วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำหนักกุ้งที่หายไป



สุชาติเดินเลือกไซส์กุ้งสดจากฟาร์มกุ้งเจ้าประจำ ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับการดูกุ้งในถังน้ำแข็งเฮียง้อเจ้าของฟาร์มเดินเข้ามาทักอย่างสนิทสนม

"วันนี้อยากได้กุ้งไซส์ไหนดีคุณสุชาติ" เฮียถามอย่างเป็นกันเอง

"อ่อเฮีย ผมอยากได้กุ้งไซส์ใหญ่เพื่อเอาไปทำฉู่ฉี่ให้เพื่อนๆผมน่ะครับ พอดีเพื่อนมาเที่ยวบ้านเลยว่าจะเอาไปเยอะหน่อย" สุชาติโกหกเฮียว่าจะเอากุ้งไปทำอาหารแต่ความจริงเค้าจะเอากุ้งไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ที่บ้าน

ความจริงแล้วสุชาติเป็นคนที่ชอบกินกุ้งเป็นชีวิตจิตใจ เค้าชอบมาซื้อกุ้งจากฟาร์มแห่งนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์สุชาติจะต้องกินกุ้งอย่างน้อยหนึ่งมื้อ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้สุชาติต้องเลิกกินกุ้งไปตลอดชีวิตเพราะว่า เมื่อเดือนที่แล้วเค้าตัดสินใจไปหาหมอเพราะว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนสุชาติเริ่มมีอาการมือชาเท้าชา อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร และท้องผูก หมอบอกกับสุชาติว่าเลือดของเค้าปนเปื้อนไปด้วยสารตะกั่วจำนวนมาก ทำให้สุชาติเป็นโรคพิษตะกั่วขั้นเรื้อรั้ง เมื่อหมอซักประวัติชีวิตประจำวันอาหารการกิน สุชาติบอกว่าเค้าชอบกินกุ้งมากหมอจึงสงสัยว่ากุ้งอาจมีสารตะกั่วเจือปน หลังจากนั้นสุชาติกลับไปตรวจสอบกุ้งที่ซื้อมาจากฟาร์มของเฮียง้อ ปรากฏว่าในกุ้งแต่ละตัวจะมีเม็ดตะกั่วขนาดเท่ากรวดเม็ดทรายจำนวน 4-5 เม็ดฝังอยู่ในหัวกุ้ง หลังจากนั้นสุชาติก็เลิกกินกุ้งตลอดชีวิตแม้จะเป็นกุ้งจากฟาร์มอื่น

"คุณสุชาติเป็นลูกค้าคนสำคัญของฟาร์มเรา ถ้าขาดคุณสุชาติไปนี่ฟาร์มเราต้องแย่ๆแน่ๆเลย 55555" เฮียพูดหยอกสุชาติอย่างสนิทสนม

"เฮียก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่ลูกค้ารายย่อยมาซื้อทีละโลสองโล เทียบอะไรได้กับร้านอาหารใหญ่ๆหลายร้านที่มาซื้อกุ้งของเฮียไปทำอาหารให้คนกิน" สุชาติพูดโต้ตอบเฮียง้อแบบไม่สบตาเฮีย

"แต่คุณสุชาติเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้อกุ้งเองจากฟาร์มมานานจนตอนนี้ผมคิดว่าคุณสุชาติเป็นเพื่อนผมไปแล้วนะครับเนี่ย" เฮียง้อตามคุยกับสุชาติอย่างสนิทสนม

"ผมต้องขอบคุณเฮียมาก ที่หลายเดือนมานี่เฮียชอบแถมกุ้งให้ผมตลอดเลย ซื้อแค่โลเดียวแต่แถมมาให้อีกโล" สุชาติพูดเหมือนขอบคุณเฮียที่ช่วยแถมตะกั่วในกระแสเลือดให้เค้าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

"เอาน่าๆ เล็กน้อยๆ ถือซะว่าเราเป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เฮียพูดต่อ

สุชาติคิดในใจ "กัลยาณมิตรเรอะ" สุชาติเลือกกุ้งเสร็จ นำกุ้งไปชั่งกิโลและจ่ายเงิน เฮียง้อแถมกุ้งให้สุชาติเพิ่ม

เมื่อกลับถึงบ้านสุชาตินำกุ้งทั้งหมดวางบนโต๊ะ ค่อยๆแกะหัวกุ้งทีละตัวเพื่อใช้ครีมปลายแหลมความหาก้อนเม็ดตะกั่ว เมื่อพบแล้วก็ครีบเม็ดตะกั่วเก็บไว้ในขวดโหลแก้ว สุชาติแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งจนครบทุกตัวจึงปิดฝาขวดโหลเก็บไว้ ซากเปลือกกุ้งและเนื้อกุ้งที่เหลือเค้ารวบรวมและนำไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน

อาทิตย์ต่อมาสุชาติก็กลับมาเลือกซื้อกุ้ง วันนี้สุชาติขอเฮียเดินดูรอบๆฟาร์มกุ้ง เฮียง้อใจดีพาสุชาติเดินชมรอบฟาร์ม ฟาร์มของเฮียง้อเป็นฟาร์มกุ้งขนาดกลาง เลี้ยงกุ้งทั้งหมด 4 บ่อ เป็นบ่อที่ปูขอบบ่อด้วยผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ และบ่อที่ไม่ปูผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ มีห้องที่ทำเป็นโรงเก็บกุ้งท้ายบ่อ

"เฮียเริ่มต้นธุรกิจนี้ได้ยังไง เริ่มมาจากไหนเหรอ" ผมถามเฮียถึงเรื่องราวในอดีต

"เฮ่ออออ" เฮียง้อถอนหายใจก่อนจะตอบคำถาม "พ่อแม่ผมเริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ตอนผมยังเล็กๆแล้ว จากเมื่อก่อนก็ยังเป็นสระเล็กๆไม่ได้มาตรฐานอะไรมาก กำรี้กำไรแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ได้เงินมาก็พอจ่ายค่าลูกน้อง สมัยก่อนในจังหวัดเราฟาร์มกุ้งมันเยอะ ราคาก็แข่งกันจนจะขาดทุนกันหมดแล้ว ตอนผมอายุได้ 15 ปี พ่อท่านก็มาตายเพราะทำงานหนัก จากนั้นอีก 3 ปีแม่ก็มาตายตามกันไป" เฮียง้อพูดถึงความยากลำบากในสมัยเด็กให้สุชาติฟัง เหมือนได้ระบายอะไรออกมา

"แล้วใครเป็นคนดูแลฟาร์มกุ้งต่อล่ะ" สุชาติถามต่อเพราะรู้ว่าเฮียแกอยากเล่า

"ตอนที่แม่เสียผมก็ดูแลต่อเลย เพราะงานทุกอย่างในฟาร์มผมรู้หมดแล้ว แต่ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ว่าหนี้สินของฟาร์มเยอะมาก เยอะจนท้อไปเลย แต่ก็ไม่อยากขายฟาร์มนะเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน" เฮียตอบคำถาม

"แล้วเฮียทำยังไงต่อ" สุชาติถาม

"ผมก็ไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมสิ เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตนิดหน่อยก็ทำให้มีรายได้ต่อเดือนมากขึ้นจนสามารถที่จะไปกู้แบงค์ไปเงินก้อนมาจำนวนหนึ่ง จึงปรับปรุงฟาร์มให้มีมาตรฐานดีขึ้น พอฟาร์มใหญ่กำลังผลิตเยอะก็แข่งราคากับฟาร์มเล็กๆจนฟาร์มเล็กๆต้องปิดฟาร์มไปเลย ผมจึงลืมตาอ้าปากได้ถึงทุกวันนี้ไง" เฮียง้อพูดอย่างภูมิใจ

เฮียง้อพาสุชาติเดินรอบบ่อจนถึงท้ายบ่อผ่านห้องที่ทำเป็นโรงคัดไซส์กุ้ง สุชาติทำทีจะขอเข้าไปดู

"เฮีย ผมขอเข้าไปดูในโรงงานนั่นหน่อยได้มั้ย อยากไปดูกรรมวิธีแยกไซส์กุ้งว่าเค้าทำยังไงกัน" สุชาติถามเฮียง้อด้วยสายตากึ่งอยากรู้อยากเห็น

"เอาะอ่อ! ค่ะๆคือว่าตอนนี้ที่โรงแยกกุ้งคนงานเพิ่งจะเอากุ้งขึ้นมาจากสระ ข้างในอาจจะวุ่นวายกัน เข้าไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก ไว้คราวหน้าละกันเนาะ เดี๋ยวจะให้เข้าไปดู" เฮียพูดกันท่าสุชาติที่จะขอเข้าไปดูในโรงงาน

"ไม่เป็นไรเฮีย ไว้คราวหน้าก็ได้" สุชาติพูดเหมือนกับจะไม่สนใจที่ถูกปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่ให้เข้าไปดูแน่

วันนี้สุชาติหิ้วกุ้งกลับบ้าน 3 กิโล แน่นอนว่าบางส่วนเป็นของแถมจากเฮียง้อ สุชาติทำตามขั้นตอนเดิมคือแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งทุกตัว และเก็บมันใส่ขวดโหลแก้วอย่างดีมีฝาปิดมิดชิด และนำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้านเหมือนเดิม

อาทิตย์ต่อมาสุชาติโทรไปถามเฮียง้อว่าวันนี้เฮียจะอยู่ที่ฟาร์มกี่โมง เฮียบอกว่าจะอยู่ช่วงบ่ายๆ ดังนั้นสุชาติจึงเข้าไปที่ฟาร์มช่วงสายๆประมาณ 10 โมง โดยทำทีไปขอเลือกดูกุ้งเหมือนปกติ และเมื่อคนงานอื่นๆเผลอสุชาติก็ทำเป็นเดินลงไปดูบ่อกุ้ง เดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงงานท้ายบ่อ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ในนั่นจึงแอบเข้าไปในโรงงาน

เป็นตามที่สุชาติคิด เค้าเห็นถังพลาสติกใบใหญ่สีดำ ข้างในบรรจุเม็ดตะกั่วเม็ดเล็กๆประมาณเท่าเม็ดทรายเม็ดใหญ่ สุชาติแอบถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายเอาไว้ เมื่อสุชาติมั่นใจว่าที่ฟาร์มนี้นี่เองที่แอบยัดตะกั่วลงในกุ้งก็รีบเดินออกมาจากโรงงานอย่างทันทีโดยระวังไม่ให้ใครเห็น เมื่อออกมาสุชาติก็ทำทีเป็นเดินดูนู่นดูนี่จนเวลาผ่านไปไม่นานเฮียง้อก็กลับมา

