วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คนแปลกในคืนเปลี่ยว






ผมรีบจับแท๊กซี่ยังไปโรงแรมเดอะฮุคเพื่อไปยังไนท์คลับเล็กๆชั้นใต้ถุนโรงแรม ไนท์คลับมีนักดนตรีเพลงแจ๊ซขับร้องพร้อมเปียโนบรรเลง ฝนตกช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานไปสองชั่วโมงทำให้ท้องถนนในเมืองกรุงติดถนัดคล้ายกับรถทุกคันพร้อมใจกันจอดรถไว้นิ่งๆ แต่ยังพอมีเวลาผมเผื่อไว้แล้ว ผมนัดเจอกับเธอทุกๆวันศุกร์ ส่วนสถานที่แล้วแต่เธอจะกำหนด


ผมยังจำได้ในคืนวันแรกที่เจอเธอโดยบังเอิญที่บาร์แห่งหนึ่ง เธอนั่งเพียงคนเดียวหน้าบาร์ ในคืนนั้นผมแอบนั่งมองเธออยู่นานแสนนานจากโต๊ะข้างหลังก่อนที่จะย้ายไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเธอ สายตาของเราเหมือนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน เราทั้งคู่ไม่พูดอะไรแม้แต่จะเอ่ยถามชื่อ เราสองคนดื่มจนเมามาย สุดท้ายของคืนนั้นจบลงที่คอนโดของผม เราร่วมรักกัน


ในตอนเช้าของทุกวันเสาร์ เธอแต่งตัวด้วยชุดเดิมออกไปจากคอนโดก่อนที่ผมจะตื่นพร้อมทิ้งโน๊ตสั้นๆบอกถึงสถานที่นัดหมายในศุกร์ถัดไป ผมและเธอมีอะไรที่เหมือนกันคือ ผมมีภรรยาแล้ว และเธอก็มีสามีแล้ว สาเหตุที่ทำให้เราทั้งสองได้มาเจอกันอาจะเป็นเพราะเราทั้งสองอาจต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆเพื่อเจอคนใหม่ๆ สำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย


แสงไฟสาดส่องใบหน้าอันเรียว คิ้วที่วาดเป็นวงโค้งรับกับดวงตากลมโต จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ผมหยิกยาวเข้ากับรูปหน้า ผิวเธอสองสีเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟทำให้ดูโดดเด่น เธออายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่รักษาหุ่นได้ดีเหมือนนางแบบมืออาชีพ ต่างกับผมที่แม้หน้าตาผมยังคมหล่อเหลาในวัยอายุเข้าเลขสี่ แต่หุ่นที่ไม่เคยได้รับการดูแลมานานมากทำให้หน้าท้องเริ่มย้อย แขนขาหน้าอกไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หากอยู่ในชุดทำงานหรือชุดสูทก็ยังพอปกปิดได้บ้าง ผมจึงเลือกที่จะใส่สูทเวลานัดพบเจอเธอทุกครั้ง


"คืนนี้เราเจอกันครั้งที่ 7 แล้วนะครับ ทุกครั้งที่เจอกันก็แค่คืนวันศุกร์ เป็นไปได้มั้ยที่เราจะนัดเจอกันวันอื่น เวลาอื่น เพื่อไปยังสถานที่อื่นๆบ้าง" ผมพูดนำ้เสียงออดอ้อนเหมือนวัยเด็กที่อ้อนร้องขอของเล่น


"จะดีเหรอคะ การมาเจอกันในสถานที่ลับตาผู้คนแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมากกว่า" หญิงสาวไม่รับข้อเสนอโดย


ง่าย ผมไม่ยอมแพ้


"ผมอยากมีเวลาอยู่กับคุณให้มากกว่านี้ เราควรทำกิจกรรมอื่นร่วมกันบ้างเพื่อให้ทั้งคุณและผมได้รู้จักกันมากกว่านี้" ผมพูดพร้อมจ้องมองดูที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ รอยจางบ่งบอกถึงว่าเธอเคยสวนแหวนที่นิ้วแม้มันจะจางจนแทบมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเคยมีแหวนสวมอยู่



"ฉันมีความสุขแล้วค่ะกับสถานที่แบบนี้ เวลาแบบนี้" เธอปฏิเสธผมอย่างนุ่มนวลพร้อมซบหัวมาที่ไหล่ข้างซ้ายของผมบนโซฟาสำหรับนั่งสองคน ผมไม่พูดอะไรต่อได้แต่หันไปจูบที่หน้าผากเธอเบาๆ ค่ำคืนนั้นเรากับไปต่อที่คอนโดของผม เราดื่มเหล้าและนอนด้วยกันบนเตียง


ผมแต่งงานกับชลดามา 7 ปีแล้ว ว่ากันว่าคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันเกิน 7 ปี มีแนวโน้มอย่างมากที่อยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง หากชลดาไม่จากผมไปเมื่อ 3 ปีก่อน ผมคงไม่ต้องทนเหงาอยู่แบบนี้


"ชลดา คุณไม่อยู่บ้านเหรอตอนนี้ แล้วจะกลับบ้านกี่โมงกัน" ผมโทรหาเธอเมื่อกลับถึงบ้านแต่ไม่เจอใคร


"นี่คุณไม่สังเกตุเหรอว่าชั้นออกจากบ้านหลังนั้นมาเป็นเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งจะโทรมา ตลอดเวลาหนึ่งเดือนมานี่คุณได้กลับบ้านบ้างมั้ย" ชลดาตอบ


"ผมก็กลับบ้านทุกวัน แต่อาจจะดึกไปบ้าง คุณก็รู้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบผมเยอะแค่ไหน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องเตรียมสร้างอนาคตให้ครอบครัวเรา ผมทำทุกอย่างก็เพื่อคุณนะ บางวันผมไม่เห็นคุณก็นึกว่าออกไปเที่ยวหาเพื่อนบ้างหรือออกไปข้างนอก" ผมตัดพ้อที่เธอเหมือนจะจากผมไป


"หายไปวันสองวันยังพอว่า แต่คุณเห็นชั้นหายไปเป็นเดือนเพิ่งจะโทรหา งานคงสำคัญกับคุณมากกว่าชั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไปแต่งกับงานเลยแล้วกัน ตอนนี้ชั้นออกมาอยู่กับพ่อแม่ มีความสุขดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ลาก่อนที่รัก" ชลดากดสายโทรศัพท์ผมทิ้ง



ตลอดเวลา 3 ปีที่ไม่มีชลดา ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรกับชีวิตดีนอกงานทำงาน งานแล้วก็งาน ชีวิตผมเริ่มกลับมาชุ่มชื้นเหมือนสมัยเมื่อยังเป็นวัยรุ่นอีกครั้งเมื่อพบเธอใน 7 สัปดาห์ก่อน


"นี่เป็นนัดครั้งที่ 8 แล้วนะครับ" นัดครั้งนี้สถานที่เปลี่ยนเธคกึ่งผับแห่งหนึ่ง เหมือนเดิมผมสวมชุดสูทมาพบเธอ เรานั่งกันที่โซฟา เสียงดังจากดนตรีทำให้เวลาจะพูดคุยกันแต่ละทีต้องคุยกันข้างหู จึงเป็นทีที่ผมนั่งสวมกอดเธอไว้เพื่อสะดวกเวลาที่จะพูดคุยกันเพียงแค่แนบหน้าไปยังข้างหูของอีกฝ่าย บรรยากาศที่แสงน้อยและเรานั่งอยู่ในมุมที่ไม่มีคนเดินผ่าน จึงไม่เคอะเขินที่ผมจะจูบที่ริมฝีปากเธออย่างดูดดื่มเป็นครั้งคราว ผมเริ่มพูดเมื่อจูบแรกผ่านไป


"ค่ะ ทั้ง 8 ครั้งชั้นมีความสุขทุกครั้งเลยค่ะ คุณล่ะคะ" ด้วยนำ้เสียงอ่อนหวานทำให้ผมหลงเสน่ห์เธอมากขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอมีความสุข


"แน่นอนครับ ผมมีความสุขอย่างแน่นอน เป็นไปได้มั้ยที่วันพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันตอนกลางวัน ผมอยากไปกินข้าวเช้ากับคุณ อยากพากคุณไปเดินช๊อปปิ้ง กินอาหารกลางวันในร้านสวยๆอาหารดีๆ ไปดูหนัง ดินเนอร์ด้วยร้านอาหารที่เปิดเพลงเบาๆ และผมอยากพาคุณไปนอนดูดาวที่ทะเลใกล้ๆ" ผมพยายามพูดให้ดูน่าสนใจเผื่ออีกฝ่ายจะรับข้อเสนอ


"ฟังดูน่าสนใจค่ะ แล้วชั้นจะให้คำตอบอีกทีนะคะ สำหรับตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ชั้นยังไม่อยากคิดเรื่องของวันพรุ่งนี้" เธอใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดที่ตัวผมแรงขึ้น ใบหน้าซุกไซร้ที่แผ่นอกของผมแนบแน่น ผมชำเลืองมองหน้าเธอที่หลับตาพริ้มเหมือนลูกแมวน้อยที่นอนซุกไซร้หาไออุ่นจากแม่แมว มุมปากเธอมีรอยยิ้มแฝง


