วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

น้ำตาของชายหนุ่ม




อาทิตย์กำลังแต่งตัวในชุดนักศึกษาช่างอาชีวะแห่งหนึ่งในเมืองกรุง เขาบรรจงขยับหัวเข็มขัดให้พอดีกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งของเขา รอยขาดปะผุบนกางเกงบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นวัยรุ่นหนุ่มที่ชอบความเซอ ลวดลายของสีย้อมผ้าที่มีริ้วรอยเป็นเส้นตามแนวรอยยับของกางเกงเรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้ดียิ่งนัก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กางเกงตัวนี้จะดูโดดเด่นและถูกอาทิตย์หยิบมาสวมใส่บ่อยครั้งกว่าตัวอื่นๆ เสียงตะโกนจากแม่ของเขาดังลั่นขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน

"ยังไม่ไปเรียนหรือลูก แม่เตรียมอาหารเสร็จแล้วนะ"

"แต่งตัวเสร็จแล้วแม่ กำลังจะลงไป"

อาทิตย์ตอบขณะที่กำลังใช้หวีเสยผมจากหน้าผากขึ้นไปเพื่อให้เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยเจลใสตั้งขึ้นเหมือนดาราวัยรุ่นในจอทีวี จากนั้นเขาจัดแจงหยิบกระเป๋าสะพายที่ข้างในนั้นมีหนังสือเพียง 2-3 เล่มขึ้นมาค้องคอ อาทิตย์เกือบจะเดินออกจากห้องแล้วถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นมีดพับเล่มกระทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างประตู เขาหยิบมันใส่กระเป๋าทันทีก่อนจะเดินลงบันไดลงไปนั่งยังโต๊ะอาหารที่มีจานข้าววางไว้รอแล้ว

"เป็นยังไงบ้างลูก ที่วิลัยโอเคมั้ย"

ผู้เป็นแม่ถามขณะที่จัดแจงวางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ

"ก็ดีครับแม่ ตอนนี้ผมเริ่มจะมีเพื่อนมากขึ้นแล้ว"

"ดีแล้วลูก มีเพื่อนใหม่จะได้ไม่เหงา แล้วเพื่อนๆที่เชียงใหม่ได้ติดต่อกันบ้างมั้ย"

อาทิตย์กำลังเคี้ยวข้าวเช้าของเขาอยู่ แต่เขาก็พยายามตอบเมื่อกลืนคำข้าวในปากแล้ว

"ไม่ได้ติดต่อเลย นี่ก็ผ่านมาจะเกือบปีแล้วนะ พอดีว่าช่วงนี้ผมเรียนหนักไปหน่อย และมีกิจกรรมที่วิลัยเยอะมาก"

"ยังงั้นเหรอลูก ได้เพื่อนใหม่ก็อย่าลืมเพื่อนเก่านะ"

แม่ของอาทิตย์ขยับจานกับข้าวให้เข้าใกล้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

"แน่นอนครับ ผมไม่ลืมเพื่อนพวกนั้นหรอก ได้ยินว่าเพื่อนสนิทของผมย้ายจากเชียงใหม่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพเหมือนผมด้วยนะ แต่ยังไม่มีเวลาไปตามหามันเลยว่าอยู่ที่ไหน"

"เพื่อนลูกที่ชื่อเอน่ะเหรอ ใช่คนที่มานอนบ้านเราบ่อยๆหรือเปล่า"

"ใช่ครับ เรามาสอบเรียนต่อที่กรุงเทพเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ามันไปเรียนที่ไหน"

อาทิตย์ก้มมองดูเข็มนาฬิกาที่วิ่งอยู่บนเรือนนาฬิกาที่ข้อมือของเขา เข็มสั้นชี้ไปที่กึ่งกลางระหว่างเลข 7 และ 8 เขารีบกลืนข้าวคำสุดท้ายก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าเตรียมจะออกจากบ้าน

"ผมไปก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวไม่ทันรถเมล์ สวัสดีครับ"

อาทิตย์ดูลนลานออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้แม่ของเขา เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที อาทิตย์ก็ปรากฏตัวอยู่ที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถสายประจำของเขา สักพักโทรศัพท์มือถือของอาทิตย์ก็ดังขึ้น

"ฮัลโหล ไงเพื่อนกำลังรอรถอยู่ ทันคันเวลา 7 โมง 45 อยู่"

"โอเคเพื่อน แกเอาของที่ข้าฝากไว้มาด้วยหรือเปล่า"

เสียงปลายสายตอบกลับมา

"หยิบใส่กระเป๋ามาแล้วไม่ต้องห่วง"

อาทิตย์ตอบกลับไปผ่านไมค์โครโฟนของโทรศัพท์พร้อมใช้มือคลำไปที่ด้ามเหล็กในกระเป๋าสะพาย ยังไม่ทันที่ปลายสายจะตอบรับกลับมา รถเมล์สายที่อาทิตย์รอคอยก็จอดลงที่หน้าป้ายตามเวลาที่ใกล้เคียงกับทุกๆวัน

"เยี่ยมเพื่อน แล้วเจอกันที่ป้ายหน้าบ้านข้า"

อาทิตย์เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะกระโดดขึ้นรถทันที ป้ายรถเมล์ที่อาทิตย์รอนั้นอยู่ใกล้กับอู่รถจึงทำให้เวลาที่รถเมล์มาจอดป้ายค่อนข้างจะใกล้เคียงกันทุกวัน และรถสายนี้จะขับผ่านป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนรออยู่เหมือนกัน

เช้าวันนี้ผู้คนไม่หนาแน่นมากนัก อาทิตย์จึงเลือกนั่งเบาะหลังสุดเพื่อจะรอให้เพื่อนที่ 3 คนมานั่งถัดจากเขา รถเมล์วิ่งทำเวลาเหมือนกับทุกวันที่มันทำ จอดรับส่งผู้โดยสารตามป้ายเป็นปกติเหมือนที่มันเคยทำทุกวัน และในที่สุดรถเมล์ก็มาจอดในป้ายที่เพื่อนของอาทิตย์ยืนรอ เพื่อนทั้ง 3 คนเดินขึ้นมาบนรถและมานั่งยังเบาะที่อาทิตย์เตรียมไว้ให้

"ไงทิด วันนี้เรียนเสร็จไปเที่ยวไหนดี"

เบียร์ เพื่อนหัวโจกของกลุ่มพูดถามเมื่อเจอหน้าอาทิตย์ที่นั่งรออยู่แล้วบนรถเมล์

"ไม่ล่ะเพื่อน วันนี้ข้าขอตัวดีกว่า คราวแล้วพวกแกกลับซะดึก ข้าไม่อยากกลับบ้านค่ำ"

"เอ่อๆ ตามใจแกละกัน ไว้คราวหน้าก็ได้ เดี๋ยวเย็นนี้ข้าไปกัน 3 คนกับต้นและเป้ก็ได้"

หลังจากเบียร์พูดเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างๆกับอาทิตย์ ปล่อยให้เพื่อนอีก 2 คนนั่งด้วยกันอีกเบาะ รถเคลื่อนบนถนนไม่เร็วนักเพราะต้องคอยจอดตามป้าย ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับแออัด ทันใดนั้นเบียร์ก็ทวงถามสิ่งของที่เขาฝากอาทิตย์ไว้เมื่อหลายวันก่อน

"ของๆข้าเอามาด้วยหรือเปล่า"

"เอามาสิ"

อาทิตย์พูดเสร็จก็ล้วงเอามีดพับออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เบียร์ทันที

"คราวหลังไม่ต้องเอามาฝากข้าอีกนะ กลัวแม่เห็นแล้วจะถามว่าไปเอามาจากไหน"

"ได้ๆ ไม่มีปัญหา"

เบียร์ตอบรับคำพูดที่อาทิตย์เสนอ แต่เช้าวันนี้เหมือนกับเป็นเช้าที่โชคร้ายสำหรับพวกเขาเมื่อมีกลุ่มนักเรียนอาชีวะที่เป็นคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา 6 คน เพื่อน 2 คนที่นั่งเบาะข้างหน้าของอาทิตย์สังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนดังกล่าว จึงรีบกระซิบมายังเบาะหลังเพื่อเตือนเพื่อน

"ซวยแล้วไงเช้านี้ พวกเราไป!"

เป็นเรื่องปกติของเด็กอาชีวะที่ถ้าหากว่าเจอคู่อริเดินขึ้นรถเมล์มา และมีจำนวนที่มากกว่า กลุ่มที่มีน้อยกว่าจะต้องเดินลงจากรถเมล์ไป เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นแบบนั้น กลุ่มของอาทิตย์จึงเลือกที่จะเดินลงจากรถไปเอง

เหมือนกับจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ดูวิปลิตผิดเพี้ยนไปแล้ว และสีหน้าของนักเรียนคู่อริที่มองมายังกลุ่มของอาทิตย์ก็ทำสีหน้าพึงพอใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อเพื่อนอีก 2 คนของอาทิตย์กำลังจะเดินลงบันไดรถลงไป และเรื่องราวในเช้านี้คงจะผ่านพ้นไปได้อย่างสงบเหมือนกับหลายๆเช้าที่ผ่านมา ถ้าเบียร์ไม่แสดงท่าทางเย้ยหยันฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้มือจับที่หัวเข็มขัดของตัวเองแล้วทำเป็นเหมือนจะท้าให้คู่อริมาชิงมันไป

ความจริงแล้วเบียร์เพียงต้องการเพียงแค่จะเย้ยหยันฝ่ายตรงข้ามมากกว่า เขาคิดว่าพอทำท่าทางยียวนกวนประสาทนั่นเสร็จจะรีบวิ่งลงจากรถไปในจังหวะที่รถเมล์เคลื่อนตัวออกไป เพื่อไม่ให้พวกนั้นวิ่งตามลงมากได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เบียร์คิด กลุ่มนักเรียนอาชีวะคู่อริทั้ง 6 คนต่างวิ่งกรูตามกลุ่มของเบียร์ลงจากรถทันที เบียร์ตกใจมากจึงตะโกนออกมาเสียงดัง

"วิ่ง! เร็ว"

ในสายตาของผู้โดยสารบนรถเมล์ พวกเขาต่างจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างระแวงอยู่แล้ว เพราะคิดว่ามันคงจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง ในบางคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนก็สงสัยว่านักเรียนพวกนั้นมีเรื่องแค้นเคืองบาดหมางอะไรกันมานะ แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนความป่าเถื่อนเหล่านั้นออกมา คือการปลูกฝังค่านิยมจากรุ่นพี่ในเรื่องของคำว่า 'ศักดิ์ศรีของสถาบัน' ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปนั้นย่อมจะไม่เข้าใจ

