วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สินค้าหรือศิลปะ




ในห้องทำงานของบรรณาธิการสำนักพิมพ์นิยายชื่อดัง ห้องกระจกเปิดแอร์เย็นฉ่ำเกือบจะหนาวเหน็บ เมื่อเทียบกับอุณหภูมินอกห้องกระจกที่มีพนักงานหลายสิบคนนั่งแออัดกันในห้องขนาดใหญ่ มีเพียงแต่เครื่องปรับอากาศเก่าๆและทำงานส่งเสียงดังที่พอจะลดความร้อนแรงจากอากาศภายนอกให้พอนั่งทำงานได้

วิธิตพลิกกระดาษแผ่นสุดท้ายของหนังสือไปยังปกหลัง ในหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายมีภาพชายชาวต่างชาติวัยกลางคน หวีผมสีน้ำตาลเข้มเรียบแปล้ ระบุชื่อนายอนุชิต เกร๊กสัน อาชีพนักเขียนนิยายในประเทศอังกฤษ เคยมีผลงานนิยายขายดีหลายเล่ม Always my love [1989] A man who kill a woman [1995] Nightmare jason[1999] Bad country [2008] Secret Diary of Beethoven [2011] (ชื่อหนังสือสมมุติทั้งสิ้น) เคยได้รับรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ 2 สมัยซ้อน โดยมีคำโปรยทิ้งท้ายจากคณะกรรมการรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ไว้ว่า

อนุชิต เกร๊กสันเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ เขาใช้ศิลปะและพลังแห่งร้อยแก้ว สร้างสรรค์ศีลธรรมได้อย่างชัดเจน

หลังจากวิธิตใช้เวลากว่าชั่วโมงนั่งอ่านนิยายเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย วิธิตปิดปกหลังของหนังสือและใช้นิ้วมือไปขยับแว่นสายตายาวให้ลดระดับลง เพื่อให้เขาสามารถมองข้ามกรอบแว่นออกไปยังคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ คนที่นั่งตรงข้ามวิธิตคือ อนุชิต เกร๊กสัน

"ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณคุณอนุชิตที่ให้เกียรตินำนิยายเล่มใหม่มาเสนอสำนักพิมพ์ของเรา หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มหนานี้จบแล้ว ผมมีความประทับใจและรู้สึกสนุกที่ได้อ่านมัน คุณรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยได้เหมือนกับคุณเป็นคนไทย อ่อ! เพราะคุณเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เรียนและเติบโตที่ประเทศไทย ก่อนจะไปศึกษาต่อและทำงานที่ประเทศอังกฤษ"

อนุชิตยิ้มเมื่อได้ฟังคำชม เขาแสดงสีหน้าดีใจเมื่อคิดว่าบรรณาธิการจะตีพิมพ์นิยายของเขา

"ขอบคุณมากครับ หนังสือเล่มนี้ผมใช้เวลาถึง 5 ปีในการเก็บข้อมูลและเขียนมันเมื่อผมเริ่มกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อ 5 ปีก่อน"

"เอ่อ... แล้วทำไมถึงกลับมาอยู่เมืองไทย ในเมื่อคุณเป็นนักเขียนคนที่มีชื่อเสียงที่อังกฤษ"

"เพราะเบื่อประเทศอังกฤษ อยากมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย และอีกสาเหตุหนึ่งเพราะผมได้แต่งงานกับผู้หญิงไทยด้วย เราไปจัดงานแต่งงานกันที่อังกฤษ แต่เราทั้งคู่ตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเพราะผมคิดว่าสังคมเมืองไทยเหมาะกับลูกๆของผมมากกว่า"

"แล้วทำไมถึงเอานิยายที่คุณเขียนมาเสนอสำนักพิมพ์ของเราล่ะครับ ทำไมไม่ส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่เคยตีพิมพ์ผลงานของคุณ"

อนุชิตยิ้มก่อนพูดด้วยความเคยชิน เขาเคยอยู่เมืองไทยซึ่งเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มตั้งแต่เกิด

"ผมใช้ฉากของเรื่องเป็นเมืองไทย ตัวละครเป็นชาวต่างชาติที่เลือกมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ผมจึงคิดว่ามันควรที่ตะถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทย และสำนักพิมพ์ของคุณก็เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่น่าสนใจ ผมจึง..."