เหล้าหมดไปครึ่งขวดแล้ว เวลาเริ่มดึก ฟลอร์เต้นรำคนเริ่มพลุกพล่าน เธอลุกขึ้นโดยพลันฉุดมือผมลุกขึ้นไปยังฟลอร์เต้น ผมยื้อยุดเล็กน้อยเพราะผมเริ่มประหม่าที่จะออกไปเต้นท่ามกลางผู้คน แรงดึงจากเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัดสินใจปล่อยตัวไปตามแรงฉุด และแรงดึงดูดจากตัวเธอ แต่ไม่ลืมที่จะถอดเสื้อนอกออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตผูกไทด์


คู่หนุ่มสาวยืนโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลงที่เร็วและสนุก ผมเริ่มต้นด้วยการยืนต่อหน้าเธอ จ้องไปที่หน้าเธอ ผมเริ่มเมาแล้วพร้อมที่จะทำอะไรบ้าๆอย่างที่คนวัยอย่างผมน้อยคนนักจะกล้าทำกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ออกมาเต้นรำกลางฟลอร์ดิสโก้เธคผ่านมากี่ปีแล้ว มือเท้าผมแข็งไปหมดโชคดีที่เธอเต้นนำ ผมตาม ด้วยจังหวะดนตรีที่เร้าใจปนผลจากแอลกอฮอลล์ที่ดื่มเข้าไป ผมเต้นสนุกสุดเหวี่ยง ปล่อยกายใจไปตามอารมณ์ สิบกว่าปีที่ผ่านมานี่ผมมัวไปทำอะไรอยู่ บนโลกเรานี้มีอะไรให้ค้นหาให้สนุกอีกมากมาย


เราสองคนกลับมานั่งที่โต๊ะ กับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายอย่างผมพอได้ออกแรงนิดหน่อยก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้ แต่ผมเริ่มไม่แน่ใจที่หัวใจเต้นแรงเพราะได้ออกไปเต้นหรือหัวใจเต้นแรงเพราะอยู่ใกล้ๆเธอกันแน่ เหงื่อของผมเปียกออกมาเต็มตัว เหงื่อเธอมีเล็กน้อย กลิ่นกายของแต่ละคนดึงดูดฝ่ายตรงข้ามให้เข้าหากัน


เธคใกล้ปิดแล้ว เวลาตอนนี้ยังแค่เที่ยงคืน ผมไปดื่มเหล้ากับเธอต่อที่ร้านอาหารเล็กๆใกล้คอนโดของผม เป็นร้านธรรมดาไม่มีเพลงเปิด บรรยากาศในร้านคนคึกคัก ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทั่วไป ผมไม่ได้มาสถานที่แบบนี้นานมากแล้ว


"คุณเคยมาสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอคะ ถ้ารู้ว่าคุณชอบแบบนี้ต่อไปชั้นจะได้นัดคุณมาร้านแบบนี้ดีกว่า" ผู้หญิงที่ผมหลงเสน่ห์เอ่ยถาม


"ผมไม่ได้มาเที่ยวที่แบบนี้นานแล้วครับ เมื่อได้กลับผมรู้สึกว่าที่นี่กับร้านแพงๆมันไม่ได้มีอะไรที่ต่างกันเลย จะต่างก็ต่างกันที่ราคา ไม่ว่าจะนั่งร้านแบบไหนความสุขที่ได้นั่งดื่มกินมันขึ้นอยู่กับว่าเรานั่งกับใครมากกว่าครับ ถ้าผมได้นั่งกินข้าวกับคุณทุกคืน ต่อให้เป็นนั่งกินที่บ้านผมก็ว่ามีความหมายกว่าสถานที่แพงๆเป็นไหนๆ" ผมบรรยายความรู้สึกที่ออกมาจากใจ


"แหม! ทำเป็นพูดดีไป" หญิงสาวเขินอาย


"คำขอวันพรุ่งนี้ว่ายังไงครับ ผมรอคำตอบอยู่" ผมถาม


"มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่ะ " เธอตอบ


"ครับ" ผมรับคำ พร้อมยกแก้วเหล้า เหล้าไทยราคาถูกผมยกดื่มอย่างลื่นคอ คืนนี้จบลงที่เดิม แต่เช้าวันใหม่ผมตื่นมาพร้อมเธอ ผมตื่่นเร็วกว่าปกติในวันหยุด พาเธอไปกินอาหารเช้าในตลาดโต้รุ่งใกล้ที่พัก


"ปกติคุณมากินอาหารแบบนี้บ่อยมั้ยคะ" เธอถาม


"ไม่ครับ ผมไม่เคยมายังตลาดที่นี่ตอนเช้าเลย ไม่รู้จริงๆว่ามีของขายในสถานที่แบบนี้ด้วย ปกติผมตื่นเช้าก็ตรงไปทำงานเลย ถ้าเป็นวันหยุดผมจะนอนจนถึงบ่ายๆและตื่นไปห้าง" ผมตอบตามความจริง


"แต่ต่อไปผมคงตื่นเช้าขึ้นเพื่อมาหาอะไรกินที่ตลาด" ผมตอบอีกครั้ง


"ดีค่ะ เป็นเรื่องที่ดี" เธอตอบ


เมื่อกินเข้าเสร็จเราเดิน


"สร้อยพร้อมจี้เส้นนี้เหมาะกับคุณ ผมซื้อให้คุณแทนคำขอบคุณของผมที่คุณยอมออกมาเดินเที่ยวห้างกับผมในครั้งนี้" ผมหยิบสร้อยในตู้โชว์ของร้านก่อนจะปลดตะขอและสวมไว้ที่คอของเธอ


"ขอบคุณมากค่ะ คุณช่างตาแหลมจริงๆ เลือกสร้อยที่สวยที่สุดในร้านออกมาได้" เธอตอบ


"เดี๋ยวเราขึ้นไปเลือกดูโปรแกรมหนังกันเถอะ อาทิตย์นี้มีหนังเข้าโรงใหม่ๆหลายเรื่องเหมือนกันนะ" ผมชวนเธอ


"กว่าจะถึงเวลาที่หนังฉายยังอีกนาน เราไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนดีกว่าครับ" ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่ว และตอนนี้เที่ยงตรงพอดีผมเลยชวนเธอไปทานข้าว


"หนังสนุกมากเลยค่ะ เสียดายที่ตอนท้ายทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" หลังดูหนังจบเราทั้งคู่คุยถึงภาพยนตร์ที่เราเพิ่งดูกันมา


"ผมว่าเค้าผูกเรื่องได้ดีนะ สร้างได้สมจริงดี ทุกอย่างบนโลกนี้มันไม่ได้สวยหรูเหมือนที่เราอยากจะให้เป็น" ผมพยายามพูดให้ดูเท่ๆเข้าไว้


"ผมขออนุญาติพาคุณไปทะเลนะครับ เราจะไปดินเนอร์กันที่ริมชายหาด และเราจะนอนดูดาวด้วยกัน" ผมชวนเธอไปทะเลใกล้ๆ ผมขับรถออกจากเมืองตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมง กว่าจะไปถึงทะเลก็หัวค่ำพอดี


โชคดีที่วันนี้การจราจรค่อนข้างจะคล่องตัว ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วไม่มากนัก ระหว่างทางเราพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและวางแผนการของคืนนี้ไว้แล้ว


เราตะเวนหาที่พักที่มีบรรยากาศตามที่เราต้องการ ในที่สุดก็เจอบังกะโลที่พัก ค่าห้องที่นี่ไม่แพง ที่นี่แลดูเป็นธรรมชาติมาก ผมและเธอตกลงว่าจะพักค้างคืนกันที่นี่


หลังจากเก็บของ และอาบน้ำเสร็จ ผมแต่งตัวเพื่อจะออกไปหาร้านอาหาร แต่วันนี้ผมเลือกที่จะใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ เธอเช่นกันที่แต่งตัวสบายๆโดยสวมชุดเดรสยาวสีส้มลูกกวาด รวบผมด้วยผ้าคาดผมสีเดียวกันกับชุด สวมกำไรลูกปัดสลับสี และสร้อยพร้อมจี้ที่ผมซื้อให้เธอ


เราสั่งอาหารทะเล เครื่องดื่มวันนี้ผมเลือกเป็นไวน์ขาว พอสั่งอาหารและเครื่องดื่มเสร็จ ผมมองไปที่บนเวที นักดนตรีร้องพร้อมเกากีตาร์เพลง Have I Told You Lately เมื่อจะเริ่มตั้งใจฟัง บทเพลงก็มาถึงเนื้อร้องท่อน


You fill my life with laughter


And somehow you make it better


Ease my troubles that's what you do


There's a love that's divine ......


