วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมืองหุ่นยนต์



ผมชื่ออะไรไม่รู้ มาจากไหนไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ผมต้องวิ่ง เมื่อคอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนกฎ มนุษย์เป็นเพียงผู้ทำตามกฎ เพื่อนมนุษย์เท่าที่เห็นเลือกที่จะเล่นตามกฎ แต่ผมไม่! หุ่นยนต์ลาดตะเวนค่อยๆลอยไล่ตามหลังผมมาอย่างช้าๆ

"อาร์ที 374638 เจ้าได้ละเมิดมาตรา 370 และหากยังไม่หยุดหนีเจ้าจะละเมิดมาตรา 487 หากเดินพ้นเขต 17 เจ้าจะละเมิดมาตรา 598 ..."

ไอ่พวกหุ่นยนต์ลอยมาด้วยความเร็วเชื่องช้าพร้อมบ่นพรึมพรำ ผมรู้แต่เพียงว่าไม่ว่าจะทำผิดมาตราไหนบทลงโทษก็เหมือนๆกันหมด ผมไม่ลังเลที่จะทำผิดกฎ แม้มันจะเป็นมาตราข้อสุดท้ายก็ตาม

หุ่นยนต์ลาดตระเวนเคลื่อนไหวได้ช้า อาจเป็นเพราะว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนที่เร็ว งานหลักของพวกมันคือคอยเฝ้าดูแรงงานมนุษย์ที่ไม่มีวันหนีหรือไม่มีใครเคยหนี เป็นทีที่ผมวิ่งหนีมันมาได้อย่างสบาย

ซากสิ่งก่อสร้างในยุคสมัยเก่าซุดโทรมเกินจะซ่อมแซม ผมไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้มานานมากแล้ว นี่แสดงว่าเราหนีออกมาจากเขต 17 เรียบร้อยแล้ว เราจะไปไหนต่อดี?

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 610 ขอให้หยุดหนีและกลับไปยังโรงงานโดยทันที"

พวกหุ่นลาดตระเวนมันมาอีกแล้ว ผมหันหน้าไปดูมันก่อนจะหันมาเดินต่อไปโดยไม่สนใจ

เปรี้ยง!! "แว๊กกกก!" มันมีปืนด้วย ถึงเวลาต้องวิ่งแล้ว หนี! หนี! หนี! เอ๊ะ! ทำมัยปืนเลเซอร์ยิงไม่โดนเราเลย สงสัยมันต้องการให้เราเหนื่อยจนหมดแรง หยุดวิ่งดีกว่า

ผมหยิบท่อนไม้ค่อยๆเดินเข้าไปที่ตัวหุ่นยนต์ หุ่นพยายามเบี่ยงปากกระบอกปืีนไม่ให้ตรงตัวผม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆปากกระบอกไม่สามารถเบี่ยงหลบตัวผมได้ มันหยุดยิงแสงเลเซอร์ทันที ผมจะฟาดไม้ลงไปที่ส่วนบนสุดของตัวหุ่น หวังว่าจะกระทบโดนสมองกลของมันให้พังไป

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลังจะละเมิดมาตรา 629 ขอให้..."

ผมรีบฟาดซ้ำไปยังตำแหน่งเดิมอีกหลายครั้งก่อนที่มันจะพูดจบประโยค แย่แล้วพวกหุ่นยนต์มากันอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงมันมีตาข่ายมาล้อมจับตัวเราด้วย หนีไปอยู่ในตึกร้างก่อนดีกว่า

"อาร์ที 374638 หากเจ้ามอบตัวและยอมกลับไปโรงงานตอนนี้ สภาจะไม่เอาผิดเจ้า ขอให้ยอมมอบตัวเสียแต่โดยดี"

ใครจะไปยอม อ๊ะ! หลังเสาต้นนั้นเหมือนมีใครเคลื่อนไหว ขอไปดูให้เห็นหน่อยซิว่าเป็นตัวอะไร

"ว้าย! ยอมแล้วๆ"

"เธอก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหรือนี่ หนีมาจากเขตไหนล่ะ" ที่แท้เป็นหญิงสาวเพื่อนมนุษย์ ที่คงแอบหนีมาเหมือนเรา ดีใจจังมีคนที่คิดเหมือนเราด้วยเหรอเนี่ย

"ชั้นหนีมาจากเขต 18 หลบซ่อนตัวอยู่ในตึกนี้มาทั้งวัน นายเข้ามาในตึกนี้รู้มั้ยว่าพาหุ่นยนต์ตามเข้ามาด้วย"

ผมหันไปดูทางเข้าตึกเห็นหุ่นยนต์ 4 ตัวค่อยๆลอยเข้ามา หุ่นแต่ละตัวมีตาข่ายคงคิดจะล้อมจับเรา แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

"เธอไม่ต้องกลัวนะ พวกหุ่นนี่เดี๋ยวชั้นจะจัดการเอง"

ผมค่อยๆซ่อนตัวไปตามเสา เมื่อเห็นหุ่นยนต์ตัวแรกค่อยๆลอยมา ผมหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ขว้างสุดแรงโดนเข้าที่หัวหุ่นยนต์เต็มๆ หุ่นค่อยๆร่วงลงจากอากาศ ผมไม่ปล่อยให้เสียเวลาตามเข้าไปใช้ไม้ฟาดซ้ำ

"อาร์ที 374638 เจ้ากำลัง..."

ใช่! ชั้นกำลังจะไปสู่อิสระภาพ ผมตะโกนบอกกับหุ่นยนต์อย่างสะใจ หุ่นยนต์ตัวที่สองลอยตัวเข้ามาทางผมพร้อมยิงถุงตาข่ายเพื่อหวังจะจับตัวผม แต่! ตาข่ายที่มันยิงออกมาแรงไม่มากพอ ผมจับตาข่ายพันรอบตัวเจ้าหุ่นยนต์ตัวที่ 2 จนมันไม่สามารถขยับตัวได้ หุ่นไร้ประโยชน์พังไปซะเถอะ ไม่รอช้าผมเดินเข้าไปกระหน่ำท่อนไม้หุ่นตัวที่ 3 และ 4 อย่างง่ายดาย

"เราหนีออกจากที่นี่ได้แล้ว รีบไปเร็ว"

"เราจะไปไหนกัน? ชั้นไม่รู้ว่าเราควรจะไปไหน"

"อ้าว! เธอหนีออกมานี่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนเหรอ"

"ชั้นไม่รู้... รู้แต่เพียงว่าต้องไปทิศนั้น"

เธอชี้นิ้วหันไปทิศทางของประตูทางเข้าตึก เมื่อผมเพ่งมองออกไป ภายหลังของม่านประตูเป็นทะเลทรายใกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ความรู้สึกในส่วนลึกของผมเองก็ต้องการไปในทิศทางนั้นเช่นเดียวกับเธอ

"เราเดินทางกันเลยดีกว่า"

เราทัั้งสองเดินเข้าเขตทะเลทรายมาแล้วก็ 10 กิโลเมตร ผมไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปในทิศทางไหน และคิดว่าเธอก็คงไม่รู้ แต่ขาของเราทั้งสองก็ก้าวเดินออกไปตามทิศทางที่ส่วนลึกของหัวใจเราสั่งให้เดินไปอย่างควบคุมไม่ได้

ความมืดเริ่มมาเยือน ความเวิ้งว้าง ความเงียบ ความเหงาและความสงบ ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนี่ นี่หรือคือความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ เราอยู่ในเมืองหุ่นยนต์มานานมากจนจะทำให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์ไปแล้วหรือไงนี่ พวกเราเดินต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย มีเพียงใจเท่านั้นที่สั่งให้ขาก้าวไปในทิศทางที่ความรู้สึกสั่งให้เดินไป

เพราะนี่เป็นกลางทะเลทรายที่ไร้แสงไฟมั้งทำให้ผมเห็นดาวสว่างไสวเต็มท้องฟ้า เมื่อขาก้าวเดินอย่างอัตโมมัติทำให้ผมแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า พรางสงสัยว่าดาวแต่ละดวงมันอยู่ไกลจากจุดที่ผมยืนแค่ไหนกัน? ทำอย่างไรถึงจะไปที่นั่นได้? มันเป็นวัตถุจับต้องได้หรือเป็นเพียงแค่พลังงาน?

