วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หนูน้อยหมวกแดง



สาวิตรีขับรถเก๋งคันใหญ่สีแดง ฝ่าถนนมืดสลัวที่มีเพียงแสงไฟจางๆ จากหลอดไฟข้างถนนที่ฝุ่นจับเขรอะ จนแสงไม่สามารถทะลุออกมาจากหลอดได้ทั้งหมด มีเพียงแสงไฟหน้ารถที่สว่างแรงพอ ที่จะไล่ความมืดมิดออกจากพื้นถนนได้ แสงไฟจากหลอดไฟข้างถนนแม้จะสว่างไม่มาก แต่มันก็ยังแรงพอที่จะส่องเข้ามาในตัวรถ เผยให้เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ปิดไม่สนิท มีปึกเงินโผล่ออกมาจากช่องกระเป๋า หากในกระเป๋ามีปึกเงินเต็มกระเป๋านี้ มันคงมีเงินสัก 100 ล้านบาท


"นี่คือสถานที่ๆถูกระบุมาจากคนส่งยา เธอต้องไปตามพิกัดแผนที่นี้ สินค้าจะมาถึงคืนพรุ่งนี้ 5 ทุ่มตรง เฮโรอีนอัดแท่ง 50 กิโล พรุ่งนี้เธอต้องกลับมาพร้อมกับมัน"


"หนูน้อยหมวกแดง" คือฉายาของเธอเนื่องมาจากเสื้อคลุมยาว มีหมวกฮูปคลุมทั้งหัวและมันเป็นสีแดง ซึ่งเสื้อคลุมตัวนี้พ่อค้ายาเสพติดที่เธอกำลังจะไปพบให้เธอที่เธอพบเขาเป็นครั้งแรก สาวิตรีเป็นสาวใจแตก ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับยาเสพติด


อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าพ่อค้ายาได้เรียกเธอมาพบและบอกว่าให้ไปรับยา เธอรับคำพลางหยิบกระเป๋าเป้สะพายใส่เงินจำนวน 100 ล้านบาท ก่อนเธอจะเดินออกไปหัวหน้าร้องสำทับตามหลงว่า


"เธอห้ามออกนอกเส้นทางที่กำหนด ห้ามคุยกับคนแปลกหน้า คนส่งยารอยู่แล้วอีกอย่างเธอจะกลับมาพร้อมยาช้ากว่ากำหนด ได้ยินไหม?"


หนูน้อยหมวกแดงรับคำหัวหน้าอีกครั้ง และเธอก็มุ่งหน้าไปที่จุดนัดหมาย ซึ่งอยู่ห่างออกไป 320 กิโลเมตร


สถานที่นัดหมายที่คนส่งยานัดไว้ ต้องผ่านถนนท่ามกลางทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ แสงไฟข้่างถนนริบหรี่ มีเพียงต้นไม้ริมทางไม่กี่ต้นที่แสดงเส้นแบ่งระหว่างถนนกับทุ่งหญ้า ข้างหน้ามีร้านอาหารเล็กๆ มีป้ายไฟและรถจอดหลายคัน เธอแวะพัก


สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่สาวิตรีที่เปิดประตูเข้าร้าน เด็กเสิร์ฟสาวกำลังง่วนกับการเดินอาหาร หนุ่มถ้าทางผอมแห้งนั่งโต๊ะใกล้ทางเข้าร้าน ชายหนุ่มใหญ่ 2 คนกำลังจับอาหารยัดเข้าปากนั่งโต๊ะถัดไป กลุ่มหนุ่มสาว 5 คนล้อมวงกินอาหารบนโต๊ะท้ายร้าน สาวิตรีนั่งโต๊ะถัดจากหนุ่มผอมแห้ง สายตาเธอคล้ำ แก้มตอบผอมไม่ต่างจากหนุ่มที่นั่งถัดจากเธอ เมื่อสาวิตรีสั่งอาหารจนกระทั่งเด็กเสิร์ฟยกชุดแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซฟราย น่องไก่ทอดพร้อมน้ำอัดลม หนุ่มผอมแห้งเข้ามากระซิบข้างหูเธอ


"อยากเสพยามั้ย? มีแบ่งให้ฟรีๆเลย ถ้าสนใจเจอกันหลังร้าน"


หนุ่มขี้ยาผอมแห้งคนนั้น คงเห็นถ้าทางของสาวิตรีก็รู้แล้วเป็นขี้ยา เขาอยากหาเพื่อนที่จะเมาด้วยกัน ไม่นานสาวิตรีก็วางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะ เธอเดินออกมาโดยทิ้งอาหารที่กินไปเพียงนิดเดียวไปยังหลังร้าน ชายหนุ่มคนนั้นกำลังใช้เข็มฉีดยาปักลงไปที่ข้อมือ สาวิตรีเห็นพิธีกรรมที่คุ้นเคย สรวงสวรรค์กำลังรอเธออยู่ข้างหน้า


เธอชักชวนให้หนุ่มผอมแห้งนั้นไปในรถเธอ เพื่อสำหรับมีเซ็กซ์กันหลังจากที่ทั้งคู่กำลังเมายา หนุ่มขี้ยารับคำเชิญ


ทั้งคู่กำลังร่วมรักกันอย่างเมามันบนเบาะท้าย เมื่อเธอฉีดยาเข้าเส้นเลือดตัวเอง โลกใหม่ในใบเดิมที่เธอคุ้นเคยอีกครั้ง โลกที่ไม่มีความกังวลไร้ความขัดแย้งใดๆในจิตใจ


เธอยังเมาอยู่แต่หนุ่มขี้ยาเริ่มหายเมาแล้ว เขาเหลือบไปเห็นเงินปึกใหญ่หลุดออกมาจากกระเป๋า หนุ่มคนนั้นถามสาวิตรีว่าเงินมาจากไหนมากมาย


"หัวหน้าให้ฉันเอาเงินไปซื้อเฮโรอีน"


"เธอจะไปซื้อที่ไหน?"


"พิกัด GPS จะนำทางไป"


สาวิตรียังอยู่ในอาการเมา เธอตอบไปตามความจริงทุกอย่าง สาวิตรีพูดเสร็จก็เมาหลับไปชั่วครู่


ไม่นานนักเธอตื่นขึ้นพร้อมทบทวนเหตุการณ์ และคำพูดที่เธอเพิ่งจะพูดกับหนุ่มคนนั้น สาวิตรีตกใจ! เธอรีบหันไปดูกระเป๋าที่ใส่เงิน ทุกอย่างอยู่ครบ แต่หนุ่มคนนั้นจากไปแล้ว แต่สาวิตรียังคงตกใจอยู่ เมื่อคิดถึงเวลาที่เธอทำหายไปเกือบ 2 ชั่วโมง เธอรีบบึ่งรถออกไปบนถนนสายเปลี่ยว วิ่งฝ่าความมืดบนท้องถนน


สาวิตรีเร่งคันเร่งชดเชยเวลาที่ขาดหายไป ในที่สุดเธอก็มาถึงบ้านร้างหลังนั้น ตามที่ GPS นำทางมา สาวิตรีจอดรถและดับเครื่องยนต์ก่อนเดินไปเปิดประตูบ้าน เธอตกใจร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนส่งยานอนจมกองเลือด หัวถูกลูกปืนแม็กนั่มยิงกระจุยจนไม่เหลือโครงหน้าเดิม สิ่งที่เธอคิดตอนนี้เรื่องเดียวคือ 'ยาอยู่ไหน' ถ้าไม่ได้ยากลับไปเธอคงโดนซ้อมปางตายเหมือนคย


ยังไม่ทันที่สาวิตรีจะควานหากระเป๋ายา ชายหนุ่มขี้ยาที่เพิ่งจะร่วมรักกับเธอก็ก้าวเดินออกมา พร้อมปืนแม็กนั่มกระบอกโต


"ถ้าไม่อยากตายก็วางกระเป๋าเงินลง แล้วรีบหนีไป"


"แกมาที่นี่ทำไม แล้วมาได้อย่างไร?"


สาวิตรีถามอย่างแปลกใจ


"ก็จะมาเอายาน่ะสิ รอให้แกหอบเงินมาด้วย ชั้นมาที่นี่ได้เพราะพิกัด GPS ของเธอไง ส่วนคนส่งยาชั้นก็ส่งมันไปนรกแล้ว ถ้าเธอยังไม่อยากตายก็รีบไปซะ ก่อนที่ชั้นจะเปลี่ยนใจ"


สาวิตรีไม่ตกใจ เธอยังคงทำหน้านิ่งพร้อมวางกระเป๋าเงินลงข้างตัวเธอ และเดินออกไปจากบ้านหลังนั้นพร้อมปิดประตู เธอเดินไปเปิดกระโปงหลังรถเก๋งสีแดงขงเธอ หยิบปืนกลออกมาพร้อมตลับกระสุนนับสิบ


หนุ่มขี้ยาค่อยๆเดินมาที่กระเป๋าเงินที่สาวิตรีทิ้งไว้ ขณะที่เขากำลังก้มตัวลงไปหยิบกระเป๋า ลูกกระสุนปืนกลพุ่งเฉียดหัวหนุ่มขี้ยาไปอย่างหวุดหวิด เขาหมอบแนบติดพื้น เมื่อสายฝนกระสุุนชุดแรกหมดหนุ่มขี้ยารีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นไปชั้น 2 ของตัวบ้าน สาวิตรีเปลี่ยนตลับกระสุนปืนกล ก่อนจะระดมยิงอีกครั้งจนกระสุนหมด เธอเปลี่ยนตลับกระสุนและเดินเข้าไปถีบประตูบ้าน 'เงินยังอยู' เธอคิด หนุ่มขี้ยายิงปืนแม็กนั่มมาจากชั้น 2 บริเวณบันไดใส่วาวิตรี กระสุนพลาดเป้า สาวิตรีม้วนตัวหลบไปอยู่หลังชุดโซฟา หนุ่มขี้ยายิงอีกครั้งที่โซฟา


หนุ่มขี้ยาเห็นสาวิตรีเงียบไป คิดว่าเธอคงตายอยู่หลังโซฟา แต่ยังไม่กล้าที่จะลงไปดู เขายิงไปอีก 3 นัดซ้อนจนโซฟากระจุยไม่เหลือชิ้นดี แต่! หลังโซฟานั้นไม่มีสาวิตรี สาวิตรีม้วนตัวหลบไปอยู่หลังตู้ที่อยู่ถัดไปจากโซฟานานแล้ว เธอโผล่มาอีกครั้งพร้อมสาดกระสุนอีกหนึ่งชุดเข้าใส่หนุ่มขี้ยาคนนั้น แต่เขาหลบได้ทัน...


ทั้งคู่ยังคงสู้กัน เสียงปืนดังสนั่นลั่นท้องฟ้าที่เป็นทุ่งกว้าง ตำรวจวัยกลางคนขับรถเข้ามาตามเสียงปืน เขาจอดรถไว้ห่างจากตัวบ้าน พร้อมหยิบปืนลูกซองติดมือเดินมายังหน้าบ้าน ตำรวจคนนั้นคิดว่ามีคน 2 คนกำลังยิงปืนสู้กัน คนหนึ่งอยู่ชั้นบน อีกคนอยู่ชั้นล่าง ตำรวจตัดสินใจกระโดดปีนขึ้นหน้าต่างชั้นบน เขาแอบเข้าไปอย่างเงียบเชียบไม่ให้คนในบ้านรู้ตัว เมื่อเข้าไปในตัวบ้านได้แล้วตำรวจเห็นหนุ่มขี้ยากำลังยิงปืนสู้กันกับคนที่อยู่ข้างล่าง ตำรวจเล็งลูกซองไปที่หัวของขี้ยาและเหนี่ยวไกทันที


'เปรี้ยง!'


