อนจะพูดต่อ

"สุรเดชฉันเห็นนายถ่ายรูปลงเฟซบุ๊คตอนไปเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์และห้องภาพ คงจะได้เห็นงานศิลป์เจ๋งๆเยอะเลย ดูฉันสิ วันๆเห็นแต่กิ่งไม้ใบหญ้า ดูสิมันน่าเบื่อแค่ไหน"

ต่อทำเหมือนเดิมกับขวดเบียร์และแก้วอีกครั้ง

"วัลภาฉันเห็นรูปเธอไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ยามค่ำคืน แสงสีและผู้คนมันคงจะสวยงามมากสินะ ดูฉันสิ ตอนกลางคืนมีแต่แสงจันทร์กับแสงหิงห้อยและความเงียบ"

ต่อหยุดพูดอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาเริ่มเมามากแล้ว

"ฉันล่ะอิจฉาชีวิตพวกนายทุกๆคนจริงๆ จำได้ไหมตั้งแต่สมัยทีพวกเรายังเด็ก ใครๆก็ต่างมีความฝันว่าจะต้องออกไปจากหมู่บ้านให้ได้ ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง ทุกคนในวัยเด็กมีความฝันที่จะออกไปใช้ชีวิตในเมืองที่สวยงาม ออกไปแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ใช้แต่ของดีๆ กินอาหารอร่อยๆ"

ทั้ง 3 คนมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง

"แต่อย่างน้อยนายก็มีลูกเมียที่น่ารัก"

"ก็อาจจะใช่ พวกเขาคือชีวิตทั้งหมดของฉัน"

ดึกมากแล้ว งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา มัลลิกา สุรเดชและวัลภานั่งรถออกจากบ้านของต่อ ปล่อยให้ต่อนั่งดื่มเพียงลำพังในบรรยากาศที่สงบเงียบ




1 ความคิดเห็น: