วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เยื่อใยสุดท้าย







กานต์ค่อยๆใช้นิ้วโป้งจากมือทั้งสองข้าง ค่อยๆบรรจงไล่กดไปตามเส้น บริเวณกระดูกสันหลังทั้งสองข้าง นิ้วมือทั้งสี่ที่เหลือของแต่ละมือ แผ่หลาไปลูบไล้แผ่นหลังด้านข้างของปียานุช สร้างความเสียวซาบซ่านไปทั่วร่าง เนื่องจากเธอไร้ซึ่งเครื่องคลุมใดๆ บนร่างกาย แม้อายุจะเริ่มเข้าเลข 4 กลางๆแล้ว แต่ด้วยความเอาใจใส่ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณ และใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงมาตลอด ทำให้เธอยังคงดูอ่อนวัย ไร้ร่องรอยของความกร้านโลกใดๆ ต่างจากชีวิตการทำงานของปียานุช ที่มีลูกน้องที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเธอนับร้อย


ด้วยความที่เธอได้ชื่อว่า 'ผู้หญิงแกร่ง' นั่นยิ่งตอกย้ำให้ชายหนุ่มรอบข้างตัวเธอ ต่างพร้อมใจกันหวั่นเกรง เกรงกลัว ไม่กล้าเข้ามาจีบปียานุช และด้วยลักษณะท่าทางที่ดูมาดมั่น มั่นใจเกินชายใดๆ นั่นก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก ที่จะมีชายไหนจะกล้าคุยกับเธอฉันชู้สาวได้ คืนนี้เป็นคืนพิเศษ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วาจาอ่อนหวานชวนหลงไหล บริการเอาอกเอาใจโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวคำพูดใดๆ เพราะเธอใช้เงินพูดแทนในสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว


"เส้นที่หลังแข็งมากเลยครับ แสดงถึงความตรึงเครียดของร่างกาย ที่ไม่ค่อยจะผ่อนคลาย บางทีมันอาจจะออกมาจากภาวะความตรึงเครียด จากจิตใจของคุณพี่เองน่ะครับ"


กานต์พูดพร่ำด้วยน้ำเสียงเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเลื่อนมือลงมาเหนือสะโพกและออกแรงกดลงไป ทรวดทรงร่างกายที่อยู่ภายใต้สายตาของกานต์ ไม่บอกก็ดูไม่รู้เลย ว่าเจ้าของร่างนี้คือหญิงอายุสี่สิบกลางๆแล้ว สะโพกและก้นที่กระชับไม่มีส่วนเกิน เกิดจากการออกกำลังเป็นประจำ


"พี่ครับ พี่ชอบความผ่อนคลายนี้มั้ยครับ ผมอยากทำให้พี่รู้สึกสะบายทั้งกาย และใจ ก่อนที่ผมจะเริ่มงานจริงๆ ถ้าพี่สาวไม่ชอบใจตรงไหน พี่บอกผมได้นะครับ"


"..."


กานต์เลื่อนมือไล่ลงมาตามท่อนขา และค่อยๆใช้แรงมือคลึงตามกล้ามเนื้อ เขาค่อยๆกดบีบกล้ามเนื้อ เขาสัมผัสมือลูบไล้ไปตามโคนขา ที่ผิวหนังเรียบเนียนขาวเหมือนผิวเด็กสาว พลางคิดถึงการเอาใจใส่ดูแลร่างกายนี้ อย่างพิถีพิถัน


"พี่ครับ ต่อไปผมจะช่วยยืดหลังให้พี่ มันจะช่วยให้เลือดส่งไปเลี้ยงอวัยวะภายใน ทำให้สมดุลย์ต่างๆภายในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีปัญหาครับ พี่ช่วยกรุณาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ และเอามือประสานกันไว้ที่ท้ายทอยครับ"