สาวิตรีตกใจเสียงปืนที่ดังลั่น เธอสงสัยว่าใครยิงปืน แต่เสียงปืนแม็กนั่นของหนุ่มขี้ยาหายไปแล้ว สาวิตรีค่อยๆเดินย่องขึ้นบันไดไป เพื่อไปดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเห็นศพหนุ่มขี้ยาในสภาพหัวแตกกระจุยกระจาย


สาวิตรีไม่ทันสังเกตุเห็นตำรวจที่ค่อยๆย่องมาข้างหลังเธอ เสียงฝีก้าวท้าวจังหวะสุดท้ายของตำรวจ เดินสะดุดพื้นไม้เกิดเสียงดังทำให้สาวิตรีหันหน้ามาเห็นตำรวจ แต่ไม่ทันที่เธอจะปัดป้องด้ามปืนที่ถูกฟาดใส่หัวของเธอ สาวิตรีนอนสลบด้วยฤทธิ์ด้ามปืน


ตำรวจเดินสำรวจภายในตัวบ้านร้าง เขาพบกระเป๋าใส่เงินจำนวนมาก และยังเห็นกระเป๋าใส่เฮโรอีนอีกหลายสิบแท่ง ตำรวจเดินไปที่รถของเขา พร้อมหยิบกล่องไม้คู่ใจออกติดมือออกมา และกลับไปในตัวบ้าน


ตำรวจเปิดกล่องไม้ออกและหยิบเข็มฉีดยาออกมา พร้อมหลอดแก้วสำหรับผสมเฮโรอีนลงในน้ำ เขาแกะห่อเฮโรอีนที่เจอและผสมมันอย่างช่ำชอง ก่อนจะหงายข้อมือที่เต็มไปด้วยรอยเข็มฉีดยา เฮโรอีนเกรดที่ดีที่สุดทำให้ตำรวจติดใจและฉีดมันอีกเข็ม เขาเคลิ้มหลับในขณะที่เข็มยังปักคาเส้นเลือดที่แขนของเขา


สาวิตรีฟื้นขึ้นมาด้วยอาการปวดบริเวณหัวที่ถูกด้ามปืนฟาด เธอยังไม่หายตกใจที่ตำรวจในเครื่องแบบโผล่มาได้อย่างไร สาวิตรีหยิบปืนกลที่อยู่ข้างตัวเธอขึ้นมา และเดินลงไปชั้นล่าง เธอเห็นตำรวจขี้ยานอนสลบคาเข็ม เธอจึงเข้าใจว่าตำรวจคนนี้คงจะเสพยาเกินขนาด ทำให้สลบคาเข็ม สาวิตรีไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปได้ง่าย เธอฝังกระสุนเขาที่หัวของตำรวจ


สาวิตรีหยิบกระเป๋าทั้ง 2 ใบขึ้นรถเก๋งสีแดง เธอขับออกไปอย่างไม่รีรอ ระหว่างทางที่เธอขับรถกลับบ้าน เธอหัวเราะเสียงดังลั่น สาวิตรีรู้สึกโชคดีที่ครั้งนี้เธอได้ยามาโดยไม่เสียเงินสักบาท


พอหัวหน้ารู้ว่าสาวิตรีได้ยามาโดยไม่เสียเงินสักบาท หัวหน้าให้เฮโรอีนเธอหนึ่งแท่งเป็นรางวัล ต่อมาไม่นานสาวิตรีก็นอนตายคาเข็มฉีดยา เนื่องจากเสพยาเกินขนาด เพราะเฮโรอีนชุดนี้บริสุทธิ์มาก


เรื่องสั้นเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 'อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจขี้ยา หรือแม้แต่ตำรวจก็ให้ระวังไว้ด้วย และสุดท้าย อย่าไปเกี่ยวข้องใดๆกับยาเสพติด



วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เยื่อใยสุดท้าย







กานต์ค่อยๆใช้นิ้วโป้งจากมือทั้งสองข้าง ค่อยๆบรรจงไล่กดไปตามเส้น บริเวณกระดูกสันหลังทั้งสองข้าง นิ้วมือทั้งสี่ที่เหลือของแต่ละมือ แผ่หลาไปลูบไล้แผ่นหลังด้านข้างของปียานุช สร้างความเสียวซาบซ่านไปทั่วร่าง เนื่องจากเธอไร้ซึ่งเครื่องคลุมใดๆ บนร่างกาย แม้อายุจะเริ่มเข้าเลข 4 กลางๆแล้ว แต่ด้วยความเอาใจใส่ในการดูแลสุขภาพผิวพรรณ และใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงมาตลอด ทำให้เธอยังคงดูอ่อนวัย ไร้ร่องรอยของความกร้านโลกใดๆ ต่างจากชีวิตการทำงานของปียานุช ที่มีลูกน้องที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของเธอนับร้อย


ด้วยความที่เธอได้ชื่อว่า 'ผู้หญิงแกร่ง' นั่นยิ่งตอกย้ำให้ชายหนุ่มรอบข้างตัวเธอ ต่างพร้อมใจกันหวั่นเกรง เกรงกลัว ไม่กล้าเข้ามาจีบปียานุช และด้วยลักษณะท่าทางที่ดูมาดมั่น มั่นใจเกินชายใดๆ นั่นก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก ที่จะมีชายไหนจะกล้าคุยกับเธอฉันชู้สาวได้ คืนนี้เป็นคืนพิเศษ มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา วาจาอ่อนหวานชวนหลงไหล บริการเอาอกเอาใจโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวคำพูดใดๆ เพราะเธอใช้เงินพูดแทนในสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว


"เส้นที่หลังแข็งมากเลยครับ แสดงถึงความตรึงเครียดของร่างกาย ที่ไม่ค่อยจะผ่อนคลาย บางทีมันอาจจะออกมาจากภาวะความตรึงเครียด จากจิตใจของคุณพี่เองน่ะครับ"


กานต์พูดพร่ำด้วยน้ำเสียงเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะเลื่อนมือลงมาเหนือสะโพกและออกแรงกดลงไป ทรวดทรงร่างกายที่อยู่ภายใต้สายตาของกานต์ ไม่บอกก็ดูไม่รู้เลย ว่าเจ้าของร่างนี้คือหญิงอายุสี่สิบกลางๆแล้ว สะโพกและก้นที่กระชับไม่มีส่วนเกิน เกิดจากการออกกำลังเป็นประจำ


"พี่ครับ พี่ชอบความผ่อนคลายนี้มั้ยครับ ผมอยากทำให้พี่รู้สึกสะบายทั้งกาย และใจ ก่อนที่ผมจะเริ่มงานจริงๆ ถ้าพี่สาวไม่ชอบใจตรงไหน พี่บอกผมได้นะครับ"


"..."


กานต์เลื่อนมือไล่ลงมาตามท่อนขา และค่อยๆใช้แรงมือคลึงตามกล้ามเนื้อ เขาค่อยๆกดบีบกล้ามเนื้อ เขาสัมผัสมือลูบไล้ไปตามโคนขา ที่ผิวหนังเรียบเนียนขาวเหมือนผิวเด็กสาว พลางคิดถึงการเอาใจใส่ดูแลร่างกายนี้ อย่างพิถีพิถัน


"พี่ครับ ต่อไปผมจะช่วยยืดหลังให้พี่ มันจะช่วยให้เลือดส่งไปเลี้ยงอวัยวะภายใน ทำให้สมดุลย์ต่างๆภายในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีปัญหาครับ พี่ช่วยกรุณาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ และเอามือประสานกันไว้ที่ท้ายทอยครับ"


กานต์พูดจบปียานุชก็ลุกขึ้นนั่ง และทำท่าทางตามที่กานต์บอก เมื่อปียานุชนั่งหลังตรงและยกมือประสานไว้ที่ท้ายทอย ทำให้หน้าอกของเธอชูชันตั้งตรง กานต์เห็นถึงความเต่งตรึงบนเนินอกของปียานุช ยอดปทุมถันสีชมพูอ่อนแสดงให้เห็นว่าเธอ เป็นคนที่มีสีผิวขาวอย่างแท้จริง กานต์เข้าประกบตัวของเขาเข้าไปที่หลังของปียานุช และใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างสอดเข้าใต้รักแร้ของเธอ กานต์ไขว้แขนขึ้นไปจนมือทั้งสองข้าง ไปประสานกันที่ท้ายทอยของปียานุข และจากนั้นเขาก็ยกตัวสูงช่วยดึงช่วงไหล่ของปียานุชให้ยืดออกจากลำตัว มาถึงตอนนี้ ร่างกายที่เปลือยเปล่าและกำยำของกานต์ ก็ได้แนบเนื้อสนิทกับแผ่นหลังที่เนียนเรียบ เหลือเพียงแต่ท่อนล่างของเขาที่มีเพียงกางเกงบางๆห่อคลุมไว้ เนื้อผ้านุ่มของกางเกงที่กานต์สวมใส่ ก็ได้ถูกถูไถและแนบชิดกับแผ่นหลังช่วงล่างของปียานุชเช่นกัน


"หายใจเข้าช้าๆนะครับ เมื่อหายใจเข้าจนสุดปอดแล้ว ให้ค้างลมหายใจไว้ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆปล่อยลมหายใจให้ไหลออกมา พร้อมเปิดปากเล็กน้อย ให้ลมออกมาทางนั้นด้วย"


ปียานุชทำตามคำสั่ง อย่างว่าง่าย ผู้ชายที่สามารถออกคำสั่งกับเธอได้นั้น ก็คงมีเพียงแต่ประธานบริษัท หรือกรรมการบริหารแค่บางคนเท่านั้น แต่นี่เป็นแค่เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย ไม่มีฐานะตำแหน่งใดๆ และปียานุชก็พร้อมทำตามคำบัญชาทุกอย่างงของกานต์ แม้จะเพียงแค่ในคืนนี้


"สุดท้ายครับ ผมจะนวดหน้ากดจุด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคาง กล้ามเนื้อมุมปาก กล้ามเนื้อแก้ม และกล้ามเนื้อใต้ตาแล้ว ยังช่วยให้ระบบน้ำเหลือง การไหลเวียนโลหิตบริเวณใบหน้าไหลเวียนดี"


กานต์คลายมือและแขนของเขา และค่อยๆใช้มือกุมที่ข้อมือของปียานุชอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเลื่อนมือของเธอลงมาวางไว้ที่ข้างตัว กานต์ขยับตัวมานั่งต่อหน้าปียานุช สายตาของทั้งคู่ประสานกัน โดยไม่มีใครสักคนที่จะถอนสายตาออกก่อน ใบหน้าที่กานต์จ้องอยู่นั้น คือใบหน้าของหญิงสาว ที่ดูอย่างไรก็ยังดูเยาว์วัย มีเพียงแต่สายตาคู่นั้นของเธอ ที่แฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความเหงา ความอัางว้าง ความโดดเดี่ยว โดยปกติแล้วเธอมักจะหลบซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ ไม่ให้ใครมองเห็นได้ง่าย แต่คืนนี้เธออ่อนแรงมากเกินกว่าที่จะแกล้งเสแสร้ง ทำเป็นเข้มแข็งได้อีกต่อไป ปียานุชต้องการเผยความอ่อนแอนี้ ให้ใครสักคนมาช่วยรับรู้นานแล้ว แต่ด้วยตัวตนและหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่คนรอบข้างมุ่งหวังในตัวเธอ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้น


นิ้วมือนุ่มๆวางลงตรงหน้าผากกึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้ง 2 จากนั้นไล่ยาวลงมาถึงขมับของปียานุช กานต์ออกแรงคลึงเบาจนเริ่มรู้สึกว่า ปียานุชเริ่มพอใจ จากนั้นเขาใช้มือลากเส้นตั้งแต่หางคิ้ว ถึงหัวคิ้ว ทั้งขอบตาบนและล่าง สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกัน ในตอนนี้ไม่ปียานุชต้องมนต์สะกดของกานต์ กานต์ต้องมนต์สะกดของปียานุช หรือทั่งคู่อาจต้องมนต์สะกดซึ่งกันและกันก็เป็นได้ แต่ดูเหมือนกานต์จะมีแรงดึงดูดมากกว่า ซึ่งทำให้ปียานุชโน้มศรีษะเข้ามา และบรรจงประกบริมฝีปากของเธอ ลงบนริมฝีปากของเขา บทรักของทั้งคู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างรุ่มร้อน สองร่างโผเข้ากอดกัน


.....


.....


.....