"สวัสดีคุณสุชาติ ขอโทษทีที่ปล่อยให้รอนาน พอดีตอนเช้าไปคุยกับร้านอาหารที่มาเปิดใหม่ ไปสู้ราคากับเจ้าอื่นๆมา สรุปเป็นผมที่สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น" เฮียง้อทักทายสุชาติอย่างอารมณ์ดี

"ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมก็เพิ่งมาก่อนหน้าเฮียไม่นานหรอก พอดีที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงน่ะ ผมเลยจะมาเอากุ้งไซส์ใหญ่ซัก 10 โลไปเลย แต่งวดนี้เฮียไม่ต้องแถมให้ผมนะ เพราะบริษัทให้งบมาแล้ว" สุชาติพูดกับเฮียด้วยสีหน้าเก็บอาการจากสิ่งที่เค้าเจอมาเมื่อซักครู่นี้ "อ่อ แล้ววันนี้ผมขอบิลเงินสดด้วยนะ พอดีต้องใช้ตั้งเบิกกับบริษัทด้วยน่ะเฮีย" สุชาติย้ำ

"ได้เลยๆ" เฮียรับปากสุชาติ

"นี่คือไซส์ที่ใหญ่และดีที่สุดของเราเลย รับประกันได้ว่าฟาร์มเราราคาดีที่สุดแล้วในจังหวัด คุ้มแน่นอน" เฮียง้อพูด

"ใช่แล้วเฮีย ผมถึงอุดหนุนฟาร์มนี้ไม่เคยเปลี่ยนไง" สุชาติตอบเฮียง้อ "เฮีย วันอาทิตย์หน้าเฮียมีธุระไปไหนมั้ย" สุชาติถามเฮียง้อ

"อาทิตย์หน้าไม่มีนะ ทำไมเหรอ" เฮียง้อถาม

"คือว่าอาทิตย์หน้าเฮียไปเที่ยวสวนของผมมั้ย เป็นสวนผลไม้ของผมเอง ได้มรดกมาจากพ่อ แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้น่ะว่าสวนนั้นมีผมเป็นเจ้าของ เฮียห้ามบอกใครนะแม้แต่ลูกน้องว่าไปดูสวนกับผม" สุชาติพูดย้ำกับเฮียโดยระวังไม่ให้ใครได้ยิน

"อ่อๆ ได้ๆไม่มีปัญหา เดี๋ยวไว้วันอาทิตย์หน้าค่อยโทรนัดกันออกไปเจอข้างนอกก็ได้" เฮียง้อพูด

"งั้นวันนี้ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องรีบเอากุ้งไปให้พ่อครัวที่บริษัทจ้างมา ไว้เจอกันเฮีย" สุชาติบอกลาเฮีย เฮียง้อตอบรับ

สุชาติขนกุ้งกลับไปทำตามขั้นตอนเดิมทุกประการแต่วันนี้มีปริมาณมากหน่อย สุชาติแยกตะกั่วออกจากตัวกุ้ง เก็บตะกั่วใส่ในขวดโหล นำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน สุชาติเอารูปตะกั่วในโรงงานที่ถ่ายมาเปิดดูเทียบกับตะกั่วในขวดโหล เมื่อมั่นใจลักษณะตะกั่วใกล้เคียงกัน สุชาติจึงได้นำขวดโหลที่ใส่เม็ดตะกั่วจำนวนมากพร้อมเอกสารจำนวนหนึ่งไปส่งยังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งมีการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อาทิตย์ถัดมาสุชาติโทรไปหาเฮียง้อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อนัดออกมาเจอกันแถวนอกเมืองในเวลาบ่ายโมง โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าอย่าบอกใครว่าออกมาเจอกับเค้า สุชาติไปแอบซุ่มรอเฮียง้อตั้งแต่เช้าแล้วโดยไปซ่อนตัวแถวใกล้จุดนัดพบ เมื่อถึงเวลานัดพบเฮียง้อขับรถเข้ามาเห็นสุชาติยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงถามสุชาติว่า

"อ้าว! แล้วคุณสุชาติมายังไงเนี่ย เอารถไปจอดไว้ที่ไหน" เฮียง้อถาม

"อ๋อ ผมเอารถจอดที่สวนไง แล้วก็เดินออกมารับเฮียตรงนี้ เพราะถ้านัดที่สวนเลยกลัวเฮียไปไม่ถูก" สุชาติตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมาดมั่น

"เฮีย ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ชวนเฮียมาดูสวนผมอย่างเดียวนะ" สุชาติพูด

"อ่อๆ แล้วมีอะไรอีกเหรอ ที่ชวนมาวันนี้" เฮียง้อถาม

"ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้เฮียสมนาคุณของแถมให้ผมตลอดเลย ผมรู้สึกเกรงใจเลยคิดว่าจะเอาของสิ่งนั้นมาคืนเฮียน่ะ" สุชาติพูดพร้อมจ้องตาเฮียง้ออย่างดุดัน

"อ่อๆ ถ้าคิดจะเอาเงินมาคืนให้เลิกคิดไปเลย ผมไม่เอาหรอก" เฮียง้อพูด

"ไม่ใช่เงินเฮีย แต่เป็นอันนี้" สุชาติหยิบเม็ดตะกั่ววางบนมือเฮียง้อหนึ่งเม็ด เฮียง้อก้มหน้าดูแต่ไม่ทันที่เฮียง้อจะดูเสร็จว่าเป็นเม็ดอะไรสุชาติพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

"นั่นยังไม่หมด ยังเหลืออีกเม็ดหนึ่ง" เมื่อพูดจบสุชาติเล็งปืนมาที่หัวเฮียง้อ เหนี่ยวไกปืน .38 ทะลุกลางหัวเฮียง้อ

เฮียง้อตายคาที่ จากนั้นสุชาติรีบหลบหนีตามเส้นทางที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ สุชาติต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้เค้ามีนัดเข้ารับการรักษาโรคพิษตะกั่วที่โรงพยาบาล สุชาติตั้งใจว่าก่อนที่จะเข้ารับการรักษาทางกายเค้าอยากชำระความแค้นทางใจออกไปก่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สุชาติส่งตะกั่วทั้งหมดที่เค้าเก็บไว้ในขวดโหลแก้วไปให้โรงหล่อโลหะ และเอกสารนั้นเป็นแบบหัวกระสุนของลูกปืน .38 เมื่อสุชาติได้หัวกระสุนที่มาจากตะกั่วในตัวกุ้ง จึงนำหัวกระสุนนี้ไปสลับกับหัวกระสุนที่ติดมากับลูกกระสุนเดิม



เมื่อสุชาติยิงเฮียง้อตาย เค้าพูดออกมาเสียงหนักแน่นว่า "ของสิ่งไหนที่มันไม่ใช่ของเรา ก็ให้คืนเจ้าของเค้าไป ตอนนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ"


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซุปเปอร์ไบค์ชวนเสียว



ผมนัดพบกับกลุ่มก๊วนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เวลา 6 โมงเช้า เส้นทางที่จะไปขี่รถคือถนนเส้นจากอำเภอแม่ริมไปยังอำเภอสะเมิง พี่ๆในกลุ่มประกอบด้วย พี่เหน่ง Kawasaki Z1000 พี่ตั้ม Suzuki GSXR1000 พี่อาร์ Honda CBR1000 พี่กิ่ม Yamaha R1ส่วนผมเด็กที่สุดในกลุ่ม ขี่ Ducati 1199 Panigale R


ยามเช้าหน้าหนาวในจังหวัดเชียงใหม่ และยิ่งถนนบนดอยที่มีป่าต้นไม้ล้อมรอบ สองข้างทางทำให้อากาศเหมาะต่อการถูกสูดเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ โค้งบนถนนเส้นนี้เป็นโค้งที่สวย เป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้ชาวต่างชาติก็ยังยกย่องถนนเส้นนี้ เป็นถนนเส้นที่เหมาะกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะทุกโค้งบนถนนจะรับโค้งกับการเข้าโค้ง เวลาเข้าโค้งนักบิดจึงไม่ต้องชะลอความเร็วมากนัก ผมวิ่งเส้นนี้นับร้อยครั้งจนจำองศาของโค้งได้หมดแล้วครับ


รวมถึงถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ฟาร์มงู ฟาร์มผีเสื้อ ฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนพฤกษศาสตร์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ ที่ถนนเส้นนี้จึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หากเป็นช่วงสายๆขึ้นไปก็อาจจะมีรถวิ่งกันพลุกพล่าน ผมจึงเลือกช่วงเวลาเช้าๆในขณะที่ยังไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่


เรานัดกินกาแฟในปั๊มน้ำมันกันก่อน พูดคุยวางแผนการเดินทางตั้งใจกันไว้ว่า พอลงจากดอยผ่านอุทยานหลวงราชพฤกษ์พืชสวนโลก จะแวะร้านข้าวต้มประจำ ที่เราต้องแวะไปกินทุกครั้งหากวิ่งมาเส้นนี้ จากนั้นแต่ละคนก็เติมน้ำมันกันเต็มถัง เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมกันหมดแล้วผมจึงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว ผมบิดคันเร่งเล็กน้อยเสียงเครื่องยนต์ 1000cc ดังกระหึ่ม ผมเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านแถบนั้น จึงเผลอรีบปล่อยครัชรถไหลออกจากปั๊มไป หันไปมองว่าพี่ๆออกตัวกันมาหรือยัง ปรากฏว่าพี่ตั้มเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำส่วนคนอื่นๆยังคงจอดรอพี่ตั้มกัน ผมขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปชะลอรถรอพวกพี่ๆทางแยกขึ้นดอย


ผมขับรถถึงแยกสัญญาณจราจรเลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นดอยไปยังอำเภอสะเมิงปรากฏว่า สัญญาณไฟเป็นสีเขียวผมจึงเลี้ยวซ้ายทันที การจราจรมีรถขับลงมาจากดอยบ้างประปราย เนื่องจากถนนเลนฝั่งผมโล่ง และยังเป็นทางตรงผมบิดคันเร่งๆความเร็วไปที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันใดนั้นรถเก๋งเลนฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร แต่ยังอยู่ห่างจากผมประมาณ 100 เมตร เมื่อสังเกตดีๆผมเห็นรถกระบะคันใหญ่สีเขียว บรรทุกสินค้าทางการเกษตรเต็มลำวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พยายามวิ่งแซงขวารถเก๋ง แล้วยังคร่อมเลนออกมาทับเลนที่ผมวิ่ง รถกระบะคงนึกไม่ถึงแน่ที่มอเตอร์ไซค์ จะมีความเร็วสูงขนาดนี้เมื่อแซงรถเก๋งมาได้ จึงรีบหักหลบเข้าเลนตัวเอง ฉิวเฉียดที่จะประสานงานกับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมหัวใจหวิวๆเพียงเล็กน้อยเพราะประสบการณ์เฉียดตายจากมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นผ่านมาเยอะแล้ว


