วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชนบทในฝัน




มัลลิกายกท่อนแขนและก้มมองดูที่นาฬิกาข้อมือ เธอมายืนรอเพื่อนได้สักพักแล้ว เช้านี้มัลลิกากับเพื่อนอีก 2 คนนัดกันไว้ว่าจะขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พวกเขา 3 คนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก เรียนและเติบโตมาด้วยกันจนจบ และเดินทางเข้ามาทำงานในเมืองหลวงด้วยกันแต่แยกย้ายกันไปทำงานคนละที่

เข็มยาวบอกว่าเลยเวลานัดที่เพื่อนเธอบอกไว้มา 3 นาทีแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้มัลลิการู้สึกหงุดหงิดอะไรเพราะมันแค่ 3 นาที เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรถยนต์ของเพื่อนเธอมาจอดตรงหน้าแล้ว

"ขึ้นมาเลยยายกา"

สุรเดชคนขับรถตะโกนเรียกมัลลิกาผ่านกระจกเบาะนั่งทางด้านซ้ายที่มีวัลภานั่งอยู่ ไม่รอช้ามัลลิกาหอบกระเป๋าเสื้อผ้าเปิดประตูที่เบาะหลังและก้าวขึ้นไปนั่งในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

"เฮ้อ... แค่คิดว่าจะได้กลับบ้านก็มีความสุขแล้ว ลาก่อนความสับสนวุ่นวาย"

มัลลิกาทำท่าผ่อนคลายจนเพื่อนๆที่นั่งข้างหน้าเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้

"สับสนวุ่นวายน่าเบื่อแค่ไหน เดี๋ยวเราก็ต้องกลับมาอยู่กับมันอีก"

วัลภาพูดจากความรู้สึกจริงๆของเธอ

"มันเป็นยังไงยายกา ช่วงนี้เบื่อชีวิตเหรอ"

สุรเดชพูดในขณะที่เขาเพ่งสมาธิไปที่ท้องถนนหลังจากเหยียบคันเร่งออกมาบนถนนใหญ่แล้ว

"มันพูดยากนะสุรเดช บางทีเราทำงานจนลืมที่จะสำรวจตัวเอง พอมีเวลามาดูใจตัวเองแล้วกลับบอกว่าเราไม่พอใจกับสิ่งนี้สิ่งนั้น"

"หมายความว่ายังไง?"

"เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะสิ ฉันโดนเจ้านายเข้าไปต่อว่าเรื่องความคาดหวังของเขาต่อผลงาน ไหนจะเรื่องเพื่อนร่วมงานที่คอยแต่จะโยนความรับผิดชอบมาให้เราเพียงคนเดียว ในเวลางานฉันก็ได้แต่ทำตามความต้องการของคนเหล่านั้น แต่พอเวลาพักฉันกลับรู้สึกเศร้าและหดหู่ยังไงไม่รู้"

มัลลิกาพูดระบายความในใจออกมา สายตาเธอจ้องออกไปนอกตัวรถอย่างเหม่อลอย มีเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ทำให้เธอได้ผ่อนคลายเมื่ออยู่กับเพื่อนเก่าๆ

"เอาน่าๆเพื่อน พวกเราก็เป็นเหมือนกันหมดทุกคนแหละ ความกดดันจากที่ทำงาน แต่งานของเธอน่าจะสนุกดีนะ เห็นว่าเดือนที่แล้วที่บริษัทพาไปเที่ยวเกาหลีมานี่ อัพรูปลงเฟซดูท่าทางสนุกสนานกันดีไม่ใช่เหรอ"

วัลภาถาม ในเวลานี้เธอก็อยากที่จะช่วยบรรเทาความเครียดจากเพื่อนรักของเธอด้วยเหมือนกัน

คนเราเวลาถ่ายรูปก็ต้องทำให้ดูยิ้มแย้ม ดูมีความสุขกันทั้งนั้นแหละภา พูดตรงๆนะกับเพื่อนที่ทำงานฉันก้ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอก

ตอนนี้รถยนต์จอดแน่นิ่งบนท้องถนนเพราะการจราจรติดขัดมาก

แล้วนายเป็นยังไงบ้างสุรเดช จะว่าไปพวกเราก็ไม่ค่อยมีเวลามาเจอกันหรือคุยกันเท่าไหร่นะ

สุรเดชปล่อยมือจากพวงมาลัยแล้วเอามือทั้งสองข้างมาประสานกันที่ท้ายทอยเพื่อให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เหมือนเขารู้ว่าต้องรออีกหลาย 10 นาทีกว่ารถจะสามารถเคลื่อนตัวได้

ฉันโชคดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องงาน แต่มันอาจจะเหมือนกับที่เธอพูดไว้เมื่อกี๊นี้ เราอาจจะทำงานหรืออยู่ๆไปโดยที่ลืมสำรวจตัวเอง จนบางทีก็ทำให้เราลืมไปเลยว่าเรานั้นต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตนี้ เมื่อเราได้คิดถึงความต้องการจริงๆของเราเองว่าต้องการอะไร มันก็สายเกินไปที่จะไขว่คว้าสิ่งนั้นมาได้แล้ว"

"เธอพูดแล้วฉันงงมากเลย บอกมาเลยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่"

มัลลิกาพูดถามด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้สุรเดชที่มองหน้าเธอผ่านกระจกมองหลังเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ และวัลภาที่นั่งข้างก็หัวเราะชอบใจ

"พวกเธอจำได้หรือไม่ว่าในสมัยที่เรายังอยู่ที่บ้าน เมื่อมีงานประกวดวาดภาพที่ไหนฉันต้องไปเข้าร่วมประกวดด้วยทุกครั้ง แม้จะเป็นต่างจังหวัดไกลๆก็ส่งผลงานไป ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้างแต่นั่นก็ทำให้ฉันได้มีความสุขดี"

"อ่อ! ใช่แล้ว แต่นั่นมันนานมากแล้วเนอะ ฉันยังจำได้ถึงฝีมือการวาดรูปของนาย รูปที่นายวาดภาพพวกเรา 4 คนฉันยังเก็บไว้อยู่เลยมันน่าประทับใจมาก แล้วตอนนี้นายไม่วาดภาพแล้วหรือ"

มัลลิกาถามอีกครั้ง

"ฉันไม่มีเวลาพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้อีกแล้ว"

คำตอบสั้นๆแต่นั่นทำให้ทั้งมัลลิกาและวัลภาประหลาดใจยิ่งนัก พวกเธอรู้ดีว่าการวาดภาพคือชีวิตจิตใจของสุรเดช แต่อะไรกันที่สามารถทำให้เขาเลิกทำในสิ่งนี้ไปได้

"งานของฉันดึงเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ของฉันไปหมดเลย การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุงนี้ต้นทุนมันสูงจริงๆ บางครั้งฉันต้องทำโอที รับงานพิเศษเพื่อจะหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซื้อสิ่งของล่อตาล่อใจ การจะวาดภาพให้ได้สักภาพหนึ่งมันใช้เวลามากกว่าที่เรานั่งหน้าผ้าใบ ต้องใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวจินตนาการและประสบการณ์ เชื่อไหมว่าฉันซื้อหลอดสีและผ้าใบมาเมื่อหลายปีก่อน แต่จนปัจจุบันนี้หลอดสียังไม่ถูกเปิด ผืนผ้าใบยังไม่ถูกแกะจากห่อ"

เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 5 นาที รถที่จอดอยู่ข้างหน้ายังไม่มีท่าทีว่าจะขยับ 

"ตอนนี้แค่ฉันจะจับดินสอเพื่อร่างภาพเขียน ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร"

ประโยคสุดท้ายสุรเดชพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทุกคนในรถต่างเงียบกันไม่พูดจาอะไรกันต่อ เหมือนทุกคนอยากจะหยุดพักสมอง ไม่นานรถเริ่มขยับตัว สุรเดชค่อยๆเหยียบคันเร่งให้รถออกตัวอย่างแผ่วเบา

รถวิ่งบนถนนใหญ่นอกเมือง ทั้งมิลลิกาและวัลภาต่างเผลอหลับไปปล่อยให้สุรเดชใช้สมาธิในการขับรถอยู่คนเดียว แต่ทั้งคู่ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของวัลภา

วัลภาตื่นขึ้นมารับสายโทรศัพท์แบบงัวเงีย เธอฟังเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างเงียบโดยที่ไม่พูดอะไรโต้ตอบกลับไป ไม่นานสายน้ำไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ มัลลิกาเลือกที่จะข่มเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ให้ดังเข้าไปในโทรศัพท์ จนกระทั่งเมื่อเธอวางสวยโทรศัพท์ไปเธอปล่อยโฮออกมาเต็มที่จนทั้งสุรเดชและมัลลิกาต่างตกใจ และเมื่อวัลภาเริ่มที่จะสงบจากอาการโศรกเศร้าแล้วสุรเดชที่นั่งข้างจึงไตร่ถามเรื่องราว

"เกิดอะไรขึ้นหรือภา"

"ก็แฟนของฉันน่ะสิ โทรมาบอกเลิก"

สุรเดชและมัลลิกาเมื่อได้ฟังแค่นั้นถึงกับทำท่าตกใจ

"สมัยนี้มันง่ายกันขนาดนี้เลยเหรอ โทรมาแปร๊บเดียวก็บอกเลิกกันได้ ไม่กี่วันมานี่เห็นเธอสองคนยังไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันนี่"

มัลลิกาถาม

"ก็เพราะไปเที่ยวด้วยกันวันนั้นแหละ เลยไปเจอผู้หญิงคนใหม่เข้า สงสัยว่าคงจะแลกเบอร์และโทรติดต่อกันมาสักพักแล้วล่ะ"

"อะไรกัน ทำไม่คนสมัยนี้เป็นแบบนี้กันไปแล้วหรือนี่ คนเมืองกรุงนี่ไม่มีความจริงใจให้แก่กันเลย"

มัลลิกาพูดบ่นตามประสา

"ไม่หรอกมั้งยายกา บางทีแล้วคนกรุงเขาอาจจะต้องการแบบนี้จริงๆก็ได้ เราอาจจะผิดเองที่มีความต้องการไม่เหมือนกับคนที่อยู่ที่นี่เอง"