"นี่เธอ ชั้นเริ่มหมดแรงแล้ว เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ชั้นไม่ได้ชาร์จพลังมา 3 วันแล้ว วันนี้เป็นกำหนดเวลาที่ต้องเข้าแท่นชาร์จพลัง"

เธอพูดเสร็จก็ล้มตัวลงกับกองทราย มนุษย์ทุกวันนี้ถูกคอมพิวเตอร์ดัดแปลงให้รับพลังงานผ่านสายไฟที่เสียบเข้าปลั๊กทางท้ายทอยของมนุษย์ โชคดีที่ผมเพิ่งจะได้รับพลังงานครั้งล่าสุดเมื่อวาน ทำให้มีเวลาที่จะเดินทางไปยังจุดหมายได้อีก 2 วัน ความรู้สึกภายใต้จิตใจสั่งให้ผมแบก 'เธอ' ไปด้วย ผมแบกเธอขึ้นหลังและเดินต่อไป

อ๊ะ! เจ้าพวกหุ่นยนต์มาอีกแล้ว คราวนี้มากันเป็นฝูงเลย แย่แล้วทำไงดีเราไม่มีอาวุธ หุ่นยนต์ที่มาคราวนี้เป็นหุ่นยนต์ติดล้อตีนตะขาบ แต่ความน่ากลัวของพวกมันก็เหมือนเดิม ผมเดินเข้าไปใช้ท่อนแขนฟาดไม่กี่ครั้งหุ่นก็พัง ก่อนพังมันบ่นพรึมพรำเหมือนเช่นเคยแต่ผมไม่สนใจ

แย่แล้ว! มันมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมทำเธอหลุดมือ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งวิ่งมาและตีนตะขาบของมันไถลไปที่หน้าของเธอ เผยให้เห็นภายใต้เนื้อที่หลุดลุ่ยออกปรากฏเป็นกระดูกใบหน้าเหล็ก

"แว๊กกก!" เธอเป็นหุ่นยนต์ ผมตกใจสุดขีดที่คนที่คิดว่าเป็นมนุษย์นั้นที่แท้จริงคือหุ่นยนต์ ภายในหัวผมแทบจะระเบิด หุ่นยนต์เกือบ 20 ตัวถูกผมทำลายในเวลาไม่นาน ก่อนเดินจากไปผมลังเลที่จะไปดูร่างของเธอให้แน่ชัด แต่ในใจของผมคงเกิดความกลัวมากจนเกินกว่าที่จะไปพิสูจน์อะไร ผมออกวิ่งตามเส้นทางออกไปอย่างเร็ว

ในหัวผมมีแต่ความกลัวว่าตัวเองจะเป็นหุ่นยนต์หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ทำงานอยู่ในโรงงานนั่นก็ล้วนแต่เป็นหุ่นยนต์เหมือนเธอ แต่ผมต่างจากมนุษย์ที่อยู่ในโรงงาน แต่เธอก็ต่างจากคนที่อยู่ในโรงงานเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเมื่อกี๊มันคืออะไรกันเล่า ความเหงา ความสงบ ความเป็นห่วงเป็นใยระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันและความกลัว 

ผมหยุดวิ่ง ความคิดที่จะใช้เศษท่อนไม้กรีดหน้าตัวเองผุดขึ้นมาในหัว เพื่อดูว่าผมเป็นหุ่นยนต์หรือไม่ ผมจิ้มปลายแหลมจิกลงลึกเข้าไปใต้เนื้อ

"โอ๊ย!" เจ็บ ผมยังมีความรู้สึกอยู่ 'ผมเป็นมนุษย์แท้' ผมเริ่มคิดว่าความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจนั้น พยายามบังคับให้ผมเดินไปยังอาณานิคมที่ยังมีมนุษยชาติเหลืออยู่ ผมออกวิ่งอย่างสุดแรงเกิด

เวลาผ่านมา 12 ชั่วโมง ผมยังคงวิ่งแม้ในตอนกลางวันแดดจะร้อนจัดเพียงใด ความรู้สึกที่จะได้เจอเพื่อนมนุษย์แรงขึ้นเรื่อย ผมคงใกล้มาถึงยังจุดหมายแล้ว อ๊ะ! นั่น! อารยะธรรมมนุษย์ ผมเริ่มเห็นสิ่งปลูกสร้างไกลๆ ผมเพิ่มความเร็วขึ้น

ในที่สุดผมก็ยืนอยู่ที่จุดหมายปลายทาง ในภาพข้างหน้าผมเห็นสิ่งปลูกสร้างไม่ใหญ่นักแต่มีหลายแห่ง นี่สินะที่เรียกว่า 'บ้าน' ผมเดินเข้าไปในบ้านแต่ละหลังแต่ไม่พบใครเลย เดินเข้าเดินออกหลายหลังเพื่อสำรวจสิ่งของเคร่ื่องใช้ ที่นี่มีรูปภาพ เสื้อผ้า เครื่องครัว หนังสือและขวดน้ำดื่ม ใช่แล้ว ที่นี่เป็นที่อยู่ของมนุษย์เช่นผมอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาไปไหนล่ะพวกคุณอยู่ที่ไหนกัน

ผมหยิบภาพถ่ายที่มีผู้ชายและผู้หญิงยืนเคียงข้างกันขึ้นมาดู นี่คงเป็น 'คู่รัก' ผมหยิบภาพถัดไปที่แขวนอยู่บนฝาผนังขึ้นมาดู ในภาพมีคนแก่ 1 คู่ ผู้ใหญ่ 1 คู่ และมีเด็กๆอีก 2 คน นี่คงคือ 'ครอบครัว' ผมยังคงดูรูปภาพอีกหลายรูป บางรูปมีตัวรูปร่างประหลาดๆมันคงจะเป็นสัตว์เลี้ยง ผมแปลกใจน้ำที่ไหลซึมออกมาที่ดวงตา มันคือ 'น้ำตา'

ช่วง 2-3 วันมานี้ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ความรู้สึกแปลกๆมันเกิดขึ้นกับตัวผม ความทรงจำแปลกๆที่มันน่าจะผ่่านมานานมากผุดขึ่นมาในหัวผมอย่างต่อเนื่อง ผมเดินออกนอกตัวบ้านและสังเกตุเห็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นลำต้น มีใบสีเขียวๆติดตามกิ่งก้านสาขา สิ่งนี้คือ 'ต้นไม้' 'รถยนต์' 'สระว่ายน้ำ' 'สนามเด็กเล่น' ฯลฯ 

ผมเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าบางตัวออกมาลองสวมใส่ ผมหยิบหมวกทรงปีกนกสวมบนหัว ไม่ลืมที่จะหันหน้าดูตัวเองผ่านกระจก 'มนุษย์' ผมมั่นใจเต็มที่ว่าผมคือมนุษย์แน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจต่อไปคือ ผมจะอยู่กับใครและอย่างไร

ถึงกำหนดต้องเติมพลังงานจากแท่นชาร์จแล้ว พลังงานผมใกล้หมดแต่ที่นี่ไม่มีแท่นชาร์จ ผมจะทำอย่างไรดี ใช่แล้วผมต้องหาอะไรกิน หาของกินใส่เข้าทางปาก

ผมเดินเข้าบ้านหลังที่มีตู้เย็นหลายบ้านเพื่อหาอาหาร เดินดูในครัว แต่ผมไม่เจออะไรเลย เหลือแต่ก้อนเศษซากที่เน่าเละแห้งเหี้ยว เหลือเพียงสิ่งสุดท้ายที่พอจะหาเข้าปากได้คือ 'น้ำ' ผมรีบวิ่งไปยังบ้านหลังที่มีขวดน้ำ

ขวดน้ำปิดฝาสนิทมีน้ำอยู่เต็มขวด ผมเปิดฝาออกและคิดว่าจะใส่มันเข้าไปในปากอย่างไร? ผมรู้ว่าต้องใช้ปากแต่ผมไม่เคยใช้ปากกินอะไรเลยมาก่อน ผมเทน้ำเข้าปากผ่านลำคอ ความรู้สึกแรกเหมือนร่างกายเกร็งไปทั้งตัว ควันไฟทะลักออกมาจากปากผม และความรู้สึกสุดท้ายของผมคือเห็นภาพสีแดงท่วมเต็มจอตาก่อนจะวูบดับหายไป

_______________________

คอมพิวเตอร์ 2 ตัวคุยกัน

"อาร์ที 374638 เราพบมันแล้ว อยู่ที่ตำแหน่งพิกัด เอ๊กซ์468 วาย754 สภาพช๊อตไปทั้งตัว ไม่สามารถส่งซ่อมบำรุงได้"

"ที่นั่นอีกแล้วเหรอ เดือนนี้เราสูญเสียหุ่นยนต์แรงงานไป 78 ตัว ถ้าเราไม่สามารถควบคุมไวรัสของมนุษย์ได้เราต้องสูญเสียแรงงานเราไปอีกเรื่อยๆ"

"ไวรัสของมนุษย์! ใครเป็นคนปล่อย มนุษย์สูญพันธ์ไปจากโลกนี้นานแล้ว แสดงว่าไวรัสยังฝังอยู่ในระบบเมนเฟรมหลัก"

"ใช่... ไม่อยากจะคิดเลยถ้าทั้งแกกับชั้นติดไวรัสบ้างจะเป็นอย่างไร?"