ผมกุมมือเธอแน่นและตั้งใจฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์


"พรุ่งนี้เป็นอาทิตย์ คุณคิดว่าเราควรจะพักผ่อนต่อที่นี่อีกวันดีมั้ย พรุ่งนี้เราจะได้เล่นน้ำกัน หรืออาจจะหาเช่าสกูตเตอร์มาขี่ ตอนเย็นถ้ายังไม่อยากกลับก็นอนต่อที่นี่อีกหนึ่งคืน คุณคิดว่ายังไงครับ" ผมถามเพราะอยากต่อเวลาอยู่กับเธอให้มากขึ้น


"วันจันทร์คุณไม่ต้องรีบไปทำงานเหรอคะ ถ้าไม่ไปทำงานบริษัทไม่ว่าอะไรคุณเหรอ" เธอถาม


"ผมไม่แคร์ ผมคิดว่ากำลังจะลาออกจากบริษัทบ้าๆนั่นอยู่พอดี" ผมตอบตามความเป็นจริง


"ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรกับที่ทำงานหรือเปล่า" เธอถาม


"ผมคิดว่าอยากให้เวลากับตัวเองและคนรอบข้างให้มากกว่านี้ครับ งานของผมถึงแม้จะได้เงินเยอะ เงินเดือนที่ได้ก็คุ้มค่ากับแรงงานที่เราทำบางทีก็เกินคุ้มซะอีก แต่ผมอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่านี้ อยากลองไปทำอะไรใหม่ๆ เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ อยากอยู่กับคนที่ผมรักตลอดเวลา" ผมอธิบายแรงปรารถนาให้เธอฟัง


"โรแมนติกจัง" รอยยิ้มของเธอทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่มอง


เราทานอาหารเสร็จ ไวน์หมดไปหนึ่งขวด จากนั้นเรากลับไปยังบังกะโลที่พักของเรา สาเหตุที่เราเลือกพักที่นี่เพราะบังกะโลอยู่ติดชายหาด และยังมีเตียงนอนด้านนอกของห้องให้เราสามารถนอนฟังเสียงคลื่นที่ชายหาดพร้อมมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าได้ด้วย


เรานอนกันคนละเตียงแต่ผมก็เอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ นอนโดยไม่พูดอะไรตาจ้องมองที่ดวงดาวบนฟ้า หูรับฟังเสียงคลื่นที่กระทบฝั่ง ใจเราล่องลอยเหมือนกับทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน


"คุณครับผมมีเรื่องนึงที่อยากจะบอก" ผมทำลายความเงียบด้วยการชงคำถาม


"เชิญค่ะ" เธอรับฟัง


"หากคุณไม่รังเกียจ กรุณาแต่งงานกับผมได้มั้ยครับ" ผมพูดขณะที่ตายังจ้องบนท้องฟ้า สักพักผมหันหน้าไปมองหน้าเธอก่อนจะพูดอีกครั้งว่า


"ไม่สิ ช่วยแต่งงานกับผมอีกรอบได้มั้ยครับ ชลดา" ผมถามอย่างเปิดเผย


"ตกลงค่ะคุณเมธาวี" เธอตอบ


------------------------------------------------------


วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นิพพานที่ต่างกัน





ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง กระแสสังคมสมัยใหม่พัดไหลเชี่ยวทะลายกำแพงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน หนังละคร เพลงสมัยนิยมหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การควบคุม เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมีการแสดงที่เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเข้ามาเสริมในงานวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี



"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น



"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้

_________________

หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก



โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน



"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"



หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง

เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที



"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"



"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"



"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"



เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ



"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"



ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ



"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"



"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"



หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า



"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."



เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ



"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"



เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว



"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง



"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"



ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง



"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"



เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม



"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"



ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า



"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"



แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน



______________________





เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้



อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว



บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน



เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า



ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน



"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"



เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย



"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"



อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก



"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"



เจ้าอาวาสเอ่ยถาม



"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้นหนทางแห่งนิพพานเลย สู้ออกมาเป็นฆราวาสยังพอจะหลบหลีกหนีหาหนทางสงบได้ง่ายกว่า"







อดีตเจ้าอาวาสอธิบาย



"สิ่งที่โยมพูดก็มีเหตุผล ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็เป็นได้แค่เพียงยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ พอเริ่มไม่สบายนิดหน่อยก็หายาพวกนี้มากินเม็ดสองเม็ดเพื่อให้อาการบรรเทาลง เจ็บป่วยอีกก็กินยาอีกโดยไม่เคยคิดที่จะออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงอย่างแท้จริง เหมือนกับที่ไม่ยอมฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้อาตมาเองก็คงไม่คาดหวังที่จะให้คนทุกคนที่มาวัดนั้นได้ซึมซับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงหรอก คงจะมีแค่บางส่วนที่สามารถเข้าใจพระพุทธศาสนาได้บ้าง ส่วนที่เหลืออาตมาก็คิดว่าคงเป็นได้แค่ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็พอแล้ว"



เจ้าอาวาสเสริม



"มันก็คงเหมือนกับแนวคิดบัวสี่เหล่า เราคงไม่สามารเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลวงพ่อจำตอนที่องค์ชายมีคนรักเป็นหญิงสาวชาวป่าได้หรือไม่ครับท่าน"



อดีตเจ้าอาวาสถามเจ้าอาวาส



"อืมมม! องค์ชายและหญิงสาวชาวป่าคงจะเป็นคู่ที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน จึงทำให้ทั้งสองเป็นคู่แท้ซึ่งกันและกัน แม้แต่ยศถาบันดาศักดิ์ที่ต่างกันก็ไม่สามารกีดขวางความรักของทั้งคู่ได้ เอ๊ะ! ถามแบบนี้หรือว่าโยมกำลังคิดจะแต่งงาน"



เจ้าอาวาสถามกลับ



"ใช่แล้วหลวงพ่อ แต่ผมอายุปูนนี้แล้วคงจะไม่จัดงานพิธีอะไรให้วุ่นวายหรอกครับท่าน"



"อืมมม! อาตมาเข้าใจแล้ว คนแต่ละคนก็มีวิถีที่ต่างกัน แม้จุดมุ่งหมายจะเหมือนกัน นิพพานที่ต่างกัน"





อดีตเจาอาวาสกราบลาเจ้าอาวาสก่อนที่จะเดินออกจากโบสถ์ไป

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำหนักกุ้งที่หายไป



สุชาติเดินเลือกไซส์กุ้งสดจากฟาร์มกุ้งเจ้าประจำ ระหว่างกำลังเพลิดเพลินกับการดูกุ้งในถังน้ำแข็งเฮียง้อเจ้าของฟาร์มเดินเข้ามาทักอย่างสนิทสนม

"วันนี้อยากได้กุ้งไซส์ไหนดีคุณสุชาติ" เฮียถามอย่างเป็นกันเอง

"อ่อเฮีย ผมอยากได้กุ้งไซส์ใหญ่เพื่อเอาไปทำฉู่ฉี่ให้เพื่อนๆผมน่ะครับ พอดีเพื่อนมาเที่ยวบ้านเลยว่าจะเอาไปเยอะหน่อย" สุชาติโกหกเฮียว่าจะเอากุ้งไปทำอาหารแต่ความจริงเค้าจะเอากุ้งไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ที่บ้าน

ความจริงแล้วสุชาติเป็นคนที่ชอบกินกุ้งเป็นชีวิตจิตใจ เค้าชอบมาซื้อกุ้งจากฟาร์มแห่งนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์สุชาติจะต้องกินกุ้งอย่างน้อยหนึ่งมื้อ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้สุชาติต้องเลิกกินกุ้งไปตลอดชีวิตเพราะว่า เมื่อเดือนที่แล้วเค้าตัดสินใจไปหาหมอเพราะว่าก่อนหน้านี้หลายเดือนสุชาติเริ่มมีอาการมือชาเท้าชา อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร และท้องผูก หมอบอกกับสุชาติว่าเลือดของเค้าปนเปื้อนไปด้วยสารตะกั่วจำนวนมาก ทำให้สุชาติเป็นโรคพิษตะกั่วขั้นเรื้อรั้ง เมื่อหมอซักประวัติชีวิตประจำวันอาหารการกิน สุชาติบอกว่าเค้าชอบกินกุ้งมากหมอจึงสงสัยว่ากุ้งอาจมีสารตะกั่วเจือปน หลังจากนั้นสุชาติกลับไปตรวจสอบกุ้งที่ซื้อมาจากฟาร์มของเฮียง้อ ปรากฏว่าในกุ้งแต่ละตัวจะมีเม็ดตะกั่วขนาดเท่ากรวดเม็ดทรายจำนวน 4-5 เม็ดฝังอยู่ในหัวกุ้ง หลังจากนั้นสุชาติก็เลิกกินกุ้งตลอดชีวิตแม้จะเป็นกุ้งจากฟาร์มอื่น

"คุณสุชาติเป็นลูกค้าคนสำคัญของฟาร์มเรา ถ้าขาดคุณสุชาติไปนี่ฟาร์มเราต้องแย่ๆแน่ๆเลย 55555" เฮียพูดหยอกสุชาติอย่างสนิทสนม

"เฮียก็พูดเกินไป ผมเป็นแค่ลูกค้ารายย่อยมาซื้อทีละโลสองโล เทียบอะไรได้กับร้านอาหารใหญ่ๆหลายร้านที่มาซื้อกุ้งของเฮียไปทำอาหารให้คนกิน" สุชาติพูดโต้ตอบเฮียง้อแบบไม่สบตาเฮีย

"แต่คุณสุชาติเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้อกุ้งเองจากฟาร์มมานานจนตอนนี้ผมคิดว่าคุณสุชาติเป็นเพื่อนผมไปแล้วนะครับเนี่ย" เฮียง้อตามคุยกับสุชาติอย่างสนิทสนม

"ผมต้องขอบคุณเฮียมาก ที่หลายเดือนมานี่เฮียชอบแถมกุ้งให้ผมตลอดเลย ซื้อแค่โลเดียวแต่แถมมาให้อีกโล" สุชาติพูดเหมือนขอบคุณเฮียที่ช่วยแถมตะกั่วในกระแสเลือดให้เค้าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