สุรเดชออกความเห็น

"แล้วเธอไปเจอกับแฟนเธอมาได้อย่างไรกันล่ะ"

"ฉันเจอกับแฟนก็สถานที่แบบนี่แหละ อาจจะถูกอย่างที่เธอว่านะสุรเดช บางที่พวกเขาอาจจะต้องการแบบนั้นจริงๆ"

"ลืมๆเรื่องพวกนั้นไปเถอะน่า อย่างน้อยเธอก็ยังมีพวกเรานะ"

มัลลิกาให้กำลังใจเพื่อนเธอ

"เดี๋ยวพอเราไปถึงบ้านเราไปหาต่อก่อนเลยนะ ไม่เจอกับมันนานแล้วรู้สึกคิดถึงมัน"

มัลลิกาทัก

"ได้สิ อยากไปเจอมันเมือนกัน จะว่าไปแล้วต่อก็ดูน่าอิจฉาดีนะ ไม่ต้องมาใช้ชีวิตที่วุ่นวายในเมือง ไม่ต้องเจอรถติด ไม่ต้องสูดควันพิษ ไม่ต้องทำงานที่โดนกดดัน ไม่ต้องเจอกับคนที่ไม่จริงใจ"

สุรเดชพูดเหมือนกับประชดชีวิตตัวเอง

"นั่นสินะ เราทำงานอยู่ที่กรุงเทพมานาน เหมือนกันเรายังไม่ได้เริ่มต้นชีวิตอะไรเลย ดูเพื่อนเราสิ มีลูกมีเมีย มีบ้านเป็นของตัวเองหมดแล้ว"

วัลภาพูดบ้าง

"ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปอยู่ที่บ้านกันบ้างดีไหม"

"ไม่ได้หรอกยายกา เราไม้เคยสร้างฐานอะไรที่นั่นเลย เราไม่เคยทำสวนทำไร่ ไม่มีธุรกิจอะไรที่บ้าน ถ้าเรากลับไปก็ไม่มีงานทำอยู่ดี อย่างมากสุดก็ต้องเก็บเงินจากการทำงานสักก้อนแล้วค่อยกลับไปลงทุนทำอะไรที่บ้าน"

สุรเดชเสนอความเห็น

"นั้นสินะเธอพูดถูก อยากย้อนเวลากลับไปได้จังเลย หากนายสามารถย้อนเวลากลับไปได้และเลือกที่จะอยู่ที่บ้าน ตอนนี้นายอาจจะยังคงได้วาดรูปอยู่"

สุรเดชทำท่าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา

รถยนต์เคลื่อนวิ่งผ่านถนนดินแดงที่อยู่ระหว่างทุ่งนากว้างใหญ่และเขียนขจี พวกเขาใกล้จะกลับถึงบ้านแล้ว สุรเดชมองทอดออกไปยังสวนและไร่นารอบข้าง ตอนนี้จิตใจของเขารู้สึกสงบอย่างยิ่งเมื่อใกล้ถึงบ้าน

...

มัลลิกาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าในห้องนอนเก่าของเธอ เธอทำธุระส่วนตัวเล็กน้อยก่อนรีบเดินออกจากบ้านเพราะได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น

"เร็วๆเลยยายกา เราจะไปเซอร์ไพส์ต่อที่บ้าน"

รถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านไม้เรือนใหญ่ ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ในบ้านและมีคลองเล็กๆข้างรั้วบ้านยิ่งสร้างความสวยงามให้สภาพแวดล้อมรอบตัวบ้าน

"เฮ่! สุรเดช มัลลิกา วัลภา มาได้อย่างไรเนี่ย ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน"

"อยากมาเซอร์ไพส์นายน่ะ"

"มาเลยๆ เข้าบ้านมาก่อน กำลังจะกินข้าวพอดี"

ทั้ง 3 เดินเข้าในตัวบ้าน เห็นลูกตัวเล็กๆและเมียของต่อ จากนั้นต่อพาเพื่อนทั้ง 3 ไปนั่งที่โต๊ะใต้ต้นไม้ข้างคลอง และเมียของต่อยกกับข้าวและเครื่องดื่มมาวางให้ที่โต๊ะ

"ไม่ต้องลำบากก็ได้เพื่อน พวกเราแวะมาพูดคุยกันตามประสาเพื่อนเก่า"

จากนั้นทั้ง 4 ก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน รวมถึงเมื่อทั้งหมดดื่มเบียร์ไปกันคนละแก้วสองแก้วก็ทำให้คุยกันได้สนุกคอขึ้น จนกระทั่งมัลลิกาเริ่มไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของต่อ

"เฮ่อ... ฉันเป็นอย่างไรบ้างน่ะเหรอในตอนนี้ ก็ดี! สุขสบายดีไม่เดือดร้อนอะไร ก็พอมีเงินใช้บ้างตามประสาชาวไร่ชาวนา แต่มันติดอย่างเดียวน่ะสิ"

ต่อยังพูดไม่จบ เขาหยุดพักยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว

"แต่ชีวิตมันน่าเบื่อนี่สิ"

ทั้ง 3 หันมามองหน้ากันก่อนจะทำหน้าสงสัย เพราะพวกเขาเคยคิดว่าต่อน่าจะมีชีวิตที่มีความสุข

"มัลลิกาฉันเห็นเธอโพสท์รูปไปเที่ยวต่างประเทศลงเฟซบุ๊ค ชีวิตคงจะมีความสุขมาก ได้พบปะพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตา แต่ดูฉันสิ วันๆไปแต่ทุ่งนา เจอหน้าแต่วัวควาย น่าเบื่อจะตายไป"

ต่อรินเบียร์ใส่แก้วของตัวเองและยกขึ้นดื่มพรวดเดียวก่อนจะพูดต่อ

"สุรเดชฉันเห็นนายถ่ายรูปลงเฟซบุ๊คตอนไปเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์และห้องภาพ คงจะได้เห็นงานศิลป์เจ๋งๆเยอะเลย ดูฉันสิ วันๆเห็นแต่กิ่งไม้ใบหญ้า ดูสิมันน่าเบื่อแค่ไหน"

ต่อทำเหมือนเดิมกับขวดเบียร์และแก้วอีกครั้ง

"วัลภาฉันเห็นรูปเธอไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ยามค่ำคืน แสงสีและผู้คนมันคงจะสวยงามมากสินะ ดูฉันสิ ตอนกลางคืนมีแต่แสงจันทร์กับแสงหิงห้อยและความเงียบ"

ต่อหยุดพูดอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาเริ่มเมามากแล้ว

"ฉันล่ะอิจฉาชีวิตพวกนายทุกๆคนจริงๆ จำได้ไหมตั้งแต่สมัยทีพวกเรายังเด็ก ใครๆก็ต่างมีความฝันว่าจะต้องออกไปจากหมู่บ้านให้ได้ ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง ทุกคนในวัยเด็กมีความฝันที่จะออกไปใช้ชีวิตในเมืองที่สวยงาม ออกไปแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ใช้แต่ของดีๆ กินอาหารอร่อยๆ"

ทั้ง 3 คนมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง

"แต่อย่างน้อยนายก็มีลูกเมียที่น่ารัก"

"ก็อาจจะใช่ พวกเขาคือชีวิตทั้งหมดของฉัน"

ดึกมากแล้ว งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา มัลลิกา สุรเดชและวัลภานั่งรถออกจากบ้านของต่อ ปล่อยให้ต่อนั่งดื่มเพียงลำพังในบรรยากาศที่สงบเงียบ




วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุดแท้ทางเดิน



แกร๊ก!!

เสียงคีมยักษ์ตัดโซ่เหล็กหนาใหญ่ เหล็กชิ้นโตแตกละเอียดอย่างง่ายดาย โดยที่วิชิตไม่ต้องออกแรงมากนัก แผงประตูเหล็กถูกวางเรียงต่อๆกันถูกพันธนาการด้วยสายโซ่คล้องไปมาแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกสามารถเดินเข้าไป ในตัวอาคารร้างที่ถูกหยุดก่อสร้างกลางคันเพราะพิษเศรษฐกิจ กำแพงผนังเปลือยตะไคร่เริ่มขึ้นแล้ว ชั้น 8 ที่เป็นชั้นบนสุดมีแค่การก่ออิฐขึ้นเป็นโครงเท่านั้น และชั้นบนขึ้นไปอีกก็เป็นดาดฟ้าที่มีขยะก่อสร้างวางทิ้งไว้เต็มไปหมด

เกร๊งงงงง!!

คีมเหล็กยักษ์ถูกปล่อยวางลงพื้นปูนทันทีที่มันหมดประโยชน์อีกต่อไป วิชิตค่อยๆเดินผ่านกรงลวด สายตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆกับความน่าสะพรึงกลัวของตัวอาคาร และด้วยยามวิกาลเวลานี้แล้ว เขาแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าในตัวอาคารมีอะไรอยู่บ้าง มีเพียงแค่แสงเงาจันทร์ในคืนเดือนหงายเท่านั้น ที่ส่องสะท้อนภายนอกตัวอาคารเพื่อให้รู้ว่ามีประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน วิชิตไม่ลังเลใดๆที่จะเดินฝ่าความมืดมิดเข้าไปในตัวอาคาร

วิชิตเดินขึ้นบันไดวนยาวจนถึงชั้นบนสุด แค่เพียงจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เขาก็เดินสะดุดกองเศษอิฐที่วางระเกะระกะแล้ว จนเกือบจะล้มหัวฟาดพื้น แต่วิชิตก็พยายามเดินต่อไปโดยเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจะใช้มือสัมผัสราวบันไดขึ้นไป  และในชั้นที่ 3 วิชิตก็เดินเตะเข้ากับแท่งเหล็กจนหน้าแข้งของเขาอาบไปด้วยเลือด แต่วิชิตเองก็ไม่ได้สนใจหรือร้องครวญครางใดๆออกมาเลยสักนิดเดียว และมันก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลใดๆที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นดาดฟ้า