กานต์หลับสนิทไปแล้ว โดยสังเกตุได้จากเสียงกรนในลำคอเบาๆ ปียานุชที่นอนขดตัวอยู่ใต้ท่อนแขนหนาๆ และเรือนอกแผ่นกว้างของกานต์ และดวงตาคู่ที่ดูอ้างว้างนั้นยังคงลืมตาค้าง เธอยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้สัมผัส ในรสแห่งกาม นานเท่าไหร่แล้วที่เธอเคยสัมผัสมัน ความทรงจำในเรื่องนี้มันเลือนลางเกินกว่าที่จะปะติดปะต่อภาพได้ เธอพยายามหาคำตอบว่า นี่คือความสุขใช่หนือไม่? และในตอนนี้ในจิตสำนึกของเธอก็พร้อมแล้ว ที่จะตอบว่า 'ใช่' เพราะความปราถนาเมื่อสักครู่นี้ เธอต้องการมัน และพอใจในมันอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ในห้วงแห่งความปรารถนานั้น เธอก็ไม่มีความต้องการสิ่งอื่นใดอีกเลย


นานเท่าไหร่แล้ว ที่ปียานุชสามารถที่จะนอนหลับอย่างมีความสุข ความรู้สึกในตอนนี้ของเธอ คงเหมือนกับหญิงสาวที่พบกับคนรัก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆของเธอนั้น คือความสงสัยว่า นี่คือความรัก ความผูกพันธ์ หรือเป็นแค่ความต้องการในเพศรสกันแน่ และอีกสิ่งหนึ่งที่กวนใจเธออย่างมากในตอนนี้ คือเธอจะเหนี่ยวรั้งสิ่งนี้ให้อยู่กับเธอได้อย่างไร ในเมื่อกานต์นั้นคือผู้ชายขายบริการ ซึ่งเป็นบริการชั้นดี ที่เธอยอมจ่ายหนักเพื่อแลกมันมา เมื่อตื่นเช้ามาพรุ่งนี้ ก็ต้องลาจากกันแล้ว เธอค่อยๆหลับตาลง และจมหายไปกับนิทรา


"พี่ครับๆ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้วครับ ผมอยากร่ำลาพี่สาวของผม ก่อนที่ผมจะไปครับ"


เช้าแล้ว แต่ปียานุชยังคงหลับสบาย ในวันหยุดพักร้อนของเธอ ที่ขอลางานหลังจากทำโปรเจคชิ้นใหญ่เสร็จ เสียงพูดของกานต์เข้าไปในความฝันของเธอ เพื่อปลุกให้เธอตื่น ปียานุชค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งที่เธอเห็นคือ เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงแสล็คสี่ส่วนสีน้ำตาล เส้นผมบนหัวที่หวีเรียบไม่กระดิก ด้วยเจลใสใส่ผม และรอยยิ้มรอยนั้นของเขา ที่ทำให้ปียานุชเผลอยิ้มออกมาให้เห็น


"พี่สาวยิ้มแล้ว ผมนึกว่าผมจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้จากพี่ซะแล้ว"


เมื่อโดนทักเรื่องรอยยิ้ม ปียานุชพยายามหุบยิ้มทันที


"พี่ครับ ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย คือผมไม่รู้ว่าพี่นั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ผมทำให้พี่มีความสุขมั้ย? พี่ชอบมันมั้ย?"


"..."


ปียานุชยังไม่ตอบ แต่สีหน้าของเธอเริ่มแสดงออกถึงความพึงพอใจ กานต์ยังคงยิ้มให้เธอ


"ไหนๆเราสองคนก็จะจากกันแล้ว ผมไม่อยากให้ความรู้สึกนี้มันค้างคาใจ ผมขอเยื่อใยสุดท้ายของพี่ที่จะมีต่อผมได้มั้ย"


ปียานุชเบิกตาขึ้น มุมปากเริ่มมีรอยยิ้ม ก่อนจะพูดคำพูดประโยคแรก นับตั้งแต่เธอเจอกับกานต์


"เธอคือสิ่งที่วิเศษที่สุด ในชีวิตของพี่"


สายตาของกานต์ แสดงความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ในใจเขาก็คิดเพียงว่า นี่คือคำพูดเล่นๆของอีกฝ่ายเท่านั้น คงจะไม่จริงจังตามที่พูดสักเท่าไหร่นัก


"พี่ก็คือคนพิเศษสำหรับผมเช่นกันครับ"


นานมากแล้วเหมือนกัน ที่กานต์ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงที่สวยและหุ่นดีเช่นเธอ สำหรับคำพูดเมื่อสักครู่นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่พูดเกินความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย แต่ประโยคที่กานต์พูดออกมา ได้ทำให้หัวใจของปียานุชพองโตขึ้น


"หากพี่ต้องการใช้บริการผมอีก พี่สามารถติดต่อไปที่สถานบริการของผมได้เลยนะครับ วันนี้ผมขอตัวก่อน"


เสียงปิดประตูดัง ทำให้ปียานุชกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เย็นวันนี้เธอต้องขึ้นเครื่องเพื่อกลับไปทำงานในเมืองใหญ่ เธอลาหยุดพักร้อนมาหลายวันแล้ว แต่หลายวันก่อนหน้านั้น ที่ต้องพักผ่อน ท่องเที่ยวอยู่คนเดียว ยิ่งทำให้ความเหงาทวีความรุนแรง ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก เธอจึงพยายามรวบรวมความกล้า เพื่อที่จะมาเที่ยวในสถานบริการแบบนี้ ในคืนสุดท้าย


เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน ปียานุชเฝ้าคิดถึงแต่กานต์ จิตใจพะว้าพะวังเกี่ยวกับเรื่องของเขา เหมือนกานต์คือสิ่งมาเติมเต็มชีวิตของเธอเอง ในหัวของเธอยังเฝ้าวนเวียน และครุ่นคิดอย่างหนักว่า ที่ว่าอยากให้กานต์มาอยู่กับเธออย่างจิงจัง เธออยากส่งเสียให้กานต์ได้เรียนหนังสือ และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า จะไปขอซื้อตัวกานต์มาจากสถานที่แห่งนั้น


ในอาทิตย์ถัดมา ปียานุชกลับมายังสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง และแน่นอน เธอจองตัวกานต์ไว้แล้ว แต่ครั้งนี้เธอพานกานต์ไปกินข้าว ยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยชักชวนให้เขาไปอยู่กับเธอ


"ผมขอขอบคุณในความกรุณาของพี่ครับ สิ่งที่พี่เสนอให้ผมมันคือโอกาสที่ดีที่สุด ในชีวิตผมเลย"


"แล้วเธอว่าอย่างไรล่ะ หากคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าอย่างนั้นก็รับข้อเสนอของพี่เลยมั้ย"


กานต์ยิ้มพร้อมทำแววตาซาบซึ้งใจ เขาเอื้อมมือไปกุมมือของปียานุช ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร และบีบมือของเธอเบาๆ


"พี่ช่างมีความกรุณาต่อผมมากจริงๆ แต่พี่จงคิดดูให้ดีเสียก่อน เราสองคนนั้นต่างกันมากเกินไป ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องอายุ แต่หมายถึงสถานะทางสังคมของเราสองคน พี่ก็รู้อยู่ว่าผมเป็นแค่ผู้ชายขายบริการ คงมีคำครหามากมายจากสังคม"


"ไม่เป็นไรหรอก พี่สามารถปกปิดอดีตของเธอได้ รับรองไม่มีคนอื่นรู้แน่นอน"


"ใช่ครับ ผมเชื่อว่าพี่สามารถหลอกให้คนอื่นเชื่อได้ ว่าอดีตผมเคยเป็นอะไรมาก่อน แต่ยังไงเราก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้หรอกครับ ว่าเราเคยเป็นอะไรมาก่อน"


สายตาของปียานุชยังคงไม่ยอมแพ้ ในการต่อลองทางธุรกิจ น้อยครั้งที่เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ นักธุรกิจชายหลายคน โอนอ่อนต่อคำถ้อยแถลงของเธอ และครั้งนี้เธอก็เชื่อมั่นว่าจะสำเร็จ ยิ่งข้อเสนอที่เธอพร้อมจะมอบให้นั้น ช่างเย้ายวนเหลือเกิน


_


"เธอไม่อยากมีการศึกษาดีๆ มีงานทำดีๆ มีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหรอ พี่สามารถให้เธอได้หมดทุกอย่าง"


"ผมอยากมีครับ ผมอยากมีทุกสิ่งที่พี่ว่ามา อยากมีเงินเพื่อส่งให้ทางบ้านบ้าง ส่งน้องเรียนให้จบ อยากให้พ่อแม่สบาย แต่การได้มันมาด้วยวิธีนี้ ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องนัก คอนนี้ผมก็พยายามเก็บเงินเก็บทองให้มากพอ ที่จะออกไปจากตรงนี้เหมือนกันครับ แต่ผมอยากที่จะเดินออกไปด้วยตัวเอง"


กานต์ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม เขาเบือนหน้าออกไปข้างๆ เหมือนมองออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ไกลโพ้น


"ผมมีความฝันของผมเหมือนกันครับ สิ่งที่ทำให้ผมยังยืนอยู่ได้อย่างมีความสุข ในทุกวันนี้เพราะผมมีความฝัน"


กานต์พูดเสร็จ ก็หันหน้ามามองที่ปียานุช ซึ่งตอนนี้เธอเริ่มสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะคิดว่ามีแววจะผิดหวัง


"เอาล่ะ เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พี่ก็ขอบอกเลยว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลยที่พี่ชอบเธอ"


ปียานุชเว้นจังหวะคำพูดไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากว่าตอนนี้เหมือนมีก้อนอะไรแข็ง ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ


"ไม่สิ พี่ต้องบอกว่า พี่นั้นคิดไม่ผิดเลย ที่พี่นั้นรักเธอ"


สีหน้าแววตาของปียานุชเริ่มแดง แสดงถึงความเขินอายที่เผยออกมา ไม่ต่างกันกับกานต์ ที่ยิ้มออกมาแบบอายๆ เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เธอจะนั่งอีกต่อไป ทั้งสองล่ำลากันและแยกย้ายกัน ปียานุชขับรถยนต์ที่เธอเช่ามากับที่พัก และในระหว่างนั้น น้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตาของเธอโดยไม่รู้ตัว หากแต่ว่าน้ำตานี้ไม่ได้ร้องออกมา เพราะความผิดหวังโศกเศราเสียใจใดๆ แต่เป็นเพราะว่าเธอซาบซึ้งในน้ำใจ และความจริงใจของกานต์ ที่ไม่หวังประโยชน์ใดๆกับตัวเธอเลย เพราะในชีวิตจริงของเธอนั้น ก็พานพบแต่ผู้ชายที่หวังเงินทองจากตัวเธอทั้งสิ้น ครั้งนี้จึงทำให้ความติดที่เกี่ยวกับผู้ชายของเธอ นั้นดีขึ้น


เมื่อกับมาถึงโรงแรม ปียานุชเดินผ่านบาร์เล็กๆของโรงแรม เธอเข้าไปนั่งและสั่งเครื่องดื่ม เสียงเพลงบรรเลงเปียโน ขับกล่อมค่ำคืนอันแสนเปลี่ยวเหงาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าค่ำคืนนี้พอจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอบ้าง


....


ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดเพลงเสียงดังแสงไฟสาดส่องลายตา ผู้คนบางกลุ่มโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา เข้าจังหวะกับเสียงเพลง แต่ยังมีมุมหนึ่งที่ห่างไกลจากเสียงจังหวะที่เร้าใจ ผู้คนต่างนั่งดื่มกินพูดคุยกันส่งเสียงดัง ชายคนหนึ่งกำลังก้าวเดินไปยังโต๊ะชุดโซฟา อย่างเร่งฝีเท้า จนเพื่อนๆที่อยู่ในโต๊ะก่อนแล้วเห็นเข้า


"ว้าย! นังกานต์ ไหนว่าติดงานไงยะหล่อน"


เพื่อนกระเทยคนแรกทัก


"วันนี้ชั้นโชคดีหน่อยเธอ ลูกค้าแค่พาไปนั่งกินข้าวเฉยๆ วันนี้เลยไม่ต้องทำอะไรที่สะอิดสะเอียนเหมือนทุกวัน"


กานต์ตอบ


"เอาล่ะๆ ดีแล้วที่นางมาได้ทัน เดี๋ยวอีก 20 นาทีจะมีโชว์เดินแบบผู้ชาย"


เพื่อนอีกคนพูด


เสียงกรีดร้องจากกลุ่มเพื่อนกระเทยทั้งโต๊ะ รวมทั้งกานต์ด้วย เมื่อจะได้เห็นเรือนร่างชายหนุ่มหล่อ ออกมาเดินนุ่งน้อยห่มน้อย หนือบางทีอาจจะไม่นุ่งเลย


"นี่ นังกานต์ แล้วลุงเดวิดที่เธอเคยเล่าให้ฟังน่ะ ที่เค้าจะพาเธอไปอยู่เยอรมันด้วย ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว"


เพื่อนกระเทยที่บอกเรื่องเดินแบบถาม


"ชั่นก็คุยกับลุงแกทุกวันนะ ผ่านอีเมล์ ตอนนี้ชั้นกำลังไปเร่งเรียนภาษา หากเรียนจบคอร์สเมื่อไหร่ ชั้นจะนั่งเครื่องไปหาแกเลย"


"ไม่รู้สินะ ว่าลุงแกติดใจอะไรเธอนักหนา ถึงขนาดจะให้ไปอยู่ด้วย คงจะไปอยู่กินกันเลยมั้งเนี่ย"


"ลุงแกชอบที่ชั้นชอบนวดให้ ชั้นอุตสาห์ไปเรียนมาโดยเฉพาะเลยนะ เวลานวดให้แขกคนไหน เป็นติดใจทุกราย ว่างๆพวกเธอก็ไปเรียนบ้างสิ เอาไว้หากิน"