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ใครก็ได้ช่วยทำเรื่องอัพเกรดพวกหุ่นยนต์ลาดตระเวนหน่อย ส่งไอ่พวกนั้นออกไปล่าสัตว์ยังไม่ได้เลย"




วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนแปลกในคืนเปลี่ยว






ผมรีบจับแท๊กซี่ยังไปโรงแรมเดอะฮุคเพื่อไปยังไนท์คลับเล็กๆชั้นใต้ถุนโรงแรม ไนท์คลับมีนักดนตรีเพลงแจ๊ซขับร้องพร้อมเปียโนบรรเลง ฝนตกช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานไปสองชั่วโมงทำให้ท้องถนนในเมืองกรุงติดถนัดคล้ายกับรถทุกคันพร้อมใจกันจอดรถไว้นิ่งๆ แต่ยังพอมีเวลาผมเผื่อไว้แล้ว ผมนัดเจอกับเธอทุกๆวันศุกร์ ส่วนสถานที่แล้วแต่เธอจะกำหนด


ผมยังจำได้ในคืนวันแรกที่เจอเธอโดยบังเอิญที่บาร์แห่งหนึ่ง เธอนั่งเพียงคนเดียวหน้าบาร์ ในคืนนั้นผมแอบนั่งมองเธออยู่นานแสนนานจากโต๊ะข้างหลังก่อนที่จะย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเธอ สายตาของเราเหมือนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน เราทั้งคู่ไม่พูดอะไรแม้แต่จะเอ่ยถามชื่อ เราสองคนดื่มจนเมามาย สุดท้ายของคืนนั้นจบลงที่คอนโดของผม เราร่วมรักกัน


ในตอนเช้าของทุกวันเสาร์ เธอแต่งตัวด้วยชุดเดิมออกไปจากคอนโดก่อนที่ผมจะตื่นพร้อมทิ้งโน๊ตสั้นๆบอกถึงสถานที่นัดหมายในศุกร์ถัดไป ผมและเธอมีอะไรที่เหมือนกันคือ ผมมีภรรยาแล้ว และเธอก็มีสามีแล้ว สาเหตุที่ทำให้เราทั้งสองได้มาเจอกันอาจะเป็นเพราะเราทั้งสองอาจต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆเพื่อเจอคนใหม่ๆ สำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย


แสงไฟสาดส่องใบหน้าอันเรียว คิ้วที่วาดเป็นวงโค้งรับกับดวงตากลมโต จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ผมหยิกยาวเข้ากับรูปหน้า ผิวเธอสองสีเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟทำให้ดูโดดเด่น เธออายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่รักษาหุ่นได้ดีเหมือนนางแบบมืออาชีพ ต่างกับผมที่แม้หน้าตาผมยังคมหล่อเหลาในวัยอายุเข้าเลขสี่ แต่หุ่นที่ไม่เคยได้รับการดูแลมานานมากทำให้หน้าท้องเริ่มย้อย แขนขาหน้าอกไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หากอยู่ในชุดทำงานหรือชุดสูทก็ยังพอปกปิดได้บ้าง ผมจึงเลือกที่จะใส่สูทเวลานัดพบเจอเธอทุกครั้ง


"คืนนี้เราเจอกันครั้งที่ 7 แล้วนะครับ ทุกครั้งที่เจอกันก็แค่คืนวันศุกร์ เป็นไปได้มั้ยที่เราจะนัดเจอกันวันอื่น เวลาอื่น เพื่อไปยังสถานที่อื่นๆบ้าง" ผมพูดนำ้เสียงออดอ้อนเหมือนวัยเด็กที่อ้อนร้องขอของเล่น


"จะดีเหรอคะ การมาเจอกันในสถานที่ลับตาผู้คนแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมากกว่า" หญิงสาวไม่รับข้อเสนอโดย


ง่าย ผมไม่ยอมแพ้


"ผมอยากมีเวลาอยู่กับคุณให้มากกว่านี้ เราควรทำกิจกรรมอื่นร่วมกันบ้างเพื่อให้ทั้งคุณและผมได้รู้จักกันมากกว่านี้" ผมพูดพร้อมจ้องมองดูที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ รอยจางบ่งบอกถึงว่าเธอเคยสวนแหวนที่นิ้วแม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเคยมีแหวนสวมอยู่



"ฉันมีความสุขแล้วค่ะกับสถานที่แบบนี้ เวลาแบบนี้" เธอปฏิเสธผมอย่างนุ่มนวลพร้อมซบหัวมาที่ไหล่ข้างซ้ายของผมบนโซฟาสำหรับนั่งสองคน ผมไม่พูดอะไรต่อได้แต่หันไปจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ ค่ำคืนนั้นเรากับไปต่อที่คอนโดของผม เราดื่มเหล้าและนอนด้วยกันบนเตียง


ผมแต่งงานกับชลดามา 7 ปีแล้ว ว่ากันว่าคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันเกิน 7 ปี มีแนวโน้มอย่างมากที่อยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง หากชลดาไม่จากผมไปเมื่อ 3 ปีก่อน ผมคงไม่ต้องทนเหงาอยู่แบบนี้


"ชลดา คุณไม่อยู่บ้านเหรอตอนนี้ แล้วจะกลับบ้านกี่โมงกัน" ผมโทรหาเธอเมื่อกลับถึงบ้านแต่ไม่เจอใคร


"นี่คุณไม่สังเกตุเหรอว่าชั้นออกจากบ้านหลังนั้นมาเป็นเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งจะโทรมา ตลอดเวลาหนึ่งเดือนมานี่คุณได้กลับบ้านบ้างมั้ย" ชลดาตอบ


"ผมก็กลับบ้านทุกวัน แต่อาจจะดึกไปบ้าง คุณก็รู้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบผมเยอะแค่ไหน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องเตรียมสร้างอนาคตให้ครอบครัวเรา ผมทำทุกอย่างก็เพื่อคุณนะ บางวันผมไม่เห็นคุณก็นึกว่าออกไปเที่ยวหาเพื่อนบ้างหรือออกไปข้างนอก" ผมตัดพ้อที่เธอเหมือนจะจากผมไป


"หายไปวันสองวันยังพอว่า แต่คุณเห็นชั้นหายไปเป็นเดือนเพิ่งจะโทรหา งานคงสำคัญกับคุณมากกว่าชั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไปแต่งกับงานเลยแล้วกัน ตอนนี้ชั้นออกมาอยู่กับพ่อแม่ มีความสุขดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ลาก่อนที่รัก" ชลดากดสายโทรศัพท์ผมทิ้ง



ตลอดเวลา 3 ปีที่ไม่มีชลดา ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรกับชีวิตดีนอกงานทำงาน งานแล้วก็งาน ชีวิตผมเริ่มกลับมาชุ่มชื้นเหมือนสมัยเมื่อยังเป็นวัยรุ่นอีกครั้งเมื่อพบเธอใน 7 สัปดาห์ก่อน


"นี่เป็นนัดครั้งที่ 8 แล้วนะครับ" นัดครั้งนี้สถานที่เปลี่ยนเธคกึ่งผับแห่งหนึ่ง เหมือนเดิมผมสวมชุดสูทมาพบเธอ เรานั่งกันที่โซฟา เสียงดังจากดนตรีทำให้เวลาจะพูดคุยกันแต่ละทีต้องคุยกันข้างหู จึงเป็นทีที่ผมนั่งสวมกอดเธอไว้เพื่อสะดวกเวลาที่จะพูดคุยกันเพียงแค่แนบหน้าไปยังข้างหูของอีกฝ่าย บรรยากาศที่แสงน้อยและเรานั่งอยู่ในมุมที่ไม่มีคนเดินผ่าน จึงไม่เคอะเขินที่ผมจะจูบที่ริมฝีปากเธออย่างดูดดื่มเป็นครั้งคราว ผมเริ่มพูดเมื่อจูบแรกผ่านไป


"ค่ะ ทั้ง 8 ครั้งชั้นมีความสุขทุกครั้งเลยค่ะ คุณล่ะคะ" ด้วยนำ้เสียงอ่อนหวานทำให้ผมหลงเสน่ห์เธอมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอมีความสุข


"แน่นอนครับ ผมมีความสุขอย่างแน่นอน เป็นไปได้มั้ยที่วันพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันตอนกลางวัน ผมอยากไปกินข้าวเช้ากับคุณ อยากพากคุณไปเดินช๊อปปิ้ง กินอาหารกลางวันในร้านสวยๆอาหารดีๆ ไปดูหนัง ดินเนอร์ด้วยร้านอาหารที่เปิดเพลงเบาๆ และผมอยากพาคุณไปนอนดูดาวที่ทะเลใกล้ๆ" ผมพยายามพูดให้ดูน่าสนใจเผื่ออีกฝ่ายจะรับข้อเสนอ


"ฟังดูน่าสนใจค่ะ แล้วชั้นจะให้คำตอบอีกทีนะคะ สำหรับตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ชั้นยังไม่อยากคิดเรื่องของวันพรุ่งนี้" เธอใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดที่ตัวผมแรงขึ้น ใบหน้าซุกไซร้ที่แผ่นอกของผมแนบแน่น ผมชำเลืองมองหน้าเธอที่หลับตาพริ้มเหมือนลูกแมวน้อยที่นอนซุกไซร้หาไออุ่นจากแม่แมว มุมปากเธอมีรอยยิ้มแฝง


เหล้าหมดไปครึ่งขวดแล้ว เวลาเริ่มดึก ฟลอร์เต้นรำคนเริ่มพลุกพล่าน เธอลุกขึ้นโดยพลันฉุดมือผมลุกขึ้นไปยังฟลอร์เต้น ผมยื้อยุดเล็กน้อยเพราะผมเริ่มประหม่าที่จะออกไปเต้นท่ามกลางผู้คน แรงดึงจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัดสินใจปล่อยตัวไปตามแรงฉุด และแรงดึงดูดจากตัวเธอ แต่ไม่ลืมที่จะถอดเสื้อนอกออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตผูกไทด์


คู่หนุ่มสาวยืนโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลงที่เร็วและสนุก ผมเริ่มต้นด้วยการยืนต่อหน้าเธอ จ้องไปที่หน้าเธอ ผมเริ่มเมาแล้วพร้อมที่จะทำอะไรบ้าๆอย่างที่คนวัยอย่างผมน้อยคนนักจะกล้าทำกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ออกมาเต้นรำกลางฟลอร์ดิสโก้เธคผ่านมากี่ปีแล้ว มือเท้าผมแข็งไปหมดโชคดีที่เธอเต้นนำ ผมตาม ด้วยจังหวะดนตรีที่เร้าใจปนผลจากแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไป ผมเต้นสนุกสุดเหวี่ยง ปล่อยกายใจไปตามอารมณ์ สิบกว่าปีที่ผ่านมานี่ผมมัวไปทำอะไรอยู่ บนโลกเรานี้มีอะไรให้ค้นหาให้สนุกอีกมากมาย