"โครม.....ม!" เสียงรถชนประสานงานกันดังสะนั่นลั่นถนน ผมรีบสำรวจตัวเองด้วยความกังวลว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นของผมเอง และที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจะเป็นดวงวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากร่างกาย ผมชะลอรถยกมือซ้ายกำมือแบมือสลับยกมือขวากำมือแบมือ ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นลงๆ สะบัดหัวซ้ายขวาๆผงกหัวขึ้นลงๆ กรอกลูกตาซ้ายขวาบนล่าง กัดลิ้นตัวเองเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ร่างกายความรู้สึกผมก็ยังปกติดีทุกอย่างนี่ สงสัยเจ้ารถกระบะซ่านั่นจะแหกโค้งออกนอกถนนไปแล้วมั้ง น่าเห็นใจจัง ทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาวไปน่าจะประมาณอีก 500 เมตร ผมลดเกียร์ลงเป็นเกียร์ 2 บิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ล้อหน้ายกทะยานท้าความเร็วที่พุ่งขึ้นพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มท้องถนน เมื่อมั่นใจว่ายังรับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ครบถ้วน ผมค่อยๆลดคันเร่งลงด้วยความเกรงใจคนแถวนั้นเรื่องเสียงเครื่องยนต์ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เห็นใครเลยซักคนข้างถนน


ในทางโค้งผมเข้าโค้งได้อย่างหมดจดไม่มีบานไม่มีพับ ก่อนที่จะเข้าในโค้งผมเข้าโค้งแบบ Counter Steering ถ่ายน้ำหนักจากสะโพกไปทางโค้ง เมื่ออยู่ในโค้งผมแบนโค้งจนเซนเซอร์ที่ตำแหน่งหัวเข่าแตะพื้น และตอนออกจากโค้งผมบิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ในทางซิกแซกผมพลิกตัวซ้ายขวาไม่มีหลุด ความเร็วที่ใช้ในโค้งเป็นความเร็วสูงสุดที่สามารถจะใช้ได้ ผมแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ขี่รถได้ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน พริ้วอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางตรงผมบิดคันเร่งความเร็วแตะท็อปสปีด ก่อนจะเข้าโค้งผมแบนโค้งเข่าแตะพื้นอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์มา หรือเป็นวิญญาณล่องลอยมากันแน่ ถ้าผมยังไม่เป็นวิญญาณอาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา เลยทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีดขี่รถได้แบบไม่กลัวตาย


อากาศบนดอยสูงสดชื่นมาก ผมขี่รถในช่วงท้ายๆของเส้นทางแบบสบายๆ ค่อยๆผ่อนคลาย ผมเปิดชีลด์หมวกกันน็อคเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวลมที่ประทะกับใบหน้าเหมือนกับจะทำให้ผมเข้าสู่เข้าสู่ภวังค์ได้เลย ผมเริ่มเห็นผู้คนเดินทางไปมาบ้างแล้ว ทำให้อุ่นใจไปอีกระดับนึงว่าผมน่าจะยังอยู่ในภพภูมิเดียวกับมนุษย์ทั่วไป การจราจรเริ่มหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย


ในที่สุดผมก็ขี่มาถึงร้านข้าวต้มที่ประจำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักของพวกเรา ผมเอารถไปจอดที่จอดรถประจำ ซึ่งสามารถจอดได้ 5 คันพอดี จากนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับ 6 คน ผมเปิดเมนูเพื่อเลือกอาหารและแอบชำเลืองมองเด็กเสิร์ฟ เขาเดินผ่านผมไป พรางบ่นในใจว่าทำไมไม่เอาน้ำมาให้ซักที ผมหิวน้ำแล้ว ทันใดนั้นรถกลุ่มพี่ๆค่อยๆเข้ามาจอดรถในตำแหน่งประจำของแต่ละคน พี่ๆค่อยถอดหมวกถอดถุงมือแล้วค่อยๆทยอยเดินกันมา พี่ตั้มเดินมานั่งที่โต๊ะเป็นคนแรกแต่เหมือนกับจะมองไม่เห็นผม ผมตะโกนถามพี่ตั้ม "กินข้าวต้มอะไรดีครับพี่" พี่ตั้มเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร "พี่ตั้มๆ"


ในใจผมเริ่มวิตก นี่เราเป็นวิญญาณหรือไงนี่ ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่พี่ตั้ม "ฟ้าววววว" เสียงฝ่ามือวิ่งฝ่าอากาศ ผมรีบวิ่งไปยังกลุ่มพี่ๆที่เหลือ "ฟ้าววววว" ผมวิ่งทะลุร่างพี่เหน่ง "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพี่อาร์ "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพึ่กิ่ม วิ่งไปดูที่รถของพี่ๆลองไล่สัมผัสดูแต่มือไม่สามารถสัมผัสได้ ในหัวผมเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ตายแล้วจะไปไหน ใครจะมารับไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ารถกระบะคันนั้นมันแซงรถเก๋งไม่พ้นจึงชนกับรถของผม และเสียงรถชนกันที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอุบัติเหตุของผมเองแต่จิตใต้สำนึกของผมยังเชื่อมั่นไปเองว่ารถกระบะต้องแซงพ้นและหักหลบเข้าเลนตัวเองไปแล้ว อาจจะเหมือนหนังผีฝรั่ง ที่คนตายอย่างกะทันหันมักจะไม่รู้ตัวเองตาย จิตยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ จนกว่าจะมีเหตุการณ์ให้รู้ว่าตัวเองตายแล้ว จิตถึงจะหลุดพ้นไปยังสรวงสวรรค์หรือไปเกิดใหม่ได้


เสียงเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มตะโกนเสียงดังลั่นร้าน "เฮีย เกิดอุบัติเหตุบิ๊กไบค์เลยแยกทางขึ้นดอยแม่ริม ประสานงานกับกระบะขนกะหล่ำ กระบะพลิกคว่ำ 3 ตลบเลย ไอ้บิ๊กส่งข่าวมาเรียกให้ไปช่วยกู้ซากรถหน่อย" เสียงเด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ตะโกนบอกเฮียเจ้าของร้านที่กำลังปรุงหม้อข้าวต้ม เพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่กู้ภัยจากอุบัติเหตุเมื่อได้รับข้อความแจ้งจากเพื่อน






"ไหนๆ ดูซิ" เฮียเจ้าของร้านรีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปภาพพร้อมข้อความที่อาสาสมัครส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันดู


"ข้อความบอกว่ากระบะแซงขวารถเก๋ง บิ๊กไบค์วิ่งมาเร็วกระบะหักหลบไม่ทันประสานงานกันเต็มๆ" เด็กเสิร์ฟพูดให้เฮียฟังพร้อมเตรียมส่งข้อความตอบกลับ


ผมขนลุกไปทั้งตัวไม่เว้นขนจมูกและขนในรูหู รีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองไกลๆเห็นแล้วไอ้กระบะเวรนั่น ในที่สุดผมก็มั่นใจว่าผมได้ตายแล้วจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นแค่วิญญาณที่ล่องลอยไปตามอากาศ และยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ๆเคยไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็ไม่ตกใจอะไรไปมากกว่านี้ พยายามที่ยอมรับความตายอย่างสงบที่สุด ผมมองออกไปยังท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดจ้าขึ้น ผมคิดในใจว่าจะมีเทวดาลอยลงมารับตัวผมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ หรือจะมียมทูตมารับตัวผมไปสู่นรกกันแน่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเบาขึ้น เหมือนกับจะล่องลอยขึ้นไปยังบนท้องฟ้า เดี๋ยวซักพักวิญญาณของผมคงจะค่อยๆแตกสลายเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมค่อยๆยกแขนยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับแสงแดดบนท้องฟ้า รอเวลาให้พลังงานที่ก่อรูปเป็นวิญญาณนี้สลายไปกับอากาศ


วิญญาณไม่ยอมสลาย มือผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแสงแดด ผมรีบยื่นหัวเข้าไปดูใกล้ๆกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็น Ducati ของผมหรือเปล่า


"น้องๆ ตกใจอะไรกัน" เฮียเจ้าของร้านสะกิดที่ไหล่ผม


"อ้าวเฮียหมู เห็นตัวผมด้วยเหรอ" ผมตกใจถามเพราะคิดว่าตัวผมเองเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้ อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสงสัยว่าทำไมพี่ๆไม่เห็นตัวผมมีแต่เฮียและเด็กเสิร์ฟที่หันมามองหน้าและยิ้มทักทาย แอบคิดในใจหรือว่าเฮียกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งจะตายโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันกับผม


"เห็นสิ หัวบังเต็มจอเลย อ้อ! น้องบอลนี่เอง มาช่วยกันดูซิว่าพวกนี้เป็นกลุ่มไหนเผื่อน้องรู้จัก แต่งตัวเต็มยศเลย ขี่บิ๊กไบค์มาเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ" เฮียหมูถามพร้อมจำหน้าผมได้ ผมไม่สนใจรีบจ้องดูที่รถมอเตอร์ไซค์ว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน


"นี่ไงเฮีย บิ๊กไบค์ตายเรียบ 4 ศพคนขับกระบะเจ็บสาหัสส่งโรงบาลแล้ว" เด็กเสิร์ฟรายงานข่าวที่เพื่อนอาสาสมัครส่งมาให้ “4 เหรอ เอ๊ะหรือว่า!ผมเริ่มคุ้นกับจำนวนตัวเลข


สภาพรถจากภาพ Kawasaki คอหัก Yamaha ล้อหลุดทั้งสองข้าง โครงรถแตกกระจาย สภาพ 2 คันนี่ไม่ต่างกันกับ Honda และ Suzuki


"เฮ้ย!" ผมอุทานเบาๆ พร้อมรีบวิ่งไปดูรถของพี่ๆ ณ ที่จอดรถ "เฮ้ย!" ผมอุทานรอบ 2 สภาพรถที่เห็นตรงหน้าสภาพไม่ต่างจากที่เห็นในอินเตอร์เน็ทเลย คอหัก ล้อหลุด โครงแตกละเอียด รอบๆตัวรถแปะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด พื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือด รอยเลือดลากเป็นทางยาวจากที่รถไปยังโต๊ะที่พี่ๆนั่งกันอยู่ ผมกลั้นใจหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่ๆ