เพื่อนๆทุกคนบนโต๊ะต่างตั้งใจฟัง สื่งที่กานต์เล่า บางคนหัวเราชอบใจ


กานต์หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง จ้องมองบนท้องฟ้า เหมือนกำลังมองไปยังสถานที่อันแสนไกล


"นี่ค่อความฝันของชั้น และมันใกล้จะเป็นจริงแล้ว"


วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Girl Dream : หญิงสาวจากความฝัน








วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส อากาศดีตั้งแต่เช้าเหมาะแก่ออกมาสูดออกซิเจนเข้าปอดยิ่งนัก แต่ที่ผมออกจากบ้านมานั่งที่ร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้าวันนี้ ไม่ใช่เพราะอากาศที่แจ่มใสน่าสัมผัสหรอก แต่เป็นเพราะวันนี้ผมมานั่งรอใครบางคนอยู่ต่างหาก เธอมักจะมานั่งกินกาแฟที่นี่เป็นประจำโดยสั่งเอสเปรสโซร้อนและสั่งคุกกี้โฮมเมดของร้านนี้ 3 ชิ้นทุกครั้งในทุกๆเช้าวันอาทิตย์ แม้ว่าอาทิตย์นั้นฝนจะตกหรืออากาศหนาวเหน็บเพียงใด เธอก็มา


ผู้อ่านอาจคิดว่าผมนั้นได้นัดเธอไว้ที่ร้านแห่งนี้ ซึ่งรอเวลาที่จะมาเจอกันตามเวลานัด แต่แท้จริงแล้วผมไม่รู้จักเธอเลย ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเธอพักอาศัยอยู่แถวไหน ไม่รู้ว่าเธอชอบสีอะไร ไม่รู้ว่าเธอชอบกินอาหารชนิดไหน ไม่รู้ว่างานอดิเรกของเธอคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเธอ และที่ไม่รู้ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผมไม่รู้ว่าเธอนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอก็คือ เธอจะมาที่นี่ทุกเช้าวันอาทิตย์และจะสั่งเอสเปรสโซร้อนกลิ่นหอมฉุยพร้อมด้วยจานใบเล็กที่ถูกวางไว้ด้วยคุกกี้รูปร่างแปลกๆ 3 ชิ้นในนั้น เธอจะค่อยๆละเลียดกาแฟในแก้วเล็กพร้อมค่อยๆแทะกินคุกกี้โดยมืออีกข้างจะเปิดพลิกหน้านิตยาสารดาราไว้เสมอ มันเป็นนิตยาสารที่วางแผงทุกๆเช้าวันอาทิตย์


ผมเพิ่งจะบอกคุณผู้อ่านว่าผมนั้นไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ว่าเธอมีตัวตนหรือเปล่า แล้วผมจะรู้ว่าเธอจะมาได้อย่างไร มันอาจจะฟังดูแปลกๆไปสักหน่อย แต่ขอให้ผู้อ่านฟังสิ่งที่ผมจะพูดก่อน ผมเคยเจอเธอหลายครั้งในฝันของผมครับ มันนานหลายเดือนมาแล้วที่ผมเริ่มฝันเห็นหญิงสาวผมยาว ผิวขาวใสดวงตากลมโตพร้อมกับขนตาแพรยาว คิ้วโก่งสูงเหมือนคันศร โหนกแก้มสูงรับเข้ากับสันจมูกที่เรียวยาว ริมฝีปากของเธอนั้นสวยเรียวบางสีชมพูใสไร้เครื่องประทินโฉมใดๆ ในครั้งแรกที่ผมฝันเห็นเธอ เธอมาในชุดเดรสยาวสีน้ำตาลพร้อมด้วยสร้อยลูกปัดสีน้ำตาลเข้มเข้ากับชุด ผมคิดว่าฝันของผมนั้นไม่ธรรมดา เพราะในฝันผมสามารถจดจำรายละเอียดของฝันได้อย่างแม่นยำ สามารถจดจำสีที่ผมเห็นได้ จดจำทุกอิริยาบถทุกคำพูดที่เธอทำ


โดยปกติเมื่อคนเราฝัน เรามักจะจดจำเรื่องราวในความฝันในช่วงกลางๆหรือท้ายๆของฝันก่อนที่เราจะตื่น เราไม่เคยรู้หรอกว่าจุดเริ่มต้นของความฝันของเรานั้นมันเริ่มมาจากอะไร หรือเริ่มอย่างไร แต่ผมไม่ใช่ ผมรู้ตัวดีทุกครั้งที่ผมเริ่มฝัน มันจะเริ่มจากเช้าวันที่ผมเดินผ่านร้านกาแฟที่อยู่ในตัวอาคารของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และผมเห็นเธอนั่งในร้านคนเดียว เมื่อผมเห็นเธอครั้งแรก ผมจ้องเธออยู่นานจนเธอเริ่มรู้สึกตัว เธอตอบกลับสายตาของผมด้วยรอยยิ้มที่สดใสชวนฝัน และรอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้ความฝันของผมในทุกๆคืนต้องพาผมไปเจอเธอที่ร้านกาแฟแห่งนั้นในครั้งถัดๆไป


และฝันในครั้งที่ 2 ที่ผมได้พบเธอนั้น มันเริ่มมีเรื่องราวที่น่าประทับใจจนผมอยากจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟัง อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผมนั้นอิ่มเอมใจนั้นมันเป็นอย่างไร


ผมเดินผ่านบานประตูกระจกบานใหญ่ของร้านกาแฟ สายตามองลอดผ่านเข้าไปข้างในเพื่อมองหาใครบางคนที่อาจจะนั่งอยู่ในนั้น นั่นไง! เธอนั่งอยู่ในนั้น สายตาของเราสบประสานซึ่งกันและกัน เธอเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากให้ผม นั่นจึงทำให้ผมกล้าที่จะเดินเข้าไปในร้านและตรงไปที่เธอ


"สวัสดีครับ"


ผมเริ่มต้นความประโยคแรกด้วยถ้อยคำที่สั้นกระชับ แต่รอยยิ้มที่ตามไปนั้นยืดยาว


"สวัสดีค่ะ"


เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม


"คุณชอบมานั่งทานกาแฟที่นี่ทุกวันหรือครับ"


"ใช่แล้วค่ะ ของที่นี่เป็นโฮมเมดทุกอย่าง ทั้งเมล็ดกาแฟที่ปลูกและคั่วเอง และคุกกี้ที่เป็นเพียงขนมชนิดเดียวที่อยู่ในร้านนี้ก็อบเอง"


ผมมองเธอพูดพร้อมรอยยิ้ม นี่หรือคือนางฟ้าที่ผมนั่งคุยอยู่ด้วย


"เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณถึงดื่มแต่เอสเปรโซร้อน"


"ใช่แล้วคะ สิ่งที่ชั้นโปรดปรานสำหรับการดื่มกาแฟ คือความหอมของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่กลิ่นของน้ำเชื่อม คาราเมลหรือครีมใดๆ"


"ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เสพกาแฟยิ่งห่างหายจากรสกาแฟที่แท้จริง หรือบางทีพวกเขาเพียงแค่ต้องการหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ"


เธอยิ้มทุกครั้งที่พูด และยิ้มทุกครั้งที่รับฟัง นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมองไปที่เธอ


"ใช่แล้วค่ะ ครั้งหนึ่งชั้นก็พยายามทดลองหารสชาติแปลกๆใหม่ๆ ลองชิมกาแฟรูปแบบแปลกๆ แต่ลองได้ไม่นานก็เบื่อ แต่รสชาติที่นักดื่มกาแฟไม่เคยเบื่อก็คือรสชาติของกาแฟนั่งเอง"


ผมและเธอหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจของประโยคสนทนา


และการพูดคุยในครั้งนั้นก็จบเพียงแค่นี้เมื่อผมตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน และแล้วเช้าวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อเหงาของผมก็วนเวียนมาอีกครั้ง เวลาทั้งอาทิตย์ที่ไหลผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า แรกๆนั้นผมก็ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องของเธอ เพราะคิดว่ามันคงเป็นแค่ฝันเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อ ในทุกคืนวันเสาร์ผมก็จะไปพบเจอเธอในฝันอีกเช่นเคย


คุณผู้อ่านลองฟังเรื่องความฝันของผมอีกสักเรื่องสิ บางทีผมก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่ มันอาจจะไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาก็ได้


และวันนี้ก็เป็นเช้าวันอาทิตย์อีกเช้าหนึ่ง ที่ผมเลือกที่จะเดินผ่านหน้าร้านกาแฟเดิม โดยพยายามมองเข้าไปผ่านบานกระจกใหญ่ เพื่อมองหาเธอ และผมก็เห็นเธออีกครั้ง ผมเดินเข้าไปหาเธอโดยไม่ต้องรอสัญญาณใดๆจากเธอแล้ว


"สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ"


เธอทักทายผมก่อนเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ และแน่นอน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นถูกส่งออกมาอีกครั้งจนเกือบที่จะทำให้ใจผมหยุดเต้น


"สวัสดียามเช้าครับ"


ผมตอบรับเธอพร้อมเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนัง มันแสดงเวลาตอนนี้ยังค่อนข้างจะเช้าอยู่ ผู้คนยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก สักพักเธอตะโกนสั่งเมนูเดิมๆจากพนักงาน ไม่นานแก้วกาแฟดำใบเล็ก และจานใส่คุกกี้รูปทรงแปลก 3 ชิ้นก็ถูกนำมาวางโดยพนักงาน และแน่นอน เธอหยิบนิตยาสารดาราขึ้นมาเปิดอ่านหน้าแรก


"ทำไมคุณถึงชอบอ่านหนังสือดาราครับ ความจริงแล้วเราก็ต่างรู้กันดีอยู่ว่าเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่จัดฉากมันขึ้นมาไม่ได้มีเรื่องใดๆที่เข้าใกล้ความเป็นจริงเลยสักนิด แม้ตัวหนังสือเองจะอ้างว่าเขาไปเจอเรื่องคนนู้นคนนี้มาเลยเอาข้อเท็จจริงมาเขียน"


ผมถามเธอออกไปตรงๆเช่นนั้น เพราะผมเห็นว่าท่าทางของเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด ไม่น่าจะมาอ่านนิตยาสารลวงโลกไปวันๆ ตอนนี้เธอแค่เปิดดูรูปภาพพร้อมอ่านข้อความสั้นๆจากหน้าแรก เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง


"ชั้นรู้ดีค่ะ ว่าเรื่องราวในนิตยาสารเล่มนี้ล้วนเป็นเรื่องโกหก เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างกระแสของดาราให้มีคนจับตามากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับบทละครบทหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นมา แต่มันก็แค่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันก็เท่านั้นเองแหละค่ะ"


เธอแสดงทัศนะคติออกมาได้อย่างฉลาดมาก ผมดูเธอไม่ผิดเลยที่ว่าเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา


"ในเมื่อคุณรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วยังจะอ่านมันอีกทำไมครับ"


"มันก็เหมือนกับที่เราดูละคร หรืออ่านนิยายแหล่ะค่ะ บางครั้งเราก็ได้ความเพลิดเพลินได้จรรโลงจิตใจของเราได้บ้าง เพื่อให้คลายความน่าเบื่อในชีวิตของเรา"


เธอยิ้มมาที่ผมอีกครั้ง


"แล้วคุณล่ะคะ เวลาที่คุณเบื่อๆคุณมักจะทำอะไร"


ผมอยากจะตอบเธอเหลือเกินว่า วิธีแก้เบื่อของผมก็คือการที่ได้นั่งอยู่กับเธอ ได้พูดคุยเรื่องต่างๆกับเธอ หรือเพียงแค่มองหน้าของเธอและรอยยิ้มใสๆจากเธอ แต่ผมยังไม่มีความกล้าพอที่จะพูดแบบนั้นออกไป


"คุณพูดถูกครับ ชีวิตเรานี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก และมันเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสเกินไปที่เราจะรับมือกับมันเพียงลำพัง"


ผมตอบคำถามเธอออกมาจากใจ เพราะลึกๆในใจผมแล้ว ผมเหงาเหลือเกินที่ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว


"ผมชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อดูในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น พบเจอผู้คนใหม่ๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์แปลกที่ในแต่ละคนไม่เคยเจอ ลองกินอาหารแปลกๆที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะกินได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็แค่ไปสูดอากาศในกลิ่นอื่นๆยังสถานที่ที่สภาพแวดล้อมต่างกันบ้าง"