เราสองคนกลับมานั่งที่โต๊ะ กับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายอย่างผมพอได้ออกแรงนิดหน่อยก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจที่หัวใจเต้นแรงเพราะได้ออกไปเต้นหรือหัวใจเต้นแรงเพราะอยู่ใกล้ๆเธอกันแน่ เหงื่อของผมเปียกออกมาเต็มตัว เหงื่อเธอมีเล็กน้อย กลิ่นกายของแต่ละคนดึงดูดฝ่ายตรงข้ามให้เข้าหากัน


เธคใกล้ปิดแล้ว เวลาตอนนี้ยังแค่เที่ยงคืน ผมไปดื่มเหล้ากับเธอต่อที่ร้านอาหารเล็กๆใกล้คอนโดของผม เป็นร้านธรรมดาไม่มีเพลงเปิด บรรยากาศในร้านคนคึกคัก ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทั่วไป ผมไม่ได้มาสถานที่แบบนี้นานมากแล้ว


"คุณเคยมาสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอคะ ถ้ารู้ว่าคุณชอบแบบนี้ต่อไปชั้นจะได้นัดคุณมาร้านแบบนี้ดีกว่า" ผู้หญิงที่ผมหลงเสน่ห์เอ่ยถาม


"ผมไม่ได้มาเที่ยวที่แบบนี้นานแล้วครับ เมื่อได้กลับผมรู้สึกว่าที่นี่กับร้านแพงๆมันไม่ได้มีอะไรที่ต่างกันเลย จะต่างก็ต่างกันที่ราคา ไม่ว่าจะนั่งร้านแบบไหนความสุขที่ได้นั่งดื่มกินมันขึ้นอยู่กับว่าเรานั่งกับใครมากกว่าครับ ถ้าผมได้นั่งกินข้าวกับคุณทุกคืน ต่อให้เป็นนั่งกินที่บ้านผมก็ว่ามีความหมายกว่าสถานที่แพงๆเป็นไหนๆ" ผมบรรยายความรู้สึกที่ออกมาจากใจ


"แหม! ทำเป็นพูดดีไป" หญิงสาวเขินอาย


"คำขอวันพรุ่งนี้ว่ายังไงครับ ผมรอคำตอบอยู่" ผมถาม


"มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่ะ " เธอตอบ


"ครับ" ผมรับคำ พร้อมยกแก้วเหล้า เหล้าไทยราคาถูกผมยกดื่มอย่างลื่นคอ คืนนี้จบลงที่เดิม แต่เช้าวันใหม่ผมตื่นมาพร้อมเธอ ผมตื่่นเร็วกว่าปกติในวันหยุด พาเธอไปกินอาหารเช้าในตลาดโต้รุ่งใกล้ที่พัก


"ปกติคุณมากินอาหารแบบนี้บ่อยมั้ยคะ" เธอถาม


"ไม่ครับ ผมไม่เคยมายังตลาดที่นี่ตอนเช้าเลย ไม่รู้จริงๆว่ามีของขายในสถานที่แบบนี้ด้วย ปกติผมตื่นเช้าก็ตรงไปทำงานเลย ถ้าเป็นวันหยุดผมจะนอนจนถึงบ่ายๆและตื่นไปห้าง" ผมตอบตามความจริง


"แต่ต่อไปผมคงตื่นเช้าขึ้นเพื่อมาหาอะไรกินที่ตลาด" ผมตอบอีกครั้ง


"ดีค่ะ เป็นเรื่องที่ดี" เธอตอบ


เมื่อกินเข้าเสร็จเราเดิน


"สร้อยพร้อมจี้เส้นนี้เหมาะกับคุณ ผมซื้อให้คุณแทนคำขอบคุณของผมที่คุณยอมออกมาเดินเที่ยวห้างกับผมในครั้งนี้" ผมหยิบสร้อยในตู้โชว์ของร้านก่อนจะปลดตะขอและสวมไว้ที่คอของเธอ


"ขอบคุณมากค่ะ คุณช่างตาแหลมจริงๆ เลือกสร้อยที่สวยที่สุดในร้านออกมาได้" เธอตอบ


"เดี๋ยวเราขึ้นไปเลือกดูโปรแกรมหนังกันเถอะ อาทิตย์นี้มีหนังเข้าโรงใหม่ๆหลายเรื่องเหมือนกันนะ" ผมชวนเธอ


"กว่าจะถึงเวลาที่หนังฉายยังอีกนาน เราไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนดีกว่าครับ" ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่ว และตอนนี้เที่ยงตรงพอดีผมเลยชวนเธอไปทานข้าว


"หนังสนุกมากเลยค่ะ เสียดายที่ตอนท้ายทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" หลังดูหนังจบเราทั้งคู่คุยถึงภาพยนตร์ที่เราเพิ่งดูกันมา


"ผมว่าเค้าผูกเรื่องได้ดีนะ สร้างได้สมจริงดี ทุกอย่างบนโลกนี้มันไม่ได้สวยหรูเหมือนที่เราอยากจะให้เป็น" ผมพยายามพูดให้ดูเท่ๆเข้าไว้


"ผมขออนุญาติพาคุณไปทะเลนะครับ เราจะไปดินเนอร์กันที่ริมชายหาด และเราจะนอนดูดาวด้วยกัน" ผมชวนเธอไปทะเลใกล้ๆ ผมขับรถออกจากเมืองตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมง กว่าจะไปถึงทะเลก็หัวค่ำพอดี


โชคดีที่วันนี้การจราจรค่อนข้างจะคล่องตัว ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วไม่มากนัก ระหว่างทางเราพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและวางแผนการของคืนนี้ไว้แล้ว


เราตะเวนหาที่พักที่มีบรรยากาศตามที่เราต้องการ ในที่สุดก็เจอบังกะโลที่พัก ค่าห้องที่นี่ไม่แพง ที่นี่แลดูเป็นธรรมชาติมาก ผมและเธอตกลงว่าจะพักค้างคืนกันที่นี่


หลังจากเก็บของ และอาบน้ำเสร็จ ผมแต่งตัวเพื่อจะออกไปหาร้านอาหาร แต่วันนี้ผมเลือกที่จะใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เธอเช่นกันที่แต่งตัวสบายๆโดยสวมชุดเดรสยาวสีส้มลูกกวาด รวบผมด้วยผ้าคาดผมสีเดียวกันกับชุด สวมกำไรลูกปัดสลับสี และสร้อยพร้อมจี้ที่ผมซื้อให้เธอ


เราสั่งอาหารทะเล เครื่องดื่มวันนี้ผมเลือกเป็นไวน์ขาว พอสั่งอาหารและเครื่องดื่มเสร็จ ผมมองไปที่บนเวที นักดนตรีร้องพร้อมเกากีตาร์เพลง Have I Told You Lately เมื่อจะเริ่มตั้งใจฟัง บทเพลงก็มาถึงเนื้อร้องท่อน


You fill my life with laughter


And somehow you make it better


Ease my troubles that's what you do


There's a love that's divine ......


ผมกุมมือเธอแน่นและตั้งใจฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์


"พรุ่งนี้เป็นอาทิตย์ คุณคิดว่าเราควรจะพักผ่อนต่อที่นี่อีกวันดีมั้ย พรุ่งนี้เราจะได้เล่นน้ำกัน หรืออาจจะหาเช่าสกูตเตอร์มาขี่ ตอนเย็นถ้ายังไม่อยากกลับก็นอนต่อที่นี่อีกหนึ่งคืน คุณคิดว่ายังไงครับ" ผมถามเพราะอยากต่อเวลาอยู่กับเธอให้มากขึ้น


"วันจันทร์คุณไม่ต้องรีบไปทำงานเหรอคะ ถ้าไม่ไปทำงานบริษัทไม่ว่าอะไรคุณเหรอ" เธอถาม


"ผมไม่แคร์ ผมคิดว่ากำลังจะลาออกจากบริษัทบ้าๆนั่นอยู่พอดี" ผมตอบตามความเป็นจริง


"ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรกับที่ทำงานหรือเปล่า" เธอถาม


"ผมคิดว่าอยากให้เวลากับตัวเองและคนรอบข้างให้มากกว่านี้ครับ งานของผมถึงแม้จะได้เงินเยอะ เงินเดือนที่ได้ก็คุ้มค่ากับแรงงานที่เราทำบางทีก็เกินคุ้มซะอีก แต่ผมอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่านี้ อยากลองไปทำอะไรใหม่ๆ เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ อยากอยู่กับคนที่ผมรักตลอดเวลา" ผมอธิบายแรงปรารถนาให้เธอฟัง


"โรแมนติกจัง" รอยยิ้มของเธอทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่มอง


เราทานอาหารเสร็จ ไวน์หมดไปหนึ่งขวด จากนั้นเรากลับไปยังบังกะโลที่พักของเรา สาเหตุที่เราเลือกพักที่นี่เพราะบังกะโลอยู่ติดชายหาด และยังมีเตียงนอนด้านนอกของห้องให้เราสามารถนอนฟังเสียงคลื่นที่ชายหาดพร้อมมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าได้ด้วย


เรานอนกันคนละเตียงแต่ผมก็เอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ นอนโดยไม่พูดอะไรตาจ้องมองที่ดวงดาวบนฟ้า หูรับฟังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง ใจเราล่องลอยเหมือนกับทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน


"คุณครับผมมีเรื่องนึงที่อยากจะบอก" ผมทำลายความเงียบด้วยการชงคำถาม


"เชิญค่ะ" เธอรับฟัง


"หากคุณไม่รังเกียจ กรุณาแต่งงานกับผมได้มั้ยครับ" ผมพูดขณะที่ตายังจ้องบนท้องฟ้า สักพักผมหันหน้าไปมองหน้าเธอก่อนจะพูดอีกครั้งว่า


"ไม่สิ ช่วยแต่งงานกับผมอีกรอบได้มั้ยครับ ชลดา" ผมถามอย่างเปิดเผย


"ตกลงค่ะคุณเมธาวี" เธอตอบ


------------------------------------------------------


วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นิพพานที่ต่างกัน





ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง กระแสสังคมสมัยใหม่พัดไหลเชี่ยวทะลายกำแพงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน หนังละคร เพลงสมัยนิยมหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การควบคุม เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมีการแสดงที่เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเข้ามาเสริมในงานวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี



"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น



"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้

_________________

หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก



โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน



"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"



หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง

เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที



"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"



"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"



"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"



เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ



"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"



ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ



"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"



"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"



หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า



"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."



เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ



"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"



เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว



"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง



"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"



ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง



"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"



เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม



"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"



ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า



"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"



แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน



______________________





เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้



อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว



บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน



เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า



ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน



"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"



เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย



"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"



อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก



"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"



เจ้าอาวาสเอ่ยถาม



"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้นหนทางแห่งนิพพานเลย สู้ออกมาเป็นฆราวาสยังพอจะหลบหลีกหนีหาหนทางสงบได้ง่ายกว่า"







อดีตเจ้าอาวาสอธิบาย



"สิ่งที่โยมพูดก็มีเหตุผล ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็เป็นได้แค่เพียงยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ พอเริ่มไม่สบายนิดหน่อยก็หายาพวกนี้มากินเม็ดสองเม็ดเพื่อให้อาการบรรเทาลง เจ็บป่วยอีกก็กินยาอีกโดยไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอย่างแท้จริง เหมือนกับที่ไม่ยอมฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้อาตมาเองก็คงไม่คาดหวังที่จะให้คนทุกคนที่มาวัดนั้นได้ซึมซับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงหรอก คงจะมีแค่บางส่วนที่สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้บ้าง ส่วนที่เหลืออาตมาก็คิดว่าคงเป็นได้แค่ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็พอแล้ว"



เจ้าอาวาสเสริม



"มันก็คงเหมือนกับแนวคิดบัวสี่เหล่า เราคงไม่สามารเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลวงพ่อจำตอนที่องค์ชายมีคนรักเป็นหญิงสาวชาวป่าได้หรือไม่ครับท่าน"



อดีตเจ้าอาวาสถามเจ้าอาวาส



"อืมมม! องค์ชายและหญิงสาวชาวป่าคงจะเป็นคู่ที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน จึงทำให้ทั้งสองเป็นคู่แท้ซึ่งกันและกัน แม้แต่ยศถาบันดาศักดิ์ที่ต่างกันก็ไม่สามารกีดขวางความรักของทั้งคู่ได้ เอ๊ะ! ถามแบบนี้หรือว่าโยมกำลังคิดจะแต่งงาน"



เจ้าอาวาสถามกลับ



"ใช่แล้วหลวงพ่อ แต่ผมอายุปูนนี้แล้วคงจะไม่จัดงานพิธีอะไรให้วุ่นวายหรอกครับท่าน"



"อืมมม! อาตมาเข้าใจแล้ว คนแต่ละคนก็มีวิถีที่ต่างกัน แม้จุดมุ่งหมายจะเหมือนกัน นิพพานที่ต่างกัน"





อดีตเจาอาวาสกราบลาเจ้าอาวาสก่อนที่จะเดินออกจากโบสถ์ไป

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำหนักกุ้งที่หายไป



สุชาติเดินเลือกไซส์กุ้งสดจากฟาร์มกุ้งเจ้าประจำ ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับการดูกุ้งในถังน้ำแข็งเฮียง้อเจ้าของฟาร์มเดินเข้ามาทักอย่างสนิทสนม

"วันนี้อยากได้กุ้งไซส์ไหนดีคุณสุชาติ" เฮียถามอย่างเป็นกันเอง

"อ่อเฮีย ผมอยากได้กุ้งไซส์ใหญ่เพื่อเอาไปทำฉู่ฉี่ให้เพื่อนๆผมน่ะครับ พอดีเพื่อนมาเที่ยวบ้านเลยว่าจะเอาไปเยอะหน่อย" สุชาติโกหกเฮียว่าจะเอากุ้งไปทำอาหารแต่ความจริงเค้าจะเอากุ้งไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ที่บ้าน

ความจริงแล้วสุชาติเป็นคนที่ชอบกินกุ้งเป็นชีวิตจิตใจ เค้าชอบมาซื้อกุ้งจากฟาร์มแห่งนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์สุชาติจะต้องกินกุ้งอย่างน้อยหนึ่งมื้อ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้สุชาติต้องเลิกกินกุ้งไปตลอดชีวิตเพราะว่า เมื่อเดือนที่แล้วเค้าตัดสินใจไปหาหมอเพราะว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนสุชาติเริ่มมีอาการมือชาเท้าชา อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร และท้องผูก หมอบอกกับสุชาติว่าเลือดของเค้าปนเปื้อนไปด้วยสารตะกั่วจำนวนมาก ทำให้สุชาติเป็นโรคพิษตะกั่วขั้นเรื้อรั้ง เมื่อหมอซักประวัติชีวิตประจำวันอาหารการกิน สุชาติบอกว่าเค้าชอบกินกุ้งมากหมอจึงสงสัยว่ากุ้งอาจมีสารตะกั่วเจือปน หลังจากนั้นสุชาติกลับไปตรวจสอบกุ้งที่ซื้อมาจากฟาร์มของเฮียง้อ ปรากฏว่าในกุ้งแต่ละตัวจะมีเม็ดตะกั่วขนาดเท่ากรวดเม็ดทรายจำนวน 4-5 เม็ดฝังอยู่ในหัวกุ้ง หลังจากนั้นสุชาติก็เลิกกินกุ้งตลอดชีวิตแม้จะเป็นกุ้งจากฟาร์มอื่น

"คุณสุชาติเป็นลูกค้าคนสำคัญของฟาร์มเรา ถ้าขาดคุณสุชาติไปนี่ฟาร์มเราต้องแย่ๆแน่ๆเลย 55555" เฮียพูดหยอกสุชาติอย่างสนิทสนม

"เฮียก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่ลูกค้ารายย่อยมาซื้อทีละโลสองโล เทียบอะไรได้กับร้านอาหารใหญ่ๆหลายร้านที่มาซื้อกุ้งของเฮียไปทำอาหารให้คนกิน" สุชาติพูดโต้ตอบเฮียง้อแบบไม่สบตาเฮีย

"แต่คุณสุชาติเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้อกุ้งเองจากฟาร์มมานานจนตอนนี้ผมคิดว่าคุณสุชาติเป็นเพื่อนผมไปแล้วนะครับเนี่ย" เฮียง้อตามคุยกับสุชาติอย่างสนิทสนม

"ผมต้องขอบคุณเฮียมาก ที่หลายเดือนมานี่เฮียชอบแถมกุ้งให้ผมตลอดเลย ซื้อแค่โลเดียวแต่แถมมาให้อีกโล" สุชาติพูดเหมือนขอบคุณเฮียที่ช่วยแถมตะกั่วในกระแสเลือดให้เค้าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

"เอาน่าๆ เล็กน้อยๆ ถือซะว่าเราเป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เฮียพูดต่อ

สุชาติคิดในใจ "กัลยาณมิตรเรอะ" สุชาติเลือกกุ้งเสร็จ นำกุ้งไปชั่งกิโลและจ่ายเงิน เฮียง้อแถมกุ้งให้สุชาติเพิ่ม

เมื่อกลับถึงบ้านสุชาตินำกุ้งทั้งหมดวางบนโต๊ะ ค่อยๆแกะหัวกุ้งทีละตัวเพื่อใช้ครีมปลายแหลมความหาก้อนเม็ดตะกั่ว เมื่อพบแล้วก็ครีบเม็ดตะกั่วเก็บไว้ในขวดโหลแก้ว สุชาติแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งจนครบทุกตัวจึงปิดฝาขวดโหลเก็บไว้ ซากเปลือกกุ้งและเนื้อกุ้งที่เหลือเค้ารวบรวมและนำไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน

อาทิตย์ต่อมาสุชาติก็กลับมาเลือกซื้อกุ้ง วันนี้สุชาติขอเฮียเดินดูรอบๆฟาร์มกุ้ง เฮียง้อใจดีพาสุชาติเดินชมรอบฟาร์ม ฟาร์มของเฮียง้อเป็นฟาร์มกุ้งขนาดกลาง เลี้ยงกุ้งทั้งหมด 4 บ่อ เป็นบ่อที่ปูขอบบ่อด้วยผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ และบ่อที่ไม่ปูผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ มีห้องที่ทำเป็นโรงเก็บกุ้งท้ายบ่อ