ก่อนที่อนุชิตจะพูดจบ วิธิตรีบพูดแทรกตัดบททันที

"เอ่อ... คือว่านิยายของคุณเป็นนิยายที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่ามันซับซ้อนเกินไป ผมไม่สามารถเอานิยายของคุณไปตีพิมพ์ได้ ผมต้องขอโทษด้วย"

"อะไรนะ! ผมไม่เข้าใจ คุณเพิ่งจะชมนิยายของผมว่าดี แต่คุณก็ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์มัน เพราะอะไรกัน"

"นิยายของคุณผูกเรื่องที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี แต่ผมคิดว่าคนไทยไม่ชอบอ่านนิยายประเภทนี้เพราะพวกเขาจะตามไม่ทันและเลิกอ่านก่อนที่จะถึงครึ่งเล่ม สำนวนโวหารคุณเขียนได้ดี เขียนพรรณนาได้สวยงาม แต่มันมากเกินไปที่คนไทยจะอ่านเข้าใจ ผมคิดว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจเหตุการณ์และการเดินเรื่องของหนังสือเพราะคำที่สวยหรูรวมถึงคำอุปมาอุปมัยนี้"

"ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคนไทยเขาอ่านอะไรกัน"

อนุชิตเปลี่ยนสีหน้าจากดีใจเป็นสงสัยแทบไม่ทัน เพราะคำชมเปลี่ยนคำปฏิเสธมาอย่างรวดเร็ว

"ถ้าคุณอนุชิตศึกษาหาข้อมูลสำนักพิมพ์ของเรามากอีกนิด คุณจะเห็นว่านิยายกว่าร้อยละเก้าสิบของเราเป็นนิยายรัก เค้าโครงเรื่องจะเป็นแนวรักๆไคร่ๆ นางเอกยากจนแต่หลงรักพระเอกที่ร่ำรวยจากตระกูลผู้ดี เรื่องของหนุ่มสาวที่ไม่รู้จักกันแต่มาพบรักกันพร้อมอุปสรรค ชายหนุ่มที่เกลียดหญิงสาวอย่างเข้าใส้เพราะความเข้าใจผิด สุดท้ายทั้งคู่รักกัน หรือเรื่องการกำจัดมือที่สาม แต่หนังสือของเราทุกเล่มจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทุกครั้ง และสิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามพระเอกและนางเอกตาย"

วิธิตยังพูดไม่จบประโยค เขาแค่พักหายใจชั่วครู่ แต่อนุชิตยิ่งทำหน้างงกว่าเดิมพร้อมอ้าปากค้าง

"ผมเป็นบรรณธิการมาเกือบ 20 ปี ผมย่อมรู้ดีว่าอะไรขายได้อะไรขายไม่ได้ คนอ่านของเราต้องการอะไรที่ง่ายๆไม่ต้องคิดตาม พวกเขารู้ตอนจบของนิยายอยู่แล้วเพียงแต่เขาแค่อยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คนอ่านของเราน่ะครับคุณอนุชิตใช้ไอคิวแค่ 50 ในการอ่านก็พอ แต่งานเขียนของคุณต้องใช้ไอคิวถึง 200"

"แต่ผมคิดว่างานเขียนที่ใช้ไอคิว 50 ในการอ่าน อาจจะทำให้คนที่มีไอคิว 200 ลดลงเหลือ 50 จริงๆเมื่ออ่านนิยายเหล่านั้น เราควรจะให้พวกเขาอ่านนิยายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเพื่อให้พวกเขาฉลาดขึ้น"

"นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเราครับคุณอนุชิต เราต้องการขายสินค้าที่คนต้องการซื้อ ไม่ใช่ขายงานศิลปะที่น้อยคนที่จะดูมันเป็น ผมยอมรับว่างานเขียนของคุณเป็นงานศิลปะชั้นยอด แต่คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะมองเห็นคุณค่าของมันและจะซื้อ เราต้องของโทษด้วยนะครับที่ไม่สามารถตีพิมพ์งานเขียนของคุณได้"