ผมพยายามสรรหาคำตอบที่ฟังดูเท่ๆมาพูดกับเธอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมโกหก ผมเกลียดการเดินทาง ผมเบื่อที่จะพูดกับคนแปลกหน้าที่ความเห็นมักจะไม่ตรงกัน ผมมักจะกินแต่ของที่เคยกินเพราะกลัวไม่ถูกปาก และผมเป็นภูมิแพ้เกินกว่าที่จะไปสูดอากาศใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย


แต่คำตอบที่พูดออกไปนั้นถูกใจเธอ


"คุณเป็นคนน่าสนใจจริงๆค่ะ ทำในสิ่งที่ตัวชั้นเองบางครั้งก็ไม่กล้าทำ การออกไปพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด หากไม่เป็นการรบกวนบางทีชั้นอาจจะขอติดตามคุณเพื่อออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะคะ"


ผมและเธอยิ้ม เราทั้งคู่นั่งมองตากันพักใหญ่


และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถจดจำเรื่องราว และคำพูดที่เราทั้งสองพูดคุยกันได้อย่างแม่นยำ ผมจึงเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ผมเห็นในความฝันนั้นไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องฝัน


หลังจากนั้นผมพยายามใช้เวลาว่าในการหาข้อมูลว่า ความฝันนั้นจริงๆแล้วแท้จริงมันคืออะไร มันจะใช่นิมิตบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าและจะนำพาคนที่มาจากอนาคตมาให้ผมได้รู้จักได้หรือไม่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่จิตใต้สำนึกของผมเองที่ต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง จึงจินตนาการสร้างนางในฝันขึ้นมาแค่นั้นเอง


ในตอนแรกผมก็คิดว่าฝันคงผมนั้นคงจะไม่ใช่นิมิตหรือลางบอกเหตุอะไรนั่นหรอก เพราะมันก็ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง ผมคงคิดว่าจิตใต้สำนึกของผมเองได้สร้างฝันและเธอขึ้นมา ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ว่าไว้ ผมฝันหาเธอเป็นระยะ ทุกครั้งที่เราเจอกันก็จะเจอกันที่ร้านกาแฟร้านเดิม แก้วกาแฟรูปทรงเดิมที่มีน้ำสีดำๆอยู่ในนั้น คุกกี้รูปทรงเดิมจำนวน 3 ชิ้นและนิตยาสารดาราที่เปลี่ยนภาพหน้าปกในทุกครั้งที่เราเจอกัน


แต่ความฝันครั้งล่าสุดของผมนี่เอง ที่ทำให้ผมคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องจิตใต้สำนึกอีกต่อไป มันต้องเป็นลางนิมิตบอกเหตุการณ์ในอนาคตของผมแน่ๆ ถ้าคุณผู้อ่านไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันสามารถเปลี่ยนความคิดของผมได้ขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเราลองไปดูกันว่าฝันครั้งล่าสุดของผมนั้นเป็นอย่างไรกัน


ความสนิทสนมของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งนี้ผมไม่ต้องชะเง้อมองผ่านบานกระจกเพื่อมองหาเธออีกต่อไป ผมเดินเข้าไปหาเธอยังโต๊ะตัวเดิม และของที่อยู่บนโต๊ะก็เหมือนเดิม นิตยาสารปกเดิมในมือเธอแต่คราวนี้ภาพดาราบนหน้าปกเปลี่ยนเป็นนักร้องสาวสวยที่กำลังตกเป็นข่าวฉาวกับนักการเมืองระดับประเทศ


ผมเริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยรอยิ้มเหมือนเคย และก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเหมือนเคย


"คุณจำคำพูดที่ชั้นเคยพูดกับคุณเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้มั้ยคะ"


"เราคุยกันหลายเรื่อง ผมจำคำพูดของคุณได้ทุกเรื่อง คุณกำลังพูดถึงเรื่องไหนอยู่ล่ะครับ"


"คราวแล้วไงที่เราคุยกันเรื่องการหาอะไรทำแก้เบื่อของเรา"


"ครับ ผมจำได้"


ผมนึกขึ้นได้ทันที รวมถึงประโยคเท่ๆที่ผมพูดออกไป แต่คำพูดเหล่านั้นผมพูดโกหกออกไป ผมภาวนาว่าขออย่าให้เธอพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย


"ชั้นยังประทับใจในตัวคุณที่ว่าคุณเป็นนักเดินทาง ชอบไปยังสถานที่ใหม่ๆ พบปะพูดคุยกับคนใหม่ๆ และเจอสิ่งใหม่ๆ"


"อ๋อ ใช่แล้วครับ"


ผมยิ้มเจื่อนๆ


"คือว่าชั้นอยากให้คุณพาชั้นออกไปท่องเที่ยวแบบนั้นบ้างจัง อยากให้พาไปหาสภาพแวดล้อมใหม่ๆที่มันไม่น่าเบื่อซ้ำซากจำเจอย่างทุกวันนี้"


"มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครับ"


ผมยังคงพยายามเก็บอาการไว้ เรื่องที่เคยพูดโกหกออกไป


"คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าชั้นมักจะอ่านหนังสือพวกนี้เพื่อแก้เบื่อ ฆ่าเวลาในยามที่ไม่มีอะไรทำ แต่พอเวลาผ่านไปนานๆก็ทำให้รู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมา มันก็ซ้ำๆเดิมๆไม่มีอะไรแปลกใหม่ขึ้นมาเลย ตอนนี้ชั้นไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ชั้นนึกถึงคำพูดของคุณในการที่จะออกไปดูโลกที่แท้จริง มันคงจะงดงามและน่าตื่นเต้นเป็นไหนๆ"


เธอพูดออกมาด้วยแววตาที่คาดหวังอย่างแรงกล้า หากบอกเธอตอนนี้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นเป็นเรื่องโกหก นั่นมันคงจะทำให้เธอเกลียดผมได้


"ได้สิครับ เรามาออกร่วมเดินทางไปด้วยกัน ผมมีสถานที่หลายแห่งที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณ คุณอยากจะไปเมื่อไหร่ครับ"


สีหน้าแห่งความหวังแสดงออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเธอ ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าพาเธอไปไหนก็ได้สักที่ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไร


"เอาอย่างนี้ค่ะ เมื่อเราเจอกันครั้งหน้า ชั้นจะใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน เวลานั้นชั้นจะสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้ เราจะมาเจอกันที่นี่และนั่งดื่มกาแฟกันก่อนที่ชั้นจะออกเดินทางไปพร้อมกับคุณ"


"ผมก็อยากออกเดินทางกับคุณเช่นกันครับ"


ใจหนึ่งผมก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องเดินทาง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีใจมากจนลืมสิ่งเหล่านั้นไปก่อน


"เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมจะให้นามบัตรคุณไว้ใบหนึ่ง เผื่อมีอะไรคุณสามารถโทรมาหาผมก่อนได้ครับ"


ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาและค้นหานามบัตรของผม ซึ่งตอนนี้มีมันอยู่แค่แผ่นเดียว ผมยื่นนามบัตรให้เธอทันที เธอรับไปจากมือผม จากนั้นเธอก็ความหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพายของเธอ


"ขอบคุณค่ะ และนี่นามบัตรของชั้น"


ผมรับมาและเก็บมันลงในกระเป๋าเงินทันที


เมื่อผมตื่นขึ้นจากฝันครั้งนั้น นั่งทบทวนคำพูดทุกคำที่ได้พูดกับเธอในฝัน หัวใจผมเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จากนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาและตรวจสอบดูว่ายังมีนามบัตรของผมหลงเหลืออยู่หรือไม่


ผมแทบตกใจจนเกือบจะตกเตียง เมื่อพบว่านามบัตรของผมที่เหลืออยู่ใบเดียวมานานหลายปีนั้น ได้ถูกหยิบออกไปแล้ว และมีนามบัตรของใครก็ไม่รู้ว่าอยู่ในกระเป๋าของผม มันมีชื่อเจ้าของบัตรเป็นผู้หญิงด้วย ตอนนี้ในหัวของผมเริ่มมึนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่านั่นจะไม่ใช่ฝัน แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ และผมก็ไปอยู่ที่นั่นด้วยปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง


ผมนึกถึงหนังวิทยาศาสตร์หลายเรื่องที่เคยดู มีการข้ามมิติหลายชั้นซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยาย เพื่อให้นางเอกและพระเอกที่อยู่ห่างไกลกันได้มาพบกัน


ช่วงวันเวลาระหว่างสัปดาห์ผ่านไปด้วยความเชื่องช้าเหมือนเคย ในเวลาระหว่างนั้นผมนั่งคิดอยู่นานว่านี่จะสามารถเป็นเรื่องจริงได้หรือไม่ และถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง ผมจะได้เจอเธอในร้านกาแฟสักแห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าในเช้าวันอาทิตย์ และเป็นสถานที่จริงๆ ตัวเธอจริงๆไม่ใช่ในฝันของผม


ผมคิดแผนอยู่นานว่าจะพาเธอไปเที่ยวที่ไหน สุดท้ายก็คิดไว้ว่าจะพาเธอไปทะเลใกล้ๆนี่แหละ เพราะที่ทะเลมีทุกอย่างที่ถูกเซ็ทไว้ให้หมดแล้วสำหรับนักท่องเทียว มันจะมีอะไรมากไปกว่าโรงแรม ร้านอาหาร และหาดทราย


และในเช้าวันอาทิตย์นี้ที่เรานัดพบกัน ผมรีบขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อค้นหาร้านกาแฟที่ว่านั่น และก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ผมสามารถเดินตรงไปที่ร้านนั้นได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องค้นหา ตอนนี้เวลา 7 โมงแล้วห้างยังไม่เปิด แต่ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดกันหมดแล้ว ผมเดินเข้าไปนั่งรอเธอในร้าน เธอยังไม่มา นี่คงจะเช้าเกินไป ผมนั่งรอ


นี่แหละครับท่านผู้อ่าน สิ่งที่ผมเล่าไปนั้นคือสิ่งที่นำพาผมมานั่งอยู่ตรงนี้ เวลานี้ เวลาผ่านไปไม่นานแต่ผมก็เริ่มกังวลใจแล้วว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ นามบัตรที่ผมยื่นให้เธอไปนั้นผมอาจจะหยิบให้ใครไปนานแล้ว และนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าของก็อาจะได้รับมาจากใครสักคน


และเวลาก็ล่วงเลยไปเรื่อยจนเริ่มจะสายแล้ว เธอก็ยังไม่มาจนพบคิดว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องจริง จนกระทั่งผมได้ยินเสียงๆหนึ่ง


"ขอเอสเปรสโซร้อนหนึ่งที่ค่ะ คุกกี้ 3 ชิ้น"


ผมหันไปที่ต้นทางของเสียงทันที เธอคนนั้นยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ที่มีเครื่องชงกาแฟ และเธอยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนใส่รองเท้าผ้าใบ และสะพายประเป๋าใส่กล้องถ่ายรูปไว้ด้วย เธอรับแก้วกาแฟและจานคุกกี้จากพนักงาน ก่อนที่จะหันหน้ามาทางผมพร้อมรอยยิ้ม เธอเดินตรงมายังโต๊ะที่ผมนั่ง


"ขอบคุณนะคะที่มาในวันนี้ ทานอะไรหรือยังคะ"


ผมแทบจะยืนอึ้งไปชั่วขณะ เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงคนจริงๆ และที่อยู่ต่อหน้าผมนั้นก็เป็นคนจริงๆซึ่งมีลักษณะทุกอย่างเหมือนในฝันของผม รวมทั้งรอยยิ้มของเธอ


"ผมเรียบร้อยแล้ว"


ผมตอบออกไปอย่างขวยเขิน ซึ่งอาจทำให้เธอประหลาดใจเพราะเราทั้งสองเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว ผมจึงต้องรีบทำตัวให้ปกติ


"จากที่เราคุยกันเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้คุณคิดได้หรือยังคะว่าจะพาชั้นไปเที่ยวที่ไหนดี"


มันเกิดขึ้นจริงๆด้วย สิ่งต่างที่เราคุยกันมาหลายเดือนนั้นมันเป็นเรื่องจริง แต่มันเกิดขึ้นที่ไหนนะ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบ ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็นจริงมันก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วในตอนนี้ จะมัวมาคิดอะไรตอนนี้ให้เสียเวลาอีก


"ครับ ผมจะขับรถพาคุณไปเที่ยวทะเลใกล้ๆแถวนี้ก่อน คุณคิดว่าอย่างไรครับ"


"ดีค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทรายขาวๆ"


ตอนนี้ผมยังตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เลย นี่สินะที่เรียกว่าปาฏิหาริย์


"แล้ววันนี้คุณไม่ซื้อนิตยาสารซุบซิบดาราอีกแล้วเหรอครับ ผมเดินผ่านแผงหนังสือ เล่มใหม่มาวางแผงแล้วนะครับ"


"ไม่แล้วค่ะ ชั้นเลิกอ่านนิตยาสารพวกนั้นแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เราควรที่จะไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ ห้างก็เปิดแล้วเราขึ้นไปข้างบนกันดีกว่าค่ะ"


"ตกลงครับ"


เราทั้งคู่เดินขึ้นไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อหาร้านอาหารหรูๆสักที่นั่งกัน เธอก้าวเดินไปเหมือนเด็กน้อยที่รู้ว่ากำลังจะไปเที่ยวสวนสนุก และนั่นมันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ใจผมเต้นเร็วและรัวเมื่อคิดในหัวว่าอยากให้เราทั่งคู่ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน ผมพยายามบังคับมือของผมให้ไปกุมมือเธอไว้


ระยะห่างอีกแค่ปลายนิ้วก้อยของผมก็จะไปสัมผัสที่ข้างมือของเธอ แต่ว่าสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!