"เฮียเริ่มต้นธุรกิจนี้ได้ยังไง เริ่มมาจากไหนเหรอ" ผมถามเฮียถึงเรื่องราวในอดีต

"เฮ่ออออ" เฮียง้อถอนหายใจก่อนจะตอบคำถาม "พ่อแม่ผมเริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ตอนผมยังเล็กๆแล้ว จากเมื่อก่อนก็ยังเป็นสระเล็กๆไม่ได้มาตรฐานอะไรมาก กำรี้กำไรแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ได้เงินมาก็พอจ่ายค่าลูกน้อง สมัยก่อนในจังหวัดเราฟาร์มกุ้งมันเยอะ ราคาก็แข่งกันจนจะขาดทุนกันหมดแล้ว ตอนผมอายุได้ 15 ปี พ่อท่านก็มาตายเพราะทำงานหนัก จากนั้นอีก 3 ปีแม่ก็มาตายตามกันไป" เฮียง้อพูดถึงความยากลำบากในสมัยเด็กให้สุชาติฟัง เหมือนได้ระบายอะไรออกมา

"แล้วใครเป็นคนดูแลฟาร์มกุ้งต่อล่ะ" สุชาติถามต่อเพราะรู้ว่าเฮียแกอยากเล่า

"ตอนที่แม่เสียผมก็ดูแลต่อเลย เพราะงานทุกอย่างในฟาร์มผมรู้หมดแล้ว แต่ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ว่าหนี้สินของฟาร์มเยอะมาก เยอะจนท้อไปเลย แต่ก็ไม่อยากขายฟาร์มนะเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน" เฮียตอบคำถาม

"แล้วเฮียทำยังไงต่อ" สุชาติถาม

"ผมก็ไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมสิ เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตนิดหน่อยก็ทำให้มีรายได้ต่อเดือนมากขึ้นจนสามารถที่จะไปกู้แบงค์ไปเงินก้อนมาจำนวนหนึ่ง จึงปรับปรุงฟาร์มให้มีมาตรฐานดีขึ้น พอฟาร์มใหญ่กำลังผลิตเยอะก็แข่งราคากับฟาร์มเล็กๆจนฟาร์มเล็กๆต้องปิดฟาร์มไปเลย ผมจึงลืมตาอ้าปากได้ถึงทุกวันนี้ไง" เฮียง้อพูดอย่างภูมิใจ

เฮียง้อพาสุชาติเดินรอบบ่อจนถึงท้ายบ่อผ่านห้องที่ทำเป็นโรงคัดไซส์กุ้ง สุชาติทำทีจะขอเข้าไปดู

"เฮีย ผมขอเข้าไปดูในโรงงานนั่นหน่อยได้มั้ย อยากไปดูกรรมวิธีแยกไซส์กุ้งว่าเค้าทำยังไงกัน" สุชาติถามเฮียง้อด้วยสายตากึ่งอยากรู้อยากเห็น

"เอาะอ่อ! ค่ะๆคือว่าตอนนี้ที่โรงแยกกุ้งคนงานเพิ่งจะเอากุ้งขึ้นมาจากสระ ข้างในอาจจะวุ่นวายกัน เข้าไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก ไว้คราวหน้าละกันเนาะ เดี๋ยวจะให้เข้าไปดู" เฮียพูดกันท่าสุชาติที่จะขอเข้าไปดูในโรงงาน

"ไม่เป็นไรเฮีย ไว้คราวหน้าก็ได้" สุชาติพูดเหมือนกับจะไม่สนใจที่ถูกปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่ให้เข้าไปดูแน่

วันนี้สุชาติหิ้วกุ้งกลับบ้าน 3 กิโล แน่นอนว่าบางส่วนเป็นของแถมจากเฮียง้อ สุชาติทำตามขั้นตอนเดิมคือแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งทุกตัว และเก็บมันใส่ขวดโหลแก้วอย่างดีมีฝาปิดมิดชิด และนำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้านเหมือนเดิม

อาทิตย์ต่อมาสุชาติโทรไปถามเฮียง้อว่าวันนี้เฮียจะอยู่ที่ฟาร์มกี่โมง เฮียบอกว่าจะอยู่ช่วงบ่ายๆ ดังนั้นสุชาติจึงเข้าไปที่ฟาร์มช่วงสายๆประมาณ 10 โมง โดยทำทีไปขอเลือกดูกุ้งเหมือนปกติ และเมื่อคนงานอื่นๆเผลอสุชาติก็ทำเป็นเดินลงไปดูบ่อกุ้ง เดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงงานท้ายบ่อ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ในนั่นจึงแอบเข้าไปในโรงงาน

เป็นตามที่สุชาติคิด เค้าเห็นถังพลาสติกใบใหญ่สีดำ ข้างในบรรจุเม็ดตะกั่วเม็ดเล็กๆประมาณเท่าเม็ดทรายเม็ดใหญ่ สุชาติแอบถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายเอาไว้ เมื่อสุชาติมั่นใจว่าที่ฟาร์มนี้นี่เองที่แอบยัดตะกั่วลงในกุ้งก็รีบเดินออกมาจากโรงงานอย่างทันทีโดยระวังไม่ให้ใครเห็น เมื่อออกมาสุชาติก็ทำทีเป็นเดินดูนู่นดูนี่จนเวลาผ่านไปไม่นานเฮียง้อก็กลับมา

"สวัสดีคุณสุชาติ ขอโทษทีที่ปล่อยให้รอนาน พอดีตอนเช้าไปคุยกับร้านอาหารที่มาเปิดใหม่ ไปสู้ราคากับเจ้าอื่นๆมา สรุปเป็นผมที่สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น" เฮียง้อทักทายสุชาติอย่างอารมณ์ดี

"ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมก็เพิ่งมาก่อนหน้าเฮียไม่นานหรอก พอดีที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงน่ะ ผมเลยจะมาเอากุ้งไซส์ใหญ่ซัก 10 โลไปเลย แต่งวดนี้เฮียไม่ต้องแถมให้ผมนะ เพราะบริษัทให้งบมาแล้ว" สุชาติพูดกับเฮียด้วยสีหน้าเก็บอาการจากสิ่งที่เค้าเจอมาเมื่อซักครู่นี้ "อ่อ แล้ววันนี้ผมขอบิลเงินสดด้วยนะ พอดีต้องใช้ตั้งเบิกกับบริษัทด้วยน่ะเฮีย" สุชาติย้ำ

"ได้เลยๆ" เฮียรับปากสุชาติ

"นี่คือไซส์ที่ใหญ่และดีที่สุดของเราเลย รับประกันได้ว่าฟาร์มเราราคาดีที่สุดแล้วในจังหวัด คุ้มแน่นอน" เฮียง้อพูด

"ใช่แล้วเฮีย ผมถึงอุดหนุนฟาร์มนี้ไม่เคยเปลี่ยนไง" สุชาติตอบเฮียง้อ "เฮีย วันอาทิตย์หน้าเฮียมีธุระไปไหนมั้ย" สุชาติถามเฮียง้อ

"อาทิตย์หน้าไม่มีนะ ทำไมเหรอ" เฮียง้อถาม

"คือว่าอาทิตย์หน้าเฮียไปเที่ยวสวนของผมมั้ย เป็นสวนผลไม้ของผมเอง ได้มรดกมาจากพ่อ แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้น่ะว่าสวนนั้นมีผมเป็นเจ้าของ เฮียห้ามบอกใครนะแม้แต่ลูกน้องว่าไปดูสวนกับผม" สุชาติพูดย้ำกับเฮียโดยระวังไม่ให้ใครได้ยิน

"อ่อๆ ได้ๆไม่มีปัญหา เดี๋ยวไว้วันอาทิตย์หน้าค่อยโทรนัดกันออกไปเจอข้างนอกก็ได้" เฮียง้อพูด

"งั้นวันนี้ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องรีบเอากุ้งไปให้พ่อครัวที่บริษัทจ้างมา ไว้เจอกันเฮีย" สุชาติบอกลาเฮีย เฮียง้อตอบรับ

สุชาติขนกุ้งกลับไปทำตามขั้นตอนเดิมทุกประการแต่วันนี้มีปริมาณมากหน่อย สุชาติแยกตะกั่วออกจากตัวกุ้ง เก็บตะกั่วใส่ในขวดโหล นำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน สุชาติเอารูปตะกั่วในโรงงานที่ถ่ายมาเปิดดูเทียบกับตะกั่วในขวดโหล เมื่อมั่นใจลักษณะตะกั่วใกล้เคียงกัน สุชาติจึงได้นำขวดโหลที่ใส่เม็ดตะกั่วจำนวนมากพร้อมเอกสารจำนวนหนึ่งไปส่งยังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งมีการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อาทิตย์ถัดมาสุชาติโทรไปหาเฮียง้อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อนัดออกมาเจอกันแถวนอกเมืองในเวลาบ่ายโมง โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าอย่าบอกใครว่าออกมาเจอกับเค้า สุชาติไปแอบซุ่มรอเฮียง้อตั้งแต่เช้าแล้วโดยไปซ่อนตัวแถวใกล้จุดนัดพบ เมื่อถึงเวลานัดพบเฮียง้อขับรถเข้ามาเห็นสุชาติยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงถามสุชาติว่า

"อ้าว! แล้วคุณสุชาติมายังไงเนี่ย เอารถไปจอดไว้ที่ไหน" เฮียง้อถาม

"อ๋อ ผมเอารถจอดที่สวนไง แล้วก็เดินออกมารับเฮียตรงนี้ เพราะถ้านัดที่สวนเลยกลัวเฮียไปไม่ถูก" สุชาติตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมาดมั่น

"เฮีย ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ชวนเฮียมาดูสวนผมอย่างเดียวนะ" สุชาติพูด