เหมือนเลือดบนใบหน้าผมจะพร้อมใจกันวิ่งออกไปจากที่ๆมันเคยอยู่ พี่เหน่งคอหักหัวห้อยลงไปด้านหลัง ชีลด์หมวกกันน็อคแตกเห็นดวงตาพี่แกถลน พี่ตั้มหัวหลุดคาหมวกกันน็อค หมวกวางบนอุ้งมือที่พี่ตั้มอุ้มประครองไว้ ตัวพี่แกไหล่บิดจนแขนพลิกกลับหน้ากลับหลัง พี่อาร์แขนขาหักจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ลงไปนอนกองกับพื้น พี่กิ่มสภาพศพโดยรวมสวยกว่าเพื่อน แต่ซี่โครงของแกแทงทะลุออกมาภายนอกเห็นได้ชัด มีไส้ไหลห้อยลงมากองกับพื้น ถ้าทางเหมือนพวกพี่ๆกำลังนั่งรอใครอยู่ แค่คิดถึงข้อนี้แล้วผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แขนขาผมเริ่มเป็นเหน็บกิน ขยับตัวเริ่มไม่ค่อยได้ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม


เฮียเจ้าของร้านตะโกนเรียกผม "บอล! เป็นอะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว วิ่งไปวิ่งมาพูดจาอะไรกับใครไม่รู้เรื่อง" ผมหันหน้าไปหาเฮียแต่ไม่ได้ตอบ ผมลำดับเหตุการณ์ในใจ พวกพี่คงขับรถมาแบบหน้ากระดานเรียงสอง และมาด้วยความเร็วสูง พอเจอกระบะประสานงานเหมือนกับโยนลูกโบลลิ่งกระทบพินล้มหมด "สไตค์" เลย ผมนึกถึงสภาพพวกพี่ๆที่เห็นเมื่อกี๊นี้ รวมถึงเสียงรถประสานงานที่ดังลั่นถนนที่ผมได้ยินมา ซึ่งเป็นเสียงตอนที่พี่ๆโดนชน ผมขออนุญาตเป็นลมก่อนนะครับ แล้วไว้ค่อยไปทำบุญให้พี่ๆกันทีหลัง หลังจากผมฟื้นขึ้นมาก่อนนะ






"คร่อกกกก!!"



วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โกง


สุภาพเซลแมนหนุ่มหิ้วกระเป๋าเครื่องใช้ไฟฟ้าเร่ขายตามบ้าน วันนี้สุภาพยังขายของไม่ได้ซักชิ้น ด้วยอากาศที่ร้อนและเดินมาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย เขารู้สึกเหนื่อยและหิวน้ำเหลือเกิน ท่าทางจะหน้ามืด สุภาพมองไปสองข้างทางเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง


"อ้าว!! เจอพอดี" สุภาพคิดในใจ เขารีบเดินไปยังร้านขายของชำเล็กๆที่อยู่หน้าเขาไปแค่ 10 ก้าว


"ป้าๆ ขอเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนเรียกป้าเจ้าของร้านที่แอบงีบบนเปลผ้าใบ สภาพร้านขายของชำเล็กๆที่ไม่มีทางเดินให้ลูกค้าเข้าไปเลือกซื้อสินค้า ลูกค้าต้องบอกกับเจ้าของร้านว่าต้องการสินค้าอะไร และเจ้าของร้านจะไปหยิบให้พร้อมคิดเงิน


"ป้าๆ เกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนอย่างเสียอารมณ์จากความเหนื่อยและหิวน้ำ ป้าเจ้าของร้านสะดุ้งตื่นลุกขึ้นไปปิดวิทยุที่กำลังเล่นเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ พร้อมเดินไปหยิบขวดเกลือแร่ออกมาจากตู้เย็น และหยิบหลอดส่งให้สุภาพ พร้อมรับธนบัตรมาใส่ในลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเปลผ้าใบต่อ


สุภาพรีบเปิดขวดเกลือแร่ออกและเสียบหลอดดูดเข้าไป เขาดูดเกลือแร่เข้าจนเริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นจึงหันหน้ามองไปที่ป้าเพื่อรับรับเงินทอน แต่ปรากฏว่าป้างีบหลับไปแล้ว สุภาพตะโกนเรียก


"อ้าว ป้าตังค์ทอนผมล่ะ" สุภาพตะโกนบอกป้าพร้อมกับปาดเกลือแร่บนริมฝีปาก


"โทษทีๆ ป้าลืม" ป้าเจ้าของร้านลุกขึ้นจากเปลพร้อมหยิบเงินทอนในกล่องใส่เหรียญหยิบเงินให้สุภาพไป 7 บาท พอยื่นให้ป้าแกก็ลงไปนอนต่อบนเปลผ้าใบโดยไม่สนใจสุภาพต่อ


"ป้าๆ ทอนตังค์ผมไม่ครบ เมื่อกี๊ให้แบงก์ร้อยไป ป้าต้องทอนผม 87 บาท แต่นี่ให้มาแค่ 7 บาทเอง ขาดอีก 80 บาท" สุภาพท้วงพร้อมวางเหรียญเงินทอนลงบนโต๊ะ


"หนูให้แบงก์ 20 ป้ามานะ ทอน 7 บาทก็ถูกแล้วนี่" ป้าลุกขึ้นมาจากเปลและตอบสุภาพไป


"ไม่ใช่แล้วป้า ผมยื่นแบงก์ร้อยให้เลย ป้าทอนผมไม่ครบ อย่างนี้ก็โกงกันนี่"


"จะให้ป้าทำยังไง ก็หนูให้แบงก์ 20 ป้ามาแล้วป้าจะเอาเงินที่ไหนมาให้ตั้ง 80 บาทมาให้หนู"


"ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าไป ป้าต้องทอนเงินผมอีก 80 บาท นี่! ดูทั้งตัวผมมีแค่แบงก์ร้อยใบเดียว" สุภาพทำท่าควักกระเป๋ากางเกงให้ดูว่าเป็นกระเป๋าว่างเปล่า


จะให้ป้าทำยังไงล่ะ ตั้งแต่เช้ายังขายของได้ไม่ถึง 40 บาท ป้ามีเศษเหรียญอยู่ 30 กว่าบาท หนูเอาอันนี้ไปก็ได้ป้าเจ้าของร้านพยายามจะต่อรอง


ไม่ใช่แล้วป้า ผมแค่ต้องการเงินของผมคืน 80 บาท เงินของป้าผมไม่ต้องการหรอก เอาคืนมาเลย อย่างนี้เรียกว่าโกงกันนี่สุภาพไม่รับข้อเสนอยังยืนยันที่จะขอเงินคืนเต็มจำนวน 80 บาท


สงสารป้าเถอะนะหนู ป้าแก่แล้วจะโกงเงินหนูไปทำไมกันป้าเจ้าของร้านอ้อนวอน


แต่ป้า!!สุชาติตะโกนใส่ป้าอย่างดุดัน


"ป้าไม่โกหกอยู่แล้ว อย่าทำอะไรป้าเลยป้าขอร้องป้าเจ้าของร้านร้องเสียงสูง แสดงท่าทางตกใจ


โธ่ป้า ป้าแค่คืนเงินทอนผมมาให้ครบก็จบแล้ว จะโวยวายทำไมกันท่าทางสุภาพเริ่มหมดความอดทน ยกไม้ยกมือแสดงความไม่พอใจ


"ป้า!! งั้นมาเปิดดูที่ลิ้นชักเลยว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่ จะได้จบๆ" สุภาพทำท่าทีหุนหันจะเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปเปิดลิ้นชักดู


อย่าเข้ามาในร้านนะ!!ป้าเจ้าของร้านโวยวายทันที ทันใดนั้นก็มีลูกค้าเข้ามาหน้าร้านพอดี


--------------------------


"ป้าค้า ขอชาเขียวหนึ่งขวด" ลูกค้ากระเทยรูปร่างสูงตัวใหญ่เดินเข้ามาหน้าร้านพร้อมสั่งน้ำดื่ม


สุภาพหยุดชะงัก "นี่คุณ ผมกำลังเคลียร์ปัญหากับป้าแกอยู่ ไม่มีมารยาทหรือไง ให้ผมคุยจบก่อนได้มั้ย" สุภาพรีบพูดใส่ลูกค้ากระเทย


"เกิดอะไรขึ้นป้า เคลียร์เรื่องอะไรกัน ใครทำอะไรใคร" ลูกค้ากระเทยเอ่ยถาม


"ก็ผมสิ ซื้อเกลือแร่ 1 ขวดแต่จ่ายแบงก์ร้อยป้าเค้าไป แต่ป้าทอนมาให้แค่ 7 บาท ยังขาดไปอีก 80 บาท" สุภาพรีบพูดกับลูกค้ากระเทยเพราะต้องการหาผู้สนับสนุนอีกแรง


"ไม่จริงนะๆ ป้าได้แบงก์ 20 มา ก็ทอนไป 7 บาทก็ถูกแล้ว" ป้าเจ้าของร้านเล่าบอกเหตุการณ์ให้ลูกค้ากระเทยฟังเพื่อต้องการหาผู้สนับสนุนเช่นกัน


"ไม่จริงป้า อย่ามาโกหก ผมให้แบงก์ร้อยไป" สุภาพรีบเถียงด้วยความที่เริ่มจะมีอารมณ์โกรธ


"ถ้าหนูไม่เชื่องั้นมาลองเปิดลิ้นชักป้าดูเลยก็ได้ ว่าเป็นแบงก์อะไร" ป้าเจ้าของร้านทำท่าจะเปิดลิ้นชักให้ดู จากตอนแรกที่ไม่กล้าเปิดลิ้นชักเพราะอยู่คนเดียว แต่พอมีลูกค้าอีกคนมายืนหน้าร้านจึงกล้าที่จะเปิดลิ้นชัก


"ได้ไงป้า งี้ป้าจะหยิบแบงก์อะไรออกมากก็ได้น่ะสิ ป้าคืนผมมาเลยดีกว่า" สุภาพรีบพูดตัดบทก่อนที่ป้าจะหยิบแบงก์ออกจากลิ้นชักด้วยกลัวว่าจะป้าจะหยิบแบงค์ 20 ออกมา จากที่ตอนแรกไม่ทันคิดเรื่องนี้


"โอ๊ยยย!! อะไรกันคุณ หน้าตาก็ดี เป็นผู้ชายซะเปล่า ยังจะมารังแกป้า สงสารป้ามั่งสิคู๊ณ ถ้าแน่จริงก็ให้ป้าหยิบแบงก์ออกมาดูสิ ว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่" ลูกค้ากระเทยวีนแตก รีบออกมาปกป้องป้าร้านขายของประจำที่มาซื้อบ่อยๆ


