วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตสุดท้าย




วันนี้บังเอิญที่ผมมีธุระที่จะต้องไปทำกับเพื่อนที่ชื่อเฟรม แต่พอผมไปรับเฟรมปรากฏว่ามันบอกให้ผมไปส่งมันที่งานเผาศพคนรู้จักของมันเอง ผมก็ทำตามที่เพื่อนผมขอเพราะมันบอกว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ และป่าช้าที่จะไปก็เป็นทางผ่านที่เราสองคนจะไปทำธุระกันอยู่แล้ว เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่มีไอ้เฟรมซ้อนท้ายไปถึงหน้าป่าช้า ลำบากมากที่จะลัดเลาะอีแก่ของผมเข้าไปในงานพิธี เพราะว่ารถราหลายคันจอดกันเบียดเสียดทั้งรถ 4 ล้อและ 2 ล้อ แต่ด้วยความชำนาญในการควบ 'อีแก่' ของผม ผมจึงนำมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในงานให้ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกตัวออกมาได้ง่ายเมื่อถึงเวลา

เมื่อเราไปถึงเป็นช่วงจังหวะที่โลงศพถูกลากเข้ามาที่กลางลานกว้างพอดี ในงานผมสังเกตเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตานับหลายร้อยชีวิตในงาน และหลายร้อยชีวิตก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน มีทั้งในชุดสีกากี บ้างเป็นชาวบ้านในชุดดำทั้งหนุ่มแก่ ยังมีกลุ่มที่เหมือนจะเป็นนักปั่นจักรยานหลายสิบคนมาร่วมงานด้วย ถัดไปอีกก็เป็นกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงอีกหลายสิบคนเช่นกันในชุดเสื้อยืดสีดำรูปหัวกะโหลก บางคนใส่ชุดหนังสีดำโพกหัวด้วยผ้าหลากสี และยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นชมรมอะไรกัน ไม่เหมือนกับกลุ่มจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์หรูที่จอดยานพาหนะนั้นไว้ใกล้ๆกลุ่มของพวกเขา  ผมสงสัยว่านี่มันงานบ้าอะไรกันจึงถามไอ้เฟรมเพื่อนของผม

"เฟรม คนพวกนี้เป็นใครกัน เขามาทำอะไรที่นี่"

"อ๋อ คนพวกนี้เหรอ เป็นคนในชมรมที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าอยู่น่ะ พอมันตายก็เลยมีคนในชมรมมาร่วมงาน แต่บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามันอยู่หลายชมรม ทั้งจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตกปลา หมากรุกและมันทำงานเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่างที่เทศบาลด้วยน่ะ พอมันตายก็เลยมีคนมาร่วมงานเยอะมาก"

ไอ้เฟรมบรรยายรายละเอียดให้ผมรู้ ผมเฝ้ามองดูผู้คนที่อยู่ในงานพลางคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของไอ้เฟรม ว่าเขาเป็นคนที่กว้างขวางจริงๆ มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด ช่างน่านับถือจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป พอได้รู้ว่ามีคนมากมายที่มาร่วมงานในพิธีของลูกตนเอง ก็คงทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจได้ว่าลูกของตนเป็นที่รักของคนจำนวนมาก

แต่นั่นยังไม่หมด พอถึงช่วงที่จะมีการถวายผ้าบังสกุล มีผู้ใหญ่หลายสิบคนที่ถูกเรียกชื่อ แต่ละคนคือคนใหญ่คนโตทั้งผู้ใหญ่บ้านจนไปถึงผู้ว่าฯ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมงานเผาศพวันนี้ถึงมีคนสำคัญๆมาร่วมงาน คนตายต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือคุณงามความดีหรืออย่างไรกัน แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่ถามมันกับไอ้เฟรม

ในระหว่างที่ยังมีการเรียกชื่อผู้ถวายผ้าบังสกุลอยู่ ผมเริ่มครุ่นคิดหนักถึงประเด็นที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน การที่เราได้รู้จักคนเยอะๆและมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด นั่นคือน่าที่ของมนุษย์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากไม่มีสังคมก็คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นได้แค่สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นที่ไม่ชอบเข้าสังคม ผมไม่มีชมรม ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่เอาไว้สำหรับออกไปเฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีเพื่อนที่สนใจในกิจกรรมที่คล้ายๆกัน เพื่อนที่ทำงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน พ่อแม่พี่น้องของผมก็ไม่มีแล้ว มีก็แค่ญาติห่างๆรวมถึงไอ้เฟรมเพียงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน เพราะเฟรมกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงเข้ากันได้อย่างสนิทใจในทุกเรื่อง