"อ่อๆ แล้วมีอะไรอีกเหรอ ที่ชวนมาวันนี้" เฮียง้อถาม

"ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้เฮียสมนาคุณของแถมให้ผมตลอดเลย ผมรู้สึกเกรงใจเลยคิดว่าจะเอาของสิ่งนั้นมาคืนเฮียน่ะ" สุชาติพูดพร้อมจ้องตาเฮียง้ออย่างดุดัน

"อ่อๆ ถ้าคิดจะเอาเงินมาคืนให้เลิกคิดไปเลย ผมไม่เอาหรอก" เฮียง้อพูด

"ไม่ใช่เงินเฮีย แต่เป็นอันนี้" สุชาติหยิบเม็ดตะกั่ววางบนมือเฮียง้อหนึ่งเม็ด เฮียง้อก้มหน้าดูแต่ไม่ทันที่เฮียง้อจะดูเสร็จว่าเป็นเม็ดอะไรสุชาติพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

"นั่นยังไม่หมด ยังเหลืออีกเม็ดหนึ่ง" เมื่อพูดจบสุชาติเล็งปืนมาที่หัวเฮียง้อ เหนี่ยวไกปืน .38 ทะลุกลางหัวเฮียง้อ

เฮียง้อตายคาที่ จากนั้นสุชาติรีบหลบหนีตามเส้นทางที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ สุชาติต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้เค้ามีนัดเข้ารับการรักษาโรคพิษตะกั่วที่โรงพยาบาล สุชาติตั้งใจว่าก่อนที่จะเข้ารับการรักษาทางกายเค้าอยากชำระความแค้นทางใจออกไปก่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สุชาติส่งตะกั่วทั้งหมดที่เค้าเก็บไว้ในขวดโหลแก้วไปให้โรงหล่อโลหะ และเอกสารนั้นเป็นแบบหัวกระสุนของลูกปืน .38 เมื่อสุชาติได้หัวกระสุนที่มาจากตะกั่วในตัวกุ้ง จึงนำหัวกระสุนนี้ไปสลับกับหัวกระสุนที่ติดมากับลูกกระสุนเดิม



เมื่อสุชาติยิงเฮียง้อตาย เค้าพูดออกมาเสียงหนักแน่นว่า "ของสิ่งไหนที่มันไม่ใช่ของเรา ก็ให้คืนเจ้าของเค้าไป ตอนนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ"


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซุปเปอร์ไบค์ชวนเสียว



ผมนัดพบกับกลุ่มก๊วนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เวลา 6 โมงเช้า เส้นทางที่จะไปขี่รถคือถนนเส้นจากอำเภอแม่ริมไปยังอำเภอสะเมิง พี่ๆในกลุ่มประกอบด้วย พี่เหน่ง Kawasaki Z1000 พี่ตั้ม Suzuki GSXR1000 พี่อาร์ Honda CBR1000 พี่กิ่ม Yamaha R1ส่วนผมเด็กที่สุดในกลุ่ม ขี่ Ducati 1199 Panigale R


ยามเช้าหน้าหนาวในจังหวัดเชียงใหม่ และยิ่งถนนบนดอยที่มีป่าต้นไม้ล้อมรอบ สองข้างทางทำให้อากาศเหมาะต่อการถูกสูดเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ โค้งบนถนนเส้นนี้เป็นโค้งที่สวย เป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้ชาวต่างชาติก็ยังยกย่องถนนเส้นนี้ เป็นถนนเส้นที่เหมาะกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะทุกโค้งบนถนนจะรับโค้งกับการเข้าโค้ง เวลาเข้าโค้งนักบิดจึงไม่ต้องชะลอความเร็วมากนัก ผมวิ่งเส้นนี้นับร้อยครั้งจนจำองศาของโค้งได้หมดแล้วครับ


รวมถึงถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ฟาร์มงู ฟาร์มผีเสื้อ ฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนพฤกษศาสตร์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ ที่ถนนเส้นนี้จึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หากเป็นช่วงสายๆขึ้นไปก็อาจจะมีรถวิ่งกันพลุกพล่าน ผมจึงเลือกช่วงเวลาเช้าๆในขณะที่ยังไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่


เรานัดกินกาแฟในปั๊มน้ำมันกันก่อน พูดคุยวางแผนการเดินทางตั้งใจกันไว้ว่า พอลงจากดอยผ่านอุทยานหลวงราชพฤกษ์พืชสวนโลก จะแวะร้านข้าวต้มประจำ ที่เราต้องแวะไปกินทุกครั้งหากวิ่งมาเส้นนี้ จากนั้นแต่ละคนก็เติมน้ำมันกันเต็มถัง เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมกันหมดแล้วผมจึงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว ผมบิดคันเร่งเล็กน้อยเสียงเครื่องยนต์ 1000cc ดังกระหึ่ม ผมเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านแถบนั้น จึงเผลอรีบปล่อยครัชรถไหลออกจากปั๊มไป หันไปมองว่าพี่ๆออกตัวกันมาหรือยัง ปรากฏว่าพี่ตั้มเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำส่วนคนอื่นๆยังคงจอดรอพี่ตั้มกัน ผมขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปชะลอรถรอพวกพี่ๆทางแยกขึ้นดอย


ผมขับรถถึงแยกสัญญาณจราจรเลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นดอยไปยังอำเภอสะเมิงปรากฏว่า สัญญาณไฟเป็นสีเขียวผมจึงเลี้ยวซ้ายทันที การจราจรมีรถขับลงมาจากดอยบ้างประปราย เนื่องจากถนนเลนฝั่งผมโล่ง และยังเป็นทางตรงผมบิดคันเร่งๆความเร็วไปที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันใดนั้นรถเก๋งเลนฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร แต่ยังอยู่ห่างจากผมประมาณ 100 เมตร เมื่อสังเกตดีๆผมเห็นรถกระบะคันใหญ่สีเขียว บรรทุกสินค้าทางการเกษตรเต็มลำวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พยายามวิ่งแซงขวารถเก๋ง แล้วยังคร่อมเลนออกมาทับเลนที่ผมวิ่ง รถกระบะคงนึกไม่ถึงแน่ที่มอเตอร์ไซค์ จะมีความเร็วสูงขนาดนี้เมื่อแซงรถเก๋งมาได้ จึงรีบหักหลบเข้าเลนตัวเอง ฉิวเฉียดที่จะประสานงานกับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมหัวใจหวิวๆเพียงเล็กน้อยเพราะประสบการณ์เฉียดตายจากมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นผ่านมาเยอะแล้ว


"โครม.....ม!" เสียงรถชนประสานงานกันดังสะนั่นลั่นถนน ผมรีบสำรวจตัวเองด้วยความกังวลว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นของผมเอง และที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจะเป็นดวงวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากร่างกาย ผมชะลอรถยกมือซ้ายกำมือแบมือสลับยกมือขวากำมือแบมือ ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นลงๆ สะบัดหัวซ้ายขวาๆผงกหัวขึ้นลงๆ กรอกลูกตาซ้ายขวาบนล่าง กัดลิ้นตัวเองเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ร่างกายความรู้สึกผมก็ยังปกติดีทุกอย่างนี่ สงสัยเจ้ารถกระบะซ่านั่นจะแหกโค้งออกนอกถนนไปแล้วมั้ง น่าเห็นใจจัง ทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาวไปน่าจะประมาณอีก 500 เมตร ผมลดเกียร์ลงเป็นเกียร์ 2 บิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ล้อหน้ายกทะยานท้าความเร็วที่พุ่งขึ้นพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มท้องถนน เมื่อมั่นใจว่ายังรับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ครบถ้วน ผมค่อยๆลดคันเร่งลงด้วยความเกรงใจคนแถวนั้นเรื่องเสียงเครื่องยนต์ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เห็นใครเลยซักคนข้างถนน


ในทางโค้งผมเข้าโค้งได้อย่างหมดจดไม่มีบานไม่มีพับ ก่อนที่จะเข้าในโค้งผมเข้าโค้งแบบ Counter Steering ถ่ายน้ำหนักจากสะโพกไปทางโค้ง เมื่ออยู่ในโค้งผมแบนโค้งจนเซนเซอร์ที่ตำแหน่งหัวเข่าแตะพื้น และตอนออกจากโค้งผมบิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ในทางซิกแซกผมพลิกตัวซ้ายขวาไม่มีหลุด ความเร็วที่ใช้ในโค้งเป็นความเร็วสูงสุดที่สามารถจะใช้ได้ ผมแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ขี่รถได้ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน พริ้วอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางตรงผมบิดคันเร่งความเร็วแตะท็อปสปีด ก่อนจะเข้าโค้งผมแบนโค้งเข่าแตะพื้นอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์มา หรือเป็นวิญญาณล่องลอยมากันแน่ ถ้าผมยังไม่เป็นวิญญาณอาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา เลยทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีดขี่รถได้แบบไม่กลัวตาย


อากาศบนดอยสูงสดชื่นมาก ผมขี่รถในช่วงท้ายๆของเส้นทางแบบสบายๆ ค่อยๆผ่อนคลาย ผมเปิดชีลด์หมวกกันน็อคเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวลมที่ประทะกับใบหน้าเหมือนกับจะทำให้ผมเข้าสู่เข้าสู่ภวังค์ได้เลย ผมเริ่มเห็นผู้คนเดินทางไปมาบ้างแล้ว ทำให้อุ่นใจไปอีกระดับนึงว่าผมน่าจะยังอยู่ในภพภูมิเดียวกับมนุษย์ทั่วไป การจราจรเริ่มหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย


ในที่สุดผมก็ขี่มาถึงร้านข้าวต้มที่ประจำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักของพวกเรา ผมเอารถไปจอดที่จอดรถประจำ ซึ่งสามารถจอดได้ 5 คันพอดี จากนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับ 6 คน ผมเปิดเมนูเพื่อเลือกอาหารและแอบชำเลืองมองเด็กเสิร์ฟ เขาเดินผ่านผมไป พรางบ่นในใจว่าทำไมไม่เอาน้ำมาให้ซักที ผมหิวน้ำแล้ว ทันใดนั้นรถกลุ่มพี่ๆค่อยๆเข้ามาจอดรถในตำแหน่งประจำของแต่ละคน พี่ๆค่อยถอดหมวกถอดถุงมือแล้วค่อยๆทยอยเดินกันมา พี่ตั้มเดินมานั่งที่โต๊ะเป็นคนแรกแต่เหมือนกับจะมองไม่เห็นผม ผมตะโกนถามพี่ตั้ม "กินข้าวต้มอะไรดีครับพี่" พี่ตั้มเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร "พี่ตั้มๆ"


ในใจผมเริ่มวิตก นี่เราเป็นวิญญาณหรือไงนี่ ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่พี่ตั้ม "ฟ้าววววว" เสียงฝ่ามือวิ่งฝ่าอากาศ ผมรีบวิ่งไปยังกลุ่มพี่ๆที่เหลือ "ฟ้าววววว" ผมวิ่งทะลุร่างพี่เหน่ง "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพี่อาร์ "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพึ่กิ่ม วิ่งไปดูที่รถของพี่ๆลองไล่สัมผัสดูแต่มือไม่สามารถสัมผัสได้ ในหัวผมเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ตายแล้วจะไปไหน ใครจะมารับไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ารถกระบะคันนั้นมันแซงรถเก๋งไม่พ้นจึงชนกับรถของผม และเสียงรถชนกันที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอุบัติเหตุของผมเองแต่จิตใต้สำนึกของผมยังเชื่อมั่นไปเองว่ารถกระบะต้องแซงพ้นและหักหลบเข้าเลนตัวเองไปแล้ว อาจจะเหมือนหนังผีฝรั่ง ที่คนตายอย่างกะทันหันมักจะไม่รู้ตัวเองตาย จิตยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ จนกว่าจะมีเหตุการณ์ให้รู้ว่าตัวเองตายแล้ว จิตถึงจะหลุดพ้นไปยังสรวงสวรรค์หรือไปเกิดใหม่ได้


เสียงเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มตะโกนเสียงดังลั่นร้าน "เฮีย เกิดอุบัติเหตุบิ๊กไบค์เลยแยกทางขึ้นดอยแม่ริม ประสานงานกับกระบะขนกะหล่ำ กระบะพลิกคว่ำ 3 ตลบเลย ไอ้บิ๊กส่งข่าวมาเรียกให้ไปช่วยกู้ซากรถหน่อย" เสียงเด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ตะโกนบอกเฮียเจ้าของร้านที่กำลังปรุงหม้อข้าวต้ม เพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่กู้ภัยจากอุบัติเหตุเมื่อได้รับข้อความแจ้งจากเพื่อน






"ไหนๆ ดูซิ" เฮียเจ้าของร้านรีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปภาพพร้อมข้อความที่อาสาสมัครส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันดู


"ข้อความบอกว่ากระบะแซงขวารถเก๋ง บิ๊กไบค์วิ่งมาเร็วกระบะหักหลบไม่ทันประสานงานกันเต็มๆ" เด็กเสิร์ฟพูดให้เฮียฟังพร้อมเตรียมส่งข้อความตอบกลับ


ผมขนลุกไปทั้งตัวไม่เว้นขนจมูกและขนในรูหู รีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองไกลๆเห็นแล้วไอ้กระบะเวรนั่น ในที่สุดผมก็มั่นใจว่าผมได้ตายแล้วจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นแค่วิญญาณที่ล่องลอยไปตามอากาศ และยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ๆเคยไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็ไม่ตกใจอะไรไปมากกว่านี้ พยายามที่ยอมรับความตายอย่างสงบที่สุด ผมมองออกไปยังท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดจ้าขึ้น ผมคิดในใจว่าจะมีเทวดาลอยลงมารับตัวผมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ หรือจะมียมทูตมารับตัวผมไปสู่นรกกันแน่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเบาขึ้น เหมือนกับจะล่องลอยขึ้นไปยังบนท้องฟ้า เดี๋ยวซักพักวิญญาณของผมคงจะค่อยๆแตกสลายเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมค่อยๆยกแขนยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับแสงแดดบนท้องฟ้า รอเวลาให้พลังงานที่ก่อรูปเป็นวิญญาณนี้สลายไปกับอากาศ


วิญญาณไม่ยอมสลาย มือผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแสงแดด ผมรีบยื่นหัวเข้าไปดูใกล้ๆกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็น Ducati ของผมหรือเปล่า


"น้องๆ ตกใจอะไรกัน" เฮียเจ้าของร้านสะกิดที่ไหล่ผม


"อ้าวเฮียหมู เห็นตัวผมด้วยเหรอ" ผมตกใจถามเพราะคิดว่าตัวผมเองเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้ อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสงสัยว่าทำไมพี่ๆไม่เห็นตัวผมมีแต่เฮียและเด็กเสิร์ฟที่หันมามองหน้าและยิ้มทักทาย แอบคิดในใจหรือว่าเฮียกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งจะตายโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันกับผม


"เห็นสิ หัวบังเต็มจอเลย อ้อ! น้องบอลนี่เอง มาช่วยกันดูซิว่าพวกนี้เป็นกลุ่มไหนเผื่อน้องรู้จัก แต่งตัวเต็มยศเลย ขี่บิ๊กไบค์มาเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ" เฮียหมูถามพร้อมจำหน้าผมได้ ผมไม่สนใจรีบจ้องดูที่รถมอเตอร์ไซค์ว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน


"นี่ไงเฮีย บิ๊กไบค์ตายเรียบ 4 ศพคนขับกระบะเจ็บสาหัสส่งโรงบาลแล้ว" เด็กเสิร์ฟรายงานข่าวที่เพื่อนอาสาสมัครส่งมาให้ “4 เหรอ เอ๊ะหรือว่า!ผมเริ่มคุ้นกับจำนวนตัวเลข


สภาพรถจากภาพ Kawasaki คอหัก Yamaha ล้อหลุดทั้งสองข้าง โครงรถแตกกระจาย สภาพ 2 คันนี่ไม่ต่างกันกับ Honda และ Suzuki


"เฮ้ย!" ผมอุทานเบาๆ พร้อมรีบวิ่งไปดูรถของพี่ๆ ณ ที่จอดรถ "เฮ้ย!" ผมอุทานรอบ 2 สภาพรถที่เห็นตรงหน้าสภาพไม่ต่างจากที่เห็นในอินเตอร์เน็ทเลย คอหัก ล้อหลุด โครงแตกละเอียด รอบๆตัวรถแปะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด พื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือด รอยเลือดลากเป็นทางยาวจากที่รถไปยังโต๊ะที่พี่ๆนั่งกันอยู่ ผมกลั้นใจหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่ๆ


เหมือนเลือดบนใบหน้าผมจะพร้อมใจกันวิ่งออกไปจากที่ๆมันเคยอยู่ พี่เหน่งคอหักหัวห้อยลงไปด้านหลัง ชีลด์หมวกกันน็อคแตกเห็นดวงตาพี่แกถลน พี่ตั้มหัวหลุดคาหมวกกันน็อค หมวกวางบนอุ้งมือที่พี่ตั้มอุ้มประครองไว้ ตัวพี่แกไหล่บิดจนแขนพลิกกลับหน้ากลับหลัง พี่อาร์แขนขาหักจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ลงไปนอนกองกับพื้น พี่กิ่มสภาพศพโดยรวมสวยกว่าเพื่อน แต่ซี่โครงของแกแทงทะลุออกมาภายนอกเห็นได้ชัด มีไส้ไหลห้อยลงมากองกับพื้น ถ้าทางเหมือนพวกพี่ๆกำลังนั่งรอใครอยู่ แค่คิดถึงข้อนี้แล้วผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แขนขาผมเริ่มเป็นเหน็บกิน ขยับตัวเริ่มไม่ค่อยได้ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม


เฮียเจ้าของร้านตะโกนเรียกผม "บอล! เป็นอะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว วิ่งไปวิ่งมาพูดจาอะไรกับใครไม่รู้เรื่อง" ผมหันหน้าไปหาเฮียแต่ไม่ได้ตอบ ผมลำดับเหตุการณ์ในใจ พวกพี่คงขับรถมาแบบหน้ากระดานเรียงสอง และมาด้วยความเร็วสูง พอเจอกระบะประสานงานเหมือนกับโยนลูกโบลลิ่งกระทบพินล้มหมด "สไตค์" เลย ผมนึกถึงสภาพพวกพี่ๆที่เห็นเมื่อกี๊นี้ รวมถึงเสียงรถประสานงานที่ดังลั่นถนนที่ผมได้ยินมา ซึ่งเป็นเสียงตอนที่พี่ๆโดนชน ผมขออนุญาตเป็นลมก่อนนะครับ แล้วไว้ค่อยไปทำบุญให้พี่ๆกันทีหลัง หลังจากผมฟื้นขึ้นมาก่อนนะ






"คร่อกกกก!!"



นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...