ทั้ง 4 ออกแรงวิ่งเต็มที่โดยมีกลุ่มนักเรียน 6 คนวิ่งมาไม่ห่างมากนัก กลุ่มนักเรียนที่รวมกันได้ 10 คนกำลังเพิ่มความวุ่นวายให้กับท้องถนนที่แออัดไปด้วยคนที่เดินไปมาอยู่แล้ว คนบางคนถูกกลุ่มนักเรียนวิ่งชนจนล้มระเนระนาดวุ่นวายไปหมด และทันใดนั้นคู่อริคนหนึ่งสามารถวิ่งไล่ทันอาทิตย์ที่วิ่งรั้งท้ายของกลุ่ม อาทิตย์ถูกเตะเข้าที่ต้นขาอย่างแรงทำให้เข้าล้มลงไปนอนกลับพื้น

เพื่อนของอาทิตย์อีก 3 คนเมื่อเห็นว่าอาทิตย์ลงไปนอนกองกับพื้น พวกเขาหันกลับมาและพยายามเข้าไปช่วยกันอาทิตย์ไว้ไม่ให้ถูกซ้ำ กลุ่มของคู่อริ 2 คนพยายามเข้ามากระโดดถีบเบียร์ที่ยืนขวาง แต่เบียร์กะจังหวะพลิกตัวหลบลูกถีบจากทั้ง 2 ได้ทันก่อนที่จะใช้หมัดต่อยไปที่ปลายคางของทั้ง 2 ทีละคน

ลีลาการต่อสู้ของเบียร์นั้นไม่ธรรมดานัก ทำให้กลุ่มคู่อริที่เหลือหยุดชะงักไม่กล้าผลีผลามเข้ามารุมสะกรัม เพื่อนอีก 2 คนในกลุ่มของอาทิตย์เข้ามาประจันหน้ากันระหว่าง 3 ต่อ 6 เพราะตอนนี้อาทิตย์ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ อาทิตย์ยังคงมีอาการมึนงง ด้วยเพราะว่าเขานั้นไม่ค่อยถนัดในการต่อสู้มากนัก การถูกเตะลงไปนอนกลิ้งกับพื้นจึงดูเหมือนจะเป็นอะไรที่รุนแรงมากสำหรับอาทิตย์ เขาได้แต่นอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้น

ถึงแม้เบียร์จะมีฝีมือทางการต่อสู้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก และดูเหมือนกลุ่มนักเรียน 6 คนจะสามารถคุมเชิงฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว นักเรียนอาชีวะคนที่ถูกเบียร์เย้ยหยันพูดออกมาเสียงดังลั่น

"ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้ พวกมึงถอดหัวเข็มขัดออกมา"

เบียร์และเพื่อนอีก 2 คนทำท่าทางจะทำตามที่คู่อริพูดแต่โดยดี เพราะสถานการณ์แบบนี้แล้วพวกเขาคิดว่าน่าจะคุ้มกว่า หากยอมสละหัวเข็มขัดไป ส่วนอาทิตย์นั้นยังคงนอนจุกอยู่บนพื้น เรื่องดูท่าทางจะจบลงแค่นี้โดยที่ไม่น่าจะมีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ทว่าคนที่เพิ่งออกคำสั่งนั้นได้พูดคำพูดที่มันเสียดแทงความเชื่อของเบียร์

"สถาบันของพวกมึงมันกระจอกว่ะ ตั้งแต่ครูยันลูกศิษย์แม่_กระจอกทั้งนั้น"

ความจริงแล้วสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของนักเรียนคนนี้ไม่ใช่ความจริง มันก็แค่บทพูดจากรุ่นพี่ที่พยายามกรอกหูให้รุ่นน้องฟัง เพื่อทำให้เกิดความฮึกเหิมในพวกเดียวกันแค่นั้นเอง กลุ่มคนเหล่านั้นอาจจะลืมคิดไปว่าผลลัพธ์จากวลีเหล่านี้มันอาจจะสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด

ในอีกมุมหนึ่ง สถาบันที่ถูกปลูกฝังและหล่อหลอมเขาขึ้นมานั้น มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่สถานศึกษาหรือสถานที่ใดๆ แต่มันคือจิตวิญญาณของเบียร์ และรวมถึงเพื่อนๆร่วมสถาบันด้วย คนอย่างเบียร์มีความคิดที่ว่า ถ้าตัวของเขาเองโดนดูถูกหรือโดนทำร้ายเพียงใดมันก็ยังพอทน แต่การที่สิ่งที่เขารักโดนดูถูกหรือทำร้ายนั้น เบียร์ทนไม่ได้ สติที่เพิ่งจะขาดออกจากกันเมื่อได้ฟังประโยคเหล่านั้น ทำให้เบียร์ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อควักมีดพับปลายแหลมออกมา ไม่รอช้าเบียร์จ้วงแทงมีดไปที่ตรงกลางลิ้นปี่ของเจ้าของเสียงเมื่อสักครู่

ด้วยความเร็วของนักเรียนที่เป็นเป้าหมายของคมมีด รวมถึงระยะห่างของเบียร์กับคู่อริ นักเรียนหัวโจกคนนั้นสามารถปัดป้องและเบี่ยงเบนวิถีของมีดให้พ้นวิถีโคจรออกจากตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าทิศทางของปลายมีดก็ยังพุ่งเสียบไปที่ร่างของนักเรียนกลุ่มคู่อริอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังและไม่ทันได้ระวังตัว นักเรียนคนนั้นล้มลงนอนไปกองกับพื้นทันทีเพราะหมดสติ เลือดทะลักพุ่งออกมาเพราะปลายมีดเสียบเข้าไปที่อวัยวะสำคัญภายใน 

เบียร์ผงะถอยปล่อยมีดลงกับพื้น เช่นเดียวกับทุกๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่อาทิตย์คนเดียวที่ยังนอนไม่รู้เรื่อง เมื่ออาทิตย์พยายามพยุงตัวลุกขึ้นมา เขาไม่เห็นเพื่อนๆของตัวเอง และไม่รู้ว่านักเรียนกลุ่มคู่อริหายไปไหน อาทิตย์เห็นเพียงแต่นักเรียนคนที่นอนจมกองเลือดเพียงคนเดียวเท่านั้น อาทิตย์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าจะต้องไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้เร็วที่สุด

เมื่ออาทิตย์เข้าไปใกล้ปรากฏว่า! คนที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นคือเอ เพื่อนสนิทของอาทิตย์ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน อาทิตย์แทบจะไม่เชื่อสายตาเลยว่า เพื่อนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาปีกว่า จะมาเจอกันในสภาพแบบนี้ ร่างของเอนอนแน่นิ่งไม่สามารถแสดงออกทางสีหน้าได้ว่าเขาจะมีความยินดีเพียงใด เมื่อเพื่อนรักมายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว คงมีเพียงแต่อาทิตย์เท่านั้นที่แสดงออกถึงความเศร้าและเสียใจออกมาทางใบหน้า สายนำ้ตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสายคงแสดงออกได้ถึงความสะเทือนใจอย่างถึงที่สุดแล้ว

อาทิตย์ร้องไห้ฟูมฟายได้แต่พูดเพ้อถึงโชคชะตาของเพื่อนรัก เขาได้แต่เฝ้าคิดว่าใครกันนะที่เป็นคนฆ่าเพื่อนรัก เอจะต้องมาตายตรงนี้เพราะอะไรกัน อาทิตย์ไม่ได้กล่าวโทษถึงกลุ่มคู่อริเลยแม้แต่น้อย เขาไม่โทษเพื่อนของเขาที่เรียนร่วมสถาบันที่พามาเจอสถานการณ์แบบนี้ อาทิตย์ได้แต่คิดถึงคำพูดต่างๆที่เขาได้ยินมาจากรุ่นพี่ที่พยายามพูดกรอกหูเขา นี่น่ะหรือคือสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการ พวกเขาต้องการให้มีคนตายหรือย่างไร

เวลาผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ สิ่งที่ตำรวจเห็นก็คือชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังนอนจมกองเลือดกับพื้น โดยมีชายหนุ่มอีกคนที่ใส่ชุดนักศึกษาต่างสถาบันนั่งข้างๆพร้อมส่งเสียงร้องให้ดังลั่น และใกล้ๆกันนั้นยังมีด้ามมีดพับเหล็กที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดและรอยนิ้วมือของอาทิตย์แฝงอยู่บนนั้น่

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตสุดท้าย




วันนี้บังเอิญที่ผมมีธุระที่จะต้องไปทำกับเพื่อนที่ชื่อเฟรม แต่พอผมไปรับเฟรมปรากฏว่ามันบอกให้ผมไปส่งมันที่งานเผาศพคนรู้จักของมันเอง ผมก็ทำตามที่เพื่อนผมขอเพราะมันบอกว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ และป่าช้าที่จะไปก็เป็นทางผ่านที่เราสองคนจะไปทำธุระกันอยู่แล้ว เมื่อผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าที่มีไอ้เฟรมซ้อนท้ายไปถึงหน้าป่าช้า ลำบากมากที่จะลัดเลาะอีแก่ของผมเข้าไปในงานพิธี เพราะว่ารถราหลายคันจอดกันเบียดเสียดทั้งรถ 4 ล้อและ 2 ล้อ แต่ด้วยความชำนาญในการควบ 'อีแก่' ของผม ผมจึงนำมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในงานให้ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะได้ปลีกตัวออกมาได้ง่ายเมื่อถึงเวลา

เมื่อเราไปถึงเป็นช่วงจังหวะที่โลงศพถูกลากเข้ามาที่กลางลานกว้างพอดี ในงานผมสังเกตเห็นว่ามีคนมากหน้าหลายตานับหลายร้อยชีวิตในงาน และหลายร้อยชีวิตก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน มีทั้งในชุดสีกากี บ้างเป็นชาวบ้านในชุดดำทั้งหนุ่มแก่ ยังมีกลุ่มที่เหมือนจะเป็นนักปั่นจักรยานหลายสิบคนมาร่วมงานด้วย ถัดไปอีกก็เป็นกลุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์ราคาแพงอีกหลายสิบคนเช่นกันในชุดเสื้อยืดสีดำรูปหัวกะโหลก บางคนใส่ชุดหนังสีดำโพกหัวด้วยผ้าหลากสี และยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นชมรมอะไรกัน ไม่เหมือนกับกลุ่มจักรยานและรถมอเตอร์ไซค์หรูที่จอดยานพาหนะนั้นไว้ใกล้ๆกลุ่มของพวกเขา  ผมสงสัยว่านี่มันงานบ้าอะไรกันจึงถามไอ้เฟรมเพื่อนของผม