เวลาในการเรียกชื่อผู้ที่จะถวายผ้าบังสกุลยังอีกนาน เพราะผู้ใหญ่อีกหลายคนยังไม่ถูกเรียกออกไป ทำให้ผมยังพอมีเวลาอีกนานที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ก็เหมาะสำหรับการนั่งพิจารณาความคิดของตัวเอง ผมเริ่มกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี ให้ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์ในอุดมคติตามที่ผมเพิ่งจะคิดไว้ ผมเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนโดยเริ่มจากตัวผมเองและไอ้เฟรม อะไรกันนะที่ทำให้เรารู้จักกันและไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่กับคนรอบๆข้างนั้นผมไม่รู้จะเริ่มยังไง

เมื่อไฟถูกจุดที่เมรุเผาศพ ผมเห็นคนหลายคนร้องไห้โศรกเศร้า เมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน คนอีกหลายคนก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกับมันเป็นอุปทานหมู่อย่างไรก็อย่างนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีแม่ของผู้ตายและอาจจะมีภรรยาของผู้ตายด้วยที่ช่วยกันร้องไห้

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมเริ่มมองตัวเองและคิดต่อไปว่า หากเป็นงานศพของผมเองนั้นจะมีใครบ้างที่มาร่วมงานของผมบ้าง ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแค่ยายของผมและไอ้เฟรม การที่เราตายไปโดยที่ไม่เป็นที่จดจำของผู้คนมันช่างดูหดหู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงมัน ไม่นานไอ้เฟรมก็ชวนให้ผมเดินออกจากงานเพื่อไปทำธุระต่อ หลังจากที่มันเดินไปล่ำลากับเจ้าภาพของงาน

ความจริงแล้วธุระของเราสองคนก็ไม่ใช่สลักสำคัญอะไรมาก แค่วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงชวนไอ้เฟรมไปเล่มเกมส์ที่ร้านคอมถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งระยะทางก็ไกลโขอยู่เหมือนกัน ต้องวิ่งผ่านถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถสิบล้อวิ่งผ่าน และถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านอีก ผมจึงไม่ค่อยจะชอบขี่รถบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เพราะวันนี้มันเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อของผม ผมจึงเลือกที่จะขี่ไปในถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาความสำราญกับเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง

"ไปกันได้แล้ว ช้าเดี๋ยวที่นั่งเต็มอดเล่นกัน"

ไอ้เฟรมเริ่มกระสันที่จะอยากเล่นเกมแล้ว จึงบอกให้ผมรีบบึ่งรถไปโดยเร็ว แต่วันนี้โชคร้ายหน่อยสำหรับผมกับไอ้เฟรม เมื่อเราขี่ไปได้เกือบครึ่งทางของถนนที่วิบากและเต็มไปด้วยรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็ว ในขณะที่ผมขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าแต่แรงดีของผมดัวยความเร็ว ผมไม่ทันหลบหลุมขนาดใหญ่ได้ ล้อหน้าตกลงไปในหลุมในจังหวะที่ผมพยายามจะหักเลี้ยวหลบ ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งผมและไอ้เฟรมลื่นไถลไปกับพื้นที่ถนนคอนกรีตที่เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย ชั่วอึดใจเดียวสามัญสำนึกของผมก็ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน โดยที่ผมมองเห็นร่างของผมและไอ้เฟรมนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป และสภาพร่างของผมและไอ้เฟรมที่ผมมองเห็น สภาพมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซากรถมอเตอร์ไซค์

"นี่เราคงตายแล้วใช่มั้ย? ดูสภาพแล้วเราสองคนไม่น่ารอดนะ"

ผมได้ยินเสียงไอ้เฟรมยืนข้างๆ

"อืม... คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่แกไม่ตกใจเลยเหรอ ดูท่าทางแกยังชิวๆอยู่เลย"

ผมหันหน้าไปทางไอ้เฟรม ก่อนจะถามมันด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

"ก็ไม่นะ ไม่รู้สึกตกใจอะไรเลย ก็แปลกดีนะในตอนที่เรายังไม่ตาย เราต่างหวาดกลัวความตายและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตาย แต่เมื่อเราตายแล้วจริงๆกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย"

ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่ไอ้เฟรมพูดออกมา เมื่อเราตายก็เหมือนกับแค่เราเปลี่ยนสถานะไปแค่นั้นเอง ผมยังคิดไม่ออกว่าความตายมันน่ากลัวและน่ากังวลตรงไหน ตอนนี้เราสองคนที่อยู่ในรูปของอะไรก็ไม่รู้กำลังนั่งมองดูร่างของตัวเองที่นอนจมกองเลือดอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นศพของเราสองคน

"แล้วเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้?"