(เสียงจากระบบสัญญาณเตือนภัยดัง)


ผมตกใจเมื่อเห็นคนรอบข้างต่างวิ่งวุ่นไป แม้แต่เธอก็วิ่งหนีออกจากผมไป และตอนนี้เริ่มมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมเริ่มรู้สึกสำลักควันไฟแล้ว


กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา เริ่มมองภาพของเพดานห้องนอนที่คุ้นเคย ผมหันหน้าไปที่นาฬิกาปลุกรุ่นโบราญที่กำลังสั่นกระดิ่งดังเพราะถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว


ผมเอื้อมมือไปปิดเสียงทันที พลันคิดด่าตัวเองในใจเรื่องที่ลืมปิดสวิทซ์ตั้งปลุกทีนาฬิกา ทั้งๆที่เช้านี้เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ ผมควรจะได้นอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันไฟจากกองเศษใบไม้ข้างบ้านกำลังถูกเผาควันโขมงลอยเข้ามาในห้องของผม


ผมลุกจากเตียงอย่างงัวเงียเพื่อจะเดินไปเข้าห้องน้ำ พลันคิดในหัวเล่นๆว่าเมื่อคืนนั้นผมฝันอะไรไปบ้าง


ใช่แล้วครับคุณผู้อ่าน ในทุกๆคืนวันเสาร์ที่ผมนอน มันจะเป็นบ้าอะไรไม่รู้ที่จะทำให้ผมมักจะฝันแปลกๆ ฝันในเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันมาหลายเดือนแล้ว และมันเป็นฝันที่ต่อเนื่องกันด้วยสิ เหมือนกับจะเป็นภาคต่อของฝันเลยด้วย เนื่องจากผมเองนั้นจำเรื่องราวของฝันได้ละเอียดยิบ อ่อ! ใช่สิ เมื่อคืนในฝันผมก็บอกเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับรู้ไว้แล้วด้วย


นี่แหล่ะครับ ความบันเทิงในชีวิตของผมก็คือความฝัน สิ่งนี้แหล่ะที่ทำให้ความน่าเบื่อซ้ำซากจำเจของผมนั้นพอจะทุเลาลงได้บ้าง


ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ตอนเช้าในวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อในบ้านหลังเล็กที่ผมอาศัยอยู่คนเดียว ผมคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็คงจะดี คิดได้ดังนั้นผมรีบล้างหน้าแปรงฟันออกจากบ้านทันที ซึ่งเป้าหมายของผมในเช้าวันนี้ก็คือห้างสรรพสินค้าใกล้ๆบ้าน


ในขณะที่ขับรถ ผมนึกถึงฝันเมื่อคืนแล้วแอบยิ้มปนหัวเราะอยู่คนเดียว ถ้าใครมาเห็นต้องนึกว่าผมเป็นบ้าอย่างแน่นอน และในความฝันของผมที่ฝันต่อเรื่องมาหลายครั้งนั้นได้สอนให้ผมเข้าใจถึงการที่จะได้เจอใครสักคนว่า ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาแค่นั้นเองที่จะทำให้เจอ หรือไม่เจอ


ตอนนี้เช้าเกินไปที่ห้างสรรพสินค้าจะเปิด ผมเดินดูรอบตัวห้างเผื่อว่าร้านอาหารไหนจะเปิดแล้วบ้าง แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีเลย จะมีก็แต่ร้านกาแฟที่เปิดตั้งแต่เช้าแล้ว ผมจึงเดินตรงไปยังร้านกาแฟร้านนั้น


ทันใดนั้นผมเห็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเดินผ่านประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในร้านกาแฟ ผมคิดถึง 'เธอ' ในฝันของผมทันที หญิงสาวคนที่เดินเข้าไปในร้านสวมชุดเดรสยาวสีน้ำตาล เธอนั่งลงบนโต๊ะยาวใกล้ประตูทางเข้า ผมเปิดประตูเข้าไปและจ้องหน้าของเธอเพราะคิดว่าบางทีผู้หญิงในฝันอาจจะออกมาพบผมข้างนอกก็เป็นได้


ผมรู้ครับคุณผู้อ่านว่ามันฟังดูเหลวไหลไปหน่อย แต่ผมแค่คาใจเลยขอแค่ไปดูให้รู้แน่ว่าใช่หรือไม่ใช่


"นี่คุณ... คุณ เราเคยรู้จักกันมาก่อนมั้ยคะ"


เธอคนนี้ไม่ใช่นางในฝันของผม แค่คล้ายๆ แต่เธอก็ดูน่ารักไม่เบาเหมือนกัน


"คุณคะ จ้องหน้าชั้นแบบนี้เราเคยรู้จักกันหรือเปล่า"


"ใช่ครับ เราเคยเจอกันมาก่อน"


แม้เธอจะแค่คล้ายๆกับนางในฝันของผม แต่เธอก็ทำให้ผมเคลิ้ม


"เฮ้ย! ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงหน้าของคุณคล้ายๆกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง"


เธอหัวเราะเบาๆ


"หน้าของชั้นคงโหลนะ"


"ปะๆ...เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องหัวเสีย"


"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณไม่ได้ทำให้ชั้นหัวเสีย และคุณไม่ใช่คนหยาบคายด้วย"


"แต่ถึงอย่างไร ผมก็ทำกิริยาที่ไม่เหมาะสมกับคุณ"


ผมรู้สึกไม่ดีที่ทำอะไรเปิ่นๆต่อหน้าสาวสวย จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ความอายลดน้อยลง


"งั้นเอาอย่างนี้สิ คุณเลี้ยงกาแฟชั้นสักแก้วละกัน และถ้าคุณทายถูกว่าชั้นชอบดื่มกาแฟอะไร ชั้นจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน"


ผมรับคำท้า ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ใครๆก็อยากเลี้ยงกาแฟ ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์กาแฟและมองดูที่ป้ายเมนู เพื่อลองเลือกสุ่มเมนูกาแฟ


"น้องครับ พี่ขอเอสเปรสโซร้อน 2 แก้ว และ เอ่อ... ขอคุกกี้ในโถนั้นด้วย 3 ชิ้น"


ผมชี้นิ้วไปที่โถแก้วใบหนึ่ง ที่เต็มคุกกี้รูปร่างแปลกๆ ผมยกแก้วกาแฟและจานคุกกี้ไปที่เธอ


"น่าประหลาดใจมากที่คุณรู้ว่าชั้นชอบดื่มเอสเปรสโซร้อน และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือคุณรู้ได้อย่างไรคะ ว่าชั้นชอบทานคุกกี้แบบนี้ และต้อง 3 ชิ้นด้วย"


ผมถึงกับตกใจทำหน้าตาเหรอหรา เมื่อเธอบอกถึงรสนิยมตัวเอง ผมลังเลใจที่จะบอกความจริงว่าทำไมผมถึงสั่งเอสเปรสโซร้อน และคุกกี้รูปทรงประหลาดอีก 3 ชิ้น เพราะขี้เกียจอธิบายอะไรที่ยืดยาว


"ก็คือว่าผมชอบทานแบบนี้ครับ ก็เลยเหมาว่าคุณคงจะชอบด้วย"


เธอยิ้มร่าแสดงความชอบใจกับคำพูดของผม รอยยิ้มของเธอทำให้ผมคิดถึง 'เธอ' อีกคน


"และผมยังคิดว่าคุณคงจะชอบทะเล และหาดทรายสีขาวด้วย"


หญิงสาวทำหน้าอึ้งไป


"เอ๊ะ! ชั้นเคยบอกคุณเรื่องนี้ด้วยเหรอ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ใช่ค่ะ ชั้นชอบทะเลและหาดทราย แต่คุณรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกันในเมื่อเราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก"


ผมทำหน้าเหรอหราอีกครั้ง


"เอ่อ... ก็แบบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงจะชอบไปทะเลกันมั้งครับ ผมก็เดาเอา"


เราทั้งคู่นิ่งกันไปชั่วขณะ เธอคงนิ่งไปเพราะยังงงๆกับคำพูดของผม แต่ที่ผมนิ่งไปก็เพราะผมกำลังรวบรวมความกล้าในการที่จะพูดคำบางคำต่อจากนี้


"ในฐานะที่ผมเดาถูกว่าคุณชอบไปทะเล เอาอย่างนี้มั้ยครับ เราสองคนไปเที่ยวทะเลด้วยกันครับ"


หน้าผมเริ่มร้อน และตอนนี้มันคงจะแดงจนเธอสังเกตได้แล้ว


"ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเลย"


"ตกลงครับ"


เราทั้งคู่เดินออกจากร้านกาแฟเพื่อเดินไปยังลานจอดรถที่ผมเอารถไปจอด และในระหว่างทางนั้นเราเดินผ่านร้านขายหนังสือพอดี เธอเดินตรงไปที่แผงหนังสือ และหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแผง


"เอ่อ... คุณชอบอ่านนิตยาสารดาราหรือครับ"


เธอหยิบเงินจ่ายให้พ่อค้า


"ใช่ค่ะ ชั้นชอบอ่านนิตยาสารพวกนี้ แต่ความจริงแล้วชั้นตั้งใจไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่า จะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้แล้วเหมือนกัน แต่เห็นว่าเราจะเดินทางชั้นเลยขอมีอะไรติดไม้ติดมือไปอ่านบ้างแค่นั้นเอง"


เป็นอีกครั้งที่ผมทำหน้าเหรอหรา


"แล้วทำไมคุณคิดจะเลิกอ่านนิตยสารพวกนี้ล่ะ"


"ชั้นเบื่อ ชั้นเริ่มเบื่อเรื่องราวเหล่านี้แล้ว อย่างอาทิตย์ที่แล้วนิตยสารก็เสนอข่าวเรื่องของนักร้องสาวชื่อดัง ไปมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆกับนักการเมืองระดับประเทศ หรือดาราบางคนก็ออกมาแก้ข่าวฉาวของตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาอ่านดี เลยหยิบเล่มนี้มา"


เธอพูดเสร็จก็เดินนำผมไปยังลานจอดรถ ผมเดินตามเธอข้างหลัง ในใจก็คิดนึกพิศวงอยู่ในบางเรื่องเหมือนกัน ผมล้วงกระเป๋าเงินของผมออกมาจากกางเกง จากนั้นก็เปิดมันออกมาเพื่อหานามบัตรของผมที่มันเหลืออยู่ใบเดียวมานานมากแล้ว


ผมเจอนามบัตรหนึ่งใบที่มีชื่อและรูปของผมเองติดอยู่บนนั้น ผมโล่งใจว่านี่คงไม่ใช่ฝัน พลันคิดว่าเรื่องบางเรื่องที่มันเกิดขึ้นในเช้านี้ที่มันดูแปลกๆ และยังหาคำตอบไม่ได้ ผมจะลืมมันไปก่อน ยังไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวในตอนนี้ เพราะผมกำลังจะไปเที่ยวทะเลกับสาวสวยแบบสองต่อสอง


คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งมาคาดคั้นอะไรให้ผมหาคำตอบในเรื่องราวน่าพิศวงเหล่านี้เลย ผมขอตัวก่อนนะครับ บาย




กลับบ้าน


"ค่ะพ่อ กลับแน่นอนค่ะ"

"ดีแล้วลูก เราไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตามาหลายปีแล้ว เดี๋ยวพี่ศรก็จะกลับมาด้วย"

"กลับแน่นอนค่ะพ่อ ปีแล้วหนูขอโทษด้วยที่ไม่ได้กลับเพราะที่ร้านเค้าอยากได้คนเฝ้าร้านช่วงสงกรานต์"

"อันนั้นไม่เป็นไร แต่ปีนี้ลูกต้องกลับบ้านให้ได้นะ อ้อ... จำเปิ้ลลูกแม่เปี๊ยกได้มั้ย เปิ้ลเค้ากลับมาอยู่ที่บ้านได้เดือนกว่าแล้วนะ"

"อ้าว จริงหรือคะ แล้วเปิ้ลเค้าไม่ทำงานที่กรุงเทพแล้วหรือ"

หนูนาคุยกับพ่อของเธอผ่านสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด โดยเธอคุยผ่านสมอล์ทอล์ค เวลาที่แสดงบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแสดงวันที่ 
8 เมษายน 255x เธอจะได้หยุดงานในวันที่ 11 เพื่อเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์

"พอดีว่าเธอกำลังท้องใกล้จะคลอดแล้ว เปิ้ลเค้าเลยขอหยุดลาคลอด 3 เดือนน่ะเพื่อจะมาคลอดลูกที่บ้าน แฟนของเปิ้ลเค้าก็ดีนะ รู้สึกจะชื่อเมธี ไม่รู้ลูกเคยเห็นมั้ย?"