"เฟรม คนพวกนี้เป็นใครกัน เขามาทำอะไรที่นี่"

"อ๋อ คนพวกนี้เหรอ เป็นคนในชมรมที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าอยู่น่ะ พอมันตายก็เลยมีคนในชมรมมาร่วมงาน แต่บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามันอยู่หลายชมรม ทั้งจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตกปลา หมากรุกและมันทำงานเป็นช่างซ่อมอะไรสักอย่างที่เทศบาลด้วยน่ะ พอมันตายก็เลยมีคนมาร่วมงานเยอะมาก"

ไอ้เฟรมบรรยายรายละเอียดให้ผมรู้ ผมเฝ้ามองดูผู้คนที่อยู่ในงานพลางคิดถึงลูกพี่ลูกน้องของไอ้เฟรม ว่าเขาเป็นคนที่กว้างขวางจริงๆ มีคนรู้จักเยอะแยะไปหมด ช่างน่านับถือจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดแล้ว พ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป พอได้รู้ว่ามีคนมากมายที่มาร่วมงานในพิธีของลูกตนเอง ก็คงทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจได้ว่าลูกของตนเป็นที่รักของคนจำนวนมาก

แต่นั่นยังไม่หมด พอถึงช่วงที่จะมีการถวายผ้าบังสกุล มีผู้ใหญ่หลายสิบคนที่ถูกเรียกชื่อ แต่ละคนคือคนใหญ่คนโตทั้งผู้ใหญ่บ้านจนไปถึงผู้ว่าฯ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมงานเผาศพวันนี้ถึงมีคนสำคัญๆมาร่วมงาน คนตายต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือคุณงามความดีหรืออย่างไรกัน แต่ผมก็เก็บความสงสัยนั้นไว้โดยที่ไม่ถามมันกับไอ้เฟรม

ในระหว่างที่ยังมีการเรียกชื่อผู้ถวายผ้าบังสกุลอยู่ ผมเริ่มครุ่นคิดหนักถึงประเด็นที่ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน การที่เราได้รู้จักคนเยอะๆและมีปฏิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด นั่นคือน่าที่ของมนุษย์หรือไม่ เพราะผมเคยได้ยินมาว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากไม่มีสังคมก็คงไม่ใช่มนุษย์ คงเป็นได้แค่สัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นที่ไม่ชอบเข้าสังคม ผมไม่มีชมรม ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่เอาไว้สำหรับออกไปเฮฮาปาร์ตี้ ไม่มีเพื่อนที่สนใจในกิจกรรมที่คล้ายๆกัน เพื่อนที่ทำงานก็แค่เพื่อนร่วมงาน พ่อแม่พี่น้องของผมก็ไม่มีแล้ว มีก็แค่ญาติห่างๆรวมถึงไอ้เฟรมเพียงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน เพราะเฟรมกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงเข้ากันได้อย่างสนิทใจในทุกเรื่อง

เวลาในการเรียกชื่อผู้ที่จะถวายผ้าบังสกุลยังอีกนาน เพราะผู้ใหญ่อีกหลายคนยังไม่ถูกเรียกออกไป ทำให้ผมยังพอมีเวลาอีกนานที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ก็เหมาะสำหรับการนั่งพิจารณาความคิดของตัวเอง ผมเริ่มกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรดี ให้ตัวผมเองนั้นเป็นคนที่สมบูรณ์ในอุดมคติตามที่ผมเพิ่งจะคิดไว้ ผมเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนโดยเริ่มจากตัวผมเองและไอ้เฟรม อะไรกันนะที่ทำให้เรารู้จักกันและไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่กับคนรอบๆข้างนั้นผมไม่รู้จะเริ่มยังไง

เมื่อไฟถูกจุดที่เมรุเผาศพ ผมเห็นคนหลายคนร้องไห้โศรกเศร้า เมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน คนอีกหลายคนก็ปล่อยโฮออกมาเหมือนกับมันเป็นอุปทานหมู่อย่างไรก็อย่างนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีแม่ของผู้ตายและอาจจะมีภรรยาของผู้ตายด้วยที่ช่วยกันร้องไห้

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมเริ่มมองตัวเองและคิดต่อไปว่า หากเป็นงานศพของผมเองนั้นจะมีใครบ้างที่มาร่วมงานของผมบ้าง ที่คิดออกตอนนี้ก็คงมีแค่ยายของผมและไอ้เฟรม การที่เราตายไปโดยที่ไม่เป็นที่จดจำของผู้คนมันช่างดูหดหู่ไม่น้อยเมื่อคิดถึงมัน ไม่นานไอ้เฟรมก็ชวนให้ผมเดินออกจากงานเพื่อไปทำธุระต่อ หลังจากที่มันเดินไปล่ำลากับเจ้าภาพของงาน

ความจริงแล้วธุระของเราสองคนก็ไม่ใช่สลักสำคัญอะไรมาก แค่วันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงชวนไอ้เฟรมไปเล่มเกมส์ที่ร้านคอมถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งระยะทางก็ไกลโขอยู่เหมือนกัน ต้องวิ่งผ่านถนนเส้นใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถสิบล้อวิ่งผ่าน และถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อเพราะรถบรรทุกวิ่งผ่านอีก ผมจึงไม่ค่อยจะชอบขี่รถบนถนนเส้นนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ เพราะวันนี้มันเป็นวันหยุดที่แสนน่าเบื่อของผม ผมจึงเลือกที่จะขี่ไปในถนนเส้นนั้นเพื่อไปหาความสำราญกับเขาบ้าง ก็แค่นั้นเอง

"ไปกันได้แล้ว ช้าเดี๋ยวที่นั่งเต็มอดเล่นกัน"

ไอ้เฟรมเริ่มกระสันที่จะอยากเล่นเกมแล้ว จึงบอกให้ผมรีบบึ่งรถไปโดยเร็ว แต่วันนี้โชคร้ายหน่อยสำหรับผมกับไอ้เฟรม เมื่อเราขี่ไปได้เกือบครึ่งทางของถนนที่วิบากและเต็มไปด้วยรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็ว ในขณะที่ผมขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์คันเก่าแต่แรงดีของผมดัวยความเร็ว ผมไม่ทันหลบหลุมขนาดใหญ่ได้ ล้อหน้าตกลงไปในหลุมในจังหวะที่ผมพยายามจะหักเลี้ยวหลบ ทำให้ทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งผมและไอ้เฟรมลื่นไถลไปกับพื้นที่ถนนคอนกรีตที่เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย ชั่วอึดใจเดียวสามัญสำนึกของผมก็ไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน โดยที่ผมมองเห็นร่างของผมและไอ้เฟรมนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกลจากซากมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้อีกต่อไป และสภาพร่างของผมและไอ้เฟรมที่ผมมองเห็น สภาพมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซากรถมอเตอร์ไซค์

"นี่เราคงตายแล้วใช่มั้ย? ดูสภาพแล้วเราสองคนไม่น่ารอดนะ"

ผมได้ยินเสียงไอ้เฟรมยืนข้างๆ

"อืม... คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่แกไม่ตกใจเลยเหรอ ดูท่าทางแกยังชิวๆอยู่เลย"

ผมหันหน้าไปทางไอ้เฟรม ก่อนจะถามมันด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

"ก็ไม่นะ ไม่รู้สึกตกใจอะไรเลย ก็แปลกดีนะในตอนที่เรายังไม่ตาย เราต่างหวาดกลัวความตายและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตาย แต่เมื่อเราตายแล้วจริงๆกลับไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย"

ผมก็รู้สึกเหมือนกับที่ไอ้เฟรมพูดออกมา เมื่อเราตายก็เหมือนกับแค่เราเปลี่ยนสถานะไปแค่นั้นเอง ผมยังคิดไม่ออกว่าความตายมันน่ากลัวและน่ากังวลตรงไหน ตอนนี้เราสองคนที่อยู่ในรูปของอะไรก็ไม่รู้กำลังนั่งมองดูร่างของตัวเองที่นอนจมกองเลือดอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นศพของเราสองคน

"แล้วเราจะไปไหนต่อกันดีล่ะเนี่ย ตอนนี้?"

ผมถามไอ้เฟรมเพราะผมไม่มีความเห็น

"ข้าก็ไม่รู้ว่าเราต้องไปที่ไหนกันต่อ แต่ตอนนี้ยังพอมีเวลาข้าขอกลับไปดูหน้าลูกเมียอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะมีใครมารับเราไปนรกหรือสวรรค์หรือเปล่า"

"เหรอ ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปด้วยละกัน ข้าก็ไม่รู้จะไปที่ไหน"

เมื่อเราสองคนตกลงกันได้ แค่เรานึกถึงหน้าคนที่เราต้องการจะเห็น จิตของผมและไอ้เฟรมก็ไปโผล่ที่คนๆนั้นทันที แต่ปรากฏว่าสถานที่ที่เราโผล่ไปนั้นคือบ่อน

"โธ่! นังแก้ว มันมาเล่นไพ่อีกแล้ว เมื่อวานข้าเพิ่งจะว่าให้มัน คราวแล้วก็เสียหมดตัว ถ้าต่อไปมันยังไม่เลิกเล่นการพนัน และไม่มีข้าด้วยมันจะอยู่ยังไง ไอ้บอลก็ยังเรียนไม่จบ"

"เอาน่าๆใจเย็นก่อน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง แก้วมันก็คงมาหาอะไรทำแก้เบื่อบ้างล่ะ อย่าไปโทษมันเลย ทีแกยังจะหนีไปเล่มเกมกับข้าเลย"

ท่าทางของไอ้เฟรมเหมือนจะเป็นห่วงครอบครัวของมันมากกว่าตัวมันเอง เมื่อเราสองคนคิดถึงบอล ลูกชายของไอ้เฟรม ทันใดนั้นจิตเราสองคนก็ไปโผล่ที่บ้านของไอ้เฟรมทันที

เสียงดนตรีบรรเลงจากกีตาร์คลาสสิคของบอลที่บรรจงดีดออกมาอย่างไพเราะ เขานั่งเล่นมันในห้องเล็กๆแต่อบอวลไปด้วยเสียงเพลงที่เขาแกะออกมาจากหนังสือ สีหน้าของบอลตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขและความมุ่งมั่นที่จะเล่นเพลงในให้จบจนถึงโน๊ตตัวสุดท้าย