"เอาน่าๆ เล็กน้อยๆ ถือซะว่าเราเป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" เฮียพูดต่อ

สุชาติคิดในใจ "กัลยาณมิตรเรอะ" สุชาติเลือกกุ้งเสร็จ นำกุ้งไปชั่งกิโลและจ่ายเงิน เฮียง้อแถมกุ้งให้สุชาติเพิ่ม

เมื่อกลับถึงบ้านสุชาตินำกุ้งทั้งหมดวางบนโต๊ะ ค่อยๆแกะหัวกุ้งทีละตัวเพื่อใช้ครีมปลายแหลมความหาก้อนเม็ดตะกั่ว เมื่อพบแล้วก็ครีบเม็ดตะกั่วเก็บไว้ในขวดโหลแก้ว สุชาติแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งจนครบทุกตัวจึงปิดฝาขวดโหลเก็บไว้ ซากเปลือกกุ้งและเนื้อกุ้งที่เหลือเค้ารวบรวมและนำไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน

อาทิตย์ต่อมาสุชาติก็กลับมาเลือกซื้อกุ้ง วันนี้สุชาติขอเฮียเดินดูรอบๆฟาร์มกุ้ง เฮียง้อใจดีพาสุชาติเดินชมรอบฟาร์ม ฟาร์มของเฮียง้อเป็นฟาร์มกุ้งขนาดกลาง เลี้ยงกุ้งทั้งหมด 4 บ่อ เป็นบ่อที่ปูขอบบ่อด้วยผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ และบ่อที่ไม่ปูผ้าพีอี จำนวน 2 บ่อ ขนาดบ่อ 3.5 และ 4 ไร่ มีห้องที่ทำเป็นโรงเก็บกุ้งท้ายบ่อ

"เฮียเริ่มต้นธุรกิจนี้ได้ยังไง เริ่มมาจากไหนเหรอ" ผมถามเฮียถึงเรื่องราวในอดีต

"เฮ่ออออ" เฮียง้อถอนหายใจก่อนจะตอบคำถาม "พ่อแม่ผมเริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ตอนผมยังเล็กๆแล้ว จากเมื่อก่อนก็ยังเป็นสระเล็กๆไม่ได้มาตรฐานอะไรมาก กำรี้กำไรแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ได้เงินมาก็พอจ่ายค่าลูกน้อง สมัยก่อนในจังหวัดเราฟาร์มกุ้งมันเยอะ ราคาก็แข่งกันจนจะขาดทุนกันหมดแล้ว ตอนผมอายุได้ 15 ปี พ่อท่านก็มาตายเพราะทำงานหนัก จากนั้นอีก 3 ปีแม่ก็มาตายตามกันไป" เฮียง้อพูดถึงความยากลำบากในสมัยเด็กให้สุชาติฟัง เหมือนได้ระบายอะไรออกมา

"แล้วใครเป็นคนดูแลฟาร์มกุ้งต่อล่ะ" สุชาติถามต่อเพราะรู้ว่าเฮียแกอยากเล่า

"ตอนที่แม่เสียผมก็ดูแลต่อเลย เพราะงานทุกอย่างในฟาร์มผมรู้หมดแล้ว แต่ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ว่าหนี้สินของฟาร์มเยอะมาก เยอะจนท้อไปเลย แต่ก็ไม่อยากขายฟาร์มนะเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน" เฮียตอบคำถาม

"แล้วเฮียทำยังไงต่อ" สุชาติถาม

"ผมก็ไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมสิ เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตนิดหน่อยก็ทำให้มีรายได้ต่อเดือนมากขึ้นจนสามารถที่จะไปกู้แบงค์ไปเงินก้อนมาจำนวนหนึ่ง จึงปรับปรุงฟาร์มให้มีมาตรฐานดีขึ้น พอฟาร์มใหญ่กำลังผลิตเยอะก็แข่งราคากับฟาร์มเล็กๆจนฟาร์มเล็กๆต้องปิดฟาร์มไปเลย ผมจึงลืมตาอ้าปากได้ถึงทุกวันนี้ไง" เฮียง้อพูดอย่างภูมิใจ

เฮียง้อพาสุชาติเดินรอบบ่อจนถึงท้ายบ่อผ่านห้องที่ทำเป็นโรงคัดไซส์กุ้ง สุชาติทำทีจะขอเข้าไปดู

"เฮีย ผมขอเข้าไปดูในโรงงานนั่นหน่อยได้มั้ย อยากไปดูกรรมวิธีแยกไซส์กุ้งว่าเค้าทำยังไงกัน" สุชาติถามเฮียง้อด้วยสายตากึ่งอยากรู้อยากเห็น

"เอาะอ่อ! ค่ะๆคือว่าตอนนี้ที่โรงแยกกุ้งคนงานเพิ่งจะเอากุ้งขึ้นมาจากสระ ข้างในอาจจะวุ่นวายกัน เข้าไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก ไว้คราวหน้าละกันเนาะ เดี๋ยวจะให้เข้าไปดู" เฮียพูดกันท่าสุชาติที่จะขอเข้าไปดูในโรงงาน

"ไม่เป็นไรเฮีย ไว้คราวหน้าก็ได้" สุชาติพูดเหมือนกับจะไม่สนใจที่ถูกปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าเฮียไม่ให้เข้าไปดูแน่

วันนี้สุชาติหิ้วกุ้งกลับบ้าน 3 กิโล แน่นอนว่าบางส่วนเป็นของแถมจากเฮียง้อ สุชาติทำตามขั้นตอนเดิมคือแยกตะกั่วออกจากหัวกุ้งทุกตัว และเก็บมันใส่ขวดโหลแก้วอย่างดีมีฝาปิดมิดชิด และนำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้านเหมือนเดิม

อาทิตย์ต่อมาสุชาติโทรไปถามเฮียง้อว่าวันนี้เฮียจะอยู่ที่ฟาร์มกี่โมง เฮียบอกว่าจะอยู่ช่วงบ่ายๆ ดังนั้นสุชาติจึงเข้าไปที่ฟาร์มช่วงสายๆประมาณ 10 โมง โดยทำทีไปขอเลือกดูกุ้งเหมือนปกติ และเมื่อคนงานอื่นๆเผลอสุชาติก็ทำเป็นเดินลงไปดูบ่อกุ้ง เดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงงานท้ายบ่อ เมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ในนั่นจึงแอบเข้าไปในโรงงาน

เป็นตามที่สุชาติคิด เค้าเห็นถังพลาสติกใบใหญ่สีดำ ข้างในบรรจุเม็ดตะกั่วเม็ดเล็กๆประมาณเท่าเม็ดทรายเม็ดใหญ่ สุชาติแอบถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายเอาไว้ เมื่อสุชาติมั่นใจว่าที่ฟาร์มนี้นี่เองที่แอบยัดตะกั่วลงในกุ้งก็รีบเดินออกมาจากโรงงานอย่างทันทีโดยระวังไม่ให้ใครเห็น เมื่อออกมาสุชาติก็ทำทีเป็นเดินดูนู่นดูนี่จนเวลาผ่านไปไม่นานเฮียง้อก็กลับมา

"สวัสดีคุณสุชาติ ขอโทษทีที่ปล่อยให้รอนาน พอดีตอนเช้าไปคุยกับร้านอาหารที่มาเปิดใหม่ ไปสู้ราคากับเจ้าอื่นๆมา สรุปเป็นผมที่สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่น" เฮียง้อทักทายสุชาติอย่างอารมณ์ดี

"ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมก็เพิ่งมาก่อนหน้าเฮียไม่นานหรอก พอดีที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงน่ะ ผมเลยจะมาเอากุ้งไซส์ใหญ่ซัก 10 โลไปเลย แต่งวดนี้เฮียไม่ต้องแถมให้ผมนะ เพราะบริษัทให้งบมาแล้ว" สุชาติพูดกับเฮียด้วยสีหน้าเก็บอาการจากสิ่งที่เค้าเจอมาเมื่อซักครู่นี้ "อ่อ แล้ววันนี้ผมขอบิลเงินสดด้วยนะ พอดีต้องใช้ตั้งเบิกกับบริษัทด้วยน่ะเฮีย" สุชาติย้ำ

"ได้เลยๆ" เฮียรับปากสุชาติ

"นี่คือไซส์ที่ใหญ่และดีที่สุดของเราเลย รับประกันได้ว่าฟาร์มเราราคาดีที่สุดแล้วในจังหวัด คุ้มแน่นอน" เฮียง้อพูด

"ใช่แล้วเฮีย ผมถึงอุดหนุนฟาร์มนี้ไม่เคยเปลี่ยนไง" สุชาติตอบเฮียง้อ "เฮีย วันอาทิตย์หน้าเฮียมีธุระไปไหนมั้ย" สุชาติถามเฮียง้อ

"อาทิตย์หน้าไม่มีนะ ทำไมเหรอ" เฮียง้อถาม

"คือว่าอาทิตย์หน้าเฮียไปเที่ยวสวนของผมมั้ย เป็นสวนผลไม้ของผมเอง ได้มรดกมาจากพ่อ แต่ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้น่ะว่าสวนนั้นมีผมเป็นเจ้าของ เฮียห้ามบอกใครนะแม้แต่ลูกน้องว่าไปดูสวนกับผม" สุชาติพูดย้ำกับเฮียโดยระวังไม่ให้ใครได้ยิน