"ไม่ค่ะพ่อ เปิ้ลไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟนเค้าให้หนูฟังเลยสักครั้ง เราไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว"

"อ่อ ไม่เคยเลยเหรอ เห็นว่าเปิ้ลเป็นเพื่อนสนิทกับลูก เมธีน่ะเค้ายอมย้ายมาดูแลเปิ้ลที่บ้านเลยนะ เมธีเค้าเป็นคนดีมาก น่ารักอัธนาศัยดี พ่อยังนึกอิจฉาแม่เปี๊ยกเค้าจริงๆเลย"

หนูนาฟังถึงประโยคนี้ก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกที่คอ เธอทอดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาโดยไม่ให้เสียงลมเล็ดลอกเข้าไปในสายโทรศัพท์ แต่เธอก็ยังไม่พูดอะไรออกมาในตอนนี้

"แล้วหนูนาล่ะจ้ะ เมื่อไหร่จะ..."

"พ่อ! เอาอีกแล้วนะ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว พ่อจะพูดเรื่องนี้ทำไมอีก"

หนูนาพูดเสียงดัง เหมือนระเบิดอารมณ์ที่อัดแน่นมายาวนาน

"พ่อยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

"หนูรู้ว่าพ่อจะพูดอะไร เราเคยคุยกันเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วนี่คะ โอกาสของคนเรามันไม่เหมือนกัน ชีวิตคนเราๆก็ไม่ใช่ว่าเราจะกำหนดเส้นทางเดินให้มันได้หมดซะทุกอย่าง"

"จ้ะๆ พ่อไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้ เอาเป็นว่าสงการนต์ปีนี้เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสักที"

"ได้ค่ะพ่อ ไว้เจอกัน สวัสดีค่ะ"

"อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน"

พ่อของหนูนารีบพูดขัด ก่อนสายจะถูกตัด

"มีอะไรอีกคะ?"

"คือว่าแม่ของลูกฝากความคิดถึงมาให้น่ะ"

"ค่ะ แม่เป็นยังไงบ้างคะตอนนี้"

"แม่แกก็สบายดี แต่ตอนนี้เห็นซึมๆไป ไม่ค่อยกินค่อยนอนเลย"

"จริงหรือคะ แม่เป็นอะไรมากมั้ย?"

"พ่อก็ไม่รู้นะ แต่เวลาแกเห็นลูกเขยข้างบ้านทีไร เป็นต้องซึมเศร้าทุกทีเลย พ่อก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร"

หนูนาถึงกับน้ำตาซึมเพราะสงสารแม่ ความจริงแล้วเธอเข้าใจหัวอกของผู้เป็นพ่อและแม่ดี ว่าพวกเขาก็อยากเห็นลูกสาวของตัวเองเป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ชะตาชีวิตของคนเรานั้นยากที่จะฝืน หนูนาคิดว่าตัวเธอเองนั้นคงไม่มีดวงเรื่องคู่ครอง แม้เธอเองจะมีหน้าตาที่สระสรวย หุ่นทรวดทรงก็ถือว่าดี แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นหลักประกันใดๆว่าเธอจะต้องมีคู่ครอง อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเธอที่พิถีพิถันในการเลือกคบหาคน

และเพื่อต้องการให้แม่ของเธอรู้สึกดีขึ้น หนูนาจึงเผลอพูดประโยคหนึ่งออกไป แต่เธอลืมนึกไปว่าความกดดันนั้นจะมาบีบบังคับเธอในภายหลัง

"งั้นพ่อช่วยบอกแม่ด้วยนะคะ เดี๋ยวหนูจะพาแฟนไปให้พ่อกับแม่รู้จัก"

"ได้จ้ะๆ เดี๋ยวพ่อจะรีบบอกแม่แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ พ่อต้องรีบไปบอกข่าวดีนี้กับแม่แล้ว"

สิ้นบทสนทนา น้ำตาของหนูนาไหลพรากลงกลางแก้มขาวๆ ที่ตอนนี้เริ่มฝาดไปด้วยเลือดแล้วเพราะเธอเริ่มร้องไห้อย่างหนักหน่วง เสียงร้องไห้ถูกสกัดกลั้นไว้ไม่ให้ดังออกมา แต่สายน้ำที่ไหลออกจากตานั้นเธอไม่สามารถที่จะสกัดกลั้นใดๆมันได้อีกต่อไปแล้ว คืนนี้เธอคงจะต้องนอนจมทุกข์กับบ่อน้ำตาอีกหนึ่งคืน

.....

ช่วงเที่ยงในร้านอาหารยุโรปแสนหรู หนูนาออกมาต้อนรับลูกค้าฝรั่ง ด้วยความที่เธอเป็นผู้จัดการของร้าน ช่วงกลางวันจนถึงเที่ยงจึงเป็นช่วงที่หนูนายุ่งมากจนลืมเรื่องราวที่คุยกับพ่อของเธอ กระทั่งเลยไปถึงเวลาบ่ายกว่าๆลูกค้าเริ่มเบาบาง เธอต่อสายโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิทเพื่อปรึกษาเรื่องที่จุกอกของเธออยู่

"สวัสดีจ๊ะเอ๋ คือว่ามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะ"

"แหม ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา ถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อนคงจะไม่โทรมาสินะ"

จ๊ะเอ๋เพื่อนสนิทของหนูนาที่เป็นสาวประเภทสอง เธอเป็นเพื่อนที่รักและคอยช่วยเหลือหนูนามาตลอด 4 ปีที่เธอทั้งสองเรียนจบจากคณะเดียวกัน

"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ พอดีช่วงนี้ชั้นยุ่งๆเรื่องงาน แต่ที่โทรมาวันนี้มีเรื่องจะปรึกษา"

"ได้เลยเพื่อน ไหนเล่าปัญหามาให้ฟังหน่อย"

หนูนาเล่าเรื่องที่เธอคุยกับพ่อของเธอเมื่อคืนนี้ให้จ๊ะเอ๋ฟังทุกอย่าง จ๊ะเอ๋รับฟังและเข้าใจในความทุกข์เรื่องนี้ของหนูนาดี เพราะก่อนหน้านี้จ๊ะเอ๋เองก็ทำหน้าที่เป็นระบายและปรึกษาความลำบากใจทุกอย่างของหนูนา

"เอาอย่างนี้มั้ย เพื่อนๆของแฟนชั้นหน้าตาดีๆเยอะเลย และส่วนใหญ่เป็นเกย์ทั้งนั้น เธอก็หิ้วกลับบ้านสักคนสิ"

"มันจะดีเหรอเธอน่ากลัวออก มีผู้ชายนั่งรถกลับบ้านด้วย"

"เดี๋ยวชั้นจะถามแฟนชั้นให้ว่ามีใครพอจะไว้ใจได้บ้าง เธอไม่ต้องกลัวหรอก พวกนี้มันไม่สนใจชะนีหรอก"

"อืม... ถ้ามันเป็นทางเลือกเดียว ชั้นสงสารแม่น่ะ รู้มั้ยว่าแม่ชั้นเค้าอยากมีหลานไว้อุ้มมานานแล้ว พี่ศรก็ดันมากลายเป็นแบบเธออีก"

จ๊ะเอ๋เงียบไปชั่วครู่

"แหมเธอ... ก็ใครเค้าจะเลือกเกิดได้ล่ะ หากชั้นเลือกเกิดได้ก็ขอเกิดเป็นชะนีสวยๆอย่างเธอนั่นแหละ แต่มันเกิดมาแล้วก็ต้องอยู่ให้มีความสุขเท่านั้นแหล่ะ"

"จ้ะๆ ชั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอ เข้าใจความรู้สึกของพี่ชายชั้นด้วย "

"งั้นเอางี้ละกัน เดี๋ยวให้ชั้นโทรถามแฟนก่อน เพื่อนๆเค้าแต่ละคนน่ากินมาก แต่แฟนชั้นน่ากินกว่า"

ทั้งคู่หัวเราะเบาๆ

"แล้วเธออย่าไปหลงคารมหรือหน้าตาพวกนั้นล่ะ"

"ไม่หรอก ถ้าวิธีนี้มันได้ผลจริงๆ และมันทำให้พ่อแม่ของชั้นจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ได้แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ"

"แต่เธอก็ต้องรู้นะว่ากำลังทำอะไรอยู่ เอาล่ะๆ เดี๋ยวตอนเย็นจะโทรหานะ"

จ๊ะเอ๋วางสายโทรศัพท์จากเพื่อนรัก เธอรีบโทรหาแฟนหนุ่มของเธอทันทีและได้คำตอบว่าให้มาคุยกันที่บ้านของคนทั้งสอง ตกเย็นทั้งคู่กลับบ้านมาเจอกันและพูดคุย

"มันก็ไม่ยากนะกับการจะจ้างใครสักคนเพื่อจะแกล้งไปเป็นแฟน คนที่ไว้ใจได้ก็มีหลายคน แต่เป็นช่วงเทศกาลนี่สิ คงไม่ค่อยมีใครว่าง"

กรแฟนหนุ่มของจ๊ะเอ๋พูดหลังรับฟังเรื่องราวทั้งหมดของหนูนา แม้แต่กรเองก็ยังกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเพื่อนสนิทของคนรัก เพราะกรเองก็รู้จักและสนิทสนมกับหนูนาเป็นอย่างดี

"น่าเสียดายจัง แล้วเราจะหาใครช่วยหนูนาดีล่ะ"

"มีน้องคนนึงน่าจะพอช่วยได้ แต่เขาเป็นคนรู้จักของเพื่อนกรอีกทีน่ะ"

"แล้วกรไปรู้จักน้องเค้าได้ยังไงล่ะ จะไว้ใจได้มั้ย"

จ๊ะเอ๋ถาม

"กรเคยเจอน้องเค้าครั้งนึงน่ะเป็นเหมือนกับกร ตอนไปหาเพื่อนที่บ้าน น้องเค้าอยู่บ้านข้างๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กรจะเข้าไปหาเพื่อนที่บ้าน แต่ไม่แน่ว่าน้องเค้าจะว่างมั้ย"

"ไม่เป็นไร ก็ลองไปหาดูก่อน ถ้าน้องเค้าไม่ว่างก็ค่อยว่ากัน"

วันรุ่งขึ้นกรไปหาเพื่อนที่บ้าน แต่ปรากฎว่าเพื่อนของเขาไม่อยู่บ้าน กรจึงไปเคาะเรียกน้องข้างบ้านเองโดยที่ไม่ได้บอกเพื่อนของเขา

"หวัดดีมัส พอดีพี่มาหาเพื่อนพี่แต่เค้าไม่อยู่น่ะ"

"สวัสดีครับพี่กร พี่มีธุระอะไรกับพี่โจหรือครับ"

"เปล่าหรอก ความจริงพี่ต้องการมาหามัสต่างหาก พอดีพี่จะถามว่าช่วงหยุดสงกรานต์นี้มัสว่างมั้ย พอดีพี่อยากขอความช่วยเหลือหน่อยน่ะ อยากจะจ้างมัสให้ช่วยทำงานชิ้นนึง แต่มันอาจจะฟังดูแปลกๆหน่อยนะ"

มัสเกย์หนุ่มรุ่นน้อง เขาและกรเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว ด้วยหน้าตาที่ดูเป็นมิตรจึงทำให้กรค่อนข้างจะไว้ใจ

"ผมก็สนใจอยู่ครับพี่ ว่าแต่เป็นงานประเภทไหนกันหรือ"

"คือว่าพี่มีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนนึง แล้วช่วงวันหยุดนี้เธอจะกลับบ้าน แต่เธอต้องพาแฟนหนุ่มของเธอกลับบ้านด้วย..."