"ได้ไงล่ะคุณ ป้าแกจะหยิบแบงก์อะไรออกมาก็ได้นี่ อย่างนี้มันโกงกันชัดๆเลย ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าเค้าไปจริงๆนะ แต่ได้ตังค์ทอนไม่ครบ อย่างนี้ผมก็ถูกโกงสิ" สุภาพรีบหันไปพูดกับลูกค้ากระเทย เพื่ออยากให้ฝ่ายนั้นเข้าใจว่าสุภาพโดนโกงจริงๆ


แกสิโกงป้าเค้า หน้าไม่อาย นิสัยแบบนี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ สาธุ ใครโกงขอให้มันคนนั้นชาตินี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ ล่มจมทำอะไรไม่ขึ้นไปตลอดลูกค้ากระเทยเข้าข้างป้าเจ้าของร้าน พร้อมทำท่ายกมือไหว้ฟ้าดินสาปแช่งพร้อมทำน้ำเสียงกระแทกกระทั้นในประโยคสุดท้าย


"งั้นผมไม่เอาแล้วป้า เอาน้ำคืนไปแล้วเอาตังค์ผมคืนมา ไม่กงกินกินแล้ว เอาตังค์คืนมาเลย" สุภาพมองหน้าลูกค้ากระเทยนิดนึงก่อนจะเบือนหน้าหนีแบบไม่กล้าสบตา


"หนูเปิดน้ำกินไปแล้ว จะให้ป้าคืนเงินได้ยังไง ป้าขายของแบบนี้ก็ขาดทุนสิ" ป้าเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบและสั่นเล็กน้อย


"นี่ของซื้อของขายนะ เอาของไปแล้วก็ต้องจ่ายเงิน เปิดกินไปแล้วจะมาคืนได้ยังไง จะบ้าหรือเปล่า" ลูกค้ากระเทยรีบปกป้องป้า ว่าไง ยอมรับมั้ยว่าโกงลูกค้ากระเทยพูดข่มสุภาพ


สุภาพทำท่าทางกุมขมับ เหมือนกับโดนรุมด่า "เอ้อๆๆ ไม่เอาแล้ว ไม่กงไม่กินมันแล้ว เอาคืนไปเลย เอาน้ำเอาเงินคืนไปให้หมดเลย" สุภาพเดินจากไปอย่างเซ็งอารมณ์โดยทิ้งไว้ทั้งขวดเกลือแร่และเงินทอน 7 บาทที่วางอยู่บนโต๊ะ


"ขอบคุณมากนะจ๊ะหนู ถ้าไม่ได้หนูนี่ป้าแย่เลย ไม่รู้จะโดนทำร้ายหรือเปล่า" ป้ารีบหันไปขอบอกขอบคุณลูกค้ากระเทย


"ไม่เป็นไรหรอกป้า คนสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ป้าต้องระวังไว้บ้างนะคนบ้าคนชอบเอารัดเอาเปรียบมันเยอะ ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีมากถึงขนาดต้องมาโกงเล็กๆน้อยๆกับร้านขายของชำเลยเหรอ หนูเข้าใจค่ะป้าขายของมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้กำรี้กำไรอะไรมาก ซ้ำยังต้องมาเสี่ยงกับไอ่พวกนี้อีก โอ๊ย...แย่ๆ สมัยนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน คนเราเนี่ยรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ หนูละเกลียดจริงคนพวกนี้ พ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่มันก็คงจะโกงเหมือนกันมั้ง ถึงสอนลูกให้โกง ประเทศชาติไม่พัฒนาเพราะคนพวกนี้แหล่ะ $%^&*()$#)(>………”


หนูจะเอาอะไรนะจ๊ะป้ารีบพูดแทรกเพราะเห็นว่าลูกค้ากระเทยชักจะพูดมากไปแล้ว จึงรีบตัดบทก่อนที่ลูกค้าจะพูดจบ


อ้อ หนูขอชาเขียว 1 ขวดค่ะ" ลูกค้ากระเทยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังขึ้นสูงอยู่จากอารมณ์ที่ยังค้างอยู่เมื่อกี๊นี้


"นี่จ้ะ ชาเขียวหนึ่งขวด" ป้ารีบยื่นขวดชาเขียวให้ลูกค้า


"ขอบคุณค่ะป้า" ลูกค้ากระเทยยื่นแบงก์ยี่สิบให้ "นี่ค่าชาเขียวค่ะป้า นี่ถ้าไอ่ขี้โกงนั่นมันมาโกงกับหนูนะ จะกระทืบมันให้ตายคาตีนไปเลย ไม่ให้มันได้ไปโกงกับใครอีก ดีนะที่มันยังไม่ถึงกับขั้นลงไม้ลงมืออะไร น่ากลัวนะคะป้า $#%#$@#()&$@#........."


นี่จ้ะป้าแถมลูกอมให้ ขอบคุณนะที่ช่วยป้าไว้ป้าเจ้าของร้านรีบตัดบทพูดของลูกค้าอีกครั้ง


ขอบคุณมากค่ะคุณป้า หนูไปก่อนนะคะลูกค้ากระเทยไหว้คุณป้าแบบถอนสายบัวเหมือนกับคุณป้าหยิบยื่นของราคาแพงให้




หลังจากลูกค้ากระเทยเดินออกจากร้านไปแล้ว ป้าเจ้าของร้านเดินไปเปิดวิทยุเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ เอื้อมมือไปเปิดพัดลม เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน เปิดมันออกมาและมองดูแบงก์ 50 บาทที่วางบนจานสังกะสีเก่าๆเพียงใบเดียว จากนั้นก็ปิดลิ้นชักลง เก็บเศษเหรียญจำนวน 7 บาทใส่กลับในกล่องตังค์ทอนเหมือนเดิม นำขวดเกลือแร่เทน้ำข้างในทิ้งและโยนขวดพลาสติกไปใส่ลงในตะกร้าสำหรับรีไซเคิลขยะ จากนั้นจึงเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเปลผ้าใบ นอนฟังบทเพลงธรรมะอย่างสบายอารมณ์


หมอดูกำหนดรัก


เรวดีเพิ่งจะเดินเข้าบ้านหลังจากกลับจากการทำงาน อากาศที่ร้อนอบอ้าวจากอากาศเดือนเมษายนทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยขึ้นเป็นพิเศษ แม้ว่าเธอขับรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำจากที่ทำงานกลับมายังบ้าน แต่ระยะทางระหว่างที่จอดรถกับประตูบ้านห่างกันถึง10 เมตร รวมทั้งเวลาที่เริ่มเปิดแอร์ในบ้านจนกว่าบ้านจะเย็นก็กินเวลาเกือบ 5 นาที ทำให้เธอถึงกลับเหงื่อชุ่มทั้งตัว เพราะน้ำหนักตัวของเรวดีที่หนักถึง 98 กิโลกรัม

เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างรุนแรงจนทำให้ฝุ่นที่ฝังตัวในโซฟาถึงกลับฟุ้งกระจาย เธอตั้งใจว่าจะงีบซักพักแต่คิดว่าจะหยิบอะไรมาอ่านซักหน่อย จึงเอื้อมมือไปควานหาหนังสือบนโต๊ะ พลันคว้าเจอนิตยสาร 'ผู้หญิงสอดรู้' ที่สามีเธอซื้อเตรียมไว้ให้เป็นประจำทุกสัปดาห์ เมื่อเธอเปิดดูหน้าสารบัญ ปรากฎว่าเจอแผ่นพับโฆษณาเกี่ยวกับการพยากรณ์ชีวิต และการแก้เคล็ด เธอมีความสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเรวดีเป็นคนที่รอบครอบมาก มักจะตรวจสอบข้อมูลของบุคคลอื่นที่ตนเองจะไปติดต่อด้วยทุกครั้ง จึงเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นเปิดโปรแกรมเว็บบร๊าวเซ่อร์ขึ้นมาและพิมพ์ที่อยู่เว็บเซิร์ทเอ็นจิ้นยอดนิยม หน้าจอแสดงกล่องข้อความให้ป้อนคำค้น เธอพิมพ์เข้าไปว่า 'หมอดูมาโนช กำหนดกรรม' ตามชื่อของพ่อหมอที่ปรากฎในแผ่นโฆษณา

ผลลัพธ์ของการค้นหาปรากฎออกมา ส่วนใหญ่เว็บที่ปรากฎจะเป็นพวกเว็บบอร์ดทั่วไป ที่คนเข้าไปตั้งหัวข้อแล้วให้คนอื่นเข้ามาอ่านหรือเข้ามาคอมเมนต์ได้ เธอเปิดเว็บแรก

'ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่หมอมาโนชทักนั้นจะเป็นจริง ชั้นได้มีโอกาสเข้าไปหาหมอมาโนชมา หลังจากบอกวันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุลไป ท่านก็ทักมาเลยนะว่ากำลังจะมีปัญหาเรื่องการงาน แล้วมันก็มีจริงๆด้วยเพราะหลังจากนั้นเพื่อนที่ทำงานก็เกิดการทะเลาะกัน จึงได้กลับมาปรึกษาหมอมาโนช ท่านเพียงบอกว่าให้ใส่เสื้อสีครีมไปทำงานติดต่อกันทั้งอาทิตย์ ปัญหาในที่ทำงานก็หายไปหมดเลย'

'ผมเครียดมากกับเรื่องที่ลูกของผมไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ การบ้านไม่เคยคิดจะทำเลย จนอาจารย์ที่ปรึกษาต้องโทรมาเรียกให้ผมเข้าไปคุย พอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังเพื่อนก็แนะนำให้ไปปรึกษาหมอมาโนช ผมเพียงแค่โทรไปคุยกับท่าน ท่านเพียงบอกว่าให้ลองเอารถไปทำสีใหม่ทั้งคันให้เป็นสีแดง หรือให้เอาสติ๊กเกอร์ที่เขียนว่า 'รถคันนี้สีแดง' เอาไปติดก็ได้ ทำลองทำตามทันทีโดยเอาสติ๊กเกอร์ที่หมอมาโนชบอกไปติด ไม่น่าเชื่อลูกผมเริ่มสนใจการเรียนขึ้นมาทันที'

เรวดีเริ่มคล้อยตาม เพราะเธอชอบและเชื่อเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