กานต์พูดจบปียานุชก็ลุกขึ้นนั่ง และทำท่าทางตามที่กานต์บอก เมื่อปียานุชนั่งหลังตรงและยกมือประสานไว้ที่ท้ายทอย ทำให้หน้าอกของเธอชูชันตั้งตรง กานต์เห็นถึงความเต่งตรึงบนเนินอกของปียานุช ยอดปทุมถันสีชมพูอ่อนแสดงให้เห็นว่าเธอ เป็นคนที่มีสีผิวขาวอย่างแท้จริง กานต์เข้าประกบตัวของเขาเข้าไปที่หลังของปียานุช และใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างสอดเข้าใต้รักแร้ของเธอ กานต์ไขว้แขนขึ้นไปจนมือทั้งสองข้าง ไปประสานกันที่ท้ายทอยของปียานุข และจากนั้นเขาก็ยกตัวสูงช่วยดึงช่วงไหล่ของปียานุชให้ยืดออกจากลำตัว มาถึงตอนนี้ ร่างกายที่เปลือยเปล่าและกำยำของกานต์ ก็ได้แนบเนื้อสนิทกับแผ่นหลังที่เนียนเรียบ เหลือเพียงแต่ท่อนล่างของเขาที่มีเพียงกางเกงบางๆห่อคลุมไว้ เนื้อผ้านุ่มของกางเกงที่กานต์สวมใส่ ก็ได้ถูกถูไถและแนบชิดกับแผ่นหลังช่วงล่างของปียานุชเช่นกัน


"หายใจเข้าช้าๆนะครับ เมื่อหายใจเข้าจนสุดปอดแล้ว ให้ค้างลมหายใจไว้ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆปล่อยลมหายใจให้ไหลออกมา พร้อมเปิดปากเล็กน้อย ให้ลมออกมาทางนั้นด้วย"


ปียานุชทำตามคำสั่ง อย่างว่าง่าย ผู้ชายที่สามารถออกคำสั่งกับเธอได้นั้น ก็คงมีเพียงแต่ประธานบริษัท หรือกรรมการบริหารแค่บางคนเท่านั้น แต่นี่เป็นแค่เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย ไม่มีฐานะตำแหน่งใดๆ และปียานุชก็พร้อมทำตามคำบัญชาทุกอย่างงของกานต์ แม้จะเพียงแค่ในคืนนี้


"สุดท้ายครับ ผมจะนวดหน้ากดจุด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคาง กล้ามเนื้อมุมปาก กล้ามเนื้อแก้ม และกล้ามเนื้อใต้ตาแล้ว ยังช่วยให้ระบบน้ำเหลือง การไหลเวียนโลหิตบริเวณใบหน้าไหลเวียนดี"


กานต์คลายมือและแขนของเขา และค่อยๆใช้มือกุมที่ข้อมือของปียานุชอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเลื่อนมือของเธอลงมาวางไว้ที่ข้างตัว กานต์ขยับตัวมานั่งต่อหน้าปียานุช สายตาของทั้งคู่ประสานกัน โดยไม่มีใครสักคนที่จะถอนสายตาออกก่อน ใบหน้าที่กานต์จ้องอยู่นั้น คือใบหน้าของหญิงสาว ที่ดูอย่างไรก็ยังดูเยาว์วัย มีเพียงแต่สายตาคู่นั้นของเธอ ที่แฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความเหงา ความอัางว้าง ความโดดเดี่ยว โดยปกติแล้วเธอมักจะหลบซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ ไม่ให้ใครมองเห็นได้ง่าย แต่คืนนี้เธออ่อนแรงมากเกินกว่าที่จะแกล้งเสแสร้ง ทำเป็นเข้มแข็งได้อีกต่อไป ปียานุชต้องการเผยความอ่อนแอนี้ ให้ใครสักคนมาช่วยรับรู้นานแล้ว แต่ด้วยตัวตนและหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่คนรอบข้างมุ่งหวังในตัวเธอ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้น