ในที่สุดวิชิตก็มองเห็นแสงจันทร์เดือนหงาย ที่ลอดผ่านช่องประตูทางออกสู่ลานบนดาดฟ้า  เขาก้าวผ่านมันอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าประตูบานนี้คือประตูสู่ยมโลกสำหรับเขา ใช่แล้ว! วิชิตขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของตึกร้างแห่งนี้ เพื่อที่จะมาฆ่าตัวตายนั่นเอง ชั่วอึดใจเดียวโดยที่วิชิตก็ยังไม่ทันรู้ตัว ขาของเขาทั้งสองข้างก็มายืนอยู่บนขอบตึก แม้ตัวตึกจะสูงเพียงแค่ 8 ชั้น แต่ข้างล่างที่มีกองเศษเหล็กเศษไม้วางทับถมกันเยอะแยะ วิชิตคิดว่าร่างของเขาคงต้องโดนแท่งเหล็กหรือไม้ เสียบตายคาที่แน่นอน คงไม่ต้องนอนทรมานหากเขายังไม่ตาย

วิชิตยืนนิ่งตามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เขานึกถึงภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่เสนอข่าวนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขึ้นมากระโดดตึกตายที่นี่ตรงนี้ ตำแหน่งที่เขายืนก็น่าจะใกล้เคียงกับตำแหน่งที่นักธุรกิจก่อนหน้านี้ยืน เพราะภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ถ่ายลงไปยังกองศพ ที่ลงไปนอนจมกองเลือดบนกองเศษเหล็กเศษไม้ข้างล่างนี้เอง ไม่แน่ว่าคราบเลือดก่อนหน้านี้อาจจะยังคงอยู่ข้างล่างนี้เอง หากมันไม่ถูกน้ำฝนชะล้างออกไปก่อนแล้ว

วิชิตเคยสงสัยมานานแล้วว่า สภาวะจิตสุดท้ายของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายนั้นเป็นเช่นไร อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่ง ยอมที่จะปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยความทรมาน พวกเขาเหล่านั้นไม่กลัวเจ็บกันหรืออย่างไร แล้วโลกหลังความตายสำหรับคนที่ทำอัตวิบากกรรมกับตัวเอง ในทางความเชื่อนั้นเมื่อตายไปแล้ว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์

วิชิตเองก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอะไรกัน เพราะวิชิตก็ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยตอนนี้ หรือพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนกัน จึงทำให้กล้าที่จะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้วิชิตก็พร้อมแล้วที่จะตาย

แต่ทันใดนั้น! มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกสติของวิชิตกลับขึ้นมาจากภวังค์ กลิ่นควันบุหรี่ วิชิตได้กลิ่นควันบุหรี่ใกล้ๆเขา มีควันจางๆลอยผ่านหน้าเขาด้วย วิชิตหันหน้าไปที่ต้นทางของควัน เขาเห็นคนยืนดูดบุหรี่ข้างๆเขา บนขอบตึกข้างๆที่วิชิตไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทราคาแพงถูกดึงออกหลวมๆ ชายเสื้อที่ดึงออกนอกกางเกง รองเท้าหนังหรู วิชิตคิดว่าหรือนี่จะคือผีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่สิ คนที่ยืนอยู่ข้างๆนี่น่าจะอายุเลยเลข 7 ไปแล้ว วิชิตสาวเท้าขวาที่เตรียมก้าวพ้นขอบตึกไปแล้วครึ่งก้าวกลับเข้ามา และพยายามตั้งสติทั้งหมดที่เขามีอยู่

"ลุงมาทำอะไร?" วิชิตถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
"ลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหมดบุหรี่มวนนี้ก่อน" น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่มีแรง พูดเสร็จเจ้าของเสียงก็อัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆพ่นมันออกมาทางปาก
"แน่ใจเหรอว่าลุงจะมากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ยังจะมาสูบบุหรี่อย่างสบายใจไม่เหมือนคนอยากตายเลย"

ตอนนี้วิชิตเริ่มหมดความคิดที่จะตายแล้ว เขาอยากไขข้อข้องใจในใจเกี่ยวกับชายชราที่อยู่ตรงหน้า

"คนเรามันก็มีเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันนะ ลุงน่ะเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแล้ว อยู่ไปก็ทรมานเปล่าๆ ไหนจะเป็นภาระของลูกหลานอีก"
"แล้วทำไมถึงไม่รักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกๆล่ะ มะเร็งปอดรักษาได้อยู่แล้วนี่"

แสงจันทร์สาดส่องชายทั้งสอง วิชิตหันหน้ามาสังเกตดูชายแก่ข้างๆเขา ร่างกายที่ผอมโซและสั่นไร้เรี่ยวแรง หายใจลำบาก ดูเหมือนคนป่วยในระยะสุดท้ายแล้ว

"ปอดลุงเหลือข้างเดียวแล้วตอนนี้ เคยฉายรังสีหลายครั้งในช่วงแรกๆ สภาพลุงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ" ลุงพูดจบก็ทำท่าจะหัวเราะเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น
"ก็ลุงยังไม่เลิกดูดบุหรี่น่ะสิ แล้วจะรักษาหายมั้ยเนี่ย"
"จะให้ลุงเลิกสูบได้อย่างไร ในเมื่อการสูบบุหรี่คือความสุขเดียวในชีวิต" ชายชราพูดเสร็จก็คีบมวนบุหรี่มาคาบไว้ที่ปาก และอัดควันเข้าปอดอีกรอบ ก่อนจะตามด้วยเสียงไอที่แหบแห้งอย่างรุนแรง
"ลูกเมียของลุงไม่มีเหรอ?"
"เมียลุงตายไปนานแล้ว เธอโดนจี้ชิงทรัพย์ คนร้ายยังเอาเธอไปฆ่าข่มขืนอีก"
"นั่นเป็นสาเหตที่ทำให้ลุงสูบบุหรี่อย่างหนัก" วิชิตพยายามเดา
"ใช่ มันทำให้ลุงสูบมันหนักขึ้น" สายตาของชายชราทอดยาวไปที่แสงจันทร์
"แล้วเธอล่ะพ่อหนุ่ม มาทำอะไรบนนี้"
"ผมก็จะมากระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกัน"
"เธอมีเรื่องทุกข์อะไร? ถึงจะมาหนีปัญหาแบบนี้ ร่างกายเธอยังแข็งแรงดี แต่งตัวก็ดีคงพอมีฐานะ"

วิชิตจ้องไปที่ใบหน้าของชายชรา ก่อนที่จะเปลี่ยนจุดมองไปที่จุดๆเดียวกับที่ชายชรามอง นั่นก็คือแสงจันทร์

"ทุกข์กายไม่ทุกข์เท่าทุกข์ใจ" น้ำเสียงแผ่วเบา ออกมาจากปากของวิชิต แต่มันยังดังพอที่ชายชราจะได้ยิน

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต และยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างคนป่วย

"แน่ใจแล้วเหรอพ่อหนุ่ม ไหนเธอลองว่ามาสิ ว่าทุกข์ใจของเธอมันหนักหนาสาหัสอะไรกัน"
"ผมเหรอ ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีเธอ"
"คนรักของเธอทิ้งเธอไปหรือ" คนชราหยุดสูบบุหรี่แล้ว เขาหันหน้ามาทางวิชิตเพื่อตั้งใจฟัง
"ถ้ามันเป็นเช่นนั้นมันคงจะตัดใจได้ง่ายกว่า คนรักของผมเธอถูกพ่อแม่บังคับให้ไปแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก แต่ชายคนที่เธอรักนั้นก็คือผมเอง"
"หา! ในสมัยนี้ยังมีเรื่องเช่นนั้นอยู่อีกหรือนี่" ชายชราเปลี่ยนอิริยาบถ จากท่ายืนที่ขอบตึกเปลี่ยนเป็นนั่งลง เพราะความเมื่อยล้า สักพักวิชิตจึงนั่งลงตาม เพราะเขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ชายชราเพิ่งจะถาม

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเค้าจะคิดอย่างไร แต่ใครไม่เป็นผมก็คงไม่รู้หรอก ว่าความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มันน่าเจ็บช้ำเพียงใด"

ชายชราจ้องมองหน้าวิชิต ที่ตอนนี้ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำ

"ใช่แล้วพ่อหนุ่ม ถ้าใครไม่เป็นเธอก็คงไม่รู้หรอก"

วิชิตใช้ข้อมือปาดน้ำใสๆที่ไหลออกมาทางจมูก เขาพยายามกลั้นไว้ไม่ให้น้ำไหลขึ้นไปถึงดวงตา

"โรคภัยของลุงมันคงทรมานมาก จนทำให้ลุงอยากจะหนีมัน หรือลุงอาจจะสู้กับมันไม่ไหวแล้วใช่มั้ย?"

วิชิตเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ไม่เชิง!"