"ข้าไม่ห่วงลูกข้าคนนี้เลย การเรียนก็ดีเล่นดนตรีก็เก่ง ต่อไปมันต้องสามารถเลี้ยงดูแม่มันได้แน่ๆ เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็หมดห่วงอะไรอีกแล้ว"

ผมเห็นไอ้เฟรมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เราสองคนนั่งฟังโน๊ตตัวสุดท้ายจากเสียงของสายกีตาร์ที่ถูกดีด จากนั้นจิตของเราทั้งสองคนก็ล่องลอยออกมาไปตามความคิดห่วงหาอาทรของแต่ละคน ผมส่งไอ้เฟรมไปหาพ่อและแม่ของมัน และจากนั้นมันก็ไปหาเพื่อนๆ หาผู้ใหญ่หลายคนที่มันเคารพนับถือ จนเมื่อมันเสร็จธุระของมันแล้ว ไอ้เฟรมมันก็ถามผมบ้าง

"ตอนนี้ข้าหมดห่วงกังวลหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่าพร้อมแล้วที่เราจะไปสู่ภพภูมิที่เราควรจะไป ตอนนี้แกอยากไปหาใครบ้างล่ะ"

"ข้าคงขอไปดูหน้ายายของข้าเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ จากนั้นก็คงจะหมดห่วงและไปตามทางของใครของมัน"

ผมมองไปที่ยายของผมและก้มลงกราบที่เท้าเพื่อเป็นการบอกลา ยายของผมเป็นคนที่ดี แกมักจะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีเสมอ ท่านเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ผมมั่นใจว่ายายของผมจะทำใจได้ในไม่ช้าหากท่านรู้ว่าผมตายแล้ว เมื่อผมหมดห่วงอะไรทุกอย่าง ท่าทางของไอ้เฟรมก็ไม่มีอะไรยึดติดบนโลกใบนี้อีกแล้ว

"ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางไปสู่สุขคติ เราหมดหน้าที่แล้วบนโลกใบนี้"

ไอ้เฟรมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น ผมเห็นด้วยกับคำพูดนั้นทุกประการ ไม่นานไอ้เฟรมก็ค่อยๆจางหายไป แต่ระหว่างนั้นผมเหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งทึ่เป็นวิญญาณกำลังยืนงงอยู่กลางถนน ผมเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันทีทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปตามไอ้เฟรมได้ ผมเข้าไปคุยกับวิญญาณร่างนั้น

"ลุงจะไปไหนเหรอครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้"

ร่างนั้นหันหน้ามาที่ผม ก่อนจะถาม

"ลุงจะกลับบ้าน ลุงจากลูกกับเมียนานมากแล้ว พวกเขารอลุงอยู่"

ผมคิดว่าลุงเองคงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว

"ตอนนี้ลุงตายแล้วครับ ลุงคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว"

ผมบอกลุงไปตามตรง

"ยังหรอกลุงยังไม่ตาย ลุงกำลังจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย พวกเขากำลังรอลุงอยู่ที่บ้าน"

ลุงคนนั้นพูดเสร็จก็เดินหายจากไป โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ลุงแกรู้ตัว หรือบางทีเขาอาจจะต้องเห็นศพของตัวเองเหมือนกับที่ผมเห็นศพของตัวเอง ผมเดินตามลุงไปสักพักก็เห็นป้าคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ด้วยความสงสัยผมเดินเข้าไปถาม

"ป้ายืนรออะไรอยู่ตรงนี้หรือครับ ทำไมไม่เดินทางไปภพภูมิต่อไป"

"ป้ายังเป็นห่วงลูกหลานของป้า ป้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะดูแลธุรกิจที่ป้าสร้างมันมาทั้งชีวิตได้หรือเปล่า ป้าอยากอยู่ดูพวกเขาสักพักจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาดูแลตัวเองได้"

"แล้วมันต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ในการเฝ้าดูลูกหลาน"

ป้าคนนั้นหันมาและทำสีหน้าไม่แน่ใจ

"ป้าไม่รู้ แต่ถ้าให้ป้าไปตอนนี้ยังไม่ได้ เพราะป้ายังเป็นห่วงพวกเขาอยู่"

ผมเดินจากมาโดยที่เหลียวหลังไปมองที่ป้าแก ตอนนี้ผมคิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้จิตเรายึดติดกับบุคคลได้เพียงนี้ ไม่ไกลจากป้าแกผมเห็นวิญญาณชายหนุ่มเดินวนเวียนไปมาหน้าบ้านหลังหนึ่ง

"พี่ทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่ไปสู่สุขคติ"

วิญญาณร่างนั้นชี้เข้าไปในบ้านหลังใหญ่

"เห็นนั่นไหม บ้านหลังใหญ่ รถยนต์หลายคัน ในบ้านมีทรัพย์สินมูลค่ามากมาย เมียของผมเพิ่งจะวางยาผมตายเพื่อหวังเงินประกันและทรัพย์สินทุกอย่างที่ผมสะสมมาตลอดชีวิต มันน่าแค้นใจเหลือเกิน ผมคงไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้หรอก ต้องรอดูความวิบัติของเมียคนนี้เสียก่อน"

ผมทำได้แค่เฝ้าดูและเดินจากไป คงไม่สามารถพูดอะไรให้พี่คนนั้นเปลี่ยนใจได้หรอก อารมณ์ที่เครียดแค้นชิงชังนี้คงจะเกิดจากความแค้นที่เขาได้เจอมา ไม่แน่เหมือนกันถ้าเป็นผมเองก็อาจจะเครียดแค้นเหมือนเขาก็เป็นได้ ตอนนี้ผมเริ่มคิดแลัวว่าความสับสนวุ่นวายในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ บางทีมันก็อาจจะยุ่งเหยิงพัลวันกันจนเหนี่ยวรั้งเราไม่ให้ไปไหนได้เลย ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่หลุดพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้ก่อนที่ผมจะหมดโอกาสที่จะไปแก้ไขมัน

ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังที่ที่ควรไป ผมค่อยหลับตาลงและพยายามทำให้จิตใจว่างที่สุดก่อนที่วิญญาณของผมจะเสื่อมสลายไป ชีวิตบนโลกที่สับสนวุ่นวายของผมคงจะจบแล้ว แต่ความคิดสงสัยเล็กๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมสงสัยว่าญาติของไอ้เฟรมที่ผมเพิ่งจะไปงานเผาศพนั้น ดวงวิญญาณของเขาจะไปล่ำลาคนรู้จักที่มากมายของเขาหมดหรือยัง แต่ช่างเถอะ! ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่จะไปคิดเรื่องนั้น

อา... ความสงบสุขหลังความตายมันเป็นเช่นนี้เองเหรอ ผมรู้สึกสบายจัง...


วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มหัศจรรย์ คืนวันเกิด

ผมบรรจงหิ้วถุงพลาสติกใสลายน่ารักสวยงาม ข้างในถุงมีกล่องพลาสติกที่ห่อหุ้มเค้กที่ดูสีสันสดใสน่ารับประทาน ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินเค้กหรอกครับ ผมไม่ได้มาซื้อมันมากินเป็นประจำหรอก ไม่สิ... ผมไม่เคยกินเค้กเลยสักครั้งในชีวิตนี้ต่างหาก เพราะบ้านของผมจนมาก เงินทุกบาทจะต้องเก็บไว้ซื้อข้าวกินกัน ผมย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กับป้าในเมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผมเนื่องในโอกาสเป็นวันครบรอบวันเกิดในวัย 11 ปี และในคืนพิเศษๆเช่นนี้มันก็ควรจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะครับ

แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้

"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"

เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย

"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"

แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา

เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง

ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน

"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"

ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน

"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"

ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้

"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"

"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"

ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที

"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น จะลดราคาให้ด้วย"

ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้ ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ

"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"

พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว

"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"

ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว

"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"

พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZaMBnlgrnHuhtSVR_NzSY3RQBk4VsykmqYB6cuD_naGkj5IZtE5IBzW4pfji5T_I6HYA1V9tWdHwqNKESjVUiZc-JXqPhbmZeWWJGdcg3tx75kukvGMZDFvLZMhDM4ooWBX2jmhwZWFA/s640/blogger-image--1705964525.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด

นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ... ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว

ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์ แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป

ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้

อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์ อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที

เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น

"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"

อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก

"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"

"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้ เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง

"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"

ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ

"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"

ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้

"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"

พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่ เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง

"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"

พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ 

"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"

พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม

"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11 ปี"

"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"

"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"

ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว

"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"

"ว้าว...ว แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"

"ใช่"

พอพี่สายสืบพูดจบ แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย

"ที่นี่คือประเทศอินเดีย เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"

พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น

"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"

"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"

ผมทำหน้าสับสน ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่

"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"

พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา

"เอาล่ะ เราไปดูที่อื่นกันต่อ"

แสงสว่างโผล่มาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว เรามาโผล่ยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

"ที่นี่คือประเทศเนปาล ลองมองดูเด็กคนนั้นสิ เธอคนนั้นกำลังตั้งช่วยพ่อแม่ของเธอเก็บผลไม้ในสวน"

ผมเห็นเด็กผู้หญิงที่มีขนาดตัวใกล้เคียงกับผม ถ้าทางเธอจะเป็นลูกของคนงานในสวนผลไม้แห่งนี้ ผมคิดว่าเธอสมควรจะได้เค้กวันเกิด เพราะเธอเชื่อฟังและคอยช่วยเหลือพ่อแม่

"เธอคนนั้นควรจะได้รับเค้กใช่มั้ยครับ"

"ใช่แล้วล่ะ"

พี่สายสืบพาผมเดินทางไปอีกหลายที่ มีเด็กหลายคนที่ได้รับการบันทึกว่าจะได้รับเค้ก แต่ก็มีบางคนที่ไม่ และเมื่อหมดภารกิจในการตามหาเด็กดี พี่สายสืบพาผมกลับมาที่โรงงานอีกครั้ง

"ตอนนี้เวลาใกล้จะถึงเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเลยวันเกิดของเธอไปแล้ว คงไม่ทันที่จะให้เธอกบับหปกินเค้กที่บ้าน พี่ได้เตรียมชิ้นเค้กที่สุดวิเศษจากโรงงานของเราไว้ให้ เธออยากเห็นหรือยัง"

"อยากครับ"

หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมจะได้ตักชิ้นเค้กใส่ปาก รสชาติของมันที่จะสัมผัสกับลิ้นของผมมันจะเป็นอย่างไรกันนะ แค่คิดถึงรสชาติที่ผมยังไม่เคยลิ้นลองนั่นก็ทำให้ใจของผมเตลิดไปไกลแล้ว ผมคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่มีอุปสรรค์ใดๆมาขวางกั้นให้ผมคลาดแคล้วกับเค้กอีกแล้ว ผมอดใจรอไม่นาน มีชายอีกคนยกถาดที่มีเคักชิ้นใหญ่วางอยู่บนนั้นเดินมายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ เมื่อเค้กเดินทางมาใกล้ๆจนผมสามารถชื่นชมมันได้อย่างใกล้ชิด ผมแทบจะน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันใจ

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1B1ZLIivAXExiWe_3AnrrAi2zvdH2WNIK6IgJN7H0AmwW3Nod3JV4b7YiKTx7jgX3NnnzqzxZoi0q93Zh-kFAEsBU9kei4SmNLwWNA8FobI6fHysVGjNcavFfZGGqHxefIvZc2rhsVn0/s640/blogger-image--1001885683.jpg
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

"ผมกินเค้กได้หมดทั้งก้อนเลยใช่มั้นครับ"

"ใช่แล้ว"

ผมถามด้วยความตื้นตันใจ คำแรกที่ผมหยิบเข้าใส่ปากคือสตอร์เบอรี่ที่เคลือบด้วยช็อกโกแลต ผมน้ำตาแทบเล็ดเมื่อได้ชิมรสชาติของผลสตอร์เบอรี่สดบวกกับช็อกโกแลตชั้นดีที่ผมไม่เคยสัมผัสมาเลยในชีวิตนี้ ชิ้นต่อไปผมใช้ช้อนตักไปที่เนื้อเค้ก บรรจงตักออกมาอย่างพอดีคำและนำมันเข้าไปในปาก สัมผัสแรกที่ก้อนชิ้นเค้กสัมผัสกับลิ้นของผม ผมไม่กล้าที่จะเคี้ยวมัน ปล่อยให้ต่อมสัมผัสบนลิ้นรับรสชาติของก้อนชิ้นเค้กอย่างยาวนานจนผมพอใจ แต่เมื่อคิดถึงยังมีเค้กก้อนใหญ่ที่เป็นของผมคนเดียวรออยู่ ผมจึงขยับปากเคี้ยวเค้กคำแรกของผมอย่างละเอียดละออ

ก้อนเค้กชิ้นใหญ่สำหรับ 4 ถึง 5 คน แต่เค้กก้อนใหญ่นี้ถูกผมจัดการด้วยคนเพียงคนเดียวโดยใช้เวลาไม่นาน อาจเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้จัก ผนวกกับความหอมหวานและกลมกล่อมที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ทำให้ไม่แปลกเลยที่ผมจะจัดการก้อนเค้กชิ้นใหญ่นี้ได้เพียงคนเดียวในเวลาไม่นาน พี่สายสืบเตรียมน้ำส้มไว้ให้ผมหนึ่งแก้ว ผมดื่มมันทันทีที่จัดการเค้กจนหมดจาน

"ผมมีความสุขมากเลยครับ ผมจะไม่ลืมเรื่องราวในวันนี้ไปตลอดชีวิต"

ผมพูดจบแล้วก็เริ่มง่วงนอนผลอยหลับไปจากความเหนื่อยล้า แต่ยังได้ยินคำพูดที่พี่สายสืบตอบกลับมา

"เธอคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้านของเธอ คืนนี้ขอให้หลับสบายในคืนวันเกิดปีที่ 11 นะ"

...

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าบนเตียงที่เดิมในห้องเล็กๆของผม ผมงัวเงียและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ผมคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเกิดขึ้นได้จริง มันอาจจะเป็นแค่ความฝันในคืนวันเกิดของผมจากความกระหายอยากกินเค้กของผม ผมลุกขึ้นมาจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะพับผ้าห่มไว้อย่างดี ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะออกไปทำงาน

ป้าของผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง

"เมื่อคืนกลับบ้านดึกนะ"

คำแรกที่ป้าของผมทักมา ผมยังสับสนอยู่ว่าเมื่อคืนผมกลับมาที่บ้านกี่โมงกันแน่ แต่ก็ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษไปก่อน

"อ่อ เมื่อคืนพี่ที่หิ้วหลานมาส่ง เค้กที่พี่เขาให้ป้าไว้อร่อยมาก ในชีวิตนี้ป้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลยฝากขอบคุณเขาด้วยนะ"

ผมรู้สึกแปลกใจกัยลบคำพูดของป้า 'เค้ก' 'พี่คนนั้น' หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝันไป ผมนึกย้อนไปถึงรสชาติความหอมหวานของเค้กที่ผมได้สัมผัส ผมยังจดจำรสชาตินั้นได้อย่างตราตรึง มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน

"เค้กที่เขาให้มาก้อนใหญ่มากป้ากินไม่หมด ถ้าหลานหิวก็มากินต่อไปได้ เดี๋ยวป้าออกไปทำงานก่อน"

ป้าของผมพูดจบก็เก็บของใส่กระเป๋าออกจากบ้านไปทำงาน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่สักพัก ก่อนจะได้สติเดินไปที่โต๊ะและค่อยๆเปิดกล่องกระดาษออกมาดูว่าข้างในมีอะไร

ผมจำได้ทุกรายละเอียดของเค้กก้อนนี้ ลักษณะมันเหมือนกับเค้กก้อนเมื่อคืนที่ผมได้ลิ้มลอง ผมตักมันเข้าปากหนึ่งชิ้น ทำให้ผมรู้สึกคุ้นชิ้นและคำพูดของป้าทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ฝันไป

วันนี้ผมออกจากบ้านไปทำงานด้วยหัวใจที่พองโต กะเอาไว้ว่าจะต้องเดินผ่านร้านเค้กที่ผมเข้าไปเมื่อคืนนี้ ผมตั้งใจเดินออกไปตามเส้นทางปกติที่ผมไปทำงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ที่ผมจำได้แม่นยำว่าเป็นสถานที่ที่มีร้านเค้กมาตั้งอยู่เมื่อคืน ปรากฏว่ามันกลายเป็นห้องแถวร้างที่ไม่มีสิ่งของใดๆอยู่ข้างใน ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานก็รู้ว่าเมื่อคืนคงเป็นคืนมหัศจรรย์สำหรับผม และคงมีจะมีแค่คืนเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่มันเกิดขึ้นกับผมต่างหากล่ะ แม้จะแค่ครั้งเดียวในชีวิตแต่ผมก็จะไม่มีวันลืมมันไปได้อย่างแน่นอน


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ความทรงจำที่หายไป

ธวัชชัยกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บอุปกรณ์เครื่องมือลงในกล่องเหล็ก หลังจากที่เขาประกอบชิ้นส่วนของเพลาล้อของรถกระบะคันใหญ่เสร็จ ธวัชชัยขับเคลื่อนมันออกไปจอดที่ลานกว้างหน้าอู่เพื่อรอเจ้าของมารับมัน โดยที่เขาแอบสังเกตใครบางคนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ชายชุดดำคนที่น่าสงสัยนี้ธวัชชัยเริ่มสงสัยถึงพฤติกรรมแปลกๆมานานแล้ว ในทุกวันเวลาใกล้เย็น ชายชุดสูทสีดำจะแต่งกายชุดเดิมทุกวันมานั่งยังร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนเพียงใด แต่เครื่องแต่งกายของชายคนนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ธวัชชัยเริ่มเห็นบุคคลผู้นี้มาได้เกือบจะครบเดือนแล้วที่มานั่งเฝ้าคอยเหมือนจะต้องการเฝ้าสังเกตใครสักคน และคนที่ธวัชชัยคิดว่าชายชุดดำคนนั้นเฝ้ามองก็คือตัวของเขาเอง

เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังถูกเฝ้าจับตามอง ธวัชชัยก็แอบเฝ้ามองชายชุดดำนั้นด้วยเหมือนกัน เพียงแต่เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกแอบเฝ้ามองอยู่ และวันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน พอใกล้จะถึงเวลาปิดอู่ซ่อมรถ ชายชุดดำก็ทำท่าทางจดบันทึกอะไรสักอย่างลงไปในสมุดและลุกเดินออกไป เมื่อเห็นชายชุดดำเดินพ้นจากสายตาไปแล้ว ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องเตรียมเก็บของและปิดประตูเหล็กหน้าร้านลง

ธวัชชัยค่อยๆขับรถบนถนนที่การจราจรติดขัดผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ วันนี้เป็นวันหยุดสิ้นเดือนผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมา มีทั้งครอบครัวเพื่อนฝูงมากันเป็นกลุ่ม ตอนนี้รถจอดนิ่งสนิทแล้วเพราะติดไฟแดง ทำให้สายตาของเขาไปตกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งที่เดินจูงมือกันมา 3 คนมีพ่อแม่ลูกเดินหยอกล้อกันดูสนิทสนมกลมเกลียว ธวัชชัยมองภาพนั้นแล้วทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกลับบรรยากาศแบบนี้ยิ่งนัก แต่ไม่ว่าธวัชชัยจะพยายามนึกเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถดึงความทรงจำอะไรออกมาได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้

'ปรี๊น...!!'