นิ้วมือนุ่มๆวางลงตรงหน้าผากกึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้ง 2 จากนั้นไล่ยาวลงมาถึงขมับของปียานุช กานต์ออกแรงคลึงเบาจนเริ่มรู้สึกว่า ปียานุชเริ่มพอใจ จากนั้นเขาใช้มือลากเส้นตั้งแต่หางคิ้ว ถึงหัวคิ้ว ทั้งขอบตาบนและล่าง สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกัน ในตอนนี้ไม่ปียานุชต้องมนต์สะกดของกานต์ กานต์ต้องมนต์สะกดของปียานุช หรือทั่งคู่อาจต้องมนต์สะกดซึ่งกันและกันก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนกานต์จะมีแรงดึงดูดมากกว่า ซึ่งทำให้ปียานุชโน้มศรีษะเข้ามา และบรรจงประกบริมฝีปากของเธอ ลงบนริมฝีปากของเขา บทรักของทั้งคู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างรุ่มร้อน สองร่างโผเข้ากอดกัน


.....


.....


.....


กานต์หลับสนิทไปแล้ว โดยสังเกตุได้จากเสียงกรนในลำคอเบาๆ ปียานุชที่นอนขดตัวอยู่ใต้ท่อนแขนหนาๆ และเรือนอกแผ่นกว้างของกานต์ และดวงตาคู่ที่ดูอ้างว้างนั้นยังคงลืมตาค้าง เธอยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้สัมผัส ในรสแห่งกาม นานเท่าไหร่แล้วที่เธอเคยสัมผัสมัน ความทรงจำในเรื่องนี้มันเลือนลางเกินกว่าที่จะปะติดปะต่อภาพได้ เธอพยายามหาคำตอบว่า นี่คือความสุขใช่หนือไม่? และในตอนนี้ในจิตสำนึกของเธอก็พร้อมแล้ว ที่จะตอบว่า 'ใช่' เพราะความปราถนาเมื่อสักครู่นี้ เธอต้องการมัน และพอใจในมันอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ในห้วงแห่งความปรารถนานั้น เธอก็ไม่มีความต้องการสิ่งอื่นใดอีกเลย


นานเท่าไหร่แล้ว ที่ปียานุชสามารถที่จะนอนหลับอย่างมีความสุข ความรู้สึกในตอนนี้ของเธอ คงเหมือนกับหญิงสาวที่พบกับคนรัก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆของเธอนั้น คือความสงสัยว่า นี่คือความรัก ความผูกพันธ์ หรือเป็นแค่ความต้องการในเพศรสกันแน่ และอีกสิ่งหนึ่งที่กวนใจเธออย่างมากในตอนนี้ คือเธอจะเหนี่ยวรั้งสิ่งนี้ให้อยู่กับเธอได้อย่างไร ในเมื่อกานต์นั้นคือผู้ชายขายบริการ ซึ่งเป็นบริการชั้นดี ที่เธอยอมจ่ายหนักเพื่อแลกมันมา เมื่อตื่นเช้ามาพรุ่งนี้ ก็ต้องลาจากกันแล้ว เธอค่อยๆหลับตาลง และจมหายไปกับนิทรา


"พี่ครับๆ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้วครับ ผมอยากร่ำลาพี่สาวของผม ก่อนที่ผมจะไปครับ"


เช้าแล้ว แต่ปียานุชยังคงหลับสบาย ในวันหยุดพักร้อนของเธอ ที่ขอลางานหลังจากทำโปรเจคชิ้นใหญ่เสร็จ เสียงพูดของกานต์เข้าไปในความฝันของเธอ เพื่อปลุกให้เธอตื่น ปียานุชค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งที่เธอเห็นคือ เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงแสล็คสี่ส่วนสีน้ำตาล เส้นผมบนหัวที่หวีเรียบไม่กระดิก ด้วยเจลใสใส่ผม และรอยยิ้มรอยนั้นของเขา ที่ทำให้ปียานุชเผลอยิ้มออกมาให้เห็น


"พี่สาวยิ้มแล้ว ผมนึกว่าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้จากพี่ซะแล้ว"


เมื่อโดนทักเรื่องรอยยิ้ม ปียานุชพยายามหุบยิ้มทันที


"พี่ครับ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย คือผมไม่รู้ว่าพี่นั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ผมทำให้พี่มีความสุขมั้ย? พี่ชอบมันมั้ย?"