"อ่อๆ ได้ๆไม่มีปัญหา เดี๋ยวไว้วันอาทิตย์หน้าค่อยโทรนัดกันออกไปเจอข้างนอกก็ได้" เฮียง้อพูด

"งั้นวันนี้ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องรีบเอากุ้งไปให้พ่อครัวที่บริษัทจ้างมา ไว้เจอกันเฮีย" สุชาติบอกลาเฮีย เฮียง้อตอบรับ

สุชาติขนกุ้งกลับไปทำตามขั้นตอนเดิมทุกประการแต่วันนี้มีปริมาณมากหน่อย สุชาติแยกตะกั่วออกจากตัวกุ้ง เก็บตะกั่วใส่ในขวดโหล นำซากกุ้งไปทิ้งยังสวนหลังบ้าน สุชาติเอารูปตะกั่วในโรงงานที่ถ่ายมาเปิดดูเทียบกับตะกั่วในขวดโหล เมื่อมั่นใจลักษณะตะกั่วใกล้เคียงกัน สุชาติจึงได้นำขวดโหลที่ใส่เม็ดตะกั่วจำนวนมากพร้อมเอกสารจำนวนหนึ่งไปส่งยังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งมีการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อาทิตย์ถัดมาสุชาติโทรไปหาเฮียง้อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อนัดออกมาเจอกันแถวนอกเมืองในเวลาบ่ายโมง โดยไม่ลืมที่จะกำชับว่าอย่าบอกใครว่าออกมาเจอกับเค้า สุชาติไปแอบซุ่มรอเฮียง้อตั้งแต่เช้าแล้วโดยไปซ่อนตัวแถวใกล้จุดนัดพบ เมื่อถึงเวลานัดพบเฮียง้อขับรถเข้ามาเห็นสุชาติยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงถามสุชาติว่า

"อ้าว! แล้วคุณสุชาติมายังไงเนี่ย เอารถไปจอดไว้ที่ไหน" เฮียง้อถาม

"อ๋อ ผมเอารถจอดที่สวนไง แล้วก็เดินออกมารับเฮียตรงนี้ เพราะถ้านัดที่สวนเลยกลัวเฮียไปไม่ถูก" สุชาติตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมาดมั่น

"เฮีย ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ชวนเฮียมาดูสวนผมอย่างเดียวนะ" สุชาติพูด

"อ่อๆ แล้วมีอะไรอีกเหรอ ที่ชวนมาวันนี้" เฮียง้อถาม

"ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้เฮียสมนาคุณของแถมให้ผมตลอดเลย ผมรู้สึกเกรงใจเลยคิดว่าจะเอาของสิ่งนั้นมาคืนเฮียน่ะ" สุชาติพูดพร้อมจ้องตาเฮียง้ออย่างดุดัน

"อ่อๆ ถ้าคิดจะเอาเงินมาคืนให้เลิกคิดไปเลย ผมไม่เอาหรอก" เฮียง้อพูด

"ไม่ใช่เงินเฮีย แต่เป็นอันนี้" สุชาติหยิบเม็ดตะกั่ววางบนมือเฮียง้อหนึ่งเม็ด เฮียง้อก้มหน้าดูแต่ไม่ทันที่เฮียง้อจะดูเสร็จว่าเป็นเม็ดอะไรสุชาติพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น

"นั่นยังไม่หมด ยังเหลืออีกเม็ดหนึ่ง" เมื่อพูดจบสุชาติเล็งปืนมาที่หัวเฮียง้อ เหนี่ยวไกปืน .38 ทะลุกลางหัวเฮียง้อ

เฮียง้อตายคาที่ จากนั้นสุชาติรีบหลบหนีตามเส้นทางที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ สุชาติต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้เค้ามีนัดเข้ารับการรักษาโรคพิษตะกั่วที่โรงพยาบาล สุชาติตั้งใจว่าก่อนที่จะเข้ารับการรักษาทางกายเค้าอยากชำระความแค้นทางใจออกไปก่อน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สุชาติส่งตะกั่วทั้งหมดที่เค้าเก็บไว้ในขวดโหลแก้วไปให้โรงหล่อโลหะ และเอกสารนั้นเป็นแบบหัวกระสุนของลูกปืน .38 เมื่อสุชาติได้หัวกระสุนที่มาจากตะกั่วในตัวกุ้ง จึงนำหัวกระสุนนี้ไปสลับกับหัวกระสุนที่ติดมากับลูกกระสุนเดิม



เมื่อสุชาติยิงเฮียง้อตาย เค้าพูดออกมาเสียงหนักแน่นว่า "ของสิ่งไหนที่มันไม่ใช่ของเรา ก็ให้คืนเจ้าของเค้าไป ตอนนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ"


วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซุปเปอร์ไบค์ชวนเสียว



ผมนัดพบกับกลุ่มก๊วนมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่ปั๊มน้ำมันถนนสายแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่เวลา 6 โมงเช้า เส้นทางที่จะไปขี่รถคือถนนเส้นจากอำเภอแม่ริมไปยังอำเภอสะเมิง พี่ๆในกลุ่มประกอบด้วย พี่เหน่ง Kawasaki Z1000 พี่ตั้ม Suzuki GSXR1000 พี่อาร์ Honda CBR1000 พี่กิ่ม Yamaha R1ส่วนผมเด็กที่สุดในกลุ่ม ขี่ Ducati 1199 Panigale R


ยามเช้าหน้าหนาวในจังหวัดเชียงใหม่ และยิ่งถนนบนดอยที่มีป่าต้นไม้ล้อมรอบ สองข้างทางทำให้อากาศเหมาะต่อการถูกสูดเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่ โค้งบนถนนเส้นนี้เป็นโค้งที่สวย เป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้ชาวต่างชาติก็ยังยกย่องถนนเส้นนี้ เป็นถนนเส้นที่เหมาะกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะทุกโค้งบนถนนจะรับโค้งกับการเข้าโค้ง เวลาเข้าโค้งนักบิดจึงไม่ต้องชะลอความเร็วมากนัก ผมวิ่งเส้นนี้นับร้อยครั้งจนจำองศาของโค้งได้หมดแล้วครับ


รวมถึงถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ฟาร์มงู ฟาร์มผีเสื้อ ฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนพฤกษศาสตร์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ฯลฯ ที่ถนนเส้นนี้จึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หากเป็นช่วงสายๆขึ้นไปก็อาจจะมีรถวิ่งกันพลุกพล่าน ผมจึงเลือกช่วงเวลาเช้าๆในขณะที่ยังไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่


เรานัดกินกาแฟในปั๊มน้ำมันกันก่อน พูดคุยวางแผนการเดินทางตั้งใจกันไว้ว่า พอลงจากดอยผ่านอุทยานหลวงราชพฤกษ์พืชสวนโลก จะแวะร้านข้าวต้มประจำ ที่เราต้องแวะไปกินทุกครั้งหากวิ่งมาเส้นนี้ จากนั้นแต่ละคนก็เติมน้ำมันกันเต็มถัง เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมกันหมดแล้วผมจึงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์เตรียมออกตัว ผมบิดคันเร่งเล็กน้อยเสียงเครื่องยนต์ 1000cc ดังกระหึ่ม ผมเริ่มรู้สึกเกรงใจชาวบ้านแถบนั้น จึงเผลอรีบปล่อยครัชรถไหลออกจากปั๊มไป หันไปมองว่าพี่ๆออกตัวกันมาหรือยัง ปรากฏว่าพี่ตั้มเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำส่วนคนอื่นๆยังคงจอดรอพี่ตั้มกัน ผมขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปชะลอรถรอพวกพี่ๆทางแยกขึ้นดอย


ผมขับรถถึงแยกสัญญาณจราจรเลี้ยวซ้าย เพื่อขึ้นดอยไปยังอำเภอสะเมิงปรากฏว่า สัญญาณไฟเป็นสีเขียวผมจึงเลี้ยวซ้ายทันที การจราจรมีรถขับลงมาจากดอยบ้างประปราย เนื่องจากถนนเลนฝั่งผมโล่ง และยังเป็นทางตรงผมบิดคันเร่งๆความเร็วไปที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันใดนั้นรถเก๋งเลนฝั่งตรงข้ามวิ่งมาด้วยความเร็วพอสมควร แต่ยังอยู่ห่างจากผมประมาณ 100 เมตร เมื่อสังเกตดีๆผมเห็นรถกระบะคันใหญ่สีเขียว บรรทุกสินค้าทางการเกษตรเต็มลำวิ่งมาด้วยความเร็วสูง พยายามวิ่งแซงขวารถเก๋ง แล้วยังคร่อมเลนออกมาทับเลนที่ผมวิ่ง รถกระบะคงนึกไม่ถึงแน่ที่มอเตอร์ไซค์ จะมีความเร็วสูงขนาดนี้เมื่อแซงรถเก๋งมาได้ จึงรีบหักหลบเข้าเลนตัวเอง ฉิวเฉียดที่จะประสานงานกับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที ผมหัวใจหวิวๆเพียงเล็กน้อยเพราะประสบการณ์เฉียดตายจากมอเตอร์ไซค์ของผมนั้นผ่านมาเยอะแล้ว