เสียงแตรดังจากรถคันข้างหลังเพื่อจะส่งสัญญาณให้ธวัชชัยเหยียบคันเร่งไปข้างหน้า เนื่องจากไฟเขียวแล้วแต่เขายังทำสายตาเหม่อลอยเมื่อพยายามคิดถึงความรู้สึกที่ขาดหายไปนั้น ธวัชชัยตัดสินใจเลี้ยวรถยนต์เข้าไปจอดในห้างใหญ่ จากนั้นที่ลานกว้างหน้าห้างมีลานเบียร์ที่ผู้คนยังไม่ค่อยหนาแน่นนัก เขาเดินไปนั่งโต๊ะกลางลานเพื่อเฝ้าสังเกตโต๊ะอื่นๆที่มากันหลายคนแทบจะทุกโต๊ะ ธวัชชัยสั่งเบียร์มาหนึ่งขวดมาตั้งไว้ที่โต๊ะแต่เขาไม่สนใจมันเลย สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือเพื่อนๆหรือคนรู้จักของเขาหายไปไหน ไม่ใช่ว่าเขาจะมานั่งรอใครบางคนแล้วรอให้คนๆนั้นมาถึง แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือเขาไม่มีความทรงจำถึงใครเลยสักคนเดียวที่จะเรียกมานั่งดื่มกินเหมือนโต๊ะข้างๆได้

ธวัชชัยยังใช้สิทธิ์นั่งที่โต๊ะต่อไปเพราะเขาสั่งเบียร์มาแล้วหนึ่งขวดแต่เขาไม่แตะมันเลย เมื่อธวัชชัยไม่สามารถย้อนความทรงจำในอดีตถึงใครได้เลย เขาจึงพยายามคิดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ และในอนาคตเขาคิดถึงสิ่งใด

คราบเหงื่อจางๆเริ่มซึมออกมาจากใบหน้าของธวัชชัย ทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีวี่แววของคลื่นความร้อนใดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับเหงื่อเต็มใบหน้าเพราะว่าเขานึกอะไรไม่ออกเลยถึงคำถามที่เขาตั้งขึ้นมาในใจเมื่อสักครู่นี้ ธวัชชัยรู้แต่เพียงว่าแค่ช่วงชีวิตประจำวันนี้ เขาตื่นนอนก็ออกจากบ้านมายังอู่ที่เขาเองเป็นเจ้าของมัน ความทรงจำในชีวิตของเขามีเพียงเท่านี้เอง

นี่เพิ่งเริ่มจะหัวค่ำไม่นาน ธวัชชัยค่อยๆขับรถไปอย่างเชื่องช้า ในหัวสมองเขาตอนนี้ไม่อยากจะคิดอะไรแม้สักเรื่องเดียว ธวัชชัยคงคิดว่าความทรงจำในอดีตนั้นมีค่ามหาศาลในยามที่เขาไม่มีมัน

ทันใดนั้น! แสงไฟจากหน้ารถคันอื่นสาดเข้ามาจากทางด้านซ้ายของเขา ธวัชชัยพุ่งออกมาจากทางแยกโดยที่ลืมสังเกตรถยนต์ทางซ้ายมือที่พุ่งมาด้วยความเร็ว ระยะห่างไม่ถึง 20 เมตร เสี้ยววินาทีนี้เขามองแสงไฟนั้นด้วยความไม่ตื่นตระหนก เหมือนเขาไม่กลัวอะไรเลยกับความตายที่เข้ามาอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรืออาจจะเป็นเพราะในเมื่อเขาไม่มีอดีตความทรงจำใดๆเหลืออีกต่อไป เขาคงไม่ต้องแคร์อะไรอีกต่อไปแล้ว

'เอี๊ยด...!!'

รถคันที่พุ่งมาทางซ้ายหักหลบไปทางด้านหลังอย่างฉิวเฉียด ธวัชชัยพยายามตั้งสติและขับรถยนต์ต่อไปจนถึงบ้านพักของเขา เมื่อรถยนต์จอดหน้าบ้าน เขาเดินลงจากลดแล้วมองไปที่เพื่อนบ้านหลายๆหลังที่อยู่ติดกัน แต่นั่นไม่ทำให้ธวัชชัยคุ้นตาเลยสักนิดเดียว เขาแทบอยากจะเดินไปเคาะประตูบ้านข้างๆเพื่อถามว่าตัวเขาเองนั้นเป็นใคร มาจากไหน และรู้จักกันหรือไม่? แต่จนแล้วจนรอด ธวัชชัยก็ไม่กล้าไปเคาะประตูบ้านของคนแปลกหน้า

ธวัชชัยเปิดประตูบ้านและสวิตซ์ไฟ เขาพยายามมองหาร่องรอยหลักฐานที่จะสามารถบ่งชี้ได้ ว่าเขาเคยเป็นใครและมีใครบ้างที่เขาเองเคยรู้จัก ที่ผนังบ้านไม่มีรูปภาพบุคคลใดๆแขวนไว้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในบ้านถูกออกแบบสำหรับคนๆเดียว โต๊ะกินข้าวก็มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ถ้วยจานชามมีพอใช้สำหรับคนๆเดียว เสื้อผ้าก็มีเฉพาะที่เป็นของธวัชชัยคนเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจลึกๆก็คือ ภาพของพ่อแม่ลูกและกลุ่มคนที่เขาเห็นหน้าห้างเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้ เมื่อนึกถึงภาพเหล่านั้นยิ่งทำให้ธวัชชัยรู้สึกว่าเขาเคยมีคนพวกนั้นอยู่พร้อมสรรพแต่เขาทำหายไป

ธวัชชัยมีแค่ความทรงจำสั้นๆว่าเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ มีอู่ซ่อมรถยนต์เป็นของตัวเองและมีลูกน้องที่อู่อีก 2 คน แต่ลูกน้องทั้ง 2 คนก็เป็นคนที่มาสมัครงานกับเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกเหนือจากเรื่องพวกนี้แล้ว ธวัชชัยไม่สามารถคิดถึงใครที่เขาเคยรู้จักได้

ธวัชชัยลืมตาขึ้นมาจากสภาวะจิตที่จมดิ่งลึก เขานึกขึ้นได้ถึงชายในชุดดำที่เขาสังเกตเห็นมาร่วมเดือนกว่าแล้ว คนๆนั้นคงจะเป็นบุคคลเดียวที่จะพาธวัชชัยย้อนกลับไปหาตัวตนของตนเองได้ เมื่อเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง ธวัชชัยจึงเลิกทำเป็นจมทุกข์และกลับไปใช้ชีวิตประจำตามปกติ

วันถัดมาธวัชชัยกลับมาทำงานที่อู่ตามปกติ เขาซ่อมรถหลายคันที่มาจอดรออยู่เต็มพื้นที่ในอู่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนเกือบถึงเวลาที่ชายชุดดำคนนั้นจะมา ธวัชชัยจึงสั่งให้ลูกน้องปิดร้านเร็วกว่าปกติ โดยที่เขาเปลี่ยนชุดแต่งตัวด้วยชุดหนังทั้งตัวพร้อมใส่หมวกกันน๊อคเพื่ออำพรางใบหน้า ธวัชชัยขี่มอเตอร์ไซค์ไปแอบรอที่มุมถนนข้างร้าน เขาเฝ้าชำเลืองมองดูนาฬิกาตลอดเวลาเพื่อคาดคะเนเวลาการมาถึงของชายชุดดำ

และเวลานั้นก็มาถึง ชายในชุดสูทขับรถเก๋งคันใหญ่มาจอดหน้าร้านอาหารร้านเดิม แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้อู่ของธวัชชัยปิด ชายคนนั้นจึงเหยียบคันเร่งออกไปทันที ได้โอกาสที่รถเก๋งคันนั้นนขับออกไปห่างจากจุดที่ธวัชชัยซ่อนอยู่ เขาจึงค่อยๆขี่รถตามดูห่างๆเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตได้

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นเริ่มไกลออกไปมากแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความพยายามของธวัชชัยลดลง และในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านของชายชุดดำ รถเก๋งเข้าจอดในบ้าน ธวัชชัยตามไปติดๆและเข้าประกบทันทีที่มีโอกาส

"สวัสดีครับ คุณคงจำผมได้นะ"

ธวัชชัยเอ่ยถาม เขาถอดหมวกกันน็อดออกเพื่อเผยใบหน้า ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหน้าซีดทันทีที่เห็นใบหน้าของธวัชชัย

"คุณคือธวัชชัย"

เสียงตอบราบเรียบที่ถูกกลบเกลื่อนความตกใจแล้ว ชายที่ยังแต่งตัวด้วยชุดดำทำสีหน้านิ่งเรียบ

"คุณรู้จักชื่อผม คุณรู้จักผม?"

ธวัชชัยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ก็... ใช่ครับ ผมชื่อพิจาน ผมว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า"

พิจานเชิญธวัชชัยเข้าไปในบ้าน เขาให้ธวัชชัยไปนั่งรอที่ชุดโซฟาเนื้อผ้าบุด้วยฟองน้ำสีน้ำเงินเข้ม ธวัชชัยไปนั่งรอด้วยดี และพิจานเดินหลบเข้าไปหลังบ้าน แต่สักพักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำ 2 ใบ และวางแก้วอีกใบไว้ที่หน้าธวัชชัย

"ก่อนอื่นเลยครับคุณธวัชชัย ทำไมคุณถึงตามมาหาผมที่นี่ได้ และมาเพื่ออะไร"

"ผมคิดว่าคุณคงจะช่วยเหลือผมได้ ผมถึงแอบตามคุณมา"

"คุณมีปัญหาอะไรให้ผมช่วย"

พิจานพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย ทำให้ธวัชชัยทำตามโดยดื่มน้ำจากแก้วไปหนึ่งอึกก่อนจะพูด

"คุณว่าแปลกไหมที่คนเราจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนในอดีตเลย ผมไม่สามารถจดจำใครได้เลย แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมเคยมีคนอยู่เคียงข้าง แต่พวกเขาหายไปไหนกัน"

พิจานหยุดนิ่งไปสักพัก เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่

"อะไรทำให้คุณธวัชชัยคิดแบบนั้น"

"คือเมื่อไม่นานมานี้ผมเริ่มมองผู้คนรอบข้าง เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนที่แต่ละคนมีให้ต่อกัน แต่เมื่อผมมามองดูตัวเองกับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับใครได้เลย และที่ผมมาหาคุณก็เพราะว่าคุณเป็นคนเพียงคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของผม"

พิจานยังคงจ้องมองดูธวัชชัยเหมือนต้องการสังเกตความรู้สึกนึกคิดภายในใจ

"ผมคิดว่าคุณคงสูญเสียความทรงจำในอดีตไป อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณทำให้สมองอาจได้รับความกระทบกระเทือน คุณไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เลยหรือครับ"

"ใช่ครับ สิ่งที่ผมรู้สึกว่าวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีแค่บ้าน และอู่ซ่อมรถ แต่เอ๊ะ? ทำไม่คุณต้องคอยเฝ้าติดตามผมมาเกือบจะครบเดือนแล้ว"

พิจานนิ่งอีกครั้ง เข้าใช้มือคลายปมเนคไทที่ปกเสื้อของเขาให้คลายความรัดตึง และยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเบาๆอีกครั้ง

"ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงไม่สามารถปิดบังอะไรคุณได้อีกต่อไปแล้ว ความจริงคุณธวัชชัยคือผู้ป่วยของผม คุณได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้หัวสมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่งผลให้ความทรงจำให้สมองถูกตัดขาดจากสามัญสำนึกได้"

ธวัชชัยยังคงสับสนกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของพิจาน แต่เขาก็ค่อยๆเรียบเรียงสิ่งเหล่านั้นในความคิดของเขาจนพอจะเริ่มเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินมา

"แต่คุณธวัชชัยไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ นอกจากความทรงจำของคุณที่หายไปแล้ว ร่างกายคุณไม่ได้รับความเสียหายเลยแต่อย่างใด และความทรงจำของคุณก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนปกติได้"

"มันจะกลับมาอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ"

ธวัชชัยถามอย่างร้อนรน

"ก็มีความเป็นไปได้ครับ แต่ผมไม่สามารถฟันธงได้"

ธวัชชัยยังคงทำสีหน้ากังวลอยู่ภายในใจของเขา

"ในระหว่างนี้ก็รอเพียงแค่เวลาที่จะช่วยรักษาคุณให้หายเป็นปกติเอง"

"จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมมีเรื่องจะขอให้คุณช่วยผมสักเรื่องจะได้หรือไม่ครับ"

"คุณต้องการให้ผมช่วยอะไร"

"ผมอยากรู้ว่าผมเคยเป็นใคร ครอบครัวผมอยู่ไหน ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขาเคยอยู่เคียงข้างผม"

"คุณอยากจะรู้อดีตไปทำไมกัน คุณคิดว่าหากรู้อดีตแล้วจะทำให้คุณมีความสุขหรืออย่างไรกัน"

ธวัชชัยยังคงทำสีหน้าสับสนกับสิ่งที่พูด แต่ในดวงตาลึกแล้วเขาก็ยังมุ่งมั่นกับความปราถนาของตัวเขาเอง

"ผมไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกว่าการดำรงชีวิตโดยขาดรากเหง้า ไม่มีซึ่งความสัมพันธ์กับผู้คน ไม่มีครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนฝูงเลย มันช่างดูเหงาโดดเดี่ยวและโหดร้ายมากเกินไป"

"เอาล่ะคุณธวัชชัย คุณไม่กลัวว่าอดีีตจะกลับมาทำร้ายคุณหรือ"

ธวัชชัยหยุดคิดชั่วครู่

"อดีตที่โหดร้ายเพียงใด มันก็ยังทิ่มแทงจิตใจของเราได้น้อยกว่าที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ผมคิดแบบนี้"

"ถ้าคุณคิดอย่างนั้น เราเก็บแฟ้มประวัติโดยละเอียดของคุณไว้ก่อนที่คุณจะเข้ารับการรักษาจากเรา ผมจะนำแฟ้มนั้นมาให้คุณ"

"ขอบคุณครับ"

เมื่อธวัชชัยพูดจบ เขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆโผล่เข้ามาในระบบประสาทของเขา ความรู้สึกนี้คืออาการเหมือนจะวูบหลับทันที แต่ธวัชชัยยังคงฝืนความรู้สึกนั้นไว้ได้ เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ หรือว่าน้ำที่ดื่มเข้าไปเมื่อกี๊นี้จะมียานอนหลับ ตอนนี้เหมือนกับตาของธวัชชัยหรือจะหรี่ลงเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคนๆนี้แล้ว

"คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ ผมอาจจะค้นหาแฟ้มให้ได้ในตอนนี้"

พิจานลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดิน ธวัชชัยได้โอกาสเขาหยิบแก้วน้ำเทใส่ปาก แต่เมื่อพิจานเดินลับหลังไปไกลแล้วธวัชชัยจึงบ้วนน้ำที่แกล้งทำเป็นดื่มใส่ลงในแก้วเหมือนเดิม เขาตัดสินใจเทน้ำที่อยู่ในแก้วลงบนโซฟาจนหมด ฟองน้ำดูดซึมกักเก็บน้ำได้ดีนัก จากนั้นธวัชชัยแกล้งทำเป็นหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาโดยใช้อาการง่วงนอนก่อนหน้านี้ที่ดื่มน้ำผสมยานอนหลับไปหนึ่งอึกเล็กๆช่วย ทำให้ไม่ดูผิดสังเกต

เวลาผ่านไปไม่นาน พิจานเดินกลับมาพร้อมกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคน

"คนไข้หลับไปแล้ว เข้ามารับตัวไปห้องแลปได้"

ธวัชชัยได้ยินคำว่าห้องแลปไม่ใช่โรงพยาบาลถึงกับแปลกใจว่าเขาเป็นคนไข้หรืออะไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่โวยวายอะไรตอนนี้

เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง กลุ่มเจ้าหน้าที่ในชุดสีขาวพากันเดินเข้าในบ้าน และค่อยๆพะยุงธวัชชัยลงเปล

"เดี๋ยวถึงห้องแล๊ปให้มัดไว้กับเตียงเลยนะ ยาจะหมดฤทธ์ภาย 2 ชั่วโมง แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปจัดการต่อเอง"

"ได้ครับดอกเตอร์"

หนึ่งในกลุ่มคนที่มาหามธวัชชัยตอบรับ ก่อนทั้งหมดจะช่วยกันหามธวัชชัยไปขึ้นรถตู้ที่มีเตียงพร้อมอุปกรณ์พร้อมสรรพและขับออกไปอย่างเงียบๆ

รถตู้จอดหน้าตึกใหญ่ เจ้าหน้าที่ 2 คนนำตัวธวัชชัยใส่เปลนอนและพาเดินเข้าไปในตัวตึก ธวัชชัยยังแกล้งทำเป็นหลับสนิทจนกระทั่งเมื่อเขาถูกพาเข้ามาในห้องๆหนึ่ง

"ดอกเตอร์สั่งให้วางคนไข้ไว้ที่เตียง และสั่งมัดไว้ให้แน่นหนา เดี๋ยวนายจัดการต่อให้เรียบร้อยนะ"

"ได้ครับหัวหน้า"

คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าสั่งงานให้ลูกน้องนำชุดสำหรับรัดตัวคนไข้ไม่ให้ขยับเขยื้อนมาใส่ให้ธวัชชัย จากนั้นเขาก็เดินออกไปทันทีโดยปล่อยให้ลูกน้องจัดการทำตามคำสั่งของพิจาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์และธวัชชัยมั่นใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่อีกคนเดินออกจากห้องไปไกลแล้ว ธวัชชัยค่อยลืมตาขึ้นก่อนจะลุกออกจากเตียง จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ทันสังเกตจึงโดนธวัชชัยชกเข้าที่ท้ายทอยเต็มแรงจนเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับนอนสลบไม่รู้ตัว ธวัชชัยไม่รอช้า เขาใช้ชุดที่เจ้าหน้าที่คนนั้นเตรียมจะนำมาใส่ให้ธวัชชัย กลับนำมาใส่ให้เจ้าหน้าที่แทนและนำตัวไปมัดติดบนเตียงอีกที

ธวัชชัยนั่งรออยู่ข้างเตียง เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นค่อยๆฟื้นจากอาการสลบ พอดูท่าทางว่าจะคุยรู้เรื่องได้ ธวัชชัยจึงลุกขึ้นไปที่เตียง

"หมอคนนั้นทำอะไรกับฉันกันแน่ เขาเป็นหมอจริงๆหรือ"

เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยังคงมีอาการตกใจและหวาดกลัว

"อย่าๆ อย่าทำอะไรผมเลย ผมมีหน้าที่แค่เข็นผู้ป่วยแค่นั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

"ฉันโดนอุบัติเหตุทำให้สูญเสียความทรงจำจริงหรือ ทำไมหมอต้องแอบวางยานอนหลับในแก้วน้ำด้วย"

"ผมไม่รู้จริงๆครับ ผมมีหน้าที่แค่ขนย้ายคนไข้เท่านั้นเอง"

ธวัชชัยดูรอบๆห้อง

"ที่นี่มันไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่"

น้ำเสียงธวัชชัยเรื่มจะดุดันขึ้นเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้ายิ่งกลัว

"เราเป็นสถาบันเกี่ยวกับสมองครับผมรู้แค่นี้เอง ไม่รู้ถึงข้อมูลของคุณว่าเป็นใครและรักษาอาการอะไร คุณต้องถามเรื่องนี้กับดอกเตอร์เอง"

"ห้องทำงานของหมอคนนั้นอยู่ที่ไหน"

ธวัชชัยคิดว่าคงไม่สามารถหาคำตอบกับเจ้าหน้าที่คนนี้ได้แล้ว

"อยู่ชั้น 2 ครับ ขึ้นบันไดแล้วไปทางซ้ายอีก 2 ห้อง หน้าห้องจะมีชื่อดอกเตอร์พิจานติดอยู่ แต่ขึ้นบันไดจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่"

"ไม่เป็นไร"

ธวัชชัยเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดของพนักงาน โดยเอาชุดมาจากชายที่โดนมัดอยู่ เขาเดินออกไปเพื่อจะหาทางไปยังห้องทำงานของหมอพิจานให้ได้ ในระหว่างทางเขาต้องคอยเดินหลบเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเพราะกลัวโดนจับได้ เขาเดินหลบเข้าไปในห้องๆหนึ่งและเห็นสิ่งที่หน้าตกใจยิ่ง คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงหัวถูกพันด้วยผ้า สายตาคู่นั้นดูเหม่อลอยและอาการชักเล็กน้อยที่ใบหน้า ทันใดนั้น! มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูห้องเข้ามาและรีบกรูเข้ามาหมายจับตัวธวัชชัย แต่เนื่องจากธวัชชัยมีความเร็วและพละกำลังที่เหนือกว่า จึงทำให้สลัดหนีออกมาจากห้องได้ก่อน และวิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

บ้านของหมอพิจาน เขาไม่ทันสังเกตเห็นคราบน้ำที่อยู่บนโซฟาแต่บังเอิญเขานั่งลงไปทับมันทำให้รู้ว่ามันเปียก เขาก้มลงไปดูใต้โซฟาเห็นหยดน้ำไหลซึมออกมาจึงทำให้รู้ว่าน้ำที่หกบนโซฟานั้นมีปริมาณมาก พิจานคิดได้ทันทีว่าธวัชชัยไม่ได้กินยานอนหลับที่เขาแอบผสมให้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเข้ารีบคว้ากุญแจรถและขับมันออกไปจากบ้านทันที