อนุชิตยังคงทำสีหน้างงกับสิ่งที่วิธิตพูด

"อะไรกัน ประเทศไทยก็มีนักเขียนมือรางวัลระดับนานาชาติหลายคน พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกับหมด"

"รางวัลอาเชียนไรท์น่ะเหรอครับ หนังสือรางวัลก็ได้แค่กล่อง ยอดขายมันก็ยังสู้พวกนิยายรักๆใคร่ๆไม่ได้ หนังสือที่ได้รางวัลก็มักจะอยู่แต่บนหิ้งของร้านหนังสือ รอวันส่งกลับคืนสำนักพิมพ์ อ่อ! พอดีผมมีประชุมกับนักเขียนประจำของสำนักพิมพ์ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า เดี๋ยวผมต้องขอตัวก่อนนะครับ สุดท้ายผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้อ่านชั้นดีมานานมากแล้ว ขอบคุณนะครับคุณอนุชิต"

วิธิตเดินอ้อมโต๊ะเตรียมจะออกจากห้องทำงานกระจกของเขา โดยที่เขาไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับกับมือของอนุชิตตามธรรมเนียมตะวันตก วิธิตออกไปจากห้องแล้วทิ้งไว้แต่อนุชิตให้ยืนงงทำอะไรไม่ถูก สักพักอนุชิตจึงตั้งสติได้ก่อนเดินออกจากห้องทำงาน เดินออกจากตึกเพื่อไปโบกรถแท๊กซี่

รถแท๊กซี่จอด อนุชิตเปิดประตูขึ้นไปนั่ง เขาบอกจุดหมายปลายทางแก่โชเฟอร์ก่อนอนุชิตจะเอนหลังลงที่เบาะพร้อมพักสายตาลงในห้องโดยสารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

รถแท๊กซี่จอดที่จุดหมายในตรอกแคบๆใจกลางเมือง อนุชิตจ่ายเงินพร้อมให้ทิปคนขับรถก่อนจะปิดประตูรถ เขาเดินตรงไปยังร้านอาหารตามสั่งเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่อนุชิตลงจากรถ เมื่อถึงหน้าร้านอนุชิตตะโกนสั่งอาหาร

"ข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาว"

อนุชิตสั่งอาหารเสร็จก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เขาวางกระเป๋าเอกสารไว้บนโต๊ะและเตรียมหญิบกระเป๋าเงินมาไว้ในมือ เวลาผ่านไปไม่นานพ่อครัวหัวทองนัยตาสีฟ้าใสเดินถือจานอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ อนุชิตเปิดกระเป๋าเงินและหยิบธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์ 50 ใบส่งให้ชายที่เพิ่งจะวางจาอาหารลงบนโต๊ะ

"Oh Greg... I think that I must win the bet." (โอ้เกรก... ฉันคิดไว้แล้วว่าฉันต้องชนะเดิมพัน)

"Yes, john... you win a bet. This's your money." (ใช่แล้วจอห์น นายชนะ นี่เงินของนาย)

*** (เพื่อความสะดวกของผู้อ่านและผู้เขียน บทสนทนาต่อไปนี้ตัวละครใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนา แต่ผู้เขียนขออนุญาติเขียนเป็นภาษาไทย)***

"ฉันบอกนายแล้วว่านายไม่มีทางได้ตีพิมพ์งานเขียนของนายที่สำนักพิมพ์นั้นได้แน่นอน"

"โอเค ตอนนี้ฉันเชื่อนายแล้ว บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไม่นายถึงรู้ว่างานเขียนของฉันจะไม่ผ่าน"