"..."


ปียานุชยังไม่ตอบ แต่สีหน้าของเธอเริ่มแสดงออกถึงความพึงพอใจ กานต์ยังคงยิ้มให้เธอ


"ไหนๆเราสองคนก็จะจากกันแล้ว ผมไม่อยากให้ความรู้สึกนี้มันค้างคาใจ ผมขอเยื่อใยสุดท้ายของพี่ที่จะมีต่อผมได้มั้ย"


ปียานุชเบิกตาขึ้น มุมปากเริ่มมีรอยยิ้ม ก่อนจะพูดคำพูดประโยคแรก นับตั้งแต่เธอเจอกับกานต์


"เธอคือสิ่งที่วิเศษที่สุด ในชีวิตของพี่"


สายตาของกานต์ แสดงความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ในใจเขาก็คิดเพียงว่า นี่คือคำพูดเล่นๆของอีกฝ่ายเท่านั้น คงจะไม่จริงจังตามที่พูดสักเท่าไหร่นัก


"พี่ก็คือคนพิเศษสำหรับผมเช่นกันครับ"


นานมากแล้วเหมือนกัน ที่กานต์ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงที่สวยและหุ่นดีเช่นเธอ สำหรับคำพูดเมื่อสักครู่นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่พูดเกินความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย แต่ประโยคที่กานต์พูดออกมา ได้ทำให้หัวใจของปียานุชพองโตขึ้น


"หากพี่ต้องการใช้บริการผมอีก พี่สามารถติดต่อไปที่สถานบริการของผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน"


เสียงปิดประตูดัง ทำให้ปียานุชกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เย็นวันนี้เธอต้องขึ้นเครื่องเพื่อกลับไปทำงานในเมืองใหญ่ เธอลาหยุดพักร้อนมาหลายวันแล้ว แต่หลายวันก่อนหน้านั้น ที่ต้องพักผ่อน ท่องเที่ยวอยู่คนเดียว ยิ่งทำให้ความเหงาทวีความรุนแรง ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก เธอจึงพยายามรวบรวมความกล้า เพื่อที่จะมาเที่ยวในสถานบริการแบบนี้ ในคืนสุดท้าย


เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน ปียานุชเฝ้าคิดถึงแต่กานต์ จิตใจพะว้าพะวังเกี่ยวกับเรื่องของเขา เหมือนกานต์คือสิ่งมาเติมเต็มชีวิตของเธอเอง ในหัวของเธอยังเฝ้าวนเวียน และครุ่นคิดอย่างหนักว่า ที่ว่าอยากให้กานต์มาอยู่กับเธออย่างจิงจัง เธออยากส่งเสียให้กานต์ได้เรียนหนังสือ และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า จะไปขอซื้อตัวกานต์มาจากสถานที่แห่งนั้น


ในอาทิตย์ถัดมา ปียานุชกลับมายังสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง และแน่นอน เธอจองตัวกานต์ไว้แล้ว แต่ครั้งนี้เธอพานกานต์ไปกินข้าว ยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยชักชวนให้เขาไปอยู่กับเธอ


"ผมขอขอบคุณในความกรุณาของพี่ครับ สิ่งที่พี่เสนอให้ผมมันคือโอกาสที่ดีที่สุด ในชีวิตผมเลย"


"แล้วเธอว่าอย่างไรล่ะ หากคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าอย่างนั้นก็รับข้อเสนอของพี่เลยมั้ย"