ผมถามไอ้เฟรมเพราะผมไม่มีความเห็น

"ข้าก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปที่ไหนกันต่อ แต่ตอนนี้ยังพอมีเวลาข้าขอกลับไปดูหน้าลูกเมียอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีใครมารับเราไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่า"

"เหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยละกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ไหน"

เมื่อเราสองคนตกลงกันได้ แค่เรานึกถึงหน้าคนที่เราต้องการจะเห็น จิตของผมและไอ้เฟรมก็ไปโผล่ที่คนๆนั้นทันที แต่ปรากฏว่าสถานที่ที่เราโผล่ไปนั้นคือบ่อน

"โธ่! นังแก้ว มันมาเล่นไพ่อีกแล้ว เมื่อวานข้าเพิ่งจะว่าให้มัน คราวแล้วก็เสียหมดตัว ถ้าต่อไปมันยังไม่เลิกเล่นการพนัน และไม่มีข้าด้วยมันจะอยู่ยังไง ไอ้บอลก็ยังเรียนไม่จบ"

"เอาน่าๆใจเย็นก่อน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง แก้วมันก็คงมาหาอะไรทำแก้เบื่อบ้างล่ะ อย่าไปโทษมันเลย ทีแกยังจะหนีไปเล่มเกมกับข้าเลย"

ท่าทางของไอ้เฟรมเหมือนจะเป็นห่วงครอบครัวของมันมากกว่าตัวมันเอง เมื่อเราสองคนคิดถึงบอล ลูกชายของไอ้เฟรม ทันใดนั้นจิตเราสองคนก็ไปโผล่ที่บ้านของไอ้เฟรมทันที

เสียงดนตรีบรรเลงจากกีตาร์คลาสสิคของบอลที่บรรจงดีดออกมาอย่างไพเราะ เขานั่งเล่นมันในห้องเล็กๆแต่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงที่เขาแกะออกมาจากหนังสือ สีหน้าของบอลตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขและความมุ่งมั่นที่จะเล่นเพลงในให้จบจนถึงโน๊ตตัวสุดท้าย

"ข้าไม่ห่วงลูกข้าคนนี้เลย การเรียนก็ดีเล่นดนตรีก็เก่ง ต่อไปมันต้องสามารถเลี้ยงดูแม่มันได้แน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็หมดห่วงอะไรอีกแล้ว"

ผมเห็นไอ้เฟรมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เราสองคนนั่งฟังโน๊ตตัวสุดท้ายจากเสียงของสายกีตาร์ที่ถูกดีด จากนั้นจิตของเราทั้งสองคนก็ล่องลอยออกมาไปตามความคิดห่วงหาอาทรของแต่ละคน ผมส่งไอ้เฟรมไปหาพ่อและแม่ของมัน และจากนั้นมันก็ไปหาเพื่อนๆ หาผู้ใหญ่หลายคนที่มันเคารพนับถือ จนเมื่อมันเสร็จธุระของมันแล้ว ไอ้เฟรมมันก็ถามผมบ้าง

"ตอนนี้ข้าหมดห่วงกังวลหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่าพร้อมแล้วที่เราจะไปสู่ภพภูมิที่เราควรจะไป ตอนนี้แกอยากไปหาใครบ้างล่ะ"

"ข้าคงขอไปดูหน้ายายของข้าเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ จากนั้นก็คงจะหมดห่วงและไปตามทางของใครของมัน"

ผมมองไปที่ยายของผมและก้มลงกราบที่เท้าเพื่อเป็นการบอกลา ยายของผมเป็นคนที่ดี แกมักจะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีเสมอ ท่านเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมมั่นใจว่ายายของผมจะทำใจได้ในไม่ช้าหากท่านรู้ว่าผมตายแล้ว เมื่อผมหมดห่วงอะไรทุกอย่าง ท่าทางของไอ้เฟรมก็ไม่มีอะไรยึดติดบนโลกใบนี้อีกแล้ว

"ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางไปสู่สุขคติ เราหมดหน้าที่แล้วบนโลกใบนี้"

ไอ้เฟรมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น ผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ ไม่นานไอ้เฟรมก็ค่อยๆจางหายไป แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งทึ่เป็นวิญญาณกำลังยืนงงอยู่กลางถนน ผมเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันทีทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปตามไอ้เฟรมได้ ผมเข้าไปคุยกับวิญญาณร่างนั้น

"ลุงจะไปไหนเหรอครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้"

ร่างนั้นหันหน้ามาที่ผม ก่อนจะถาม

"ลุงจะกลับบ้าน ลุงจากลูกกับเมียนานมากแล้ว พวกเขารอลุงอยู่"

ผมคิดว่าลุงเองคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว

"ตอนนี้ลุงตายแล้วครับ ลุงคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว"

ผมบอกลุงไปตามตรง

"ยังหรอกลุงยังไม่ตาย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย พวกเขากำลังรอลุงอยู่ที่บ้าน"

ลุงคนนั้นพูดเสร็จก็เดินหายจากไป โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ลุงแกรู้ตัว หรือบางทีเขาอาจจะต้องเห็นศพของตัวเองเหมือนกับที่ผมเห็นศพของตัวเอง ผมเดินตามลุงไปสักพักก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ด้วยความสงสัยผมเดินเข้าไปถาม

"ป้ายืนรออะไรอยู่ตรงนี้หรือครับ ทำไมไม่เดินทางไปภพภูมิต่อไป"

"ป้ายังเป็นห่วงลูกหลานของป้า ป้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะดูแลธุรกิจที่ป้าสร้างมันมาทั้งชีวิตได้หรือเปล่า ป้าอยากอยู่ดูพวกเขาสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาดูแลตัวเองได้"

"แล้วมันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ในการเฝ้าดูลูกหลาน"

ป้าคนนั้นหันมาและทำสีหน้าไม่แน่ใจ

"ป้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ป้าไปตอนนี้ยังไม่ได้ เพราะป้ายังเป็นห่วงพวกเขาอยู่"

ผมเดินจากมาโดยที่เหลียวหลังไปมองที่ป้าแก ตอนนี้ผมคิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้จิตเรายึดติดกับบุคคลได้เพียงนี้ ไม่ไกลจากป้าแกผมเห็นวิญญาณชายหนุ่มเดินวนเวียนไปมาหน้าบ้านหลังหนึ่ง

"พี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่ไปสู่สุขคติ"

วิญญาณร่างนั้นชี้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่

"เห็นนั่นไหม บ้านหลังใหญ่ รถยนต์หลายคัน ในบ้านมีทรัพย์สินมูลค่ามากมาย เมียของผมเพิ่งจะวางยาผมตายเพื่อหวังเงินประกันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ผมสะสมมาตลอดชีวิต มันน่าแค้นใจเหลือเกิน ผมคงไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้หรอก ต้องรอดูความวิบัติของเมียคนนี้เสียก่อน"

ผมทำได้แค่เฝ้าดูและเดินจากไป คงไม่สามารถพูดอะไรให้พี่คนนั้นเปลี่ยนใจได้หรอก อารมณ์ที่เครียดแค้นชิงชังนี้คงจะเกิดจากความแค้นที่เขาได้เจอมา ไม่แน่เหมือนกันถ้าเป็นผมเองก็อาจจะเครียดแค้นเหมือนเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ผมเริ่มคิดแลัวว่าความสับสนวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บางทีมันก็อาจจะยุ่งเหยิงพัลวันกันจนเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ไปไหนได้เลย ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้ก่อนที่ผมจะหมดโอกาสที่จะไปแก้ไขมัน

ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังที่ที่ควรไป ผมค่อยหลับตาลงและพยายามทำให้จิตใจว่างที่สุดก่อนที่วิญญาณของผมจะเสื่อมสลายไป ชีวิตบนโลกที่สับสนวุ่นวายของผมคงจะจบแล้ว แต่ความคิดสงสัยเล็กๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมสงสัยว่าญาติของไอ้เฟรมที่ผมเพิ่งจะไปงานเผาศพนั้น ดวงวิญญาณของเขาจะไปล่ำลาคนรู้จักที่มากมายของเขาหมดหรือยัง แต่ช่างเถอะ! ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะไปคิดเรื่องนั้น

อา... ความสงบสุขหลังความตายมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสบายจัง...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...