"โครม.....ม!" เสียงรถชนประสานงานกันดังสะนั่นลั่นถนน ผมรีบสำรวจตัวเองด้วยความกังวลว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นของผมเอง และที่นั่งคร่อมอยู่บนรถจะเป็นดวงวิญญาณที่หลุดลอยออกมาจากร่างกาย ผมชะลอรถยกมือซ้ายกำมือแบมือสลับยกมือขวากำมือแบมือ ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นลงๆ สะบัดหัวซ้ายขวาๆผงกหัวขึ้นลงๆ กรอกลูกตาซ้ายขวาบนล่าง กัดลิ้นตัวเองเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ ร่างกายความรู้สึกผมก็ยังปกติดีทุกอย่างนี่ สงสัยเจ้ารถกระบะซ่านั่นจะแหกโค้งออกนอกถนนไปแล้วมั้ง น่าเห็นใจจัง ทางข้างหน้าเป็นทางตรงยาวไปน่าจะประมาณอีก 500 เมตร ผมลดเกียร์ลงเป็นเกียร์ 2 บิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ล้อหน้ายกทะยานท้าความเร็วที่พุ่งขึ้นพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มท้องถนน เมื่อมั่นใจว่ายังรับรู้ความรู้สึกสัมผัสได้ครบถ้วน ผมค่อยๆลดคันเร่งลงด้วยความเกรงใจคนแถวนั้นเรื่องเสียงเครื่องยนต์ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เห็นใครเลยซักคนข้างถนน


ในทางโค้งผมเข้าโค้งได้อย่างหมดจดไม่มีบานไม่มีพับ ก่อนที่จะเข้าในโค้งผมเข้าโค้งแบบ Counter Steering ถ่ายน้ำหนักจากสะโพกไปทางโค้ง เมื่ออยู่ในโค้งผมแบนโค้งจนเซนเซอร์ที่ตำแหน่งหัวเข่าแตะพื้น และตอนออกจากโค้งผมบิดคันเร่งเกือบหมดปลอก ในทางซิกแซกผมพลิกตัวซ้ายขวาไม่มีหลุด ความเร็วที่ใช้ในโค้งเป็นความเร็วสูงสุดที่สามารถจะใช้ได้ ผมแปลกใจเป็นอย่างมากที่วันนี้ขี่รถได้ดีเหลือเกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน พริ้วอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางตรงผมบิดคันเร่งความเร็วแตะท็อปสปีด ก่อนจะเข้าโค้งผมแบนโค้งเข่าแตะพื้นอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์มา หรือเป็นวิญญาณล่องลอยมากันแน่ ถ้าผมยังไม่เป็นวิญญาณอาจเป็นเพราะเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา เลยทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีดขี่รถได้แบบไม่กลัวตาย


อากาศบนดอยสูงสดชื่นมาก ผมขี่รถในช่วงท้ายๆของเส้นทางแบบสบายๆ ค่อยๆผ่อนคลาย ผมเปิดชีลด์หมวกกันน็อคเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ยิ่งในช่วงนี้เป็นช่วงหน้าหนาวลมที่ประทะกับใบหน้าเหมือนกับจะทำให้ผมเข้าสู่เข้าสู่ภวังค์ได้เลย ผมเริ่มเห็นผู้คนเดินทางไปมาบ้างแล้ว ทำให้อุ่นใจไปอีกระดับนึงว่าผมน่าจะยังอยู่ในภพภูมิเดียวกับมนุษย์ทั่วไป การจราจรเริ่มหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย


ในที่สุดผมก็ขี่มาถึงร้านข้าวต้มที่ประจำ ซึ่งเป็นจุดแวะพักของพวกเรา ผมเอารถไปจอดที่จอดรถประจำ ซึ่งสามารถจอดได้ 5 คันพอดี จากนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำของพวกเรา ซึ่งเป็นที่นั่งสำหรับ 6 คน ผมเปิดเมนูเพื่อเลือกอาหารและแอบชำเลืองมองเด็กเสิร์ฟ เขาเดินผ่านผมไป พรางบ่นในใจว่าทำไมไม่เอาน้ำมาให้ซักที ผมหิวน้ำแล้ว ทันใดนั้นรถกลุ่มพี่ๆค่อยๆเข้ามาจอดรถในตำแหน่งประจำของแต่ละคน พี่ๆค่อยถอดหมวกถอดถุงมือแล้วค่อยๆทยอยเดินกันมา พี่ตั้มเดินมานั่งที่โต๊ะเป็นคนแรกแต่เหมือนกับจะมองไม่เห็นผม ผมตะโกนถามพี่ตั้ม "กินข้าวต้มอะไรดีครับพี่" พี่ตั้มเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไร "พี่ตั้มๆ"


ในใจผมเริ่มวิตก นี่เราเป็นวิญญาณหรือไงนี่ ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่พี่ตั้ม "ฟ้าววววว" เสียงฝ่ามือวิ่งฝ่าอากาศ ผมรีบวิ่งไปยังกลุ่มพี่ๆที่เหลือ "ฟ้าววววว" ผมวิ่งทะลุร่างพี่เหน่ง "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพี่อาร์ "ฟ้าววววว" วิ่งผ่านตัวพึ่กิ่ม วิ่งไปดูที่รถของพี่ๆลองไล่สัมผัสดูแต่มือไม่สามารถสัมผัสได้ ในหัวผมเริ่มสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป ตายแล้วจะไปไหน ใครจะมารับไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ารถกระบะคันนั้นมันแซงรถเก๋งไม่พ้นจึงชนกับรถของผม และเสียงรถชนกันที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอุบัติเหตุของผมเองแต่จิตใต้สำนึกของผมยังเชื่อมั่นไปเองว่ารถกระบะต้องแซงพ้นและหักหลบเข้าเลนตัวเองไปแล้ว อาจจะเหมือนหนังผีฝรั่ง ที่คนตายอย่างกะทันหันมักจะไม่รู้ตัวเองตาย จิตยังคงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ จนกว่าจะมีเหตุการณ์ให้รู้ว่าตัวเองตายแล้ว จิตถึงจะหลุดพ้นไปยังสรวงสวรรค์หรือไปเกิดใหม่ได้


เสียงเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มตะโกนเสียงดังลั่นร้าน "เฮีย เกิดอุบัติเหตุบิ๊กไบค์เลยแยกทางขึ้นดอยแม่ริม ประสานงานกับกระบะขนกะหล่ำ กระบะพลิกคว่ำ 3 ตลบเลย ไอ้บิ๊กส่งข่าวมาเรียกให้ไปช่วยกู้ซากรถหน่อย" เสียงเด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเชียงใหม่ตะโกนบอกเฮียเจ้าของร้านที่กำลังปรุงหม้อข้าวต้ม เพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่กู้ภัยจากอุบัติเหตุเมื่อได้รับข้อความแจ้งจากเพื่อน






"ไหนๆ ดูซิ" เฮียเจ้าของร้านรีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นรูปภาพพร้อมข้อความที่อาสาสมัครส่งให้เด็กเสิร์ฟที่เป็นอาสาสมัครด้วยกันดู


"ข้อความบอกว่ากระบะแซงขวารถเก๋ง บิ๊กไบค์วิ่งมาเร็วกระบะหักหลบไม่ทันประสานงานกันเต็มๆ" เด็กเสิร์ฟพูดให้เฮียฟังพร้อมเตรียมส่งข้อความตอบกลับ


ผมขนลุกไปทั้งตัวไม่เว้นขนจมูกและขนในรูหู รีบวิ่งไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองไกลๆเห็นแล้วไอ้กระบะเวรนั่น ในที่สุดผมก็มั่นใจว่าผมได้ตายแล้วจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นแค่วิญญาณที่ล่องลอยไปตามอากาศ และยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ๆเคยไป เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็ไม่ตกใจอะไรไปมากกว่านี้ พยายามที่ยอมรับความตายอย่างสงบที่สุด ผมมองออกไปยังท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแดดจ้าขึ้น ผมคิดในใจว่าจะมีเทวดาลอยลงมารับตัวผมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ หรือจะมียมทูตมารับตัวผมไปสู่นรกกันแน่ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มเบาขึ้น เหมือนกับจะล่องลอยขึ้นไปยังบนท้องฟ้า เดี๋ยวซักพักวิญญาณของผมคงจะค่อยๆแตกสลายเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมค่อยๆยกแขนยื่นมือขึ้นไปสัมผัสกับแสงแดดบนท้องฟ้า รอเวลาให้พลังงานที่ก่อรูปเป็นวิญญาณนี้สลายไปกับอากาศ


วิญญาณไม่ยอมสลาย มือผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแสงแดด ผมรีบยื่นหัวเข้าไปดูใกล้ๆกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ารถคันนั้นเป็น Ducati ของผมหรือเปล่า


"น้องๆ ตกใจอะไรกัน" เฮียเจ้าของร้านสะกิดที่ไหล่ผม


"อ้าวเฮียหมู เห็นตัวผมด้วยเหรอ" ผมตกใจถามเพราะคิดว่าตัวผมเองเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้ อุ่นใจขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสงสัยว่าทำไมพี่ๆไม่เห็นตัวผมมีแต่เฮียและเด็กเสิร์ฟที่หันมามองหน้าและยิ้มทักทาย แอบคิดในใจหรือว่าเฮียกับเด็กเสิร์ฟก็เพิ่งจะตายโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันกับผม


"เห็นสิ หัวบังเต็มจอเลย อ้อ! น้องบอลนี่เอง มาช่วยกันดูซิว่าพวกนี้เป็นกลุ่มไหนเผื่อน้องรู้จัก แต่งตัวเต็มยศเลย ขี่บิ๊กไบค์มาเหรอ แล้วคนอื่นล่ะ" เฮียหมูถามพร้อมจำหน้าผมได้ ผมไม่สนใจรีบจ้องดูที่รถมอเตอร์ไซค์ว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหน


"นี่ไงเฮีย บิ๊กไบค์ตายเรียบ 4 ศพคนขับกระบะเจ็บสาหัสส่งโรงบาลแล้ว" เด็กเสิร์ฟรายงานข่าวที่เพื่อนอาสาสมัครส่งมาให้ “4 เหรอ เอ๊ะหรือว่า!ผมเริ่มคุ้นกับจำนวนตัวเลข


สภาพรถจากภาพ Kawasaki คอหัก Yamaha ล้อหลุดทั้งสองข้าง โครงรถแตกกระจาย สภาพ 2 คันนี่ไม่ต่างกันกับ Honda และ Suzuki


"เฮ้ย!" ผมอุทานเบาๆ พร้อมรีบวิ่งไปดูรถของพี่ๆ ณ ที่จอดรถ "เฮ้ย!" ผมอุทานรอบ 2 สภาพรถที่เห็นตรงหน้าสภาพไม่ต่างจากที่เห็นในอินเตอร์เน็ทเลย คอหัก ล้อหลุด โครงแตกละเอียด รอบๆตัวรถแปะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด พื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือด รอยเลือดลากเป็นทางยาวจากที่รถไปยังโต๊ะที่พี่ๆนั่งกันอยู่ ผมกลั้นใจหันหน้าไปทางโต๊ะของพี่ๆ


เหมือนเลือดบนใบหน้าผมจะพร้อมใจกันวิ่งออกไปจากที่ๆมันเคยอยู่ พี่เหน่งคอหักหัวห้อยลงไปด้านหลัง ชีลด์หมวกกันน็อคแตกเห็นดวงตาพี่แกถลน พี่ตั้มหัวหลุดคาหมวกกันน็อค หมวกวางบนอุ้งมือที่พี่ตั้มอุ้มประครองไว้ ตัวพี่แกไหล่บิดจนแขนพลิกกลับหน้ากลับหลัง พี่อาร์แขนขาหักจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ลงไปนอนกองกับพื้น พี่กิ่มสภาพศพโดยรวมสวยกว่าเพื่อน แต่ซี่โครงของแกแทงทะลุออกมาภายนอกเห็นได้ชัด มีไส้ไหลห้อยลงมากองกับพื้น ถ้าทางเหมือนพวกพี่ๆกำลังนั่งรอใครอยู่ แค่คิดถึงข้อนี้แล้วผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แขนขาผมเริ่มเป็นเหน็บกิน ขยับตัวเริ่มไม่ค่อยได้ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม


เฮียเจ้าของร้านตะโกนเรียกผม "บอล! เป็นอะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว วิ่งไปวิ่งมาพูดจาอะไรกับใครไม่รู้เรื่อง" ผมหันหน้าไปหาเฮียแต่ไม่ได้ตอบ ผมลำดับเหตุการณ์ในใจ พวกพี่คงขับรถมาแบบหน้ากระดานเรียงสอง และมาด้วยความเร็วสูง พอเจอกระบะประสานงานเหมือนกับโยนลูกโบลลิ่งกระทบพินล้มหมด "สไตค์" เลย ผมนึกถึงสภาพพวกพี่ๆที่เห็นเมื่อกี๊นี้ รวมถึงเสียงรถประสานงานที่ดังลั่นถนนที่ผมได้ยินมา ซึ่งเป็นเสียงตอนที่พี่ๆโดนชน ผมขออนุญาตเป็นลมก่อนนะครับ แล้วไว้ค่อยไปทำบุญให้พี่ๆกันทีหลัง หลังจากผมฟื้นขึ้นมาก่อนนะ






"คร่อกกกก!!"



วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โกง


สุภาพเซลแมนหนุ่มหิ้วกระเป๋าเครื่องใช้ไฟฟ้าเร่ขายตามบ้าน วันนี้สุภาพยังขายของไม่ได้ซักชิ้น ด้วยอากาศที่ร้อนและเดินมาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย เขารู้สึกเหนื่อยและหิวน้ำเหลือเกิน ท่าทางจะหน้ามืด สุภาพมองไปสองข้างทางเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง


"อ้าว!! เจอพอดี" สุภาพคิดในใจ เขารีบเดินไปยังร้านขายของชำเล็กๆที่อยู่หน้าเขาไปแค่ 10 ก้าว


"ป้าๆ ขอเครื่องดื่มเกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนเรียกป้าเจ้าของร้านที่แอบงีบบนเปลผ้าใบ สภาพร้านขายของชำเล็กๆที่ไม่มีทางเดินให้ลูกค้าเข้าไปเลือกซื้อสินค้า ลูกค้าต้องบอกกับเจ้าของร้านว่าต้องการสินค้าอะไร และเจ้าของร้านจะไปหยิบให้พร้อมคิดเงิน


"ป้าๆ เกลือแร่ขวดนึง" สุภาพตะโกนอย่างเสียอารมณ์จากความเหนื่อยและหิวน้ำ ป้าเจ้าของร้านสะดุ้งตื่นลุกขึ้นไปปิดวิทยุที่กำลังเล่นเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ พร้อมเดินไปหยิบขวดเกลือแร่ออกมาจากตู้เย็น และหยิบหลอดส่งให้สุภาพ พร้อมรับธนบัตรมาใส่ในลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเปลผ้าใบต่อ


สุภาพรีบเปิดขวดเกลือแร่ออกและเสียบหลอดดูดเข้าไป เขาดูดเกลือแร่เข้าจนเริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นจึงหันหน้ามองไปที่ป้าเพื่อรับรับเงินทอน แต่ปรากฏว่าป้างีบหลับไปแล้ว สุภาพตะโกนเรียก


"อ้าว ป้าตังค์ทอนผมล่ะ" สุภาพตะโกนบอกป้าพร้อมกับปาดเกลือแร่บนริมฝีปาก


"โทษทีๆ ป้าลืม" ป้าเจ้าของร้านลุกขึ้นจากเปลพร้อมหยิบเงินทอนในกล่องใส่เหรียญหยิบเงินให้สุภาพไป 7 บาท พอยื่นให้ป้าแกก็ลงไปนอนต่อบนเปลผ้าใบโดยไม่สนใจสุภาพต่อ


"ป้าๆ ทอนตังค์ผมไม่ครบ เมื่อกี๊ให้แบงก์ร้อยไป ป้าต้องทอนผม 87 บาท แต่นี่ให้มาแค่ 7 บาทเอง ขาดอีก 80 บาท" สุภาพท้วงพร้อมวางเหรียญเงินทอนลงบนโต๊ะ


"หนูให้แบงก์ 20 ป้ามานะ ทอน 7 บาทก็ถูกแล้วนี่" ป้าลุกขึ้นมาจากเปลและตอบสุภาพไป


"ไม่ใช่แล้วป้า ผมยื่นแบงก์ร้อยให้เลย ป้าทอนผมไม่ครบ อย่างนี้ก็โกงกันนี่"


"จะให้ป้าทำยังไง ก็หนูให้แบงก์ 20 ป้ามาแล้วป้าจะเอาเงินที่ไหนมาให้ตั้ง 80 บาทมาให้หนู"


"ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าไป ป้าต้องทอนเงินผมอีก 80 บาท นี่! ดูทั้งตัวผมมีแค่แบงก์ร้อยใบเดียว" สุภาพทำท่าควักกระเป๋ากางเกงให้ดูว่าเป็นกระเป๋าว่างเปล่า


จะให้ป้าทำยังไงล่ะ ตั้งแต่เช้ายังขายของได้ไม่ถึง 40 บาท ป้ามีเศษเหรียญอยู่ 30 กว่าบาท หนูเอาอันนี้ไปก็ได้ป้าเจ้าของร้านพยายามจะต่อรอง


ไม่ใช่แล้วป้า ผมแค่ต้องการเงินของผมคืน 80 บาท เงินของป้าผมไม่ต้องการหรอก เอาคืนมาเลย อย่างนี้เรียกว่าโกงกันนี่สุภาพไม่รับข้อเสนอยังยืนยันที่จะขอเงินคืนเต็มจำนวน 80 บาท


สงสารป้าเถอะนะหนู ป้าแก่แล้วจะโกงเงินหนูไปทำไมกันป้าเจ้าของร้านอ้อนวอน


แต่ป้า!!สุชาติตะโกนใส่ป้าอย่างดุดัน


"ป้าไม่โกหกอยู่แล้ว อย่าทำอะไรป้าเลยป้าขอร้องป้าเจ้าของร้านร้องเสียงสูง แสดงท่าทางตกใจ


โธ่ป้า ป้าแค่คืนเงินทอนผมมาให้ครบก็จบแล้ว จะโวยวายทำไมกันท่าทางสุภาพเริ่มหมดความอดทน ยกไม้ยกมือแสดงความไม่พอใจ


"ป้า!! งั้นมาเปิดดูที่ลิ้นชักเลยว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่ จะได้จบๆ" สุภาพทำท่าทีหุนหันจะเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปเปิดลิ้นชักดู