'สามีของดิฉันนั้นไม่เคยที่จะรับฟังคำขอร้องจากชั้นเลย ทั้งๆที่เราเตือนด้วยความหวังดีนะ เช่นเรื่องการดื่มเหล้าก็ขอให้เค้าลดลงหน่อย หรือเรื่องให้เวลากับชั้นบ้างในแต่ละวัน จนมาวันหนึ่ง ชั้นได้รับการเชื้อเชิญจากเพื่อนให้ไปพบกับพ่อหมอมาโนช ท่านแก้เคล็ดของดิชั้นด้วยการให้เลิกใส่รองเท้าส้นสูง และเปลี่ยนมาเป็นรองเท้าบู๊ททุกครั้งที่ออกจากบ้าน ชั้นลองทำตาม แค่เพียงไม่กี่วัน อะไรๆที่เคยขอร้องเค้า เค้ากลับให้ชั้นได้ทุกเรื่องเลย ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ'

เรวดีถึงกลับตาโต เพราะกรณีที่เพิ่งอ่านไปนั้นมันช่างตรงกลับชีวิตของเธอเลย เธอจึงไม่รอช้าที่จะโทรไปปรึกษาพ่อหมอมาโนช กำหนดกรรม เธอกดเบอร์โทรศัพท์ตามแผ่นพับโฆษณาในมือ

"สวัสดีค่ะ ขออนุญาติเรียนสายหมอมาโนชค่ะ" เธอใช้กล่าวอย่างสุภาพจนเธอเองยังแปลกใจ เพราะปกติไม่ว่าเธอจะคุยกับใคร แม้แต่กับเจ้านายมักจะใช้น้ำเสียงที่ฟังดูไม่เป็นมิตร

"กำลังพูดสายอยู่ครับ มีอะไรให้ช่วยครับ" ผู้ที่อยู่ปลายสายตอบกลับทันที

"คือดิชั้นได้ยินเรื่องของคนอื่นที่มีปัญหาและมาปรึกษาท่าน หลังจากนั้นปัญหาก็หมดลง จึงอยากรู้ว่าท่านพอจะช่วยเหลือดิชั้นบ้างได้มั้ยคะ"

"ได้สิ แค่บอกวันเดือนปีเกิด ชื่อนามสกุล และปัญหาที่คาใจอยู่ตอนนี้มา แล้วหมอจะเอามาหาวิธีแก้เคล็ดให้ ถ้าทำตามที่หมอบอกแล้วไม่ได้ผลก็จะไม่คิดเงินเลย แต่ถ้าได้ผลหรือเป็นไปตามที่ต้องการ ค่อยมาสมนาคุณทีหลังก็ได้"

เรวดีรู้สึกเชื่อใจหมอคนนี้มาก เพราะท่านบอกว่าถ้าไม่ได้ผลจะไม่คิดเงิน จึงเล่าเรื่องปัญหาของเธอกับสามีให้หมอมาโนชฟัง

วันรุ่งขึ้นเธอแต่งตัวออกจากบ้านโดยใส่ชุดคลุมยาวทั้งตัวตามที่พ่อหมอแนะนำ และแต่งหน้าให้บางลงจนเหลือแค่รองพื้นนิดหน่อยเท่านั้น ตามด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนตามที่หมอมาโนชแนะนำ เธอเดินออกมาที่โรงจอดรถ ปรากฎว่าสามีเธอขับรถออกไปทำงานแล้ว เธอคิดในใจ 'นี่อาจจะยังเพิ่งเริ่มมั้งคงต้องให้เวลามันหน่อย'

เมื่อถึงตอนเย็น เรวดีขี่รถเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ เธอไม่สังเกตุเห็นรถของสามีเธอเลยที่มาจอดไว้ก่อนหน้านี้ เธอเดินเข้าบ้าน เหงื่อโทรมกาย กดรีโมทเปิดแอร์ ทิ้งตัวลงบนโซฟา ฝุ่นฟุ้งกระจาย ซักพักก่อนที่ดวงตาเธอจะปิด สามีเธอตะโกนมาจากชั้นบนว่า

"ที่รัก รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็ว ผมจองโต๊ะไว้ที่โรงแรมไว้ เราจะไปกินข้าวกันพร้อมฟังเพลงเบา และอาจจะหาอะไรดื่มซักนิดหน่อยด้วย"

เรวดีขนลุกซู่ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้มากว่า 7 ปีแล้ว

"ได้ค่า... ที่รัก" เรวดีตอบกลับอย่่างเรียบง่ายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกระดี๊กระด๊าเพียงใด

คืนนั้นจบลงได้ด้วยดี เธอมีความสุข

"พ่อหมอคะ มันได้ผลจริงๆค่ะ สามีของดิชั้นพาไปทานอาหารเมื่อคืนนี้ และเราก็ดื่มกันอย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วเลยค่ะ" เรวดีบอกผลลัพธ์ให้หมอมาโนชฟัง และถามถึงวิธีการจ่ายเงินให้พ่อหมอ

"ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก แค่นี้มันแค่ธรรมดา แต่ถ้าเธอทำตามที่พ่อหมอบอกอย่างเคร่งครัด เจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าก็คาดไม่ถึง" หมอมาโนชกำชับการแก้เคล็ดให้เรวดีฟัง

วันนี้วันศุกร์แล้ว เธอขอลาป่วยจากที่ทำงาน เพราะต้องการทำในสิ่งที่หมอมาโนชบอกให้เธอทำ เธอขับรถไปที่ห้างและไปเลือกซื้อชุดเครื่องนอนสีฟ้า ตามที่หมอมาโนชแนะนำ และรีบกลับมาเปลี่ยนในห้องนอนเธอ เรวดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เฝ้าแต่คิดว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

พอถึงเวลาเลิกงาน เรวดีแกล้งออกไปข้างนอกเพื่อแสร้งว่าเธอเพิ่งกลับจากที่ทำงานหลังสามี เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง เรวดีลงจากรถ เธอเดินเข้าบ้าน เหงื่อโทรมกาย กดรีโมทเปิดแอร์ ทิ้งตัวลงบนโซฟา ฝุ่นไม่ฟุ้งกระจาย เพราะวันนี้เธอทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอย่างดี ตามที่หมอมาโนชแนะนำ สามีเธอบอกให้ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปกินข้าว เธอและเขาออกไปกินข้าว และดื่มจนเริ่มเมา

เธอและเขากลับถึงบ้าน เรวดีอาบน้ำเตรียมเข้านอนในห้องนอนของเธอ สามีเธอที่แยกห้องนอนไปกว่า 5 ปีแล้วก็เข้าห้องนอนของเขาไป เรวดีอาบน้ำเสร็จและทาครีมบำรุงผิว ในใจก็ยิ้มกว้างกว่าปากเมื่อแอบมีลุ้นว่าคืนนี้มันคงยังไม่จบแค่นี้ ไม่ผิดจากที่เธอคิดเลย เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงพูดของสามีเธอดังขึ้นเมื่อเธอฝันหวานจบลง

"ที่รักเปิดประหน่อยสิครับ ผมไม่อยากนอนคนเดียวอีกต่อไปแล้ว" สำเนียงอ่อนหวานดังมาจากสามี

เรวดีค่อยๆลุกไปเปิดประตูกลบความกระดี๊กระด๊าของเธอ คืนนั้นจบลงอย่างหวานชื่นและยาวนานกว่าที่เรวดีคาดคิด วันรุ่งขึ้นสามีเธอยังบอกว่าจะพาเธอขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ไปนอนค้างซัก 1 คืน พอกลับมาจากท่องเที่ยว เธอก็โทรไปเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้หมอมาโนชฟัง

"สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใข่เกิดจากสิ่งลี้ลับ หรือไม่มีต้นสายปลายเหตุแต่อย่างใด เช่นการที่บอกให้เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวก็ส่งผลกระทบกับอารมณ์ของเราและเค้าด้วย เรื่องสีก็เป็นปัจจัยหลักในเรื่องของการตัดสินใจนะ สภาวะแวดล้อมที่ดีก็มีส่วนนะ" พ่อหมออธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตรย์เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

"อ่อ เป็นอย่างนั้นเองหรือคะ แต่ดิชั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ขอให้ดิชั้นทำตามที่หมอแนะนำอย่างเดียวได้มั้ยคะ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ชั้นต้องทำอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ" เรวดีเริ่มกังวลว่าสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว

"สิ่งที่บอกให้เธอทำไปนั้นมันก็คือการปรับเปลี่ยนเรื่องอารมณ์ ซึ่งอารมณ์ของคนเรานั้นก็มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา"

"แล้วเราจะทำอย่างไรได้บ้างคะ" เรวดีรีบร้อนถามหมอ เหมือนกำลังจะเสียของรักไปและไม่มีวันจะได้กลับคืน

หมอมาโนชยิ้มที่มุนปากเล็กน้อย แต่เรวดีไม่สังเกตุเห็น "มันมีวิธีแก้เคล็ดวิธีนึง มันเคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายคน แต่มันก็เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเหมือนกัน"

"อะไรคะคุณหมอ ดิชั้นจะยอมทำทุกอย่าง" อาการร้อนรนของเธอเริ่มแสดงชัดขึ้น

"วิธีการก็คือ ต้องยอมให้สามีเอาเมียน้อยเข้ามาไว้ในบ้านอีกคนนึง" หมอกล่าวอย่างสงบนิ่ง

เรวดีนิ่งไปครู่นึง ก่อนจะถามอยากมีเหตุผลว่า"แล้วมันจะช่วยยังไงได้เหรอคะ แบบนี้" เธอถามเพื่อถ่วงเวลาให้เธอได้คิดตัดสินว่าจะเอายังไงดี

"มันเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ในตอนนี้เราต้องพยายามรักษาอารมณ์ของเค้าให้คงที่ อย่าให้แกว่งไกวไปจากที่เราต้องการ เมื่อเอาผู้หญิงเข้าบ้านแล้ว ก็ให้อยู่ในถานะผู้อาศัยก็ได้ ไม่ต้องออกหน้าว่าเป็นเมียคนที่ 2 และอีกอย่างคือ ให้แยกห้องนอนเป็น 2 ห้อง ให้สามีสลับกันนอน โดยให้นอนกับเธอ 4 วันและอีก 3 วันให้นอนกับผู้หญิงคนใหม่ เพื่อให้เธอมีอำนาจมากว่าเมียน้อย" หมอมาโนชพยายามอธิบายอย่างรวบรัด เพื่อให้เรวดีตัดสินใจโดยไม่ต้องไตร่ตรองมากนัก

"ต้องรีบตัดสินใจแล้วนะ เพราะหากปล่อยให้นานกว่านี้อารมณ์ของสามีอาจเปลี่ยนไปจากตอนนี้ได้" เมื่อเรวดีถูกเร่งเร้าการตัดสินใจจึงรีบให้คำตอบ