ชายชราตอบทันควัน ก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายในสิ่งที่เขาคิด

"ความทรมานลุงชินชากับมันแล้ว และเรื่องที่ว่าจะสู้กับมันไหวหรือไม่ ลุงสู้ไหว ลุงมีเงินเป็นโกดังที่จะจ้างหมอที่ดีที่สุดในโลกมารักษา แต่ประเด็นคือไม่รู้จะสู้กับมันเพื่ออะไร หากสู้ชนะทำให้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไงล่ะ จะให้ลุงทำอะไรต่อ"

วิชิตเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนรอบข้างเขา ทำไมจึงไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรทำให้วิชิตอยากตาย แม้เขาจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง เหมือนกับตอนนี้ที่เขาฟังคำอธิบายจากชายชรา แต่วิชิตเองก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี

"แล้วลูกหลานของลุงล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน"
"ลูกชายทั้งสองคนก็มีครอบครัวกันแล้ว ลุงก็หมดห่วงไปแล้วล่ะ"
"มีสิ่งอื่นๆมากมายในโลกนี้ให้ทำอีกเยอะแยะ ถ้าลุงมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้เงินรักษาตัวเองให้หาย และใช้เงินที่เหลือเอามาใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย "

สิ้นสุดคำพูดของวิชิต ทั้งคู่ก็นั่งนิ่งคิดอะไรในหัวของตัวเอง ชายชราครุ่นคิดหนัก เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากเบาๆ

"ร่างกายเธอยังหนุ่มยังแน่น ดูๆก็แข็งแรงดี ทำไมไม่หาอะไรทำในสิ่งที่เธอพูด บางอย่างมันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะก็สามารถทำมันได้"

"เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เรายังมีกันและกัน ผมวาดฝันอนาคตไว้หลายอย่าง เริ่มจากผมและเธอจะเรียนจบเป็นสถาปนิก เราจะเปิดออฟฟิศเล็กๆที่มีชื่อผมและเธอรวมกัน เราจะแต่งงานกัน หลังจากนั้นเราจะมีลูกด้วยกันสักสองคน หากการงานไปได้ดีแล้ว เราอาจจะไปเรียนโทกันอีกคนละใบ เราจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ใช้ยามแก่เฒ่า จะเดินทางรอบโลกจะไปยังที่ๆอยากด้วยกันสองคน และมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราจะทำด้วยกัน ลุงเชื่อมั้ยว่าผมทำสิ่งเหล่านี้ไปเกือบครึ่งแล้ว"
"แล้วทำไมเธอไม่ทำมันต่อ"

วิชิตหันหน้ามาทางชายชรา

"โดยไม่มีเธอนี่นะ ผมอยากทำฝันร่วมกับเธอ ถ้าไม่มีเธอแล้วผมก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น มันเหมือนกับว่า เธอเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมก้าวต่อไป หรือบางทีอาจจะเป็นทำให้ผมมีชีวิตต่อไปเลยก็ได้ แต่พอไม่มีเธอผมก็เหมือนกับหมดแรง หมดกำลังใจ"

ความเงียบสงัดระหว่างทั้งสองเริ่มเข้ามาเกาะกุมบรรยากาศอีกครั้ง จนกระทั่งชายชราพูดอะไรบางอย่างออกมา

"เธอทำคนเดียวไม่ได้เหรอ?"
"ผมไม่รู้ว่าจะทำมันเพื่ออะไร หากทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว แล้วยังไงต่อ ก็ผมไม่มีเธอแล้ว"
"พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้คนในสังคมต่างก็จะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของเธอ เธอไม่แคร์กับสิ่งเหล่านั้นเหรอ?"
"ไม่เลย ความคาดหวังจากคนเหล่านั้นมันเป็นแค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาหวังถึงผลประโยชน์ที่จะสะท้อนไปถึงตัวเขาก็แค่นั้นเอง แต่ที่ผมต้องการสร้างฝันร่วมกับเธอ เพราะผมแค่อยากจะทำมัน และสนุกไปกับมันแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลย"

ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาคิดในใจว่ารู้สึกแปลกดี ที่มาเจอคนอย่างวิชิต ในวันที่เขากำลังจะมากระโดดตึกตาย ชายชราควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และตอกมวนบุหรี่ออกมาอย่างชำนาญ บุหรี่อีกมวนถูกจุดและถูกสูดควันเข้าไปเต็มปอดชายชราอีกครั้ง พร้อมกับพ่นมันออกมา

"ถ้าลุงไม่รังเกียจ ผมขอลองดูดมันบ้างได้ไหม ขอดูดตัวเดียวกับลุงนี่แหละ"

ชายชรายิ้มทั้งๆที่ยังพ่นควันออกจากปาก เขาส่งบุหรี่มวนเดียวกันนี้ให้วิชิต 

วิชิตทำท่าเก้ๆกังๆก่อนรับมวนบุหรี่ไว้ในมือ เขาค่อยๆใช้ปากอมไปที่ก้นกรองบุหรี่ ก่อนจะตัดสินใจออกแรงสูดควันบุหรี่เต็มแรง

"แคร่กๆๆๆ"

วิชิตสำลักควันบุหรี่ เสียงหัวเราะจากชายชราดังลั่น แต่หัวเราะได้ไม่นานเพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่หน้าอก วิชิตเริ่มหายจากอาการสำลักควันแล้ว เขายื่นบุหรี่มวนนั้นคืนไปให้ชายชรา

"บุหรี่นี่มันดียังไงน่ะลุง ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงดูดมัน มันช่วยอะไรเราได้บ้างนอกจากจะทำให้เราเป็นโรคร้าย ช่วงหลังๆมานี่เห็นแต่คนพูดถึงมันแต่ในแง่ร้าย ลุงลองบอกข้อดีของมันให้ผมฟังหน่อยสิ"

ก่อนชายชราจะพูดถึงข้อดีของบุหรี่ เขาสูดลมจากปากผ่านมัน ก่อนจะพ่นควันสีเทาลอยคลุ้งขึ้นบนท้องฟ้า

"เธอรู้จักมอร์ฟีนมั้ย?"

"รู้ครับ มันคือยาเสพติดประเภทหลอนประสาท"

"มอร์ฟีนถูกใช้ในทางการแพทย์ เวลาที่มีผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายหรือขั้นตอนการรักษา มอร์ฟีนจะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยอาจทรมานจนตายหรือท้อแท้หมดกำลังใจในการรักษาต่อไป"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบุหรี่ล่ะ?"

ชายชราหันหน้ามามองที่วิชิต ก่อนจะดูดบุหรี่อีกครั้งและดีดมวนบุหรี่มวนนั้น ลงไปยังพื้นล่างของตึก

"คนเราที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ไม่ได้นอนป่วยในโรงพยาบาล ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ท้อแท้หรือเศร้าหมองเหมือนคนป่วยในโรงพยาบาลเสมอไปสักหน่อย ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  สถานะภาพเป็นอย่างไร ต่างก็ต้องมีความเครียด กดดัน ทุกข์ใจ ท้อแท้เศร้าหมองเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความทุกข์"
"แล้วยังไง?"
"วิธีที่มนุษย์จะพ้นจากทุกข์ตรงนั้นได้ก็คือลืมความคิดเหล่านั้นไปซะ แต่ความทรงจำของมนุษย์นั้นไม่เหมือนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่แค่กดลบมันก็หายไปหมดสิ้น ยิ่งความทรงจำไหนที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะลืมมัน"
"เราก็เลยใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้เราลืมความทุกข์เหล่านั้น"
"ใช่แล้ว แม้มันจะทำให้ลืมได้แค่ชั่วคราวก็ยังดี อย่างน้อยเวลาก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง"
"ถ้าอย่างนั้นที่คนเราสูบบุหรี่ กินเหล้าเมายา ก็เพื่อที่จะทำให้สมองชาจนไม่ไปตอบสนองกับความทุกข์เหล่านั้นใช่ไหม"
"ก็น่าจะใช่นะ แล้วเธอล่ะ เคยใช้ของพวกนี้ในการบำบัดความทุกข์ในใจมั้ย?"

วิชิตหยุดนิ่งไปชั่วหนึ่ง แล้วก็ตอบออกมา

"ผมไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าไม่เสพยา ผมมีแต่เธอเท่านั้นที่ทำให้ผมลืมความทุกข์ได้ทุกอย่าง เธอคอยให้กำลังใจผมเสมอในยามที่ผมท้อ ผมอาจจะมีเธอเป็นศาสดาก็ได้"
"แต่ศาสดาของเธอตายไปแล้ว เธอจึงไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีชีวิตต่อไป"
"ครับ น่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับลุงที่ไม่สามารถใช้บุหรี่เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ได้อีกต่อไป"
"ก็คงจะเป็นเช่นนั้น"

ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด เมื่อมวลหมู่เมฆพากันบดบังแสงพระจันทร์ หากทั้งคู่ไม่ขึ้นมาเจอกันบนนี้ คงจะมีใครสักคนที่กระโดดตึกลงไปนอนตายข้างล่างแล้ว

"ยังอยากจะตายอยู่มั้ย?"

ชายชราถาม

"ก็ยังไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความคิดผมนี่"
"เอาอย่างนี้ละกัน คงจะไม่ดีแน่ถ้าคนที่กระโดดทีหลัง จะเห็นศพที่ลงไปนอนกองข้างล่าง เดี๋ยวจะปอดแหกไปเสียก่อน บนดาดฟ้านี้มันก็กว้างอยู่ เธอไปอยู่มุมตึกฝั่งนู้นละกัน หลังกำแพงและเศษอิฐนั่น กำแพงจะทำให้เรามองไม่เห็นกัน ต่างคนจะไม่รู้ว่าอีกคนกระโดดตึกลงไปหรือเปล่า เพราะมันห่างไกลกันมาก และถ้าเธอเกิดล้มเลิกความตั้งใจที่จะกระโดด เธอก็แค่เดินลัดลงบันไดโดยไม่ต้องมองเห็นจุดที่ลุงยืน ว่าลุงยังอยู่หรือไปแล้ว"

วิชิตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆผงกหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

หลังจากนั้นก็สิ้นสุดการสนทนาใดๆจากทั้งคู่ วิชิตเดินอ้อมกำแพงไปอยู่อีกด้านของดาดฟ้า เขาไม่หันหลังหรือพะวงอะไรกับชายชราที่วิชิตเพิ่งจะเดินจากมาเลย ในที่สุด วิชิตก็มายืนอยู่ขอบตึกอีกด้าน แค่เพียงเขาทิ้งตัวลงไป ร่างๆนี้ก็จะลงไปเสียบกับเหล็กเส้นหนา ที่โผล่ขึ้นมาจากฐานคอนกรีต

.........