กานต์ยิ้มพร้อมทำแววตาซาบซึ้งใจ เขาเอื้อมมือไปกุมมือของปียานุช ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร และบีบมือของเธอเบาๆ


"พี่ช่างมีความกรุณาต่อผมมากจริงๆ แต่พี่จงคิดดูให้ดีเสียก่อน เราสองคนนั้นต่างกันมากเกินไป ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องอายุ แต่หมายถึงสถานะทางสังคมของเราสองคน พี่ก็รู้อยู่ว่าผมเป็นแค่ผู้ชายขายบริการ คงมีคำครหามากมายจากสังคม"


"ไม่เป็นไรหรอก พี่สามารถปกปิดอดีตของเธอได้ รับรองไม่มีคนอื่นรู้แน่นอน"


"ใช่ครับ ผมเชื่อว่าพี่สามารถหลอกให้คนอื่นเชื่อได้ ว่าอดีตผมเคยเป็นอะไรมาก่อน แต่ยังไงเราก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้หรอกครับ ว่าเราเคยเป็นอะไรมาก่อน"


สายตาของปียานุชยังคงไม่ยอมแพ้ ในการต่อลองทางธุรกิจ น้อยครั้งที่เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ นักธุรกิจชายหลายคน โอนอ่อนต่อคำถ้อยแถลงของเธอ และครั้งนี้เธอก็เชื่อมั่นว่าจะสำเร็จ ยิ่งข้อเสนอที่เธอพร้อมจะมอบให้นั้น ช่างเย้ายวนเหลือเกิน


_


"เธอไม่อยากมีการศึกษาดีๆ มีงานทำดีๆ มีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหรอ พี่สามารถให้เธอได้หมดทุกอย่าง"


"ผมอยากมีครับ ผมอยากมีทุกสิ่งที่พี่ว่ามา อยากมีเงินเพื่อส่งให้ทางบ้านบ้าง ส่งน้องเรียนให้จบ อยากให้พ่อแม่สบาย แต่การได้มันมาด้วยวิธีนี้ ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องนัก คอนนี้ผมก็พยายามเก็บเงินเก็บทองให้มากพอ ที่จะออกไปจากตรงนี้เหมือนกันครับ แต่ผมอยากที่จะเดินออกไปด้วยตัวเอง"


กานต์ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม เขาเบือนหน้าออกไปข้างๆ เหมือนมองออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ไกลโพ้น


"ผมมีความฝันของผมเหมือนกันครับ สิ่งที่ทำให้ผมยังยืนอยู่ได้อย่างมีความสุข ในทุกวันนี้เพราะผมมีความฝัน"


กานต์พูดเสร็จ ก็หันหน้ามามองที่ปียานุช ซึ่งตอนนี้เธอเริ่มสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะคิดว่ามีแววจะผิดหวัง


"เอาล่ะ เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พี่ก็ขอบอกเลยว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลยที่พี่ชอบเธอ"


ปียานุชเว้นจังหวะคำพูดไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากว่าตอนนี้เหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ


"ไม่สิ พี่ต้องบอกว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลย ที่พี่นั้นรักเธอ"


สีหน้าแววตาของปียานุชเริ่มแดง แสดงถึงความเขินอายที่เผยออกมา ไม่ต่างกันกับกานต์ ที่ยิ้มออกมาแบบอายๆ เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เธอจะนั่งอีกต่อไป ทั้งสองล่ำลากันและแยกย้ายกัน ปียานุชขับรถยนต์ที่เธอเช่ามากับที่พัก และในระหว่างนั้น น้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตาของเธอโดยไม่รู้ตัว หากแต่ว่าน้ำตานี้ไม่ได้ร้องออกมา เพราะความผิดหวังโศกเศราเสียใจใดๆ แต่เป็นเพราะว่าเธอซาบซึ้งในน้ำใจ และความจริงใจของกานต์ ที่ไม่หวังประโยชน์ใดๆกับตัวเธอเลย เพราะในชีวิตจริงของเธอนั้น ก็พานพบแต่ผู้ชายที่หวังเงินทองจากตัวเธอทั้งสิ้น ครั้งนี้จึงทำให้ความติดที่เกี่ยวกับผู้ชายของเธอ นั้นดีขึ้น