ธวัชชัยหนีเข้ามาในห้องน้ำ เขามองหน้าตัวเองในกระจกและถึงกับตกใจ แม้จะรู้ว่านี่คือใบหน้าของตนเองแต่เขาก็ไม่คุ้นเคยเลยสักนิดเดียว ธวัชชัยคิดได้ว่าเขาโดนอุบัติเหตุมาตามคำบอกเล่าของหมอพิจานจึงหาร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเขา แต่เขาก็ไม่เจออะไร และที่หัวของเขาก็ไม่มีร่องรอยการผ่าตัดใดๆ ตอนนี้เขาสับสนไปหมดแล้วว่าคำพูดของหมอพิจานจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเขา

ธวัชชัยไม่ปล่อยให้ความสงสัยอยู่กับเขานาน ทางเดียวที่เขาจะรู้ความจริงได้คือต้องไปหาแฟ้มข้อมูลในห้องทำงานของหมอพิจาน เขารีบออกจากห้องน้ำและวิ่งขึ้นบันไดทันที แต่ธวัชชัยก็เจอเจ้าหน้าที่อีกหลายคนที่ยืนดักรอเขาแล้ว นั่นจึงทำให้เกิดเหตุชุลมุนไปทั่วทั้งตึก เวลาผ่านเนิ่นนาน สุดท้ายธวัชชัยก็สามารถวิ่งหนีกลุ่มเจ้าหน้าที่มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของหมอพิจานได้ เขารีบเข้าไปในห้องและล็อคกลอนจากข้างในทันที ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็พยายามพังประตูเข้าไปในห้องให้ได้ ธวัชชัยรีบลากโซฟาที่อยู่ข้างประตูมากีดขวางไว้ แต่นั่นไม่พอที่จะป้องกันการทะลายประตูเข้ามาได้ของเหล่าเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จำนวนหลายในพยายามเข้ามารุมจับธวัชชัย

แต่! เสียงๆหนึ่งดังมาจากโต๊ะทำงานของหมอพิจาน

"พอได้แล้ว! ปล่อยตัวเขาแล้วออกไปจากห้องทุกคน"

เจ้าหน้าทุกคนทำตามคำสั่งของหมอพิจานทันที ตอนนี้เหลือธวัชชัยและหมอพิจานเท่านั้นที่อยู่ในห้อง

"ผมรู้ว่าสิ่งที่หมอพูดกับผมก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก ผมไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่"

"ใจเย็นๆก่อนคุณธวัชชัย คุณเป็นคนไข้ของผมจริงๆ เราเป็นสถาบันที่ค้นคว้าวิจัยการทำงานของสมอง และเป็นเรื่องจริงที่คุณไม่ได้สูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุ แต่มีคนสั่งให้ลบความทรงจำในอดีตของคุณให้เลือนหายไป"

สีหน้าของธวัชชัยแสดงความตกใจออกมาอย่างสุดขีด

"ใครกันที่สั่งให้ลบความทรงจำของผม ผมคงจะไปล่วงรู้ความลับสำคัญของใครบางคนเข้า เขาจึงต้องการลบความจำของผม มันต้องเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คุณหมอจะต้องทำให้ผมฟื้นความทรงจำให้ได้นะ"

"ไม่ต้องห่วงคุณธวัชชัย ผมเพียงแค่ทำให้สมองของคุณมีเลือดคั่งนิดหน่อย แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง"

"จริงหรือครับคุณหมอ แต่ตอนนี้บอกผมได้ไหมว่าใครเป็นสั่งให้ลบความทรงจำของผม"

หมอพิจานเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารในตู้ และนำมันมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของเขา

"ตอนนี้ผมเข้าใจดีแล้วครับคุณธวัชชัย ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณตอนนี้คือความทรงจำในอดีต ความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และเคยทำอะไรมาก่อนทำให้คุณไม่เคยคิดถึงปัจจุบันและอนาคต คุณอยากรู้จริงๆหรือว่าใครเป็นคนสั่งให้ลบความทรงจำของคุณ"

"ใครกันครับ"

หมอพิจานหยุดนิ่งไปชั่วครู่

"คนที่สั่งให้ลบความทรงจำของคุณก็คือตัวคุณเอง"

ธวัชชัยเริ่มชินชากับความประหลาดใจใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว

"ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน มีคนบ้าที่ไหนอยากจะลบความทรงจำของตัวเอง"

"ก็คนบ้าแบบคุณนี่ไง คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง คุณเองที่บอกว่าอยากจะลืมเลือนคนในครอบครัวของคุณ"

"นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้วคุณหมอ ผมจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน"

ธวัชชัยเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งจากความจริงที่เขาเพิ่งจะได้ฟังมา

"เอาล่ะครับคุณธวัชชัย ทุกอย่างอยู่ในแฟ้มเล่มนี้แล้ว ถ้าคุณเปิดมันออกมาจะรู้ถึงสาเหตุที่คุณอยากจะลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ในตอนที่คุณมาหาเรานั้นคุณมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง คุณพยายามฆ่าตัวตายแล้วแต่ไม่สำเร็จ ผมคิดว่าวิธีการรักษาคุณคือการลบเลือนความทรงจำที่สะเทือนใจของคุณออกไป แต่วันนี้ผมคิดว่าวิธีการนี้กลับจะทำร้ายผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น"

ธวัชชัยยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังสิ่งที่หมอพิจานพูดต่อไป

"ผมจะให้แฟ้มนี้กับคุณไว้ คุณเท่านั้นที่จะตัดสินใจเองว่าจะเปิดมันออกดูหรือจะเผามัน แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าการรับรู้เหตุการณ์นั้นทันทีอาจจะส่งผลร้ายถ้าคุณเปิดอ่านมัน หรือถ้าคุณเลือกจะเผาแฟ้มนี้ทิ้งโดยไม่อ่านมัน ความทรงจำของคุณเองจะค่อยๆฟื้นกลับคืนมาเมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจจะค่อยๆชินชากับมันเองก็ได้"

....

ในบ้านของธวัชชัย เขานั่งมองดูแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่าทางของธวัชชัยยังคงลังเลที่จะเปิดมัน เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากของหมอพิจาน ใจหนึ่งเขาคิดว่าหากเขาเลือกที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไว้มันก็เหมือนกับว่าเขาเลือกที่จะหลอกตัวเอง แต่ถ้าเปิดแฟ้มก็เหมือนกับเขายอมที่จะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง แต่ตัวธวัชชัยเองก็กลัวว่าเขาเองจะยอมรับมันไม่ได้

ธวัชชัยเปิดแฟ้มออกดู บันทึกของหมอพิจานเขียนไว้ว่า

'ผู้ป่วยมีอาการของโรคซึมเศร้าอันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ไฟใหม้บ้าน ส่งผลให้พ่อแม่ของเขา ภรรยาและลูกชายอีกสองคนทั้งหมดถูกไฟครอกตาย'

เมื่อความทรงจำถูกกระตุ้น อารมณ์ความโศรกเศร้าหวนกลับคืนมาเร็วยิ่งกว่าความทรงจำทั้งหมด ธวัชชัยร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเหตุการณ์เหล่านี้มันเพิ่งจะเกิดกับเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง ความโหดร้ายแบบนี้เองที่ทำให้เขาอยากจะลบเลือนออกไปจากความทรงจำ ในคืนที่อากาศหนาวเย็นมืดมิดเช่นนี้ มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับจิตใจของเขาที่ดำดิ่งลึกลงไปเหมือนใต้ทะเลลึกนับหมื่นๆเมตร

จิตใจคนเรานี่แปลกยิ่งน้ก แม้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นยังไม่คืนมา แต่ความคาดหวัง ณ ปัจจุบันที่จะตามหาครอบครัวและลูกเมีย และเมื่อรู้ความจริงว่าพวกเขานั้นได้ตายไปหมดแล้ว ธวัชชัยก็หมดกำลังใจที่ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มไหมกับการแบกรับอดีตที่โหดร้าย หรือมันอาจจะดีเสียกว่าถ้าหากลืมเลือนความสะเทือนใจนั้นไป ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่อดีต

มันหนักหนาเกินไปที่จิตใจของธวัชชัยจะรับไหว เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยใช้ถุงพลาสติกครอบหัวและใช้เชือกมัดขอบถุงรัดแน่นกับคอ ในจังหวะที่เขายังมีลมหายใจเขาลงไปนั่งกับกับเก้าอี้และเอามือไพล่หลังไว้ ในมือข้างหนึ่งของเขาถือเคเบิ้ลไทร์ขนาดเส้นใหญ่พอที่จะรัดข้อมือของเขาให้แน่นติดดัน ธวัชชัยคล้องสายเคเบิ้ลไทร์รัดข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน

เวลาผ่านไปเกือบจะครึ่งนาที ธวัชชัยเริ่มมีอาการดิ้นทุรนทุราย ในตอนนี้มันสายไปแล้วที่เขาจะเปลี่ยนใจเพราะไม่สามารถเอื้อมมือมาฉีกถุงพลาสติกที่คลุมหัวของเขาได้ มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการไว้ด้วยสายพลาสติกที่มีความเหนียวแน่นหนา ไม่มีทางที่ธวัชชัยจะใช้แรงจากแขนดึงให้เส้นนั้นขาดได้ หากเขาปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้อีก 2 นาทีก็จะทำให้เขาหมดสติไป และถ้าผ่านเลยไปอีก 2 นาทีก็จะทำให้สมองของธวัชชัยหยุดการทำงาน

อีกเพียงไม่กี่วินาทีก็จะสมความปรารถนาของธวัชชัยแล้ว สติของเขาเริ่มจะดับลงๆเหมือนแสงไฟจากกระบอกไฟฉายที่ถูกปิดสวิตซ์ แต่ก่อนที่แสงไฟเล็กๆของธวัชชัยจะดับวูบลง มีมือๆหนึ่งมาฉีกถุงพลาสติกออกจากใบหน้าของธวัชชัย เจ้าของมือนั้นคือหมอพิจานนั่นเอง จากนั้นเจ้าหน้าที่อีก 2 คนนำหน้ากากช่วยหายใจมาครอบที่หน้าของธวัชชัย หมอพิจานตรวจวัดชีพจรก่อนจะช่วยกันแบกร่างของธวัชชัยออกไป

....

ธวัชชัยในชุดผู้ป่วยสีขาว กำลังนั่งมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย เขานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่มีสภาพไม่ต่างจากเขามากนัก คนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงกัน แต่ไม่มีใครสนใจใคร ไม่มีแม้เสียงพูดจาใดๆเล็ดลอดออกมา ตอนนี้มีเพียงแต่เวลาเท่านั้นที่จะรักษาบาดแผลในใจของธวัชชัยให้หายเป็นปกติได้


นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...