"จะให้ผมช่วยเป็นคนขับรถให้พวกเขาหรือครับ"

"เปล่าหรอก คืออยากจะให้มัสไปเป็นแฟนหนุ่มของเพื่อนพี่น่ะ"

มัสทำสีหน้าแปลกใจ

"จะให้ผมทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อผมชอบผู้ชาย"

"พี่ไม่ได้ให้มัสเป็นแฟนกับเพื่อนพี่จริงๆสักหน่อย แค่แกล้งทำให้พ่อแม่ของเธอเห็นแค่นั้นก็พอแล้ว"

"อ๋อ ให้ผมแค่แกล้งแสดง"

"ใช่แล้วล่ะ สรุปว่าจะรับงานนี้มั้ย"

"ตกลงครับพี่ หาเงินใช้ดีกว่า แล้วผมจะได้เริ่มงานเมื่อไหร่ครับ"

"เดี๋ยวพี่ให้เบอร์โทรของเพื่อนพี่ไป โทรคุยกันกับนายจ้างโดยตรงเลย"

กรให้เบอร์โทรศัพท์ของหนูนาไป ก่อนที่กรจะออกจากบ้านของมัส และในเย็นวันนั้นเองมัสได้โทรไปหาหนูนา และแนะนำตัวว่ากรเป็นคนที่ติดต่อเขามา

"สวัสดีครับ ใช่เบอร์พี่หนูนาใช่มั้ยครับ ผมชื่อมัส พอดีพี่กรแนะนำ"

"สวัสดีจ้ะมัส กรโทรมาบอกพี่แล้ว ตกลงว่าเธอจะมาช่วยพี่ใช่มั้ย"

"ใช่ครับ พี่พอจะช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่าผมต้องทำอะไรบ้าง แต่พี่คงรู้นะครับว่าผมไม่ชอบผู้หญิง ต้องขอบอกไว้ก่อน"

"เธอก็แค่นั่งรถกลับบ้านไปกลับพี่ ไปกินข้าวกับพ่อแม่พี่และพูดคุยกันแค่นั้นเอง"

"แล้วผมต้องแกล้งแสดงละครให้ดูเหมือนว่าเราเป็นคู่รักกันด้วยใช่มั้ย"

"ก็ต้องรบกวนหน่อยน่ะในเรื่องนั้น"

หนูนารู้สึกเชื่อใจและไว้ใจมัส เพราะว่าเป็นคนที่กรแนะนำให้ เธอจึงไม่รู้สึกกังวลใจใดๆและยอมให้คนที่เพิ่งจะคุยกันแค่ครั้งเดียว นั่งรถไปด้วยกับเธอ

"จะให้ผมเริ่มงานวันไหนครับ"

"อีก 2 วันพี่จะเดินทาง แล้วพี่จะไปรับเธอ"

"ตกลงครับ"

ในที่สุดหนูนาก็สามารถหาคนที่จะแกล้งควงไปหาพ่อและแม่ได้ เธอคงหวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ลดแรงกดดันจากพ่อแม่ ในเรื่องคู่ครองไปได้บ้างแม้จะแค่ชั่วคราวก็ยังดี โดยเฉพาะหวังว่าจะให้แม่ของเธอนั้นหายโศรกเศร้าได้บ้างก็ยังดี และเมื่อวันที่หนูนาจะต้องเดินทางมาถึง เธอไปรับมัสที่บ้านและมัสก็อาสาเป็นคนขับรถให้เธอเพื่อเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

"เดี๋ยวผมขับเองครับพี่"

มัสอาสาเป็นคนขับรถให้ จากนั้นทั้งคู่ออกแล่นสู่ถนนใหญ่มุ่งตรงไปยังบ้านเกิดของหนูนาที่ต่างจังหวัด

ในเย็นวันนั้นเอง จ๊ะเอ๋และแฟนหนุ่มชื่อกรได้ไปกินเลี้ยงงานปาร์ตี้ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พวกเขาทั้งสองดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไปไม่นานกรก็พบเพื่อนคนที่เขาไปหาที่บ้านเมื่อ 2 วันก่อน

"เป็นไงแมน เมื่อสองวันที่แล้วไปหาที่บ้านไม่เจอ"

กรทักทายเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนกัน
  
"อ๋อ วันนั้นติดงานลูกค้าต่างจังหวัดน่ะ เพิ่งจะกลับมาเมื่อคืน แล้วมีธุระอะไรเหรอ"

"พอดีว่าเพื่อนของจ๊ะเอ๋ที่ชื่อหนูนาน่ะ เธออยากหาผู้ชายที่จะให้แกล้งเป็นแฟนเธอพากลับบ้านไปให้พ่อแม่ดู ก็ว่าจะให้แมนช่วยหาคนให้น่ะ"

"อืม... ทำไมล่ะ ทำไมต้องแกล้งพาผู้ชายไปให้พ่อแม่เห็นด้วย"

"ก็พอดีว่าพ่อแม่เธอชอบมาพูดกดดันให้หนูนาพาแฟนไปให้ดูตัวบ้างน่ะสิ แต่ปัญหาคือหนูนายังไม่มีแฟน จึงต้องพาแฟนหลอกๆไปแล้วทำให้ดูเพื่อตัดความรำคาญมั้ง เห็นเธอว่าอย่างนั้นนะ"

"เป็นเรื่องที่แปลกมาก สมัยนี้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมเราแล้วเหรอเนี่ย แค่ลูกชายพาลูกสะใภ้ที่เป็นผู้ชายเข้าบ้านก็นับว่าแปลกแล้วนะ แต่นี่แปลกยิ่งกว่า"

 ทั้งคู่หัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนที่แมนจะพูดต่อ

"แล้วตอนนี้คนได้หรือยังล่ะ ผ่านมาตั้ง 2 วันแล้ว?"

"ก็พอดีเคยเจอน้องที่อยู่ข้างบ้านของแมนได้ เลยถามน้องเขาว่าสนใจรับงานมั้ย ปรากฎว่าน้องเค้าก็อยากได้เงินพอดีเลยรับงานนี้"

พอกรพูดจบประโยค สีหน้าของของแมนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

"น้องคนไหน!"

แมนทำเสียงแข็งขึ้นมาทันทีจนกรตกใจ

"มัสไง"

เมื่อได้ฟังคำตอบ สีหน้าของแมนแสดงออกถึงความตกใจอย่างสุดขีด

"เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!"

"ทำไมหรือ?"

"คนแถวบ้านเค้าเล่ากันว่ามัสเพิ่งจะหลุดคดีฆาตรกรรมออกมา เขาโดนแจ้งจับข้อหาฆ่าคน แต่พยานหลักฐานไม่เพียงพอจึงทำให้หลุดคดีออกมาได้ ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก"

"เรื่องจริงหรือนี่ ถ้าอย่างนั้นหนูนาก็ตกอยู่ในอันตราย ต้องบอกเรื่องนี้ให้จ๊ะเอ๋รู้โดยด่วน"

กรยังไม่ได้ถามเรื่องราวของมัสโดยละเอียดจากปากของแมน แต่ตอนนี้เขาต้องรีบส่งคำเตือนนี้ไปถึงหนูนาโดยเร็วที่สุดก่อน เมื่อจ๊ะเอ๋รู้เรื่องเธอรีบโทรศัพท์ไปหาหนูนาโดยเร็วที่สุด แต่ปรากฎว่าไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากเครื่องโทรศัพท์ของหนูนาปิด

"ติดต่อไม่ได้ เครื่องถูกปิด"

จ๊ะเอ๋พูด

"แล้วทั้งคู่นั้นจะเดินทางออกไปด้วยกันเวลาไหน"

แมนถาม

"หนูนาบอกว่าจะเดินทางวันนี้ตอน 4 โมงเย็น ตอนนี้เวลา 2 ทุ่มแล้วทั้งคู่น่าจะอยู่ด้วยกันแล้ว 4 ชั่วโมง"

จ๊ะเอ๋ตอบ

"งั้นขั้นแรกเราต้องไปแจ้งความกับตำรวจก่อน ถ้านายมัสนั่นเคยมีประวัติถูกฟ้องคดีฆาตกรรม ตำรวจต้องเร่งช่วยค้นหาแน่"

แมนแสดงความเห็น จากนั้นทั้ง 3 ก็ออกจากงานเลี้ยงและไปยังสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความคดีลักพาตัว เวลาผ่านไปไม่นานตำรวจก็ลงบันทึกประจำวันไว้และบอกทั้ง 3 ว่าจะเร่งติดตามโดยใช้ข้อมูลทั้งหมดที่หนูนาบอกไป

จ๊ะเอ๋ขับรถกบับบ้านในคืนนั้น เธอนึกขึ้นได้ว่าในรถของหนูนาได้ติด gps ติดตามรถในกรณีรถหาย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอนำใบแจ้งความไปที่บริษัทอุปกรณ์ gps และขอให้เขาแสดงพิกัดรถของหนูนา

ในที่สุดตำแหน่งพิกัดรถของหนูนาก็มาแสดงอยู่บนสมาร์ทโฟนของจ๊ะเอ๋ และในตอนนี้รถของหนูนานั้นได้ขับไปถึงจังหวัดยุธยาแล้ว ไม่รอช้า เธอและแฟนหนุ่มชื่อกรก็รีบเร่งเครื่องรถไปตามถนนออกนอกเมืองไปตามจุดหมายที่อยู่บนสมาร์ทโฟน

เวลาผ่านไปไม่นานตำแหน่งรถของหนูนาก็จอดแน่นิ่งอยู่นาน นั่นยิ่งสร้างความกังวลใจไม่น้อยให้กับจ๊ะเอ๋ เธอคิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ หรือคิดในแง่ดีก็คือหนูนาและมัสอาจจะจอดแวะพักกินข้าวหรืออาจจะพักนอนที่โรงแรมที่ไหนสักแห่ง

จ๊ะเอ๋มองดูเวลาที่หน้าจอในมือของเธอ ตอนนี้เวลาเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว และตำแหน่งพิกัดรถของหนูนาก็ไม่เคลื่อนไหวไปไหนกว่า 3 ชั่วโมง จ๊ะเอ๋ภาวนาว่าขอให้หนูนาจอดรถแวะพักนอนที่โรงแรมสักที่

และในที่สุดจ๊ะเอ๋และกรก็ขับรถมาถึงตำแหน่งรถยนต์ของหนูนา จ๊ะเอ๋โล่งใจว่าอย่างน้อยที่นี่ก็คือโรงแรม แต่ก็ยังไม่โล่งใจทั้งหมดจนกว่าเธอจะเจอหน้าเพื่อนรัก จ๊ะเอ๋รีบไปที่เคาท์เตอร์ของโรงแรมและรีบยื่นใบแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ดู เพื่อขอให้พาไปที่ห้องของหนูนา พนักงานเห็นใบแจ้งความถึงกับตกใจ รีบค้นหารายชื่อลูกค้าตามในใบบันทึกแจ้งความและให้พนักงานรีบพาจ๊ะเอ๋และกรขึ้นไปชั้นบน

เสียงเคาะประตูดังกึกก้องอยู่เนิ่นนานไร้เสียงตอบรับใดๆ จ๊ะเอ๋ร้อนใจขอร้องให้พนักงานรีบใช้กุญแจไขประตู พนักงานรีบความหาหมายเลขกุญแจในพวงกุญแจพวงใหญ่

ประตูถูกไข ไม่มีการล็อคกลอนจากด้านในของประตู และเมื่อจ๊ะเอ๋รีบผลุนผลันโผกระโจนเข้าไปในห้อง เธอถึงกับกรีดร้องเสียงดังน้ำตาไหลพร่างหล่นลงพื้นเมื่อเห็นภาพน่าสยดสยองอยู่ตรงหน้า กรรีบเข้าสวนกอดแฟนสาวของเธอไว้เพื่อหวังจะสะกดอารมณ์ของจ๊ะเอ๋ที่ตื่นตระหนกตกใจสุดขีดนั้นไว้

ผ้าปูที่นอนสีขาวตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม ร่างขาวนอนสงบแน่นิ่งไร้การตอบสนองใดๆ

.....

ในบ้านหลังหนึ่งกลับเงียบเหงาไรัเสียงอึกทึกครึกโครมใดๆ ซึ่งแตกต่างกับบ้านอีกหลายหลังในละแวกนั้นที่่ต่างก็เต็มไปดัวยผู้คนมากมาย บรรยากาศที่ตรึงเครียดระหว่างสามพ่อแม่ลูกนั้น ไม่มีใครพูดอะไรเพราะสิ่งที่ทั้ง 3 อยากพูดนั้นมันจุกอยู่ในอก งานสงการต์ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้วที่ไม่มีหนูนาในบ้านหลังนี้

นักโทษคนสุดท้าย

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมวลมนุษยชาติ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนสมัยก่อนนั้นดำเนินชีวิตอย่างไร เป้าหมายของชีวิตคืออะไร และเกิดมาเพื่ออะไร...