ด้านหนึ่งของมุมตึก ร่างๆหนึ่งลอยถลาลงมากระแทกลงบนกองเศษอิฐเศษปูน รวมถึงแท่งเหล็กอีกหลายแท่งเสียบทะลุร่าง เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำ บ้างก็สาดกระเซ็นไปติดกำแพงตึก ความสยดสยองของร่างไร้วิญญาณนี้ คงจะสมใจเจ้าของร่างแล้ว
________




จบแบบที่ 1

เสียงลากเท้าที่ขยับเดินได้ไม่เต็มที่นัก เพราะบาดแผลที่ขาก่อนหน้านี้เริ่มทำให้ขามีอาการชา แต่วิชิตก็ยังสามารถพาตัวเองเดินลงบันไดจากชั้นดาดฟ้าลงมาได้ เขานึกถึงคำพูดของชายชราที่บอกว่าศาสดาของวิชิตนั้น ได้ตายไปแล้ว แต่วิชิตคิดได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงจากตึกว่า 'ก็เธอยังไม่ได้ตายนี่' เมื่อนั้นวิชิตจึงเกิดแรงฮึกเหิมที่จะทำสิ่งๆหนึ่งให้สำเร็จให้ได้

วิชิตรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พ่อของหญิงที่เขารักนั้น ไม่ยอมยกลูกสาวให้ เพราะว่าผู้ชายที่พ่อของเธออยากให้แต่งงานด้วยนั้น มีธุรกิจที่ใหญ่โต มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมที่ดี วิชิตจึงคิดว่าทางเดียวที่เขาจะเอาชนะใจว่าที่พ่อตาได้ คือทำให้ตัวเองมีทุกอย่างที่มากกว่าชายคนนั้น วิชิตจึงเดินทางไปหาพ่อของเธอที่บ้าน เขาเข้าไปขอร้องว่าขอเวลาให้เขา 1 ปี เพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงเงินทองให้มีมากกว่าชายคนนั้น ถ้าวิชิตทำได้ เขาขอให้พ่อยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ วิชิตสัญญาว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวใดๆกับเธออีกต่อไป 

พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น พรางคิดว่าวิชิตคงทำไม่สำเร็จ ก็ดีเหมือนกันที่วิชิตจะได้เลิกมาตอแยกับลูกสาวของตน จึงรับปากไปตามนั้น และให้เลื่อนงานแต่งงานของลูกสาวกับผู้ชายคนนั้นไว้ก่อน

ในระหว่างเวลาที่ก่อนจะครบกำหนดตามสัญญา วิชิตเปิดบริษัทที่เขาเคยวางแผนไว้ พยายามเร่งสร้างธุรกิจอย่างมั่นคง และชาญฉลาด ใช้คอนเนคชั่นที่เคยมีหางานเข้าบริษัท แต่ด้วยความที่วิชิตเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างสุจริต จึงทำให้ผลกำไรในบริษัทมีไม่มากนัก ดังนั้นเรื่องเงินทองของเขาจึงไม่สามารถชนะชายคนนั้นได้เลย เมื่อครบกำหนดหนึ่งปี และระยะเวลาแค่ 1 ปี มันสั้นไปที่วิชิตจะสร้างชื่อเสียงในสังคมให้คนยอมรับได้ เมื่อเทียบกับชายคนนั้นที่สร้างชื่อเสียงในสังคมมาตลอดหลายสิบปี วิชิตรู้ว่าตัวเองไม่สามารถชนะเดิมพันนั้นได้ เมื่อครบกำหนดเวลาเขาจึงไปหาพ่อของเธอ เพื่อขอยอมแพ้และจะทำตามสัญญา

ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พ่อของเธอเฝ้าติดตามดูวิชิตทุกฝีก้าว เขาเห็นถึงความตั้งใจของวิชิต และความซื่อสัตย์สุจริตตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจ จึงเกิดความประทับใจและสุดท้ายก็ยอมยกลูกสาวให้กับวิชิต

สุดท้ายวิชิตก็ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เขาและเธอเดินตามฝันที่เคยวาดร่วมกันไว้ ตอนนี้วิชิตมีทุกอย่างที่เขาต้องการแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ วิชิตนึกย้อนกลับไปถึงคืนวันนั้น วันที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายและได้เจอกับชายชราคนนัน วิขิตนึกย้อนไปว่าหากวันนั้นเขาตัดสินใจกระโดดตึกตาย เขาคงไม่มีโอกาสที่จะมีวันนี้ และไม่มีโอกาสที่จะทำให้เธอมีความสุขด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นับจากวันนั้น วิชิตไม่รู้เลยว่าชายชราคนนั้นได้กระโดดตึกหรือไม่ ในใจของเขาก็ภาวนาขอให้ชายชราเปลี่ยนใจในคืนวันนั้น เพราะมาถึงตอนนี้วิชิตได้ตระหนักดีแล้วว่า การที่ได้มีโอกาสมีชีวิต มันคือสิ่งมีค่าและวิเศษที่สุด ไม่ว่าระหว่างนั้นจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือสุขสบายเพียงใด ความสวยงามในการดำรงอยู่ของเรา ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเรามองมันในแง่ที่ดี

______________

จบแบบที่ 2

เสียงฝีก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด ชายชราก็สามารถเดินลงถึงชั้นล่างได้ เขาไม่แม้แต่จะหวนคิดถึงว่าวิชิตจะกระโดดตึกหรือไม่ ชายชราได้แต่คิดว่าวันนี้เขารอดตายมาได้นั้น เพราะได้มาเจอกับวิชิต ความจริงแล้วชายชรารู้ดีถึงสัจธรรมของความทุกข์ดี ว่ามันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเดี๋ยวก็ดับไป แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้ก็คือวิธีที่จะลืมมัน ตลอดชีวิตเขาได้แต่ใช้บุหรี่ช่วยเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง ชายชราตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ที่เขาจะกระโดดตึกลงมา ว่าเขาจะค้นหาวิธีใหม่ๆในการลืมความทุกข์ โดยไม่ใช้บุหรี่หรือยาเสพติดใดๆ

ชายชราตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง ช่วงหนึ่งของการรักษาเขาต้องเข้าคอร์สบำบัดผู้ติดยา ชายชราได้พบปะผู้คนมากมายและได้พูดคุยและถกถึงปัญหาของแต่ละคน มีคนจำนวนมากได้ประโยชน์จากการพูดคุยกับชายชรา และชายชราก็ได้กำลังใจและแง่คิดในการดำเนินชีวิตจากคนจำนวนมาก

เวลาผ่านไป 20 ปี นับจากในคืนวันนั้น ชายชรารักษาร่างกายเป็นอย่างดี ผลลัพธ์จากกิจกรรมที่เขาพยายามทำเพื่อให้ลืมความทุกข์ เช่นการทำสมาธิ วิ่งออกกำลัง รำมวยจีน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อ่านหนังสือ แต่งเรื่องสั้น ฟังเพลง ฯลฯ ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเขาดีเยี่ยม และมาถึงวันนี้ชายชราก็มีอายุ 90 กว่าปีแล้ว เขาคิดว่านี่คงจะถึงเวลาแล้วที่จะหมดวาระบนโลกใบนี้

ในบ้านใหญ่กลางสวนกว้าง ชายชรานั่งบนเก้าอี้โยก เบื้องหน้าของเขาแวดล้อมไปด้วยหมู่มวลแมกไม้ เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกายที่ค่อยลดหายไป มันเหมือนกับว่าสิ่งต่างๆจะหวนคืนสู่จุดกำเนิดอีกครั้ง ความเงียบสงบเข้ามาอยู่ในใจของชายชรา เขารู้สึกดีใจที่ได้ใช้ชีวิตจนครบวาระที่ตัวเองต้องอยู่ นี่คงเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนตายตามธรรมชาติ มันคงเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่วิเศษที่สุด ชายชราหวนคิดกลับไปถึงคืนนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คืนที่เขาตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย เขาคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีมาก ที่รอดพ้นความตายในคืนนั้นมาได้

เพราะหากเขาตายในวันนั้น จิตสุดท้ายของชีวิตจะเป็นความหดหู่ สิ้นหวัง แต่เมื่อชายชราไม่ตาย จิตสุดท้ายในตอนนี้คือความสงบ สมบูรณ์ หากชีวิตหลังความตายมีจริง  จิตสุดท้ายนี้คงจะเป็นตัวบ่งบอกถึงภพภูมิที่ชายชราจะไปอยู่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด ณ ตอนนี้

ชายชราสิ้นลมแล้ว เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลง ตอนนี้คนในบ้านคงยังไม่รู้ แต่สักพักคงมีคนมาเห็นร่างที่ไร้วิญญาณนี้

______________

จบแบบที่ 3

ชายชรายืนอยู่บนดาดฟ้าตึก ร่างเขาค่อยเปลี่ยนใบหน้าเป็นชายหนุ่ม แท้จริงแล้วใบหน้านี้คือหน้าของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่มากระโดดตึกตายก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาค่อยๆจางลงคล้ายๆพลังที่กำลังจะเสื่อมสลาย วิญญาณดวงนี้ก้มลงสำรวจร่างตัวเอง ทันใดนั้นเงาร่างๆหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น

"ท่านยมทูติ ไหนว่าถ้าผมไม่สามารถเปลี่ยนใจชายคนนั้น ให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ วิญญาณผมจะถูกกักขังไว้ในตึกนี้ แต่นี่วิญญาณผมกำลังจะได้รับการปลดปล่อย"
"ผลลัพธ์นั้นไม่สำคัญ เท่ากับที่เจ้าตอนนี้ได้รู้คุณค่าของการมีชีวิต บทสนทนาของเจ้ากับชายคนนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เจ้าสำนึกผิดต่อการทำอัตวิบากกรรม"
"แล้วผมจะต้องไปรับโทษทัณฑ์ในขุมนรกต่ออีกกี่ปีกี่ชาติกัน"

เสียงหัวเราะจากร่างยมทูตดังลั่น

"เจ้าเอาเรื่องนรกสวรรค์มาจากไหน ดูหนังมากไปหรือเปล่า มนุษย์นี่ตลกดีชอบกุเรื่องมาหลอกกันเอง มันไม่มีหรอกทั้งนรกสวรรค์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
"อ้าว! ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ แล้วท่าน?"
"ถูกต้องแล้ว ข้าก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ทำให้ข้ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ ก็คือจิตของเจ้า เป็นเรื่องปกติของจิตมนุษย์เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว เขาจะเคว้งคว้างล่องลอย ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใคร จึงมักจะสร้างตัวละครสมมุติขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับตัวเอง เช่นเจ้านี่ไง"
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน?"

ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองจางๆ แสดงว่าพระอาทิตย์ใกล้ไต่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว การเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น ในมุมๆหนึ่งในโรงพยาบาล เด็กทารกตัวน้อยเพิ่งจะโผล่ออกมาดูโลกด้วยเสียงร้องแสบแก้วหู รังนกรังหนึ่งในสวนสาธารณะมีไข่นกเล็กๆอยู่ 3 ฟอง ไข่ฟองหนึ่งมีแรงกระทุ้งออกมาจากภายใน ลูกนกตัวน้อยพยายามจะจิกเปลือกไข่ให้แตกออกมาเอง และในอีกมุมโลกที่ตรงกันข้ามนี้ แสงอาทิตย์ก็กำลังจะลาจากไปเช่นกัน

"เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาก็จะเกิดดวงจิตขึ้นมาด้วย จิตคือพลังงานชนิดหนึ่ง เมื่ออยู่ๆไปจิตก็แข็งขึ้น หมายถึงเป็นพลังงานที่แข็งกล้าขึ้น และเมื่อร่างกายของมนุษย์เสื่อมสภาพลงจนดวงจิตที่เป็นพลังงานไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ จิตนั้นยังคงอยู่ ตามธรรมชาติของพลังงานนั้น จะสลายไปเองโดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แต่ถ้าเป็นจิตของคนที่ก่อนออกจากร่างนั้น ยังมีความผูกพันหรือความกังวลกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ดวงจิตจะไม่ยอมเสื่อมสลายหายไปไหน ยังคงวนเวียนกับเรื่องนั้นๆอยู่ จิตจะเหมือนกับถูกเติมเชื้อเพลิงเข้าไปเรื่อยๆ และมีโอกาสที่จะกลายเป็นพลังงานมหาศาล"

"เหมือนจิตของผมที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ เพราะยังกังวลถึงความผิดพลาดที่เคยก่อ จนกระทั่งได้รับการปลดปล่อยในครั้งนี้"
"ใช่"

ดวงจิตดวงนี้ใกล้เสื่อมสลายแล้ว แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจซึ่งทำจิตนี้ไม่สามารถเสื่อมสลายไปได้อย่างสมบูรณ์

"ถ้าหากท่านไม่มีตัวตนจริง แล้วท่านตอบคำถามที่ผมไม่รู้ได้อย่างไรกัน?"
"ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ทุกดวงจิตจะรู้ และรู้ดีด้วย แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์นานๆก็มักจะลืมไปว่าต้นกำเนิดของดวงจิตมาจากไหน และจะไปไหนต่อ ตัวเจ้าเองก็รู้ดีแต่แกล้งลืมมันไป การที่ข้าตอบคำถามเจ้าได้ ความจริงก็คือเจ้าเริ่มจะฟื้นความจำเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้แล้ว"


แสงอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้พลังงานที่ก่อเป็นดวงจิตนี้เริ่มจางลงๆ จนกระทั่งลับหายไป แต่ยังมีดวงจิตอีกดวงหนึ่งที่จะยังคงวนเวียนอยู่ในตึกร้างแห่งนี้ และไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ที่จิตของวิชิตนั้นจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้


ปรารถนาสุดท้าย





ผมเห็นเธออีกครั้ง! เราแยกทางกันมาเกือบจะ 13 ปี ความทรงจำเก่าๆฉุดรั้งไว้ไม่ให้เข้าไปเจอเธออีก แม้ภายในก้นบึ้งของห้วงความคิดจะเป็นแรงดึงดูดให้ผมเดินเข้าไปหาเธอ

เราเริ่มคบกันเมื่อเธอเดินเข้ามา เธอปรารถนาผม ผมแค่สนองตอบ ครั้งนั้นผมอยู่กับเธอด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่มีใคร แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอรักผม

ครั้งหนึ่งเราเดินผ่านร้านดอกไม้ เธอรบเร้าให้ผมซื้อดอกทิวลิปสีม่วงให้เธอ ผมบอกให้เธอไปซื้อเอง เธอไม่ซื้อ ผมไม่เข้าใจ

ครั้งที่ผมถูกนักเลงต่างถิ่นทำร้าย เธอออกมาปกป้องผม กราบเท้าขอร้องพวกนักเลงไม่ให้ทำร้ายผมอีก เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อผม บาดแผลและกระดูกที่หัก เธอพาไปหาหมอและช่วยรักษา ผมไม่เคยพูดขอบคุณเธอ

ในตอนที่ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน ผมคิดว่าหมดอนาคต ไร้คนเหลียวแล เธอให้คำปรึกษาผมโดยไม่ปริปากบ่น หาสมัครงานกับคนรู้จักให้ผมจนผมได้งานทำ

จนผมถูกไล่ออกจากงาน เธอไม่เคยด่าว่าผมว่าเหลวไหล ยังคงให้กำลังใจและหาสมัครงานให้

ผมได้เงินเดือนไม่เคยแบ่งให้เธอซักครั้ง ผมใช้เงินเหล่านั้นหมดไปกับการเที่ยว กินเหล้า นอนกับผู้หญิงอื่น เธอไม่ปริปากบ่นซักคำ แถมบางครั้งผมยังเอาเงินจากเธอไปทำสิ่งเหล่านั้น เธอให้ด้วยความเต็มใจ

ผมติดยา เธอพาผมไปรักษาโดยไม่รังเกียจ ไม่อายพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง ไม่อายเพื่อน บางครั้งทะเลาะกับคนเหล่านั้นเพื่อผม

ผมค้ายาเสพติด เงินที่ได้หมดไปกับการเที่ยว ซื้อของแพงๆ ให้เงินกับผู้หญิงอื่น แต่ไม่เคยแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้เธอซักตัว เธอไม่รู้ว่าผมค้ายา

ผมโดนตำรวจจับข้อหาค้ายาเสพติด โทษจำคุก 15 ปี เธอไปเยี่ยมผมตลอด 3 ปี และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมมีและเคยมี ผมเป็นเด็กกำพร้า

ผ่านไป 3 ปี ความเงียบและความเหงาทำให้ผมหวนนึกถึงอดีต นึกถึงเธอ ผมนอนร้องให้ทุกคืน อยากจะฆ่าตัวตาย ผมปฏิเสธการเยี่ยมของเธอตั้งแต่บัดนั้น

เธอยังเขียนจดหมายมาหาผมอีกหลายฉบับ ผมตัดสินใจไม่เปิดอ่าน

แค่ 5 ปีผมออกจากคุกแล้วเพราะทำตัวดีและมีการอภัยโทษหลายครั้ง ผมเดินออกมาจากคุกพร้อมเสื้อผ้าและกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน

ผมเริ่มงานกับเถ้าแก่ที่รู้จักกันในคุก ท่านรักและไว้ใจผม ผมตั้งใจทำงานเก็บหอมรอมริบจนสามารถไปตั้งโรงงานของตัวเองได้

กิจการรุ่งเรือง ผมมีทั้งบ้านหลังใหญ่ รถคันโตหลายคัน ผู้คนนับถือผมเพราะมีเงินเยอะ ผมซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ยกเว้นกินเหล้ากับเที่ยวผู้หญิง

ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต การทำงาน การเดินทาง ท่องเที่ยว การบริจาคเงินเพื่อการกุศล ให้ความรู้และให้โอกาสผู้คน

จนมาวันหนึ่งผมพบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านในลังไม้ใบเก่า ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ น้ำตาผมไหลโดยไม่รู้ตัว

ผมจ้างนักสืบออกหาตัวเธอ บ้านที่เธออาศัยอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมแอบเฝ้ามองเธอ หัวใจผมพองโต บาปที่เกาะกินในจิตใจผมเริ่มมีความหวังที่จะชำระล้างแล้ว

ผมกลับบ้านไปอย่างมีความสุข เฝ้าคิดถึงวันที่เราทั้งสองจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ผมจะแต่งงานกับเธอ จะให้เธอทำงานกับผมเพราะกลัวเธอเหงาถ้าอยู่บ้านคนเดียว

ผมจะพาเธอไปเที่ยวญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ไปทุกที่ที่ผมเคยไปเที่ยวเมื่อครั้งที่ผมอยู่คนเดียว คราวนี้ผมจะได้เที่ยวอย่างไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว

ผมอยากจะมีลูกซักสองคนกับเธอ และจะให้เธอออกจากงานมาเลี้ยงลูก ผมจะให้พ่อแม่ของเธอมาอยู่ที่บ้านของผม เพื่อเธอจะได้ไม่เหงาและพวกท่านจะได้อยู่กับหลานๆ

ผมจะรักลูกๆทุกคน สอนพวกเขาให้เข้มแข็ง ให้พวกเขาเลือกที่จะเรียนอะไรก็ได้ที่อยากเรียน

ผมจะพาเธอไปเรียนต่อในมหาลัยอีกครั้ง ให้ได้ใบปริญญา เมื่อครั้งมีโอกาสเธอทิ้งมันเพื่อผม

ผมอยากขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆข้ามทวีปสักครั้งในชีวิต โดยมีเธอนั่งซ้อนไปด้วย

ในบั้นปลายชีวิตเราอยู่บ้านชานเมืองที่เงียบสงบ เวลานั้นแค่เราจ้องตากันก็คงมีความสุขพอแล้ว

เราจะสัญญาต่อกันว่าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจากไปก่อน อีกฝ่ายหนึ่งจะอยู่อย่างเข้มแข็งและไม่ร้องไห้

_________________

ผมหยิบกองจดหมายที่ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าตอนนั้นเธอยังคิดอย่างไรกับผมบ้าง ใจหนึ่งก็กลัวจะมีคำพูดบางประโยคในกองจดหมายที่เขียนว่า 'ไม่รักผมแล้ว' ผมเก็บกองจดหมายใส่ลังไว้ที่เดิม

ทุกความคิดทุกความรู้สึก กลั่นกรองออกมาเป็นแรงปราถนาในการที่จะให้ผมไปพบเธอในวันนี้ ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและร้อนใจ แต่เมื่อขับรถมาใกล้จะถึงบ้านเธอผมเริ่มรู้สึกกลัว

ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร จะพูดประโยคแรกเมื่อเจอกันว่าอย่างไร และหลังจากพูดคุยกันเสร็จจะทำอะไรต่อไป ความจริงผมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซักซ้อมคำพูดและแววตามาหลายร้อยรอบ แต่ตอนนี้ผมลืมมันไปหมดสิ้น