เมื่อกับมาถึงโรงแรม ปียานุชเดินผ่านบาร์เล็กๆของโรงแรม เธอเข้าไปนั่งและสั่งเครื่องดื่ม เสียงเพลงบรรเลงเปียโน ขับกล่อมค่ำคืนอันแสนเปลี่ยวเหงาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าค่ำคืนนี้พอจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอบ้าง


....


ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดเพลงเสียงดังแสงไฟสาดส่องลายตา ผู้คนบางกลุ่มโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา เข้าจังหวะกับเสียงเพลง แต่ยังมีมุมหนึ่งที่ห่างไกลจากเสียงจังหวะที่เร้าใจ ผู้คนต่างนั่งดื่มกินพูดคุยกันส่งเสียงดัง ชายคนหนึ่งกำลังก้าวเดินไปยังโต๊ะชุดโซฟา อย่างเร่งฝีเท้า จนเพื่อนๆที่อยู่ในโต๊ะก่อนแล้วเห็นเข้า


"ว้าย! นังกานต์ ไหนว่าติดงานไงยะหล่อน"


เพื่อนกระเทยคนแรกทัก


"วันนี้ชั้นโชคดีหน่อยเธอ ลูกค้าแค่พาไปนั่งกินข้าวเฉยๆ วันนี้เลยไม่ต้องทำอะไรที่สะอิดสะเอียนเหมือนทุกวัน"


กานต์ตอบ


"เอาล่ะๆ ดีแล้วที่นางมาได้ทัน เดี๋ยวอีก 20 นาทีจะมีโชว์เดินแบบผู้ชาย"


เพื่อนอีกคนพูด


เสียงกรีดร้องจากกลุ่มเพื่อนกระเทยทั้งโต๊ะ รวมทั้งกานต์ด้วย เมื่อจะได้เห็นเรือนร่างชายหนุ่มหล่อ ออกมาเดินนุ่งน้อยห่มน้อย หนือบางทีอาจจะไม่นุ่งเลย


"นี่ นังกานต์ แล้วลุงเดวิดที่เธอเคยเล่าให้ฟังน่ะ ที่เค้าจะพาเธอไปอยู่เยอรมันด้วย ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว"


เพื่อนกระเทยที่บอกเรื่องเดินแบบถาม


"ชั่นก็คุยกับลุงแกทุกวันนะ ผ่านอีเมล์ ตอนนี้ชั้นกำลังไปเร่งเรียนภาษา หากเรียนจบคอร์สเมื่อไหร่ ชั้นจะนั่งเครื่องไปหาแกเลย"


"ไม่รู้สินะ ว่าลุงแกติดใจอะไรเธอนักหนา ถึงขนาดจะให้ไปอยู่ด้วย คงจะไปอยู่กินกันเลยมั้งเนี่ย"


"ลุงแกชอบที่ชั้นชอบนวดให้ ชั้นอุตสาห์ไปเรียนมาโดยเฉพาะเลยนะ เวลานวดให้แขกคนไหน เป็นติดใจทุกราย ว่างๆพวกเธอก็ไปเรียนบ้างสิ เอาไว้หากิน"


เพื่อนๆทุกคนบนโต๊ะต่างตั้งใจฟัง สื่งที่กานต์เล่า บางคนหัวเราชอบใจ


กานต์หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง จ้องมองบนท้องฟ้า เหมือนกำลังมองไปยังสถานที่อันแสนไกล


"นี่ค่อความฝันของชั้น และมันใกล้จะเป็นจริงแล้ว"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น