"นายเป็นนักเขียนนิยาย และฉันก็เป็นนักอ่านนิยาย ฉันรู้จักนายดีว่างานเขียนของนายมันเป็นงานเขียนที่ดี อ่านสนุก แต่เมียคนไทยของฉันก็เป็นนักอ่านด้วย เธอมีหนังสือนิยายของสำนักพิมพ์ที่นายเพิ่งจะไปมาหลายร้อยเล่มบนชั้นหนังสือ ฉันใช้หนังสือเหล่านั้นในการศึกษาภาษาไทย และเมื่อฉันเริ่มแต่กฉานในการอ่านภาษาไทยแล้วฉันจึงรู้ดีว่า นิยายเหล่านี้มันห่วยแค่ไหน และเมื่อนายมาอยู่เมืองไทยและบอกฉันว่าต้องการเขียนนิยายในเมืองไทย ฉันจึงคิดว่าสำนักพิมพ์นั้นไม่มีทางที่จะตีพิมพ์งานเขียนของนายอย่างแน่นอน เพราะสติปัญญานักอ่านของพวกเขาคงไม่สามารถอ่านงานของนายได้"

จอห์นยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อกำเงินจำนวน 5 พันดอลล่าร์ที่ได้จากเดิมพันในมือ

"โธ่...จอห์น นายเล่นแรงกันเกินไปแล้ว เงิน 5 พันดอลล่าร์สามารถใช้ได้เป็นปีๆในเมืองไทยเลยนะ แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะแล้วนายจะมีเงินจ่ายให้ฉันไหม"

จอห์นหัวเราะชอบใจเล็กน้อยก่อนจะพูด

"ไม่เอาน่าเกร๊ก นายรู้ดีว่าค้าๆขายๆในเมืองไทยจะไปเอาเงินที่ไหนมาเป็นแสนๆ ฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าฉันต้องชนะ เอาเป็นว่าอาหารจานนี้ฉันเลี้ยงนายเอง ส่วนเรื่องเงินที่นายจ่ายให้ฉันมา ฉันแนะนำให้นายเอานิยายเรื่องนั้นมาปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แล้วส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่อังกฤษ โดยให้เปลี่ยนจากชาวต่างชาติมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เปลี่ยนเป็นชาวไทยที่ต้องการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ รับรองว่ามันต้องได้ตีพิมพ์อย่างแน่นอน และนายจะได้เงิน 5 พันคืนหลายเท่าตัวเมื่อรวมส่วนแบ่งจากยอดขายที่นายจะได้รับ"

"นายแน่ใจเหรอจอห์น"

"ฉันมั่นใจเกร๊ก ก่อนที่ฉันจะมาอยู่เมืองไทย ฉันเป็นบรรณาธิการหนังสือที่ยูเอสเอ ถ้าตอนนั้นฉันไม่เบื่อประเทศและตัดสินใจมาอยู่กับเมียคนไทยที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน ฉันคงทำงานเป็นบรรณาธิการเป็นปีที่ 20 แล้ว ฉันมั่นใจว่านักอ่านในประเทศอังกฤษชอบอ่านนิยายของนายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเหมือนกันกับที่ยูเอสเอ"

"ขอบใจมากจอห์น แล้วฉันจะแก้ไขนิยายของฉันก่อนจะส่งไปที่สำรักพิมพ์เก่าของฉัน ที่นั่นคงจะต้อนรับฉันอยู่"

"นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวฉันปิดร้านเลยละกัน"

จอห์นใช้เวลาที่อนุชิตนั่งกินอาหารไปเก็บของในร้านและปิดประตูหน้าร้านลง จากนั้นเขาเดินไปที่ตู้แช่เครื่องดื่มพร้อมหยิบขวดเบียร์ออกมา 2 ขวด และแก้วทรงสูงอีก 2 ใบไปวางที่โต๊ะของอนุชิต

"Oh...John, I love Thai beer. I think it tastes best in the world. Don't tell anyone that this is the real reason I came back to Thailand."

(โอ้จอห์น ฉันรักเบียร์ไทย ฉันคิดว่ามันมีรสชาติที่ดีที่สุดในโลก อย่าบอกใครนะว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ฉันกลับมาอยู่เมืองไทย)

บรรยากาศเสียงหัวเราะตลบอบอวน ทั้งคู่ดื่มด่ำกับรสชาติของเบียร์พร้อมด้วยเรื่องเล่าสนุกๆจากนักเขียนนิยายชื่อดังและเสียงหัวเราจากอดีตบรรณาธิการหนังสือชื่อดังเช่นกัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น