ผมจอดรถไว้ถัดจากบ้านเธอไป 2 หลังเพื่อให้มีเวลาตั้งตัว ผมเปิดประตูรถและก้าวออกมาโดยไม่ลืมที่จะค่อยๆอุ้มช่อดอกทิวลิปสีม่วงที่ราคาแพงที่สุดในร้านลงมาด้วย

เมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเธอทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกลัวเกินกว่าที่จะกดกริ่งหน้าประตู

ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หลบอยู่หลังเสา และแอบชำเรืองลอดผ่านรั้วเหล็กเข้าไปในตัวบ้านโดยหวังว่าเธอจะออกมาเจอตัวผมเอง

ผมเห็นเด็กน้อยชายหญิงสองคนวิ่งเล่นกันบนสนามหญ้าในตัวบ้าน

ทั้งสองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผู้ชายคนน้องกลิ้งตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มก่อนคนพี่จะทิ้งตัวลงนอน เสียงหัวเราะทั้งคู่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์

"อ้าวๆ แก้วไปแกล้งน้องอีกแล้ว ไปนอนทับน้องเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี"

นั่นเสียงเธอ! ผมไม่ได้ยินเสียงเธอมานานเท่าไหร่แล้วนี่ เสียงที่ผมได้ยินเมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้ง เพราะผมโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เคยมีใครพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรเท่านี้แล้ว

ผมเห็นเด็กชายคนเล็กรีบลุกและวิ่งไปกอดเธอ เด็กน้อยแกล้งไปซบที่ขาเธอเหมือนจะไปฟ้องว่าโดนพี่สาวแกล้งจริงๆ

"กรมั่วแล้วแม่ น้องเป็นคนลงไปนอนกลิ้งเองต่างหาก หนูเปล่าซะหน่อย"

"เอาล่ะๆ ทั้งคู่รีบไปล้างมือเร็ว แม่เพิ่งอบคุ้กกี้เสร็จ นี่ไงกำลังอุ่นๆเชียว มีน้ำใบเตยของชอบของแก้วด้วยนะ"

"เย้"

เด็กทั้งสองวิ่งเข้าบ้านไปเพื่อไปล้างมือ ผมคิดว่าถ้าปล่อยโอกาสนี้ไปผมคงไม่กล้าเดินเข้าไปพบเธออีกแน่นอน อย่างน้อยก็คำบอกลา

ขาทั้งสองข้างไม่ขยับ 

ผมค่อยๆเดินจากมา

ตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน ผมพยายามถามหาเหตุผลจากตัวเองถึงความกลัวที่ปรากฎ

ไร้คำตอบใดๆ

ผมคิดทบทวนทุกเรื่องราวในหัวจนหาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่า 'แค่ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจกัน นั่นก็คือความรักแล้ว' ใช่่แล้ว ผมคงกลัวที่จะทำร้ายจิตใจเธออีกครั้ง จิตใต้สำนึกจึงสั่งไม่ให้ผมไปเจอเธอ

ผมจอดรถข้างทาง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พิมพ์ข้อความว่า

'ขอโทษทุกอย่างที่ทศทำร้ายจิตใจแอมมาตลอด แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเพราะแอม จึงทำให้ทศรู้จักกับความรัก อโหสิกรรมให้ทศด้วยนะ'

ป้อนเบอร์โทรศัทพ์ของเธอที่ได้จากนักสืบ

ผมตั้งใจจะกดปุ่ม 'ส่งข้อความ' เมื่อพิมพ์ข้อความเสร็จ แต่เมื่อกำลังจะกดน้ำหนักนิ้วชี้ไปที่ปุ่ม นิ้วมันไปกดปุ่ม 'ยกเลิกส่งข้อความ' โดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา



วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สินค้าหรือศิลปะ




ในห้องทำงานของบรรณาธิการสำนักพิมพ์นิยายชื่อดัง ห้องกระจกเปิดแอร์เย็นฉ่ำเกือบจะหนาวเหน็บ เมื่อเทียบกับอุณหภูมินอกห้องกระจกที่มีพนักงานหลายสิบคนนั่งแออัดกันในห้องขนาดใหญ่ มีเพียงแต่เครื่องปรับอากาศเก่าๆและทำงานส่งเสียงดังที่พอจะลดความร้อนแรงจากอากาศภายนอกให้พอนั่งทำงานได้

วิธิตพลิกกระดาษแผ่นสุดท้ายของหนังสือไปยังปกหลัง ในหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายมีภาพชายชาวต่างชาติวัยกลางคน หวีผมสีน้ำตาลเข้มเรียบแปล้ ระบุชื่อนายอนุชิต เกร๊กสัน อาชีพนักเขียนนิยายในประเทศอังกฤษ เคยมีผลงานนิยายขายดีหลายเล่ม Always my love [1989] A man who kill a woman [1995] Nightmare jason[1999] Bad country [2008] Secret Diary of Beethoven [2011] (ชื่อหนังสือสมมุติทั้งสิ้น) เคยได้รับรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ 2 สมัยซ้อน โดยมีคำโปรยทิ้งท้ายจากคณะกรรมการรางวัลโน๊ตบุ๊กเกอร์ไว้ว่า

อนุชิต เกร๊กสันเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ เขาใช้ศิลปะและพลังแห่งร้อยแก้ว สร้างสรรค์ศีลธรรมได้อย่างชัดเจน

หลังจากวิธิตใช้เวลากว่าชั่วโมงนั่งอ่านนิยายเล่มนี้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย วิธิตปิดปกหลังของหนังสือและใช้นิ้วมือไปขยับแว่นสายตายาวให้ลดระดับลง เพื่อให้เขาสามารถมองข้ามกรอบแว่นออกไปยังคู่สนทนาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ คนที่นั่งตรงข้ามวิธิตคือ อนุชิต เกร๊กสัน

"ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณคุณอนุชิตที่ให้เกียรตินำนิยายเล่มใหม่มาเสนอสำนักพิมพ์ของเรา หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มหนานี้จบแล้ว ผมมีความประทับใจและรู้สึกสนุกที่ได้อ่านมัน คุณรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยได้เหมือนกับคุณเป็นคนไทย อ่อ! เพราะคุณเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เรียนและเติบโตที่ประเทศไทย ก่อนจะไปศึกษาต่อและทำงานที่ประเทศอังกฤษ"

อนุชิตยิ้มเมื่อได้ฟังคำชม เขาแสดงสีหน้าดีใจเมื่อคิดว่าบรรณาธิการจะตีพิมพ์นิยายของเขา

"ขอบคุณมากครับ หนังสือเล่มนี้ผมใช้เวลาถึง 5 ปีในการเก็บข้อมูลและเขียนมันเมื่อผมเริ่มกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อ 5 ปีก่อน"

"เอ่อ... แล้วทำไมถึงกลับมาอยู่เมืองไทย ในเมื่อคุณเป็นนักเขียนคนที่มีชื่อเสียงที่อังกฤษ"

"เพราะเบื่อประเทศอังกฤษ อยากมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย และอีกสาเหตุหนึ่งเพราะผมได้แต่งงานกับผู้หญิงไทยด้วย เราไปจัดงานแต่งงานกันที่อังกฤษ แต่เราทั้งคู่ตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเพราะผมคิดว่าสังคมเมืองไทยเหมาะกับลูกๆของผมมากกว่า"

"แล้วทำไมถึงเอานิยายที่คุณเขียนมาเสนอสำนักพิมพ์ของเราล่ะครับ ทำไมไม่ส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่เคยตีพิมพ์ผลงานของคุณ"

อนุชิตยิ้มก่อนพูดด้วยความเคยชิน เขาเคยอยู่เมืองไทยซึ่งเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มตั้งแต่เกิด

"ผมใช้ฉากของเรื่องเป็นเมืองไทย ตัวละครเป็นชาวต่างชาติที่เลือกมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ผมจึงคิดว่ามันควรที่ตะถูกตีพิมพ์เป็นภาษาไทย และสำนักพิมพ์ของคุณก็เป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่น่าสนใจ ผมจึง..."

ก่อนที่อนุชิตจะพูดจบ วิธิตรีบพูดแทรกตัดบททันที

"เอ่อ... คือว่านิยายของคุณเป็นนิยายที่น่าสนใจ แต่ผมคิดว่ามันซับซ้อนเกินไป ผมไม่สามารถเอานิยายของคุณไปตีพิมพ์ได้ ผมต้องขอโทษด้วย"

"อะไรนะ! ผมไม่เข้าใจ คุณเพิ่งจะชมนิยายของผมว่าดี แต่คุณก็ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์มัน เพราะอะไรกัน"

"นิยายของคุณผูกเรื่องที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี แต่ผมคิดว่าคนไทยไม่ชอบอ่านนิยายประเภทนี้เพราะพวกเขาจะตามไม่ทันและเลิกอ่านก่อนที่จะถึงครึ่งเล่ม สำนวนโวหารคุณเขียนได้ดี เขียนพรรณนาได้สวยงาม แต่มันมากเกินไปที่คนไทยจะอ่านเข้าใจ ผมคิดว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจเหตุการณ์และการเดินเรื่องของหนังสือเพราะคำที่สวยหรูรวมถึงคำอุปมาอุปมัยนี้"

"ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วคนไทยเขาอ่านอะไรกัน"

อนุชิตเปลี่ยนสีหน้าจากดีใจเป็นสงสัยแทบไม่ทัน เพราะคำชมเปลี่ยนคำปฏิเสธมาอย่างรวดเร็ว

"ถ้าคุณอนุชิตศึกษาหาข้อมูลสำนักพิมพ์ของเรามากอีกนิด คุณจะเห็นว่านิยายกว่าร้อยละเก้าสิบของเราเป็นนิยายรัก เค้าโครงเรื่องจะเป็นแนวรักๆไคร่ๆ นางเอกยากจนแต่หลงรักพระเอกที่ร่ำรวยจากตระกูลผู้ดี เรื่องของหนุ่มสาวที่ไม่รู้จักกันแต่มาพบรักกันพร้อมอุปสรรค ชายหนุ่มที่เกลียดหญิงสาวอย่างเข้าใส้เพราะความเข้าใจผิด สุดท้ายทั้งคู่รักกัน หรือเรื่องการกำจัดมือที่สาม แต่หนังสือของเราทุกเล่มจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทุกครั้ง และสิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามพระเอกและนางเอกตาย"

วิธิตยังพูดไม่จบประโยค เขาแค่พักหายใจชั่วครู่ แต่อนุชิตยิ่งทำหน้างงกว่าเดิมพร้อมอ้าปากค้าง

"ผมเป็นบรรณธิการมาเกือบ 20 ปี ผมย่อมรู้ดีว่าอะไรขายได้อะไรขายไม่ได้ คนอ่านของเราต้องการอะไรที่ง่ายๆไม่ต้องคิดตาม พวกเขารู้ตอนจบของนิยายอยู่แล้วเพียงแต่เขาแค่อยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คนอ่านของเราน่ะครับคุณอนุชิตใช้ไอคิวแค่ 50 ในการอ่านก็พอ แต่งานเขียนของคุณต้องใช้ไอคิวถึง 200"

"แต่ผมคิดว่างานเขียนที่ใช้ไอคิว 50 ในการอ่าน อาจจะทำให้คนที่มีไอคิว 200 ลดลงเหลือ 50 จริงๆเมื่ออ่านนิยายเหล่านั้น เราควรจะให้พวกเขาอ่านนิยายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเพื่อให้พวกเขาฉลาดขึ้น"

"นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเราครับคุณอนุชิต เราต้องการขายสินค้าที่คนต้องการซื้อ ไม่ใช่ขายงานศิลปะที่น้อยคนที่จะดูมันเป็น ผมยอมรับว่างานเขียนของคุณเป็นงานศิลปะชั้นยอด แต่คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะมองเห็นคุณค่าของมันและจะซื้อ เราต้องของโทษด้วยนะครับที่ไม่สามารถตีพิมพ์งานเขียนของคุณได้"

อนุชิตยังคงทำสีหน้างงกับสิ่งที่วิธิตพูด

"อะไรกัน ประเทศไทยก็มีนักเขียนมือรางวัลระดับนานาชาติหลายคน พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกับหมด"

"รางวัลอาเชียนไรท์น่ะเหรอครับ หนังสือรางวัลก็ได้แค่กล่อง ยอดขายมันก็ยังสู้พวกนิยายรักๆใคร่ๆไม่ได้ หนังสือที่ได้รางวัลก็มักจะอยู่แต่บนหิ้งของร้านหนังสือ รอวันส่งกลับคืนสำนักพิมพ์ อ่อ! พอดีผมมีประชุมกับนักเขียนประจำของสำนักพิมพ์ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า เดี๋ยวผมต้องขอตัวก่อนนะครับ สุดท้ายผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้อ่านชั้นดีมานานมากแล้ว ขอบคุณนะครับคุณอนุชิต"

วิธิตเดินอ้อมโต๊ะเตรียมจะออกจากห้องทำงานกระจกของเขา โดยที่เขาไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับกับมือของอนุชิตตามธรรมเนียมตะวันตก วิธิตออกไปจากห้องแล้วทิ้งไว้แต่อนุชิตให้ยืนงงทำอะไรไม่ถูก สักพักอนุชิตจึงตั้งสติได้ก่อนเดินออกจากห้องทำงาน เดินออกจากตึกเพื่อไปโบกรถแท๊กซี่

รถแท๊กซี่จอด อนุชิตเปิดประตูขึ้นไปนั่ง เขาบอกจุดหมายปลายทางแก่โชเฟอร์ก่อนอนุชิตจะเอนหลังลงที่เบาะพร้อมพักสายตาลงในห้องโดยสารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

รถแท๊กซี่จอดที่จุดหมายในตรอกแคบๆใจกลางเมือง อนุชิตจ่ายเงินพร้อมให้ทิปคนขับรถก่อนจะปิดประตูรถ เขาเดินตรงไปยังร้านอาหารตามสั่งเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่อนุชิตลงจากรถ เมื่อถึงหน้าร้านอนุชิตตะโกนสั่งอาหาร

"ข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาว"

อนุชิตสั่งอาหารเสร็จก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เขาวางกระเป๋าเอกสารไว้บนโต๊ะและเตรียมหญิบกระเป๋าเงินมาไว้ในมือ เวลาผ่านไปไม่นานพ่อครัวหัวทองนัยตาสีฟ้าใสเดินถือจานอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ อนุชิตเปิดกระเป๋าเงินและหยิบธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์ 50 ใบส่งให้ชายที่เพิ่งจะวางจาอาหารลงบนโต๊ะ

"Oh Greg... I think that I must win the bet." (โอ้เกรก... ฉันคิดไว้แล้วว่าฉันต้องชนะเดิมพัน)

"Yes, john... you win a bet. This's your money." (ใช่แล้วจอห์น นายชนะ นี่เงินของนาย)

*** (เพื่อความสะดวกของผู้อ่านและผู้เขียน บทสนทนาต่อไปนี้ตัวละครใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนา แต่ผู้เขียนขออนุญาติเขียนเป็นภาษาไทย)***

"ฉันบอกนายแล้วว่านายไม่มีทางได้ตีพิมพ์งานเขียนของนายที่สำนักพิมพ์นั้นได้แน่นอน"

"โอเค ตอนนี้ฉันเชื่อนายแล้ว บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไม่นายถึงรู้ว่างานเขียนของฉันจะไม่ผ่าน"

"นายเป็นนักเขียนนิยาย และฉันก็เป็นนักอ่านนิยาย ฉันรู้จักนายดีว่างานเขียนของนายมันเป็นงานเขียนที่ดี อ่านสนุก แต่เมียคนไทยของฉันก็เป็นนักอ่านด้วย เธอมีหนังสือนิยายของสำนักพิมพ์ที่นายเพิ่งจะไปมาหลายร้อยเล่มบนชั้นหนังสือ ฉันใช้หนังสือเหล่านั้นในการศึกษาภาษาไทย และเมื่อฉันเริ่มแต่กฉานในการอ่านภาษาไทยแล้วฉันจึงรู้ดีว่า นิยายเหล่านี้มันห่วยแค่ไหน และเมื่อนายมาอยู่เมืองไทยและบอกฉันว่าต้องการเขียนนิยายในเมืองไทย ฉันจึงคิดว่าสำนักพิมพ์นั้นไม่มีทางที่จะตีพิมพ์งานเขียนของนายอย่างแน่นอน เพราะสติปัญญานักอ่านของพวกเขาคงไม่สามารถอ่านงานของนายได้"

จอห์นยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อกำเงินจำนวน 5 พันดอลล่าร์ที่ได้จากเดิมพันในมือ

"โธ่...จอห์น นายเล่นแรงกันเกินไปแล้ว เงิน 5 พันดอลล่าร์สามารถใช้ได้เป็นปีๆในเมืองไทยเลยนะ แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะแล้วนายจะมีเงินจ่ายให้ฉันไหม"

จอห์นหัวเราะชอบใจเล็กน้อยก่อนจะพูด

"ไม่เอาน่าเกร๊ก นายรู้ดีว่าค้าๆขายๆในเมืองไทยจะไปเอาเงินที่ไหนมาเป็นแสนๆ ฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าฉันต้องชนะ เอาเป็นว่าอาหารจานนี้ฉันเลี้ยงนายเอง ส่วนเรื่องเงินที่นายจ่ายให้ฉันมา ฉันแนะนำให้นายเอานิยายเรื่องนั้นมาปรับเปลี่ยนนิดหน่อย แล้วส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่อังกฤษ โดยให้เปลี่ยนจากชาวต่างชาติมาใช้ชีวิตในเมืองไทย เปลี่ยนเป็นชาวไทยที่ต้องการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ รับรองว่ามันต้องได้ตีพิมพ์อย่างแน่นอน และนายจะได้เงิน 5 พันคืนหลายเท่าตัวเมื่อรวมส่วนแบ่งจากยอดขายที่นายจะได้รับ"

"นายแน่ใจเหรอจอห์น"

"ฉันมั่นใจเกร๊ก ก่อนที่ฉันจะมาอยู่เมืองไทย ฉันเป็นบรรณาธิการหนังสือที่ยูเอสเอ ถ้าตอนนั้นฉันไม่เบื่อประเทศและตัดสินใจมาอยู่กับเมียคนไทยที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน ฉันคงทำงานเป็นบรรณาธิการเป็นปีที่ 20 แล้ว ฉันมั่นใจว่านักอ่านในประเทศอังกฤษชอบอ่านนิยายของนายที่ใช้ไอคิว 200 ในการอ่านเหมือนกันกับที่ยูเอสเอ"

"ขอบใจมากจอห์น แล้วฉันจะแก้ไขนิยายของฉันก่อนจะส่งไปที่สำรักพิมพ์เก่าของฉัน ที่นั่นคงจะต้อนรับฉันอยู่"

"นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวฉันปิดร้านเลยละกัน"

จอห์นใช้เวลาที่อนุชิตนั่งกินอาหารไปเก็บของในร้านและปิดประตูหน้าร้านลง จากนั้นเขาเดินไปที่ตู้แช่เครื่องดื่มพร้อมหยิบขวดเบียร์ออกมา 2 ขวด และแก้วทรงสูงอีก 2 ใบไปวางที่โต๊ะของอนุชิต

"Oh...John, I love Thai beer. I think it tastes best in the world. Don't tell anyone that this is the real reason I came back to Thailand."

(โอ้จอห์น ฉันรักเบียร์ไทย ฉันคิดว่ามันมีรสชาติที่ดีที่สุดในโลก อย่าบอกใครนะว่านี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ฉันกลับมาอยู่เมืองไทย)

บรรยากาศเสียงหัวเราะตลบอบอวน ทั้งคู่ดื่มด่ำกับรสชาติของเบียร์พร้อมด้วยเรื่องเล่าสนุกๆจากนักเขียนนิยายชื่อดังและเสียงหัวเราจากอดีตบรรณาธิการหนังสือชื่อดังเช่นกัน



นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...