"ตกลงค่ะหมด ดิชั้นจะทำตามนั้น"

____________________________

ในห้องอาหารของบริษัทที่สามีของเรวดีทำงานอยู่ เขาเดินเข้าไปเพื่อไปพบใครบางคนที่นั่งรออยู่แล้ว

"สำเร็จแล้วมาโนช นายแน่มากจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นถึงนักจิตวิทยาออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท ตอนนี้ข้าอยู่ติดบ้านหนึบเลย พอเลิกงานก็รีบกลับบ้านทันที ฮ่าๆๆ ยอมนอนกับเมีย 4 วัน นอนกับเมียใหม่ 3 วันก็ถือว่าโอเคอยู่นะ ทุกฝ่ายมีความสุข"

มาโนชนั่งยิ้มอย่างภูมิใจในความสามารถของตัวเอง

"เดี๋ยวเย็นนี้มีเลี้ยงชุดใหญ่ ต้องขอบคุณเจ้าดำรงอีกคนนึง ที่ไปปั่นกระทู้หมอมาโนชให้ดูน่าเขื่อถือ" เขาพูดถึงเพื่ออีกคนที่อยู่ร่วมขบวนการเดียวกัน

"แล้วคิวต่อไปเป็นของใครล่ะ เดี๋ยวข้าจะรับบทหมอมาโนชเอง ฮ่าๆๆ"



วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เกมรักต้องลุ้น



ละมุนนอนป่วยอยู่บ้านมานาน 2 วันตั้งแต่วันจันทร์ อาการป่วยก็คือเป็นไข้หวัดธรรมดาทั่วไป และวันนี้เป็นวันหยุดวันที่ 3 ของเค้า และคาดว่าวันศุกร์อาการน่าจะดีขึ้นพร้อมไปทำงานได้แล้ว เค้าจึงโทรไปบอกที่ออฟฟิศว่าขอลางานวันพฤหัสอีกหนึ่งวัน เมื่อโทรไปสมหมายเพื่อร่วมงานบอกว่าละไมที่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์จะเข้าไปเยี่ยมพร้อมเอาของฝากจากเพื่อนๆและเจ้านายไปเยี่ยมในวันพฤหัส

ละมุนหัวใจพองโต เค้าแอบชอบละไมมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกความในใจซักที เค้าคิดมาตลอดตั้งแต่แลกเจอละไมแล้วว่า เค้าและเธอต้องเกิดมาคู่กันแน่ๆ เพราะละมุนกับละไมชื่อมันช่างคล้องจองกัน ละไมเป็นโสด น่ารัก ต๊องๆเหมือนนางเอกหนังเกาหลีเบาสมอง ละมุนครุ่นคิดว่าจะทำยังไงให้ละไมรู้ถึงความในใจของเค้า เค้านึกมุขเด็ดขึ้นได้ ละมุนเฝ้าติดตามความสนใจของละไมมานานแล้ว ละไมเป็นคนรักสุนัข เธอชอบนั่งคุยเรื่องสุนัขกับใครก็ได้ในที่ทำงานที่ชอบสุนัขเหมือนกัน และเธอเป็นคนที่ชอบตุ๊กตาหมีด้วยเพราะรอบตัวเธอเต็มไปด้วยตุ๊กตาหมี ตั้งแต่พวงกุญแจ ที่คาดผม กระเป๋าถือและเสื้อยืด เธอชอบคุยให้คนอื่นฟังว่าเธอเป็นนักสะสมตุ๊กตาหมี แต่ปัญหาคือละมุนเป็นคนที่เกลียดหมา เค้าไม่มีความรู้เรื่องหมาเลย และละมุนก็ไม่ชอบตุ๊กตาหมี เค้ามองว่ามันเป็นของสิ้นเปลือง รกบ้าน ตัวเก็บฝุ่น แต่ตอนนี้เค้าไม่สนใจแล้ว ละมุนคิดได้ดังนั้นจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกไปห้างใหญ่ใกล้บ้านแบบลืมป่วย

เมื่อไปถึงห้างละมุนตรงไปยังแผนกของเล่นแล้วมองไปที่มุมตุ๊กตา มองหาตุ๊กตาหมี มีตั้งแต่ราคา 200, 450, 500, 1,200 และตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าตู้เย็น 5 คิวมีราคา 2,500 เค้าไปด้อมๆมองๆซักพักก็มีพนักงานขายเข้ามาถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย ละมุนบอกว่าเค้าอยากเริ่มสะสมตุ๊กตาหมี พนักงานบอกว่าตุ๊กตาหมีที่นักสะสมเค้าสะสมกันไม่ใช่แบบนี้หรอก ตุ๊กตาพวกนี้เค้าซื้อไปให้เด็กกอดเล่น พอเด็กโตก็เลิกเล่น ตุ๊กตาก็ถูกทิ้งแล้ว พนักงานขายจึงเอาโทรศัพท์มาเปิดให้ละมุนดูว่าเค้าก็เป็นนักสะสมตุ๊กตาเหมือนกัน ละมุนดูรูปและคิดว่ามันดูสวยและดูมีคุณค่ามากกว่าตุ๊กตาที่วางอยู่บนชั้นจริงๆ พนักงานขายจึงให้นามบัตรร้านขายตุ๊กตาหมีแก่ละมุน ละมุนรู้สึกดีใจมากและขอบคุณพนักงาน ละมุนขับรถออกจากห้างทันที พนักงานกดโทรศัพท์ไปยังร้านขายตุ๊กตาหมีและพูดใส่โทรศัพท์ว่า "เฮ้ยมึง กูแนะนำลูกค้าไปให้ร้านมึงได้อีกแล้วนะ เย็นนี้เจอกันที่เดิม มึงเป็นเหล้า เดี๋ยวกูเป็นกลับแกล้มเอง เออ!! ตุ๊กตาหมีไหมพรมจากตูนิเซียมาแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆเข้าไปถ่ายรูปเพิ่มเอามาเก็บเป็นคอลเลคชั่นหลอกให้ลูกค้าดู อย่าลืมค่าคอม 20 เหมือนเดิมนะ .... ไอ้บ้า 20 เปอร์เซ็นไม่ใช่ 20 บาท แล้วเจอกันที่เดิมเพื่อน อ้อ ขาวอ้วนหัวล้าน เสื้อเชิ้ตอามาร์นี่สีน้ำตาล ของแท้"

ร้านขายตุ๊กตาหมี บรรยากาศในร้านเป็นสวรรค์ของนักสะสมตุ๊กตาหมีจริงๆ มีลูกค้าเดินอยู่บ้างประปรายมีพนักงานสองคนยืนประจำตามตำแหน่งของตัวเอง ละมุนเปิดประตูเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านเห็นละมุนลักษณะตรงตามคำบอกเล่าจากโทรศัพท์ ว่าตรงกัน จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ละมุนบอกว่าอยากเริ่มสะสมตุ๊กตาหมี เจ้าของร้านพาละมุนเดินชมตุ๊กตารอบร้านพร้อมเชียร์ขายตุ๊กตาจากทั่วมุมโลก ละมุนหมดเงินค่าหมีไป 2 หมื่นบาท แลกกับหมีนานาชาติ 8 ตัวจากทั่วโลก ละมุนออกไปจากร้าน เจ้าของร้านดีใจที่ละมุนไม่ต่อราคาซักคำ โดยปกติลูกค้าจะขอต่อราคา ร้านจะลดราคาให้สูงสุด 30 เปอร์เซ็น

เย็นวันนั้นเจ้าของร้านนัดเจอเพื่อนพนักงานในห้างพร้อมกับบ่นอุบ "ลูกค้าแต่งตัวดีซะเปล่า ต่อราคากะให้ร้านเจ๊งเลย อะแฮ่ม" เจ้าของร้านตุ๊กตากระแอมในลำคอเล็กน้อยเหมือนมีความลับปิดบัง เพื่อนพนักงานห้างมองหน้าอย่างสงสัย "เอ้า!! ดื่มๆ แต่ขอบคุณมากนะที่ช่วยหาลูกค้า นี่ค่าคอมเอาไปเลย" เจ้าของร้านหยิบเงินที่เตรียมไว้ออกมา 4 พัน และยักแบงก์พันออกไปใบนึง "นี่ 20% ของหมื่นสี่ แถมให้อีกสองร้อย"



ละมุนคิดออกว่าเค้าต้องไปหาพวกโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับหมาและหาพวกหนังสือเกี่ยวกับหมามาอ่านบ้าง ละมุนไปที่ร้านขายหนังสือและไปเลือกโปสเตอร์ที่เกี่ยวกับหมาที่มีคำอธิบายใต้ภาพ เค้าเลือกเฉพาะรูปที่ดูเหมือนกับเจ้าของถ่ายเองจากบ้านเพื่อให้ดูเหมือนกับเค้าถ่ายเอง เมื่อกลับมาถึงบ้านเค้ารีบตกแต่งบ้านให้ดูเป็นบ้านของนักสะสมตุ๊กตาหมี และบ้านที่เต็มไปด้วยภาพสุนัขสำหรับคนรักสุนัข เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเค้าคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ จึงคิดว่าน่าจะเอาไดอารี่ที่เลิกเขียนไปเป็นปีแล้วมาเขียนใหม่ให้ครบที่วันปัจจุบันและในหน้าสุดท้ายเค้าตั้งใจว่าจะเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ๆพร้อมขีดเส้นใต้ว่า เค้าแอบชอบละไม และนำไปวางที่โต๊ะรับแขกโดยหวังว่าละไมจะเปิดอ่าน

แผนการสุดท้ายใช้เวลาในการทำถึง 2 ทุ่มและในหน้าสุดท้ายเค้าก็ได้เขียนว่าเค้าแอบชอบละไมมานานแล้ว และไม่ลืมที่จะเอาปากกาที่ใช้เขียนคั่นไว้หน้าสุดท้ายที่ต้องการให้ผู้มาหยิบอ่านเปิดเจอเป็นหน้าแรก ดึกแล้วละมุนง่วงนอนมากจึงไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน เมื่ออาบเสร็จก่อนนอนซักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ละมุนหยิบโทรศัพท์พร้อมกดรับ

"สวัสดีค่ะ นั่นคุณละมุนใช่มั้ย นี่ละไมนะ พอดีที่ออฟฟิศเค้าอยากให้ชั้นเอาของฝากจากคนในออฟฟิศมาเยี่ยมแต่พอดีว่าพรุ่งนี้ญาติชั้นจะมาจากต่างประเทศจึงต้องขอยกเลิกไปก่อน เห็นสมหมายบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วนี่ งั้นไว้เจอกันที่ออฟฟิศเลยแล้วกันนะนะคะ ต้องขอโทษคุณละมุนด้วยจริงๆ บายค่ะ" ละไมพูด