อย่าเข้ามาในร้านนะ!!ป้าเจ้าของร้านโวยวายทันที ทันใดนั้นก็มีลูกค้าเข้ามาหน้าร้านพอดี


--------------------------


"ป้าค้า ขอชาเขียวหนึ่งขวด" ลูกค้ากระเทยรูปร่างสูงตัวใหญ่เดินเข้ามาหน้าร้านพร้อมสั่งน้ำดื่ม


สุภาพหยุดชะงัก "นี่คุณ ผมกำลังเคลียร์ปัญหากับป้าแกอยู่ ไม่มีมารยาทหรือไง ให้ผมคุยจบก่อนได้มั้ย" สุภาพรีบพูดใส่ลูกค้ากระเทย


"เกิดอะไรขึ้นป้า เคลียร์เรื่องอะไรกัน ใครทำอะไรใคร" ลูกค้ากระเทยเอ่ยถาม


"ก็ผมสิ ซื้อเกลือแร่ 1 ขวดแต่จ่ายแบงก์ร้อยป้าเค้าไป แต่ป้าทอนมาให้แค่ 7 บาท ยังขาดไปอีก 80 บาท" สุภาพรีบพูดกับลูกค้ากระเทยเพราะต้องการหาผู้สนับสนุนอีกแรง


"ไม่จริงนะๆ ป้าได้แบงก์ 20 มา ก็ทอนไป 7 บาทก็ถูกแล้ว" ป้าเจ้าของร้านเล่าบอกเหตุการณ์ให้ลูกค้ากระเทยฟังเพื่อต้องการหาผู้สนับสนุนเช่นกัน


"ไม่จริงป้า อย่ามาโกหก ผมให้แบงก์ร้อยไป" สุภาพรีบเถียงด้วยความที่เริ่มจะมีอารมณ์โกรธ


"ถ้าหนูไม่เชื่องั้นมาลองเปิดลิ้นชักป้าดูเลยก็ได้ ว่าเป็นแบงก์อะไร" ป้าเจ้าของร้านทำท่าจะเปิดลิ้นชักให้ดู จากตอนแรกที่ไม่กล้าเปิดลิ้นชักเพราะอยู่คนเดียว แต่พอมีลูกค้าอีกคนมายืนหน้าร้านจึงกล้าที่จะเปิดลิ้นชัก


"ได้ไงป้า งี้ป้าจะหยิบแบงก์อะไรออกมากก็ได้น่ะสิ ป้าคืนผมมาเลยดีกว่า" สุภาพรีบพูดตัดบทก่อนที่ป้าจะหยิบแบงก์ออกจากลิ้นชักด้วยกลัวว่าจะป้าจะหยิบแบงค์ 20 ออกมา จากที่ตอนแรกไม่ทันคิดเรื่องนี้


"โอ๊ยยย!! อะไรกันคุณ หน้าตาก็ดี เป็นผู้ชายซะเปล่า ยังจะมารังแกป้า สงสารป้ามั่งสิคู๊ณ ถ้าแน่จริงก็ให้ป้าหยิบแบงก์ออกมาดูสิ ว่าเป็นแบงก์อะไรกันแน่" ลูกค้ากระเทยวีนแตก รีบออกมาปกป้องป้าร้านขายของประจำที่มาซื้อบ่อยๆ


"ได้ไงล่ะคุณ ป้าแกจะหยิบแบงก์อะไรออกมาก็ได้นี่ อย่างนี้มันโกงกันชัดๆเลย ก็ผมให้แบงก์ร้อยป้าเค้าไปจริงๆนะ แต่ได้ตังค์ทอนไม่ครบ อย่างนี้ผมก็ถูกโกงสิ" สุภาพรีบหันไปพูดกับลูกค้ากระเทย เพื่ออยากให้ฝ่ายนั้นเข้าใจว่าสุภาพโดนโกงจริงๆ


แกสิโกงป้าเค้า หน้าไม่อาย นิสัยแบบนี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ สาธุ ใครโกงขอให้มันคนนั้นชาตินี้ทำอะไรก็ไม่เจริญ ล่มจมทำอะไรไม่ขึ้นไปตลอดลูกค้ากระเทยเข้าข้างป้าเจ้าของร้าน พร้อมทำท่ายกมือไหว้ฟ้าดินสาปแช่งพร้อมทำน้ำเสียงกระแทกกระทั้นในประโยคสุดท้าย


"งั้นผมไม่เอาแล้วป้า เอาน้ำคืนไปแล้วเอาตังค์ผมคืนมา ไม่กงกินกินแล้ว เอาตังค์คืนมาเลย" สุภาพมองหน้าลูกค้ากระเทยนิดนึงก่อนจะเบือนหน้าหนีแบบไม่กล้าสบตา


"หนูเปิดน้ำกินไปแล้ว จะให้ป้าคืนเงินได้ยังไง ป้าขายของแบบนี้ก็ขาดทุนสิ" ป้าเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบและสั่นเล็กน้อย


"นี่ของซื้อของขายนะ เอาของไปแล้วก็ต้องจ่ายเงิน เปิดกินไปแล้วจะมาคืนได้ยังไง จะบ้าหรือเปล่า" ลูกค้ากระเทยรีบปกป้องป้า ว่าไง ยอมรับมั้ยว่าโกงลูกค้ากระเทยพูดข่มสุภาพ


สุภาพทำท่าทางกุมขมับ เหมือนกับโดนรุมด่า "เอ้อๆๆ ไม่เอาแล้ว ไม่กงไม่กินมันแล้ว เอาคืนไปเลย เอาน้ำเอาเงินคืนไปให้หมดเลย" สุภาพเดินจากไปอย่างเซ็งอารมณ์โดยทิ้งไว้ทั้งขวดเกลือแร่และเงินทอน 7 บาทที่วางอยู่บนโต๊ะ


"ขอบคุณมากนะจ๊ะหนู ถ้าไม่ได้หนูนี่ป้าแย่เลย ไม่รู้จะโดนทำร้ายหรือเปล่า" ป้ารีบหันไปขอบอกขอบคุณลูกค้ากระเทย


"ไม่เป็นไรหรอกป้า คนสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ป้าต้องระวังไว้บ้างนะคนบ้าคนชอบเอารัดเอาเปรียบมันเยอะ ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีมากถึงขนาดต้องมาโกงเล็กๆน้อยๆกับร้านขายของชำเลยเหรอ หนูเข้าใจค่ะป้าขายของมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้กำรี้กำไรอะไรมาก ซ้ำยังต้องมาเสี่ยงกับไอ่พวกนี้อีก โอ๊ย...แย่ๆ สมัยนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน คนเราเนี่ยรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ หนูละเกลียดจริงคนพวกนี้ พ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่มันก็คงจะโกงเหมือนกันมั้ง ถึงสอนลูกให้โกง ประเทศชาติไม่พัฒนาเพราะคนพวกนี้แหล่ะ $%^&*()$#)(>………”


หนูจะเอาอะไรนะจ๊ะป้ารีบพูดแทรกเพราะเห็นว่าลูกค้ากระเทยชักจะพูดมากไปแล้ว จึงรีบตัดบทก่อนที่ลูกค้าจะพูดจบ


อ้อ หนูขอชาเขียว 1 ขวดค่ะ" ลูกค้ากระเทยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังขึ้นสูงอยู่จากอารมณ์ที่ยังค้างอยู่เมื่อกี๊นี้


"นี่จ้ะ ชาเขียวหนึ่งขวด" ป้ารีบยื่นขวดชาเขียวให้ลูกค้า


"ขอบคุณค่ะป้า" ลูกค้ากระเทยยื่นแบงก์ยี่สิบให้ "นี่ค่าชาเขียวค่ะป้า นี่ถ้าไอ่ขี้โกงนั่นมันมาโกงกับหนูนะ จะกระทืบมันให้ตายคาตีนไปเลย ไม่ให้มันได้ไปโกงกับใครอีก ดีนะที่มันยังไม่ถึงกับขั้นลงไม้ลงมืออะไร น่ากลัวนะคะป้า $#%#$@#()&$@#........."


นี่จ้ะป้าแถมลูกอมให้ ขอบคุณนะที่ช่วยป้าไว้ป้าเจ้าของร้านรีบตัดบทพูดของลูกค้าอีกครั้ง


ขอบคุณมากค่ะคุณป้า หนูไปก่อนนะคะลูกค้ากระเทยไหว้คุณป้าแบบถอนสายบัวเหมือนกับคุณป้าหยิบยื่นของราคาแพงให้




หลังจากลูกค้ากระเทยเดินออกจากร้านไปแล้ว ป้าเจ้าของร้านเดินไปเปิดวิทยุเพลงธรรมะที่ชอบถูกเปิดในงานเทศกาลทำบุญ เอื้อมมือไปเปิดพัดลม เดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะหน้าร้าน เปิดมันออกมาและมองดูแบงก์ 50 บาทที่วางบนจานสังกะสีเก่าๆเพียงใบเดียว จากนั้นก็ปิดลิ้นชักลง เก็บเศษเหรียญจำนวน 7 บาทใส่กลับในกล่องตังค์ทอนเหมือนเดิม นำขวดเกลือแร่เทน้ำข้างในทิ้งและโยนขวดพลาสติกไปใส่ลงในตะกร้าสำหรับรีไซเคิลขยะ จากนั้นจึงเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเปลผ้าใบ นอนฟังบทเพลงธรรมะอย่างสบายอารมณ์


นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...