เมื่อละไมวางสายไปละมุนเดินลงไปเปิดไฟห้องรับแขกที่เค้าตกแต่งไว้อย่างดีข้างล่าง อาการป่วยที่หายไปในตอนเช้ากลับมากำเริบอีกครั้งจนต้องไปหยิบยาพารามากิน 2 เม็ดก่อนนอน

รุ่งเช้าอาการเค้าไม่ดีขึ้นเลย จึงตั้งใจที่จะลางานเพิ่มอีก 1 วัน เค้าโทรไปลางานกับหัวหน้าทำให้พรุ่งนี้เค้าก็ไม่ต้องไปทำงานจนถึงวันจันทร์หน้านู่นเลย ละมุนนอนซมบนที่นอนจนถึงบ่ายจึงลุกขึ้นมาเพื่อที่จะโทรศัพท์สั่งของมากินที่บ้าน เสียงออดดังหน้าประตูบ้าน ละมุนไปเปิด ปรากฏว่าวดีเพื่อนสนิทของละไมที่อยู่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยกันมาเยี่ยมพร้อมเอาของฝากมาให้ เพราะเจ้านายเห็นว่าอาการยังไม่ดีเลยให้มาดู ละมุนเชิญวดีเข้าไปนั่งยังห้องรับแขก ละมุนขอตัวไปล้างหน้าแปลงฟันชั้นบนของบ้าน

ผ่านไป 20 นาที เมื่อละมุนทำธุระเสร็จ เค้าเดินลงมานั่งคุยกับวดีและเล่าว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร คิดว่าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้นจึงขอหยุดยาวไปถึงวันจันทร์เลย

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย หัวหน้าเค้าให้คุณละมุนพักผ่อนเต็มที่ แล้วนี่ของบำรุงร่างกาย นี่ข้าวต้มร้อนๆ เดี๋ยววดีไปเทใส่ชามให้นะ" วดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ละมุน ละมุนมองหน้าวดีด้วยความแปลกใจ

"คุณละมุนเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาจริง รู้มั้ยคะว่าวดีเองก็ชอบสะสมตุ๊กตาหมีเหมือนกัน วดีกับละไมชอบคุยกันเรื่องตุ๊กตาที่ตัวเองสะสมกัน (เสียงหัวเราะเล็กน้อย)" วดีเย้าหยอกละมุนเหมือนสนิทสนมกันมาก่อนทั้งๆที่ความจริงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่

วดีขออนุญาตละมุนถ่ายรูปตุ๊กตาหมีและภาพถ่ายสุนัขที่ละมุนติดไว้เต็มบ้าน ละมุนอนุญาต วดีถามถึงประวัติของตุ๊กตาหมีว่าเดินทางมาจากประเทศไหนบ้าง มันทำจากวัสดุอะไร ละมุนตอบปัญหาวดีได้ครบทุกข้อเพราะเค้าจำคำอธิบายสรรพคุณจากปากของเจ้าของร้านขายตุ๊กตาได้หมดทุกตัวอักษร จากนั้นวดีเดินไปที่รูปสนุขพันธ์ชิวาว่าลายน้ำตาลสลับขาว ภาพสุนัขที่ละมุนเอามาติดเป็นภาพสุนัขที่ถ่ายจากทางบ้าน ละมุนเลยโม้ไปว่าสุนัขตัวนี้ชื่อดอลล่าร์ เป็นสุนัขที่เค้าเคยเลี้ยงไว้

“นี่คือเจ้าดอลล่าร์ ชิวาว่าเพศเมียที่ผมเคยเลี้ยงมันไว้ แต่ตอนนี้ต้องยกมันไปอยู่กับเพื่อนผมแล้วเพราะสงสารมันที่อยู่ตัวเดียวเวลาที่ผมออกไปทำงาน ครอบครัวของเพื่อนเป็นครอบครัวใหญ่มีคนดูแลเจ้าดอลล่าร์ตลอดเวลา แต่ผมก็ไปเยี่ยมมันประจำทุกเดือนนะ ที่เลี้ยงมันไว้เพราะเวลาผมกลับมาจากที่ทำงานก็รู้สึกเหงา ได้เจ้าดอลล่าร์อยู่เป็นเพื่อน” ละมุนจ้องไปที่รูปภาพสุนัขบนผนังและแกล้งเอาปลายนิ้วชี้ขยี้บริเวณที่ต่อมน้ำตาเพื่อให้มีน้ำตาคลอเล็กน้อย ความจริงแล้วเค้าตั้งใจว่าจะเก็บการแสดงนี้ไว้ใช้กับละไมเพื่อให้เธอได้รู้ว่าเค้าเหงาเพียงใดเวลากลับจากที่ทำงาน

“โรแมนติกจริง แล้วคุณละมุนมีแรงบันดาลใจอะไรให้สะสมตุ๊กตาหมีคะ” วดีถาม

“ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ครอบครัวผมก็ไม่ถึงกับยากจนมากนักแต่ก็ไม่ได้มีเงินเหลือพอที่จะไปซื้อของเล่นให้ผมเล่น ของเล่นชิ้นแรกที่ผมได้รับเป็นตุ๊กตาหมีใช้แล้วของพี่ข้างบ้านที่เค้าทิ้งเพราะได้ตุ๊กตาตัวใหม่และใหญ่กว่า พ่อผมจึงไปขอมาให้ผมเป็นของเล่น เมื่อผมเห็นตุ๊กตาหมีเมื่อไหร่ผมมักย้อนนึกถึงบ้าน และความอบอุ่นจากครอบครัวที่มีให้ผมทุกครั้ง”

ละมุนขยี้ที่ต่อมน้ำตาแรงขึ้นเพื่อเร่งให้น้ำตาคลอเบ้าเยอะขึ้น เค้าเสียดายเพราะตั้งใจจะเก็บการแสดงทั้งสองนี้ไว้กับละไม แต่ละมุนคิดว่าถ้าไม่ใช้การแสดงตอนนี้ก็คงไม่ได้ใช้อีกเลย อุตส่าห์ซ้อมบทมา

“คุณละมุนเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นจริงๆ”

วดีขอตัวกลับก่อน แต่ก่อนกลับก็หยอกใส่ละมุนไปอีกหนึ่งประโยค "ดูและตัวเองดีๆนะคะ ก่อนที่จะไปดูและคนอื่น (เสียงหัวเราะเล็กน้อย)" ละมุนรู้สึกแปลกๆ เค้าไม่เคยคิดอะไรกับวดีเลย

เช้าวันจันทร์อาการป่วยของละมุนหายสนิท เค้าเดินออกจากบ้านแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปดูตุ๊กตาหมีกับรูปภาพสุนัขที่ติดไว้เต็มบ้าน เค้าเริ่มที่จะชอบตุ๊กตาหมีแล้ว ภาพสุนัขทำให้เค้ามีความสุขเวลาที่มองมัน เมื่อไปถึงที่ทำงานเค้าเดินผ่านโต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ทั้งละไมและวดีนั่งคู่กัน วดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ละมุนแบบออกหน้าออกตา ละไมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและมองมาทางเค้า สิ่งนั้นนั่นเองที่ทำให้ละมุนยิ้มตอบ

ในห้องทำงานของละมุนเค้าขะมักเขม้นเคลียร์งานที่ค้างไว้ เสียงเคาะประตูดัง วดีเปิดประตูเข้ามากล่าวทักทายเล็กน้อยพร้อมยื่นกระดาษที่พับไว้ให้กับละมุนและรีบเดินออกจากห้องอย่างเขินอาย ละมุนคิด เอาแล้วไงกู แต่ก็ไม่วายรีบเปิดอ่าน ใจความในจดหมายมีดังนี้

"ชั้นรู้สึกปลื้มคุณละมุนมานานแล้วแต่ไม่กล้าเผยความในใจออกไป ยิ่งเมื่อรู้ว่าคุณละมุนชอบสะสมตุ๊กตาหมีเหมือนกันก็ยิ่งทำให้อยากเผยความในใจมากขึ้นทุกที และคุณละมุนคงจะมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับสุนัขเยอะแน่ๆ ว่างๆจะมาขอความรู้หน่อยนะคะ" วดีชอบหมาด้วยเหรอ ละมุนคิด "แต่จริงหรือเปล่าคะที่คุณละมุนเขียนในไดอารี่ว่าแอบชอบชั้นมานานแล้ว ถ้ามันเป็นเรื่องจริงมันก็วิเศษที่สุดเลยนะคะ" ละมุนคิดในใจต่อ เค้าเขียนว่าชอบละไมต่างหากละไม่ใช่วดีซักหน่อย เอ๊ะ! แต่เค้าก็ระบุชื่อไปแล้วนี่ว่าเค้าแอบชอบละไม ละมุนดูที่ชื่อลงท้ายจดหมาย ‘ละไม’ ละไมหรือนี่ละไมแอบชอบชั้นเหมือนกันหรือ เราไปอยู่ที่ไหนกันมา "ปล. ต้องขอโทษแทนวดีด้วยนะคะที่ไปแอบอ่านไดอารี่ของคุณละมุน และเอาเรื่องนี้มาบอกชั้น วดีเล่าเรื่องเจ้าดอลล่าร์ให้ชั้นฟังด้วยค่ะ แล้วเราไปเยี่ยมเจ้าดอลล่าร์ด้วยกันนะคะ เรื่องราวในอดีตของตุ๊กตาหมีตัวแรกของคุณละมุนที่วดีเล่าฟังดูอบอุ่นมากเลยค่ะ" ละมุนจะรู้สึกโกรธวดีมากกว่าถ้าวดีไม่เปิดอ่านไดอารี่ของเค้าที่เขียนเรื่องราวย้อนหลังทั้งปีภายในคืนเดียว และรู้สึกขอบคุณวดีที่เอาการแสดงของละมุนไปถ่ายทอดให้วดีฟัง เย็นนี้ละมุนตั้งใจว่าจะไปที่ฟาร์มสุนัขเพื่อหาชิวาว่าที่มีลักษณะเดียวกันกับภาพสุนัขที่ติดอยู่ในบ้านของเค้าเอง และเตรียมตั้งชื่อให้มันไว้แล้วว่า “เจ้าดอลล่าร์”



ละมุนพูดออกมากับตัวเองอย่างสะใจ "ก็บอกแล้วไงว่ายังไงก็ละมุนละไม ๕๕๕ "

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...